ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 95-98

 ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 95

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปด้านนอก จับตัวบ่าวรับใช้ได้ระหว่างทาง ถามทางไปจวนฮั่ว พาคนไปยังหน้าจวนฮั่วทันที มองดูประตูจวนที่ปิดสนิท จึงสั่งองครักษ์ลับว่า “พังประตูเข้าไป ผู้ใดขัดขวาง ก็ฆ่าทิ้งให้หมด!” 


 


 


องครักษ์ลับตอบรับ จำนวนหนึ่งตรงเข้ามาพังประตู ขณะที่เดินไปยังหน้าประตู ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน ฮั่วเจี่ยเดินนำคนของตนออกมา สีหน้าไร้ความกังวล ท่าทีเป็นมิตร คำนับหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ข้าน้อยฮั่วเจี่ยขอคารวะซื่อจื่อ คารวะท่านผู้แทนพระองค์ขอรับ!” 


 


 


เพียงแต่ท่าทางที่เขาเข้าใจว่านอบน้อมนั้น ในสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนกลับกลายเป็นการกำเริบเสิบสาน เขาเป็นเพียงคนชั้นต่ำ ถึงแม้เป็นถึงคนตระกูลใหญ่ แต่เห็นเขาและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ควรคุกเข่าก้มหัวคารวะ เห็นทีฮั่วเจี่ยผู้นี้คงจะอยู่ไกลปืนเที่ยงมานาน ลืมสถานะของตนไปสิ้นแล้ว 


 


 


จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง หวงฝู่อี้เซวียนขึ้นนั่งม้า เปิดปากถามว่า “เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้าอยู่ที่ใด” 


 


 


ฮั่วเจี่ยชะงัก จากนั้นถามกลับด้วยความสงสัยว่า “ท่านอ๋องและพระชายามาที่นี่หรือขอรับ” ท่าทางเช่นนี้ของเขา หากเป็นผู้อื่นคงเชื่อจริงๆ ว่าเขาไม่รู้เรื่อง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเบ้ปาก เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “นายท่านฮั่วรู้แล้วยังจะถามอีกหรือ คำพูดปดนี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง” 


 


 


ฮั่วเจี่ยหัวร่อเสียงดัง จากนั้นลูบเคราของตนว่า “ซื่อจื่อล้อเล่นหรือนี่ ชีวิตนี้ข้าน้อยไม่เคยพูดปดเลยขอรับ” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มมุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความหมายที่พูดออกมาไม่ได้  


 


 


ฮั่วเจี่ยหรี่ตาลง เดาใจของเขาไม่ออก เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง “ได้ยินมาว่าท่านฮั่วเป็นพ่อตาของนายน้อยอู่โหวอย่างนั้นหรือ” 


 


 


ฮั่วเจี่ยพยักหน้า “ไม่ผิดขอรับ เรื่องนี้ทุกคนทราบดี เรื่องนี้ก็ผิดหรือ” 


 


 


รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนกว้างขึ้น “ข้าอยากบอกท่านฮั่วว่า นายน้อยอู่โหวได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท ให้มาที่นี่ ไม่นานลูกเขยและพ่อตาจะได้พบหน้ากันแล้ว” 


 


 


“เขามาทำอะไร!” ฮั่วเจี่ยถามออกมา 


 


 


“ท่านฮั่วคิดว่าอย่างไรเล่า” หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับ  


 


 


ฮั่วเจี่ยขมวดคิ้ว 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับกระโดดลงมาจากม้า พุ่งเข้ามาโจมตีฮั่วเจี่ยทันที 


 


 


ฮั่วเจี่ยว่องไว ถอยหลบออกมา พร้อมกันนั้นพูดเสียงดังว่า “ห้ามเขาไว้!” 


 


 


ด้านหลังมีคนออกมา หวังจะขวางหวงฝู่อี้เซวียนไว้ 


 


 


องครักษ์ลับพุ่งเข้ามา ขวางคนด้านหลังเอาไว้  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโจมตีพลาดไปในทีแรก จึงได้โจมตีต่อ 


 


 


คนด้านหลังของฮั่วเจี่ยเข้ามาขวางคนแล้วคนเล่า 


 


 


ฮั่วเจี่ยถอยหลังไปหลายก้าว กล่าวโทษเสียงดังว่า “ซื่อจื่อ ท่านจะทำอะไร แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงชาวบ้านต่ำต้อย แต่ท่านจะมารังแกกันเช่นนี้ไม่ได้” 


 


 


พูดจบ ก็สั่งเสียงดังว่า “เตรียมพร้อม!” 


 


 


พลธนูโผล่หัวออกมาจากสองฝั่งกำแพง ดึงคันธนู มุ่งตรงมายังทุกคนตรงนั้น 


 


 


เขารอเวลานี้มานานแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่โจมตีต่อ กลับขึ้นม้า พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ท่านฮั่ว ท่านเลี้ยงพลธนูอย่างนั้นหรือ อยากก่อกบฏหรืออย่างไร” 


 


 


พลธนูคือไพ่ใบสุดท้ายของฮั่วเจี่ย หากไม่ถึงเวลาสำคัญเขาไม่มีทางเอาออกมาใช้เด็ดขาด แต่ตอนนี้ หากไม่เรียกออกมาคงไม่ได้ หลังฮั่วต้าส่งคนมาบอกข่าว นานถึงเพียงนี้ยังไม่เห็นแม้เพียงเงาคน กลายเป็นหวงฝู่อี้เซวียนมาถึงก่อน แสดงว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฮั่วต้าแล้ว ส่วนองครักษ์เงาของเขาล้วนบาดเจ็บไปไม่น้อยในคืนที่ทำการสู้กัน รวมกับคนที่ฮั่วต้าได้พาไปยังกำแพงเมือง เหลืออยู่ในจวนเพียงกำมือเท่านั้น พลธนูเหล่านี้ เป็นผู้ปกป้องชีวิตเขา ในเวลาสำคัญจะได้เรียกออกมาป้องกันตน 


 


 


เมื่อตั้งสติได้ ก็หัวร่อออกมาเสียงดัง ฮั่วเจี่ยว่า “ซื่อจื่อผิดแล้ว อยู่ที่นี่สถานะของข้าสูงส่งนัก ก็อาจจะจะทำให้ใครหลายคนมีใจคิดร้ายต่อเรา เพื่อมั่นใจว่าจะปกป้องชีวิตของคนในครอบครัวข้าได้ ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นขอรับ” 


 


 


“เช่นนั้นหรือ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองพลธนูราวสิบคนด้วยสายตาไม่เปลี่ยน ขณะที่กำลังจะสั่งให้องครักษ์ลับเข้าโจมตีนั้น ม้าเร็วตัวหนึ่งก็ได้ทะยานเข้ามา 


 


 


ม้าวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว พริบตาเดียวมาถึงด้านหลังขององครักษ์ลับ คนควบม้าเป็นเถ้าแก่ของเหลาจวี้เสียน ตะโกนข้ามองครักษ์ลับหลายนายว่า “นายท่าน นายท่าน ท่านอ๋อง พระชายาและท่านหญิงทั้งสองปลอดภัยดีขอรับ เชิญตามข้ามาทางนี้!” 


 


 


สีหน้าของฮั่วต้าเปลี่ยนไป ส่งคนไปสืบหาอยู่นานแต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าเถ้าแก่ของเหลาจวี้เสียนคือผู้ใด คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหวงฝู่อี้เซวียน นี่พระเจ้าคิดจะฆ่าเขาหรืออย่างไรกัน 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังขึ้นม้าไป องครักษ์ลับเปิดทางออกให้ เถ้าแก่รีบกระโดดลงมา คุกเข่าลง “คารวะนายท่าน” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก รีบพาพวกเราไปหาพวกเขาเร็ว” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง “โจวอัน พาคนคุ้มกันไว้ที่นี่ ล้อมจวนฮั่วเอาไว้ ห้ามผู้ใดเข้าออก!” 


 


 


“ขอรับ!” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งชิงควบม้าตามเถ้าแก่ไป 


 


 


โจวอันโบกมือ องครักษ์ลับกระจายตัว ล้อมจวนฮั่วเอาไว้ 


 


 


ประตูเมืองเปิดแล้ว ผู้คนรู้ข่าว คนที่อยากเข้าเมือง คนที่อยากออกนอกเมือง ต่างรุมล้อมเข้ามายังประตูเมืองอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับได้ความว่าไม่สามารถเข้าออกได้ สามวันแล้ว ผู้คนโกรธจนถึงขีดสุด มีคนโกรธจนไม่กลัวตายเข้ามาถามองครักษ์ลับที่เฝ้าประตูอยู่ ใครจะไปรู้ว่าขณะที่กำลังวางท่าโมโหท่าถกแขนเสื้อขึ้นมานั้น ชายตาไปเห็นทหารเฝ้าประตูกำลังแบกร่างคนตายลงมาจากด้านบนไม่น้อย วางเรียงไว้หน้าประตู คำที่เตรียมจะพูดก็ถูกกลืนไป ปล่อยชายเสื้อลงตามเดิม ฝีเท้าเดินถอยหลังไปช้าๆ ประตูเมืองที่เมื่อครู่เดือดดาลไปด้วยผู้คน บัดนี้ได้เงียบสงบลงทันที เหลือเพียงเสียงถอนใจ 


 


 


เถ้าแก่เองก็ได้ทราบข่าวนี้ ดีใจยิ่ง อ๋องฉียังคงแอบอยู่ด้านในเหลาจวี้เสียน เมื่อประตูเมืองเปิด อาจหมายความว่าซื่อจื่อมาถึงแล้วก็เป็นได้ คิดถึงตรงนี้ ก็จูงม้าออกมายังประตูเมือง เมื่อเห็นว่าคนเฝ้าประตูเป็นองครักษ์ลับจริง จึงยินดียิ่งนัก เดินออกจากกลุ่มคน เข้ามาถามว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ แล้วนายท่านเล่า” 


 


 


องครักษ์ลับแฝงตัวอยู่ทุกที่ ใช้เหลาจวี้เสียนเป็นที่พลางตัว คุ้นเคยกับเถ้าแก่ของทุกที่เป็นอย่างดี เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ รู้ทันทีว่าเขาเป็นผู้ใด จึงตอบอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านพาคนเข้าเมืองไปแล้วขอรับ แต่ว่าอยู่ที่ใดนั้น พวกข้าก็มิอาจรู้ได้” 


 


 


นายท่านมาแล้วจริงๆ เถ้าแก่ดีใจเหลือเกิน ปล่อยมือขององครักษ์ลับออก เดินเข้าไปในกลุ่มคน กระโดดขึ้นม้า ขณะเดียวกันก็คิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไปที่ใด ที่แรกที่คิดได้คือจวนฮั่ว จึงได้ควบม้าไปยังจวนฮั่วทันที เมื่อเห็นองครักษ์ลับที่คุ้นตามาแต่ไกล จึงได้ตะโกนเรียกออกมา 


 


 


เถ้าแก่พาทุกคนมายังห้องเก็บฟืน เปิดห้องลับออกมา เดินไปยังห้องริมสุด  


 


 


พวกของอ๋องฉีรออยู่ในนั้นนานสามวัน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเถ้าแก่ คิดว่านำอาหารมาให้ จึงไม่ได้ใส่ใจ 


 


 


“เสด็จพ่อ เสด็จแม่!” หวงฝู่อี้เซวียนร้องทักพวกเขา 


 


 


คนทุกผุดลุกขึ้นพร้อมกัน 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดด้วยความยินดี “ท่านพ่อ!” 


 


 


พูดจบ ก็วิ่งออกมาด้านนอก 


 


 


อ๋องฉีเดินตามด้านหลัง หวงฝู่สือเมิ่งและพระชายารั้งท้าย เซี่ยเฟิงพร้อมองครักษ์ลับเดินตามออกมา ส่วนท่าป๋าและคนของเขา ไม่ได้ขยับ 


 


 


“ท่านพ่อ ท่านแม่!” เมื่อเห็นชัดว่าเป็นพวกเขา หวงฝู่เย่าเย่ว์ยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามาหาพวกเขา พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเมิ่งเชี่ยนโยว “ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็มาจนได้” 


 


 


รับรู้ถึงความอับชื้นในเรือนหลัง คิดได้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง สายตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเย็นชา ยื่นมือ เช็ดหัวของนาง “เย่ว์เอ๋อร์ ไม่เป็นอะไรแล้วนะ” 


 


 


“เสด็จพ่อเสด็จแม่ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไป  


 


 


“คารวะท่านอ๋อง พระชายาขอรับ” เมิ่งชิงทักทายพวกเขาด้วยความเคารพ  


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า “มาก็ดีแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วเข้ามาทักทายทุกคน พยุงพระชายา เห็นสีหน้านางไม่สู้ดี จึงได้จับชีพจรให้นาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย 


 


 


สีหน้าของนางสะท้อนเข้าไปในแววตาของหวงฝู่อี้เซวียน ถามด้วยความร้อนรนว่า “สุขภาพของเสด็จแม่เป็นเยี่ยงไรบ้าง” 


 


 


“ค่อนข้างอ่อนแอ คงต้องใช้เวลารักษาหลายวัน” เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือของนางลง ตอบอย่างอ้อมค้อม 


 


 


อ๋องฉีเชื่อเช่นนั้น หวงฝู่อี้เซวียนมองหน้านางเล็กน้อย ไม่ได้ว่าอะไร 


 


 


“ไปกันเถิด ไปหาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด แล้วพักผ่อนกันก่อน” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว 


 


 


อ๋องฉีไม่คัดค้าน 


 


 


อาศัยอยู่ในที่คับแคบอับชื้นหลายวัน ไม่มีแม้แสงตะวัน ร่างกายของทุกคนจึงเริ่มรับไม่ไหวแล้ว  


 


 


“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ พวกเราไปกันเถิดขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว 


 


 


“ช้าก่อน!” อ๋องฉีห้ามเขา “ด้านในยังมีคนอีก” 


 


 


ตอนที่อ๋องฉีออกมาเที่ยวเล่นนั้น เซี่ยเฟิงและองครักษ์ลับอีกกว่าสามสิบนายติดตามมาดูแล ตอนนี้เห็นเขาและองครักษ์ลับอีกเพียงสองนาย หวงฝู่อี้เซวียนก็สลดใจ ตอนนี้ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ คิดว่ายังมีองครักษ์ลับที่บาดเจ็บอยู่อีก ได้ยินดังนั้นจึงถามเซี่งเฟิงทันทีว่า “ยังเหลืออยู่อีกกี่คน” 


 


 


เซี่ยเฟิงตอบว่า “ยังมีอีกสองขอรับ” 


 


 


ความดีใจมลายหายไป น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ไปพยุงพวกเขาออกมา” 


 


 


“ไม่เป็นไร พวกเราเดินเองได้!” เสียงของท่าป๋าหั่นหลินลอยออกมา 


 


 


มองไปตามเสียง คนของท่าป๋าหั่นหลินพยุงเขาอยู่ เดินเข้ามาด้วยท่าทีไร้เรี่ยวแรง 


 


 


เมื่อเห็นชัดว่าเป็นผู้ใด สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนตกใจไม่น้อย แต่ไม่นานก็หายไป ถามด้วยความน่าเกรงขามว่า “เหตุใดเข้าจึงอยู่ที่นี่ได้” 


 


 


“เรื่องนี้มันยาวนัก พวกเราออกไปคุยกันด้านนอกเถิด” อ๋องฉีถอนใจเบาๆ กล่าวออกมา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ว่าอะไรต่อ หันหลัง บอกให้เมิ่งเชี่ยนโยวพยุงพระชายาออกไป  


 


 


ทุกคนเดินออกมา คนงานที่เรือนหลังเห็นมีคนมากถึงเพียงนี้ จึงมองมาด้วยความสงสัย 


 


 


เถ้าแก่แสร้งไอเสียงดัง คนงานตัวสั่น รีบก้มหน้าทำงานของตน เหลาจวี้เสียนเป็นโรงเตี๊ยมใหญ่ การรับคนงานมีเกณฑ์เข้มงวด แต่เบี้ยหวัดก็มาก พวกเขาอุตส่าห์เข้ามาได้ ไม่ต้องการให้ถูกไล่ออกเพียงเพราะเหตุเล็กน้อยเช่นนี้หรอก 


 


 


เถ้าแก่ควบรถม้าออกมา อ๋องฉี พระชายา พร้อมทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นนั่ง ท่าป๋าหั่นหลินและคนของเขาเตรียมขึ้นไป แต่ถูกหวงฝู่อี้เซวียนขวางไว้ ส่งสายตาให้เถ้าแก่  


 


 


เถ้าแก่เข้าใจ จึงได้ไปจูงม้ามาอีกตัว มอบให้ทั้งสอง 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้คัดค้าน ปีนขึ้นม้าไปได้ด้วยการช่วยเหลือจากลูกน้อง ตามหลังรถม้าไป ตามพวกเขามายังโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 96 การแสดงของนายน...

 

แม้ประตูเมืองแย้มออกกว่าครึ่ง แต่ยังคงไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกได้ ดังนั้นผู้คนในโรงเตี๊ยมจึงรวมตัวกัน วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เห็นศพนอนเรียงรายหน้ากำแพงเมืองในวันนี้ เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ยืนอยู่ที่โต๊ะ ฟังอยู่ด้วยความเบื่อหน่าย 


 


 


เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา เสี่ยวเอ้อร์ขยันขันแข็งขึ้นมาทันตา วิ่งเข้ามาหาทุกคน ถามด้วยความกระตือรือร้นว่า “ทุกท่านมากินอาหารหรือมาพักขอรับ!” 


 


 


“ขอห้องพักชั้นดีเจ็ดห้อง” หวงฝู่อี้เซวียนตอบ แล้วลงจากหลังม้า 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ดีใจเสียจนแทบกระโดดขึ้นมา 


 


 


เถ้าแก่ได้ยินเสียงของเขาเช่นกัน เดินออกมาจากโต๊ะด้วยความยินดี ต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นกันเอง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปยังรถม้า เปิดม่านรถออก อ๋องฉีออกมาก่อน ตามด้วยหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์พยุงพระชายาออกมา 


 


 


เถ้าแก่นำทางด้วยตนเอง พาพวกเขาไปยังชั้นสอง เปิดห้องออกทีละห้อง ให้พวกเขาดูว่าเป็นที่พึงพอใจหรือไม่ 


 


 


อาศัยอยู่ในที่คับแคบอับชื้นมาสามวัน ความหวังของทุกคนคือการได้อาบน้ำร้อนให้สบายตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดใส่ จึงไม่ได้ดูอย่างละเอียด อ๋องฉีพยักหน้า “ได้ เจ้าไปสั่งให้คนนำน้ำร้อนมาไว้ห้องละสองถัง พวกเราอยากอาบน้ำกันเสียหน่อย” จากนั้น กล่าวกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เจ้าส่งคนไปซื้อเสื้อผ้ามาให้พวกเราเสียหน่อย” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ อ๋องฉีและพระชายาเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ห้องหนึ่ง ท่าป๋าหั่นหลินและคนของเขาห้องหนึ่ง พวกเซี่ยเฟิงสามคนไม่ขยับ 


 


 


ชี้ไปทางสองห้องริมสุด หวงฝู่อี้เซวียนสั่งว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด เรื่องต่อจากนี้มิต้องสนใจแล้ว รักษาแผลให้ดีเป็นพอ” 


 


 


“ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ!” ทั้งสามคนกล่าวขอบคุณ แล้วเดินเข้าไปในห้อง  


 


 


เถ้าแก่ลงบันไดไป สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปเตรียมน้ำร้อน ขึ้นไปส่งด้านบน 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้หยุดพัก เดินลงมา ถามเถ้าแก่ว่า “ร้านขายผ้าที่ดีที่สุดของเมืองนี้อยู่ที่ใดกัน” 


 


 


มองดูฟ้าด้านนอก เถ้าแก่ส่ายหน้า “เวลาเช่นนี้ เกรงว่าร้านขายผ้าคงได้ปิดกันหมดแล้วขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปด้านนอก สั่งเถ้าแก่ที่ยืนอยู่ข้างรถม้าว่า “เจ้าไปซื้อเสื้อผ้ามาหลายๆ ชุด ไม่เล็กไม่ใหญ่ แบบใดก็ได้” 


 


 


เถ้าแก่ตอบรับ แล้วควบรถม้าออกไป 


 


 


เมื่ออาบน้ำเสร็จ เถ้าแก่ก็ซื้อเสื้อผ้ามาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้า นอกจากหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ดูจะใหญ่ไปสักหน่อย สำหรับผู้อื่นล้วนใส่ได้พอดี 


 


 


เรียกเสี่ยวเอ้อร์มา ตบรางวัลให้หลายตำลึง ให้พวกเขายกน้ำในห้องลงไป  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมทั้งเมิ่งชิงมายังห้องของอ๋องฉี เพื่อถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น 


 


 


อ๋องฉีเล่าเรื่องร้ายที่ได้ประสบในคืนนั้นให้เขาฟังตามจริง 


 


 


เพื่อปิดความลับของตน ฮั่วเจี่ยกล้าเผาโรงเตี๊ยมได้ลงอย่างไร้ความเป็นคน ไม่เพียงแต่เผาคนบริสุทธิ์ ทั้งยังยังอยากให้คนในครอบครัวเขาถึงแก่ความตาย หวงฝู่อี้เซวียนฟังจบ กำหมัดกรอด สีหน้าเครียดเสียจนมีน้ำหยดลงมาได้ แววตามีความอาฆาต  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟัน ความแค้นในใจกลั้นไว้ไม่อยู่ แผ่ซ่านออกมาด้านนอก 


 


 


เมิ่งชิงนับว่ายังใจเย็นอยู่ รู้สึกได้ถึงความโกรธของพวกเขา อดไม่ได้ที่จะไปจวนฮั่วเดี๋ยวนั้น จึงได้ปลอบใจว่า “พี่โยวเอ๋อร์ ท่านพี่เขย ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโกรธเคือง เรื่องนี้ไม่นานก็จะรู้กันไปทั่ว หากพวกท่านลงมือกันเอง เกรงว่าจะทำให้เกิดการวิจารณ์ในภายหน้าได้ เรื่องนี้ส่งให้นายน้อยอู่โหวจัดการเถิด ให้ตระกูลฮั่วจบสิ้นภายใต้น้ำมือของเขาเอง ให้จวนฮั่วมลายหายไปจากเจียงหนานตลอดกาล” 


 


 


“นายน้อยอู่โหว? จวนอู่โหวน่ะหรือ” อ๋องฉีถาม 


 


 


เมิ่งชิงพยักหน้า “เขาออกมาช้ากว่าพวกเรา วันพรุ่งคงจะถึง พวกท่านนั่งรอดูเถิด ดูการแสดงของสองพ่อตา ลูกเขย หากนายน้อยอู่โหวจัดการได้ดี จวนอู่โหวก็ปลอดภัย แต่หากไม่ เช่นนั้น จวนอู่โหวก็ถึงคราจบสิ้นเช่นกัน” 


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า ถอนหายใจออกมา ความกดดันหลายวันนี้ได้มลายหายไป “พวกเราตั้งตารอก่อน เพื่อลูกสาวแล้วฮั่วเจี่ยจะยอมสละจวนฮั่วได้หรือไม่” 


 


 


นายน้อยอู่โหวออกเดินทางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ได้เดินทางติดต่อกันสามวันดังเช่นหวงฝู่อี้เซวียน แต่นั่งรถม้าเดินทางมาอย่างช้าๆ เดินทางไปพร้อมความเครียด หลังตนไปถึงเจียงหนานแล้วควรจะลงมือกับพ่อตาของตนหรือไม่ อย่างไรเสียหลายปีมานี้ท่านพ่อตาก็ได้ช่วยเหลือเขาไม่น้อย เรื่องเบี้ยหวัดไม่เคยขาดตกบกพร่อง เรื่องนี้เป็นเพราะเรื่องลูกสาว จึงได้ลงมือกับอ๋องฉีได้ ตนจัดการพวกเขา ก็จะเป็นคนอกตัญญู คิดถอนใจไป ยิ่งคิดยิ่งเดินทางช้าลง 


 


 


เดินทางมาหนึ่งวัน ยังมาได้ไม่ถึงร้อยลี้ ด้านหลังที่รถม้าแล่นเข้ามา มาหยุดที่ข้างกายเขา กระโดดลงมา คุกเข่าลงที่พื้น หยิบจดหมายออกจากเสื้อ มอบให้เขา “นายน้อยอู่โหว นี่เป็นจดหมายที่นายท่านอู่โหวมอบให้ท่านขอรับ” 


 


 


นายน้อยอู่โหวก้มลงไปรับ ค่อยๆเปิดออก อ่านอย่างไร้เรี่ยวแรง ด้านบนเขียนว่า “หากเจ้าไปเจียงหนานภายในสามวันไม่ได้ ก็รอดูจวนอู่โหวล่มสลายได้เลย” 


 


 


นายน้อยอู่โหวยืดตัวตรง เบิกตาโพลง มือที่ถือจดหมายเริ่มสั่น “นี่ นี่ นี่…” 


 


 


“นายท่านบอกแล้ว หากท่านหวังจะมาเก็บศพเขา ก็เดินทางให้ช้าลงเสียหน่อยขอรับ” 


 


 


นายน้อยมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ครู่ใหญ่ จึงได้หันมองจดหมายอีกครั้ง จากนั้นเข้าใจได้ว่าเพราอะไร ยกแซ่หวดม้า ฟาดลงไปบนม้า เมื่อมันเจ็บจึงได้ร้องออกมา แล่นตรงออกไปด้านหน้า คนด้านหลังตามติดมา 


 


 


คนส่งจดหมายยืนขึ้น มองดูที่ไกลมีฝุ่นตลบขึ้น ถอนหายใจ หันหลังขึ้นม้า กลับไปรายงาน 


 


 


นายน้อยอู่โหวตัดสินใจแล้ว ไม่ลังเลอีก สามวันจากนั้นมาถึงเจียงหนาน ช้ากว่าหวงฝู่อี้เซวียนเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน 


 


 


เมื่อเข้าเมืองมาแล้ว ก็ตรงไปยังจวนที่ว่าการเจ้าเมือง 


 


 


เมื่อพบกับจูจือหมิงที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ไม่มีชีวิตชีวา จึงไม่อ้อมค้อม ถามตรงๆ ว่า “เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าบอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมื่อรู้ว่าเป็นนายน้อยอู่โหวจากจวนอู่โหว ลูกเขยของฮั่วเจี่ย จูจือหมิงจึงไม่ปิดบัง เล่าเรื่องแผนชั่วของฮั่วเจี่ยและการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ของตนให้เขาฟังทั้งหมด  


 


 


เมื่อนายน้อยอู่โหวฟังจบ สูดหายใจเข้าลึก ตกใจเสียแทบสะดุ้ง ฮั่วเจี่ยเขา… เขากล้าวางแผนลอบทำร้ายท่านอ๋องฉีเชียวหรือ นี่ นี่โทษมันถึงประหารเจ็ดชั่วโคตรเชียวนะ 


 


 


จูจือหมิงพูดจบ ก็ไม่พูดอะไรต่อ 


 


 


นายน้อยอู่โหวยืนขึ้น ออกมาจากที่ว่าการเจ้าเมืองอย่างไร้สติ ขึ้นม้าอย่างล่องลอย ตรงไปยังจวนฮั่ว เห็นแต่ไกลว่าจวนฮั่วมีคนล้อมเอาไว้ จึงได้หยุดม้าไม่เดินหน้าต่อ มองดูพลธนูหน้าจวนอู่โหว หน้ามืดเป็นระยะ ราวกับว่าเห็นป้ายประกาศสั่งประหารอย่างนั้น อีกทั้งยังเป็นตนออกคำสั่งเองด้วย 


 


 


โจวอันเห็นเขามาแต่ไกล เตรียมทำความเคารพเขา คิดไม่ถึงว่าเขาหยุดลงที่เดิม โจวอันจึงไม่ขยับ รอให้เขาเข้ามาใกล้ 


 


 


ความคิดมากมายถาโถมเข้ามาในหัว สุดท้าย ต้องเป็นคนในจวนฮั่วถูกตัดหัว เลือดนองเต็มพื้น จึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด ครั้งแล้วครั้งเล่า จึงได้ตั้งสติเดินเข้าไป 


 


 


โจวอันทำความเคารพ “คารวะนายน้อยอู่โหวขอรับ” 


 


 


เขามักอยู่ข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียน นายน้อยอู่โหวรู้จักเขา จึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก บอกตามตรงว่า “ข้าอยากเข้าไปด้านใน” 


 


 


โจวอันโบกมือ ให้องครักษ์ลับเปิดทางให้ 


 


 


“นายน้อยอู่โหว เชิญขอรับ” 


 


 


นายน้อยอู่โหวควบม้าเดินไปด้านหน้า ถอนหายใจอีกครั้ง ถามเสียงดังว่า “ข้าคือนายน้อยอู่โหวจากจวนอู่โหวแห่งเมืองหลวง ตั้งใจมาจากเมืองหลวงเพื่อเยี่ยมท่านพ่อตา รบกวนไปรายงานด้วย” 


 


 


หลายปีมานี้ นายน้อยอู่โหวไม่เคยมาที่เจียงหนานเลย คนในจวนไม่รู้จักเขา แต่เมื่อฟังคำเขา คนเฝ้าประตูจึงได้รีบเข้าไปรายงานทันที 


 


 


เมื่อฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น จึงยืนขึ้น ใบหน้ายินดียินร้าย “เช่นนั้นหรือ” 


 


 


เรื่องยินดีคือ นายน้อยอู่โหวมาแล้ว ยินร้ายคือไม่รู้ว่าเขามาด้วยเหตุใด มารับอวี้เอ๋อร์ที่หายตัวไป หรือว่ามาจับตน 


 


 


ภายใต้จิตใจที่สับสนนี้ ฮั่วเจี่ยสั่งว่า “เชิญเขาเข้ามา” 


 


 


บ่าวรับใช้วิ่งออกไปอีกครั้ง ไม่นานก็เชิญนายน้อยอู่โหวเข้ามาอย่างนอบน้อม  


 


 


เดินเข้ามาในเรือนหลักเห็นฮั่วเจี่ยเต็มไปด้วยความรอคอย ยืนรออยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้ายินดี เดินเข้าไปเล็กน้อย ถกชายเสื้อขึ้น คุกเข่าลง คารวะ “ลูกเขยขอคารวะท่านพ่อตาขอรับ หลายปีมานี้ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนท่าน ขอท่านโปรดอภัยด้วย” 


 


 


ฮั่วเจี่ยตกใจไม่น้อย หากว่าตามฐานันดรแล้ว นายน้อยอู่โหวสูงศักดิ์กว่าตนนัก หากว่าตามอายุแล้วก็ไม่ถึงกับต้องก้มคาวระเขาเช่นนี้ จึงได้โน้มตัวลง พยุงนายน้อยอู่โหวขึ้นมา “ลูกเขยเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ารับการคารวะจากเจ้าไม่ได้หรอก” 


 


 


“ท่านพ่อตายกลูกสาวคนเดียวให้ข้า ทั้งยังส่งเบี้ยหวัดให้ข้าทุกปี ทำให้จวนอู่โหวของเราไม่ลำบากเรื่องกินอยู่ ลูกเขยจำใส่ใจเสมอ การคารวะนี้สมควรมอบให้ท่านขอรับ” 


 


 


นายน้อยไม่ขยับ พูดออกมาตามตรง 


 


 


คำพูดนี้ทำให้ฮั่วเจี่ยได้ยินแล้วอุ่นใจนัก ความสงสัยเมื่อครู่ได้หายไป หัวร่อเสียงดัง ออกแรง พยุงเขาขึ้นมา “ลูกเขย รีบลุกขึ้นเร็วเข้า” 


 


 


นายน้อยอู่โหวยืนขึ้น  


 


 


“แม่ยายของเจ้าไม่แข็งแรง นอนพักอยู่ด้านใน มิได้ออกมารับเจ้า เจ้าอย่าได้ถือสา” ฮั่วเจี่ยพูดลองเชิง เพื่อสังเกตสีหน้าของเขา 


 


 


นายน้อยอู่โหวได้ยินดังนั้น ใบหน้าปรากฏสีหน้าร้อนใจออกมา ถามยกใหญ่ว่า “ท่านแม่ยายเป็นอะไรหรือขอรับ ตามหมอมาแล้วหรือยัง ข้าขอเข้าไปดูได้หรือไม่” 


 


 


ท่าทางของเขาทำให้ฮั่วเจี่ยเป็นสุข ฮั่วเจี่ยหัวร่อเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข “มิได้เป็นอะไรมาก ลูกเขยตามพ่อมาเถิด” 


 


 


“ขอบคุณขอรับท่านพ่อตา” 


 


 


เดินตามฮั่วเจี่ยเข้าไปในห้อง มาข้างเตียงของฮูหยินฮั่ว เห็นฮูหยินฮั่วนอนเอนอยู่บนเตียง สีหน้าอ่อนเพลียจึงได้รีบคุกเข่าลง “ลูกเขยคารวะท่านแม่ยายขอรับ” 


 


 


ฮูหยินฮั่วตกใจ รีบลงจากเตียงมาเพื่อพยุงเขา “ลูกเขย เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้ารับไว้มิได้หรอก” 


 


 


“ท่านแม่ยายไม่สบาย อย่าขยับเลยขอรับ” 


 


 


นายน้อยอู่โหวนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เดินเข้ามาเล็กน้อย ห้ามฮูหยินฮั่วเอาไว้ 


 


 


แม้จะเป็นแม่ยาย แต่การคารวะของนายน้อยอู่โหวนับว่ายิ่งใหญ่เกินไป ใจของฮูหยินฮั่วเริ่มเต้นเร็ว ทั้งหน้าผากยังกระตุกไม่หยุด มองฮั่วเจี่ยด้วยความสงสัย ถามเขาด้วยสายตาว่านี่เกิดอะไรขึ้น 


 


 


ฮั่วเจี่ยยิ้มพร้อมส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่มีอะไร โน้มตัวลงพยุงนายน้อยอู่โหวขึ้นมาอีกครั้ง ยิ้มพร้อมพูดว่า “แม่ยายเจ้าป่วยมาหลายวันแล้ว อย่าให้โรคติดเจ้าเลย พวกเราไปคุยกันที่ห้องรับรองดีกว่า” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 97

 

ฮูหยินฮั่วเห็นพ้องต้องด้วย “พวกเจ้าไปห้องรับรองแขกเถิด ข้าสุขภาพไม่ดี คงมิได้ไปกับพวกเจ้า” 


 


 


“ท่านแม่ยายรักษาสุขภาพด้วยขอรับ ลูกเขยไม่ขอรบกวนแล้ว เราครอบครัวเดียวกัน ท่านมิจำเป็นต้องเกรงใจข้าถึงเพียงนี้” ราวกับปากของนายน้อยอู่โหวฉาบด้วยน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น ทุกคำที่เขาพูดมาช่างทำให้สองสามีภรรยาฮั่วฟังแล้วชื่นใจนัก 


 


 


น้ำเสียงของฮั่วเจี่ยดังสะท้านกว่าเดิม ฮูหยินฮั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม  


 


 


ฮั่วเจี่ยพานายน้อยอู่โหวมายังห้องรับรองแขก สั่งให้บ่าวไปนำชามาให้ ลูบเคราของตน ยิ้มพร้อมถามว่า “เหวินเอ๋อร์ยังสบายดีหรือ” 


 


 


“เรียนท่านพ่อตาขอรับ เหวินเอ๋อร์สบายดี ครานี้หากมิใช่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้ารีบมายังเจียงหนาน ข้าคงจะต้องพานางมาด้วยเป็นแน่ แต่ว่า ไม่เป็นไรหรอกขอรับ อีกไม่กี่วัน รอเรื่องสะสางแล้ว ข้าจะพานางมาพบหน้าท่าน” 


 


 


ได้ยินคำของเขา ใจของฮั่วเจี่ยสั่น “อีกไม่กี่วันจะพามา” หมายความว่าเรื่องนี้จวนฮั่วของเขาสามารถรอดพ้นไปได้อย่างนั้นหรือ แต่ไม่ได้ถาม ยิ้มพร้อมพูดว่า “ดีๆ ข้าและแม่ยายเจ้ารอพวกเจ้ามาหาอยู่พอดี” 


 


 


“แน่นอนขอรับ” ขณะที่พูดคำนี้ ใจของนายน้อยอู่โหวสลดลง ไม่มีความกล้า 


 


 


ใจของฮั่วเจี่ยยังคงวนเวียนอยู่ในคำพูดเมื่อครู่ของเขา ฟังน้ำเสียงที่แปลกไปของเขาไม่ออก จึงได้หัวเราะและพูดว่า “ดีๆ” 


 


 


ชะงักไปเล็กน้อย นายน้อยอู่โหวลองเอ่ยว่า “ท่านพ่อตาขอรับ ฝ่าบาทได้รับสาส์นด่วนจากท่านอ๋องฉี ความว่าท่านต้องการฆ่าเขา จึงได้จงใจทำให้สะพานหัก เป็นเหตุให้ชาวบ้านตายไปไม่น้อย เรื่องนี้มันเป็นมาเช่นไรกันแน่ขอรับ ท่านอยู่ที่เจียงหนานมานาน แล้วรู้จักกับอ๋องฉีได้อย่างไร” 


 


 


ฮั่วเจี่ยเพิ่งเข้าใจ ที่แท้ทางวังหลวงรู้เรื่องก็เพราะเหตุนี้ ที่แท้อ๋องฉีได้ส่งข่าวไปนานแล้ว เห็นทีคนของเขาช้าไปก้าวหนึ่ง ในใจกำลังคิด ปากก็เล่าไป ไม่ได้ปกปิด เล่าเรื่องที่หลิวอวี้เอ๋อร์ไปบนสะพาน แล้วบังเอิญเห็นครอบครัวอ๋องฉี จึงได้เล่าเรื่องที่ถูกรังแกเมื่ออยู่ที่จวนอู่โหวแห่งเมืองหลวงและเหตุใดนางจึงมาที่เจียงหนานให้เขาฟัง เขาโกรธไม่น้อย ตั้งใจจะเรียกร้องความยุติธรรมให้จวนอู่โหวและหลิวอวี้เอ๋อร์ จึงคิดจะทำลายครอบครัวอ๋องฉีที่เจียงหนานอย่างลับๆ อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเขา ตายไปก็เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ครอบครัวเขาต่างว่ายน้ำเป็น กระทั่งพระชายาที่บอกว่าอ่อนแอยังว่ายน้ำได้ พวกเขาจึงรอดมาได้ และทำให้เกิดเรื่องภายหลังต่อมา 


 


 


นายน้อยอู่โหวฟังถึงตรงนี้ พยักหน้า ถามด้วยสีหน้าดังเดิม “เรื่องต่อมาคือเรื่องอะไรหรือ” 


 


 


“เรื่องนั้น…” ฮั่วเจี่ยลังเล ฮั่วต้าตายไปแล้ว เรื่องที่เขาทำก็ตายไปพร้อมเขาด้วย ส่วนจูจือหมิง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง บอกเรื่องราวโดยละเอียดไม่ได้ เพียงเขากัดฟันไม่พูด ทางราชสำนักก็ไม่มีทางหาหลักฐานมาลงโทษจวนฮั่วได้ 


 


 


“ท่านพ่อตา พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านยังมีสิ่งใดต้องปิดบังข้าอีกหรือ ท่านบอกมา ลูกเขยคนนี้จะช่วยท่านเอง” น้ำเสียงของนายน้อยอู่โหวจริงใจ เมตตา  


 


 


แม้ฮั่วเจี่ยมีแผนการณ์ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติในคำพูดของเขา ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยอู่โหวแสดงท่าทีเป็นคนในครอบครัว จึงได้วางใจ เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง 


 


 


เขาพูดมากขึ้น นายน้อยอู่โหวก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น สมกับเป็นที่ไกลปืนเที่ยงเสียจริง ฮั่วเจี่ยตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ของที่นี่ กำเริบเสิบสานหนัก วางอำนาจกับชาวบ้านต่ำต้อยก็อีกเรื่อง ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ กล้ากระทั่งฆ่าครอบครัวอ๋องฉี อ๋องฉีเป็นถึงผู้ใด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาช่วยชีวิตฮ่องเต้องค์ก่อนไว้ รักษาชีวิตผู้นำของรัฐอู่ได้ ทั้งยังเป็นชินอ๋องผู้เดียว เป็นคนที่ผู้ใดแตะต้องไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวผู้ดุร้าย หากไปยั่วโมโหพวกเขา เขาไม่สนอะไรทั้งสิ้น หากไม่ใช่พวกท่านอ๋องปลอดภัยดี ไม่เช่นนั้นไม่ต้องรอพวกเขามาถึง จวนฮั่วก็คงกลายเป็นจวนร้างไปแล้ว ยิ่งฟังยิ่งกลัว ยิ่งฟังยิ่งเสียววาบที่สันหลัง เช่นนี้เอง ท่านพ่อจึงได้ให้ข้าควบม้าเร็วมายังเจียงหนาน เพื่อลงโทษตระกูลฮั่ว หากให้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวลงมือก่อน จวนอู่โหวก็คงติดร่างแหไปด้วย เพราะว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากอวี้เอ๋อร์ผู้เดียว เช่นนั้นจุดจบของจวนอู่โหว… 


 


 


คิดถึงตรงนี้ ร่างของนายน้อยอู่โหวสั่นสะท้าน ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า 


 


 


ฮั่วเจี่ยรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเขา จึงได้หยุดสิ่งที่ตั้งใจจะเอ่ย ถามด้วยความสงสัยว่า “สีหน้าของลูกเขย เหตุใดจึงดูไม่ดีเช่นนั้นเล่า” 


 


 


นายน้อยอู่โหวพยายามกดความรู้สึกตกใจของตนเอาไว้ ปรับน้ำเสียงให้นิ่ง แต่อย่างไรเสียงยังคงสั่นเล็กน้อย จงใจเปลี่ยนบทสนทนา “อวี้เอ๋อร์หายไปหรือขอรับ” 


 


 


ฮั่วเจี่ยคิดว่าเขาเป็นห่วงอวี้เอ๋อร์จึงได้มีอาการเช่นนี้ จึงได้พยักหน้า เอ่ยว่า “เป็นความผิดของข้าเองทิ้งสิ้น ข้าดูแลคนไม่เข้มงวด ให้คนชั้นต่ำพวกนั้นพานางหนีออกไป จึงได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร” 


 


 


นายน้อยอู่โหวเตรียมอ้าปากพูด 


 


 


ฮั่วเจี่ยพูดต่อว่า “แต่ว่าลูกเขยวางใจได้ นับแต่คืนที่นางหายตัวไป ข้าได้สั่งให้ปิดประตูเมือง นางต้องอยู่ในเมืองเป็นแน่ บัดนี้เจ้ามาแล้ว สามารถระดมคนจากทางการมาช่วยกันหาได้” 


 


 


ดวงตาของนายน้อยอู่โหวมืดลงเป็นระยะ ในใจคร่ำครวญ หากอวี้เอ๋อร์ออกจากเมืองแล้ว ยังพอปล่อยฮั่วเจี่ยไปได้ ไม่ถึงขั้นต้องให้จวนเขาเต็มไปด้วยใบประกาศประหารตัดคอ แต่หากหลิวอวี้เอ๋อร์ยังอยู่ในเมือง หากถูกหวงฝู่อี้เซวียนจับตัวได้ บังคับให้สารภาพทุกเรื่องออกมา อย่าว่าแต่จวนฮั่วเลย เพราะแม้แต่จวนอู่โหวเองก็ยากจะหนีจากการลงโทษของฝ่าบาทได้ เป็นครั้งแรก ที่นายน้อยอู่โหวรู้สึกเสียใจกับการที่เขาและฮูหยินตามใจหลิวอวี้เอ๋อร์จนเกินไป นางสร้างเรื่องไม่พัก แม้เขาจะเป็นพ่อแท้ๆ ของนาง แต่ครานี้คงมิอาจปกป้องนางได้ 


 


 


สีหน้าของเขาแย่ลงมากขึ้น ฮั่วเจี่ยเข้าใจว่าเขาเป็นกังวลต่อหลิวอวี้เอ๋อร์ จึงได้ปลอบใจ นายน้อยอู่โหวผุดลุกขึ้นกล่าวด้วยความรีบร้อนว่า “ท่านพ่อตาขอรับ ลูกเขยยังมีเรื่องด่วน ไม่สามารถอยู่นานได้ หากมีเรื่องอันใดพวกเราค่อยว่ากันวันหลังเถิด” 


 


 


เอ่ยเสร็จ ไม่รอให้ฮั่วเจี่ยได้สติ หันหลังเดินออกมา ฝีเท้าเร็วเสียจนราวกับว่ากำลังเดินหนีหมาบ้าอย่างไรอย่างนั้น กว่าฮั่วเจี่ยจะได้สติกลับมา หวังจะรั้งเขาเอาไว้ เขาก็ได้เดินออกจากเรือนรับรองเสียแล้ว 


 


 


ฮั่วเจี่ยขมวดคิ้วลง รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแต่ยังคิดไม่ออกในทันที จึงได้นั่งอยู่ในห้องรับรองครู่หนึ่ง จึงค่อยกลับห้องในเรือนหลัก 


 


 


อาการของฮูหยินฮั่วดีขึ้นไม่น้อย ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นเขาเข้ามา จึงได้ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ เหวินเอ๋อร์ช่างโชคดีเสียจริง ที่ได้สามีที่ดีเช่นนี้” 


 


 


คิดถึงภาพที่เมื่อครู่นายน้อยอู่โหวคุกเข่าลงคารวะทั้งสอง ใบหน้าของฮั่วเจี่ยปรากฎรอยยิ้มออกมาก ไม่ใช่วันสำคัญอะไร แต่มีลูกเขยมาเยี่ยมเยียนถึงที่ ซ้ำยังคารวะพ่อตาแม่ยายเช่นนี้มีน้อยนัก หนำซ้ำลูกเขยผู้นี้ฐานันดรสูงศักดิ์ยิ่ง ซ้ำยังก้มหัวให้พวกเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย 


 


 


ฮั่วเจี่ยได้ใจ แต่นายน้อยอู่โหวเศร้าใจยิ่งนัก เศร้ากระทั่งเดินออกจากจวนมาด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง มองโจวอันพาองครักษ์ลับเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู กัดฟัน เข้าไปถามว่า “ซื่อจื่อแลผู้แทนพระองค์เมิ่งเล่า ไปที่ใดกัน” 


 


 


“เรื่องนั้นข้ามิทราบ หากนายน้อยอู่โหวอยากทราบ ข้าจะส่งคนไปสืบมา” 


 


 


“ขอบใจเจ้ามาก” หลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่นายน้อยอู่โหวกล่าวคำว่า ‘ขอบใจ’ กับโจวอันผู้ที่เขามองว่าเป็นเพียงข้าทาสผู้หนึ่ง  


 


 


โจวอันกล่าวสองสามคำกับองครักษ์ลับ องครักษ์ลับพยักหน้า กระโจนขึ้นม้าเร็ว แล่นออกไป สืบถามมาตลอดทางกระทั่งถึงเหลาจวี้เสียน พบกับเถ้าแก่ ถามหาที่พักของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่นานก็ควบม้าเร็วกลับมารายงาน 


 


 


นายน้อยอู่โหวได้ยินดังนั้น จึงปีนขึ้นม้าด้วยขาอ่อนแรง มายังที่ที่หวงฝู่อี้เซวียนพักอยู่ ลงจากม้าเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ถามเถ้าแก่ว่า “มีคนจากเมืองหลวงมาที่นี่บ้างหรือไม่” 


 


 


เถ้าแก่มองพิจารณาเล็กน้อย จากนั้นจึงมองผู้ที่ติดตามเขามาอยู่ด้านนอก พยักหน้า ชี้ไปยังชั้นบน “อยู่ห้องชั้นดีด้านบน” 


 


 


นายน้อยอู่โหวไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตึง ตึง ตึง ขึ้นชั้นบนไป กวาดตามองห้องที่ปิดสนิทเหล่านั้น พูดเสียงดังว่า “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ หลิวเหยี่ยนมาขอเข้าพบท่านขอรับ” 


 


 


เสียงของเขา ทำเอาเถ้าแก่ตกใจเสียจนเกือบกัดลิ้นของตัวเอง สร้างความตื่นตระหนกให้แก่แขกเหรื่อในโรงเตี๊ยมเป็นอย่างมากแขกเหรื่อที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสต่างเบิกตาโพลง เงยหน้ามองไปด้านบน 


 


 


อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน คิ้วขมวดลงเล็กน้อย 


 


 


อ๋องฉีนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ วางมาดสั่งการ “เข้ามา!” 


 


 


ได้ยินชัดเจนว่าเสียงดังออกมาจากห้องใด นายน้อยอู่โหวเดินไปยังหน้าห้องนั้น เปิดประตู เข้าไป หันไปปิดประตูอย่างเบามือ มองภายในห้องเล็กน้อย กล่าวทักทายด้วยความเคารพ “หลิวเหยี่ยนคารวะท่านอ๋อง ซื่อจื่อขอรับ” จากนั้นจึงได้กล่าวทักเมิ่งชิงว่า “คำนับท่านผู้แทนพระองค์” 


 


 


เมื่อก่อน นายน้อยอู่โหวไม่ได้มีมารยาทเช่นนี้ กิริยาเช่นนี้ ทำให้อ๋องฉีเกิดความประหลาดใจขึ้น แต่ยังคงยื่นมือชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง “มิต้องคารวะหรอก นั่งเถิด” 


 


 


“ขอบพระคุณท่านอ๋อง!” แล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย 


 


 


“นายน้อยอู่โหวมาที่นี่มีเรื่องอันใด” อ๋องฉีไม่หลงกลเขา เอ่ยถามไปตามตรง 


 


 


อ๋องฉีเป็นผู้ประสบเรื่อง รู้ความเป็นมาของเรื่องนี้ดี นายน้อยอู่โหวไม่แก้ตัวแทนฮั่วเจี่ย จึงได้ขอร้องไปตามตรงว่า “ยามข้ามาฝ่าบาทมีรับสั่งว่าให้ข้าร่วมมือกับท่านผู้แทนพระองค์ตรวจสอบฮั่วเจี่ย บัดนี้ข้ารู้เรื่องความผิดของฮั่วเจี่ยเป็นอย่างดีแล้ว มาที่นี่เพื่อต้องการให้ท่านผู้แทนพระองค์ช่วยเหลือ ระดมทหารเข้าเมือง จัดการตระกูลฮั่วเสีย ใช้กฎหมายบ้านเมืองจัดการพวกเขา สำเร็จโทษตามพระราชโองการด้วยขอรับ” 


 


 


“นายน้อยอู่โหวหมายความว่า ท่านไปจวนฮั่วมาแล้วเช่นนั้นหรือ” อ๋องฉีถาม 


 


 


“ขอรับ หลิวเหยี่ยนเกรงว่าพวกเขาจะสงสัย เมื่อเข้ามาแล้ว จึงได้ตรงไปที่จวนฮั่วโดยลำพัง หลอกล่อให้ฮั่วเจี่ยพูดความจริงออกมา เป็นความผิดมหันต์นัก ควรแก่การประหารเจ็ดชั่วโคตร!” พูดด้วยความหนักแน่น เต็มไปด้วยความเคืองโกรธ 


 


 


ริมฝีปากของอ๋องฉีเบ้เล็กน้อย ในใจคิดว่า หลิวเหยี่ยนผู้นี้เกรงว่าคงรู้แล้วว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในจวน หวังใช้โอกาสนี้จับตระกูลฮั่ว ประหารพวกเขา รักษาชีวิตของหลิวอวี้เอ๋อร์เอาไว้ ทั้งยังรักษาจวนอู่โหวของตนได้อีกด้วย 


 


 


แต่ว่า อ๋องฉีไม่ได้หวังจะลากจวนอู่โหวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาเคยนำทัพทหาร เคยออกรบ รู้ดีว่าการรอดชีวิตจากศึกนั้นยากเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยอู่โหวเคยได้ออกรบเคียงคู่กับอดีตฮ่องเต้ ต่างรบราฆ่าฟันมาตลอด ใช้ความสามารถของตนนำมาซึ่งเกียรติแห่งจวนอู่โหว เขาทำไม่ลง ทั้งยังไม่สามารถทำลายจวนอู่โหวได้ 


 


 


พยักหน้า สั่งเมิ่งชิงว่า “ฮ่องเต้รับสั่งกับเจ้าแล้ว จงไปเถิด” 


 


 


ผู้แทนพระองค์ไม่มีสิทธิ์ระดมทหาร แต่ครานี้ไม่เหมือนปกติ หวงฝู่ซวิ่นพระราชทานพระราชโองการให้ระดมพลได้ 


 


 


เมิ่งชิงรอเวลานี้มานาน ยืนขึ้น กล่าวกับนายน้อยอู่โหวด้วยความนอบน้อมว่า “เชิญนายน้อยอู่โหวขอรับ” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 98 จับตัว

 

ทั้งสองเดินตามกันออกไปจากห้อง  


 


 


ทั้งโรงเตี๊ยมเงียบสงัด ทุกคนเงยหน้ามองพวกเขาด้วยความประหลาดใจ แล้วคาดเดาฐานันดรของทั้งสอง 


 


 


ทั้งสองไม่สนใจสายตาของพวกเขา เดินออกจากโรงเตี๊ยมไป ไม่นานก็มาถึงค่ายทหารนอกเมือง เปิดพระราชโองการ ระดมทหารห้าพันนายเข้าเมือง 


 


 


ฮั่วเจี่ยยังคงอยู่ในวังวนแห่งความสุขใจที่ได้พบกับนายน้อยอู่โหว ฮูหยินฮั่วก็สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย นายน้อยอู่โหวมาแล้ว อวี้เอ๋อร์ก็ปลอดภัย ใจที่นางกังวลมานานหลายวัน ในที่สุดก็ได้วางลงเสียที 


 


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังสุขใจกันอยู่นั้น พ่อบ้านล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้ามา รายงานด้วยเสียงสั่นคลอนว่า “นาย นายท่าน เกิด เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ท่าน ท่านเขยเขา…” 


 


 


พ่อบ้านเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ หากมิใช่เรื่องใหญ่หลวงเขาคงไม่ตื่นตระหนกเช่นนี้ ใจของฮั่วเจี่ยเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมา ยืนขึ้นถามว่า “เหยี่ยนเอ๋อร์เป็นอะไร” 


 


 


“เขานำกองทัพมาล้อมจวนของเราเอาไว้ขอรับ” 


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ” ฮั่วเจี่ยเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อ 


 


 


พ่อบ้านกลืนน้ำลายลงคอ รีบรายงานว่า “ท่านเขยนำกองทัพมาหลายนาย ล้อมจวนของเราเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ซ้ำยังบอกว่า ว่า…” 


 


 


“บอกว่าอะไรเล่า รีบว่ามาสิ!” 


 


 


“บอกว่า ให้นายท่านไปลานประหาร อย่าให้เขาได้ต้องลงมือด้วยตัวเองขอรับ!” 


 


 


“เจ้าสัตว์นรก!” ฮั่วเจี่ยเตะเก้าอี้จนล้ม ด่าด้วยความโกรธ 


 


 


ฮูหยินฮั่วงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น เหตุใดสถานการณ์จึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ เมื่อครู่นายน้อยอู่โหวเพิ่งจะก้มลงคารวะพวกนางอยู่หยกๆ พริบตาเดียวก็พากองทัพทหารมาจับพวกนางแล้วหรือ 


 


 


จึงเอ่ยออกมาด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านเจ้าเมือง…” อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น  


 


 


ฮั่วเจี่ยกลับเดินสาวเท้ายาวออกไปด้านนอก พาความโกรธออกไปพร้อมด้วย “สั่งการว่าให้ชายในจวนทุกผู้นำอาวุธออกมา ไปกับข้า ข้าจะไปดูหลิวเหยี่ยนใจสุนัขผู้นั้น ว่ามันมีปัญญาอะไรจะมาจับข้า” 


 


 


“ขอรับนายท่าน!” 


 


 


ฮั่วเจี่ยเดินออกไปด้านนอก ไฟโกรธในใจลุกโชน บัดนี้จึงได้เข้าใจแล้วว่า การกระทำทุกอย่างของหลิวเหยี่ยนเมื่อครู่เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ทุกอย่างเพียงเพื่อหลอกล่อความจริงออกจากปากเขา น่าขันยิ่งนัก ที่ตนบอกไปตามจริงทุกประการ มิได้ปิดบังเขาแม้แต่น้อย 


 


 


“เจ้าสารเลว! วันนี้ข้ากับมันต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!” ฮั่วเจี่ยเดินไปพลางกัดฟันด่าไปพลาง อยากดึงทึ้งร่างนายน้อยอู่โหวใจแทบขาด 


 


 


ประตูจวนปิดสนิท พลธนูยังคงซ่อนอยู่หลังกำแพง รอเวลาออกโรง 


 


 


ฮั่วเจี่ยเดินตรงไปยังประตูใหญ่ สั่งเสียงเย็นชาว่า “เปิดประตู!” 


 


 


บ่าวรีบเปิดประตูออก ฮั่วเจี่ยเดินออกไปพร้อมไฟโกรธ เงยหน้า มองนายน้อยอู่โหวที่นั่งอยู่บนม้าด้วยท่าทีสง่า ด้านหลังมีทหารนับไม่ถ้วน ไฟโกรธในใจประทุขึ้น “หลิวเหยี่ยน เจ้าสัตว์นรก กล้าดีอย่างไรมาเล่นแง่กับข้า” 


 


 


นายน้อยอู่โหวนั่งอยู่บนม้า ไร้ซึ่งท่าทางอ่อนน้อมอย่างเคย น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวไร้ความปรานี “ฮั่วเจี่ย เจ้าเป็นถึงคนตระกูลใหญ่ อาศัยอยู่ที่เจียงหนานมานาน ไม่เพียงแอบเลี้ยงองครักษ์เงาและพลธนู ทั้งยังคิดคร่าชีวิตผู้อื่น วางแผนลอบทำร้ายครอบครัวท่านอ๋องฉี บัดนี้หลักฐานแน่นหนา หากเจ้ายอมรับผิดแต่โดยดี พวกข้าจะไม่ชำแหละศพเจ้า แต่หากไม่ จะตัดหัวทิ้งเสียที่นี่!” 


 


 


“เจ้า…” ฮั่วเจี่ยรู้สึกเหมือนสำลักกลิ่นคาวเลือด บังคับตัวไม่ให้อ้าปากอาเจียน จากนั้นกลืนลงไป ชี้ไปยังนายน้อยอู่โหว โกรธเสียจนพูดอะไรไม่ออก  


 


 


ชายในจวนต่างถือมีดทำอาหาร ไม้หน้าสาม และของต่างๆ ไว้ในมือ พุ่งเข้ามา ยืนอยู่ด้านหลังฮั่วเจี่ย 


 


 


นายน้อยอู่โหวยิ้มเลือดเย็น “การรวมตัวของพวกคนสกปรก หวังทำศึกกับทหารห้าพันนายของข้าอย่างนั้นหรือ ข้าว่า เข้ามอบตัวเสียโดยดีๆ กว่า เห็นแก่ที่เจ้าเป็นพ่อตาของข้า ข้าจะเมตตาไม่ชำแหละศพเจ้าและแม่ยาย” 


 


 


“เดรัจฉาน สัตว์นรก เจ้าพวกสารเลวไม่สำนึกบุญคุณ!” ในที่สุดฮั่วเจี่ยก็สามารถด่าออกมาได้ “เจ้าตอบแทนคุณด้วยแค้น ไม่ได้ตายดีแน่!” 


 


 


“ข้าจะตายดีหรือไม่นายท่านฮั่วอย่าเป็นกังวลไปเลย บัดนี้กังวลเรื่องของตัวจะดีกว่า โทษที่ทำไป ล้วนเป็นโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรทั้งสิ้น นับแต่บัดนี้ไป ตระกูลฮั่วจะสูญไปจากเจียงหนาน”  


 


 


กล่าวจบ ไม่อยากพูดพล่ามกับพวกเขาต่อ โบกมือ สั่งทหารว่า “เอาตัวมันมา!” 


 


 


โจวอันพาองครักษ์ถอยออกมา ทหารห้าพันนายเข้าไปจับตัวฮั่วเจี่ย 


 


 


มีหรือที่ฮั่วเจี่ยจะยอม โบกมือสั่งให้คนปล่อยธนู องครักษ์ที่เหลืออยู่พร้อมด้วยชายหนุ่มก็ได้เข้าปะทะ 


 


 


ทหารเตรียมพร้อมไว้แล้ว หยิบโล่ออกมา ลูกธนูที่ถูกยิงออกมาถูกบังเอาไว้ ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูจวน เริ่มศึกฆ่าฟันกับชายฉกรรจ์ของจวน 


 


 


ทหารล้วนได้รับการฝึกมาแล้วอย่างดี ชายหนุ่มไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา ต่างล้มลงคนแล้วคนเล่า ไม่นานก็เหลือไม่กี่คน 


 


 


องครักษ์เงาฝ่ายฮั่วเจี่ยปกป้องเขาเอาไว้ ถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานก็มาถึงประตู 


 


 


นายน้อยอู่โหวนั่งอยู่บนม้า มองดูทั้งหมดอย่างสงบ ราวกับว่าตรงหน้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น 


 


 


เมิ่งชิงไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมา เพียงแต่จับตามองการสู้กันอยู่ 


 


 


คนน้อยลงเรื่อยๆ ฮั่วเจี่ยถอยเข้ามาในจวน ทหารก็บุกเข้าไปเช่นกัน บ้างก็ต่อสู้กัน บ้างก็จะไปจับคน บ้างก็ขึ้นไปจัดการพลธนูบนกำแพง เวลานั้น ภายในจวนมีเสียงคนฆ่าฟันกัน กรีดร้อง ตะโกนเรียกหาพ่อแม่ ดังขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังสนั่นไปทุกสารทิศ 


 


 


จวนฮั่วใหญ่นัก ตั้งตระหง่านอยู่บนถนนเส้นหนึ่ง ผู้คนที่ได้ยินเสียงต่างไม่กล้าเข้ามาใกล้ เพียงแต่ยืนอยู่ริมถนน แอบมอง และวิพากษ์ไปต่างๆ นาๆ 


 


 


ครึ่งชั่วยามผ่านไป องครักษ์ฝ่ายฮั่วถูกฆ่าจนสิ้น ฮั่วเจี่ยถูกจับตัวมา เขาในตอนนี้ ผมเผ้ารุงรัง ร่างกายอ่อนล้า ไร้ซึ่งท่าทีภูมิฐานเช่นเคย 


 


 


ผู้นำทัพทหารใช้ดาบวางลงบนคอเขา ตะโกนพูดต่อผู้ที่ยังมีใจคัดค้านว่า “ฮั่วเจี่ยได้ถูกจับแล้ว พวกเจ้ายังไม่ยอมแพ้แต่โดยดีอีกหรือ” 


 


 


เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น ความกล้าหาญก็ได้มลายหายไป ไม่กล้าขัดขืนอีก 


 


 


ทหารบุกเข้าไปในเรือน พาร่างอ่อนแรงของฮูหยินออกมา เพื่อรอคำสั่ง 


 


 


สายตากวาดผ่านใบหน้าตื่นตระหนกของฮูหยินฮั่ว นายน้อยอู่โหวออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “เอาทุกคนไปขังคุก รอท่านผู้แทนพระองค์ตัดสิน” 


 


 


ฮูหยินฮั่วจึงได้สติขึ้นมา ออกปากสบถว่า “หลิวเหยี่ยน เจ้าช่างไร้คุณธรรมนัก ไม่ตายดีแน่ พวกเราทำเพื่อลูกเจ้า จึงได้…” 


 


 


“ใครก็ได้ ปิดปากนางเสีย!” กลัวเพียงเรื่องของหลิวอวี้เอ๋อร์จะถูกเอ่ยออกมา นายน้อยอู่โหวรีบสั่งโดยพลัน 


 


 


ทหารนายหนึ่งปิดปากฮูหยินฮั่วเอาไว้ ทหารอีกนายฉีกชายเสื้อของนางออกมาชิ้นหนึ่ง ยัดเข้าไปในปากนาง ฮูหยินฮั่วพูดไม่ออก แต่ยังคงก่นด่าไม่หยุด 


 


 


คนของจวนฮั่วถูกจับเข้าคุก ทหารที่เหลือเข้าค้นภายในจวนอีกครั้ง ทุกซอกทุกมุม นำทรัพย์สินทั้งหมดเก็บออกมา วางต่อหน้านายน้อยอู่โหวและเมิ่งชิง 


 


 


เมิ่งชิงสั่งให้คนจดบันทึก จากนั้นยกไปยังที่ว่าการ และสั่งให้คนเฝ้าจวนฮั่วเอาไว้ให้ดี จึงได้ควบม้าไปยังที่ว่าการ 


 


 


หลังจากที่จูจือหมิงไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน แต่เขายังไม่ตาย บัดนี้ไม่จำเป็นต้องอดอาหารอีกแล้ว สั่งให้ฮูหยินของตนนำอาหารมาวางตรงหน้า กินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่นานร่างกายก็กลับมามีพลังเช่นเดิม สีหน้าดีขึ้น นั่งลงในบ้าน รอให้เมิ่งชิงมาจับตัวไป 


 


 


เมิ่งชิงมายังที่ว่าการ ถือดาบอาญาสิทธิ์ เข้ามา สั่งขุนนางให้ไปนำตัวจูจือหมิงมา 


 


 


เจ้าหน้าที่มองหน้ากันไปมา ไม่มีผู้ใดขยับ 


 


 


เมิ่งชิงหยิบค้อนไม้พิพากษาขึ้นมาทุบบนโต๊ะเสียงดัง พูดเสียงดังว่า “ดาบอาญาสิทธิ์อยู่ที่นี่แล้ว ผู้ใดไม่เชื่อฟัง ประหาร!” 


 


 


เหล่าเจ้าหน้าที่กลัวจนหน้าถอดสี วิ่งไปยังหลังที่ว่าการด้วยขาสั่น มายังเรือนหลัก 


 


 


จูจือหมิงได้ยินเสียง จึงได้เดินออกมาจากเรือน 


 


 


“ท่าน ท่านเจ้าเมือง” เจ้าหน้าที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 


 


 


จูจือหมิงจัดแจงเสื้อผ้าของตน ตอบกลับอย่างกล้าหาญว่า “ไปกันเถิด!” จากนั้นนำทัพเดินออกมา 


 


 


เจ้าหน้าที่มองหน้ากัน เดินตามหลังไป 


 


 


มายังโถงหน้า ไม่รอเมิ่งชิงเอ่ย คุกเข่าลง “นักโทษจูจือหมิงยอมรับโทษทุกประการขอรับ” 


 


 


“ดี เอาพู่กันและกระดาษให้เขา เขียนสารภาพผิดมา ลงนามประทับนิ้ว” 


 


 


กุนซือนำพู่กันและกระดาษมาด้วยความลนลาน วางตรงหน้าเขา  


 


 


จูจือหมิงคุกเข่าลงที่พื้น เขียนสารภาพเรื่องที่ตนได้วางแผนร่วมกับฮั่วเจี่ยออกมา กัดนิ้วของตนเองจนเลือดซึม ประทับนิ้วลงไปด้านบน มอบให้กุนซือ 


 


 


กุนซือรับไว้ เมิ่งชิงอ่านรายละเอียด สั่งว่า “นำตัวจูจือหมิงไปขัง ส่วนคนในครอบครัว ให้เฝ้าที่ว่าการเอาไว้ก่อน ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออก” 


 


 


“ขอบพระคุณใต้เท้า” เมื่อได้ยินว่าคนในครอบครัวไม่ถูกร่างแหไปด้วย จูจือหมิงก้มหัวคารวะที่พื้น 


 


 


เจ้าหน้าที่เข้ามา พาตัวไป 


 


 


เมิ่งชิงถอนใจเบาๆ มีเพียงคำสารภาพของจูจือหมิง ไม่เพียงพอจะให้ฮั่วเจี่ยยอมรับผิดได้ ยังต้องมีพยานบุคคล ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์เหมาะสมที่สุด แต่นางถูกผู้ใดจับตัวไปกันแน่ 


 


 


นายน้อยอู่โหวจัดการคนในจวนฮั่วอย่างเด็ดขาด เมื่อเห็นว่าเมิ่งชิงไปยังที่ว่าการแล้ว เขาจึงได้ควบม้าไปยังโรงเตี๊ยม รายงานอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียน  


 


 


เมื่อได้ฟังเขาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดจบ อ๋องฉีพยักหน้า ชื่นชมเขา “จัดการได้เด็ดขาดเสียจริง ช่างสมกับเป็นนายน้อยอู่โหว” 


 


 


หลายปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำชมจากท่านอ๋อง นายน้อยอู่โหวยินดีเหลือเกิน ความรู้สึกผิดที่ได้สั่งขังตระกูลฮั่วได้หายไปฉับพลัน พูดด้วยความปีติว่า “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้วขอรับ แบ่งเบาภาระฝ่าบาท เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชายตามองเขา แล้วไม่ได้กล่าวอะไร 


 


 


อ๋องฉีกล่าวต่อ “เรื่องของจวนฮั่วยังไม่นับว่าจบ ยังต้องว่าความอีก ตัดสินความผิดของพวกเขา เจ้าและผู้แทนจึงจะนับว่าสำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว หวังว่านายน้อยอู่โหวจะจัดการอย่างเด็ดขาด หาหลักฐานให้ได้มาก รีบจบคดีความนี้เสีย” 


 


 


นายน้อยอู่โหวตอบอย่างไม่คิดว่า “แน่นอนขอรับ ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อเก็บหลักฐานขอรับ” 


 


 


“ดีแล้ว ลำบากท่านแล้วล่ะ” 


 


 


“หามิได้ขอรับ” นายน้อยอู่โหวยิ้มตาหยี ยืนขึ้น กล่าวลา เดินออกไปนอกห้อง จึงคิดได้ว่า ตนยังไม่มีที่พัก คิดว่าอยากพักที่โรงเตี๊ยมนี้ แต่อีกใจคิดว่า ไม่อยากอยู่ในสายตาของอ๋องฉีเช่นนี้ จึงได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมใกล้ๆ  


 


 


พักอยู่หลายวัน พวกเซี่ยเฟิงทั้งสามคนหายดีแล้ว เพียงแต่ท่าป๋าที่ยังคงอ่อนแรงอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวจับชีพจรให้เขา จัดยาให้ใหม่ สั่งให้คนของเขา ให้ไปนำยามา 


 


 


คนของเขาจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ออกมา ไปห้องของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ จับชีพจรให้พระชายา ยิ้มและกล่าวว่า “ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ พักผ่อนอีกไม่กี่วันเสด็จแม่ก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)