กระบี่จงมา 200.1-200.2

 บทที่ 200.1 เงื่อนตายของทางตาย

โดย

ProjectZyphon

หลังจากนกขมิ้นมาหยุดอยู่บนไหล่ เซี่ยสือก็วางถ้วยชาลงราวกับวางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว ก่อนจะเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยเสียงดังกังวาน “นี่ก็คือวิธีการต้อนรับแขกของต้าหลีอย่างนั้นหรือ?”


เฉาซีสีหน้ากระอักกระอ่วน


เขาอยากจะสังหารเซี่ยสือผู้นี้ก็จริง เพราะหวังว่าหลังจากนี้เขาจะสามารถดึงเอาผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิเต๋าบางคนที่อยู่เบื้องหลังเซี่ยสือออกมาได้ ถึงเวลานั้นจะได้เอามายำรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นสกุลเฉินอิ่นอิงแห่งนาตยทวีป หร่วนฉงอริยะของที่แห่งนี้ รวมไปถึงปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปอย่างศาลลมหิมะและภูเขาเจินอู่ หอป๋ายอวี้จิงที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของต้าหลี ชุยฉานราชครูต้าหลีผู้มีอุบายลึกล้ำ ฯลฯ เฉาซีทั้งสามารถทำตามข้อตกลงของสกุลเฉินผู้มากความรู้ จนกระทั่งได้ควบคุมเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของตัวเองได้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จนกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จ เขาก็แค่ต้องหาโอกาสพาตัวเองออกมา ไปนั่งชมไฟชายฝั่งอย่างสบายอุรา ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนที่สูงกว่าคอยช่วยต้านรับ เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปทั้งชาติ วันหน้าอย่างมากก็แค่ไปหลบอยู่ที่หอสยบสมุทรเสียก็สิ้นเรื่อง


แต่เฉาซีกลับไม่อยากเป็นเหมือนนกออกจากป่าที่เลือกพุ่งชนกับเซี่ยสือซึ่งๆ หน้าในทันที


หลังสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของนกขมิ้นตัวนั้น เดิมทีสวี่รั่วที่มีความรู้กว้างขวางล้มเลิกความคิดที่จะชักกระบี่ไปแล้ว แต่พอได้ยินประโยคนี้ของเฉาซีกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ เอื้อมมือจับด้ามกระบี่อีกครั้ง จอมยุทธ์สำนักโม่ที่เดินเล่นอยู่ในตรอกจึงเดินมุ่งหน้าไปที่บ้านเก่าตระกูลเซี่ยช้าๆ พลางพูดไปด้วย “ต้าหลีรับแขกอย่างไร ไม่จำเป็นต้องให้ข้าสวี่รั่วพูดให้มากความ เพราะหากมีใจคิดร้ายกับเจ้าจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เด็กสาวจื้อกุยมาปรากฏตัวที่เมืองเล็กแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์หรือเหตุผลก็ถือว่าต้าหลีทำได้ไม่เลวแล้ว กลับเป็นเจ้าเซี่ยสือที่พูดจาใหญ่โตตอนอยู่ในจุดพักม้า ไม่เห็นต้าหลีอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ทำไม ตอนนี้อาศัยว่ามีปฐมาจารย์ทางฝ่ายนั้นของเจ้าหนุนหลัง เลยคิดจะวางอำนาจข่มคนอื่นต่องั้นรึ? ได้ วันนี้ข้าสวี่รั่วจะใช้แค่ตัวตนของสวี่รั่วมาตัดสินเป็นตายกับเจ้า”


สวี่รั่วเดินมาถึงหน้าบ้านตระกูลเซี่ย เอ่ยยิ้มๆ “วางใจเถอะ ลูกศิษย์สำนักโม่อย่างพวกเรารักษาคำพูดอย่างยิ่ง เรื่องวันนี้ของข้าสวี่รั่วให้จบสิ้นที่ความเป็นความตายระหว่างเจ้าและข้า วันหน้าต้าหลีก็ดี อาจารย์ของสำนักโม่ก็ช่าง จะไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าเซี่ยสืออีก”


ชุยฉาน เฉาซี หร่วนฉง สวี่รั่ว ผู้ฝึกยุทธ์ไร้แซ่ไร้นาม เมืองเล็กคือสถานที่ที่มังกรขดตัวพยัคฆ์นอนหมอบ เพียงแค่ห้าคนนี้ก็สามารถร่วมมือกันสร้างตาข่ายยักษ์ไร้รูปลักษณ์โอบล้อมเซี่ยสือไว้ได้ ตามหลักแล้วสวี่รั่วคือบุคคลที่ไม่ควรลงมือเป็นคนแรกมากที่สุด คาดไม่ถึงว่าเมื่อถึงสุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นว่าจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ที่พูดง่ายกว่าใครคนนี้คิดจะชักกระบี่ สังหารฝ่ายตรงข้าม เป็นฝ่ายขอวัดฝีมือความสามารถที่ค้ำฟ้าจากเทียนจวินลัทธิเต๋าเพียงลำพังเป็นคนแรก


เซี่ยสือขมวดคิ้ว มองไปทางหน้าประตูของเรือนใหญ่ กล่าวเสียงหนัก “สวี่รั่ว เจ้าจะลงมือจริงๆ หรือ?”


สวี่รั่วตบด้ามกระบี่ พูดกลั้วยิ้มอย่างสง่างาม “ไม่เคยชักกระบี่ออกมาเต็มเล่มเป็นเวลาหกสิบปีแล้ว ด้วยเหตุนี้ข้ายังหล่อเลี้ยงกระบี่อีกสองสามเล่มไว้ด้วย ก็ประจวบเหมาะพอดี เชื่อว่าจะไม่มีทางทำให้เซี่ยเทียนจวินผิดหวังอย่างแน่นอน”


เซี่ยสือรู้สึกเหมือนคนขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงยาก หากเป็นความแค้นส่วนตัว แล้วอยู่ที่อุตรกุรุทวีป เขาเซี่ยสือคงลงมือได้อย่างเต็มที่ แต่ข้ามทวีปลงใต้มาครั้งนี้กลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เรื่องที่เขาเซี่ยสือไม่เต็มใจจะทำ เดิมทีก็บอกได้ถึงปัญหาอย่างแน่ชัดอยู่แล้ว ในฐานะเจ้าลัทธิเต๋าของแคว้นหนึ่ง จะยอมเก็บกลั้นความโกรธแค้น ย้อนกลับบ้านเกิดที่อยู่ทางใต้เพียงแค่เพราะถูกคนเอาเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตมาบีบบังคับได้อย่างไร?


เฉาซีรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น


สวี่รั่วผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องชอบไม้นวมไม่ชอบไม้แข็ง ถือเป็นคนที่นิสัยดีที่สุดในบรรดากลุ่มของจอมยุทธ์พเนจรในโลก สวี่รั่วมีความสามารถมากน้อยเท่าไหร่ ตบะลึกล้ำหรือตื้นเขิน ที่พึ่งของเขาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เนื่องด้วยเขาลงมือน้อยครั้งมาก ดังนั้นคำถามเหล่านี้จึงเป็นปริศนามาโดยตลอด แต่ทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็เชื่อในเรื่องหนึ่งนั่นคือ สามารถชีวิตอยู่มาได้อย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดัง ดังนั้นยิ่งเป็นผู้ฝึกตนที่นิสัยดีเท่าไหร่ ตอนที่แสดงด้านนิสัยเสียออกมาย่อมต้องน่าตะลึงมากอย่างแน่นอน


และเวลานี้เอง น้ำเสียงแก่ชราที่ดังกังวานดุจเสียงระฆังก็ดังขึ้นมาในบ้านเก่าของตระกูลเซี่ย “สวี่รั่ว เจ้าอย่ามาแย่งกับข้าผู้อาวุโส เซี่ยสือผู้นี้ ข้าผู้อาวุโสจะเอามาใช้ฝึกปรือฝีมือสักหน่อย เป็นการฉลองที่ข้าผู้อาวุโสกลับคืนสู่ขอบเขตสิบอีกครั้งพอดี หากคู่ต่อสู้ไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็ตีกันไม่สาแก่ใจ! หากเจ้าเซี่ยสือรู้สึกว่าข้าอาศัยว่ามีกำลังมากกว่ามารังแกเจ้า ก็ไม่เป็นไร ผู้อาวุโสจะสู้กับคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าให้เต็มคราบ ใช้เหตุผลเดียวกับสวี่รั่ว บุญคุณความแค้นส่วนตัว เป็นหรือตายก็รับผิดชอบกันเอาเอง!”


นกขมิ้นสีเหลืองอ่อนที่ยืนอยู่บนไหล่ของเซี่ยสือตลอดเวลาร้องจิ๊บๆ จั๊บๆ น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู


เซี่ยสือเงี่ยหูตั้งใจฟัง ก่อนจะยิ้มเข้าใจ แล้วกุมมือคารวะกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสบอกแล้วว่า ก่อนหน้านี้เป็นข้าเซี่ยสือที่ไม่แสดงความจริงใจมากพอ ไม่มีใครเขาใช้หลักการบังคับซื้อบังคับขายกันแบบนี้! ดังนั้นท่านผู้อาวุโสจึงกำลังเดินทางมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียน แถมยังบอกด้วยว่าจะช่วยราชวงศ์ต้าหลีของพวกเจ้าหลอกเอา…”


เซี่ยสือพูดตามประโยคเดิมที่ได้ยินมาทุกประการ แต่พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ สีหน้ากลับแข็งทื่อเล็กน้อย นึกถึงกฎข้อหลีกเลี่ยงการพูดถึงชื่อผู้สูงศักดิ์ขึ้นมาได้ จึงรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “เชิญให้เฮ้อเสี่ยวเหลียง ‘กุมารีหยก’ ของระบบเต๋าในแจกันสมบัติทวีปมาด้วยตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าต้าหลีของพวกเจ้าต้องผิดใจกับสำนักโองการเทพ นี่คือการแสดงความจริงใจ ดังนั้นส่วนที่สกุลซ่งต้าหลีของพวกเจ้าต้องทุ่มเทแรงใจจริงๆ ก็มีแค่ที่ภูเขาเจินอู่แห่งเดียวเท่านั้น”


เฉาซีคิดแล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับหาข้อตำหนิใดๆ จากคำพูดของเซี่ยสือไม่ได้


เซี่ยสือมองไปทางประตูใหญ่ของจวน กุมมือคารวะพลางเอ่ยยิ้มๆ “หากคิดจะประมือกัน รอให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นก่อน ข้าเซี่ยสือต้องเล่นด้วยให้ถึงที่สุดแน่นอน!”


จากนั้นเขาก็เบี่ยงตัวเล็กน้อย หันมาทางภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งก็คือที่ตั้งของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว “อยากจะประมือกับท่านผู้อาวุโสของข้า ก็ต้องสู้กับข้าเซี่ยสือก่อนถึงจะได้ หวังว่าจะเข้าใจ หากเจ้ารู้สึกว่าข้าเซี่ยสือดูถูกเจ้า…”


เซี่ยสือเก็บหมัด เอามือสองข้างไพล่หลัง แค่นเสียงเย็น “ก็คิดซะว่าข้าเซี่ยสือดูถูกเจ้านั่นแหละ!”


สวี่รั่วทิ้งท้ายด้วยหนึ่งประโยค “เรื่องครั้งนี้จบเมื่อไหร่ ค่อยมาเจอกัน”


ทางฝ่ายของภูเขาลั่วพั่ว ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองชุยฉานยิ้มๆ กล่าวว่า “เป็นไง จะให้ข้าลงมือเมื่อไหร่? หากเป็นเวลาปกติ ข้าไม่มีทางอดทนอดกลั้นหรอกนะ”


สีหน้าของชุยฉานยังเป็นปกติ ถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกันเบาๆ ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ไม่รีบร้อน เดิมทีก็เป็นการคุยธุรกิจกันอยู่แล้ว เขาเซี่ยสือเปิดราคาสูงเทียมฟ้า ข้าก็แค่อยากอาศัยวิถีวรยุทธ์ขอบเขตเก้าของท่านมาช่วยต่อรองราคาให้กับฮ่องเต้ก็เท่านั้น ในเมื่อตัวการใหญ่เบื้องหลังยอมเปิดเผยตัวและแสดงท่าทีว่าจะถอยก้าวใหญ่แล้ว ต้าหลีก็ไม่มีความจำเป็นต้องแตกหักกับเซี่ยสือ เฮอะ วันหน้ายังต้องให้เซี่ยสือเป็นคนนั่งบัญชาการณ์ภูเขาทางทิศเหนือของสำนักศึกษากวานหู เราไม่สามารถทำร้ายท่านเทียนจวินผู้นี้ได้ หลังข้าออกไปจากภูเขาแล้วยังต้องเกลี้ยกล่อมไม่ให้สวี่รั่วใช้อารมณ์รับมือกับเรื่องราว ปวดหัวนะเนี่ย คนอย่างสวี่รั่วผู้นี้ไม่โลภ ใจย่อมแข็งแกร่ง หากเป็นเรื่องอะไรที่เขายืนกรานแล้วล่ะก็ เฮ้อ ปวดหัว”


ผู้เฒ่าเปลือยเท้ายืนอยู่กลางระเบียง มองสีหน้าด้านข้างของชุยฉานแล้วถอนหายใจ “ฉานฉาน เจ้าไม่ควรกลายมาเป็นคนแบบนี้เลย”


ชุยฉานชี้ไปยังทิศไกล หัวเราะหยัน “ข้าคือชุยฉาน ชุยฉานหลานชายของท่านอยู่ที่ต้าสุย ไม่เพียงแต่หน้าตาเป็นเด็กหนุ่ม ยังมีนิสัยของเด็กน้อยอยู่ด้วย น่าจะถูกใจท่าน”


ชุยฉานอารมณ์เสีย จู่ๆ ก็ตวาดกร้าว “ออกมา!”


เสียงตวาดเดือดดาลนี้ทำเอาเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะดุ้งโหยง เด็กชายชุดเขียวยิ่งตกใจจนสองขาสั่นพั่บๆ อะไรกัน ด่าพ่อล่อแม่ในใจก็ไม่ได้งั้นหรือ? นี่ก็ได้ยินด้วยหรือไง? อริยะลัทธิขงจื๊อมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ยังดีที่เพียงไม่นานก็มีบุรุษเรือนกายเพรียวบางสูงโปร่งเดินออกมาจากเส้นทางเล็กๆ ที่เงียบสงัดนอกหอเรือนไม้ไผ่ เขาอายุประมาณสามสิบกว่าปี เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความห้าวหาญ สวมชุดสีดำ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความแข็งกระด้างดุจเกล็ดน้ำแข็ง แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่คบหาได้ง่ายๆ เขาก้าวเดินอย่างหนักแน่นมาหยุดอยู่นอกเรือนไม้ไผ่ ก้มหน้ากุมมือคารวะไปทางชั้นสอง “ข้ารับใช้ลำดับสุดท้ายของสกุลชุย ซุนซูเจียนคารวะท่านราชครูต้าหลี คารวะท่านบรรพบุรุษ!”


สีหน้าของชุยฉานไม่สบอารมณ์ “หลวงจีนอุ้มบาตรผู้นั้นเคยขวางเจ้าหนึ่งครั้ง เท่ากับช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้ายังกล้าจะขึ้นภูเขามาที่นี่อีกรึ?!”


ตอนนั้นที่ชุยฉานออกจากจุดพักม้าไปพบผู้เฒ่าเงียบๆ แท้จริงแล้วเป็นเพราะเขาสังเกตเห็นชายที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดผู้นี้ เวลานั้นชุยฉานก็เกิดใจคิดสังหารอีกฝ่ายแล้ว เพียงแต่ว่าหลวงจีนเดินออกมาขวางระหว่างชุยฉานกับข้ารับใช้ตระกูลชุยผู้นี้เสียก่อน ชุยฉานไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซอน จึงไม่ได้ลงมือฆ่าคน


ซุนซูเจียนสีหน้าหนักแน่น ยังคงค้างอยู่ในท่ากุมมือคารวะ เพียงแต่เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับราชครูต้าหลี “บ้านบรรพบุรุษสกุลชุยจะต้องมีคนที่รับผิดชอบคอยจับตามองท่านบุรพาจารย์โดยเฉพาะ ทุกๆ สิบปีจะเปลี่ยนคนใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนแอบทำร้ายบุรพาจารย์อย่างลับๆ สิบปีนี้ผู้ที่รับผิดชอบก็คือข้าน้อย คราวนี้ท่านบุรพาจารย์ออกมาจากทางทิศใต้โดยพลการ ก็เป็นข้าน้อยที่ช่วยรายงานข่าวผิดๆ ให้กับสายลับ โกหกไปว่าท่านบุรพาจารย์ยังคงอยู่ในแถบทิศใต้”


ชุยฉานหรี่ตาพูดยิ้มๆ “ดังนั้นเจ้าก็เลยจะมาขอรางวัลจากข้า?”


แม้ว่าบุรุษจะส่ายหน้า แต่กลับปกปิดสายตาที่ร้อนแรงของเขาไม่ได้ เขากล่าวเสียงดังฟังชัด “มิกล้า! ข้าซุนซูเจียนหวังเพียงว่าจะได้เรียนวิชาหมัดจากท่านบุรพาจารย์! ต่อให้พรสวรรค์มีจำกัด เรียนรู้ได้แค่ผิวเผิน แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต!”


ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเอ่ยยิ้มๆ “ในช่วงเวลาร้อยปีที่ข้าตกอับ มีบางครั้งที่สติแจ่มชัด จดจำคนอย่างเจ้าได้หลายคน พวกเขาต่างก็มีตบะสูงกว่าเจ้า แต่ทุกคนล้วนเป็นหมอนปักลายดอกไม้ พูดถึงพรสวรรค์และพลังการต่อสู้แล้วก็ล้วนไม่มีใครสู้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกที่เป็นพวกนอกรีตอย่างเจ้าได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องดูถูกตัวเองจนเกินไป จะว่าไปแล้วการที่เจ้าเต็มใจเนรเทศตัวเองมาอยู่ข้างกายข้า ลงเดิมพันกับคนที่ไร้อำนาจมานับร้อยปีอย่างข้าก็ต้องเป็นแผนการที่เกิดจากใจเห็นแก่ตัวของเจ้า ถูกหรือไม่?”


ซุนซูเจียนมีลักษณะของคนถ่อยอยู่บ้างจริงๆ เขาพยักหน้ารับอย่างไม่ปิดบัง “ข้ามีใจหวังว่าจะโชคดี อาศัยความโปรดปรานจากบุรพาจารย์เดินขึ้นฟ้าได้ในก้าวเดียวจริงๆ!”


“อ้อ? จิตใจทะเยอทะยานไม่เบา ไม่แน่ว่าราชครูต้าหลีข้างกายข้าผู้นี้อาจชอบเจ้าก็เป็นได้”


ผู้เฒ่าชี้ไปยังชุยฉานที่อยู่ข้างกาย จากนั้นค่อยชี้มาที่ตัวเอง สุดท้ายชี้ไปยังผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ด้านล่างหอเรือนผู้นั้น “เจ้าคนเนรคุณ ในเมื่อรู้ว่าข้าคือบรรพบุรุษตระกูลชุย แต่ยังกล้าทำเรื่องแบบนี้ นับว่าเจ้าใจกล้าไม่เบา เจ้าไม่กลัวว่าเวลาใดที่ข้ามีสติจะต่อยเจ้าให้เละเป็นโคลนในหมัดเดียวรึ?”


สายตาของซุนซูเจียนฉายแววหนักแน่น “ข้ารู้แค่ว่าหากไม่ลงเดิมพันดูสักตั้ง ข้าต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่!”


ชุยฉานหรี่ตาลง มองประเมินเด็กหนุ่มรุ่นหลังผู้นี้อย่างละเอียดเป็นครั้งแรก


น่าสนใจไม่น้อย


หางตาของผู้เฒ่าเห็นสีหน้าของชุยฉาน เขาคลี่ยิ้ม กระโดดเบาๆ ลงมาจากชั้นสอง พอพลิ้วกายลงมายืนอย่างมั่นคงแล้ว ด้านหลังของผู้เฒ่าก็คือชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ที่ประตูปิดสนิท ด้านในมีเด็กหนุ่มที่ยังนอนแช่อยู่ในถังยาด้วยสภาพอเนจอนาถ ผู้เฒ่าจ้องมองข้ารับใช้ปลายแถวของตระกูลที่กล้ามเนื้อทั่วร่างแข็งเกร็ง “คิดจะเรียนวิชาหมัดกับข้าผู้อาวุโส หากไม่มีความสามารถย่อมเรียนไม่ได้ กล้ารับหนึ่งหมัดของข้าผู้อาวุโสหรือไม่? หากรับได้ ยังไม่พูดถึงขอบเขตเก้า แต่ขอบเขตแปดนั่นต้องเป็นของในกระเป๋าของเจ้าซุนซูเจียนแน่นอน หากรับไม่ได้ ก็ไม่มีหมัดที่สองแล้ว”


แม้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าจะหล่นมาตรงหน้า ซุนซูเจียนก็ยังไม่ขาดสติ เขาถามกลับไปตรงๆ ว่า “ขอถามท่านบุรพาจารย์ ท่านจะออกหมัดด้วยขอบเขตที่เท่าไหร่?”


ชุยฉานที่อยู่บนชั้นสองยิ้มบางๆ คนผู้นี้มีคุณสมบัติที่จะเป็นหมากของตนจริงๆ


ผู้เฒ่าที่อยู่ชั้นหนึ่งหัวเราะดังลั่นอย่างกำเริบเสิบสาน เบิกบานใจสุดขีด “เจ้าคือขอบเขตหก ข้าผู้อาวุโสไม่กล้ารังแกคนอื่น จึงจะมอบหมัดขอบเขตห้าให้เจ้าหนึ่งหมัด ตกลงไหม?”


เท้าข้างหนึ่งของบุรุษผู้นั้นก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว อีกข้างหนึ่งถอยไปด้านหลัง ตั้งท่าหมัดของตัวเอง ปณิธานแห่งหมัดไร้หลั่งไปทั่วร่างดุจน้ำพุ ดุจธารน้ำ กลมกลืนกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ


เห็นได้ชัดว่าบนวิถีแห่งวรยุทธ์ ซุนซูเจียนที่เล่าเรียนด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่มีความเพียรพยายามที่ยิ่งใหญ่ ยังมีความฉลาดเฉลียวอย่างไม่ธรรมดา ด้วยฐานะผู้ฝึกตนอิสระของเขา หากต้องการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุด ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่สามารถเดินทางได้ทั่วยุทธภพของทวีปหนึ่งแล้ว ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยเลือดเนื้อและจิตใจอย่างที่ใครหลายคนคาดไม่ถึง


ซุนซูเจียนกลั้นลมหายใจทำสมาธิ ทำให้เขาดูมีมาดของผู้ยิ่งใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอยู่หลายส่วน “เชิญท่านบุรพาจารย์ออกหมัด!”


จู่ๆ ชุยฉานก็ถอนหายใจอย่างไร้สาเหตุ


ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว ปล่อยหมัดหนึ่งหมัด


หมัดที่หยาบกระด้างไร้ลูกเล่นกระแทกลงบนหน้าผากของซุนซูเจียน


ซุนซูเจียนที่ไม่ทันได้สกัดขวางหมัดของผู้เฒ่าปลิวกระเด็นไปหลายสิบลี้ในชั่วพริบตา เขานอนจมอยู่ในกองเลือด แขนขาทั้งสี่ชักกระตุก เลือดสดทะลักออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ดไม่หยุด ก่อนจะตาย ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มที่จิตใจทะเยอทะยานเทียมฟ้าผู้นี้เบิกตากว้างมองท้องฟ้า ดวงตาเต็มไปด้วยแววสงสัยไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมและเคียดแค้น


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปิดตาไม่กล้ามองภาพนี้


เด็กชายชุดเขียวกลืนน้ำลาย นั่นไง นั่นน่ะไม่เรียกว่าต่อยคนตายด้วยหมัดเดียวหรอกหรือ?


ชุยฉานที่อยู่ชั้นสองเอ่ยถาม “ทำไมต้องทำเช่นนี้?”


ผู้เฒ่าหมุนตัวกระโดดกลับขึ้นไปบนชั้นสอง “คนแบบนี้ไม่คู่ควรที่จะเรียนวิชาหมัดของข้า”


แม้ว่าคนจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตแปด หรือหากมานะพยายามก็อาจจะได้เลื่อนไปอีกขั้น คือหมากสำคัญตัวหนึ่งที่ไม่อาจดูแคลน แต่เพียงไม่นานชุยฉานก็หยุดอารมณ์เช่นนี้ลง คนก็ตายไปแล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ยังดีที่อยู่ในถิ่นของคนอื่น ไม่จำเป็นต้องให้เขาช่วยเก็บศพ


ชุยฉานถามด้วยความใคร่รู้ “แล้วฆ่าเขาไปเพื่ออะไร?”


ผู้เฒ่านั่งกลับลงไปบนม้านั่ง “ไม่ใช่ให้เจ้าดู แต่ให้เจ้าคนที่อยู่ชั้นล่างนั่นดู”


หายนะและความโชคดีไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดมาแน่นอน ล้วนเป็นคนที่ไปเรียกหาพวกมันมาทั้งสิ้น


ชุยฉานก้มหน้าลงมอง


 ————————-


บทที่ 200.2 เงื่อนตายของทางตาย

โดย

ProjectZyphon

นอกหอเรือนตรงชั้นหนึ่งมีเด็กหนุ่มสีหน้าไม่น่ามองคนหนึ่งยืนอยู่ เขากำลังเงยหน้ามองมาที่พวกเขา


แต่เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร


บรรยากาศเยียบเย็นอย่างถึงที่สุด


ครู่หนึ่งต่อมา ผู้เฒ่ายังไม่ลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มก็ไม่ได้จากไปไหน


ชุยฉานรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย


ต่อให้คนที่ยืนอยู่ชั้นหนึ่งจะเป็นอาจารย์ของเขาอีกคนหนึ่งก็ตาม


แต่สำหรับเรื่องพวกนี้ ชุยฉานไม่รู้สึกสนใจจริงๆ หากไม่เป็นเพราะใครบางคนอาจจะกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ในเมื่อจิตวิญญาณแยกจากกัน ร่างก็แบกออกเป็นสองร่างแล้ว ถ้าเช่นนั้นสำหรับเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงที่ไม่มีประโยชน์อะไรต่อตน ชุยฉานก็ไม่ถือสาที่จะส่งให้เด็กหนุ่มเดินทางไปปรโลก เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงแต่ขัดหูขัดตา ยังอาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย นี่ทำให้ชุยฉานที่เคยชินกับการควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือไม่ชอบใจอย่างยิ่ง ส่วนมหามรรคาของ ‘เด็กหนุ่มชุยฉาน’ ผู้นั้นจะเป็นอย่างไร จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ไม่มีหวังจะกลับคืนสู่จุดสูงสุดไปตลอดชีวิตหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับเขาราชครูชุยฉานด้วย?


จะอย่างไรก็เป็นคนสองคนแล้ว


ผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไผ่ แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “ทำไม เจ้ารังเกียจที่ข้าผู้อาวุโสฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ เลยอยากจะทวงความยุติธรรมจากข้าผู้อาวุโสคืนให้กับเจ้าหมอนั่นที่ตายตาไม่หลับอย่างนั้นหรือ?”


เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างศพนั้น นั่งยองลงไปก็พบว่าอีกฝ่ายตายสนิทแน่แล้ว


เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาทำไม แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงฆ่าเจ้า ดังนั้นสิ่งที่ข้าพอจะทำได้ก็คือช่วยฝังศพให้เจ้า วันหน้าหากรู้บ้านเกิดของเจ้าก็จะพยายามนำกระดูกของเจ้ากลับคืนสู่มาตุภูมิ”


แม้จะพูดให้คนตายฟัง แต่ก็ตั้งใจให้สองคนบนชั้นสองได้ยินด้วย แล้วก็คล้ายจะพูดให้ตัวเองฟังเช่นกัน


ผู้เฒ่าพลันแผดเสียงเกรี้ยวกราด ใบหน้าดุดันเผยความเดือดดาลสุดขีด กล่าวพร้อมปล่อยพลังอำนาจที่พุ่งปะทุเทียมฟ้า “บนโลกมีคนดีอยู่มากมาย แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอย่างข้า ใต้หล้านี้กลับมีน้อยจนนับนิ้วได้! นักพรตบนโลกมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าคิดว่าคนที่ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดจะมีการแบ่งแยกดีเลวงั้นหรือ?! เฉินผิงอัน เจ้าจะเรียนหมัดจากข้าผู้อาวุโสหรือจะเรียนรู้การเป็นคนกันแน่?!”


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกให้เด็กชายชุดเขียวมาช่วยกันจัดการฝังศพ เขามองไปยังชั้นสองแล้วเอ่ยว่า “แค่เรียนหมัดอย่างเดียว!”


ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “ดีๆๆ! แล้วเมื่อไหร่จะมาฝึกหมัดเล่า?”


เฉินผิงอันเดินไปทางเรือนไม้ไผ่เงียบๆ ขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง


ผู้เฒ่าหมุนกายเดินกลับเข้าไปในห้อง “มีเรื่องอะไรก็มาเรียกข้าได้เสมอ”


“ท่านวางใจเถอะ”


ชุยฉานหมุนตัวเดินไปทางบันไดพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ไม่มีทาง!”


ฝีเท้าของผู้เฒ่าชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ก้าวใหญ่ๆ ข้ามผ่านธรณีประตู ปิดประตูตามหลังดังปัง


ชุยฉานหยุดอยู่บนบันไดขั้นบน เฉินผิงอันเดินมาได้ครึ่งหนึ่งแล้วเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะหลีกทางให้จึงหยุดเดิน


ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อท่านนี้ก้มหน้าลงมองเด็กหนุ่มจากมุมสูง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูที่ยังไม่ปริแตกและร่วงลงมา เจ้าเฉินผิงอันถือว่าเป็นคนที่น่าสงสารมากที่สุด โชควาสนาบางเบาจนแทบจะไม่มี ดังนั้นโชคและโอกาสทุกอย่างจึงผ่านเลยเจ้าไป ส่วนตัวเจ้าก็กลายเป็นเหยื่อล่อของคนอื่น


ตอนนี้ไม่มีตราผนึกที่ลี้ลับเหล่านั้นอยู่อีกแล้ว ซ้ำยังมีแววว่าจะเจอเรื่องดีหลังจากต้องผ่านเรื่องร้ายมามาก ขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่ขนาดนี้ตกลงมาจากฟ้าก็จงรับไว้ให้ดี คว้าจับให้แน่น มือขาดขาหักก็ใช้ปากคาบเอาไว้ แม้จะต้องกัดจนฟันแหลกก็ต้องใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปช่วงชิงมันมา คว้าเอาไว้ให้มั่นอย่าให้หลุดมือเด็ดขาด!”


ชุยฉานเดินลงด้านล่างพลางกล่าวไปด้วย “คำพูดเหล่านี้ข้าช่วยพูดแทนตาเฒ่าคนนั้น เขาเป็นคนไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่นดีๆ ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ล้วนยึดมั่นในหลักของความถูกต้องสมเหตุสมผลเสมอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันน่ารำคาญมาก หากเป็นตัวข้าเอง คราวนี้คงไม่คิดจะมาพบเจ้า เจ้าจะเป็นหรือตายไม่สำคัญอีกแล้ว ข้อนี้เจ้าต้องขอบคุณฉีจิ้งชุน ศิษย์น้องของข้า แน่นอนว่าหากเจ้าเฉินผิงอันไม่เอาถ่าน ฉีจิ้งชุนย่อมตายไปอย่างเปล่าประโยชน์”


กล่าวมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มของชุยฉานก็ซับซ้อนเล็กน้อย “จำต้องยอมรับว่า ข้อนี้ สายตาข้าดีกว่าหยางเหล่าโถว แต่แย่กว่าฉีจิ้งชุน”


สุดท้ายคนทั้งสองเดินสวนไหล่กัน ต่างคนต่างก็เบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้อีกฝ่าย


และเวลานี้เอง ชุยฉานหยุดชะงักเล็กน้อย พูดเสียงค่อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในชีวิตนี้ของเจ้าคือครั้งไหน?”


เด็กหนุ่มหยุดเดินแทบจะในเวลาเดียวกัน


ชุยฉานกดเสียงลงต่ำ “คือตอนที่ ‘ผู้หวังดี’ บางคนจะมอบถังหูลู่ให้เจ้า หากตอนนั้นเจ้ารับเอาไว้ ทุกอย่างก็เหลือเพียงความว่างเปล่า”


ในใจเฉินผิงอันตื่นตะลึงจนไม่อาจตะลึงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว


เรื่องราวหลายอย่างในอดีตแล่นผ่านไป แต่ละเรื่องค่อยๆ ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า


ราชครูชุยฉานเดินลงไปด้านล่างต่อ วินาทีที่เขาก้าวออกไปจากบันไดขั้นสุดท้าย ร่างของเขาก็หายวับไปทันที


การฝึกวิชาหมัดครั้งนี้ทั้งหล่อหลอมเรือนกายและชำระล้างจิตใจ เทียบกับความทรมานของเมื่อวานแล้วมีแต่จะร้ายแรงหนักข้อยิ่งกว่า


ไม่ว่าเฉินผิงอันจะกัดฟันอดทนอย่างไรก็ยังหมดสติไปหลายครั้ง แต่กลับถูกผู้เฒ่าอัดให้คืนสติเสียทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา เรียกได้ว่าอยู่ไม่สู้ตายอย่างแท้จริง


ตอนที่เด็กชายชุดเขียวแบกเฉินผิงอันออกมาจากห้อง เกือบจะเข้าใจไปว่าเป็นการเก็บศพครั้งที่สองของวันเสียแล้ว เขาตกใจขวัญผวา เพราะลมหายใจของเฉินผิงอันตอนนั้นรวยรินบางเบาเหมือนเส้นด้าย ลมหายใจแผ่วเบายิ่งกว่าคนแก่ใกล้ตายเสียอีก


เป็นเหตุให้เว่ยป้อจำต้องขึ้นไปเคาะประตูบนชั้นสองเพื่อเตือนผู้เฒ่าว่าอย่าทำเกินขอบเขต


ผู้เฒ่าพูดผ่านบานประตูด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ข้าผู้อาวุโสสอนใครฝึกวิชาหมัด ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติมาชี้มือชี้ไม้ใส่ข้า!”


เว่ยป้อเดินกลับลงมาชั้นล่างอย่างขุ่นเคือง เพราะวางใจไม่ลงจึงได้แต่นั่งจ้องลมหายใจของเฉินผิงอันที่อยู่ในถังยา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน


ม่านราตรีเยื้องกรายลงมา เฉินผิงอันที่อ่อนระโหยโรยแรงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเดินออกมานอกประตูใหญ่


เด็กชายชุดเขียวฝึกตนอยู่ริมหน้าผา เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กมาให้


เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ ลูบศีรษะของนาง กล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่เป็นไร”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเค้นรอยยิ้มส่งให้ พูดประจบเลียนแบบเด็กชายชุดเขียว “แน่นอน นายท่านของข้าร้ายกาจที่สุดอยู่แล้ว”


เฉินผิงอันทำหน้าทะเล้นใส่นาง


ในที่สุดก็หยอกให้แม่นางน้อยตลกจนหลุดขำได้


จากนั้นเฉินผิงอันก็นั่งนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองข้างวางไว้บนขา ท่านั่งเกียจคร้านอย่างไม่ได้จงใจ


แต่ว่า


ในที่สุดทั่วร่างของเฉินผิงอันเวลานี้ก็มีประกายคมกริบที่ไม่อาจใช้คำพูดบรรยายได้แผ่ออกมา ต่อให้เขาไม่พูดอะไร ไม่ว่าเขาจะนั่ง นอนหรือยืน ปณิธานและสัจธรรมแห่งหมัดที่ไหลบ่าดุจน้ำท่วมทะลักอยู่บนร่างเขาก็มากพอจะทำให้ผู้เชี่ยวชาญวิชาหมัดรู้สึกสะท้านแสบตาได้แล้ว!


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกไม่คุ้นเคย เด็กชายชุดเขียวก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามมุมานะฝึกตนในทุกๆ วัน


สิ่งที่หาได้ยากและล้ำค่าที่สุดจากการฝึกหมัดครั้งนี้อยู่ที่ว่า ไม่ว่าการขัดเกลาหล่อหลอมที่ผู้เฒ่ามีต่อเฉินผิงอันจะดุร้ายทารุณแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนจิตใจและสันดานเดิมของเด็กหนุ่มได้แม้แต่เสี้ยวเดียว เกี่ยวกับการถ่ายทอดความรู้ไขความกระจ่าง ไม่ว่าจะเป็นบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนใช้กฎข้อหนึ่ง เหนืออาจารย์ผู้มีชื่อเสียงก็คือพระวิสุทธิอาจารย์ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เฒ่าก็คือพระวิสุทธิอาจารย์อันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธ์ พระวิสุทธิอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นยอดฝีมือเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นบรรพบุรุษของตระกูลหลี่คิดว่าจูเหอที่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า เหมาะสมกับตำแหน่งพระวิสุทธิอาจารย์อย่างแท้จริง แต่ผู้เฒ่าที่ทุกวันขังตัวเองไว้ในเรือนไม้ไผ่ท่านนี้ หากไม่เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์นั่นแหละถึงจะแปลก


“เหนือขอบเขตเก้าขึ้นไปยังมีทัศนียภาพที่ยอดเยี่ยมงดงามยิ่งกว่า” คำพูดแบบนี้ใครที่จะเอ่ยได้? ขนาดจูเหอยังเชื่อมั่นอย่างยิ่งยวดว่าขอบเขตสูงสุดของขั้นเก้าก็คือปลายทางและจุดจบของการเรียนวรยุทธ์แล้ว


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแอบถาม “นายท่าน วันนี้ท่านอารมณ์ไม่ดีใช่หรือไม่?”


เฉินผิงอันถาม “เจ้าพูดถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสฆ่าคนใช่ไหม?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเหลือบตามองไปยังชั้นสองอย่างขลาดๆ กลัวว่าตัวเองจะสร้างปัญหาให้กับนายท่าน


เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัด เขาแค่เอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนที่เดินทางไกลคราวก่อน ข้าเคยเจอกับผีสวมชุดเจ้าสาวตนหนึ่ง นางเคยชอบบัณฑิตคนหนึ่ง ชอบมากจน…ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร แต่เพื่อเขาแล้ว นางสังหารบัณฑิตบริสุทธ์ที่เดินทางผ่านมาเป็นจำนวนมาก ข้ารู้สึกว่านางทำผิดไปแล้วก็คือผิดไปแล้ว แถมยังไม่ใช่ความผิดเล็กๆ ไม่ใช่ความคิดที่สามารถชดใช้ได้ แต่ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ ตอนนั้นพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวล้วนอยู่ข้างกายข้า ข้าย่อมไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้ อีกอย่างตอนนั้นข้าก็คิดว่า เป็นข้าเองที่คิดตื้นเขินเกินไปหรือเปล่า จึงยังไม่แน่ใจในความคิดของตัวเองสักเท่าไหร่”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามอย่างใคร่รู้ “นายท่าน แล้วตอนนี้ท่านคิดอย่างไร?”


มือสองข้างของเฉินผิงอันกำเป็นหมัดวางค้ำไว้บนหัวเข่า แววตากระจ่างใส ตอบยิ้มๆ “ก็คิดว่านางผิดน่ะสิ หากพบกันคราวหน้า ข้าคงไม่สามารถพูดจากับนางด้วยเหตุผลได้ แต่ไม่เป็นไร ยังมีครั้งหน้าของครั้งหน้า ครั้งหน้าของครั้งหน้าของครั้งหน้า อย่างไรก็ต้องมีโอกาสสักครั้ง!”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มอ่อน


นายท่านที่เป็นเช่นนี้ไม่ค่อยเหมือนกับนายท่านที่เงียบขรึมก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ แต่กลับดีกว่าเก่าไม่น้อย


เฉินผิงอันบอกกับตัวเองในใจเงียบๆ ว่า


ต้องมีชีวิตรอดให้ได้ก่อน


……


ราตรีมืดมิด มีนักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวกำลังเข็นรถเข็นล้อเดียวปักธงข่มขวัญผู้คนที่แผงดูดวงต้องมี เดินอยู่บนถนนทางหลวงของอำเภอไหวหวง ล้อรถบดไปบนถนนเกิดเป็นเสียงแอดอาดไม่หยุด


เขาก็คือนักพรตหนุ่มแซ่ลู่ที่เคยอยู่ในเมืองเล็กและทำอาชีพหมอดูไร้น้ำยามานานหลายปีนั่นเอง


นกขมิ้นตัวหนึ่งแหวกม่านราตรีเข้ามา ความว่างเปล่าเกิดเป็นริ้วกระเพื่อม มันมาหยุดเอี๊ยดอยู่บนไหล่ของนักพรตหนุ่ม ใช้จะงอยปากถูไถซีกแก้มของเขาอย่างสนิทสนม


นักพรตหนุ่มยิ้มสดใส ยกมือข้างหนึ่งตบศีรษะเล็กของนกขมิ้นเบาๆ “รู้แล้วน่าๆ ก่อนหน้านี้ลำบากเจ้าแล้ว ต้องให้เจ้าคาบเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งบินไปบินมา เพื่อช่วยตรวจสอบโชคชะตาของฝ่ายบุ๋น ช่วยไม่ได้นี่นา ฉีจิ้งฉุนเล่นหมากล้อมเก่งขนาดนั้น เจ้าเห็นไหมล่ะ สุดท้ายแล้วพวกเราสองคนก็ยังคำนวณทางหนีทีไล่ที่ฉีจิ้งชุนทิ้งไว้ไม่ออกไม่ใช่หรือ? คราวนี้แพ้แล้ว นักพรตน้อยอย่างข้าก็ยอมศิโรราบ ใครใช้ให้ท่านอาจารย์ลำเอียงล่ะ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าลูกศิษย์อย่างข้าเล่นหมากล้อมได้แย่ที่สุด ฝีมือการต่อสู้แย่ที่สุด กลายเป็นว่าเมื่อถึงท้ายที่สุดกลับเป็นข้าที่ต้องทำงานยุ่งยากให้คนพาลเกลียดขี้หน้า แบบนี้ไม่เท่ากับว่าทำให้คนอื่นลำบากใจหรอกหรือ”


นักพรตหนุ่มเหมือนหญิงชาวบ้านปากเปราะที่บ่นนู่นตำหนินี่ไปทั่ว ไม่มีมาดของเทพเซียนเลยแม้แต่นิดเดียว


จู่ๆ นกขมิ้นก็จิกติ่งหูของนักพรตหนุ่มเบาๆ หนึ่งที


นักพรตหนุ่มเหมือนจะรู้ใจนกขมิ้นเป็นอย่างดีจึงหัวเราะฮ่าๆ “เซียนก็เป็นคนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”


ดวงตาของนักพรตหนุ่มพลันเป็นประกาย หัวเราะหึหึ ยกฝ่ามือตั้งวางตรงหน้าอกเลียนแบบหลวงจีน หากจะพูดในสถานเบาก็เรียกว่าหัวมงกุฎท้ายมังกร เป็นการกระทำที่น่าขบขัน แต่หากพูดให้หนัก การกระทำเช่นนี้ก็เรียกได้ว่าทรยศต่อระบบเต๋า


นักพรตหนุ่มยังคงบ่นเบาๆ ไม่มีความจริงจังใดๆ “เหล่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์โปรดช่วยคุ้มครอง ขอให้นักพรตน้อยที่เดินทางกลับเมืองเล็กครั้งนี้ร่ำรวยเงินทอง ต้องร่ำรวยเงินทองมากๆ อืม คราวก่อนขอพรจากพวกท่านนับว่ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง สุดท้ายก็ไม่ได้ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับฉีจิ้งชุนไม่ใช่หรือ? ดังนั้นครั้งนี้ช่วยดูแลนักพรตน้อยอีกสักครั้งได้หรือไม่? เจอครั้งแรกรู้สึกแปลกหน้า เจอครั้งที่สองก็คุ้นเคยกันไปเอง วันหน้าพวกเราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว!”


นักพรตหนุ่มทอดสายตามองออกไป


ทุกอณูพื้นที่ของเมืองเล็กที่อยู่ใต้สีรัตติกาลปรากฏชัดในสายตาของเขา


ไม่ว่าจะเป็นหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงมา สูญเสียค่ายกลใหญ่ในการพิทักษ์ปกป้อง หรือก่อนหน้าที่จะปริแตก เวทคาถาอาคมทั้งหลายยังสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สำหรับนักพรตหนุ่มแล้ว อันที่จริงก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง


นักพรตหนุ่มยื่นนิ้วข้างหนึ่งเคาะลงบนกวานเต๋าที่โบราณและเรียบง่ายเหนือศีรษะเบาๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาที่ทำให้คนปวดหัว


นักพรตหนุ่มที่ชื่อว่าลู่เฉิน


ก็คือเงื่อนตายที่ทำให้ฉีจิ้งชุนต้องตาย ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูหรือไม่ก็ตาม


เพียงแต่ว่าฉีจิ้งชุนกลับเลือกที่จะถอยก้าวใหญ่อย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน นักพรตหนุ่มจึงเลือกที่จะถอยก้าวเล็กตามไปด้วย


——————————–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)