ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 99-108
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 99 คนสำคัญ
สุขภาพของตัวเองมีหรือพระชายาจะไม่ทราบ นางบาดเจ็บ ทั้งยังมาหลบอยู่ในที่อับชื้นเป็นเวลาสามวัน เกรงว่าร่างกายที่ดูแลมาหลายปีคงจะกลับไปเป็นดังเดิมเสียแล้ว แต่ว่า เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเช่นนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก คิดถึงตรงนี้ พระชายาจึงได้ยิ้มออกมา “จริงด้วย แม่รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย พักผ่อนอีกไม่กี่วัน พวกเราก็คงได้กลับเมืองหลวงกันแล้ว”
สีหน้าที่เปลี่ยนไปของนางเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทั้งหมด นางเม้มปาก พยักหน้าเบาๆ “อื้ม”
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่สนใจ เชื่อใจคำของเมิ่งเชี่ยนโยวดีใจยิ่งนัก ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านย่าเจ้าคะ รอท่านหายดีแล้ว พวกเราไม่กลับเมืองหลวง ไปเที่ยวที่อื่นก่อนนะเจ้าคะ”
พระชายาตบมือทั้งสองเบาๆ “ครั้งนี้ย่ากลัวเหลือเกิน กลับบ้านเราไปพักก่อนเถิด”
ทั้งสองไม่รั้น พยักหน้า ตอบรับ “เจ้าค่ะ ข้าเชื่อฟังท่านย่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสุขภาพของท่าป๋าจึงไม่ดีขึ้นมา”
กินยาติดกันมาหลายวันแล้ว แต่สีหน้าของท่าป๋ายังคงซีดเซียว หวงฝู่สือเมิ่งเครียดไม่น้อย เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามถึง จึงส่ายหน้า “เมิ่งเอ๋อร์ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“นั่นเพราะเจ้าจัดยาผิดไปตัวหนึ่ง แม้จะให้ฤทธิ์คล้ายกัน แต่ว่าอย่างหนึ่งฤทธิ์แรง อีกอย่างฤทธิ์อ่อน เจ้าใส่ตัวฤทธิ์อ่อนลงไป อาการของเขาจึงไม่ดีขึ้นโดยเร็ว”
หวงฝู่สือเมิ่งจึงได้เข้าใจ ถามว่ายาที่ว่าคือตัวใด เมิ่งเชี่ยนโยวบอกนาง หวงฝู่เย่าเย่ว์นั่งฟังอยู่ไม่ไกล นางและพี่สาวเป็นฝาแฝดกันแท้ๆ แต่พี่สาวเหมือนแม่ ดังนั้นยาบางตัวเพียงแค่เคยเห็นตัวยา ก็สามารถจำได้ นางกลับได้พ่อที่ไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับยาเลย แต่ว่า โชคดีที่คุ้นเคยกับยามาตั้งแต่เล็ก นางยังพอรู้จักอยู่บ้าง แม้ไม่แม่นยำเท่าพี่สาว แต่โรคเล็กๆ นางยังพอรักษาได้
หลายวันแล้ว ยังไม่ได้เห็นคนของตน หลายวันนี้ ประตูเมืองปิดสนิทพวกเขาคงไม่ได้ออกไป ลูกน้องของท่าป๋าได้ยามาแล้ว เดินไปที่มุมมืด ส่งสัญลักษณ์บางอย่าง จากนั้นรออยู่ที่เดิมเงียบๆ
ไม่นานมีคนหนึ่งเข้ามา ทักทายเขา ถามด้วยความร้อนใจว่า “เจ้านายเป็นอย่างไรบ้าง”
“ปลอดภัยดีแล้ว เพียงแต่ต้องพักผ่อนเสียหน่อย พวกเจ้าอยู่ทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่มีปัญหา พวกเราแอบอยู่ในบ้านร้างนั่น ท่านมีเรื่องอะไรสามารถไปได้เสมอ”
ลูกน้องขมวดคิ้วเล็กน้อย “อยู่ที่นั่นตลอดเลยหรือ แล้วเด็กสาวนั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
“เมื่อครั้งลาดตระเวนหลายวันก่อน พวกเราเปลี่ยนที่กันไปแล้ว บัดนี้ปลอดภัยแล้ว จึงได้กลับไปที่เดิม ส่วนเด็กผู้นั้น คิดจะหนี ถูกพวกเราสั่งสอนไป จึงได้สงบลง”
“ดี จับตาดูให้ดี รอนายท่านหายดีแล้วค่อยว่ากัน”
อีกผู้ตอบรับ
ลูกน้องหันหลังเดินจากไป อีกคนเดินออกไปอีกทาง
กลับมายังโรงเตี๊ยม ต้มยาด้วยตนเอง ป้อนให้ท่าป๋าหั่นหลิน พร้อมรายงานเรื่องหลิวอวี้เอ๋อร์
เดิมทีจับหลิวอวี้เอ๋อร์มาเพื่อจะถามว่าเกิดเรื่องเข้าใจผิดอะไรกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ จึงได้ทำให้จวนฮั่วถึงต้องลงมือจัดการพวกอ๋องฉี แต่บัดนี้จวนฮั่วถูกจับไปแล้ว คนตระกูลฮั่วถูกจับตัวไป มีปัญหาอะไรหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องถามอีกต่อไป ท่าป๋าหั่นหลินสั่ง “ปล่อยนางไปเถิด ได้ยินว่านายน้อยอู่โหวมาแล้ว เจ้าไปสืบมาว่าพักที่ใด เอานางไปทิ้งไว้ที่นั่น”
ลูกน้องรับคำ หันหลังเดินออกไป เดินมาหาเซี่ยเฟิง ถามถึงที่พักของนายน้อยอู่โหว
เซี่ยเฟิงเองก็ไม่รู้ จึงไม่ได้ตอบเขา
หลายวันมานี้ไม่ได้กินอิ่ม ไม่ได้ดื่มน้ำเพียงพอ ทั้งยังถูกคนลงมือทำร้ายอย่างเลือดเย็น บัดนี้หลิวอวี้เอ๋อร์ผอมจนหน้าเปลี่ยน สีหน้าอ่อนแรง นอนอยู่บนพื้นไร้เรี่ยวแรง มองไปด้านหน้าด้วยสายตาล่องลอย กระทั่งมีคนเข้ามายังไม่เงยหน้าไปมอง
กวาดสายตามองหลิวอวี้เอ๋อร์อย่างไม่ใส่ใจ คนผู้นั้นใช้ภาษารัฐอิงสั่งคนสองคน
ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
คนนั้นจากไป ทั้งสองจึงได้พยุงร่างของหลิวอวี้เอ๋อร์ออกจากที่หลบซ่อน
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ขัดขืนอีก ยอมให้พวกเขาลากออกมาราวกับถุงกระสอบ มายังที่ที่ไม่ไกลจากจวนฮั่วนัก จากนั้นทิ้งตนลงที่พื้น สั่งว่า “เจ้ากลับบ้านได้แล้ว” จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไป
ทีแรกหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เชื่อ นอนอยู่ที่พื้นดังเดิม ครู่ใหญ่ เมื่อพบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างอ่อนแรงมองไปรอบตัว พบว่าที่นี่ไม่ไกลจากจวนฮั่ว ดีใจสีหน้าดีขึ้นมาทันที ออกแรงลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เดินโซเซเข้าไปในจวนฮั่ว วิ่งไปพร้อมกับหันหลังกลับไปมอง เพราะกลัวว่าสองคนนั้นจะตามมาจับนางไป
ทหารที่เฝ้าจวนฮั่วเห็นหญิงผู้หนึ่งผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดรุ่ยวิ่งเข้ามา จึงได้ระวังขึ้น หยิบอาวุธในมือพูดกับนาง “หยุดเดี๋ยวนี้ หากยังวิ่งต่อไปข้าจะจับตัวเจ้าเสีย”
หลิวอวี้เอ๋อร์ยังคงดีใจที่ได้กลับจวน เมื่อเห็นทหารล้อมจวนฮั่วเอาไว้ จึงได้ตกใจจนขาอ่อน “พวก พวกเจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงมาล้อมจวนของท่านตาของข้า”
ได้ยินคำเรียกเช่นนี้ของนาง หูของคนโจวอันตั้งชัน เดินเข้ามาตรงหน้านาง ถามนางว่า “คุณหนูหลิว?”
หลิวอวี้เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นฉับพลัน ถามกลับว่า “เจ้ารู้จักข้าได้…” ยังพูดไม่จบ เมื่อเห็นชัดว่าเป็นโจวอัน จึงได้ตกใจกรีดร้องพร้อมถอยออกมา “เจ้า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”
เมื่อมั่นใจว่าเป็นนาง โจวอันสั่งว่า “ไปบอกผู้แทนพระองค์ว่าแม่นางหลิวกลับมาแล้ว”
องครักษ์ลับนายหนึ่งรับคำสั่งพร้อมจากไป
หลิวอวี้เอ๋อร์ได้ยินดังนั้น ในใจจึงเกิดลางสังหรณ์ขึ้น ถามด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ผู้แทนพระองค์อันใดกัน พวกเจ้าทำอะไรกับท่านตาของข้า”
“ฮั่วเจี่ยคร่าชีวิตผู้อื่น วางแผนลอบฆ่าครอบครัวท่านอ๋อง หลักฐานมีพร้อม บัดนี้ถูกขังอยู่ในคุก” โจวอันตอบนางเสียงเย็นชา
“ไม่ ไม่ ไม่” หลิวอวี้เอ๋อร์กรีดร้องพร้อมถอยหลัง “ไม่จริง นี่มันไม่จริง เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร”
ไม่มีผู้ใดสนใจนาง
หลิวอวี้เอ๋อร์กัดฟัน รีบผุดลุกขึ้นมา เดินโซเซกลับเข้าไปด้านใน
โจวอันถลึงตา องครักษ์นายหนึ่งเข้ามา ใช้ดามมีดทุบต้นคอนาง จนนางสลบไป แล้วลากกลับมา
“ดูเอาไว้ให้ดี อย่าให้เกิดเรื่อง” โจวอันสั่ง
องครักษ์ไปจวนว่าการ รายงานเรื่องที่หลิวอวี้เอ๋อร์กลับมาแล้ว เมิ่งชิงดีใจ รีบสั่งว่า “เอาตัวนางมา!”
ไม่นาน หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกนำตัวมายังที่ว่าการ เมื่อเห็นว่านางยังไม่ได้สติ เมิ่งชิงขมวดคิ้ว ติดที่นางเป็นแม่นางแห่งจวนอู่โหว จึงไม่ได้สั่งให้นำน้ำมาสาดปลุกนาง แต่นั่งรอบนเก้าอี้จนกว่านางจะฟื้นขึ้น
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิวอวี้เอ๋อร์ค่อยๆ ฟื้นขึ้น มองดูภาพไม่คุ้นตาตรงหน้า ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ เงยหน้าขึ้น เห็นว่าเป็นที่ว่าการ ตกใจร้องออกมา จากนั้นก็เป็นลมไปอีกครั้ง
เห็นท่าทางนางเช่นนี้ จึงคิดว่าหลายวันมานี้คงไม่ได้รับการดูแลที่ดี เมิ่งชิงสั่งว่า “หาห้องขังดีๆ ขังนางเข้าไป นางฟื้นแล้วค่อยหาอะไรให้กิน”
ขุนนางตอบรับ แล้วลากร่างนางออกไป
เห็นท่าทางของนาง คงไม่น่าฟื้นมาโดยเร็ว เมิ่งชิงจากที่ว่าการไปยังโรงเตี๊ยม รายงานเรื่องนี้แก่อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียน
เรื่องทั้งหมดเกิดจากหลิวอวี้เอ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะความแค้นในใจนาง เมื่อเห็นอ๋องฉีจึงได้ไปยุยงฮั่วเจี่ย ก็คงไม่เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้นมา แต่อย่างไรนางก็ไม่ได้เข้าร่วมด้วย จึงยากที่จะลงโทษ
อ๋องฉีสงบลงเล็กน้อย สั่งว่า “ไปเรียกตัวนายน้อยอู่โหวมาเจรจาเรื่องนี้”
นายน้อยอู่โหวไม่ได้อยู่ที่โรงเตี๊ยม และไม่ได้ไปที่ว่าการ คงจะไปพักอีกที่หนึ่ง เมิ่งชิงสั่งคนออกตามหาที่โรงเตี๊ยมใกล้ๆ ไม่นานก็หาเขาเจอ เมื่อรู้ว่าอ๋องฉีมีเรื่องเรียกหาเขา จึงได้รีบมา “ท่านอ๋องเรียกตัวข้ามาด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ”
“พบตัวคุณหนูหลิวแล้ว ขังไว้ในคุกชั่วคราว ที่เรียกท่านมาก็เพื่อจะบอกท่านเสียก่อน”
นายน้อยอู่โหวได้ยินดังนั้น หน้ามืดจนแทบจะลมจับ เด็กโง่คนนี้ ถูกจับตัวไปแล้วก็แล้วไป เวลาเช่นนี้หนีกลับมาด้วยเหตุใดกัน บัดนี้จะเอาอย่างไรดี มาอยู่ในมือของเมิ่งชิงเข้าพอดี ไม่ตายก็คงต้องถูกถลกหนังออกมา ไม่แน่ว่าอาจจำจวนอู่โหวติดร่างแหไปด้วย ในใจก่นด่านางครั้งแล้วครั้งเล่า กัดฟัน เตรียมเปิดปากพูด
แล้วเสียงของอ๋องฉีก็ดังขึ้น “ที่เรียกท่านมายังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
นายน้อยอู่โหวรีบพูดว่า “เชิญท่านอ๋องว่ามาขอรับ ข้าน้อยจะทำตามคำสั่ง”
“รบกวนท่านโหวพูดชักชวนแม่นางหลิว ให้นางบอกความจริงทุกอย่างออกมา ข้าสัญญาว่าจะให้โอกาสนาง ไม่ติดใจเรื่องในอดีต”
นี่เองเป็นเรื่องที่นายน้อยอู่โหวกลัว ฮั่วเจี่ยทำเช่นนี้ เป็นเพราะแรงยุของหลิวอวี้เอ๋อร์เป็นแน่ หากหาหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่พบ ก็ไม่มีหลักฐาน ผู้ใดก็มิอาจเอาผิดนางได้ แต่บัดนี้นางกลับมาแล้ว อยากลงโทษนางนั้นง่ายดายนัก ดังนั้นเขาจึงกลัว กังวล บัดนี้ได้ยินอ๋องฉีกล่าวเช่นนี้ นายน้อยอู่โหวเข้าใจความหมายของเขาในทันที เอ่ยทันทีว่า “ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ หากนางไม่พูด ข้าจะตัดพ่อตัดลูกกับนาง ไล่นางออกจากจวนไป ต่อจากนี้จะไม่นับนางเป็นลูกอีก”
อ๋องฉีพยักหน้า ชื่นชมเขาอีกครั้ง
นายน้อยอู่โหวปฏิเสธคำชมไม่หยุด
จากนั้นจึงไปหาลูกสาวในคุก
หลิวอวี้เอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาแล้ว ผู้คุมทำตามคำสั่ง เตรียมอาหารไว้ให้นาง นางหิวมาหลายวันแล้ว จึงกินอย่างตะกละตะกลาม
ตอนที่นายน้อยอู่โหวมาถึงนั้น เห็นท่าทางของนางพอดี ขมวดคิ้ว เอ็ดว่า “เป็นถึงคุณหนูจวนอู่โหว กิริยาเช่นนี้นับว่าอะไรกัน”
หลิวอวี้เอ๋อร์เพิ่งกินไปได้คำเดียว เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้ยเคย จึงสำลักเข้า ไอเสียงดัง อาหารในปากกระเด็นไปทั่ว
นายน้อยอู่โหวรังเกียจยิ่งกว่าเดิม ขมวดคิ้วชนกัน กำลังจะกล่าวเตือนนาง หลิวอวี้เอ๋อร์ยืนขึ้น เข้ามาหาเขา มองอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านพ่อ เป็นท่านจริงๆ หรือ”
นายน้อยอู่โหวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที กำลังจะโมโห ก็คิดถึงเรื่องที่ต้องหลอกล่อนางเมื่อครู่ จึงได้ดับไฟโกรธไว้ น้ำเสียงผ่อนเบาลง “อวี้เอ๋อร์ ทำไมหรือ จำพ่อไม่ได้แล้วหรือไร”
อย่างไรเสียนางเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบกว่าขวบ ประสบกับการลักพาตัว ทั้งยังถูกจับขังคุก เท่านี้นางก็รับไม่ไหวแล้ว บัดนี้ได้เห็นพ่อของตน อารมณ์ทั้งหมดจึงได้ปะทุออกมา ร้องไห้โฮออกมาทันที ร้องไห้เสียจนหายใจไม่ทัน น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้า
นายน้อยอู่โหวรังเกียจยิ่งนัก แทบทนไม่ได้ที่จะตะคอกใส่นางเพื่อให้หยุดร้อง
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 100 มีแผนชั่วอีกครั้ง
ต่อหน้าสายตาของผู้คุมและคนคุกทั้งหมด นายน้อยอู่โหวสะกดอารมณ์ตนเองอีกครั้ง ลูบผมที่ยุ่งเหยิงราวกับรังนกของหลิวอวี้เอ๋อร์ผ่านกรงเหล็ก “เอาล่ะ หยุดร้องได้แล้ว ข้าจะสั่งคนให้ปล่อยเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”
หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องไห้จนไม่สามารถพูดได้ ทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
นายน้อยอู่โหวชายตามองผู้คุมเล็กน้อย สั่งให้เขาเปิดประตู
ผู้คุมเข้าใจคำสั่ง เดินเข้ามา ใช้กุญแจเปิดประตูออก หลิวอวี้เอ๋อร์กระโจนเข้ามา พุ่งเข้าหาอ้อมกอดของนายน้อยอู่โหว ร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม ปลดปล่อยความรู้สึกน้อยใจและกลัวออกมา
กลิ่นเหม็นฉุนลอยเข้าจมูกนายน้อยอู่โหวเป็นระยะ ทำเอาเขาคลื่นไส้จนแทบจะอาเจียนออกมา รีบผลักหลิวอวี้เอ๋อร์ออก หันหน้าไปอีกทาง หายใจหอบไม่หยุด
หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องไห้จนเสียสติ ถูกนายน้อยอู่โหวผลักออกอย่างแรง ร่างของนางจึงได้เซไปด้านหลัง ชนเข้ากับประตูห้องขัง นางไม่เข้าใจ จึงได้หยุดร้องไห้ลงทันที อ้าปากค้างเล็กน้อย ดวงตาที่รอ น้ำตาปกคลุมมองเขาด้วยความประหลาดใจ
ล้วนทำไปเพราะลืมตัว เมื่อนายน้อยอู่โหวนึกได้ว่าตนทำอะไรลงไปนั้น จึงรู้สึกอารมณ์เสียยิ่งนัก ฝืนยิ้มออกมา ฝืนพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าโตเป็นสาวแล้ว ระวังกิริยาด้วย”
จวนอู่โหวเป็นถึงจวนของข้าราชการระดับสูง ให้ความสำคัญกับเรื่องกิริยามารยาท โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง ถือว่าได้รับการอบรมสั่งสอน กฎเกณฑ์เหล่านี้หลิวอวี้เอ๋อร์รู้ดี เพียงแต่วันนี้นางตื่นเต้นมากไปจึงได้ลืมตัว เมื่อได้ยินนายน้อยอู่โหวกล่าวเช่นนี้ จึงมีสติขึ้นมา หน้าแดง กดเสียงตัวเองพูดว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกผิดไปแล้ว ท่านอภัยด้วย”
นายน้อยอู่โหวยื่นมือออกมา หวังจะลูบหัวนาง แต่มองดูผมเผ้ายุ่งเหยิงของหลิวอวี้เอ๋อร์ มือที่ยกออกมาจึงได้หดกลับไป “ไปกันเถิด ตามพ่อออกไป มีเรื่องอะไรค่อยว่ากัน”
พูดจบ จึงได้หันหลังเดินก้าวเท้ายาวออกไป
หลิวอวี้เอ๋อร์เช็ดน้ำตา เดินตามออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อออกจากคุกมา ก็ตรงมายังโรงเตี๊ยมที่พักอยู่ เข้าประตูมา นายน้อยอู่โหวก็ได้สั่งเถ้าแก่ว่า “เปิดห้องชั้นดี หนึ่งห้อง ให้คนนำน้ำร้อนมาส่งด้วย”
เถ้าแก่เงยหน้ามอง เห็นร่างอ่อนแรงของหลิวอวี้เอ๋อร์จึงได้ชะงักเล็กน้อย มองนายน้อยอู่โหวด้วยความสงสัย ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
นายน้อยอู่โหวไม่ได้สังเกตสีหน้าของเขา ทิ้งตั๋วเงินจำนวนห้าสิบตำลึงลงบนโต๊ะ “รบกวนให้เถ้าแก่เนี้ยไปซื้อเสื้อผ้าให้นางสองชุด เงินที่เหลือนับว่าเป็นค่าเดินทาง”
เถ้าแก่คำนวณในใจ ชุดอย่างดีชุดหนึ่ง รวมแล้วก็สิบกว่าตำลึงเท่านั้น สองชุดไม่เกินสี่สิบตำลึง เพียงไปซื้อของเท่านี้ได้เงินเยอะเพียงนี้ เถ้าแก่ยินดียิ่งนัก รอยยิ้มบนหน้าเผยออกมา พยักหน้า เอ่ยรับรองว่า “ท่านโปรดวางใจ ข้าจะให้คนไปซื้อให้บัดเดี๋ยวนี้เลยขอรับ จะมิให้เสียเวลาแม่นางผู้นี้เลย”
พูดจบ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลิวอวี้เอ๋อร์อีกครั้ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรกดูมิได้ ร่างกายยังส่งกลิ่นเหม็นออกมา ดูไม่ออกเลยว่ามีอะไรที่ทำให้คนชอบใจได้
นายน้อยอู่โหวเดินขึ้นบันไดไป หลิวอวี้เอ๋อร์เดินตามไปด้านหลัง
เถ้าแก่ถลึงตาใส่เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์รีบตามไปอย่างรวดเร็ว เปิดห้องอย่างดีให้พวกเขา จากนั้นก็วิ่งลงมา ไปต้มน้ำที่เรือนหลัง จากนั้นก็นำไปส่ง
มองดูห้องสะอาดสะอ้าน หลิวอวี้เอ๋อร์จึงได้เข้าใจว่าชีวิตกลับมาแล้ว เรื่องที่ผ่านมาหลายวันก่อนจะต้องเป็นฝันร้ายเป็นแน่ นางไม่อยากประสบพบอีกแล้ว
น้ำร้อนมาส่งให้แล้ว นางอาบน้ำจนสบายตัว เถ้าแก่เนี้ยไปซื้อเสื้อผ้ามาด้วยความรวดเร็ว ตัวหนึ่งสีชมพู อีกตัวสีแดงด้านบนมีดอกไม้เล็กๆ พอ เหมาะสมยิ่งนัก นางเป็นเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวนี้ ฐานะไม่ได้ดี แต่ไม่ได้แน่ เป็นชุดที่คนพอมีเงินใส่กันปกติ หากเมื่อก่อน หลิวอวี้เอ๋อร์คงไม่ถูกใจ แต่บัดนี้นางไม่สนใจแล้ว หยิบชุดสีชมพูดขึ้นมา สวมใส่ เปิดประตู หยิบชุดเก่าของตนโยนออกไปให้คนงาน “เอาไปทิ้งเสีย”
แม้ว่าชุดจะสกปรกมาก แต่เนื้อผ้าดูก็รู้ว่าเป็นของดี คนงานเสียดาย คิดว่าจะนำกลับไปซักแล้วให้คนที่บ้านใส่ ปากรับคำ หยิบลงบันไดมา แต่กลับแอบไว้ที่มุมหนึ่ง รอตนมีเวลาว่างแล้วจึงค่อยซักให้สะอาด ส่งให้คนที่บ้านใส่
เนื้อตัวสะอาดแล้ว หลิวอวี้เอ๋อร์สดชื่นขึ้นมา เดินไปเคาะประตูห้องนายน้อยอู่โหว พูดด้วยความยินดีว่า “ท่านพ่อ ข้าเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“เข้ามาสิลูก!” นายน้อยอู่โหวกลับมาใจดีเช่นเดิม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลิวอวี้เอ๋อร์เปิดประตูเดินเข้าไป
ภายในห้องเต็มไปด้วยอาหารร้อนๆ นายน้อยอู่โหวกวักมือเรียกนาง “รีบมาเร็วเข้า พ่อรอเจ้าจนหิวแล้ว สั่งให้คนนำของที่เจ้าชอบมาให้เจ้าด้วย”
กลิ่นหอมลอยเข้าจมูก หลิวอวี้เอ๋อร์สูดเข้าไปอย่างลืมตัว ไม่นานเดินเข้ามาข้างโต๊ะ นั่งลงพูดด้วยความดีใจว่า “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
“ลูกคนนี้นี่ เกรงใจพ่อด้วยเหตุใดกัน” พูดจบ หยิบตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้นาง “รีบกินเร็ว หิวแย่แล้วใช่หรือไม่”
“อื้ม!” หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยความดีใจ กินเข้าไปคำใหญ่ กินไปไม่กี่คำก็นึกถึงคำที่พ่อของตนดุตอนอยู่ในคุกได้ จึงได้กินให้ช้าลง
“ที่นี่ไม่มีคนนอก เจ้าอยากกินอย่างไรก็ได้ ในฐานะพ่อ ข้าไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก” นายน้อยอู่โหวเองคิดถึงคำของตนเมื่อครู่ได้ จึงได้ยิ้มพร้อมปลอบโยนนาง
หลิวอวี้เอ๋อร์สบายใจ นางหิวมากจริงๆ จึงได้กินอย่างตะกละตะกลาม
แต่ตอนที่นางไม่ได้สนใจนั้น นายน้อยอู่โหวขมวดคิ้วลง เมื่อนางเงยหน้ามองเขา เขาจึงได้เผยรอยยิ้มออกมา
กินเสร็จจนอิ่มแล้ว หลังเรอออกมาอย่างไม่สุภาพ หลิวอวี้เอ๋อร์พูดออกมาด้วยความเขินอายว่า “ไม่ได้กินข้าวอิ่มมาหลายวันแล้ว ข้าหิวเหลือเกิน ท่านพ่อได้โปรดอย่าว่าข้าไร้มารยาเลยนะเจ้าคะ”
เป็นเวลาที่ควรเผยความรู้สึกกลัวในใจออกมาแล้ว “อวี้เอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังพ่อมายังเจียงหนานแล้ว เมื่อพ่อได้ยินว่าเจ้าถูกโจรจับตัวไป พ่อแทบเป็นลมล้มไป พ่อมีเจ้าเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา พ่อและแม่ของคงมีชีวิตต่อไปไม่ได้”
เมื่ออยู่ในจวน นายน้อยอู่โหวไม่เคยพูดจาเช่นนี้กับนาง หลิวอวี้เอ๋อร์ซาบซึ้งจนขอบตาแดง จึงได้เอ่ยว่า “ท่านพ่อ…”
พูดได้สองคำ ก็ถูกนายน้อยอู่โหวตัดบท “อวี้เอ๋อร์ บ้านของท่านตาของเจ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เจ้ารู้แล้วหรือไม่”
อาศัยอยู่ในจวนฮั่วมาหนึ่งปี ฮั่วเจี่ยและฮั่วฮูหยินรักนางมาก หลิวอวี้เอ๋อร์เองก็รักพวกเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาแดงกว่าเดิม “ลูกเองก็เพิ่งรู้เมื่อตอนที่กลับจวนไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านตา”
“คนในจวนถูกจับเข้าคุกไปทั้งหมด ท่านตาและท่านยายของเจ้าก็ไม่รอด”
“เช่นนั้น ท่านพ่อมีวิธีช่วยพวกเขาอย่างไรหรือเจ้าคะ” หลิวอวี้เอ๋อร์ถามด้วยความร้อนรน
นายน้อยอู่โหวส่ายหน้า “ฝ่าบาทส่งคนตระกูลเมิ่งมาเป็นผู้แทนพระองค์ ข้าเป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์อื่นใด”
เสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์ดังขึ้นเล็กน้อย ถามด้วยความร้อนใจว่า “แต่ ที่ท่านตาทำเช่นนี้ ก็เพื่อข้า เพื่อจวนอู่โหวของพวกเรานะเจ้าคะ เพียงแต่อยากแก้แค้นแทนพวกเราเท่านั้น”
นายน้อยอู่โหวมีความคิดที่อยากจะบีบคอเด็กโง่ผู้นี้ให้ตาย ยิ่งนางตะโกนโหวกเหวกเช่นนี้ กลัวคนด้านนอกไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที พูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอนว่า “อวี้เอ๋อร์ เรื่องนี้ผู้ใดบอกเจ้า”
“ไม่มีผู้ใดบอกลูกเจ้าค่ะ ลูกเพียงเห็นด้วยตาลูกเอง” เสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ได้เบาลง แต่กลับดังขึ้นกว่าเดิม
ความอดทนของนายน้อยอู่โหวถึงที่สุดแล้ว จึงได้ทุบโต๊ะเสียงดัง ตะคอกเสียงดังว่า “พอได้แล้ว! อย่าพูดจาซี้ซั้วอีก!”
หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจมาก เบิกตาโตมองเขา ถูกกระทบกระเทือนต่อเนื่อง น้ำแกงไหลลงมาตามโต๊ะมายังกระโปรงของนาง แต่นางยังไม่รู้สึก
นายน้อยอู่โหวยืนขึ้น เดินวนไปมาในห้อง หวังจะกดไฟโกรธในใจของตนลง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้ จึงหันหลัง จ้องหลิวอวี้เอ๋อร์ สั่งด้วยเสียงดุว่า “คำพูดเมื่อครู่นี้ ห้ามเจ้าพูดออกมาอีก หากเจ้ายังกล้าพูดออกมาแม้ครึ่งคำ ข้าจะไล่เจ้าออกจากจวนอู่โหว ตัดพ่อตัดลูกกับเจ้าไปตลอดกาล”
หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจน้ำเสียงและท่าทางของเขา ร่างห่อลงด้วยความกลัว ถามด้วยความขลาดว่า “เพราะ… เพราะอะไรหรือเจ้าคะ”
“เพราะว่าตระกูลฮั่วจบสิ้นแล้ว เพราะว่าอาจจะทำให้จวนอู่โหวติดร่างแหไปด้วย เจ้ารู้หรือไม่” นายน้อยอู่โหวโกรธเสียจนหน้าแดง กดเสียงต่ำตะคอกนาง
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่กล้าพูดอีก แต่จากสีหน้านางรู้ได้ว่ายังไม่เข้าใจ
นายน้อยอู่โหวโกรธเสียจนเดินวนไปมาในห้องครู่ใหญ่ ฝืนกดไฟโกรธในใจลงไปได้ จึงได้เดินกลับไปที่เดิม พูดกับหลิวอวี้เอ๋อร์อย่างตั้งใจว่า “อวี้เอ๋อร์ พ่อรู้ว่าที่ลูกพูดเป็นความจริง ท่านตาของเจ้าอยากแก้แค้นแทนจวนอู่โหวของเราจริง แต่เขามิควรเอาเสียเลย ทำคนตายไปหลายคน แล้วยังอยากฆ่าครอบครัวอ๋องฉี นี่เป็นโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร ฝ่าบาทไม่พอพระทัยจวนอู่โหวของเราแล้ว หากฝ่าบาททรงทราบสาเหตุ ตัดความเมตตาที่มีต่อจวนอู่โหวของเรา เช่นนั้นพวกเราทุกคนก็คงต้องไปเป็นขอทานข้างทางแล้ว”
หลิวอวี้เอ๋อร์เข้าใจแล้ว จึงได้เข้าใจความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงได้เบิกตาโต กลืนน้ำลาย “ท่าน ท่านพ่อหมายความว่าท่านตาจะสามารถทำพวกเราติดร่างแหไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ก็ต้องดูว่าเจ้าจะพูดอย่างไร หากเจ้าพูดได้ดี ต่อจากนี้จวนอู่โหวของเรายังมีโอกาสในเมืองหลวง แต่หากเจ้าพูดไม่ถูก จวนอู่โหวของเราก็คงจบสิ้นเพราะเจ้าแล้ว”
หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจ สีหน้าซีดขาว ถามปากสั่น “ความ ความหมายของท่านพ่อลูกฟังไม่เข้าใจเจ้าค่ะ”
นายน้อยอู่โหวถอนหายใจ ยืนขึ้น เทน้ำส่งให้ตรงหน้าหลิวอวี้เอ๋อร์ “อวี้เอ๋อร์ มิใช่ว่าพ่อใจร้าย แต่พ่อจนปัญญาจริงๆ ต้องคิดหาวิธีปกป้องจวนอู่โหวของเราก่อน จึงค่อยหาทางปกป้องท่านตาของเจ้าได้”
หลิวอวี้เอ๋อร์เข้าใจบางอย่างแล้ว ถามว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกควรทำเช่นไรดี”
นายน้อยอู่โหวกดเสียงต่ำลง พูดสิ่งที่ตนคิดไว้เมื่อตอนรอนางออกมา
หลิวอวี้เอ๋อร์ยิ่งฟังยิ่งตกใจ สีหน้ายิ่งซีดขาว ยิ่งไม่อยากเชื่อมากขึ้น นายน้อยอู่โหวพูดจบ นางส่ายหน้าเป็นพัลวัน “มิได้ มิได้เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้าพูดเช่นนี้ไม่ได้ หากพูดเช่นนี้ ครอบครัวของท่านตาต้องจบสิ้นแล้ว!”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 101
“เช่นนั้นเจ้าอยากให้ฝ่าบาทตรวจสอบจวนอู่โหว ยอมไม่มีบ้านอยู่อย่างนั้นหรือ” นายน้อยอู่โหวถามนางเสียงดัง
หลิวอวี้เอ๋อร์ส่ายหน้าเร็วกว่าเดิม “ไม่อยากเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นเจ้าเชื่อฟังพ่อ คิดให้ดีว่าเมื่อพบท่านอ๋องแล้วควรพูดเช่นไร”
หลิวอวี้เอ๋อร์ปฏิเสธ “มิได้ มิได้เจ้าค่ะ ลูกทำเช่นนั้นมิได้ เช่นนั้นจะเป็นภัยต่อครอบครัวท่านตา”
“ท่านอ๋องเป็นผู้ประสบเรื่อง ต่อให้เจ้าไม่พูด ครอบครัวท่านตาของเจ้าก็จบสิ้นแล้ว หากเจ้าพูด จะทำให้จวนอู่โหวของเราเดือนร้อนไปด้วย”
……
ไม่ว่านายน้อยอู่โหวจะกล่าวเช่นไร หลิวอวี้เอ๋อร์ก็เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา
ขณะที่นายน้อยกำลังอดกลั้นไฟในอก ร้อนใจแทบทนไม่ได้นั้น ในที่สุดหลิวอวี้เอ๋อร์ก็เปิดปากพูด “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกไม่ได้นอนหลับมาหลายวันแล้ว มึนหัวเหลือเกิน ลูกขอพักสักหน่อย แล้วเราค่อยๆ คิดกันนะเจ้าคะ”
ไฟจะลามมาถึงคิ้วอยู่แล้ว นางยังมีจิตใจคิดจะนอนอยู่อีกหรือ นายน้อยอู่โหวแทบอดไม่ได้ที่จะแหวกกะโหลกนาง ดูว่าด้านในมีแต่ขี้เถ้าใช่หรือไม่ เหตุใดจึงไม่รู้จักแยกแยะเรื่องราวบ้าง แต่ก็ไม่กล้าบังคับนางมากเกินไป หากบังคับให้นางพูดอย่างที่ตนอยากให้พูด ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม จึงได้สูดหายใจลึก ครั้งแล้วครั้งเล่า พยักหน้า “ได้ ไปเถิด รอเจ้าตื่นมาแล้ว เราสองพ่อลูกค่อยคุยกัน”
“ลูกขอตัวเจ้าค่ะ!” หลิวอวี้เอ๋อร์ยืนขึ้น พร้อมเดินออกไป
มองแผ่นหลังของนาง คิ้วของนายน้อยอู่โหวขมวดปม หวังว่าตอนนี้ท่านอ๋องจะยังไม่ส่งคนมาเร่งเร้า
หลิวอวี้เอ๋อร์กลับห้องไป นอนไปทั้งชุด นอนเงยหน้า มองเพดานด้วยสายตาแน่นิ่ง คำของนายน้อยอู่โหวดังขึ้นในหัวของนางครั้งแล้วครั้งเล่า นางคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อแท้ๆ ของตนจะพูดอะไรเช่นนั้นออกมา
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ความง่วงเข้าจู่โจม หลิวอวี้เอ๋อร์ปิดตาลง หลับสนิทไป
นายน้อยอู่โหวคิดว่าหลิวอวี้เอ๋อร์นอนหนึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจนพลบค่ำแล้วนางยังคงไม่ตื่นขึ้นมา เมื่อรู้สึกผิดแผกไป จึงได้ไปเคาะประตูเรียกนาง ไม่มีผู้ใดตอบรับ ด้วยความร้อนใจ จึงได้ยกขาขึ้นถีบประตูออก ปัง เสียงดังขึ้นมา ประตูถูกถีบออก เถ้าแก่และแขกเหรื่อด้านล่างตกใจเสียงนั้น ต่างเงยหน้าขึ้นมามอง ภายในห้องไม่มีสิ่งใด
นายน้อยอู่โหวเดินสาวเท้ายาวเดินเข้าไปด้านใน
หลิวอวี้เอ๋อร์นอนอยู่บนเตียง ตาปิดสนิท หน้าแดงเล็กน้อย ทั้งร่างกายยังสั่นเทา
นายน้อยอู่โหวใช้มือทาบลงบนหน้าผากของนาง รู้สึกว่าหน้าผากร้อนเหลือเกิน จึงได้ตะโกนสั่งเสียงดังว่า “ให้เถ้าแก่ไปเรียกหมอมาที อวี้เอ๋อร์ป่วย”
ลูกน้องส่งต่อคำสั่ง เถ้าแก่รีบสั่งให้คนงานไปเรียกมาจับชีพจร สั่งยา จัดยา ต้มยา เมื่อทำทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม สีท้องฟ้าด้านนอกมืดลงทุกที
เมื่อดื่มยาแล้ว สีแดงบนใบหน้าของหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ได้หายไป บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดออกมา
นายน้อยอู่โหวไม่สะดวกดูแลนาง จึงได้โยนเงินจำนวนหนึ่งให้เถ้าแก่ รบกวนเขาไปหาผู้หญิงมาดูแล
งานง่ายเช่นนี้ จะเอาเปรียบผู้อื่นมิได้ เถ้าแก่จึงได้สั่งให้ภรรยาของตนมาดูแลหลิวอวี้เอ๋อร์
เงยหน้ามองฟ้าด้านนอก คุณชายสั่งคนเฝ้าหน้าห้องหลิวอวี้เอ๋อร์ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้รีบรายงานเขาทันที ส่วนเขาไปยังโรงเตี๊ยมที่อ๋องฉีพักอยู่ รายงานเรื่องทั้งหมด เอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “ท่านอ๋องขอรับ ลูกสาวข้าล้มป่วยไป เรื่องพยานบุคคลของท่าน…”
“ร่างกายของแม่นางหลิวสำคัญ เรื่องพยานไม่รีบร้อน เมื่อใดที่นางหายดีแล้ว จึงค่อยให้เมิ่งชิงเริ่มการสอบปากคำ”
นายน้อยอู่โหวกลัวก็แต่อ๋องฉีจะคิดว่าลูกสาวตนแกล้งป่วย เมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงได้วางใจ กลับโรงเตี๊ยมไป
เป็นเวลาสองวัน หลิวอวี้เอ๋อร์ไข้สูงไม่ลด หมอเองก็จนปัญญา จึงพูดตามตรงให้นายน้อยอู่โหวไปเชิญหมอเก่งมาจากที่อื่น แล้วรีบรักษาอาหารของหลิวอวี้เอ๋อร์
นายน้อยอู่โหวสั่งให้เถ้าแก่ไปหาหมอมาจากที่อื่น ใช้เวลาไปอีกวัน ยังคงไม่เห็นผล เมื่อจนปัญญา ทำได้เพียงแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเมิ่งเชี่ยนโยว “ซื่อจื่อเฟยขอรับ ข้าน้อยรู้ว่าฝีมือท่านเก่งกาจ ช่วยไปดูไข้ลูกสาวข้าน้อยได้หรือไม่ขอรับ”
บัดนั้นหลิวอวี้เอ๋อร์ทำร้ายหวงฝู่เย่าเย่ว์ เกือบต้องพรากชีวิตของหวงฝู่เย่าเย่ว์ไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้บังคับให้นายน้อยอู่โหวส่งนางมา คิดไม่ถึงว่าครานี้นางก็เกือบทำให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่พร้อมด้วยลูกทั้งสองของตนต้องตาย เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น ไม่ให้คิดแค้นเรื่องที่ผ่านมา นางทำไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เอ่ยว่า “ที่แม่นางหลิวเป็นไข้ ส่วนมากเป็นเพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ท่านบอกสาเหตุกับหมอ พวกเขาจะรู้เองว่าควรจัดยาเช่นไร”
เห็นชัดว่าไม่ยินดี นายน้อยอู่โหวไม่กล้าขอร้องต่อ ทำได้เพียงกลับโรงเตี๊ยมมาบอกหมอ หมอจัดยาให้ใหม่ เมื่อต้มเสร็จแล้วจึงให้หลิวอวี้เอ๋อร์กิน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หน้าผากของหลิวอวี้เอ๋อร์เริ่มมีเหงื่อผุดออกมา
หมอดีใจยิ่ง นายน้อยอู่โหวโล่งใจ
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ไข้สูงของหลิวอวี้เอ๋อร์หายไป นางค่อยๆ เปิดตาออกมา เห็นสีหน้าร้อนใจของนายน้อยอู่โหว ถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านพ่อ ข้าเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
“เจ้าได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ ไข้สูงไม่ลด นอนไปสามวันแล้ว”
นายน้อยอู่โหวดีใจเสียจนเกือบร้องไห้ออกมา พูดออกมาด้วยเสียงติดขัด
ความกังวลของเขาได้เผยออกมาบนใบหน้าแล้ว หลิวอวี้เอ๋อร์ซึ้งใจเหลือเกิน “ลูกช่างอกตัญญูเหลือเกินเจ้าค่ะ ที่ทำให้ท่านพ่อต้องเป็นกังวล”
“ฟื้นแล้วก็ดี ฟื้นแล้วก็ดี เจ้าพักผ่อนให้ดี ดูแลร่างกายให้หาย มีเรื่องอะไรรอเจ้าหายดีก่อนค่อยว่ากัน” สีหน้าของนายน้อยอู่โหวเต็มไปด้วยความรัก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้า
มียาของเมิ่งเชี่ยนโยว ท่าป๋าหั่นหลินพักมาหลายวัน ร่างกายดีขึ้นไม่น้อย ไม่บอกไม่กล่าวอ๋องฉีสักคำจู่ๆ ก็หายตัวไป
เมื่ออ๋องฉีทราบเรื่องเข้า ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อก่อนได้แต่ดูแลสุขภาพของเขา ไม่ได้ถามว่าเหตุใดจึงได้มาบังเอิญพบเขาที่เจียงหนานได้ บัดนี้เขาหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหนียมอาย หรือเพราะว่าไม่ต้องการฟังพวกเขาพูดข้อความซึ้งใจ
ทุกคนเข้าสู่ความเงียบ มีเพียงหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่งเหงื่อผุดอยู่บนเก้าอี้ ในมือกำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้แน่น เป็นกระดาษที่ท่าป๋าแอบสอดให้นางตอนที่เดินสวนกัน
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดแปลกนี้
รอกระทั่งหวงฝู่สือเมื่งไปยังห้องพระชายา นางอ้างว่าต้องการดื่มน้ำอยู่ในห้อง จึงได้เปิดอ่าน เขียนด้านในว่า ‘ข้ารอท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์มาแสนนาน หาเวลาที่เหมาะสมเพื่อสารภาพรักไม่ได้ หากท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์มีใจให้ข้า เช้าวันพรุ่ง โปรดมาเจอข้าที่โรงน้ำชาที่หัวมุมเถิด’
เมื่ออ่านจบ ใบหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์แดงขึ้น เงยหน้า มองหน้าประตูด้วยสายตารู้สึกผิด พับกระดาษด้วยความรวดเร็ว สอดใส่ในชายเสื้อของตนเอง
นางนอนพลิกตัวไปมาทั้งคืนไม่สามารถนอนหลับสนิท วันที่สองตื่นขึ้นมา รอบดวงตานางเขียวช้ำ หวงฝู่สือเมิ่งเห็นดังนั้น จึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้านอนไม่หลับหรือ นอนต่ออีกดีหรือไม่”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า “ไม่เป็นไร พี่ใหญ่ ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ตื่นขึ้นมาหมดแล้ว พวกเราล้างหน้าล้างตาและลงไปกินอาหารพร้อมพวกท่านเถิด”
“เช่นนั้นก็ดี กินข้าวเสร็จเจ้าค่อยกลับมานอนต่ออีกครู่”
หลังกินข้าวเสร็จ หวงฝู่สือเมิ่งอยู่ในห้องพระชายา เพื่อคุยเป็นเพื่อนนางกับเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับห้องมาผู้เดียว นั่งไม่ติดเลยไปเดินมาภายในห้อง เงยหน้ามองฟ้าเป็นระยะ
รอถึงเวลาสาย จึงกัดฟัน เปิดประตูอย่างเบามือ แอบมองออกไปด้านนอก ไม่มีผู้ใดเฝ้าหน้าประตู จึงได้ลงไปด้านล่าง ออกจากโรงเตี๊ยมไป ยกชายกระโปรงเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว นางต้องรีบไปรีบกลับ เพื่อไม่ให้พี่ใหญ่กลับมาเห็นนางไม่อยู่ในห้อง หากถามขึ้นมา นางคงไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร
สายตามองเห็นหัวมุมถนนอยู่ไม่ไกล ใจของนางเต้นแรงมาก ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้น หรือเพราะความกลัว ปล่อยชายกระโปรงลง ฝีเท้าก็ช้าลงด้วย
ยิ่งเดินไปด้านหน้า ยิ่งใกล้กับโรงน้ำชามากขึ้น นางเห็นป้ายร้านแล้ว หยุดฝีเท้าลง กัดปาก ยืนอยู่ที่เดิม
ท่าป๋าหั่นหลินรอนางอยู่ที่ชั้นสองของโรงน้ำชา มองตรงมาที่โรงเตี๊ยมเสมอ หวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมาจากโรงเตี๊ยม เขาก็เห็นแล้ว มุมปากเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา การสั่งสอนของจวนอ๋องฉีก็เพียงเท่านี้เอง ดูเข้าสิ แค่กระดาษใบเดียวของเขา นางก็ออกมาพบเขาโดยไม่กลัวความอับอาย
ยิ่งแล้วเมื่อเห็นนางเดินมาด้วยความรวดเร็ว ความแคลนในใจยิ่งมีมากขึ้น รอยยิ้มหยันแสยะกว้างกว่าเดิม นั่งพิงระเบียงของชั้นสองอย่างสบายใจ รอการมาถึงของหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างใจเย็น
เมื่อเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดกะทันหัน รอยยิ้มของเขาแข็งทื่อไป ร่างกายยืดตรง คิ้วขมวดปม ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงหยุดลง เมื่อเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เดินต่อ ซ้ำยังหันหลังเดินกลับไป เขาชะงักไปทันที
เมื่อร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์ลับตาไปในโรงเตี๊ยม จึงได้หันมาช้าๆ ถามคนของตนว่า “เหตุใดนางจึงกลับไป”
ลูกน้องไม่เข้าใจ ตอบคำถามของเขาไม่ได้
หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับโรงเตี๊ยมมา รีบวิ่งกลับเข้าห้อง ปิดประตูลง ร่างพิงประตู ใจเต้นแรง วันนี้นางเกือบทำผิดพลาดไปแล้ว กล้าลักลอบพบกับชายหนุ่ม หากเรื่องนี้แพร่ออกไป นางไม่เพียงเสียชื่อเสียง แต่ชื่อเสียงของจวนอ๋องก็คงต้องสูญสิ้นเพราะนาง โชคดี โชคดี ที่นางคิดได้ก่อน ไม่ได้ทำผิดลงไป มิเช่นนั้น ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และท่านแม่คงต้องเสียใจเป็นแน่
สูดหายใจลึก ให้ตนเองสงบลง ผละจากประตู นั่งลงบนตั่ง หยิบกระดาษออกมาจากชายเสื้อของตน จ้องมองแสนนาน จึงได้ตัดสินใจ ยืนขึ้น ไปยังห้องของพระชายา
เมื่อเห็นนางเข้ามา พระชายาจึงได้ยิ้มและถามว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เม้มปาก ไม่ได้ตอบคำถาม
รอยยิ้มของพระชายาหายไป ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่สือเมิ่งมองนาง
“ท่านย่าเจ้าคะ ท่านแม่ ข้าเกือบทำผิดลงไปแล้ว” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดตามตรง
“เด็กคนนี้ เป็นอะไรไป พอตื่นขึ้นมาก็พูดจาเช่นนี้” พระชายายิ้มออกมาอีกครั้ง หัวเราะพร้อมถาม
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินเข้ามา นำกระดาษในมือมอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว “ท่านแม่ ท่านอ่านนี่ดูเจ้าค่ะ”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 102 เลือกเงินหรือ...
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เปิดอ่านเนื้อหาด้านใน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นำกระดาษส่งให้พระชายาโดยไม่กล่าวอะไร เงยหน้าถามหวงฝู่เย่าเย่ว์ “เจ้าไปพบเขาแล้วอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า จากนั้นส่ายหน้า “ข้าออกไปแล้ว แต่ยังไม่ถึงโรงน้ำชา ข้าคิดว่าไม่เหมาะสม จึงได้กลับมาเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น ลูบหัวนาง “เย่ว์เอ๋อร์ทำดีมากลูก เจ้ามิต้องเป็นกังวลไป เรื่องนี้ให้พ่อกับแม่จัดการเอง”
หวงฝู่เย่าเย่ว์อ้าปากเล็กน้อย ต้องการพูดบางอย่าง “ข้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าอยู่ห้องข้างๆ เป็นเพื่อนเย่ว์เอ๋อร์”
หวงฝู่สือเมิ่งรับคำ ยืนขึ้น สิ่งที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ตั้งใจจะพูดจึงได้ถูกกลืนไป หันหลังเดินตามหวงฝู่สือเมิ่งกลับห้องของตนไปเงียบๆ
พระชายากำกระดาษในมือ ใจอยากจะขยำให้เละ “ไปเรียกเสด็จพ่อและเซวียนเอ๋อร์มา พวกเราต้องคุยเรื่องนี้กัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกทั้งสองเข้ามา
พระชายายื่นกระดาษให้อ๋องฉี
อ๋องฉีอ่านจบ สีหน้าเคียดแค้นถึงที่สุด
หวงฝู่อี้เซวียนอ่านจบ ไม่ได้กล่าวอะไร ยืนขึ้นเดินออกไปด้านนอก
“อี้เซวียน ข้าจะไปกับเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายของเขา พูดพร้อมเดินออกไปด้านนอก
“พวกเจ้าทั้งสองหยุดเดี๋ยวนี้!” อ๋องฉีเรียกทั้งสอง
ทั้งสองหยุดฝีเท้าลง หันกลับมา
อ๋องฉียืนขึ้นแล้ว ยื่นมือไปให้พระชายา “พวกเราทั้งสองไปเอง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเรา ให้พวกเราไปจัดการเองดีกว่า”
“เสด็จพ่อ ข้าและโยวเอ๋อร์ไปเอง ครานี้ต้องสู้กันจนถึงจุดที่พวกมันจะไม่กล้าเข้ามาเหยียบรัฐอู่อีกแม้แต่ครึ่งก้าว” ไฟในใจของหวงฝู่อี้เซวียนลุกโชนขึ้น มือกำมัดแน่น ท่าป๋ามีบุญคุณกับเรา พวกเราจำใส่ใจ หากภายหน้ามีโอกาสจะต้องตอบแทน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขามีความหมายอื่นแฝง ใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้หลอกล่อลูกสาวของตน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตนรับไม่ได้ที่จะให้ลูกสาวออกเรือนไปที่ไกลเช่นนั้น เพียงแค่ท่าป๋าเป็นถึงฮ่องเต้แห่งรัฐ ทราบดีว่าทำเช่นนี้จะทำลายชื่อเสียงของเย่ว์เอ๋อร์ได้ แต่กลับยังทำ เห็นชัดว่าใจคิดไม่ซื่อ ไม่ได้คิดถึงชื่อเสียงของเย่ว์แม้แต่น้อย
“อย่างไรเสียเขาก็มีบุญคุณกับเรา หากเราทำเช่นนี้กับเขา จะถูกผู้อื่นวิจารณ์เอาได้ พวกเจ้าอย่าสนใจ ข้ากับแม่ของเจ้าจะไปคุยกับเขาดีๆ เจรจาก่อนลงมือ หากไม่ได้ พวกเจ้าออกหน้าใช้กำลัง พ่อจะไม่เข้าไปยุ่ง”
พระชายาเห็นด้วย “เสด็จพ่อของเจ้าพูดถูก ไม่ว่าเขาจะมีเป้าหมายใดในตอนแรก ใช้คนไปเท่าใด แต่เรื่องที่เขาช่วยเรานั้นเป็นเรื่องจริง บุญคุณช่วยชีวิตลบล้างกันมิได้”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา พาพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยม ยืนอยู่ที่เดิม มองทั้งสองเดินไปยังโรงน้ำชา
ท่าป๋าหั่นหลินยังคงจมอยู่กับความตกใจที่หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินกลับไป ยังไม่ได้สติกลับคืนมา ลูกน้องของเขาเห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้รีบเตือนเขา “เจ้านายขอรับ อ๋องฉีและพระชายามาแล้วขอรับ มาหาเรื่องพวกเราใช่หรือไม่ขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับไป อ๋องฉีเดินมา ไม่ต้องคิด ก็รู้ได้ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์บอกพวกเขาแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ไปแอบ พวกเขาก็คงต้องตามหาทั้งเมือง นอกเสียจากตนจะกลับรัฐอิงไป มิเช่นนั้นไม่นานก็คงถูกพวกเขาจับได้ ถึงตอนนั้นอย่างไรก็ต้องเจรจากัน ท่าป๋าหั่นหลินมองดูอ๋องฉีและพระชายาค่อยๆ เดินเข้ามา กลับไปนั่งท่าสบายดังเดิม นั่งลงบนตั่ง สั่งว่า “ลงไป ไปรับทั้งสองท่านขึ้นมา ข้าจักดูว่า พวกเขาจะทำอะไร”
ลูกน้องรับคำ เดินลงไปด้านล่างด้วยความรวดเร็ว เมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตูโรงน้ำชา จึงได้เรียนเชิญทั้งสองขึ้นไปชั้นสองด้วยความนอบน้อม
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าพวกเขาเดินขึ้นมา ท่าป๋าหั่นหลินยืนขึ้น เก็บสีหน้าสบายใจของตน เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคารพ “ท่านอ๋อง พระชายามาหาท่าป๋าถึงที่ มีเรื่องอะไรหรือขอรับ”
เพียะ! อ๋องฉีวางกระดาษลงบนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
แววตาของท่าป๋าหั่นหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “ใจของท่าป๋า ได้แสดงชัดเจนไปแล้วเมื่อครั้งได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทรัฐอู่ เพียงแต่ท่านอ๋องมิเต็มใจ ข้าจึงได้วางแผนนี้ ขอท่านอ๋องได้โปรดอภัยด้วย”
อ๋องฉีมองเขาด้วยแววตาเฉียบคม ขณะที่ท่าป๋าหั่นหลินคิดว่าเขากำลังจะลงมือนั้น อ๋องฉีหยิบกริชออกมาจากชายเสื้อของตน วางบนโต๊ะ “เจ้ามีบุญคุณกับเรา ข้าหวงฝู่จิ้งจำใส่ใจ แต่หากเจ้าต้องการสู่ขอหลานสาวของข้านั้นคงมิได้ วันนี้ข้าทั้งสองต้องการชดใช้บุญคุณครั้งนี้ให้เจ้า เจ้าต้องการเงิน หรือต้องการชีวิตพวกเรา เลือกมาอย่างหนึ่งเถอะ”
ท่าป๋าหั่นหลินชะงักไป มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านอ๋อง ท่าน…”
“หากต้องการเงิน เจ้าว่ามาเลย ไม่ว่าจำนวนเท่าใด ข้าอ๋องฉีจะหามาให้เจ้า หากต้องการชีวิต วันนี้ข้าจะชดใช้ให้เจ้า ภายหน้าเจ้าและพวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
คำเหล่านี้พูดออกมาอย่างหนักแน่น สงบ ไร้ซึ่งความลังเล
พระชายายืนนิ่งอยู่ข้างเขาไม่พูดอะไร แต่จากสีหน้าของนางสามารถมองออกว่า นางเห็นด้วยกับการกระทำของเขา
ท่าป๋าหั่นหลินงุนงง เงิน? ข้าเป็นถึงกษัตริย์แห่งรัฐ มีมากมายนัก ส่วนชีวิตของทั้งสองคน ข้าไม่กล้าเอามา หากเข้าปลิดชีวิตทั้งสอง ใช้เวลาไม่ถึงเดือน เกรงว่าโลกใบนี้คงจะไม่มีรัฐที่ชื่อว่ารัฐอิงหลงเหลืออยู่อีกต่อไป แต่หากไม่สามารถเสนอเงื่อนไขได้ วันนี้ก็คงออกจากโรงน้ำชาไปไม่ได้ บัดนี้ เขารู้ตัวแล้ว ว่าตนได้ทำความผิดมหันต์ลงไป เขาไม่ควรใช้วิธีเช่นนี้เลย
เขาเงียบไม่พูดจา อ๋องฉีไม่เร่งเร้า ยืนรอที่เดิม รอคำตอบจากเขา
นานแสนนาน ท่าป๋าหั่นหลินโน้มเอวลงเล็กน้อย ท่าทีจริงใจ น้ำเสียงจริงจัง “ท่านอ๋อง พระชายา เป็นความผิดของท่าป๋าเอง บัดนี้ท่าป๋าให้สัญญากับพวกท่าน ว่าต่อจากนี้จะไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ขอท่านทั้งสองได้โปรดอภัยด้วย”
อ๋องฉีไม่พูดไม่จา ไม่พูดว่าดีหรือไม่ดี
ท่าป๋าคิดเล็กน้อย จึงได้พูดต่อว่า “ท่านอ๋องวางใจเถิดขอรับ นับจากวันนี้ไป ท่าป๋าจะกลับรัฐอิงทันที จากนี้จะไม่เข้ามารัฐอู่โดยพลการอีก ส่วนท่านหญิงน้อยเย่ว์เอ๋อร์ รอให้ถึงเวลาเสียก่อนแล้วข้าค่อยมาสู่ขอ หวังว่าถึงตอนนั้นท่านอ๋องจะไม่ห้ามปราม”
ห้องส่วนตัวเงียบสงัด
ครู่ใหญ่ อ๋องฉีจึงได้เอ่ยขึ้น “จวนอ๋องของเรามิเคยหวังให้เย่ว์เอ๋อร์ออกเรือนไปไกล แต่ว่าเจ้าเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตเรา ข้าจะให้โอกาสเจ้า รอเย่ว์เอ๋อร์พร้อมแล้ว เจ้ามาสู่ขอ หากนางตกลง พวกเราจะไม่เข้าไปยุ่ง”
อ๋องฉีถอยจนถึงที่สุดแล้ว ท่านหญิงน้อยของอ๋องฉีนับได้ว่าเป็นแก้วตาดวงใจของทั้งตระกูลเรื่องนี้ท่าป๋าหั่นหลินส่งคนมาสืบแล้ว รู้ดีว่าหลังพวกนางโตขึ้น ไม่มีทางได้ออกเรือนไปไกลเป็นแน่ จึงได้คิดหาวิธีติดตามพวกเขา หาโอกาสเข้าใกล้หวงฝู่เย่าเย่ว์ บัดนี้ได้การรับรองจากอ๋องฉีแล้ว เขามิจำเป็นต้องคิดหาวิธีเข้าใกล้หวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว เพียงแต่รอให้นางพร้อมก่อน ตนค่อยมาใหม่ก็พอ และตอนนี้ห่างจากเวลาที่นางจะครบอายุแต่งงานได้อีกเพียงสองปีเท่านั้น สองปีจากนี้ เรื่องในรัฐสงบแล้ว เขาก็มีเวลาเดินทางไปมาระหว่างรัฐอู่และรัฐอิงแล้ว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จึงได้โน้มเอวลงต่ำกว่าเดิม แสดงความขอบคุณจากใจจริง “ขอขอบพระคุณท่านอ๋องที่มอบโอกาสนี้ให้ข้า เช่นนั้นวันนี้ข้าจะขอกลับรัฐอิงไป ขอให้เรื่องที่ท่านอ๋องจะทำต่อไปราบรื่นขอรับ”
“เดินทางปลอดภัย!”
ท่าป๋าหั่นหลินขอบคุณ พาลูกน้องเดินลงจากโรงน้ำชา เดินตรงไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก
อ๋องฉียืนอยู่ที่เดิม มองดูร่างของเขาหายลับตาไป จึงได้เก็บสายตาลง เก็บกริช หยิบกระดาษขึ้นมา หลังใช้กำลังภายในบีบทำลายจนป่นปี้แล้ว จึงได้กล่าวกับพระชายาว่า “ไปกันเถิด พวกเรากลับกัน”
เมื่อเห็นท่าป๋าหั่นหลินออกจากโรงน้ำชาไป หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้เข้ามา พยุงทั้งสองกลับโรงเตี๊ยมไปโดยไม่ได้ถามอะไร
ผ่านไปอีกสองวัน อาการป่วยของหลิวอวี้เอ๋อร์ดีขึ้นมาก นายน้อยอู่โหวอดทน นำข้อดีข้อเสียของเรื่องบอกนางรอบแล้วรอบเล่า บอกนางว่า หากนางไม่พูดอย่างที่ตนบอก จวนอู่โหวจะต้องจบสิ้น นางเองก็จะสูญเสียฐานะที่มีอยู่บัดนี้ อย่างดีก็พอมีพอกิน พอใช้ชีวิตได้ แต่หากแย่ที่สุดไม่แน่ว่าทั้งครอบครัวอาจถูกจับขังคุก ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดไป
เขาพูดให้ดูร้ายแรง นางฟังแล้วก็กลัว ไม่ว่าจะอย่างใด ล้วนแต่เป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการ นางคุ้นชินแล้วกับชีวิตเหนือผู้อื่น ไม่ต้องการติดคุก โดยเฉพาะเพิ่งออกมาจากคุกได้ไม่กี่วัน ภายในเป็นดั่งฝันร้าย นางไม่ลังเลอีกต่อไป พยักหน้าตอบรับ “ข้าเชื่อฟังท่านพ่อทุกอย่างเจ้าค่ะ ท่านพ่อให้ข้าว่าอย่างไร ข้าจะว่าเช่นนั้น”
น้อยน้อยอู่โหวพอใจ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม ถามด้วยความเป็นห่วงสองสามคำ จากนั้นออกจากโรงเตี๊ยมไปด้วยความรีบร้อน เพื่อมารายงานท่านอ๋อง
หลิวอวี้เอ๋อร์ให้การ บัดนี้ไม่ยากแล้ว เมิ่งชิงจึงได้เปิดการพิพากษาเรื่องนี้ทันที
ฮั่วเจี่ยถูกนำตัวออกมา เวลาไม่กี่วัน เขาดูแก่ลงไปหลายสิบปี แต่ยังคงยืนยันไม่ยอมรับผิด บอกว่าทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของฮั่วต้า ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตน กระทั่งหลิวอวี้เอ๋อร์ปรากฏกายขึ้นที่ที่ว่าการ เขาจึงได้ทนไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อได้ยินหลิวอวี้เอ๋อร์เล่าถึงตั้งแต่เรื่องที่พบท่านอ๋องบนสะพานอย่างละเอียด กระทั่งสีหน้าของพวกเขาขณะวางแผนยังเล่าออกมาได้ละเอียดชัดเจน ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย จึงโกรธจนกระอักเลือดออกมา ร่างกายสั่นสะท้าน “เจ้าคนอกตัญญู เจ้ากล้า เจ้ากล้า…”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนจะเลี้ยงสุนัขจิ้งจอกไว้กับตัว ตนและฮูหยินรักนางถึงเช่นนั้น รักยิ่งกว่าหลานแซ่ฮั่วของตนเสียอีก เพื่อแก้แค้นแทนนาง จึงได้วางแผนทั้งหมดออกมา คิดไม่ถึงว่านางไม่เพียงไม่ขอบคุณ แต่กลับเป็นเหมือนพ่อ ที่ลืมบุญคุณคน แทงข้างหลังเขา เช่นนี้จะไม่ให้กระอักเลือด โกรธมากได้อย่างไร
เมื่อหลิวอวี้เอ๋อร์เข้ามาในที่ว่าการ เห็นท่าทางของเขา ในใจก็เจ็บปวดไม่น้อย แต่หากเทียบกับที่ตนต้องเข้าคุกแล้ว ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน จึงได้สูดหายใจลึก เอ่ยว่า “ท่านตา อวี้เอ๋อร์ยังเล็กนัก ไม่มีปัญญาพิจารณาปัญหา หากตอนนั้นท่านห้ามปรามข้า บางทีข้าอาจปล่อยวางได้ คงไม่ต้องถูกคนจับตัวไปในภายหลัง แต่ท่านมิได้ทำเช่นนั้น แต่ท่านกลับใช้เรื่องนี้ข่มขู่ท่านเจ้าเมือง เข่นฆ่าผู้คน วางแผนฆ่าครอบครัวท่านอ๋อง ได้โปรดอภัยที่อวี้เอ๋อร์มิได้เห็นควรกับสิ่งที่ท่านทำ แต่เลือกสิ่งที่ถูกต้อง ถือว่าได้จัดการกับความอันตรายให้กับชาวบ้านในเจียงหนานนะเจ้าคะ”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 103 ความคิดอันไร้...
หลังจากฮั่วเจี่ยได้ยิน ตะคอกเสียงดังออกมาทันทีว่า “เจ้า…” เลือดพุ่งออกมาจากปาก ร่างกายโน้มตัวลงไปข้างหน้า เสียงล้ม ตุ้บ กระแทกลงบนพื้นทันที หลังจากดิ้นรนไม่กี่ที ก็เพ่งมองหลิวอวี้เอ๋อร์ด้วยตาโต กลืนลมหายใจสุดท้ายลงไป
ทุกคนต่างตกใจกับภาพนี้ จนไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะ
กรี้ด… หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความตกใจ รีบล้มลุกคลุกคลานไปที่ๆ นายน้อยอู่โหวนั่งอยู่ทันที หลบอยู่หลังเก้าอี้ของเขาด้วยความสั่นกลัว
ทุกคนตื่นตกใจขึ้นมา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก้าวออกมา ยื่นมือสั่นๆ ออกไปพิสูจน์ลมหายใจที่จมูกของฮั่วเจี่ย ไม่มีลมหายใจแม้แต่น้อย ลุกขึ้นยืน แล้วรายงานด้วยความเคารพว่า “ใต้เท้า ฮั่วเจี่ย เสียชีวิตแล้วขอรับ”
มองดูท่าทางนอนตายตาไม่หลับของฮั่วเจี่ยแล้ว ในใจของเมิ่งชิงก็เกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา แต่ว่า เสียชีวิตเยี่ยงนี้ ก็ถือว่าหมดสิ้นกันไป ดีกว่าเห็นภาพทุกคนในครอบครัวถูกประหารชีวิต โบกมือ สั่งว่า “ลากไปที่เรือนจำ ให้คนตระกูลฮั่วดู หลังจากนั้นก็โยนไปที่สุสานรวมให้สุนัขกิน”
เจ้าหน้าที่รับคำสั่ง ลากคนออกไป มุมปากของฮั่วเจี่ยยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด จนเต็มบนพื้นไปหมด
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเยี่ยงนี้ รับไม่ได้ไปชั่วขณะนึง ตะโกนร้องเสียงดังออกมา แล้วสลบไปทันที
นายน้อยอู่โหวรีบก้มตัวอุ้มนางขึ้นมาทันที รีบสั่งอย่างร้อนใจว่า “เร็ว ไปเรียกหมอมา”
พูดจบ ก็รีบอุ้มคนออกจากที่ทำการแล้วกลับโรงเตี๊ยมทันที
คำสารภาพทุกอย่างได้ถูกรวบรวมไว้ทั้งหมดแล้ว หลังจากเมิ่งชิงและท่านอ๋องฉีปรึกษาหารือกันแล้ว หลังจากนั้นหนึ่งวัน ก็ประกาศคำพิพากษา ฮั่วเจี่ยได้เสียชีวิตแล้ว ส่วนคนที่เหลือก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ แต่ตอนที่อยู่เจียงหนานพวกเขาก็ได้ช่วยครอบครัวฮั่วทำเรื่องเลวร้ายไว้ไม่น้อย ฉะนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง ก็ถูกเนรเทศไปที่ชายแดนทุกคน ไม่ได้กลับมาอีกตลอดชีวิต
ในขณะที่เห็นภาพนอนตายตาไม่หลับของฮั่วเจี่ยนั้น เหล่าฮูหยินฮั่วก็รับไม่ไหว สลบไปทันที สลบไปหนึ่งวัน เพิ่งจะตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินจุดจบของคนตระกูลฮั่ว หายใจไม่ออก คอพับ แล้วเสียชีวิตในเรือนจำทันที
คนตระกูลฮั่วต่างร้องไห้คร่ำครวญ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการเสียชีวิตพร้อมกันของฮั่วเจี่ยและเหล่าฮูหยินฮั่ว หรือเพราะการเริ่มต้นชีวิตที่ยากลำบากของพวกเขาต่อจากนี้
ส่วนจูจือหมิง เมิ่งชิงสั่งให้คุมตัวกลับเมืองหลวง ฟังคำสั่งจากฮ่องเต้ ส่วนคนอื่น ไม่ถูกติดพัน ไล่ออกจากที่ทำการ ไม่สืบสาวราวเรื่องอีก
นี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุด หลังจากจูจือหมิงรับรู้แล้ว ก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ คำนับไปทางโรงเตี๊ยมหลายครั้ง “ขอบพระคุณในความใจกว้างของท่านอ๋องฉี ชาติหน้าจูจือหมิงจะเป็นวัวเป็นควายตอบแทนท่าน”
พูดจบ ก็ฉวยโอกาสตอนที่ผู้คุมไม่สังเกต เอาศีรษะกระแทกบนกำแพงในเรือนจำทันที กระโหลกศีรษะแตกเนื้อสมองไหลออกมา หมดลมหายใจทันที
หลังจากท่านอ๋องฉีได้ยินรายงาน ก็เงียบไปชั่วครู่ แล้วสั่งว่า “เอาเสื่อฟางหนึ่งผืน พันตัวไว้ แล้วโยนไปด้านนอกเมือง ให้ครอบครัวเขาเก็บศพเถิด”
เจ้าหน้าที่ทำตามคำสั่ง นำศพของจูจือหมิงโยนออกไปนอกเมือง ฮูหยินจูพาลูกชายสองคนกับลูกสาวอีกหนึ่งคน ร้องไห้จนตาบวม คลุมร่างทั้งร่างของเขา แล้ววางลงบนรถม้า แขวนผ้าขาวไว้ตลอดทางแล้วกลับบ้านเกิดของจูจือหมิง
ได้ยินจุดจบของครอบครัวตระกูลฮั่ว ประชาชนที่เจียงหนานต่างปรบมือโห่ร้องดีใจ ต่างพูดถึงความรวดเร็วและเฉียบขาดของขุนนาง จัดการได้อย่างเฉียบขาด คืนความสงบและสันติสุขให้กับพวกเขา
จัดการเรื่องราวเสร็จแล้ว ครอบครัวท่านอ๋องฉีและเมิ่งชิงเตรียมตัวกลับเมืองหลวง
แต่นายน้อยอู่โหวกลับร้อนใจเป็นอย่างมาก หลังจากหลิวอวี้เอ๋อร์สลบไปวันนั้น ก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ตอนแรกเขาคิดว่าจะกลับเมืองหลวงพร้อมกับครอบครัวของท่านอ๋องฉี ระหว่างทางจะได้มีคนดูแล แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตั้งแต่หลิวอวี้เอ๋อร์สลบไปวันนั้นก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย แม้ว่าเขาอยากจะกลับแต่ก็กลับไม่ได้ ได้แต่มองดูครอบครัวท่านอ๋องฉีทั้งครอบครัวและเมิ่งชิงอยู่ภายใต้การดูแลขององครักษ์สามร้อยนาย เดินตรงไปทางเมืองหลวง ส่วนเขาได้แต่กลับโรงเตี๊ยมอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาไม่รู้ว่าในขณะที่เขาหันหลังกลับไปที่โรงเตี๊ยม มีคนหนึ่งเดินออกมาจากหัวมุมอันไกล เพ่งมองหลังของเขา ข้างหลังมีคนที่แต่งตัวเป็นผู้ติดตามสามคน ผู้นี้ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นท่าป๋าหั่นหลินที่สัญญากับท่านอ๋องฉีว่าจะเดินทางกลับรัฐอิงทันที
วันนั้นท่าป๋าหั่นหลินออกจากโรงน้ำชา ตั้งใจจะกลับรัฐอิงจริงๆ ส่งสัญญาณลับให้ลูกน้องอีกสองคนมาหา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป กลับมาพักที่โรงเตี๊ยมอีกครั้ง
ลูกน้องไม่เข้าใจอย่างมาก ทนไม่ไหวจริงๆ จึงกล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้านาย ยังมีเรื่องสำคัญต้องทำใช่หรือไม่ขอรับ”
“คุณหนูของจวนอู่โหวยังอยู่ในโรงเตี๊ยมใช่หรือไม่”
“น่าจะใช่ขอรับ เห็นว่าป่วย พักอยู่ในโรงเตี๊ยม”
“หาวิธี จับตัวนางมา แล้วเอากลับรัฐอิง”
ลูกน้องตกใจเป็นอย่างมาก “เจ้านาย นี่…”
ยังไม่ต้องพูดว่านำตัวหลิวอวี้เอ๋อร์คนนี้กลับไปแล้วไร้ประโยชน์ แค่พวกเขาสามคนต่อสู้กับคนที่ปกป้องนายน้อยอู่โหวเหล่านั้น ก็ไม่มีโอกาสชนะแล้ว
กลืนน้ำลายลงไป แล้วแสดงความคิดเห็นอย่างระมัดระวังว่า “เจ้านาย หากท่านอยากได้ผู้หญิง หลังจากข้าน้อยกลับไป ข้าน้อยจะนำมาให้ท่านแปดคนสิบคน รับประกันว่าสวยงามกว่านางทุกคน ส่วนเด็กสาวแซ่หลิวคนนั้น ข้าน้อยว่าปล่อยไปเถิด รูปร่างนางไม่ดี สัดส่วนก็ไม่ดี ที่สำคัญคือดูท่าทางแล้วเหมือนยังไม่เข้าสู่วัยสาว แม้ว่าท่านจับตัวกลับไปแล้ว ก็…” พูดถึงนี้ ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าบนใบหน้าก็เข้าใจขึ้นมาทันที กล่าวด้วยท่าทางเข้าใจว่า “เจ้านาย ท่านมีความชอบแปลกๆ ชอบสาวน้อยที่ยังไม่เข้าสู่วัยสาวใช่หรือไม่ขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ใช่ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ใช่ ลูกน้องคิดในใจเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยค
ท่าป๋าหั่นหลินเพิ่งจะดื่มชาเข้าไปหนึ่งคำ ทันทีที่ได้ยินน้ำชาในปากก็พุ่ง พร้วดด ออกมาทันที โดนเต็มตัวลูกน้อง กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “เจ้าพูดอะไร พูดอีกรอบ”
ลูกน้องคิดไปเองว่าเข้าใจถูกแล้ว ใช้มือลูบน้ำชาบนใบหน้า ยืนตรง แล้วกล่าวตอบเสียงดังว่า “ข้าน้อยเข้าใจ จะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”
แก้วชาในมือของท่าป๋าหั่นหลินยังไม่ทันได้วางลง ก็ลุกขึ้นยืนแล้วถีบไปทันทีหนึ่งที ทำให้ลูกน้องสะดุดหนึ่งที “เจ้านี่มัน ดูจากที่ใดว่าข้ามีความชอบแปลกๆ นี้”
“เจ้า เจ้านาย จับ จับตัวนางมา มิ มิใช่…”
ลูกน้องยังไม่ทันกล่าวประโยคติดอ่างจบ ก็ถูกถีบอีกหนึ่งที เจ็บจนเขาแทบร้องออกมา
ลูกน้องอีกสองคนเห็นเยี่ยงนี้ ก็ก้าวถอยหลังพร้อมกันหลายก้าว ตัวเองจะได้ไม่โดนลูกหลง
“ข้าจับตัวนางมาเพราะจะถามเรื่องหวงฝู่เย่าเย่ว์ รู้เขารู้เรา ต่อไปจะได้หาวิธีที่ดีสู่ขอนางได้ เจ้ามันคนไร้สมอง ในนี้มาแต่ขี้เลื่อยใช่หรือไม่”
ท่าป๋าหั่นหลินโมโหมาก กดหัวของลูกน้องและด่าว่าอย่างรุนแรง
ลูกน้องเข้าใจแล้ว ก็ยิ่งไม่กล้าหลบ ปล่อยให้ท่าป๋าหั่นหลินกดหัวตัวเองแรงๆ จนหนังหัวของเขาแทบจะทะลุ เป็นรูใหญ่ๆ ออกมา
กดจนเจ็บนิ้ว ท่าป๋าหั่นหลินก็ยังไม่หายโมโหถีบเขาอีกสองที จึงจะกลับมานั่งบนเก้าอี้ วางแก้วชาลงแรงๆ แล้วตะคอกด่าว่า “เจ้าพวกไร้สมอง ทำให้ข้าโมโหจริงๆ ”
ทั้งสามคนตกใจจนไม่กล้าหายใจ
ในห้องเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงลมหายใจที่ดังของท่าป๋าหั่นหลิน
ผ่านไปสักพักใหญ่ ท่าป๋าหั่นหลินจึงจะควบคุมความโมโหได้ โบกมือ “ภายในสามวัน หากคิดวิธีจับตัวคนมาไม่ได้ พวกเจ้าทุกคน ก็เอาหัวกระแทกกำแพงตายๆ ไปเสีย ข้าจะไม่เห็นไม่อึดอัดใจอีก”
ลูกน้องทั้งสามรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงกัน หันหลังแล้วรีบวิ่งออกไปทันที คนสุดท้ายที่เดินออกไปก็ไม่ลืมที่จะค่อยๆ ปิดประตูเบาๆ
ท่าป๋าหั่นหลินดื่มน้ำหลายแก้วด้วยความโมโห จนความโมโหในใจจึงจะค่อยๆ หายไป
ลูกน้องทั้งสาม ออกจากห้อง เหมือนมีผีไล่ตามมาข้างหลัง รีบวิ่งลงมาชั้นล่าง แล้วพุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมทันที จึงจะหยุดลงพร้อมกัน แล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไป ติดตามเจ้านายมานานหลายปี พวกเขายังไม่เคยเห็นเจ้านายโมโหเยี่ยงนี้มาก่อน มันน่าตกใจกลัวจริงๆ น่ากลัวจนหัวใจของพวกเขาแทบจะทะลุออกมา
นายน้อยอู่โหวยังไม่รู้ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ถูกคนเพ่งเล็ง ตะคอกกับหมอที่มารักษาว่า “เจ้าพวกหมอไร้ฝีมือ สลบไปหลายวันแล้ว คนก็ยังไม่เห็นฟื้นขึ้นมา มีพวกเจ้าไว้เพื่ออะไร”
เถ้าแก่และหมอทุกคนต่างรู้ฐานะของเขา จึงกลัวตัวสั่นงันงก วางมือลง ก้มหัวแล้วปล่อยให้เขาด่าว่า
หากอยู่ที่เมืองหลวง นายน้อยอู่โหวจะต้องสั่งคนให้ลากไปตีแล้ว แต่ว่าตอนนี้ เรื่องของครอบครัวตระกูลฮั่วเพิ่งจะผ่านไป ยังไม่นาน เขาไม่กล้ามีเรื่องให้คนอื่นรับรู้ ทำได้เพียงควบคุมความโมโหไว้ สั่งด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าคิดวิธีใด วันนี้ต้องให้คนฟื้นขึ้นมาให้ได้ ไม่เยี่ยงนั้น ต่อไปพวกเจ้าก็ไม่ต้องรักษาโรคอีก ไปเป็นขอทานเถิด”
ได้อย่างไร หมอทุกคนตกใจจนเหงื่อบนหน้าผากไหลลงมาเรื่อยๆ รีบรวมตัวกัน ปรึกษาหารือกัน จนได้ผลสรุปออกมาว่า โรคของหลิวอวี้เอ๋อร์นั้นเกิดจากการตกใจ หากอยากให้นางฟื้นขึ้นมา จะต้องทำให้นางตกใจ อาจจะฟื้นขึ้นมาได้
พวกเขาก็ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ จึงคิดวิธีแบบนี้ขึ้นมา กล่าวกับท่านอ๋องน้อยด้วยน้ำเสียงติดอ่างและกล้าๆ กลัวๆ
นายน้อยอู่โหวเพ่งมองพวกเขา วางมาดของอู่โหว แล้วกล่าวถามด้วยความน่าเกรงขามว่า “วิธีที่ได้ผล?”
ทุกคนต่างไม่กล้ารับประกัน แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ หลังจากมองหน้าสบตากันแล้ว ก็พยักหน้าหงึกๆ หมอคนหนึ่งที่กล้าเล็กน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ยาที่ควรใช้พวกข้าก็ใช้หมดแล้ว คุณหนูหลิวก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา พวกข้าไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ แม้รู้ว่าไม่มีวิธีใดแล้วแต่ก็ยังมีความหวัง”
พูดจบ รู้สึกว่าตัวเองพูดไม่ถูก ตกใจจน ตึกตัก คุกเข่าลงบนพื้น ใช้มือตบปากตัวเอง “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย”
“พอแล้ว พอแล้ว…” นายน้อยอู่โหวขัดขวางเขาอย่างหงุดหงิด “พูด ทำอย่างไรจึงจะทำให้นางตกใจ”
หมอทุกคนที่ยืนอยู่ต่างมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ย
“พูดเถอะ ไม่เอาโทษพวกเจ้า” มองท่าทางพวกเขาแล้ว นายน้อยอู่โหวขมวดคิ้ว ตะคอกใส่พวกเขา
หมอคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวว่า “ข้า พวกข้าปรึกษาออกมาได้วิธีหนึ่ง ขอร้องนายน้อยอู่โหวฟังแล้วอย่าได้กล่าวโทษพวกข้า”
“พูด!”
หมอกลืนน้ำลายลงไป ทุ่มตัว แล้วกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “พวกข้าอยากให้นายน้อยอู่โหวสั่งให้คนตะโกนว่า จวนอู่โหวได้รับผลกระทบจากฮั่วเจี่ย ทุกคนในจวนถูกเนรเทศไปชายแดน…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกเสียงโมโหของนายน้อยอู่โหวขัดขวางไว้ “เจ้าพูดอะไรไร้สาระ ข้ายังอยู่ดี คนในจวนก็ยังอยู่ดี นี่พวกเจ้ากำลังสาปแช่งจวนอู่โหวของพวกข้า”
ในห้องมีเสียงคุกเข่าลงบนพื้นเสียง ตึกตัก ดังขึ้นติดต่อกัน เสียงร้องขอความเมตตาก็ดังขึ้นมาพร้อมกันว่า “นายน้อยอู่โหวไว้ชีวิตพวกข้าเถิด นายน้อยอู่โหวไว้ชีวิตพวกข้าเถิด”
อดทนอดกลั้นไม่ให้ถีบพวกเขาคนละหนึ่งที นายน้อยอู่โหวกล่าวด้วยความโมโหว่า “พวกเจ้ามันรนหาที่ตายจริงๆ ช่างกล้าหาญจริงๆ จึงกล้าปล่อยข่าวลือเยี่ยงนี้ หากยังรักษาอวี้เอ๋อร์ไม่ได้ ข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้า”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 104 รักษาชีวิต
หมอทุกคนต่างตกใจจนร้องขอความเมตตา
นายน้อยอู่โหวเพ่งมองพวกเขาด้วยสายตาเยือกเย็น “ภายในสองชั่วยาม หากคนไม่ฟื้นขึ้นมา ก็ให้ครอบครัวของพวกเจ้าเตรียมงานศพให้พวกเจ้าเถิด”
ทุกคนต่างครุ่นคิด ปรึกษาหารือกัน จึงคิดวิธีนี้ออกมาได้ ไม่คิดว่าจะทำให้นายน้อยอู่โหวโมโห แล้วแทบเอาชีวิตไม่รอด
เหงื่อเย็นบนตัวของทุกคนค่อยๆ ไหลลงมา ตอนนี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบคุกเข่าล้อมวงกัน ปรึกษาหาวิธีรักษาหลิวอวี้เอ๋อร์กันอีกครั้ง
นายน้อยอู่โหวเพ่งมองพวกเขาอย่างถมึงทึงตลอดเวลา ทำให้ใจพวกเขาไม่เป็นสุข สมองว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก
ทุกคนจึงปรึกษาหารือกันไปมา แต่ก็คิดวิธีที่ดีไม่ออก ในขณะที่ทุกคนรู้สึกเย็นตรงคอ รู้สึกว่าหัวจะออกจากคอตลอดเวลา นายน้อยอู่โหวก็ละสายตา แล้วค่อยๆ ยกแก้วชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มหนึ่งคำ
ไม่มีสายตาเยือกเย็นแล้ว ทุกคนจึงค่อยๆ โล่งอก ขยับหัวเข้าหากัน ปรึกษาหารือกันเบาๆ จึงคิดวิธีออกมาอีกหนึ่งวิธี เหตุที่คุณหนูหลิวสลบไปเยี่ยงนี้ ต้องเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอแน่นอน ถ้าเยี่ยงนั้นก็ต้องบำรุงร่างกายนาง บำรุงอย่างหนัก ใช้โสมที่มีอายุร้อยปี ต้มให้นางดื่มทั้งต้น ไม่แน่คุณหนูหลิวคนนี้อาจฟื้นขึ้นมา
ทุกคนต่างเป็นหมอที่มีประสบการณ์ ประสบการณ์ต้องมีแน่นอน โสมอายุร้อยปีนี้หากต้มทั้งหมดแล้วดื่มลงไป ดูจากลักษณะชีพจรที่ไม่อ่อนแอของหลิวอวี้เอ๋อร์แล้วจะต้องเลือดกำเดาไหล อุณหภูมิร่างกายไม่ปรกติแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องพวกนี้แล้ว หวังว่าจะใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งนี้ เพื่อทำให้หลิวอวี้เอ๋อร์ทนรับไม่ไหว ฟื้นขึ้นมาเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาค่อยให้ยาลดไข้กับนาง ให้คนฟื้นขึ้นมาก่อน ที่สำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตของพวกเขาไว้
ปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว ทุกคนต่างสบตากัน แล้วพยักหน้าพร้อมกัน หมอที่กล้าหาญคนนั้นเจ็บแล้วไม่จำหันหลังเผชิญหน้ากับนายน้อยอู่โหว แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “นายน้อยอู่โหว พวกข้ายังมีอีกหนึ่งวิธี”
“พูด”
“เหตุที่คุณหนูหลิวสลบไม่ฟื้นเยี่ยงนี้ นั่นเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอมากเกินไป ฉะนั้น พวกข้าจึงออกความเห็นให้นางใช้โสมอายุร้อยปี ไม่แน่คุณหนูหลิวอาจฟื้นขึ้นมา”
“ไม่แน่?” นายน้อยอู่โหวขมวดคิ้ว สีหน้าเริ่มมีความโมโหขึ้นมาอีกครั้ง “ที่พูดเยี่ยงนี้นั้นหมายความว่าพวกเจ้าก็ไม่มั่นใจ”
หมอทุกคนต่างตกใจจนเหงื่อออกเต็มตัว รีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “ไม่ๆๆ ข้าน้อยพูดผิดไปแล้ว คุณหนูหลิวต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน ต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอนขอรับ”
นายน้อยอู่โหว “หึ” ออกมาเบาๆ “ดีที่สุดคือพวกเจ้าต้องมีความมั่นใจที่เพียงพอ ไม่เยี่ยงนั้น…”
หมอทุกคนต่างพยักหน้าหงึกๆ กล่าวตอบเป็นเสียงพร้อมเพรียงกันว่า “มีๆๆ มีแน่นอนขอรับ”
“ถ้าเยี่ยงนั้น ที่ใดมีโสมอายุร้อยปีขาย พวกเจ้านำทางไปซื้อมาหนึ่งต้น”
หมอคนหนึ่งกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “ร้านยาเต๋อเหรินที่เป็นร้านยาที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงมีขอรับ”
ได้ยินชื่อร้านยาเต๋อเหริน นายน้อยอู่โหวยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก เหวินซื่อผู้เป็นเจ้าของร้านยาเต๋อเหรินสนิทกับท่านอ๋องฉี ทุกคนในเมืองหลวงรู้เรื่องนี้ ฉะนั้นคนในจวนของพวกเขาแทบจะไม่ใช้ยาของร้านยาเต๋อเหริน แล้วถามอีกประโยคว่า “ร้านยาร้านอื่นมีหรือไม่”
ในใจของหมอทุกคนต่างแปลกใจ แต่ก็กล่าวตอบตามความจริงว่า “ร้านยาร้านอื่นก็มี แต่ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าร้านยาเต๋อเหริน หากถึงเวลาแล้วคุณหนูหลิวไม่ฟื้นขึ้นมา…”
แม้ว่าไม่พูดประโยคที่เหลือต่อ นายน้อยอู่โหวก็เข้าใจความหมายของเขา มองเขาด้วยหางตา ใช้นิ้วชี้เขาแล้วกล่าวว่า “เจ้า ลุกขึ้นมา…”
หมอคนนั้นตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย ค่อยๆ ลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่แขนขาอ่อนแรง
นายน้อยอู่โหวหยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงหนึ่งใบออกมาจากตัวให้เขา “เจ้าไปซื้อโสมที่ร้านยาเต๋อเหริน รีบไปรีบกลับมา”
ที่แท้คือให้ช่วยไปซื้อยานี้เอง หมอคนนั้นโล่งอกทันที รีบก้าวออกมารับตั๋วเงินด้วยมือที่สั่นๆ แล้วหันหลังออกประตูห้องไปทันที
ซื้อโสมมา หมอหลายคนช่วยกันต้ม แล้วยกเข้ามาในห้อง
สาวใช้ที่หามาให้รับใช้หลิวอวี้เอ๋อร์ค่อยๆ อุ้มนางขึ้นมา ยกช้อนขึ้นมา แล้วค่อยๆ ป้อนโสมให้นางดื่มลงไป
ดื่มเสร็จ ก็เช็ดให้นางอย่างละเอียด แล้ววางนางลงบนเตียงอีกครั้ง
ทุกคนในห้องต่างกลั้นลมหายใจมองนางด้วยใจจดใจจ่อ
ไม่นาน สีหน้าของหลิวอวี้เอ๋อร์ค่อยๆ แดงขึ้น ร่างกายก็เริ่มขยับตัวขึ้นมา
หมอทุกคนต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก ร้องในใจว่า “ได้ผล”
นายน้อยอู่โหวก็จ้องนางตาไม่กะพริบ
สีหน้าของหลิวอวี้เอ๋อร์ยิ่งอยู่ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนทนร้อนไม่ไหว ดึงสิ่งที่คลุมอยู่บนตัวไว้ออก อีกทั้งยังอยากจะฉีกเสื้อผ้าบนตัวด้วย
หมอทุกคนเห็น ก็รีบหันหลังแล้วกล่าวทันทีว่า “นายน้อยอู่โหว พวกข้าไปรอข้างนอกนะขอรับ”
พูดจบ ก็ไม่รอนายน้อยอู่โหวตอนุญาต เดินออกไปพร้อมกันอย่างรีบร้อนทันที
สาวใช้รีบจับมือของหลิวอวี้เอ๋อร์ไว้ทันที ไม่ให้นางฉีกเสื้อผ้าของตัวเอง
ร่างกายของหลิวอวี้เอ๋อร์ยิ่งขยับแรงขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่สาวใช้เริ่มรู้สึกว่าจับตัวไว้ไม่ได้แล้ว และนายน้อยอู่โหวก็เริ่มมีไฟลุกขึ้นมาในดวงตา ทันใดนั้นหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ลืมตาขึ้นมาทันที แล้วร้องออกมาว่า “ข้าร้อนจะตายแล้ว ข้าร้อนจะตายแล้ว ไม่ไหวแล้ว”
คนฟื้นขึ้นมา นายน้อยอู่โหวก็วางใจลง หมอทุกคนที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงหลิวอวี้เอ๋อร์ก็เหมือนได้ยินเสียงจากสวรรค์ ดีใจจนแทบจะร้องไห้กอดกัน
“อวี้เอ๋อร์ เจ้า…”
นายน้อยอู่โหวเอ่ยออกมา เพิ่งจะเอ่ยได้แค่นี้
หลิวอวี้เอ๋อร์ก็กระโดดขึ้นมาจากเตียงทันที แม้แต่รองเท้าก็ไม่ใส่ พุ่งตัวไปทางประตูห้อง เปิดประตูออกแล้ววิ่งออกไปทันที
“จับนางไว้”
นายน้อยอู่โหวร้องออกมาอย่างตกใจ
บ่าวรับใช้รีบกระโดดมาข้างหน้าหลิวอวี้เอ๋อร์อย่างรวดเร็ว ขวางทางนางไว้แล้วกล่าวว่า “คุณหนู…”
“หลบไป” หลิวอวี้เอ๋อร์ตะคอกออกมาด้วยความโมโห
ลูกน้องไม่ขยับ
หลิวอวี้เอ๋อร์เหมือนถูกปีศาจครอบงำ ผลักเขาหลายรอบ ผลักไม่ออก กัดฟัน ก้มหัว แล้วพุ่งชนตัวเขา
ไม่คิดว่านางจะทำเยี่ยงนี้ ในเวลาเพียงครู่เดียวที่ลูกน้องหยุดชะงักไป ก็ถูกนางชนจนสะดุดไปข้างหลังสองก้าว
มีช่องว่าง ร่างกายที่คล่องแคล่วของหลิวอวี้เอ๋อร์ก็วิ่งผ่านตัวเขาลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ตีโต๊ะจ่ายเงินแล้วถามเจ้าของร้านว่า “ถังเก็บน้ำอยู่ที่ใด ถังเก็บน้ำอยู่ที่ใด”
เจ้าของร้านเห็นดวงตาแดงก่ำของนางที่เพ่งมองมา ท่าทางเหมือนจะกินคน ก็รีบยกมือขึ้นมา แล้วชี้ไปทางลานด้านหลัง
หลิวอวี้เอ๋อร์เอาแต่พึมพำหาถังเก็บน้ำ แล้วพุ่งไปลานด้านหลัง ตามหาทุกที่
เสี่ยวเอ้อร์ที่ลานด้านหลังคิดว่ามีคนบ้าเข้ามา ในขณะที่จะเข้าไปไล่นางออกไปนั้น หลิวอวี้เอ๋อร์ก็เห็นถังเก็บน้ำเข้า รีบพุ่งมาหน้าถังเก็บน้ำด้วยสายตาเป็นประกาย ไม่พูดจา ตักขึ้นมาหนึ่งขัน แล้วราดไปทั้งตัว รู้สึกว่าความร้อนในร่างกายเริ่มหายไปเล็กน้อย รู้สึกสบายขึ้นมาเล็กน้อย ก็ตักขึ้นมาอีกหนึ่งขัน แล้วก็อีกหนึ่งขัน
ตอนที่นายน้อยอู่โหวและทุกคนมาถึงลานด้านหลัง ก็เห็นภาพที่หลิวอวี้เอ๋อร์ราดน้ำลงบนตัวของตัวเองไม่หยุด
เสี่ยวเอ้อร์ในเรือนด้านหลังต่างมองตาค้าง มองนางตาไม่กะพริบ ลืมแม้กระทั่งงานในมือ
“หากใครยังกล้ามองอีก ก็ควักลูกตาเขาออกมา”
นายน้อยอู่โหวตะคอกออกมา
เสี่ยวเอ้อร์ทุกคนรู้สึกตัวขึ้นมา ตกใจจนรีบหันหลังไปทันที
หลิวอวี้เอ๋อร์ยังไม่รู้สึกสบายตัว ยังคงราดน้ำลงบนร่างกายของตัวเอง
นายน้อยอู่โหวก้าวออกมา แล้วดึงผ้าปูที่นอนที่ตากไว้บนเชือกในลานด้านหลังมา คลุมลงบนตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ “อวี้เอ๋อร์ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
ถูกน้ำเย็นราดไปมากมายเยี่ยงนี้ ความร้อนในร่างกายของหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ลดลงไปไม่น้อย เริ่มมีสติขึ้นมาเล็กน้อย โยนขันในมือลงไปในถังเก็บน้ำ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างน่าสงสารว่า “ท่านพ่อ ร่างกายของข้าร้อนมาก ร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว”
“รีบกลับห้อง ข้าจะให้คนไปซื้อน้ำแข็งมาทันที”
นายน้อยอู่โหวไม่รู้ว่าเป็นผลจากโสม คิดว่านางทนอากาศแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งออกไป
ความร้อนนั้นเกิดขึ้นมาอีกครั้ง หลิวอวี้เอ๋อร์กัดฟันสั่นแล้วกล่าวว่า “ท่าน ท่านพ่อ น้ำ น้ำ น้ำ น้ำเย็น”
หมอทุกคนก็ไม่คิดว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่รุนแรงเยี่ยงนี้ ต่างสบตากัน ไม่ต้องให้นายน้อยอู่โหวสั่ง ก็รีบเขียนสูตรยาออกมาหนึ่งสูตร ยื่นให้ลูกน้องอีกคนให้เขารีบไปซื้อมา ต้มให้เรียบร้อย
ทุกคนไม่กล้าเข้าห้อง ไม่รู้ว่านายน้อยอู่โหวใช้วิธีใด มัดตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ไว้ในห้อง ได้ยินเพียงเสียงร้องวิงวอนขอร้องของนาง “ท่านพ่อ ข้าร้อนมาก น้ำ ข้าจะเอาน้ำเย็น”
ในฐานะของหมอ ที่มีใจเพื่อรักษาและช่วยชีวิตคน ใช้วิธีแบบนี้ในการรักษาสาวน้อยคนหนึ่ง สำหรับหมอทุกคนแล้ว ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้งร้อนใจและละอายใจ ที่ร้อนใจนั้นเป็นเพราะหากเป็นอย่างนี้ต่อไป หลิวอวี้เอ๋อร์ทนรับฤทธิ์ยาไม่ไหว เลือดไหลออกมาจากรูถวารทั้งห้าจนเสียชีวิตแน่ ถ้าเยี่ยงนั้นชีวิตของพวกเขาก็หมดแล้วจริงๆ ที่ละอายใจนั้นเป็นเพราะผ่านเรื่องนี้ไป เกรงว่าชื่อเสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์นั้นจะจบแล้วจริงๆ นั้นหมายความว่าพวกเขาทุกคนเองที่เป็นคนทำลายนาง
ลูกน้องซื้อน้ำแข็งกลับมา ส่งเข้าไปในห้อง ในชั่วขณะที่หลิวอวี้เอ๋อร์สงบลง เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่นานก็ขอร้องวิงวอนขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านพ่อ ขอร้องท่านละ โยนน้ำแข็งนั้นลงบนตัวข้าเถิด…”
ในห้องไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
หมอทุกคนทนไม่ไหวอีกต่อไป หมอคนที่กล้าหาญคนนั้นตะโกนร้องข้างนอกว่า “นายน้อยอู่โหว ไม่ได้ขอรับ หากทำเยี่ยงนั้นจะกระทบต่อร่างกายของคุณหนูหลิวได้ ต่อไปอาจทำให้เจ็บป่วยในอนาคตได้ พวกข้าให้คนไปซื้อยามา จะต้มเสร็จแล้ว ให้คุณหนูหลิวดื่มลงไป สามารถบรรเทาอาการได้เล็กน้อย”
นายน้อยอู่โหวรู้ว่าทำเยี่ยงนี้จะกระทบต่อร่างกายของหลิวอวี้เอ๋อร์ จึงไม่ทำ
หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ได้ยิน จึงคิดที่จะอดทน แต่ความรู้สึกร้อนนั้นแทบจะแผดเผาร่างกายทั้งหมดของนางแล้ว จนแทบจะทำให้ร่างกายของนางระเบิดตาย เกิดความกลัวในใจ จึงร้องขอวิงวอนไม่หยุด
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องขอวิงวอนจนเสียงแหบไปหมดแล้ว ยาเพิ่งจะต้มเสร็จ ยกเข้ามาในห้อง
นายน้อยอู่โหวยกถ้วยยามาข้างหน้าเตียงด้วยตัวเอง “อวี้เอ๋อร์ เชื่อฟัง หลังจากเจ้าดื่มยาถ้วยนี้หมดแล้ว เจ้าก็จะหายแล้ว”
หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้า อยากจะรับถ้วยยามา แต่มือของนางนั้นสั่นไม่หยุด ควบคุมไม่ได้เลย
นายน้อยอู่โหวส่งสัญญาณให้นางเงยหน้าขึ้นมา อ้าปาก ค่อยๆ ป้อนยาให้นางดื่มลงไปจนหมดถ้วย
ดื่มยาลงไปแล้ว บนหน้าผากก็มีเหงื่อไหลออกมาทันที ความร้อนในร่างกายค่อยๆ หายไป
หลิวอวี้เอ๋อร์หยุดต่อต้านและขอร้อง นั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง
นายน้อยอู่โหววางถ้วยยาลง แกะผ้าปูที่นอนที่มัดบนตัวนางออก สั่งสาวใช้ว่า “พยุงนางไปพักที่บนเตียง”
หลิวอวี้เอ๋อร์นอนลงบนเตียงเหมือนพลังงานทั้งหมดในร่างกายได้ถูกใช้งานหมดแล้ว คิดถึงการกระทำของตัวเองเมื่อครู่แล้ว ก็เกิดความคิดที่อยากจะตายขึ้นมา
ในห้องไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แสดงว่าฤทธิ์ยาเกิดผลแล้ว หมอทุกคนจึงจะโล่งอกจริงๆ ล้มลงไปบนพื้นพร้อมๆ กัน พวกเขารักษาโรคกันมานานหลายสิบปี แต่ก็ไม่เคยเจอเรื่องที่อันตรายเยี่ยงนี้มาก่อน หากมิใช่เพราะการตัดสินใจที่เด็ดขาดคิดวิธีนี้ออกมาได้ วันนี้ศีระบนคอก็คงจะไม่มีแล้วจริงๆ
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 105 ท่านหญิงเข้าสู่วัยสาว
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิวอวี้เอ๋อร์สงบลงแล้วจริงๆ
นายน้อยอู่โหววางใจลง เดินออกจากห้อง หลังจากสอบถามหมอทุกคนแล้ว รู้ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เป็นอะไรแล้ว จึงโบกมือให้พวกเขากลับไป
ทันทีที่ได้รับคำสั่ง หมอทุกคนต่างแบกกระเป๋ายาของตัวเอง แล้วรีบแย่งกันเดินออกไปด้านนอกทันที เพราะกลัวว่าหากเดินช้าไปหนึ่งก้าว นายน้อยอู่โหวเกิดเปลี่ยนใจ ให้พวกเขาอยู่ต่อ
สั่งเถ้าแก่ให้เอาผ้าปูที่นอนผืนใหม่มา ให้สาวใช้เปลี่ยน แล้วก็สั่งให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่สะอาดให้หลิวอวี้เอ๋อร์ แล้วก็กำชับให้หลิวอวี้เอ๋อร์พักผ่อน นายน้อยอู่โหวจึงจะกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ปิดตาลง ไม่นานก็หลับลึกไป
ลูกน้องของท่าป๋าหั่นหลิน เดินรอบๆ โรงเตี๊ยมมาหลายวันแล้ว แต่ก็หาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเจ้านายยิ่งอยู่ยิ่งไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ในใจของทุกคนต่างเกรงกลัว แม้แต่โรงเตี๊ยมก็ไม่กล้ากลับ ได้แต่จ้องมองโรงเตี๊ยมอยู่ในที่มืด เพื่อหาโอกาส
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นได้ถูกเพ่งเล็งไว้แล้ว หลังจากรักษาอยู่อีกหลายวัน ในที่สุดร่างกายก็ดีขึ้น
นายน้อยอู่โหวสั่งให้คนเก็บสัมภาระ เตรียมตัวกลับเมืองหลวงทันที
“ท่านพ่อ ศพของท่านตาฝังไว้ที่ใด ข้าอยากจะไปกราบไหว้”
นึกถึงภาพที่ฮั่วเจี่ยนอนตายตาไม่หลับ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็เกิดความกลัวในใจ จึงอยากจะไปเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เขา เพื่อปลอบโยนจิตใจตนเอง
“พวกเขาถูกโยนไปที่สุสานรวม คิดว่าเวลานี้น่าจะถูกหมาป่ากัดกินไปแล้ว”
หลิวอวี้เอ๋อร์ฟังออกถึงความไม่ปกติ จึงกล่าวถามว่า “พวกเขา ยังมีใครหรือ”
คุณชายอู่เอามือแตะจมูกอย่างร้อนตัว หลบสายตาแล้วกล่าวว่า “ท่านยายของเจ้า”
“ครอบครัวตระกูลฮั่วถูกเนรเทศหมดแล้ว ท่านยายของเจ้าอายุเยอะมากแล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องเสียชีวิตระหว่างทางอยู่ดี ตอนนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องลำบากเยี่ยงนั้น”
น้ำเสียงของนายน้อยอู่โหวนั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ ความละอายใจหลายวันก่อนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านพ่อ ท่านเอ่ยเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ท่านยาย ท่าน…” หลิวอวี้เอ๋อร์รับข่าวร้ายนี้ไม่ได้ ร้องออกมาด้วยความตกใจ ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกนายน้อยอู่โหวขัดขวาง “หุบปาก!”
คำพูดที่หลิวอวี้เอ๋อร์จะเอ่ยออกมาก็ติดอยู่ที่คอ
“เก็บของ กลับเมืองหลวงกับข้าเดี๋ยวนี้ หากกล้าหนีอีก ดูว่าข้าจะตีเจ้าจนขาหักหรือไม่” นายน้อยอู่โหวก็หมดความอดทนแล้ว ตะคอกนางด้วยสีหน้าที่ไม่ดี
หากมิใช่เพราะนางพูดยุยงต่อหน้าสองสามีภรรยาฮั่ว ครอบครัวฮั่วก็จะไม่มีความคิดที่จะทำลายครอบครัวของท่านอ๋องฉีทั้งครอบครัวเยี่ยงนี้ แล้วก็จะไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นตามมา เป็นเพราะนาง นางเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดขึ้นมา วันนี้นางยังไม่กลับใจ ยังอยากจะสร้างปัญหาอีก ดูท่าทางแล้วปกติเอาใจนางมากเกินไปจริงๆ ทำให้นางไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
เห็นสีหน้าที่โมโหของนายน้อยอู่โหวแล้ว หลิวอวี้เอ่อร์กัดฟัน ลงจากเตียง คุกเข่าต่อหน้านายน้อยอู่โหวแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ลูกขอร้องท่านละ ให้ลูกไปกราบไหว้ท่านตา ท่านยายเถิด ในระยะเวลาปีกว่านี้ พวกเขารักอวี้เอ๋อร์มาก ที่พวกเขาต้องมาพบเจอจุดจบแบบนี้ นั้นเป็นเพราะอวี้เอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์จะต้องไปขอโทษต่อหน้าพวกเขา”
“เจ้าทำหูทวนลมกับข้าหรือ เจ้า…”
“ท่านพ่อ ลูกไปอย่างเงียบๆ หากระดูกของพวกเขาจนเจอ แล้วฝังศพพวกเขาให้เรียบร้อย กลับเมืองหลวงจะได้บอกท่านแม่ได้ หรือจะให้พวกเรากลับไป แล้วบอกนางตรงๆ ว่า ท่านตา ท่านยายถูกโยนไปที่สุสานรวม ไม่มีแม้แต่คนเก็บศพหรือ”
คำพูดประโยคนี้ของนาง ตรงจุดอ่อนของนายน้อยอู่โหวพอดี พวกเขาทำเยี่ยงนี้ กลับไปก็ไม่รู้จะบอกภรรยาของตนว่าอย่างไรจริงๆ
เงียบไปสักพัก จึงพยักหน้าตกลง “ได้ เจ้าไปเถิด ข้าจะให้คนติดตามเจ้าไป หากพบเจอกระดูกของพวกเขาแล้ว ก็หาที่ฝังอย่างเงียบๆ หากไม่พบ ก็ไม่ต้องอยู่นาน จะได้ไม่ถูกผู้อื่นพบเห็น แล้วเรื่องไปถึงหูฮ่องเต้ได้ ถ้าไม่เยี่ยงนั้นการกระทำหลายวันนี้ของพวกเราก็สูญเปล่า”
“ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ จะรีบไปรีบกลับ”
พูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที
นายน้อยอู่โหวให้คนติดตามนางห้าคน
ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากโรงเตี๊ยม ลูกน้องของท่าป๋าหั่นหลินก็เห็นเข้าทันที ดีใจมาก สบตากันแล้วพยักหน้า เดินตามพวกเขาอย่างไม่ใกล้ไม่ไกลมาจนถึงสุสานรวม
สุสานรวมน่ากลัวมาก กลางวันแสกๆ แต่ทุกที่กลับวังเวง กระดูกมากมายทับถมรวมกัน ยังมีหมาป่าไม่น้อยที่กำลังกัดกินศพที่เพิ่งถูกโยนทิ้งมา
เห็นคนมา หมาป่าทุกตัวก็แค่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย ไม่ได้สนใจ ก้มหัวลงแล้วกัดกินศพใหม่ต่อ
กลิ่นเหม็นค่อยๆ ลอยเข้ามาในจมูก หลิวอวี้เอ๋อร์เหม็นจนแทบจะอาเจียนออกมา รีบปิดปากและจมูกทันที ส่งสัญญาณให้พวกเขาไล่หมาป่าไป นางจะเข้าไปหาสองสามีภรรยาฮั่ว
แต่ดูไปดูมา ก็ไม่เห็นศพของทั้งสอง หลิวอวี้เอ๋อร์เข้าใจ เพราะผ่านมาหลายวันแล้ว ทั้งสองน่าจะถูกกัดกินจนหมดแล้ว ตอนนี้แม้แต่กระดูกก็ไม่รู้ว่าเป็นชิ้นไหน
มีเสียงเห่าร้องของหมาป่ามากมายดังมา ยิ่งไปกว่านั้นคือยิ่งอยู่ยิ่งใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หลิวอวี้เอ๋อร์เกิดความกลัวในใจ โยนไม้ในมือทิ้ง แล้วรีบถอยออกมา รีบสั่งทันทีว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
พูดจบ ก็รีบเดินย้อนกลับไปทันที ลูกน้องก็รีบเดินตามหลัง
เพิ่งจะเดินออกมาได้ไม่ไกล มีคนกระโดดออกมาจากข้างๆ สามคน มีผ้าปิดหน้าไว้ ขวางหน้าทุกคนไว้
กรี้ดดด หลิวอวี้เอ๋อร์เดินอยู่ข้างหน้าสุด ตกใจร้องเสียงแหลมออกมา
เสียงแหลมนี้แทบจะทะลุแก้วหูของทุกคน ไม่เพียงแค่สามคนข้างหน้าที่มาจับตัว ห้าคนข้างหลังก็ทนไม่ไหวอยากจะปิดหู
ลูกน้องของท่าป๋าทนไม่ไหวจริงๆ ตะคอกออกมาคำหนึ่งว่า “หุบปาก!”
เสียงร้องของหลิวอวี้เอ๋อร์จึงจะหยุดลง แต่ก็ตาโต ชี้ไปที่คนพูด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “เจ้า เจ้า เจ้าคือ…”
เห็นว่านางฟังเสียงของตัวเองออก จึงไม่ลังเลอีกต่อไป รีบยื่นมือไปทางนาง จะจับตัวนาง
ห้าคนที่ติดตามมาก็ไม่โง่ พุ่งตัวออกไป อยู่ข้างหน้าหลิวอวี้เอ๋อร์ สามคนต่อสู้กับพวกเขา อีกสองคนพาหลิวอวี้เอ๋อร์ไปหลบอีกที่หนึ่ง
หลิวอวี้เอ๋อร์รู้สึกตัวขึ้นมาทันที ร้องเสียงแหลมออกมาว่า “อย่าปล่อยพวกเขาไป พวกเขาเป็นคนที่จับตัวข้าไป”
ห้าคนที่ติดตามได้ยิน ก็จริงจังขึ้นมาทันที การต่อสู้เริ่มเร็วขึ้นมาก แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสามคน ผ่านไปประมาณสามสิบห้าสิบกระบวนท่า ไม่เพียงแต่สามคนที่ต่อสู้ แม้แต่สองคนที่ปกป้องหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ล้มลงหมด
เห็นว่าพวกเขาค่อยๆ เข้ามาใกล้ตัวเองเรื่อยๆ หลิวอวี้เอ๋อร์กลัวมากจนค่อยๆ เดินถอยหลัง หลังจากนั้นก็รีบวิ่งหันหลังไปทางสุสานรวมทันที ยังวิ่งได้ไม่กี่ก้าว ก็เจ็บที่คอ หน้ามืด แล้วสลบไปทันที
ส่วนห้าคนที่ล้มตายอยู่บนพื้นก็ดึงดูดหมาป่าฝูงใหญ่มาทันที ใช้เวลาไม่นานก็กัดกินพวกเขาจนหมด เหลือเพียงกระดูกที่มีเลือดติดอยู่กระจายเต็มพื้น
สองชั่วยาม สี่ชั่วยาม หกชั่วยามผ่านไปแล้ว หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ยังไม่กลับมา นายน้อยอู่โหวนั่งรอต่อไปไม่ไหว ให้คนออกไปหา คนที่ออกไปหาพบป้ายห้อยเอวห้าอันตกอยู่ตรงที่หลิวอวี้เอ๋อร์โดนจับตัวไป หลังจากมั่นใจว่าเป็นของห้าคนที่ติดตามหลิวอวี้เอ๋อร์แล้ว ก็กลับไปรายงานด้วยความตกใจ
นายน้อยอู่โหวล้มลงบนเก้าอี้ หลังจากครั้งที่แล้วที่หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกจับตัวไปแล้วกลับมา ตัวเองก็เอาแต่สนใจแต่เรื่องที่ให้นางชี้ตัวฮั่วเจี่ย ยังไม่ทันได้ถามว่าเป็นฝีมือใคร ไม่คิดว่าจะสร้างภัยแฝงไว้ จนนางถูกจับอีกครั้ง แต่สิ่งที่นายน้อยอู่โหวไม่เข้าใจนั้นคือ ในเมื่อครั้งที่แล้วพวกเขาปล่อยตัวหลิวอวี้เอ๋อร์แล้ว ครั้งนี้จะจับนางไปเพื่ออะไร
ไม่เพียงแค่เขาที่ไม่เข้าใจ หลิวอวี้เอ๋อร์ที่หลังจากตื่นขึ้นมา จะตะโกนออกมา ก็ถูกสกัดจุด แล้วถูกโยนเข้าไปในรถม้าก็ไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดพวกเขาจึงจับตัวเองมาอีกครั้ง แต่ว่านางมีความรู้สึกว่า ครั้งนี้พวกเขาไม่ปล่อยตัวเองไปง่ายๆ แน่นอน
นายน้อยอู่โหวรีบพุ่งตัวไปที่ว่าการเหมือนคนบ้า จูจือหมิงฆ่าตัวตาย ฮ่องเต้ยังไม่ได้ส่งขุนนางคนใหม่มา งานในที่ว่าการจึงให้ผู้อื่นดูแลแทน ได้ยินว่าคุณหนูของจวนอู่โหวถูกจับตัวไป จึงให้คนของที่ว่าการทุกคน ออกตามหาตามบ้านทุกหลัง ไม่ปล่อยแม้แต่มุมเดียว
ผ่านไปหลายวันแล้ว แม้แต่เงาคนก็ไม่เห็น ในขณะที่นายน้อยอู่โหวร้อนใจมาก ก็รู้ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์น่าจะถูกคนพาตัวออกนอกเมืองไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปที่ใด ภายใต้ความรู้สึกหดหู่ จึงหยุดตามหา แล้วนำลูกน้องของตัวเองเดินทางกลับเมืองหลวง
ฮูหยินของนายน้อยอู่โหวรู้จุดจบของท่านพ่อท่านแม่และคนในตระกูลของตัวเองแล้ว รับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ สลบไปทันที หลังจากฟื้นขึ้นมา ก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ตอนนี้ได้ยินว่าลูกสาวที่ตัวเองรักและเอาใจเป็นอย่างมากได้ถูกคนจับตัวไป ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ทนไม่ไหวอีกต่อไป สลบไปอีกครั้งทันที
จวนอู่โหวตกอยู่ภายใต้บรรยากาศที่โศกเศร้า
ภายในจวนอ๋องฉี สถานการณ์ของพระชายาฉีก็ไม่ค่อยดี หลังจากกลับมาก็นอนป่วยอยู่บนเตียงตลอดเวลา เมิ่งเชี่ยนโยววางเรื่องทั้งหมดในมือลง ตั้งใจรักษาโรคและบำรุงร่างกายของนาง การรักษาและบำรุงครั้งนี้ใช้เวลาร่วมสองปี ร่างกายของพระชายาฉีจึงจะดีขึ้น พิธีปักปิ่นของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็มาถึงพอดี
สำหรับหญิงสาวแล้วพิธีปักปิ่นเป็นเรื่องใหญ่มาก ยิ่งไปกว่านั้นคือพิธีปักปิ่นของท่านหญิงทั้งสองคนของจวนอ๋องฉี ไม่เพียงแค่การเริ่มจัดเตรียมงานภายในจวน ผู้คนที่อยากจะประจบสอพลอจวนอ๋องฉีก็จัดเตรียมของขวัญกันไว้แล้ว เพื่อพาฮูหยินมาแสดงความยินดีในวันนี้โดยเฉพาะ
ตระกูลเมิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตั้งแต่เมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยา เมิ่งเส้า เมิ่งหง เมิ่งเยว่สองสามีภรรยา ในวันนี้ ทุกคนต่างแต่งตัวอย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมพิธีปักปิ่นของทั้งสอง
รถม้าขบวนยาวเข้ามาในเมืองอย่างอลังการ มาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี
ทันทีหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินรายงาน ก็มายืนรอหน้าประตูจวนนานแล้ว หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่รุ่ยยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา
เห็นรถม้ามาถึง หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ต่างยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย อยากจะวิ่งออกไปต้อนรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวกระแอมไอออกมาเบาๆ
ทั้งสองจึงหยุดทันที กระโปรงที่ยกขึ้นมาก็ถูกปล่อยลงไป แล้วยืนตรงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
รถม้าหยุดลง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกไปต้อนรับทันที
เมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยาลงมาก่อน ตามมาด้วยเมิ่งต้าจินสองสามีภรรยา เมิ่งเอ้ออิ๋นสองสามีภรรยา…
ทั้งสองทักทายแต่ละคน
ส่วนเด็กๆ ด้านหลัง ก็ก้าวออกมาทักทายพวกเขา
ด้านหน้าจวนอ๋องฉีคึกคักกันเป็นอย่างมาก ผู้คนที่พาครอบครัวมาแสดงความยินดีเห็นภาพนี้ ก็สั่งให้คนขับรถม้าหยุดก่อน รอให้ตระกูลเมิ่งเข้าไปกันก่อนค่อยว่ากัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกตระกูลเมิ่ง แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทักทายคนตระกูลเมิ่งอย่างไร
ตระกูลเมิ่งในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่ใช่ตระกูลเมิ่งที่มาเมืองหลวงแล้วยังต้องพึ่งฐานะของลูกสาว เพื่อตั้งหลักในเมืองหลวงเมื่อสิบปีก่อนอีกแล้ว ลูกหลานของตระกูลเมิ่ง มีทั้งขุนนาง แต่ละคนต่างมีผลงานมากมาย ได้รับการชื่นชมจากฮ่องเต้ มีทั้งกิจการการค้า แต่ละคนก็เก่งกาจทั้งนั้น หยิบตั๋วเงินออกมาใช้จ่ายได้ทีละหลายแสนตำลึงโดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย แม้ว่าพวกเขาอยากจะประจบสอพลอ แต่ในใจก็ยังคงดูถูกพวกเขาอยู่ดี เกิดความขัดแย้งในใจเป็นอย่างมาก
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 106 กลัวสิ่งใดก็ยิ่งเจอสิ่งนั้น
หลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ก้าวออกมา คนหนึ่งพยุงท่านปู่ อีกคนพยุงท่านย่าเดินเข้าไปในจวน
ส่วนหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ต่างพยุงเมิ่งซื่อไว้คนละข้าง แล้วพูดคุยกับนางสลับกันคนละประโยค
หน้าประตูจวนเงียบลงแล้ว ขุนนางข้างหลังจึงค่อยๆ พาครอบครัวลงจากรถม้า แล้วทักทายกันก่อนเดินเข้าจวน
พ่อบ้านและคนใช้ต่างสวมเสื้อผ้าใหม่ แล้วยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูจวนด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
หน้าประตูจวนอ๋องฉีคึกคักกันมาก
ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีก็ยืนต้อนรับอยู่ในจวนด้วยรอยยิ้ม
งานแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีหวงฝู่ซวิ่น
ในขณะที่ผู้คนที่มาแสดงความยินดีเริ่มมากันครบแล้ว พ่อบ้านก็รีบวิ่งมารายงานว่า “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ ฮ่องเต้เสด็จมาขอรับ”
แม้ว่าปรกติจะไม่มีถวายความเคารพก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้ต่อหน้าขุนนางมากมาย เกียรติที่ควรให้ การถวายความเคารพที่ควรทำก็ไม่ควรหาย ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปต้อนรับ แล้วทำความเคารพหวงฝู่ซวิ่น
“เสด็จอา น้องเซวียน ไม่ต้องทำความเคารพ” หวงฝู่ซวิ่นยกมือขึ้น ความน่ายำเกรงของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ แสดงออกมาทันที
ขอบพระทัยเสร็จแล้ว ก็เชิญเขาเข้าไป
ฤกษ์ดีถึงแล้ว พิธีปักปิ่นจึงเริ่มขึ้น
พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวก้าวออกมา ปล่อยผมเปียทั้งสองข้างของเด็กสาวทั้งสองคนลง แล้วเกล้าผมให้เป็นทรงเดียวกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็หยิบปิ่นปักผมหยกสีเขียวที่เหมือนกันสองอันเสียบลงไปในมวยผมของทั้งสอง
เมิ่งเชี่ยนโยวนั้นไม่ได้มีอารมณ์มากมาย แต่ดวงตาของพระชายาฉีนั้นแดงก่ำ หลานสาวทั้งสองคนเข้าสู่วัยสาวแล้ว เวลาของการพูดคุยเรื่องแต่งงานก็มาถึงแล้ว เวลาที่อยู่ข้างพวกนางนั้นมีไม่มากแล้ว
รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์นาง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงควงแขนนางแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ ยังมีหลานเอ๋อร์มิใช่หรือ ตอนนี้นางยังเล็กอยู่ เพิ่งจะครบหนึ่งอาทิตย์ อีกนานกว่านางจะอายุสิบห้าปี”
หวงฝู่หลานเป็นลูกสาวของหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่น หลังจากที่ทั้งสองพยายามแล้ว ในที่สุดก็คลอดลูกสาวออกมาอีกหนึ่งคนตามที่หวังไว้ ตอนนี้กลายเป็นคนโปรดคนใหม่ของจวนไปแล้ว
เมิ่งซื่อก็ตาแดงก่ำเล็กน้อย ครอบครัวเมิ่งต้าจินตบมือนางเบาๆ แล้วปลอบว่า “เด็กต้องโตอยู่แล้ว แม้จะอาลัยอาวรณ์แค่ไหนก็ขัดขวางการแต่งงานมีลูกของพวกนางไม่ได้”
พิธีเสร็จแล้ว ฮูหยินของแต่ละจวนต่างก้าวออกมาแสดงความยินดีด้วยรอยยิ้ม ยื่นของขวัญที่ตัวเองตั้งใจจัดเตรียมมาให้เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวรับของขวัญทุกชิ้นมา แล้วยื่นให้ชิงหลวนและจูหลีวางไว้
ส่วนผู้ชายทุกคนนั้นรวมตัวกัน ดื่มชา พูดคุยกัน
ทุกคนต่างพูดคุยหัวเราะกัน คึกคักกันเป็นอย่างมาก
มีเสียงจากหน้าประตูจวนดังเข้ามา พ่อบ้านรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว รายงานด้วยความเหนื่อยหอบว่า “ท่าน ท่านอ๋อง หน้าประตูมีคนมาอีกแล้วขอรับ”
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่ทำให้พ่อบ้านรีบร้อนเยี่ยงนี้ ต้องมิใช่แขกธรรมดา แต่วันนี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็มาแล้ว หรือว่า…ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นได้ รีบลุกขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้ เชิญท่านนั่ง ข้าออกไปดูก่อน”
“เชิญเสด็จอาขอรับ”
ดูท่าทางและสีหน้าของเขาแล้ว หวงฝู่ซวิ่นรู้ทันทีว่ามีคนพิเศษมา เขาอยากจะตามออกไปดูด้วยจริงๆ แต่เขาเป็นฮ่องเต้ อยู่ต่อหน้าขุนนางทุกคน ต้องมีความน่าเกรงขาม จึงต้องควบคุมความคิดในใจไว้ แล้วกล่าวเสียงเรียบออกมา
ท่านอ๋องฉีรีบเดินออกไปด้วยความรีบร้อน
หวงฝู่อี้เซวียนที่ดูแลเหล่าขุนนางอยู่ก็ได้ยินรายงาน ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปพร้อมกัน
สองพ่อลูกมาถึงหน้าประตูจวน รถม้าหรูหราคันหนึ่งหยุดตรงหน้าประตูจวน ข้างหลังมีผู้ติดตามอีกสิบคน ส่วนข้างๆ รถม้า ท่าป๋าหั่นหลินที่มีรูปร่างสูงขึ้น ใจเย็นขึ้น มีท่าทีของจักรพรรดิออกมาเล็กน้อยยิ้มแล้วก้มตัวทำความเคารพทั้งสองคน “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ วันนี้เป็นวันที่ท่านหญิงน้อยเย่ว์เอ๋อร์เข้าสู่วัยสาว ข้าจึงมาสู่ขอ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มั่นใจ ความเตรียมพร้อมของเขา และท่าท่างที่มั่นใจว่าเย่ว์เอ๋อร์ต้องแต่งงานกับเขาแน่ๆ ท่านอ๋องฉีกำมือไว้แน่น แล้วก้าวขายาวไปหาเขา
ท่าป๋าหั่นหลินรีบเดินถอยหลังหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัว ยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าตัวเองไว้ ยื่นตาทั้งสองข้างของตัวเองออกมาในช่องว่างระหว่างนิ้ว “สองปีที่แล้ว พวกเจ้าสัญญากับข้าไว้แล้วว่า หลังจากท่านหญิงน้อยเย่ว์เอ๋อร์เข้าสู่วัยสาว จะอนุญาตให้ข้ามาสู่ขอ”
ท่านอ๋องฉีกำมือไว้แน่นจนได้ยินเสียง กรอบแกรบ ส่วนท่าป๋าหั่นหลินก็เดินถอยหลังหลายก้าวด้วยความกลัวอีกครั้ง
ลูกน้องทุกคนต่างก้มหัวลง ทนมองต่อไปไม่ได้ ฮ่องเต้คนเดียวของรัฐพวกเขา ทำตัวเหมือนชายหนุ่มที่อ่อนแอ กลัวถูกตี เสียหน้าคนรัฐอิงพวกเขาจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาถูกผีอะไรเข้าสิง ไม่เอาหญิงสาวที่สวยงามมากมายในรัฐ เอาแต่คิดถึงเด็กสาวที่ยังไม่โต
ท่านอ๋องฉีค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท่าป๋าหั่นหลินก็ค่อยๆ เดินถอยหลัง ถอยจนไม่มีที่จะถอยแล้ว จึงปล่อยใบหน้าของตัวเอง แล้วกล่าวพึมพำว่า “เราพูดกันก่อน ตีคนแต่อย่าตีหน้า ไม่เยี่ยงนั้นออกจากจวนไปจะทำให้ผู้อื่นตกใจได้”
คนที่ติดตามมายิ่งก้มหัวลงไปอีก สะกดจิตตัวเองในใจว่า นี่มิใช่เจ้านายของพวกข้า นี่มิใช่ฮ่องเต้ของพวกข้า พวกข้าไม่รู้จักคนนี้
ท่านอ๋องฉีหยุดเดิน มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วกล่าวเสียงดังว่า “พ่อบ้าน”
พ่อบ้านรีบก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง”
“ไปรายงานฮ่องเต้ว่า ฮ่องเต้ของรัฐอิงมาจวนอ๋องฉีกะทันหัน ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอะไรซ่อนเร้นหรือไม่ ให้ฮ่องเต้ส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียด”
ประโยคนี้รุนแรงมาก ท่าป๋าหั่นหลินตกใจทันที รัฐอิงเป็นรัฐบรรณาการ พูดตรงๆ ก็คือ หากเขาที่เป็นฮ่องเต้ออกจากรัฐของตัวเอง ก็มิใช่อะไรทั้งนั้น ยิ่งตอนนี้ มาเมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต มาอยู่ต่อหน้าต่อตาฮ่องเต้ของรัฐอู่ หากฮ่องเต้ของรัฐอู่อารมณ์ดี ไม่ว่าอะไรเขา บอกว่าเขาแค่มาสู่ขอที่จวนอ๋องฉีเท่านั้น แต่ถ้าหากอารมณ์ไม่ดี กล่าวให้โทษเขาโทษฐานเข้ามาเมืองหลวงด้วยเจตนาที่ไม่ดี ผลลัพธ์ไม่ดีแน่นอน
พ่อบ้านตอบรับคำสั่งอย่างเสียงดัง แล้วหันหลังวิ่งเข้าไปในจวนทันที วันนี้ท่านหญิงน้อยทั้งสองเข้าสู่วัยสาว อารมณ์ของเจ้านายทุกคนต่างดีใจและเสียใจ มีความสับสนที่พูดไม่ถูก ส่วนท่าป๋าหั่นหลินก็มาสู่ขอในเวลานี้พอดี นั่นเท่ากับว่าเอาตัวพุ่งชนความโมโหของเจ้านายชัดๆ ไม่ถูกเจ้านายลงโทษสิแปลก
หวงฝู่ซวิ่นได้ยินรายงาน ก็มีเหตุผลเพื่อออกไปดูพอดี ลุกขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน ค่อยๆ สะบัดแขนเสื้อของตัวเองแล้วกล่าวว่า “ข้าไปดูสักหน่อย ฮ่องเต้รัฐอิงช่างกล้าจริงๆ กล้ามาเมืองหลวงโดยที่ไม่มีคำอนุญาตจากข้า”
พูดจบ ก็ก้าวขาออกไปข้างนอกทันที
เหล่าขุนนางก็ได้ยินคำรายงาน ต่างสบตากัน แล้วลุกขึ้นพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย แล้วเดินตามข้างหลังมาถึงหน้าประตูจวน
ทันทีที่กลุ่มคนมากมายเดินออกมา ท่าป๋าหั่นหลินก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก้าวออกมา ก้มตัว ทำความเคารพแล้วกล่าวว่า “ท่าป๋าทำความเคารพฮ่องเต้”
หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้เรียกเขาลุกขึ้น แต่มองไปที่ท้ายทอยของเขา แล้วกล่าวถามว่า “ท่าป๋า เจ้ามาเมืองหลวงโดยที่ไม่มีคำอนุญาตของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำผิดโทษประการใด”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” ท่าป๋าหั่นหลินขอประทานอภัย “สามปีที่แล้ว ท่าป๋าถูกใจท่านหญิงน้อยเย่าเย่ว์ แต่ตอนนั้นอายุนางยังน้อย ท่าป๋าจึงรอถึงตอนนี้ วันนี้นางเข้าสู่วัยสาวแล้ว ท่าป๋าจึงทนต่อไปไม่ได้ จึงเดินทางมาไกล หนึ่งคือเพื่อแสดงความยินดีที่นางเข้าสู่วัยสาวในวันนี้ สองคือมาจวนอ๋องฉีเพื่อสู่ขอ ขอฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความรู้สึกที่ท่าป๋ารอคอยมานานหลายปีนี้ ประทานอภัยโทษที่ท่าป๋ามาเมืองหลวงโดยที่ไม่ได้รับพระอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดประโยคนี้ คำพูดดูจริงใจ รู้สึกได้ถึงความรู้สึกจริง ทำให้ผู้คนที่ได้ยินตื้นตันใจเล็กน้อย สีหน้าของหวงฝู่ซวิ่นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่พูดจา แต่ในใจนั้นเริ่มวางแผนแล้ว แม้ว่ารัฐอิงจะเป็นรัฐบรรณการ แต่ก็เป็นอิสระ หากเย่ว์เอ๋อร์แต่งงานไปก็เป็นฮองเฮาเพียงคนเดียวที่มีสง่าราศีไม่มีผู้ใดเปรียบเทียบได้ ฐานะสูงกว่าแต่งงานกับครอบครัวขุนนางในเมืองหลวง
นึกถึงตรงนี้ ก็พยักหน้า แล้วตั้งใจกล่าวด้วยความน่าเกรงขามว่า “แม้ว่าเจ้าจะจริงใจ แต่ไม่มีกฏเกณฑ์ก็ไม่ได้ อย่างนี้แล้วกัน ภายในหนึ่งเดือนเจ้าห้ามออกจากเมืองหลวง รอให้ข้าส่งคนตรวจสอบเรียบร้อยแล้วว่าเจ้าไม่มีเจตนาที่ไม่ดีข้าจึงจะปล่อยให้เจ้ากลับไป”
ดูเหมือนจะลงโทษเขา แต่จริงๆ แล้วคือกำลังช่วยเขา ท่าป๋าหั่นหลินจะฟังไม่เข้าใจได้อย่างไร จึงรีบก้มตัวทำความเคารพแล้วกล่าวตอบว่า “ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่ไม่ตำหนิ ท่าป๋าใช้หัวของตัวเองรับประกันว่า ภายในหนึ่งเดือนจะไม่ออกจากเมืองหลวงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเข้าใจ ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่เข้าใจได้อย่างไร สายตาทั้งคู่พุ่งไปทางหวงฝู่ซวิ่นทันที
สัมผัสได้ว่าพวกเขาอยากจะควักลูกตาของตัวเองออกมา ในใจของหวงฝู่ซวิ่นก็สั่นกลัวเล็กน้อย แต่ไม่แสดงสีหน้าออกมา หลังจากไอออกมาเบาๆ เพื่อปกปิดอาการร้อนตัวของตัวเอง ก็รีบตรัสสั่งว่า “ท่าป๋าเดินทางมาไกล ข้าก็ไม่มีเวลากลับไปต้อนรับดูแลเจ้าที่วัง วันนี้ก็อยู่ทานอาหารที่จวนอ๋องฉีเถิด ถือว่าข้าจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้า อีกอย่าง เกี่ยวกับสถานการณ์ของรัฐอิงในสองปีนี้ ข้าก็มีเรื่องจะถามเจ้า”
ท่าป๋าหั่นหลินก้มตัวทำความเคารพ ระงับความตื่นเต้นในใจไว้แล้วกล่าวว่า “ท่าป๋าน้อมรับคำสั่ง”
ท่านอ๋องฉีโมโหมาก ตอนแรกคือตั้งใจให้หวงฝู่ซวิ่นมาไล่คนออกไป ไม่คิดว่าเขาจะพาคนเข้ามาในจวน
หวงฝู่อี้เซวียนกัดริมฝีปากแน่น มือที่กำไว้แน่นก็ไขว้หลังไว้ เพราะเขากลัวควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วต่อยไปบนหน้าของหวงฝู่ซวิ่น
หวงฝู่ซวิ่นทำเป็นไม่เห็น อย่างไรวันนี้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายพวกเขาไม่กล้าทำอะไรตัวเองแน่นอน ส่วนหลังจากนี้ ค่อยว่ากัน ไม่แน่พวกเขาอาจต้องขอบคุณตัวเองเสียอีก
สิ่งที่เหล่าขุนนางถนัดที่สุดคือคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ จากการกระทำของหวงฝู่ซวิ่นแล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาเห็นด้วยที่ท่าป๋าหั่นหลินสู่ขอหวงฝู่เหย่าเย่ว์ ในขณะที่ในใจรู้สึกอิจฉาอีกใจก็รู้สึกเสียดายด้วย ที่อิจฉานั่นเป็นเพราะ หลานสาวของท่านอ๋องฉีโชคดีอะไรเยี่ยงนี้ ที่ทำให้ท่าป๋าหั่นหลินคิดถึงมานานหลายปี วันนี้เพิ่งจะเข้าสู่วัยสาว ก็ทนไม่ไหวต้องมาสู่ขอที่จวน เป็นถึงฮ่องเต้ของรัฐหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นรัฐบรรณการ แต่ก็ให้ความเคารพกับท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเป็นอย่างมาก ให้เกียรติกับพวกเขาจริงๆ ที่เสียดายคือวันนี้ตัวเองได้พาครอบครัวมา เพราะอยากจะให้พวกนางตีสนิทกับพระชายาฉี ถามความเห็น ดูว่ามีโอกาสไหมที่จะให้ลูกสาวและลูกชายของทั้งสองฝ่ายได้แต่งงานกัน
หวงฝู่ซวิ่นหันหลังเดินเข้าไปในจวน เหล่าขุนนางเดินตามหลัง ท่าป๋าหั่นหลินเห็นสีหน้าของท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่กล้าขยับตัว
เดินได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นหวงฝู่ซวิ่นก็คิดอะไรขึ้นได้ หยุดเดิน หันหลังแล้วกล่าวว่า “ท่าป๋า เป็นอะไรไป หรือว่าต้องใช้ข้าไปเชิญเจ้าเข้ามา”
“มิบังอาจ มิบังอาจ ท่าป๋าจะมาเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” พูดไปด้วย ขาก็เดินเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว
รอจนเขาก้าวเข้าไปในจวน หวงฝู่ซวิ่นจึงจะหันกลับไป แล้วเดินเข้าไปในจวนต่อ
ทุกคนเดินเข้าไปแล้ว หน้าประตูจวนเหลือเพียงท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนสองคน
ทั้งสองหันหลัง มองดูหลังของท่าป๋าหั่นหลินที่เดินเข้าไปในจวนด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ดูอย่างไร ก็รู้สึกขัดหูขัดตา
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 107 ไล่เขาออกไป
ท่าป๋าก้มศีรษะลง แล้วเดินตามหวงฝู่ซวิ่นเข้าไปในจวน ไม่มีผู้ใดเห็นรอยยิ้มได้ใจที่มุมปากของเขา
พระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ข่าว วันนั้นที่เจียงหนาน นางได้ตามท่านอ๋องฉีไปพบท่าป๋าหั่นหลิน สำหรับคำมั่นสัญญาในวันนั้นนางจำได้ชัดเจน ได้ยินคำรายงานของหลินหลง จึงทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับขมวดคิ้ว นางรู้สึกว่าเป้าหมายของท่าป๋าหั่นหลินนั้นมิใช่สู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์เท่านั้น แต่ว่าเพราะเหตุผลใดนั้น นางก็ไม่รู้
แม้ว่าจะไม่ยินยอมเพียงใด ไม่นานท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตามเข้ามาในจวน
ท่าป๋าถือว่าเป็นแขกสำคัญ ท่านอ๋องฉีควรจะดูแลด้วยตัวเอง แต่ท่านอ๋องฉีเห็นหน้าเขาก็ไม่สบอารมณ์ จึงหาข้ออ้างว่าตัวเองไม่สบาย กลับไปที่เรือนหลัก ปล่อยให้หวงฝู่อี้เซวียนอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่พูดจา สั่งให้คนยกไหสุราที่หมักไว้หลายปีออกมาสามไห วางไว้หน้าแต่ละคนคนละหนึ่งไห มองไปที่หวงฝู่ซวิ่นแล้วกล่าวว่า “วันนี้ลูกสาวของน้องเข้าสู่วัยสาว น้องมีความสุขมาก พวกเราคนละหนึ่งไห ดื่มไม่หมดห้ามกลับ”
หวงฝู่ซวิ่นหน้าซีดเผือดทันที เหล่าขุนนางในราชสำนักใครไม่รู้ว่าเขาดื่มสุราแรงมิได้ หวงฝู่อี้เซวียนทำเยี่ยงนี้ ก็แค่อยากแก้แค้นเขาที่ให้ท่าป๋าเข้ามา นี่คือต้องการให้เขาสลบกลับวังไปแน่นอน
สีหน้าของท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตั้งแต่ปีนั้นที่เขาอายุสิบสองปีแล้วไปที่จวนขององค์ชายใหญ่ ดื่มสุรามากไป หลังจากตื่นมากลางดึก เดินผิดทาง แล้วไปเห็นภาพนั้นเข้า หลังจากนั้นเขาก็ไม่ดื่มสุราอีกเลย ยิ่งไปกว่านั่นคือ เขาสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์นั้นเพราะมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่ หากดื่มมากไป แล้วเผลอพูดอะไรออกมา เขาจะกลับรัฐอิงไม่ได้อีกเลย
หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนอะไรทั้งสิ้น เปิดฝาอย่างรวดเร็ว แล้วเทใส่ถ้วยใหญ่ให้ตัวเอง เงยหน้าแล้วยกขึ้นดื่มทันที ดื่มเสร็จก็ยื่นถ้วยเปล่าให้ทั้งสองคนดู แล้วยังทำท่าเชิญให้ทั้งสองคน
ทั้งสองทำอะไรไม่ได้ จึงต้องกัดฟันแล้วเปิดฝาออก เทสุราเต็มถ้วยให้ตัวเอง เงยหน้าแล้วยกขึ้นดื่มทันที
ทั้งสองดื่มเสร็จ ยังไม่ทันวางถ้วยลง หวงฝู่อี้เซวียนก็ดื่มถ้วยที่สองหมดแล้ว
ทั้งสองคนหนึ่งหน้าดำอีกคนหน้าแดงไปหมดแล้ว หลังจากทั้งสองด่าว่าหวงฝู่อี้เซวียนในใจหลายรอบโดยไม่ได้นัดหมายแล้ว ก็ดื่มถ้วยที่สอง
ถ้วยที่สามก็เช่นกัน
หวงฝู่ซวิ่นเริ่มไม่ไหวแล้ว อ้าปาก กล่าวด้วยอาการเมาเล็กน้อยว่า “เซวียน น้องเซวียน เจ้าควรให้พวกข้าทานอาหารสักเล็กน้อยได้หรือไม่ ข้ามาตั้งแต่เช้า ถึงตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทานอาหารร้อนๆ แม้แต่คำเดียว”
ท่าป๋าหั่นหลินพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย “เพื่อมาให้ทันวันเข้าสู่วัยสาวของท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ในวันนี้ ข้าเร่งขี่ม้าเร็ว ดื่มกินในป่า จึง… จึงไม่ได้ทานอาหารร้อนๆ มานานแล้วเช่นกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมุมปาก แล้วยกไหสุราขึ้นมา เทเต็มถ้วย แล้วยกไปทางท่าป๋าหั่นหลินแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้ของรัฐอิงเดินทางมาไกล สุราถ้วยนี้ถือว่าต้อนรับท่าน”
“ไม่…”
ท่าป๋าหั่นหลินเพิ่งจะห้ามออกมาได้คำเดียว หวงฝู่อี้เซวียนก็เงยหน้าแล้วยกขึ้นดื่มจนหมดแล้ว
ท่าป๋าทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่เทสุราเต็มๆ หนึ่งถ้วยเช่นกัน
ถ้วยที่สามแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเรียบ ส่วนท่าป๋าหั่นหลินนั้นเริ่มเอนตัวไปมาแล้ว
หวงฝู่ซวิ่นไม่สนใจ ฉวยโอกาสที่ทั้งสองคนดื่มสุรากันรีบหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบอาหารทานไปหลายคำ จึงจะรู้สึกว่าความร้อนในกระเพาะหายไปเล็กน้อย
ในเมื่อหวงฝู่ซวิ่นได้กินอาหารลงไปบ้างแล้ว หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนดื่มหมดแล้วก็หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบผักกาดดองตรงหน้าตัวเองกินไปหลายคำ
แต่ท่าป๋านั้นไม่ไหวจริงๆ เอนหัวไปมา หาตะเกียบเจอ แล้วหยิบขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่มือสั่นจนผักใบเดียวก็คีบขึ้นมาไม่ได้
หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกสงสารเขา แต่ก็ไม่กล้าช่วยเขาอีก ปล่อยให้เขาคีบเสียนาน กว่าจะเสียบตะเกียบลงบนแผ่นมันฝรั่ง แล้วใส่เข้าปาก กินลงไป
หวงฝู่อี้เซวียนเหมือนไม่เห็นท่าทางยากลำบากของเขา เอาแต่กินอาหารของตัวเอง จนกินไปไม่น้อยแล้ว จึงวางตะเกียบในมือลง แล้วเทสุราเต็มถ้วยอีก
หวงฝู่ซวิ่นเศร้าใจ
แต่ท่าป๋านั้นแม้แต่ถ้วยสุราก็ถือไม่นิ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนจึงออกความคิดเห็นด้วย ‘ความหวังดี’ ว่า “ฮ่องเต้ของรัฐอิง ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าก็ยกไหสุราขึ้นดื่มเลยดีกว่า เช่นนี้จะสะดวกกว่า”
ท่าป๋าหั่นหลินเริ่มเวียนหัวไปหมดแล้ว จึงแยกไม่ออกว่าคำพูดนี้ดีหรือไม่ดี แต่ก็ยกไหสุราขึ้นมาจริงๆ อึกๆๆ ดื่มจนสุราในไหหมด ตุ้บ แล้ววางไหสุราลงบนโต๊ะทันที กล่าวด้วยคำพูดที่ไม่ชัดเจนว่า “ดื่ม ดื่ม พวกเจ้าก็ดื่ม”
“ฮ่องเต้ของรัฐอิงดื่มเก่งจริงๆ ข้าน้อยชื่นชม” หวงฝู่อี้เซวียนพูดคำประจบสอพลอ
ท่าป๋าหั่นหลินมีเรื่องในใจ จึงใช้สติสุดท้ายที่เหลืออยู่น้อยนิด รู้ว่าหากยังดื่มต่อไป ต้องไม่ดีต่อตัวเองแน่ๆ จึงลุกขึ้นเอนตัวไปมาแล้วกล่าวว่า “ไม่ ไม่ไหวแล้ว ข้า ข้าดื่มมากไปแล้ว ข้า ข้า ข้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ล้มตัวลงไปข้างหลังแล้ว
โจวอันที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาไวจึงรีบรับตัวเขาไว้ ไม่ให้เขาล้มลงบนพื้น
“ส่งออกไป คืนให้ลูกน้องเขา”
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งทันทีโดยที่ไม่มองเขาแม้แต่น้อย
โจวอันรับคำสั่ง แล้วยกเขาออกไปกับองครักษ์อีกหนึ่งคน
ตอนเข้าไปนั้นเดินเข้าไป แต่ตอนออกมากลับสลบออกไป แม้ว่าจะอยู่ห่างกันมาก แต่ก็ได้กลิ่นสุราที่แรงมาก ไม่ต้องพูด นี่คือเมาแล้วแน่นอน เหล่าขุนนางต่างส่ายหัวไปมา ฮ่องเต้ของรัฐอิงนี่ ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ยังไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป ก็กลายสภาพเป็นเช่นนี้ไปแล้ว คิดว่าประโยคสู่ขอก็ยังไม่ทันเอ่ยแน่นอน เสียหน้าฮ่องเต้ของรัฐเขาจริงๆ
ลูกน้องของท่าป๋าหั่นหลินเห็นเขาถูกยกออกมา คิดว่าถูกตี จึงตกใจเป็นอย่างมาก ต่างวิ่งมาทางนี้ จนได้กลิ่นสุราที่ฉุนเข้าจมูก ก็หน้าแดงกันทันที เจ้านายของตัวเองนั้นไม่ไหวจริงๆ เวลาสั้นๆ แค่นี้ก็ถูกโยนออกมาแล้ว
แต่ว่า ที่ถูกโยนออกมา เพราะตอนที่โจวอันยกท่าป๋าออกมานั้น ได้รับคำสั่งจากสายตาของหวงฝู่อี้เซวียน ฉะนั้น หลังจากก้าวขาออกจากประตูจวน ก็ตะคอกใส่ลูกน้องของท่าป๋าว่า “รับเจ้านายของพวกเจ้าให้ดี” แล้วใช้แรงโยนเขาออกไปพร้อมกัน ส่วนเรื่องที่พวกเขาจะรับทันหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้ว ไม่เกี่ยวกับทางนี้
ท่าป๋าหั่นหลินถูกโยนออกไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงโบกมือให้คนใช้ในห้องออกไป เอนตัวไปข้างหลัง พิงบนเก้าอี้ แล้วมองหวงฝู่ซวิ่นด้วยรอยยิ้ม ปรึกษาอย่างใจเย็นว่า “พี่ใหญ่ พวกเรามาดื่มอีกหนึ่งไหสุราเป็นไง”
หวงฝู่ซวิ่นตกใจจนกระโดดขึ้นมา ตะเกียบในมือก็ตกลงบนพื้นทันที “เซวียน เซวียน เซวียน น้องเซวียนเจ้าฟังข้าพูด…”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดตัดหน้าเขา “พี่ใหญ่ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่หวังดี ฉะนั้นจึงอยากจะขอบคุณพี่ใหญ่”
เรียกพี่ใหญ่หลายครั้ง จนหวงฝู่ซวิ่นเริ่มตกใจกลัว รีบประจบสอพลอด้วยรอยยิ้มว่า “น้องเซวียน ข้าก็รู้ว่าเสด็จอาและเจ้าไม่อยากให้เย่ว์เอ๋อร์แต่งออกเรือนไปไกล แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ จากฐานะของเย่ว์เอ๋อร์ของพวกเราแล้ว ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดเหมาะสมจริงๆ ข้าทำเยี่ยงนี้ก็เพราะคิดแทนเย่ว์เอ๋อร์ หรือว่าเจ้าอยากจะให้เย่ว์เอ๋อร์แก่อยู่ที่จวน”
“จวนอ๋องฉีของเราเลี้ยงนางไม่ได้หรือ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามเบาๆ
“พูดอย่างนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มต้องแต่งภรรยา หญิงสาวต้องออกเรือน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อดีตแล้ว แม้แต่เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์ก็ไม่ยกเว้น แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ยินยอมเพียงใด แต่พวกนางก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานอยู่ดี”
หวงฝู่อี้เซวียนเงียบไป
หวงฝู่ซวิ่นเห็นว่าเขาเข้าใจแล้ว จึงถอนหายใจออกมา แล้วยกมือขึ้น เช็ดเหงื่อบนหน้าของตัวเอง
ได้ยินว่าท่าป๋าหั่นหลินถูกโยนออกไป อารมณ์ของท่านอ๋องฉีก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย
แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่อยู่กับครอบครัวเมิ่งเป็นเพื่อนพระชายาฉีได้ยินเรื่องที่ท่าป๋าหั่นหลินมาสู่ขอ ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร ตื่นเต้นเล็กน้อย ดีใจเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
หลังจากทานอาหารเสร็จ หวงฝู่ซวิ่นก็กลับไป เหล่าขุนนางก็พาครอบครัวกลับไป ในจวนจึงสงบขึ้นมาทันที
พ่อบ้านสั่งให้คนเก็บโต๊ะอาหาร ทำความสะอาดให้เรียบร้อย
ครอบครัวเมิ่งตั้งใจกลับช้าที่สุด ค่อยๆ หยิบของขวัญที่เตรียมไว้ให้หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมาให้พวกนาง ตั๋วเงิน เครื่องประดับ เสื้อผ้าที่เข้ากับรูปร่าง สิ่งของที่หายากมากมาย มีหมดทุกอย่าง เต็มครึ่งห้องไปหมด
“เมื่อครู่แขกเยอะ ไม่ได้เอาออกมา พวกเจ้าสองคนดูซิว่าชอบหรือไม่” เมิ่งซื่อกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้าด้วยความดีใจ “ชอบเจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านยาย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ดีใจเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้อบขอบคุณข้า สิ่งของพวกนี้มิใช่ข้าที่เป็นคนเตรียมไว้ให้พวกเจ้า พวกลุงพวกนี้ของพวกเจ้าต่างหากที่เป็นคนหามาให้พวกเจ้า”
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์เริ่มขอบคุณทีละคน ตั้งแต่เมิ่งจงจวี่สองสามีภรรยาจนครบทุกคน ครอบครัวเมิ่งดีใจกันมาก พูดคุยกันในห้องเป็นเวลานาน
เงยหน้ามองท้องฟ้าด้านนอก เมิ่งจงจวี่จึงลุกขึ้นมากล่าวว่า “มืดแล้ว พวกเราก็ควรกลับกันแล้วล่ะ”
ทุกคนจึงเดินออกไปข้างนอก ขึ้นบนรถม้า แล้วกลับไปที่จวนนอกเมือง
ส่งครอบครัวเมิ่งกลับไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหลังเดินมาที่เรือนของพระชายาฉีทันที เพิ่งจะนั่งลง ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ ข้างนอกมีคนมาขอพบขอรับ”
เห็นสีหน้าของเขาแล้ว ท่านอ๋องฉีก็รอทันทีว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน จึงโมโหขึ้นมาทันที ตะคอกออกมาว่า “ผู้ใด”
พ่อบ้านตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย กล่าวตอบด้วยความกลัวว่า “เยียลี่ว์ องค์ชายรัชทายาทของรัฐหมิงขอรับ”
เขายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกท่านอ๋องฉีตะคอกตัดหน้าว่า “ไล่เขาออกไป”
“ขอรับ ท่านอ๋อง” พ่อบ้านตกใจจนเดินถอยหลังหนึ่งก้าว รีบรับคำสั่ง แล้วหันหลังเดินออกไปข้างนอกทันที
“ช้าก่อน”
พระชายาฉีออกเสียงห้ามเขาไว้
พ่อบ้านหยุดเดิน แล้วหันกลับมาด้วยความกลัวจนใจเต้นรัว
พระชายาฉีมองไปทางท่านอ๋องฉีแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง วันนี้เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์เข้าสู่วัยสาว เป็นวัยที่ต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่องค์ชายรัชทายาทของรัฐหมิงคนนี้ ก็ยังมีผู้อื่น หรือว่าท่านจะปฏิเสธทุกคนเช่นนี้หรือเพคะ”
อ๋องฉีอ้าปาก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พระชายาฉีเอ่ยต่อว่า “ข้าว่าองค์ชายรัชทายาทของรัฐหมิงคนนี้ดี อย่างน้อยเขาก็ไม่มาตอนเช้าเหมือนท่าป๋าหั่นหลิน เพื่อให้ทุกคนในเมืองหลวงรับรู้ เห็นแก่ส่วนนี้ พวกเราก็ควรให้เขาเข้ามา”
ท่านอ๋องฉีสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ กล่าวด้วยสีหน้าจนใจว่า “ซู่อิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์ชายรัชทายาทของรัฐหมิงนั้นแท้จริงหมายถึงอะไร”
พระชายาฉีหยุดชะงักไป แล้วถามกลับไปว่า “มิใช่องค์ชายรัชทายาทหรือ ยังมีอย่างอื่นหรือ”
“ตอนนี้เขาเป็นองค์ชายรัชทายาท ต่อไปเขาก็จะเป็นฮ่องเต้ เขาเหมือนกับซวิ่นเอ๋อร์ จะต้องมีสามตำหนักหกหมู่เรือน มีพระสนมมากมายนับไม่ถ้วน หรือว่าเจ้าอยากให้เมิ่งเอ๋อร์ไปแย่งความรักกับสตรีอื่นๆ หรือ”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 108 กังวลใจ
พระชายาฉีอ้าปาก ไม่รู้จะเอ่ยอะไร
ในห้องเงียบลงทันที ทุกคนต่างหนักใจ ความดีใจที่เด็กสาวทั้งสองคนเข้าสู่วัยสาวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
ผ่านไปสักพักใหญ่ พระชายาฉีจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เสียใจและจนใจว่า “ไม่ว่าอย่างไร ก็เชิญให้เขาเข้ามาก่อนเถิด แม้ว่าจะหนีวันนี้ไปได้ ต่อไปก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”
ท่านอ๋องฉีไม่เอ่ยอะไร
พ่อบ้านก็ยืนตรงไม่กล้าขยับ
ผ่านไปอีกสักพักใหญ่ ท่านอ๋องฉีโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรงแล้วกล่าวว่า “เชิญเขาไปที่ห้องโถงรับแขก”
พ่อบ้านเข้าใจความหมายของเขา จึงหันหลังเดินออกไปทันที
ด้านนอกประตูจวนมีเพียงเยียลี่ว์อาเป่ายืนด้วยจิตใจกระสับกระส่ายอยู่ผู้เดียว เอาแต่เงยหน้ามองไปในจวนบ่อยครั้ง ตอนที่เห็นพ่อบ้านวิ่งออกมาอย่างรีบร้อนนั้น บนใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มที่ดีใจและกังวลใจออกมา
พ่อบ้านเดินออกมาจากประตูจวน ยืนอยู่ข้างๆ ประตู ยื่นมือออกมาทำท่าเชิญแล้วกล่าวว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ เชิญขอรับ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยียลี่ว์ก็สดใสขึ้นมาทันที หลังจากขอบพระทัยเสร็จแล้ว ก็ยกขาแล้วเดินเข้าไปในจวนทันที
ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนนั้นนั่งรออยู่ในห้องโถงรับแขกแล้ว เห็นเขาเข้ามา ทั้งสองก็ไม่ขยับ
เยียลี่ว์อาเป่าเดินเข้ามา ก้มตัวลง ทำความเคารพทั้งสองแล้วกล่าวว่า “ทำความเคารพท่านอ๋อง ทำความเคารพซื่อจื่อ”
ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจจึงกล่าวว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์อย่าได้เกรงใจ เชิญนั่ง”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
หลังจากนั่งลงแล้ว ก็ไม่ปิดบังความตั้งใจของตน กล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่ท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์เข้าสู่วัยสาว ข้าจึงตั้งใจมาจากรัฐหมิง เพื่อมาสู่ขอกับท่านอ๋องและซื่อจื่อด้วยตัวเอง”
ท่านอ๋องฉีจึงคิดขึ้นได้ว่ามีอะไรแปลกไป จึงใช้สายตาคมแหลมมองพินิจพิเคราะห์เขา แล้วกล่าวถามด้วยสีหน้าเรียบว่า “ไม่ได้เจอกันสองปี ไท่จื่อเยียลี่ว์พูดภาษารัฐอู่ได้ดีมาก”
เยียลี่ว์อาเป่าหน้าแดงเล็กน้อย กล่าวตอบอย่างตรงๆ ว่า “ขอรับ สองปีก่อน คำพูดทุกประโยคของท่านอ๋องข้าจำได้ทุกคำ หลังจากกลับไปข้าจึงเริ่มฝึกฝนเรียนรู้ภาษารัฐอู่ แม้ว่าจะพูดได้ไม่ดีเท่าใดนัก แต่การสนทนาในชีวิตประจำวันนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน”
ท่านอ๋องฉีซึ้งใจเล็กน้อย พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์มีใจแล้ว”
“ข้าอยากจะสู่ขอท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์ ก็ต้องแสดงความจริงใจของข้าออกมา จะให้รอหลังจากแต่งงานกันแล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกท่านอ๋องพูดตัดหน้าว่า “คิดว่าไท่จื่อเยียลี่ว์น่าจะไม่เข้าใจอยู่หนึ่งเรื่อง คำพวกนั้นล้วนเป็นคำปฏิเสธของข้า ความตั้งใจจริงของพวกข้าคือไม่ให้เมิ่งเอ๋อร์แต่งออกเรือนไปไกล พูดตรงๆ ก็คือ ไม่ยินยอมกับการสู่ขอของเจ้า ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่”
เขาพูดตรงๆ เยี่ยงนี้ ไม่วกไปวนมา เยียลี่ว์อาเป่าได้ยินก็เข้าใจทันที ความหวังที่ตั้งใจสูญเปล่า จึงรับไม่ได้เล็กน้อย สีหน้าขาวซีดขึ้นมาทันที อ้าปากหลายครั้ง กว่าจะเอ่ยออกมาได้ว่า “ท่าน…ท่านอ๋อง ข้า…”
“ดูเหมือนว่าไท่จื่อเยียลี่ว์จะฟังเข้าใจแล้ว ถ้าเยี่ยงนั้นก็เชิญกลับไปเถิด วันนี้ต้องต้อนรับดูแลแขกมาครึ่งค่อนวัน พวกข้าก็เหนื่อยมากแล้ว” เห็นว่าเขาฟังเข้าใจแล้ว ท่านอ๋องฉีก็พูดอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ไม่ให้โอกาสเขาได้เอ่ยแม้แต่คำเดียว
เยียลี่ว์อาเป่าอ้าปากอยู่หลายครั้ง แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนเงียบไม่พูดจา
ท่านอ๋องฉีมองไปทางเขา เยียลี่ว์อาเป่าจึงลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจ กัดฟัน แล้วกล่าวถามว่า “ท่านอ๋อง ข้าเตรียมของขวัญให้ท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์ จะเป็นไรไหมหาก…”
“ชายหญิงไม่ควรให้ของขวัญกันไปมา คิดว่าไท่จื่อเยียลี่ว์น่าจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ หากเจ้าอยากจะขอบใจเรื่องที่ช่วยชีวิตเจ้าในตอนนั้น ก็ไม่ควรทำลายชื่อเสียงของเมิ่งเอ๋อร์”
ท่านอ๋องฉีพูดอย่างไร้ความปรานี สีหน้าของเยียลี่ว์อาเป่ายิ่งอยู่ยิ่งขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ รอบตัวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่โศกเศร้า ยืนอยู่ที่เดิม ไม่พูดจาอะไร
“ไท่จื่อเยียลี่ว์ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่” ท่านอ๋องฉีกล่าวถาม
เยียลี่ว์อาเป่ารู้สึกตัวขึ้นมา กล่าวตอบว่า “ไม่ ไม่มีแล้ว เยียลี่ว์ขอตัวลาก่อน”
“เชิญ”
ท่านอ๋องฉีพูดจบประโยคนี้ ก็พูดตักเตือนอย่าง ‘หวังดี’ ว่า “หากไท่จื่อเยียลี่ว์มาเพื่อสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์เท่านั้น ก็ไม่ต้องเข้าวังไปพบฮ่องเต้แล้ว วันนี้ฮ่องเต้อารมณ์ดีมาก จึงดื่มไปหลายแก้ว น่าจะกลับไปพักผ่อนที่วังแล้ว หากเจ้าไปพบก็อาจจะไม่เจอ กลับรัฐหมิงไปเลยจะดีกว่า”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง เยียลี่ว์เข้าใจแล้ว”
พูดจบ ก็หันหลังเดินออกไปทันที ไม่มีความสุขและความดีใจเหมือนตอนที่เดินเข้ามา รอบตัวเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เห็นเขาเดินออกจากห้องโถงรับแขกไปไกลแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
ท่านอ๋องฉีมองเขาด้วยหางตา กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอันตรายว่า “เจ้ามีความคิดเห็นหรือ”
สำหรับท่านอ๋องฉีเรื่องแต่งงานของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นเรื่องที่แตะต้องไม่ได้ ใครพูดถึงเป็นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือวันนี้ท่าป๋าหั่นหลินและเยียลี่ว์อาเป่ามาที่จวนพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย ท่านอ๋องฉีโมโหเพียงใดไม่ต้องพูดถึง หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยากทำให้เขาโมโหตอนนี้ ไม่เยี่ยงนั้นจะต้องถูกไล่ตีไปทั่วจวนเหมือนทุกครั้งแน่นอน จึงไม่กล้าตอบ รีบลุกขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อ วันนี้ข้าดื่มสุรามากไป ข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน”
ท่านอ๋องฉีออกเสียง “หึ” เบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำขมขู่ว่า “เรื่องเมื่อครู่ไม่ต้องบอกกับเสด็จแม่ของเจ้า หากนางรู้ขึ้นมา เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร”
“ลูกดื่มมากไปแล้ว จำอะไรไม่ได้เลย เสด็จพ่อวางใจเถิด” หวงฝู่อี้เซวียนรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว
ท่านอ๋องฉีจึงจะพอใจ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปข้างนอก
หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลัง
สองพ่อลูกต่างคนต่างเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เยียลี่ว์อาเป่าเดินออกจากจวนอ๋องฉีเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลูกน้องที่หลบอยู่ที่มืดตามคำสั่งของเขาเห็นท่าทางของเขาแล้ว ก็ร้อนใจมาก แต่ก็ไม่กล้าแสดงตัวออกไปพบ ทำได้เพียงอดทนรอจนเขาเดินผ่านทางโค้งหนึ่ง จึงแสดงตัวออกมา แล้วกล่าวถามว่า “ไท่จื่อ เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
เยียลี่ว์อาเป่าเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย แล้วก้มลงไปอีกครั้ง โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรงแล้วกล่าวว่า “ไปเถิด พวกเรากลับกันเถิด”
“กลับ กลับไปไหนขอรับ”
“กลับไปที่โรงเตี๊ยมก่อน ให้เวลาข้าสักพักแล้วเดี๋ยวข้าจะบอก”
เยียลี่ว์อาเป่าและลูกน้องเดินทางมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หาโรงเตี๊ยมดีๆ ที่หนึ่งแล้วพักอยู่ที่นั้น ตอนแรกคือตั้งใจจะมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ก็กลัวดึงดูดความสนใจของผู้คน จึงให้คนของลูกน้องมาจ้องมองอย่างเงียบๆ รอจนแขกในจวนเดินทางกลับไปหมดแล้ว จึงจะมาที่จวน
ลูกน้องรับคำสั่ง โบกมือ ก็มีรถม้าหนึ่งคันมาแต่ไกล เยียลี่ว์อาเป่ามู่เน่อขึ้นไปนั่ง ร่างกายเอนไปมาตามรถม้าจนถึงโรงเตี๊ยม
หวงฝู่สือเมิ่งไม่รู้เรื่องของเยียลี่ว์อาเป่า คนในจวนก็ไม่ได้พูดถึง แต่ท่าป๋าหั่นหลินนั้น เข้ามาอย่างโจ่งแจ้ง แม้ว่าอยากจะปิดบังไม่ให้หวงฝู่เย่าเย่ว์รับรู้ก็เป็นไปไม่ได้ คิดไปคิดมา หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เรียกหวงฝู่เย่าเย่ว์มา กล่าวถามว่า “เย่ว์เอ๋อร์ พ่อกับแม่เคยบอกแล้วว่า เรื่องแต่งงานของเจ้าและเมิ่งเอ๋อร์ให้พวกเจ้าตัดสินใจกันเอง ตอนนี้พวกข้าจะถามเจ้า เรื่องสู่ขอของท่าป๋าหั่นหลินนั้น เจ้ามีความคิดอย่างไร”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หน้าแดงด้วยความเขินอายทันที ก้มหัวลง จับปลายเสื้อของตัวเองไว้แน่นโดยไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจอย่างเงียบๆ สองปีก่อน ท่าป๋าหั่นหลินให้กระดาษแผ่นนั้นมา เย่ว์เอ๋อร์ก็วิ่งออกไปทันที แม้ว่าสุดท้ายจะรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ถูก วิ่งกลับมา แต่ในใจนั่นต้องมีความคิดแบบนั้นแล้วแน่นอน ไม่เยี่ยงนั้นนางจะต้องตีขาท่าป๋าหั่นหลินให้หักหนึ่งข้างแน่นอน จะมีสีหน้าท่าทางบิดตัวไปมาเยี่ยงนี้ได้อย่างไร
หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดถึงนี้พอดี สีหน้าเริ่มไม่ดีเล็กน้อย
ไม่รู้เพราะเหตุใด บนตัวของท่าป๋าหั่นหลินนั้นมีความรู้สึกไม่ชอบมาพากลแปลกๆ แม้ว่าจะปกปิดได้ดี แต่เขาก็ดูออก เขารู้สึกว่าที่คนนี้อยากจะสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์นั้นไม่ได้จริงใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ปีนั้นเขาได้ฆ่าองค์ชายใหญ่ พี่ชายแท้ๆ ของท่าป๋าหั่นหลินด้วยตัวเอง ถ้าตามหลักความจริงแล้วพวกเขาถือว่าเป็นศัตรูกัน จะมีความจริงใจในการมาสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ได้อย่างไร
ถอนหายใจในใจอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยน้ำเสียงโน้มน้าวใจว่า “แม่รู้ ว่าผ่านพิธีเข้าสู่วัยสาวแล้ว เจ้าก็ถือว่าเป็นสาวแล้ว ถึงวัยที่ต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว แต่แม่กับพ่อของเจ้าก็อยากให้พวกเจ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่เยี่ยงนั้นต่อไปหากพวกข้าคิดถึงเจ้า ยังต้องเดินทางไกลเพื่อไปหาเจ้า”
“มิใช่ว่ายังมีพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ ท่านแม่มีพี่ใหญ่อยู่ข้างๆ ก็เหมือนกัน พวกข้าหน้าตาเหมือนกัน หากท่านแม่คิดถึงข้าก็ดูหน้าพี่ใหญ่ได้” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดออกมาทันที พูดจบ ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดไม่เหมาะสม รีบโบกมือแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้า…”
ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจแรงขึ้นอีก “แม่รู้ความคิดของเจ้าแล้ว แต่แม่ยังอยากรู้ว่า เพราะเหตุใดเจ้าจึงชอบใจท่าป๋าหั่นหลิน”
“เพราะว่าเขาเสี่ยงชีวิตช่วยพวกเราไว้ เสี่ยงชีวิตช่วยท่านปู่ ท่านย่า พี่ใหญ่และข้าไว้”
พอพูดถึงเรื่องในอดีต ดวงตาทั้งสองข้างของหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นประกาย มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธา
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วทันที เรื่องที่ท่าป๋าหั่นหลินปรากฎตัวที่เจียงหนานในตอนนั้น เขาสงสัยมาตลอดว่าเขามีเป้าหมายอะไร แต่ก็หาหลักฐานไปเจอสักที เขาก็พูดอะไรไม่ได้
เห็นสีหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ทันทีว่าลูกสาวคนนี้ของตัวเองนั้นรั้งเอาไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ แม้ว่าจะบังคับให้นางเก็บความคิดของนาง ก็เกรงว่าต่อไปก็คงไม่ยินยอมกับการสู่ขอของผู้อื่นแน่นอน
“ต้องเป็นแค่เขาคนเดียวหรือ” กล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
หวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดชะงักไปเล็กน้อย มองสีหน้าของนางและหวงฝู่อี้เซวียน กัดริมฝีปาก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความสุขเหมือนเมื่อครู่ว่า “ลูกจะเชื่อฟังท่านพ่อท่านแม่”
เห็นสีหน้าของลูกสาวแล้ว ตั้งแต่ข้ามเวลามา เป็นคนที่อยู่มาสองชาติ เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกไร้เรี่ยวแรง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงว่า “พ่อกับแม่เข้าใจความรู้สึกของเจ้าแล้ว เจ้ากลับห้องไปก่อนเถิด พวกข้าขอคิดดูก่อน”
“เจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ทำความเคารพ แล้วเดินออกไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อี้เซวียนก็มองเมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งสองต่างไม่พูดจา สีหน้ามีกังวลใจ
หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับเข้าไปในห้อง ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีและไม่มีชีวิตชีวา
หวงฝู่สือเมิ่งกล่าวถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เป็นอะไร มีเรื่องอะไรไม่ดีหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์อ้าปาก อยากจะบอกนาง กำลังจะเอ่ยออกมา แต่ก็กลืนคำพูดกลับไป ส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไร พี่ใหญ่ ข้าเพียงแค่เพลียเล็กน้อย”
จากการใช้ชีวิตร่วมกันมาสิบห้าปี หวงฝู่สือเมิ่งจะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่านางตั้งใจตอบผ่านๆ เท่านั้น แต่ว่าดูจากท่าทางของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูด จึงไม่ได้ถามอีก ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “เจ้านอนพักผ่อนก่อนเถิด ข้ามีเรื่องไปหาท่านพ่อท่านแม่ก่อน”
“พี่ใหญ่…” หวงฝู่เย่าเย่ว์เรียกนางไว้ จะพูดอะไรออกมาแต่สุดท้ายก็ไม่พูด
หวงฝู่สือเมิ่งหยุดเดิน หันหลับมา แล้วมองนางด้วยความไม่เข้าใจ
หวงฝู่เย่าเย่ว์รวบรวมความกล้าทั้งหมด แล้วกล่าวถามออกมาว่า “ถ้าหากข้าแต่งออกเรือนไปไกล พี่อยู่ข้างๆ ท่านพ่อท่านแม่ได้หรือไม่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น