ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 98-103

ตอนที่ 98 ไปจวนตระกูลเฝิง

 

เปาอีฝานพยักหน้าลงน้อยๆ “ข้าทราบแล้ว ขอบคุณ”


 


 


“ใช่แล้ว ข้าเปิดโรงหัตถกรรมหลังหนึ่งไว้ที่เมืองอุดร คิดจะหาคนทำกุนเชียงเสียหน่อย หลายปีมานี้กุนเชียงในตระกูลล้วนออกขายให้คุณชายเซี่ยมาตลอด ฉะนั้นข้าจึงเตรียมเขียนจดหมายให้เขาฉบับหนึ่ง รอขบวนม้าของตระกูลกลับไปก็ให้นำติดกลับไปด้วย ท่านไม่ติดใจที่ข้าจะนำเรื่องของท่านบอกเขาหรอกใช่หรือไม่”


 


 


คิดถึงเซี่ยเจียงเฟิง จูหลานและอันอี่หยวนทั้งสามคน บนใบหน้าเปาอีฝานเต็มไปด้วยความรำลึกถึง ส่ายหน้า “ไม่ติดใจ แม่หญิงเมิ่งบอกพวกเขาว่า หากมีเวลาว่างก็ให้พวกเขามาที่เมืองหลวงสักครั้งหนึ่ง หลายปีไม่ได้พบหน้า ข้าคิดถึงพวกเขาเหลือเกิน”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า “ได้ วันนี้ข้าจะกลับไปเขียน พรุ่งนี้ขบวนม้าของตระกูลก็จะกลับแล้ว คาดว่าหลังจากที่ได้รับจดหมาย ผ่านไปไม่กี่วันพวกเขาก็คงจะรีบเดินทางมา”


 


 


“กำชับพวกเขาว่าไม่ต้องเร่งรีบ ตอนนี้อาการบาดเจ็บข้าสาหัสนัก ต่อให้พวกเขามาพวกเราก็ไม่อาจร่ำสุราสนทนาพาเพลินกับพวกเขาได้ ต้องขอให้พวกเขาผ่านไปสักช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วค่อยมาเถิด” เปาอีฝานพูด


 


 


เมิ่งเชียนโยวยิ้มพลางส่ายหน้า “พวกท่านสนิทสนมกันดุจพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แล้วยังไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปี ตอนนี้ได้ยินว่าท่านเกิดเรื่อง พวกเขานั่งนิ่งอยู่ได้ถึงจะแปลก ตอนนี้ท่านรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะร่ำสุราสนทนาพาเพลินอีกหรือ ท่านอย่าได้คิดเชียว รักษาอาการบาดเจ็บให้ดีเถิด” เปาฮูหยินพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว ฝานเอ๋อร์ แม่หญิงเมิ่งพูดถูก ตอนนี้ท่านจะต้องรักษาอาการบาดเจ็บเสียก่อน รอพวกเขาทั้งหลายมาก ท่านจะได้มีเรี่ยวแรงต้อนรับพวกเขา”


 


 


เมิ่งเชียนโยวเอ่ยกำชับเปาฮูหยินและซูนฮุ่ยว่าจะต้องให้เปาอีฝานดื่มยาตรงเวลา จะต้องเคี่ยวโสมให้เขาดื่มลงไปทุกวัน พลางพูดว่า “โสมที่เหลืออยู่แม้จะมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ฤทธิ์ยาก็ไม่เลวนัก เคี่ยวเสร็จแล้วให้คุณชายเปาดื่มวันละหนึ่งถ้วย ทานหมดแล้วก็มาบอกข้า”


 


 


โสมต้นหนึ่งมีค่าหลายพันตำลึง อายุร้อยปีขึ้นไปยิ่งมีมูลค่ากว่าพันชั่ง แม่หญิงเมิ่งพูดออกมาโดยไม่กะพริบตาว่าจะมอบให้จำนวนหนึ่ง ในใจของเปาฮูหยินและเปาชิงเหอซาบซึ้งเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ได้ยินเมิ่งเชียนโยวพูดเช่นนี้ เปาฮูหยินก็รีบพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะต้องพูดเช่นไรดี พันประโยคหมื่นประโยคก็ไม่อาจแสดงถึงความตื้นตันใจที่ข้ามีได้”


 


 


เมิ่งเชียนโยวยิ้มพลางพูดว่า “ท่านป้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ โสมเหล่านี้ข้าไม่ได้ใช้ตำลึงไปแลกมา มีคนมอบให้ ข้าเองก็ยืมดอกไม้มาถวายพระ นำมาให้คุณชายเปาได้ใช้”


 


 


แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมุนไพรชั้นดีที่หาได้ยาก นางนำออกมาทั้งหมดอย่างไม่ลังเล อาศัยเพียงความผูกพันระหว่างพี่น้องญาติมิตรนี้ก็มากพอที่จะทำให้คนตระกูลเปาซาบซึ้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


 


เกรงว่าเปาฮูหยินจะพูดคำพูดซาบซึ้งใจอะไรออกมาอีก เมิ่งเชียนโยวรีบพูดว่า “ในเมื่อคุณชายเปาไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ข้าเองก็จะไม่รั้งตัวอยู่นานนัก ยังมีเพื่ออีกคนหนึ่งที่ร่างกายไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก ข้าจะไปดูที่จวนสักครั้ง”


 


 


ดูอาการบาดเจ็บให้คนป่วยเป็นเรื่องสำคัญ เปาฮูหยิน เปาชิงเหอและซุนฮุ่ยจึงไม่ได้รั้งตัวนางให้อยู่รับประทานอาหารเย็น ทั้งสามคนเดินออกไปส่งนางหน้าประตูจวน เห็นนางนำชิงหลวนและจูหลีเดินห่างออกไปไกล แล้วถึงได้หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในจวน


 


 


เมิ่งเชียนโยวเดินไปยังโรงหัตถกรรม หวงฝู่อี้เซวียนเดินวนรอบโรงหัตถกรรมไปแล้วรอบหนึ่ง


 


 


คนงานในโรงหัตถกรรมไม่รู้ตัวตนของเขา เห็นเขาสวมเสื้อผ้าหรูหราชั้นสูง คิดว่าจะต้องเป็นเพื่อนของเถ้าแก่ หลังจากที่มองเขาด้วยสายตานึกแปลกใจแล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเขาอีก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศเช่นนี้มากนัก เหมือนตอนแรกที่ตนเองไปอยู่บ้านนอก


 


 


เมิ่งฉีเห็นเขา ก็นึกแปลกใจอยู่บ้าง ถามเขาเหตุใดถึงได้มากะทันหัน เพราะว่ามีเรื่องใดหรือไม่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเล่าเรื่องเมิ่งเชียนโยวไปจวนตระกูลเปาเพื่อดูอาการบาดเจ็บให้เปาอีฝานรวมไปถึงอีกครู่หนึ่งตนเองจะไปจวนตระกูลเฝิงเป็นเพื่อนนาง เพื่อที่จะไปดูอาการเจ็บป่วยของเฝิงจิ้งเหวินให้ฟัง


 


 


เมิ่งฉีได้ยินว่าเขาจะตามไปจวนตระกูลเฝิงด้วย ถึงได้วางใจขึ้นพูดว่า “ไปกลับเช่นนี้ลำบากเจ้าแล้ว รอจนผ่านไปสองสามวันไม่มีอะไรแล้ว จะต้องให้น้องสาวทำของอร่อยสองสามอย่างให้ทาน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรอคอยความลำบากเช่นนี้ยิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกวันก็จะได้อยู่ค้างในห้องเมิ่งเชียนโยวแล้ว แน่นอนว่าคำพูดนี้เขาไม่กล้าพูดออกมา มิเช่นนั้นจะต้องถูกเมิ่งฉีหยิบมีดไล่ฆ่าไปทั่วโรงหัตถกรรมเป็นแน่ เขาพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “พี่รองพูดอะไรกัน โยวเอ๋อร์เป็นสตรีของข้า ข้าไปรับส่งนางก็ถือเป็นเรื่องสมควร”


 


 


เมิ่งฉีมองเขาทีหนึ่ง ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยความหมายในคำพูดของเขา พูดว่า “จะปีใหม่แล้ว หากเรื่องแต่งงานของเจ้ายังถอนก่อนจะหมดปีไม่ได้ ข้าจะพาโยวเอ๋อร์กลับบ้านไปฉลองปีใหม่ สำหรับจะกลับมาหรือไม่ก็ต้องความคิดของท่านพ่อท่านแม่แล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแสดงการรับประกัน “พี่รอง วางใจ ก่อนจะหมดปีข้าจะต้องสร้างความกระจ่างให้กับโยวเอ๋อร์เป็นแน่”


 


 


พูดจบประเด็นแล้วก็หยุด หลังจากนี้จะทำเช่นไรก็ถือเป็นเรื่องของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว เมิ่งฉีไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


หลังจากที่เมิ่งเชียนโยวมาถึง เมิ่งฉีก็เอ่ยกำชับสองสามประโยคให้นางรีบไปรีบกลับ มองดูพวกเขาออกจากโรงหัตถกรรมไป


 


 


หลังจากที่ทั้งสองคนขึ่นรถม้าไปแล้ว เมิ่งเชียนโยวก็เอ่ยสั่งจูหลี “เจ้ากลับจวนไปเอาเข็มเงินของข้ามา”


 


 


จูหลีรับคำ จากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ทั้งสองคนนั่งบนรถม้า เมื่อไปถึงจวนตระกูลเฝิงหวงฝู่อี้เซวียนก็ให้รถม้าหยุดลง พูดกับเมิ่งเชียนโยวว่า “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้ารีบออกมา”


 


 


คืนนี้ไม่เพียงแต่ดูอาการเจ็บป่วยให้เฝิงจิ้งเหวินเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกด้วย ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเพียงใด เมิ่งเชียนโยวทำใจให้เขานั่งรออยู่ในรถม้าเช่นนี้ไม่ได้ พูดว่า “ข้าน่าจะต้องอยู่ในจวนตระกูลเฝิงเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่งเลยทีเดียว หากท่านไม่มีธุระอะไร ก็ไปทานอาหารที่เหลาจวี้เสียนเสียหน่อย จากนั้นค่อยมารับข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ดี หลังจากนี้หนึ่งชั่วยามข้าจะมารับเจ้า เจ้าเองก็พยายามให้เร็วเสียหน่อย”


 


 


เมิ่งเชียนโยวรับคำ ลงจากรถม้าของเขากลับขึ้นไปนั่งบนรถม้าของตนเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองดูนางเดินไปหน้าประตูจวนตระกูลเฝิงอย่างปลอดภัยถึงได้เอ่ยสั่งคนบังคับรถม้าให้บังคับรถม้าไปยังเหลาจวี้เสียน


 


 


รถม้ามาถึงหน้าประตูจวนตระกูลเฝิง เมิ่งเชียนโยวลงจากรถม้า ชิงหลวนก้าวขึ้นมาแสดงตัวตนของเมิ่งเชียนโยวให้คนดูแลประตูได้รับรู้ คนดูแลประตูรีบวิ่งเข้าไปรายงานด้านในด้วยความรวดเร็ว


 


 


ผ่านไปไม่นานเฝิงจิ้งซูก็รีบวิ่งนำหน้าออกมาก่อน คล้องข้อศอกเมิ่งเชียนโยวเอาไว้ด้วยความกระตือรือร้น เหวี่ยงแขนพานางเดินไปข้างใน “เมื่อครู่นี้ข้ายังพูดกับท่านพี่อยู่เลยว่าเหตุใดวันนี้เจ้าถึงยังไม่ได้ส่งคนมาบอกพวกข้า เพิ่งจะคุยกันจบเมื่อครู่นี้


 


 


เมิ่งเชียนโยวเดินตามนางเข้าไปในจวนนตระกูลเฝิง


 


 


เฝิงฮูหยินและเฝิงจิ้งเหวินมาช้ากว่าเล็กน้อย เร่งชักฝีเท้าเดินมาต้อนรับเช่นเดียวกัน เฝิงจิ้งเหวินพูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าให้คนมาแจ้งข้าแค่คำเดียว ข้าก็จะให้คนไปที่จวนเจ้าก็พอแล้ว ยังต้องรบกวนเจ้าให้มาเองอีก”


 


 


เมิ่งเชียนโยวยิ้มพูดว่า “วันนี้ข้ามีธุระต้องจัดการแถวนี้พอดี เห็นว่าเวลาเย็นมากแล้วจึงได้ตรงมาที่นี่เลย จะได้ไม่ต้องให้พี่เฝิงเหนื่อยไปที่จวนข้าเอง ไม่ได้รบกวนพวกท่านหรอกกระมัง”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินโบกมือ “ไม่รบกวนๆ ข้าคาดหวังให้เจ้ามาบ้านข้าเสียด้วยซ้ำ”


 


 


พูดจบก็แนะนำให้นางรู้จัก “นี่คือท่านแม่ข้า”


 


 


จากนั้นก็แนะนำเมิ่งเชียนโยว “ท่านแม่ นี่คือน้องโยวเอ๋อร์ที่ข้ามักจะพูดให้ท่านฟังอยู่บ่อยๆ”


 


 


เมิ่งเชียนโยวค้อมตัวทำความเคารพ “เฝิงฮูหยิน”


 


 


เฝิงฮูหยินรีบประคองนางเอาไว้ ยิ้มพลางพูดว่า “ข้ามักจะได้ยินเหวินเอ๋อร์และซูเอ๋อร์พูดถึงเจ้าอยู่ตลอด วันนี้ถือว่าได้พบหน้าเสียที ดีกว่าที่พวกนางพูดเสียอีก”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดด้วยความเกรงใจ “ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยจากบ้านนอก เพราะพี่เฝิงและน้องซูไม่นึกรังเกียจถึงได้นับถือกันเป็นพี่น้อง ถือเป็นเกียรติของข้ามากเจ้าค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 99 ลองเชิง

 

“คำพูดของน้องผิดไปแล้วกระมัง ได้รู้จักเจ้าถือเป็นเกียรติของพวกเราสองพี่น้องถึงจะถูก” เฝิงจิ้งเหวินยิ้มพลางพูดขึ้น


 


 


“ท่านแม่ ท่านพี่ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่มาพูดคุยกัน พวกเราเชิญท่านพี่โยวเอ๋อร์ไปนั่งพูดคุยในห้องกันเถิด” เฝิงจิ้งซูเอ่ยเตือนทั้งสองคน


 


 


“ดูข้าซิ เพราะได้พบแม่หญิงเมิ่งดีใจจนเสียมารยาทไป ใช่แล้วๆๆ เข้าไปในห้องก่อน” เฝิงฮูหยินพูดขึ้น


 


 


เมิ่งเชียนโยวเอ่ยขอบคุณ เดินตามผู้คนทั้งหลายเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง


 


 


เฝิงจิ้งเหวินพูด “นี่เป็นเรื่องตอนที่ข้ายังไม่แต่งงานออกไป ท่านพ่อท่านแม่เก็บเอาไว้ให้ข้ามาตลอด หลายวันมานี้ข้าเองก็พักอยู่ที่นี่ โยวเอ๋อร์เองรีบเข้ามาข้างในเถิด”


 


 


พูดจบก็เปิดประตูม่านให้กับเมิ่งเชียนโยวด้วยตนเอง กลุ่มคนเดินกันเข้าไป


 


 


เดินเข้าไปในห้องพากันนั่งลง เฝิงฮูหยินเอ่ยสั่งบ่าวรับใช้ให้ไปรินชามา


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดว่า “บ่าวรับใช้ของข้ากลับไปเอาเข็มเงินมา รบกวนเฝิงฮูหยินเอ่ยกำชับคนเฝ้าประตูเสียหน่อย อีกครู่หนึ่งให้ปล่อยนางเข้ามาก็พอแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชียนโยวยิ้มพลางตอบว่า “ตอนแรกข้าไม่ได้มั่นใจเท่าไรนัก เพียงแค่ทดลองรักษาพี่สะใภ้ดู และก็เป็นเพราะว่านางมีวาสนาสูงส่งนัก ถึงได้มีโอกาสเป็นแม่คนอีกครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้มาพูดเรื่องเหล่านี้ก็ยังเร็วเกินไป เรื่องทั้งหมดต้องผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง พี่เฝิงตั้งท้องก่อนถึงจะมาพูดกันได้อีก”


 


 


ใบหน้าเฝิงจิ้งเหวินเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “ไม่ว่าหลังจากนี้ข้าจะได้เป็นแม่คนหรือไม่ ข้าล้วนซาบซึ้งใจต่อน้องโยวเอ๋อร์ไปตลอดชาติ”


 


 


เมิ่งเชียนโยวโบกมือ “คำพูดของพี่สะใภ้ไม่เห็นข้าเป็นพี่น้องแล้ว ข้ารับฟังคำพูดเช่นนี้ไม่ได้มากที่สุดแล้ว หลังจากนี้ท่านอย่าได้พูดเช่นนี้อีก”


 


 


ตระกูลเฝิงเป็นตระกูลใหญ่ทำการค้า การค้าในตระกูลนั้นทำอย่างใหญ่โต ตัวเฝิงอูหยินเองก็เป็นคนฉลาดเฉลียว ดูออกว่าเมิ่งเชียนโยวไม่อยากฟังคำพูดเกรงอกเกรงใจตามมารยาทอย่างใจจริง จึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา หัวเราะพลางพูดว่า “วันนี้เวลาดึกมาแล้ว แม่หญิงเมิ่งอยู่ทานอาหารที่จวนก่อนเถิด แล้วค่อยรักษาให้เหวินเอ๋อร์”


 


 


สิ่งที่เมิ่งเชียนโยวคิดเอาไว้คืออยู่ในจวนตระกูลเฝิงให้นานสักครู่หนึ่ง ย่อมไม่ปฏิเสธเป็นแน่


 


 


เฝิงฮูหยินสั่งห้องครัวให้เตรียมอาหารประณีตสองสามอย่างเพิ่มขึ้น แล้วก็สั่งให้คนจัดสำรับภายในห้องเฝิงจิ้งเหวิน แม่ลูกทั้งสามคนอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนเมิ่งเชียนโยว


 


 


ผู้คนทั้งหลายทานอาหารไปพลางพูดคุยไปพลาง ในช่วงเวลานั้นก็พูดคุยถึงอาการเจ็บป่วยของเฝิงจิ้งเหวินขึ้นมา


 


 


ภายในห้องมีบ่าวรับใช้คอยดูแลอยู่สองสามคน เมิ่งเชียนโยวแยกสมาธิสังเกตการกระทำของคนในห้องทุกการขยับเคลื่อนไหว ไม่ได้พบว่าใครมีการกระทำที่ผิดปกติ


 


 


หลังจากทานอาหารเสร็จก็นั่งพูดคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง จูหลีเองก้ไปหยิบเข็มเงินมาแล้ว


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดขึ้น “พี่สะใภ้ พวกเราเริ่มกันเถิด”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้า นอนลงบนเตียงของตนเอง ปลดเสื้อของตนเองออกด้วยความคุ้นชิน ห่มผ้าผืนบาง


 


 


เฝิงฮูหยินไม่เคยเห็นมาก่อน มุงเข้ามาด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน รอจนเมิ่งเชียนโยวหยิบเข็มเงินขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันกว่าสิบเล่มออกมาก็ต้องส่งเสียงร้องเสียงเบาออกมา


 


 


เฝิงจิ้งเหวินยิ้มเอ่ยปลอบนาง “ท่านแม่ ไม่เป็นอะไร ไม่เจ็บเจ้าค่ะ”


 


 


เฝิงฮูหยินไฉนเลยจะเชื่อ นึกสงสารจับใจ พูดว่า “เหวินเอ๋อร์ ครั้งนี้หากตั้งท้องอีกครั้งจริง จะต้องจำเอาไว้ให้ดีว่าจะละโมบกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เจ้าดูเข้าซิ ครั้งนี้ต้องเจ็บปวดทนทุกข์มากเพียงใด ตอนนี้ใจแม่เหมือนถูกเข็มเหล่านี้ทิ่มแทง”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้า “ท่านแม่ ข้าจำได้แล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เฝิงฮูหยินหันไปพูดกับเฝิงจิ้งซูว่า “เห็นแล้วหรือไม่ พี่สาวของเจ้าเป็นตัวอย่าง หลังจากนี้เจ้าแต่งงานแล้ว ถ้าตั้งท้องอย่าได้ละโมบกินเด็ดขาด”


 


 


เฝิงจิ้งซูเดินมาถึงข้างกายเฝิงฮูหยินคล้องแขนของนางเอาไว้ พูดออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ข้าไม่แต่งงาน ท่านรีบเป็นกังวลไปเสียแล้ว อีกอย่างท่านพี่เองก็เป็นข้อยกเว้น ท่านดูซิว่าคนอื่นก็ไม่เห็นเป็นอะไร”


 


 


เฝิงฮูหยินยื่นมือออกไปเคาะกลางกระหม่อมนางทีหนึ่ง “เจ้านี่ ทุกเรื่องย่อมมีเหตุผล ไม่รู้ว่าในอนาคตจะไปหาผู้ชายแบบไหนมาคุมเจ้าได้” หลังจากที่เฝิงฮูหยินเอ่ยสั่งก็พูดว่า “ขอบใจแม่หญิงเมิ่งที่รักษาให้เหวินเอ๋อร์ ให้นางยังมีโอกาสได้เป็นแม่คน มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รู้เลยว่าวันเวลาต่อจากนี้นางจะผ่านไปได้อย่างไร”


 


 


เฝิงจิ้งซูหน้าแดงขึ้นในฉับพลัน “ท่านแม่ ตอนนี้กำลังพูดเรื่องอาการป่วยของท่านพี่อยู่ เหตุใดถึงได้พาลมาเรื่องการแต่งงานของข้าเหล่า ข้าพูดแล้วไม่ใช่หรือ ข้าไม่แต่งงานถึงจะดี จะได้อยู่ที่บ้านกับท่านพ่อท่านแม่ตลอดไป”


 


 


เฝิงจิ้งซูเป็นลูกคนเล็กสุดในตระกูล นิสัยดีเช่นเดียวกัน ได้รับความชื่นชอบจากคนในตระกูลมาตั้งแต่เด็ก คู่สามีภรรยาเฝิงเอ็นดูเป็นอย่างมาก ได้ยินคำพูดของนาง เฝิงฮูหยินก็พลางส่ายหน้า “หากเจ้าเชื่อฟังได้สักครึ่งหนึ่งของพี่สาวเจ้า แม่เองก็คงไม่ต้องเป็นห่วงถึงเพียงนี้”


 


 


เฝิงจิ้งซูแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน


 


 


เมิ่งเชียนโยวทำตัวเหมือนปกติ นำเข็มเงินเล่มหนึ่งขึ้นมาปักลงไปบนจุดชีพจรที่แตกต่างออกไปอย่างระมัดระวัง


 


 


เฝิงฮูหยินมองดู นึกสงสารเป็นอย่างมาก ดวงตาแดงก่ำอย่างห้ามไม่ได้


 


 


เฝิงจิ้งเหวินเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ ท่านดูซิ ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ”


 


 


เฝิงฮูหยินสังเกตนางอย่างละเอียด เห็นนางไม่ได้มีทีท่าเจ็บปวดแม้แต่น้อย บนหน้าผากก็ไม่มีเหงื่อผุดให้เห็น นึกเชื่ออยู่บ้าง พูดอย่างแปลกใจว่า “นี่ทำให้คนนึกแปลกใจเกินไปแล้ว ปักเข็มลงไปบนท้องมากมายเช่นนี้กลับไม่ได้เจ็บปวดเหมือนที่ข้าคิดไว้” พูดจบก็พูดอีกว่า “ฝีมือแพทย์ของแม่หญิงเมิ่งช่างล้ำเลิศยิ่งนัก ทำให้คนนับถือเสียจริง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวกวาดตามองทุกคนที่อยู่ในห้องทีหนึ่ง พูดว่า “เฝิงฮูหยินพูดเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ฝีมือแพทย์ล้ำเลิศนั้นไม่อาจรับไว้ได้ แต่ทำให้พี่สะใภ้ตั้งท้องได้อีกครั้งข้ามีความมั่นใจเจ้าค่ะ”


 


 


เฝิงฮูหยินยินดีเป็นอย่างมาก “จริงหรือ เช่นนี้หลังจากนี้เหวินเอ๋อร์ก็จะต้องมีลูกเป็นแน่ล่ะซิ?”


 


 


เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า ลอบสังเกตอาการคนอื่นภายในห้อง


 


 


ภายในห้องนอกจากพวกเขาสามสี่คนแล้ว ยังมีบ่าวรับใช้ข้างกายเฝิงจิ้งเหวินอีกสามคนที่คอยดูแลรับใช้ คนทั้งหลายเมื่อได้ยินคำพูดนี้ล้วนแสดงท่าทีดีใจออกมาทั้งหมด ดีอกดีใจแทนเฝิงจิ้งเหวินจากใจจริง


 


 


เมิ่งเชียนโยวกวาดตามองพวกนางทีหนึ่งด้วยอาการไม่กระโตกกระตาก หลุบสายตาลงไป พูดกับเฝิงฮูหยินว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่กล้าบอกพี่สะใภ้ ที่จริงแล้วที่ท่านให้กำเนิดทารกไร้ชีวิต ไม่ได้เป็นเพราะท่านทานของแสลง แต่เป็นเพราะมีคนนำยาพิษไปใส่ไว้ในอาหารที่ท่านทานอยู่ทุกวัน ถึงได้ทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้”


 


 


แม่ลูกสามคนถลึงตาโตพร้อมกัน เฝิงจิ้งเหวินยิ่งไม่นึกเชื่อ เอ่ยถามเสียงสั่น “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าพูดจริงหรือ”


 


 


เมิ่งเชียนโยวแสดงท่าทีเคร่งขรึม “พี่สะใภ้ ท่านเห็นว่าข้ามีท่าทีล้อเล่นเช่นนั้นหรือ ในร่างกายของท่านยังคงมีซากพิษที่หลงเหลืออยู่ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้จับชีพจรท่านข้าก็รู้แล้ว แต่ที่ไม่ได้บอกท่านก็เพราะเกรงว่าท่านจะเกิดความกังวลในใจ อีกทั้งตอนนั้นข้าเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะรักษาท่านให้ดีได้ แต่เรื่องนี้ข้าได้บอกเถ้าแก่เหวินแล้ว เขาได้สั่งให้คนลอบสืบค้นแล้ว น่าเสียดายที่คนผู้นั้นหลบซ่อนลึกล้ำมากนัก จนถึงตอนนี้เถ้าแก่เหวินก็ยังสืบไม่ได้ความว่าเป็นใคร”


 


 


“นี่ๆๆๆ…” เฝิงฮูหยินตกใจอยู่นานถึงได้พูดเป็นประโยคออกมา “เป็นใครที่ใจคอเ**้ยมโหดเช่นนี้กัน ลงมือเ**้ยมกับเหวินเอ๋อร์ของข้า”


 


 


เฝิงจิ้งซูถลึงตาโต พูดด้วยความแค้นเคือง “ช่างน่ารังเกียจนัก หากข้ารู้ว่าเป็นใคร ข้าจะต้องแทงเข็มพันเล่มใส่นางเป็นแน่ ให้นางได้ลิ้มรสความทรมานของท่านพี่”


 


 


เคร้ง! จู่ๆ ภายในห้องก็เกิดเสียงเคลื่อนไหวดังสนั่นจนทำให้ทุกคนนึกตกใจ


 


 


เฝิงจิ้งซูกุมหน้าอกตัวเอง เอ่ยต่อว่าบ่าวรับใช้ผู้หนึ่ง “ชุ่ยหง เจ้าทำอะไร ข้าตกใจหมด”


 


 


บ่าวรับใช้ที่ชื่อชุ่ยหงรีบรายงานความผิดด้วยความหวาดกลัว “ฮูหยิน คุณหนูได้โปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินว่าคุณหนูถูกคนวางยาพิษจนกลายเป็นเช่นนี้ ในใจเกิดโมโหยิ่งนัก ไม่ทันระวังเลยเตะเก้าอี้ล้มเจ้าค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 100 คาดเดา

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาของนางลง


 


 


เฝิงจิ้งซูโบกมือออกไปแล้วพูดว่า “ลืมไปเสียเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็เป็นห่วงพี่สาว รีบเก็บตั่งขึ้นมาเร็วเข้า”


 


 


ซุ่ยหงขานรับ เข้าไปยกตั่งนั้นขึ้นมาอย่างเบามือก่อนจะถอยไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ


 


 


เฝิงจิ้งเหวินยังคงตกอยู่ในอาการตะลึงพรึงเพริด ปากพึมพำออกไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “เป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้อย่างไร”


 


 


เมื่อมองไปที่บุตรสาวแล้วเห็นสภาพปัจจุบันที่นางเป็นอยู่ พลันก็ให้นึกถึงความทุกข์ทรมานที่นางได้รับมาตลอดหลายวันนี้ ยิ่งคิดไปถึงสภาพหมดอาลัยตายอยากของนางตอนที่ได้รู้ว่าตนเองคลอดทารกตายคลอดออกมา ได้รู้ว่านางไม่อาจมีลูกได้อีกแล้วตลอดทั้งชีวิตนี้ ความสิ้นหวังเช่นนั้นไม่ต่างอะไรจากคนที่สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วเลย เฝิงฮูหยินในใจเต็มไปด้วยโทสะและความเคียดแค้น นางกัดฟันกล่าวออกไปอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หากข้ารู้ว่ามันผู้ใดทำแบบนี้กับลูกสาวของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้มันได้ตายดีอย่างแน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองไปทางซุ่ยหงแวบหนึ่ง เห็นว่าร่างกายของซุ่ยหงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในใจก็พอคาดเดาอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


 


 


กรอบตาของเฝิงจิ้งเหวินบัดนี้แดงก่ำไปทั้งดวง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบใจนาง “พี่สะใภ้ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว สาเหตุที่ข้ากับเถ้าแก่เหวินไม่ยอมบอกท่านตั้งแต่แรกก็เพราะกลัวว่าหลังจากที่ท่านรู้เรื่องนี้แล้วท่านจะรู้สึกโศกเศร้ามากเกินไปจนส่งผลต่อการรักษา”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินใช้ดวงตาที่แดงเรื่อมองตอบนาง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความขอบคุณและซาบซึ้งใจ “น้องโยวเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามาก นั่นสินะ ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ต่อจากนี้ไปข้าจะตั้งใจฟื้นฟูร่างกายของตนเองให้ดี ให้กำเนิดเด็กชายตัวน้อยอ้วนท้วนสมบูรณ์คนหนึ่งเพื่อสามีของข้า”


 


 


“พี่สะใภ้คิดได้เช่นนี้ถูกต้องแล้ว เถ้าแก่เหวินได้เริ่มสั่งให้คนลงไปตรวจสอบแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องพบตัวคนที่วางยาท่านอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นอาการป่วยของท่านคงจะหายขาดพอดี ร่างกายเองก็คงฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงแล้ว อย่าว่าแต่หนึ่งคนเลย คลอดสักแปดคนสิบคนยังไม่เป็นปัญหาด้วยซ้ำ”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินหลุดหัวเราะดัง “พรืด” ออกมา กล่าวว่า “น้องโยวเอ๋อร์นี่ก็ช่างหยอกเสียจริง มีสองสามคนแค่นี้ข้าก็พอใจมากแล้ว”


 


 


“นั่นสิ” เฝิงจิ้งซูเสริมทัพ “คลอดลูกน่ะเจ็บจะตาย เสียงกรีดร้องของพี่สะใภ้รองตอนที่ทำคลอดหลานชายตัวน้อยเมื่อตอนนั้นยังติดอยู่ในหูข้าอยู่เลย ทำเอาข้าหวาดกลัวแทบตาย พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องคลอดเยอะถึงเพียงนั้นหรอก”


 


 


ฮูหยินเฝิงยิ้มพลางตบหัวนางเบาๆ “เจ้าเด็กโง่คนนี้ บุตรจะมากหรือน้อยล้วนแต่เป็นโชคชะตากำหนด ไหนเลยบอกจะคลอดกี่คนก็คลอดได้มากตามที่ต้องการ”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวฉับพลันเลือนหายไป


 


 


เฝิงจิ้งซูแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซนอีกครั้ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปรายตามองทุกคนที่อยู่ในห้องครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดออกไปว่า “ฮูหยินเฝิง ข้ายังมีเรื่องต้องกำชับท่าน พวกเราสนทนากันตามลำพังได้หรือไม่”


 


 


ฮูหยินเฝิงเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าตกลงแล้วจึงหันไปสั่งเฝิงจิ้งซูว่า “เจ้าดูแลพี่สาวเจ้าให้ดี ประเดี๋ยวข้าจะพาLไปนั่งที่ห้องของข้า”


 


 


เฝิงจิ้งซูพยักหน้าตอบอย่างเชื่อฟัง หย่อนกายลงบนตั่งข้างเตียงเพื่อคอยดูแลเฝิงจิ้งเหวิน


 


 


ฮูหยินเฝิงหลังจากที่พาเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงเรือนของตนแล้ว ก็สั่งให้สาวใช้ไปยกน้ำชาเข้ามารับรองแขก จากนั้นก็เป็นฝ่ายเปิดปากถามออกไปก่อนว่า “แม่นางเมิ่งมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาตามตรงเถิด”


 


 


ทว่าครั้นพอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวปรายตามองบรรดาสาวใช้ที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่ในห้อง ฮูหยินเฝิงก็พลันเข้าใจเจตนา โบกมือสั่งให้พวกเขาถอยออกไปทันที


 


 


หลังจากขบคิดเรื่องนี้ได้อีกพักใหญ่ ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตัดสินใจบอกฮูหยินเฝิงเรื่องที่รถม้าของสองพี่น้องเฝิงจิ้งเหวินถูกเหวินเอ้อร์ขัดขวางระหว่างทางกลับมา รวมไปถึงเรื่องในวันนี้นางกับHไปหาเหวินเอ๋อร์ นางบอกแก่ฮูหยินเฝิงไปทั้งหมด


 


 


ฮูหยินเฝิงพอฟังจบก็ผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ “ความหมายของLก็คือ คนที่ลงมือทำร้ายเหวินเอ๋อร์คือสองแม่ลูกนั่น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ “ใช่เจ้าค่ะ เขาสารภาพทุกอย่างต่อหน้าเถ้าแก่เหวินแล้ว แล้วตอนนี้เขาก็ถูกขับไล่ออกจากจวนไปแล้วด้วย มารดาของเขาเองยามนี้ก็ถูกกักบริเวณอยู่แต่ในเรือนของตนเหมือนกัน อย่างไรก็ตามหากว่าไม่มีไส้ศึกคอยส่งข่าวจากภายในให้พวกเขาได้ทราบ แผนการของพวกเขาคงไม่มีวันสำเร็จ”


 


 


ฮูหยินเฝิงบัดนี้หายจากอาการตกตะลึงแล้ว นางหย่อนกายลงนั่งอีกครั้ง พยักหน้าอย่างเห็นด้วยว่า “เจ้าพูดถูก พวกเขาต้องมีไส้ศึกแน่นอน ไม่รู้ว่าลูกเขยของข้าผู้นั้นสืบรู้แล้วหรือยัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัว “จนถึงบัดนี้เขายังไม่พบเบาะแสอันใดเลยเจ้าค่ะ วันนี้ข้าจึงได้มาเยี่ยมเยียนพี่สะใภ้ถึงที่จวนด้วยตัวเอง ทางหนึ่งก็เพื่อมารักษาอาการป่วยของพี่สะใภ้ อีกทางก็เพื่อช่วยสอดส่องดูว่ามีใครน่าสงสัยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวพี่สะใภ้บ้างหรือไม่”


 


 


“เช่นนั้นLเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า” ฮูหยินเฝิงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น


 


 


“มีบ้างนิดหน่อยเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้ายังไม่แน่ใจนัก จึงได้อาศัยข้ออ้างเมื่อสักครู่เรียกท่านออกมาด้วยกัน”


 


 


“เป็นผู้ใด” ฮูหยินเฝิงถามพร้อมกับกัดฟันแน่น


 


 


“เป็นสาวใช้ที่ชื่อซุ่ยหงเจ้าค่ะ ข้าคิดว่านางน่าสงสัยมาก หลังจากที่ข้ากลับไปแล้วรบกวนฮูหยินเฝิงช่วยสอดส่องนางอีกทาง ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด ไม่พ้นคืนนี้นางจะต้องแพร่งพรายข่าวเรื่องที่พี่สะใภ้สามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้อีกครั้งออกไปแน่ ถึงตอนนี้ท่านแค่จับตัวนางไว้ก็พอ”


 


 


“ซุ่ยหง” ฮูหยินเฝิงตกใจเป็นอย่างยิ่ง “นางเป็นสาวใช้คนสนิทที่ข้าซื้อให้เหวินเอ๋อร์เอง ติดตามอยู่ข้างกายเหวินเอ๋อร์มาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ไหนแต่ไรมาก็ซื่อสัตย์และจริงใจต่อเหวินเอ๋อร์ยิ่ง จะเป็นนางไปได้อย่างไร”


 


 


“นี่ยังเป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ ยังไม่แน่ใจว่าจะใช่หรือไม่ ฮูหยินเฝิงท่านส่งคนมาจับตาดูนางไว้อย่าให้คลาดสายตาก็พอ แต่หากท่านยังไม่วางใจ จะจับตาดูคนอื่นๆ ด้วยก็ได้นะเจ้าคะ”


 


 


ฮูหยินเฝิงพยักหน้าให้ “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณLมาก หากพวกเขาเป็นหนึ่งในคนที่กินที่ลับขับที่แจ้งจริงๆ กล้าทำเรื่องอย่างเช่นวางยาเหวินเอ๋อร์ของข้า ข้าจะไม่ปล่อยพวกมันไปอย่างแน่นอน”


 


 


หลังจากพูดคุยกันเสร็จสิ้น ทั้งสองก็กลับไปที่ห้องของเฝิงจิ้งเหวินอีกครั้ง เห็นว่าควรแก่เวลาแล้ว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวถอนเข็มเงินลงมาจึงพูดออกไปว่า “นี้ก็สายมากแล้ว ข้าสมควรกลับเสียที”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินบัดนี้สวมใส่อาภรณ์เรียบร้อย เมื่อมองเห็นสีของท้องฟ้าด้านนอกจึงพูดไปว่า “นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าให้บ่าวในจวนส่งเจ้ากลับไปดีกว่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือปฏิเสธ กระเถิบเข้าไปกระซิบที่ข้างหู “อี้เซวียนยังรอข้าอยู่ข้างนอก ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้าหรอกเจ้าค่ะ”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันทีที่ได้ยิน ยกมือขึ้นปิดปากพยายามกลั้นเสียงกรีดร้องของตนเองไม่ให้เล็ดลอดออกไป เนิ่นนานทีเดียวก่อนที่นางจะโปรยยิ้มขึ้นแล้วแหย่เล่นไปด้วยเสียงเบาว่า “น้องโยวเอ๋อร์เจ้าช่างมีวาสนาจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย


 


 


เนื่องจากเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดออกมา จึงไม่อาจให้คนนอกรับรู้ได้ ฮูหยินเฝิงและเฝิงจิ้งซูได้รับการอมรมมาเป็นอย่างดี ย่อมไม่มีทางเอ่ยถามออกไปให้เสียมารยาท เห็นว่าเฝิงจิ้งเหวินไม่ได้ยืนกรานอะไรอีก ฮูหยินเฝิงจึงปล่อยผ่านไป


 


 


ทั้งสามคนเดินมาส่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงหน้าประตูอย่างกระตือรือร้น จนกระทั่งเห็นนางขึ้นรถม้าจากไปไกลแล้ว จึงหมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าจวนไป


 


 


ฮูหยินเฝิงเปิดปากพูดกับบุตรสาวทั้งสองอย่างใจเย็นไม่เผยพิรุธ “วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว อยากจะกลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อย พวกเจ้าเองก็สมควรพักผ่อนด้วยเหมือนกัน อย่าได้พูดคุยกันจนเผลอล่วงเวลาไปเล่า”


 


 


สองพี่น้องพยักหน้า


 


 


ทั้งสามพลันก็แยกย้ายกลับไปที่เรือนพักของตนเอง


 


 


เนื่องจากว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นแขกซึ่งเป็นอิสตรี นายท่านเฝิงจึงไม่สะดวกออกมาพบหน้าสนทนาด้วย พอเห็นฮูหยินเฝิงเดินกลับเข้าห้องมา นายท่านเฝิงก็รีบสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเฝิงจิ้งเหวินทันทีด้วยความร้อนใจ


 


 


ฮูหยินเฝิงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไปอย่างใจเย็น คัดลอกคำที่ได้ฟังมาจากปากของเมิ่งเชี่ยนโยวทุกคำออกไปชนิดไม่มีตกหล่นแม้เพียงอักษร


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเพียงแต่เสียง “แพล้ง” ดังขึ้นอย่างแรง นายท่านเฝิงโกรธมากจนเขวี้ยงถ้วยชาลงกับพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ สบถด่าไปด้วยความโกรธว่า “บังอาจมาทำร้ายลูกสาวสุดที่รักของข้า เห็นว่าตระกูลเฝิงของข้ารังแกกันได้ง่ายๆ อย่างนั้นสินะ”


 


 


รอจนกระทั่งเขาสงบลงมา ฮูหยินเฝิงถึงได้บอกข้อสันนิษฐานของเมิ่งเชี่ยนโยวออกไปให้เขาได้ฟัง นายท่านเฝิงไม่ลังเลสักนิด เขาสั่งความลงไปทันทีให้บ่าวที่เชื่อใจได้คอยจับตาดูซุ่ยหงและบรรดาสาวใช้ทุกฝีก้าว


 


 


หลังจากเดินทางออกมาจากจวนตระกูลเฝิงได้ไม่ไกลมาก ก็มาถึงสถานที่ที่ได้นัดหมายตกลงกันไว้ ซึ่งรถม้าของหวงฝู่อี้เซวียนจอดรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว


 


 


ทันทีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว หวงฝู่อี้เซวียนก็แทบทนรอไม่ไหวเลิกผ้าม่านขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงมาจากรถม้าของตน แล้วเดินไปขึ้นรถม้าของเขา


 


 


ไม่จำเป็นต้องสั่งการใดๆ ทั้งสิ้น เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงเรียบร้อยแล้วคนขับรถม้าก็รีบเคลื่อนรถมุ่งหน้าไปยังทางใต้ของเมือง


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง” หวงฝู่อี้เซวียนถามออกไป

 

 

 


ตอนที่ 101 ซื่อจื่อผู้หาเรื่องให้ถูกท...

 

“ข้าบอกเรื่องที่ฮูหยินเหวินถูกวางยาพิษจนคลอดทารกตายคลอดออกไปแล้ว ตอนนั้นมีสาวใช้นางหนึ่งหลังจากได้ยินเรื่องนี้สีหน้าของนางก็แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน ข้าได้แจ้งแก่ฮูหยินเฝิงได้ทราบแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าต่อไปพวกเขาจะจัดการอย่างไรนั่นเป็นเรื่องภายในจวนตระกูลเฝิง พวกเราไม่สะดวกก้าวก่ายมากเกินไปนัก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “กับแค่ควานตัวสาวใช้นางหนึ่งออกมาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่คณามือจวนตระกูลเฝิงหรอก เจ้าแค่นั่งสบายๆ รอข่าวจากพวกเขาก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโน้มตัวเข้ามาใกล้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือซ้ายออกไปดันอกเขาไว้หยุดไม่ให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้ ก่อนจะชูนิ้วสองนิ้วขึ้นแล้วพูดออกไปว่า “สองทางเลือก หนึ่งเจ้าทำสำเร็จ แต่หลังจากนั้นรีบไสหัวกลับจวนอ๋องไปเสีย สองนั่งลงอย่างเชื่อฟัง เป็นเด็กดีแล้วกลับจวนไปพร้อมกับข้า”


 


 


แน่นอนข้าย่อมเลือกทางเลือกที่สองอยู่แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนร่นถอยกลับไปจากนั้นก็นั่งลงวางมาดเคร่งขรึม


 


 


ตลอดเส้นทางจนกระทั่งกลับถึงบ้านไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น


 


 


หวงฝู่อี้คุ้นที่คุ้นทางเป็นอย่างดี เดินตรงไปยังห้องยามที่ประตูใหญ่ด้วยรอยยิ้มคิกคักเต็มใบหน้า


 


 


ทันทีที่คนเฝ้าประตูเห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนตามเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาด้วย ก็รู้ได้โดยพลันว่าอะไรเป็นอะไร หลังจากเขาปิดประตูลงโดยไร้ซุ่มเสียง ก็เดินกลับห้องพักของตนเองไปอย่างเงียบๆ ทิ้งให้หวงฝู่อี้หลับอยู่ในห้องยามที่ประตูใหญ่เพียงลำพัง


 


 


กัวเฟยพอนำรถม้าเข้ามาจอดในจวนเสร็จ เขาก็รีบไปรายงานให้กับเมิ่งฉีทราบทันทีว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว นางเหนื่อยล้าเล็กน้อยและกลับไปพักผ่อนที่เรือนของตนเองแล้ว


 


 


เมิ่งฉีไม่คิดอะไรมาก เพียงขานรับลงไปคำหนึ่งจากนั้นก็เป่าตะเกียงให้ดับลงแล้วกลับเข้าไปพักผ่อน


 


 


ชิงหลวนกับจูหลียกน้ำเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวพอทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยก็เตรียมตัวเข้านอน


 


 


อดทนรอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ได้โอบหญิงงามไว้ในอ้อมแขน แน่นอนว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ซื่อสัตย์ว่าง่ายถึงเพียงนั้น อาศัยจังหวะที่กกกอดร่างบางรังแกเมิ่งเชี่ยนโยวไปหลายคำรบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเชื่อว่าเขารู้ขอบเขตดีจึงได้ปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ห้ามเขา ร่างนวลผ่อนคลายลงมาก ยอมให้เขาลูบไล้จุมพิตตามอำเภอใจ


 


 


ท้ายที่สุดก็เป็นตัวหวงฝู่อี้เซวียนเองที่แทบจะควบคุมความต้องการของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เขาปล่อยตัวเมิ่งเชี่ยนโยวออกเร็วราวกับต้องของร้อน ตะแคงข้างปรับลมหายใจที่หนักหน่วงนั้นให้สงบลงก่อนจะสาบานกับตัวเองว่า “ข้าจะรีบแต่งนางเข้าจวนให้เร็วที่สุด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็สูดหายใจเข้าลึก ปรับลมหายใจของตนเอง หลังจากสงบลงแล้วจึงพูดออกไปว่า “ยามนี้จวนราชเลขายังคงนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ยินดียกเลิกการหมั้นหมายระหว่างพวกเจ้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแค่นเสียงหึไปคำหนึ่ง “ข้าจะให้เวลาพวกเขาอีกสองสามวันเท่านั้น หากว่าพวกเขายังไม่รู้ดีชั่ว ข้าไม่รังเกียจหากต้องขุดความผิดของหลินจ้งออกมาประจาน สั่งสอนพวกเขาให้รู้บทเรียนสักหน่อย”


 


 


“อย่าได้หุนหันพลันแล่นไป คู่อาฆาตพึงละมิพึงผูก ศัตรูลดน้อยลงไปหนึ่งก็คือหนึ่ง แค่จวนเสนาบดีแห่งเดียวก็จัดการยากแล้ว หากยังต้องรับมือกับจวนราชเลขาอีกนี่ออกจะตึงมือมากเกินไปหน่อย”


 


 


“ข้ารู้” หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าคิดวิธีแก้ปัญหาไว้แล้ว รอเพียงท่านลุงกลับมา ถึงตอนนั้นหากพวกเขายังรั้นรั้งข้าไว้ไม่ยอมปล่อยอีก ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามเขาว่าวิธีการนั้นคืออะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพลิกตัวกลับมากอดนางไว้อีกครั้ง ผ้าห่มผืนบางถูกดึงขึ้นคลุมตัวคนทั้งคู่ “นี่ก็ดึกมากแล้ว นอนเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถามขณะที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา “เมื่อเช้านี้ท่านออกไปยามไหนกัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกตัวสักนิด”


 


 


“กลัวว่าพี่รองของเจ้าจะมาพบเข้า ย่ำรุ่งข้าก็ออกไปแล้ว พรุ่งนี้ก็คงเป็นในเวลาเดียวกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจข้า แค่นอนพักผ่อนอย่างสบายใจก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ปิดตาลงแล้วล่วงสู่นิทราไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างพึงพอใจนัก ปิดตาตามนางไปอีกคน


 


 


ความคิดนั้นมักจะสวยงามเสมอ สวนทางกับความเป็นจริงที่ช่างโหดร้ายทารุณ หวงฝู่อี้เซวียนไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าในเช้าตรู่ของวันที่สอง ขณะที่กำลังย่องออกไปจากเรือนพักของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา จะไปจ๊ะเอ๋เข้ากับเมิ่งฉีที่ตื่นแต่รุ่งสางเนื่องจากว่าขบวนรถม้ากำลังจะกลับมาในเช้าวันนี้พอดี


 


 


ดวงตาทั้งสี่สบประสาน หวงฝู่อี้เซวียนยกมือขึ้นลูบจมูกแก้เก้อ ท่าทีเหมือนคนมีชนักติดหลังเด่นชัด ก่อนจะตะโกนออกไปอย่างใจฝ่อว่า “พี่รอง”


 


 


เมิ่งฉีจ้องเขา ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว


 


 


เมิ่งฉียังไม่พูดไม่จาตามเดิม แต่แววตาของเขากลับเปลี่ยนไปเป็นเ**้ยมเกรียมดุดันขึ้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกระวีกระวาดแก้ตัว “พี่รอง พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยนะขอรับ ก็แค่เมื่อคืนนี้กลับมาดึกเกินไปหน่อย ไม่มีทางเลือกจริงๆ จึงได้แต่ค้างแรมอยู่ที่ห้องของโยวเอ๋อร์”


 


 


เสียงบดฟันกรอดของเมิ่งฉีดังขึ้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก้าวถอยหลังไปอีกสองสามก้าวอย่างหวาดผวา ร่นไปจนถึงในลานบ้าน “พี่รอง พี่อย่าเพิ่งโกรธไป ฟังข้า…”


 


 


ทันใดนั้นเองเมิ่งฉีก็เข้าไปประชิดตัวของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่สนว่ากระบวนท่าไหนเป็นกระบวนท่าไหนแล้ว ศีรษะของหวงฝู่อี้เซวียนดิ่งลงพสุธาทันทีตามแรงตบของเขา “ข้าเตือนเจ้าแล้วใช่ไหมว่าก่อนที่พวกเจ้าจะแต่งงานกันห้ามทำเรื่องข้ามเส้นเป็นอันขาด แต่เจ้าก็ยังกล้าละเมิดข้อตกลงนี้ ทำตัวหยินรับหยางฝืน* แอบย่องเข้าห้องโยวเอ๋อร์ลับหลังข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่กล้าสวนกลับ ได้แต่ปล่อยให้เมิ่งฉีทุบตีซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง


 


 


ทันทีที่หวงฝู่อี้เซวียนออกจากห้องมา ชิงหลวนกับจูหลีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็รีบแต่งตัวแล้วตามออกมาอย่างรวดเร็ว พวกเขายืนเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว ครั้นพอได้เห็นฉากที่เมิ่งฉีกำลังทุบตีหวงฝู่อี้เซวียนอย่างโกรธเคือง พวกเขาก็ตกใจมากจนดวงตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังหลับอยู่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอกด้วยเช่นกัน ร่างบางพรวดพราดลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะตะโกนถามออกไปว่า “ชิงหลวน เกิดอะไรขึ้น”


 


 


ชิงหลวนที่แต่ไหนแต่ไรมาพูดจาลื่นไหลชัดแจ้งมาโดยตลอดไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเป็นครั้งแรก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสวมเสื้อคลุมทับลงไปโดยตรง กระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งออกไปข้างนอกทันที ไม่แม้แต่จะได้ใส่รองเท้าด้วยซ้ำ


 


 


และพอนางได้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า นางก็ให้อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก


 


 


เมิ่งฉีลงมือหนักมากจริงๆ หวงฝู่อี้เซวียนหลังจากถูกทุบตีได้ไม่กี่ครั้งก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เริ่มหลบหลีกขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


เมิ่งฉียิ่งมาก็ยิ่งโกรธขึ้ง การเคลื่อนไหวจึงเร็วขึ้นตาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวในชุดเสื้อคลุมตัวบางปรี่เข้าไปห้ามทั้งคู่ด้วยความลนลาน “พี่รอง…”


 


 


“กลับไปแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกมาใหม่” เมิ่งฉีหยุดมือแล้วพูดออกไปอย่างโกรธๆ


 


 


ตั้งแต่เด็กเมิ่งฉีไม่เคยพูดกับนางแบบนี้เลยสักครั้ง ดูท่าวันนี้เขาคงจะโกรธมากจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าหือด้วย ยิ่งไม่กล้าช่วยพูดแทนหวงฝู่อี้เซวียนอีกแล้ว เพียงปรายตามองเขาไปอย่างเห็นใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะรีบแจ้นกลับไปที่ห้องอย่างเชื่อฟัง


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีตามนางเข้าไปในห้อง คิดจะปรนนิบัตินางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้ จึงได้โบกมือให้ทั้งสองคนแล้วปฏิเสธไป


 


 


ขณะที่ชิงหลวนต้องการจะออกไปยกน้ำมาให้นางล้างหน้า ครั้นหวนคิดถึงสถานการณ์ภายนอกตอนนี้ พลันก็ให้ชะงักแล้วตัดใจทิ้งอย่างไม่ดี


 


 


ภายในลานบ้าน เสียงร้องโอดโอยโหยหวนของหวงฝู่อี้เซวียนดังเข้ามาให้ได้ยินไม่หยุด เมิ่งเชี่ยนโยวรีบแต่งตัวแล้วเปิดม่านวิ่งออกไปข้างนอกอีกครั้ง พลางอธิบายออกไปด้วยเสียงสูงว่า “พี่รอง พวกเราไม่ได้ทำอะไรเกินขอบเขตจริงๆ นะเจ้าคะ เขาก็แค่พักอยู่ในห้องข้าคืนหนึ่งก็เท่านั้นเอง”


 


 


หลังจากวิ่งไล่หวดหวงฝู่อี้เซวียนไปได้สักพัก เมิ่งฉีก็เริ่มจะหมดแรงลงบ้างแล้ว ลมหายใจของเขาหอบแฮก ประกอบกับเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนของเมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายมาให้ได้ฟัง จึงหยุดมือลงแล้วดุออกไปว่า “ยังจะช่วยเขาแก้ตัวอีก เจ้ากลับเข้าไปส่องกระจกในห้อง ดูเสียว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่รู้เป็นธรรมดาว่าเกิดอะไรขึ้นและเมิ่งฉีหมายถึงอะไร สายตาที่มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนจึงดูแปลกพิกล


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหลบสายตา เริ่มร้อนตัวขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกแปลกเล็กน้อย จึงเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วส่องกระจกจริงๆ แต่พอได้เห็นริ้วแดงเป็นจ้ำที่บริเวณซอกคอ ฉับพลันความโกรธก็พลันปะทุ กระจกบานนั้นถูกเขวี้ยงทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เท้าเล็กสาวพรวดพุ่งออกนอกประตูไปด้วยความเร็วดุจจรวด น้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธดังขึ้น “พี่รอง ท่านตีเขาให้หนักเลย เขาทิ้งร่องรอยไว้บนตัวข้าจริงๆ”


 


 


เมิ่งฉีผ่านการแต่งงานมาแล้ว ได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็พาให้เข้าใจผิดไปยกใหญ่ ความโกรธในใจพุ่งขึ้นอีกครั้งชนิดที่ยั้งไว้ไม่อยู่อีกต่อไป สายตาคมกริบตวัดมองไปรอบๆ ก่อนจะไปตกบริเวณหนึ่งของลานบ้านที่มีท่อนไม้อันหนึ่งนอนนิ่งอยู่ เขาเดินขึ้นไปหยิบท่อนไม้อันนั้นขึ้นมา จากนั้นก็ฟาดมันลงไปบนตัวหวงฝู่อี้เซวียนอย่างแรง


 


 


ไม่เพียงแค่หวงฝู่อี้เซวียนเท่านั้นที่ตกตะลึง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถึงกับผงะไปพูดอะไรไม่ออก รีบถามหวงฝู่อี้เซวียนออกไปอย่างเป็นกังวลว่า “เจ้ามันโง่จริง ไยไม่หลบเล่า จะให้พี่รองตีเจ้าจริงๆ หรือ ขืนเป็นเช่นนั้นกว่าเจ้าจะลุกขึ้นมาได้คงผ่านไปครึ่งเดือนเลยกระมัง”


 


 


—————————-


 


 


* หยินรับหยางฝืน(阴奉阳违)หมายถึง ต่อหน้าก็ทำเป็นปฏิบัติตาม แต่ลับหลังกลับฝ่าฝืน

 

 

 


ตอนที่ 102 ย่องหนี

 

ด้วยเวลาที่นางใช้พูด หวงฝู่อี้เซวียนก็อาศัยจังหวะนี้ย่องหลบออกไปไกลแล้ว


 


 


นับตั้งแต่ที่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาถึงเมืองหลวง เขาไม่เพียงแต่ศึกษาเรื่องการขี่ม้ายิงธนูจากกั๋วจื่อเจียนเท่านั้น แต่Rยังได้เชิญอาจารย์ที่มีวรยุทธสูงส่งมาสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาเป็นพิเศษอีกด้วย ดังนั้นวรยุทธแมวสามขาที่พอแค่ใช้รักษาชีวิตได้ของเมิ่งฉี ยามเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขาจึงไม่คุ้มค่าพอให้ยกขึ้นมาพูดสักนิด


 


 


อย่างไรก็ตามเมิ่งฉีแม้ว่าจะลงมือค่อนข้างหนักเนื่องจากโทสะ หากแต่มันก็เป็นเพียงการกระหน่ำตีลงไปอย่างสุ่มๆ ไม่ได้ใช้กระบวนท่าหรือทักษะใดๆ


 


 


ยิ่งหวงฝู่อี้เซวียนเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาหลบ จึงหลุดจากการทารุณมาได้ไม่ได้ถูกทุบจริงๆ เป็นเมิ่งฉีเสียมากกว่าที่ลิ้นห้อยหอบแฮกจากความเหนื่อยล้า


 


 


ฝีเท้าหยุดลง เมิ่งฉีชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียนพลางข่มขู่ว่า “ถ้าเจ้ายังกล้าหลบอีก ข้าจะพาโยวเอ๋อร์กลับบ้านเก่าเสียตั้งแต่วันนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยุดลงจริงๆ ยืนรออยู่ตรงนั้นให้อีกฝ่ายเข้ามาทุบตีอย่างเชื่อฟัง


 


 


เมิ่งฉีถือไม้แล้วเดินดุ่มไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกปวดใจมาก รีบวิ่งเข้าไปยืนบังอยู่ตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียนแล้วขอร้องพี่ชายออกไปว่า “พี่รอง เขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านอย่าได้โกรธไป มีอะไรค่อยๆ พูดกันดีหรือไม่”


 


 


เมิ่งฉีกลับโกรธยิ่งขึ้นไปอีก พาลใส่หญิงสาวไปด้วยว่า “พวกเจ้ายังไม่ได้แต่งงานกัน เขาก็ทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงเจ้าออกมาเช่นนี้ หากว่างานแต่งล้มเหลวไม่สำเร็จขึ้นมา ตัวเขาไม่นับว่าเป็นอันใดหรอก แต่เจ้าเล่าจะทำอย่างไร”


 


 


เมิ่งฉีแค่นหึตะคอกต่อ “เพราะข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนพี่น้อง ถึงได้ตามใจปล่อยให้เจ้าปฏิบัติต่อโยวเอ๋อร์แบบนี้ อนุญาตให้เจ้าเข้าออกจวนได้บ่อยๆ ทั้งที่ยังไม่ได้จัดการเรื่องถอนหมั้นให้เรียบร้อยดี เวลาผ่านล่วงนานไป หากแต่ทางเจ้ากลับไม่มีอะไรคืบหน้าสักนิด แล้วเจ้าจะให้ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถจัดการเรื่องการถอนหมั้นได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขึ้นว่า “ครึ่งเดือน พี่รองให้เวลาข้าอีกครึ่งเดือน ข้าจะจัดการเรื่องการถอนหมั้นให้เสร็จอย่างแน่นอน”


 


 


“แล้วหากยังถอนไม่ได้เล่า” เมิ่งฉีคาดคั้นกลับ


 


 


น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนหนักแน่นมาก “ไม่มีถ้าหาก จะต้องถอนได้อย่างแน่นอน”


 


 


“ดี!” เมิ่งฉีโยนไม้ในมือทิ้งไป “ข้าจะลองเชื่อเจ้าดูอีกสักครั้ง หากว่าในครึ่งเดือนนี้เจ้าไม่สามารถล้มเลิกการหมั้นได้ ข้าจะพาโยวเอ๋อร์กลับบ้านเดิมไปและนับแต่นี้เจ้าอย่าได้โผล่หน้ามาให้นางเห็นอีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว พี่รองท่านรอข่าวจากข้าได้เลย แต่หากข้าถอนหมั้นได้สำเร็จ พี่รองโปรดอนุญาตให้ข้าเข้าออกห้องโยวเอ๋อร์ได้ตามต้องการด้วย”


 


 


เมิ่งฉีทำการค้ามานานหลายปีแล้ว ย่อมรู้ว่าต้องพูดอย่างไรถึงจะสามารถหาทางลงให้กับตัวเองได้ จึงได้โบกมือออกไปแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องหลังจากนี้ค่อยคุยกันใหม่ในภายหลัง เจ้าจัดการเรื่องถอนหมั้นให้เสร็จก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เหลือพวกเราค่อยๆ มาปรึกษากันได้”


 


 


หวงฝู่อี้ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากทางนี้ จึงได้รีบวิ่งเข้ามาแล้วเขยิบเข้าไปช่วยหวงฝู่อี้เซวียนแก้สถานการณ์อย่างระมัดระวัง “ซื่อจื่อ นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราสมควรกลับจวนได้แล้วนะขอรับ”


 


 


คำพูดนั้นชัดเจนยิ่งว่าให้เมิ่งฉีเปิดทางให้


 


 


“พี่รอง โยวเอ๋อร์ ข้าขอตัวก่อน” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวลาคนทั้งสองไปอย่างหน้าด้านๆ


 


 


เมิ่งฉีแค่นหึคำหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่สนใจเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีจึงได้ลากหวงฝู่อี้รีบหนีกลับจวนไป


 


 


เมิ่งฉีปรายตามองเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูดขึ้น “วันนี้เจ้าอยู่แต่บ้าน ที่ไหนก็ห้ามไปทั้งนั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ใบหน้าจึงได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก


 


 


“แล้วก็” เมิ่งฉีพูดขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ขบวนรถม้าในบ้านจะเดินทางกลับ เจ้าช่วยไปเรียกเหวินเป้ากับเหวินซงมาให้ข้าที”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ ก่อนจะสั่งชิงหลวนให้ไปที่หมู่บ้านแล้วเรียกคนทั้งคู่มา


 


 


ชิงหลวนออกไปพร้อมกับม้าสองตัวที่อยู่ตรงหลังเรือน มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านนอกเมืองเป้าหมายคือเพื่อไปตามคนทั้งคู่


 


 


เมิ่งฉีปรายตามองนางอีกหลายครั้ง คิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ไม่พูด ทำเพียงหมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าเรือนของตนไป ไปจัดการเตรียมขบวนรถม้าที่กำลังจะกลับบ้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนี่ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เขียนจดหมายให้กับเซี่ยเจียงเฟิงเลย รีบร้อนกลับเข้าห้องไป สั่งให้จูหลีเตรียมพู่กันและฝนหมึกรอ จากนั้นก็ลงมือเขียนจดหมายถึงเซี่ยเจียงเฟิงฉบับหนึ่งอย่างรีบเร่ง หลังจากใส่ซองและปิดผนึกเสร็จแล้ว จึงคิดจะไปหาเมิ่งฉี


 


 


จูหลีตะโกนเตือนนางออกมาเสียงดัง “นายหญิง ที่คอของท่าน…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดกึก ฝีเท้าชะงักลงในทันที ในใจพลางก็สบถด่าหวงฝู่อี้เซวียนไปอย่างดุเดือดหลายคำ จากนั้นจึงส่งจดหมายในมือให้กับอีกฝ่ายแทน “เจ้าเอามันไปให้พี่รองที บอกว่าเป็นจดหมายที่ข้าเขียนถึงเซี่ยเจียงเฟิง รอจนกระทั่งถึงบ้านแล้วค่อยให้พนักงานที่มาขนของส่งต่อไปให้เขาอีกที”


 


 


จูหลีรับจดหมายมาแล้วเดินออกไปที่เรือนด้านหลัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหย่อนตัวนั่งลงบนตั่ง หยิบกระจกขึ้นมาส่องดูบริเวณคอของตนเองอีกครั้ง หลังจากก่นด่าหวงฝู่อี้เซวียนไปราวๆ พันครั้งได้ จึงได้ล้มตัวลงบนเตียงนอนแล้วกลับไปนอนต่อ


 


 


เมิ่งฉีจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหวินเป้ากับเหวินซงทั้งคู่ก็มาถึงแล้ว หลังจากกำชับพวกเขาให้ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยระหว่างเดินทางกลับ กับบอกให้พวกเขาอย่าได้แพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ขบวนรถม้าก็เริ่มมุ่งหน้าเดินทางออกนอกเมือง


 


 


เมิ่งฉีเฝ้ามองขบวนรถม้าที่จากไปไกล แล้วนั่งรถม้ากลับไปยังโรงฝึกที่อยู่ทางทิศเหนือของเมือง


 


 


กัวเฟยที่ตัวสั่นอยู่ตลอดเวลาพอเห็นว่าเขาไม่กล่าวโทษหรือตำหนิตนเอง ก็พาให้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับสนิทไปอีกครั้ง พอตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าสบายตัวยิ่ง เนื่องจากนางว่างมากไม่มีอะไรทำ จึงได้เรียกรวมพลเหล่าคนรับใช้ทั้งหลายแล้วเริ่มลงมือบดยาให้พวกเขา


 


 


เมิ่งอี้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านของท่านราชครูตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าทางนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง รอจนกระทั่งไปถึงที่ร้านแล้วได้ฟังเหล่าองครักษ์ซุบซิบแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตนก็ให้คิดจะไปพูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวให้รู้เรื่อง ด้วยอย่างไรเสียสตรีนางหนึ่งกระทำเรื่องเช่นนี้ก็เป็นอะไรที่ไม่สมควรจริงๆ มิน่าเล่าเมิ่งฉีถึงได้มีโทสะเพียงนั้น หากเปลี่ยนเป็นตนเองอยู่ที่เรือน ตนก็คงลงมือกับเขาไม่ต่างกัน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแม้ว่าเพิ่งผ่านการถูกทุบตีมา แต่ก็ยังหิ้วหน้าระรื่นกลับจวนไป


 


 


พระชายาฉีฟังรายงานจากบ่าวรับใช้แล้ว ในใจพลันคิดไปในทางที่สวนทางกันว่าช่างเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน ตั้งแต่เช้าจึงได้อารมณ์ดีมาก เถียงกับตัวเองอยู่หลายหนว่าสมควรเริ่มตัดเสื้อเด็กแล้วหรือยัง เพราะดูจากพวกเขาทั้งคู่ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าวันไหนอาจจะมีเด็กเกิดมาในท้องก็เป็นได้


 


 


ถ้าหากเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพระชายาฉีมีความคิดเช่นนี้ ตีให้ตายนางก็ไม่ยอมปล่อยให้หวงฝู่อี้เซวียนเข้าห้องของตัวเองเด็ดขาด


 


 


ตลอดช่วงเช้าผ่านไปทั้งเช่นนี้ หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงขอให้ชิงหลวนไปส่งข้อความที่จวนตระกูลเฝิง บอกว่าวันนี้นางมีเวลาว่าง ให้เฝิงจิ้งเหวินสองพี่น้องมาหานางบ่ายนี้


 


 


หลังจากได้รับข้อความจากปากของชิงหลวน เฝิงจิ้งเหวินสองพี่น้องก็นั่งรถม้าตามนางกลับมาที่จวน


 


 


เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยวได้ไม่เท่าไหร่ เฝิงจิ้งซูก็ปรี่เข้าไปจับแขนของนางเอาไว้แน่น แล้วฟ้องออกไปชนิดทนรอไม่ไหวแล้วว่า “พี่โยวเอ๋อร์ พวกเราจับสายที่อยู่ในจวนได้แล้วนะเจ้าคะ เป็นสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนามซุ่ยหงผู้นั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและถามออกไปด้วยความประหลาดใจว่า “เจอเร็วถึงเพียงนี้เชียว”


 


 


เฝิงจิ้งซูพยักหน้าแล้วพูดด้วยความโกรธ “ซุ่ยหงผู้นี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว เสียทีที่พี่สาวข้าดีต่อนางมองนางเป็นเหมือนพี่น้อง ไหนเลยจะคิดว่านางจะตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น เกือบทำให้พี่สาวข้ามีลูกไม่ได้อีกตลอดชีวิต”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเฝิงจิ้งเหวิน ถามออกไปว่า “พี่สะใภ้ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินแม้ว่าจะได้รับการอมรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้ถึงกับหลุดแสดงความรังเกียจและโทสะออกมาชัดเจน ตอบกลับไปว่า “เมื่อวานหลังจากที่เจ้ากลับออกไปแล้ว ท่านแม่ของข้าก็ไปหาท่านพ่อที่เรือนแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง ท่านพ่อพอได้ทราบจึงสั่งให้คนไปจับตาดูบรรดาสาวใช้ของข้าทันที เป็นซุ่ยหงที่แสดงพิรุธ ในวันเดียวกันนางใช้ข้ออ้างที่ว่ามีธุระหลบออกนอกจวนไป บ่าวคนสนิทของท่านพ่อแอบตามนางไปจนถึงเขตตะวันตก หลังจากกลับมาถึงที่เรือนเขาก็รีบไปรายงานให้ท่านพ่อได้ทราบ ท่านพ่อนี่จึงสั่งให้คนไปจับตัวนางมาแล้วเค้นถาม นางถึงได้ยอมคายความจริงออกมา”


 


 


“ความจริงอะไรหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามออกไป

 

 

 


ตอนที่ 103 ต้อนรับท่านแม่ทัพ

 

เฝิงจิ้งเหวินโมโหมากขึ้น “ที่แท้นางก็เป็นคนของคุณชายรองแต่แรกแล้ว คุณชายรองผู้นั้นให้สัญญากับนางว่ารอให้เขาเป็นเถ้าแก่ร้านยาเต๋อเหรินก่อน แล้วจะให้นางเป็นอนุ ดังนั้นนางถึงได้วางยาพิษข้า”


 


 


พูดจบก็โมโหพูดขึ้นต่อว่า “พวกนางนั้นเติบโตมาพร้อมกับข้า แม้ในนามจะเป็นนายบ่าว แต่ข้าปฏิบัติต่อพวกนางประหนึ่งเป็นน้องสาวก็มิปาน เคยให้คำมั่นด้วยซ้ำ ว่าจะหาการแต่งงานที่ดีให้นาง ข้าคิดไม่ถึงเลย ว่านางจะทำเรื่องเช่นนี้ได้”


 


 


“ใช่แล้ว” เฝิงจิ้งซูเห็นด้วย “ท่านไม่ทราบ ตอนที่ข้ารู้ว่านางทำร้ายจนพี่สาวมีสภาพเช่นนี้ ข้าแทบจะแช่งชักหักกระดูก ถลกหนังนางออกเพื่อระบายความแค้น”


 


 


“จับคนได้ก็ดีแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว “แต่ว่า ข้าก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังแปลกพิกลอยู่ ซุ่ยหงเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง ปกติแล้วจะมีเวลาไปหาเหวินเอ้อร์ที่เมืองซีเฉิงหรือ ระหว่างพวกเขาน่าจะต้องมีผู้ที่คอยส่งข่าวอีก พี่สะใภ้กลับไปแล้ว ก็ให้นายท่านเฝิงไต่ถามอีกครั้ง”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินคิดว่าที่นางพูดมาก็มีเหตุผล จึงพยักหน้า “หลังจากกลับไป ข้าจะไปหาท่านพ่อข้า”


 


 


“เอาล่ะ คนก็จับตัวได้แล้ว พวกเราไม่คุยเรื่องที่ไม่สบายใจพวกนี้แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเข็มเงินออกมา “ตอนนี้มาเริ่มรักษาเถอะ”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินนอนราบลงบนเตียง ถอดเสื้อออก คลุมผ้าผืนบาง เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรักษาให้นาง เฝิงจิ้งซูมองอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าอย่างไร ถึงได้มองเห็นรอยแดงที่คอของเมิ่งเชี่ยนโยว ถามขึ้นอย่างสงสัย “พี่โยวเอ๋อร์ คอของท่านเป็นอะไรหรือ ถูกยุงกัดหรือเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นในทันที


 


 


เฝิงจิ้งเหวินเป็นคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน จึงเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดุเฝิงจิ้งซู “เป็นสาวเป็นนาง ไม่ต้องถามทุกอย่างก็ได้”


 


 


ถึงแม้เฝิงจิ้งซูจะไม่เข้า แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแต่มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความสงสัยเป็นระยะ


 


 


อาการของเฝิงจิ้งเหวินดีขึ้นเป็นลำดับ เวลาที่ใช้ในการรักษาก็สั้นลง


 


 


ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดึงเข็มออก บอกให้ชิงหลวนไปชงน้ำชามา


 


 


เฝิงจิ้งเหวินใส่เสื้อเรียบร้อยแล้ว ลุกขึ้นยืน มานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดื่มไปคำหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ เมื่อวานนี้ดึกเกินไป ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นกังวล มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้บอกท่าน”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินยกถ้วยชาขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าว่ามาสิ”


 


 


“เมื่อวานเถ้าแก่เหวินได้รับบาดเจ็บ…”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินผุดลุกขึ้นฉับพลัน ไม่สนใจว่าน้ำชาที่อยู่ในถ้วยจะหกรดตัวเอง ถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า “ท่านพี่ได้รับบาดเจ็บหรือ”


 


 


“ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นห่วง ดังนั้นคืนเมื่อวานจึงไม่ได้บอกท่าน พี่สะใภ้วางใจ เถ้าแก่เหวินไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ผิวหนังถลอกเท่านั้น ข้าใส่ยาให้เขาเองแล้ว”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฝิง ตอนที่ยังไม่ออกเรือนก็ช่วยจัดการดูแลกิจการของตระกูล ฉลาดเฉลียวมาก ฟังออกถึงความนัยที่ซ่อนในคำพูดของนางทันที กล่าวอย่างร้อนใจเช่นเดิม “น้องโยวเอ๋อร์ไม่ต้องปลอบใจข้า แค่ผิวถลอก ทำไมถึงต้องลำบากเจ้าใส่ยาให้เขาด้วยตัวเอง” ว่าแล้วก็วางถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือ “ไม่ได้ ข้าต้องกลับไปดู”


 


 


“พี่สะใภ้” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกนางไว้ “ตอนนี้เถ้าแก่เหวินน่าจะอยู่ที่ร้านยาเต๋อเหริน ถ้าท่านไปหาเขา ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านบอกเขาด้วย ให้เขาตรวจสอบไปตามนี้”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ขอบใจน้องโยวเอ๋อร์ที่บอกข้า ข้าขอตัวก่อน” พูดจบก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เฝิงจิ้งซูเดินตามหลัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นส่ง กล่าวว่า “หลายวันนี้ข้าไม่มีธุระอะไร ต่อไปพี่สะใภ้จะมายามเช้าหรือยามบ่ายก็ได้ ข้าจะไม่ส่งคนไปตามแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินตอบรับ ก้าวฉับๆ ออกจากประตูไป ขึ้นรถม้าไปพร้อมกับเฝิงจิ้งซู สั่งให้คนไปร้านยาเต๋อเหรินด้วยน้ำเสียงร้อนรน


 


 


มองดูรถม้าที่วิ่งออกไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจในใจ เหวินซื่อคนนี้ช่างเป็นคนโง่ที่โชคดีแบบงงๆ ไม่เพียงได้เป็นเถ้าแก่หอการค้าเต๋อเหวินอย่างสับสนมึนงงเท่านั้น ยังได้แต่งงานกับภรรยาที่ดีที่มีใจตรงกันเช่นนี้อีก


 


 


หลายวันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ออกจากบ้านเลย หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้มาหา เฝิงจิ้งเหวินสองพี่น้องก็ยังมารักษาทุกวันตามเดิม


 


 


ทุกวันหลังจากที่กินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะนอนลงพักสักครู่ ก็มีเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นมา “ชิงหลวน เจ้าไปจูงม้าเหล่านั้นมา อีกสักครู่ออกนอกเมืองไปพร้อมพวกเรา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในห้องแล้ว พูดกับนางว่า “กองทัพของท่านน้าใกล้เข้ามาในเมืองแล้ว เจ้าไปต้อนรับกับข้าหน่อย”


 


 


เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกประตูใหญ่ตามเขาไป


 


 


ชิงหลวน กัวเฟย จู๋หลีทั้งสามคนจูงม้ารออยู่ด้านนอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของกัวเฟย กำลังจะรับเอาบังเ**ยนม้า หวงฝู่อี้เซวียนก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งบนม้าของตัวเอง จากนั้นก็กระโดดขึ้นมาอย่างคล่แงแคล่ว มือข้างหนึ่งจับนางไว้แน่น มืออีกข้ากระตุกบังเ**ยน เจ้าม้าที่โดยสารทั้งสองคนได้พุ่งทะยานตรงออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เห็นจนเป็นเรื่องปกติแล้ว จึงควบม้าตามออกไปโดยไม่คิดอะไร


 


 


กัวเฟยกับคนที่เหลืออีกสามคนหันมามองหน้ากัน โยนบังเ**ยนม้าตัวที่เหลือออกไป สั่งคนเฝ้าประตูว่า “เอ้าม้าไปไว้ในคอก” จากนั้นก็พุ่งทะยานตามหลังไป


 


 


ขบวนทัพเดินทางมาถึงประตูทิศทักษิณแล้ว ตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไปถึงนั้น ที่หน้าประตูมีคนยืนอยู่ไม่น้อย มีทั้งประชาชน มีทั้งขุนนางที่ได้รับพระราชโองการให้ออกมาต้อนรับ


 


 


ขุนนางยืนอยู่ตรงกลางของประตูข้างนอก เหล่าประชาชนยืนอยู่ข้างสองฝั่งทาง


 


 


ยังไม่เห็นร่องรอยของแม่ทัพใหญ่ ประชาชนทั้งสองข้างต่างแซ่ซ้องสรรเสริญถึงคุณงามความดีของแม่ทัพใหญ่ฉู่อย่างยินดี


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้า ไม่สนใจสายตาของทุกคนที่มองมาอย่างสงสัย อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวลง


 


 


พอขุนนางที่มาต้อนรับมองเห็นเขา รีบเข้ามาคำนับทันที “ซื่อจื่อ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าน้อยๆ “ไม่ต้องสนใจข้า เสด็จลุงฮ่องเต้ส่งเจ้ามาต้อนรับท่านแม่ทัพ เจ้าทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก็พอ วันนี้ข้ามาต้อนรับท่านน้าเท่านั้น”


 


 


การต้อนรับท่านแม่ทัพใหญ่เป็นเรื่องส่วนรวม การต้อนรับท่านน้าเป็นเรื่องส่วนตัว ขุนนางได้ยินแล้วก็เข้าใจความหมายของเขา หลังจากคำนับอีกครั้ง ก็เดินกลับไปยืนรอที่หน้าประตูเมืองเช่นเดิม


 


 


ไม่นานก็มองเห็นฝุ่นตลบจากที่ไกลๆ ได้ยินเสียงกีบเท้าของม้าดังขึ้น ฝูงชนฮือฮาส่งเสียงเช็งแช่ ร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “แม่ทัพใหญ่กลับมาแล้ว แม่ทัพใหญ่กลับมาแล้ว”


 


 


เกิดความโกลาหนวุ่นวายท่ามกลางฝูงชน ทหารที่ทำหน้าที่ดูแลความสงบได้ตวาดพวกเขาขึ้น “ถอยออกไปหน่อย มาขวางทางเดินกลับเมืองของแม่ทัพใหญ่ พวกเจ้าต้องแบกรับผลเองให้ได้นะ”


 


 


ขบวนทัพค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ประตูเมือง ผู้ที่เดินนำขวบนั้นสวมชุดเกราะ สูงตระหง่านดูองอาจ นั่นก็คือฉู่เหวินเจี๋ย


 


 


เกิดความโกลาหลขึ้นในฝูงชนมากขึ้น จนถึงขั้นได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรีดังระงมขึ้นไม่น้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวยิ้มๆ “ดูท่าท่านแม่ทัพใหญ่ฉู่จะเป็นชายในฝันของสตรีไม่น้อย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพอจะเข้าใจคำว่าชายในฝันที่นางพูดหมายถึงอะไร ยิ้มเห็นด้วย “ใช่แล้ว เป็นความจริงที่มีสตรีไม่น้อยมีท่านน้าอยู่ในดวงใจ เสียดายที่ในใจของท่านน้ามีแต่เรื่องการทหาร ไม่เข้าใจเรื่องความงามตามธรรมชาติเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย”


 


 


ขุนนางที่มารอต้อนรับจัดอาภรณ์ของตนให้เรียบร้อยที่สุด เดินเข้าไปรับ คำนับแม่ทัพใหญ่ฉู่อย่างสุภาพ “ข้าน้อยได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ มาต้อนรับท่านแม่ทัพโดยเฉพาะ ยินดีกับท่านแม่ทัพที่กลับมาด้วยชัยชนะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)