ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 87-94

 ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 87 กลับตัวไม่ทันเ...

 

เหล่าองครักษ์ลับทุ่มสุดตัว เพราะคนเสื้อดำมีมาก และแต่ละคนยังมีวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอีกด้วย การที่พวกเขาจะได้แต้มต่อนั้นยากนัก  


 


 


ไฟที่ลุกโชนกำลังมอดไหมอยู่ด้านหลังของท่านอ๋องฉี ควันโขมงและกลิ่นควันไฟคลุ้งทำให้เขารู้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกท่านอ๋องฉีสี่คนและเหล่าองครักษ์ทั้งหลายต้องตายที่นี่แน่ๆ จึงออกคำสั่งว่า “ไม่ต้องสนใจพวกเรา ฆ่าพวกมันแล้วเปิดทางให้ได้” 


 


 


ความหมายก็คือ ให้องครักษ์ลับที่ล้อมรอบอยู่เข้าไปร่วมสู้ด้วย 


 


 


พอได้รับคำสั่ง องครักษ์ลับทุกคนจึงตอบรับพร้อมๆ กัน แล้วออกมาต่อสู้กับพวกคนเสื้อดำ  


 


 


แล้วทิ้งให้พวกท่านอ๋องฉียืนอยู่หน้าประตู 


 


 


ดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังจะพลิก ทำให้พวกคนเสื้อดำถอยออกไปได้ 


 


 


ท่านอ๋องฉีกับพระชายาดึงตัวหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์มาไว้ตรงกลาง แล้วเดินออกมาข้างหน้าเล็กน้อย ให้ห่างจากประตูโรงเตี๊ยม 


 


 


ฮั่วต้ามองเห็นพวกอ๋องฉียังอยู่ในรัศมีของโรงเตี๊ยมที่กำลังจะถล่มลงมา ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ลงมือด้วย ได้แต่ยืนมองพวกเขาเท่านั้น 


 


 


ไฟลุกท่วมโรงเตี๊ยมไปเรียบร้อยแล้ว และมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครออกมาอีกแน่นอน ส่วนพวกคนเสื้อดำที่แยกย้ายกันไปล้อมโรงเตี๊ยมก็เข้ามาร่วมต่อสู้ด้วยเช่นกัน  


 


 


เหล่าองครักษ์ลับจึงกดดันหนัก เพราะเริ่มเหนื่อยกันแล้ว 


 


 


ฮั่วต้าเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างยิ่งว่า “ข้าฮั่วต้าทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าอยู่ที่เจียงหนานมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ รู้สึกเสียดายนัก หากพวกเจ้าไม่ขัดขืน ยอมจำนนแต่โดยดี ข้ายังจะให้พวกเจ้ามีศพครบองค์ มิเช่นนั้น พวกเจ้าคงต้องเข้าไปตายในกองไฟด้านหลังนั้นแล้วล่ะ” 


 


 


คำพูดนี้เขาพูดกับพวกองครักษ์ลับ แต่ไม่มีใครคนไหนสนใจเขาเลย ทุกคนต่างมุ่งหน้าจัดการกับคนเสื้อดำ ฆ่าได้ฆ่า  


 


 


ท่านอ๋องฉีสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบมาโดยตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาลอบทำร้าย พอได้ยินฮั่วต้าพูด ก็หันไปมองเขา แล้วบอกว่า “ฮั่วต้า? เป็นคนตระกูลฮั่ว? พวกเจ้าบังอาจนัก กล้าทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ได้” 


 


 


อย่าว่าแต่ครอบครัวเขาเลย ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีอีกเป็นสิบกว่าชีวิต เพื่อจะมาฆ่าเขา ถึงกับต้องพรากชีวิตคนไปมากมายขนาดนี้เชียวหรือ  


 


 


ฮั่วต้าหัวเราะออกมา จนทำให้หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้ว 


 


 


“ท่านอ๋องฉี คำพูดเมื่อครู่นี้ รอลงนรกไปพูดกับพญายมเถอะ ไม่แน่ เขาอาจเห็นที่ท่านทำคุณงามความดีไว้กับบ้านเมือง แล้วแต่งตั้งให้ท่านเป็นยมบาลก็ได้นะ”  


 


 


“ข้าจะไปเจอพญายมหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า เจ้ามันก็แค่หนูตัวเล็กๆ อยากได้ชีวิตข้างั้นรึ ฝันไปเถอะ!” ท่านอ๋องฉีพูดแซะกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวสักนิด 


 


 


ตระกูลฮั่วเป็นตระกูลเก่าแก่ของเจียงหนาน ไม่ใช่ตระกูลขุนนางอะไร ตามหลักแล้วห้ามมีองครักษ์เงาไว้ในครอบครอง แต่ฮั่วเจี่ยเลวทรามต่ำช้า อยากเป็นฮ่องเต้ของพื้นที่นี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีองครักษ์เงาเอาไว้ฆ่าคนแบบลับๆ ดังนั้นการมีองครักษ์เงามากมายขนาดนี้ แต่ก็กลัวว่าจะถูกเปิดเผย นอกจากจะสั่งให้พวกเขาทำเรื่องไม่ดีแล้ว ยังกำชับพวกเขาว่าห้ามออกมาให้ใครเห็นเด็ดขาด ดังนั้นแม้ว่าฮั่วต้าจะมีความสามารถสักเพียงได้ ทำเรื่องชั่วช้าให้ตระกูลฮั่วมาแล้วนับไม่ถ้วน ก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ นี่เป็นสิ่งที่แทงใจดำเขาเสมอมา วันนี้โดนท่านอ๋องฉีพูดเช่นนี้ เขาจึงโกรธ แล้วพุ่งเข้าไปหาท่านอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว  


 


 


ท่านอ๋องฉีปล่อยมือที่จับหวงฝู่สือเมิ่งออก เข้าไปกันทุกคนเอาไว้ แล้วเข้ารับการโจมตีของฮั่วต้า  


 


 


แต่เขาอายุมากแล้ว ฮั่วต้าฝีมือล้ำเลิศ การที่เข้าไปรับการโจมตีตรงๆ แบบนั้น เลือดลมจึงตีขึ้น จนต้านไม่ไหว ต้องสำลักเลือดออกมาทางปาก 


 


 


“ท่านอ๋อง!” พระชายาฉีร้องเรียกออกมา แล้วกำลังจะเข้าไปช่วย  


 


 


“ไม่ต้องสนใจข้า ดูเด็กๆ ให้ดี” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งกับนางเสียงแข็ง  


 


 


พระชายาฉีที่กำลังเข้าไปช่วยก็หยุด มองท่านอ๋องฉีด้วยหน้าที่ซีดเซียว เม้มปาก มือทั้งสองข้างสั่นรัว  


 


 


พอฮั่วต้าโจมตีได้ จึงหัวเราะออกมา แล้วพูดเหน็บว่า “ท่านอ๋องที่เขาเล่าลือกันมีฝีมือเท่านี้เองรึ ไม่ตอบโต้กลับ อ่อนอย่างกับปุยนุ่น”  


 


 


ท่านอ๋องฉีไม่ได้โกรธตามที่เขาพูด เอามือขึ้นมาเช็ดเลือดที่ปากออกช้าๆ แล้วพูดด้วยเสียงที่น่าเกรงขรามว่า “ยุแยงข้าไม่ได้ผลหรอกนะ มีไม้เด็ดอะไรก็เอาออกมาให้หมดเถอะ ข้าจะสู้ให้มันรู้แล้วรู้รอด” 


 


 


“ดี เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว เดี๋ยวไว้ปีหน้าข้าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้” พูดจบ ฮั่วต้าปะทุออกมาแล้วพุ่งเข้าไปโจมตีทันที  


 


 


ท่านอ๋องฉีก็พุ่งเข้าไปสู้กับเขาด้วยเช่นกัน  


 


 


ไฟไหม้โรงเตี๊ยม แสงไฟส่องสว่างแปลบปลาบไปทั่วท้องฟ้า ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงจึงตื่นขึ้น รีบลุกขึ้นมาดูกัน ขนาดเสื้อยังไม่ใส่ให้เรียบร้อย รีบวิ่งออกมาเปิดประตูดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่แล้ว พอเดินก้าวเท้าออกมาจากธรณีประตูเท่านั้น ก็มีเสียงคนพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่อยากตาย ก็กลับไปนอนซะ แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”  


 


 


เดือนห้าของเจียงหนาน ต่อให้จะดึกสักแค่ไหน อากาศก็ยังคงร้อนอบอ้าว แต่พอได้ยินเสียงนั้นเข้าหู ทุกคนก็ขนลุกซู่ เดินกลับเข้าไปโดยทันที ปิดประตูมิดชิด แล้วกลับเข้าไปนอนด้วยความตื่นกลัว 


 


 


ส่วนพวกที่ใจกล้า ไม่ยอมฟัง ลองก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว ก็โดนฟันจนหัวกับตัวขาดออกจากกัน โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ  


 


 


ที่ว่าการเจ้าเมืองอยู่ห่างจากโรงเตี๊ยม จูจือหมิงยังไม่รู้เรื่อง กำลังนอนกอดเงินหนึ่งแสนตำลึงนั้นหลับฝันหวานอยู่ที่ห้องที่มีน้ำแข็งเป่าเย็นสบาย กำลังฝันว่าตนได้เลื่อนตำแหน่ง โดนเรียกเข้าเมืองหลวงไปเป็นเสนาบดีกรมคลัง 


 


 


และแล้วก็มีเสียงกลองมาทำให้เขาตื่นจากฝันหวาน จนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาถามเสียงแข็งว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”  


 


 


มีบ่าวรับใช้อยู่เวรที่อยู่ด้านนอกประตูตอบรับ “นายท่าน มีเสียงกลองร้องทุกข์ดังขึ้นขอรับ” 


 


 


“รีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นเร็วเข้า!” ดึกดื่นขนาดนี้ เสียงกลองดังขึ้น จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ จูจือหมิงจึงเอาเงินไปเก็บไว้ให้ดี ลงจากเตียง ใส่เสื้อคลุม แล้วเดินออกมา เห็นท้องฟ้าอีกฟากหนึ่งเป็นสีแดง จึงถามขึ้นว่า “ตรงนั้นคือที่ใด” 


 


 


บ่าวรับใช้เห็นตั้งนานแล้ว ยังรวมหัวกันคุยเรื่องนี้อยู่เลย แต่ที่ใดนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน  


 


 


แล้วก็มีทหารนายหนึ่งเข้ามารายงานว่า “นายท่าน แย่แล้วขอรับ โรงเตี๊ยมซิงหลงไฟไหม้ขอรับ” 


 


 


จูจือหมิงนึกว่าตนฟังผิด เลยถามย้ำไปอีกครั้งว่า “โรงเตี๊ยมไหนนะ”  


 


 


“โรงเตี๊ยมซิงหลงขอรับ!” ทหารนายนั้นตะโกนตอบ แล้วบอกอีกว่า “โรงเตี๊ยมที่ท่านอ๋องฉีพักอยู่น่ะขอรับ” 


 


 


ในหัวจูจือหมิงมีเสียงดัง ตึ่ง ระเบิดออกมา ระเบิดจนแทบทรุด เซแล้วนั่งลงไปกับพื้น  


 


 


“นายท่าน!” สาวใช้ และบ่าวรับใช้ทุกคนตกใจจะเข้ามาช่วยพยุงเขาขึ้น  


 


 


จูจือหมิงหมดแรง ขนาดแรงจะยืนยังไม่มี ได้แต่นั่งพิงบ่าวคนหนึ่ง เงยหน้ามองไปที่ท้องฟ้าสีแดงตรงนั้น เขาไม่คิดเลยว่า ตระกูลฮั่วจะกล้าขนาดนี้ กล้าเผาโรงเตี๊ยมเลยทีเดียว ในนั้นนอกจากคนของท่านอ๋องฉีแล้ว ยังมีชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอีกมากมาย หลายปีมานี้ เขาทำหน้าที่ของเขาอย่างระมัดระวัง แม้จะโลภไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องที่พรากชีวิตคนมากมายขนาดนี้มาก่อน หากเป็นเช่นนี้ แล้ว… … ถ้าหากเรื่องนี้ไม่สำเร็จล่ะ ต่อให้เขากระโดดลงแม่น้ำหวงก็ล้างมลทินตรงนี้ไม่ออกแล้ว 


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เขาเลยรีบออกคำสั่งว่า “เรียกทหารมาให้พร้อม แล้วไปช่วยคนกัน”  


 


 


ระยะทางจากที่นี่ถึงโรงเตี๊ยม แม้จะไปถึง โรงเตี๊ยมก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว แต่ที่สำคัญคือการกระทำของเขาน่ะสิ เขารู้ช้าเกินไป พาคนไปก็สาย ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว มากสุดคือมีโทษฐานดูแลไม่ทั่วถึงเท่านั้น แต่ถ้าไม่ไปเลย เขาจะกลายเป็นขุนนางชั่วที่ไม่สนใจความเป็นตายของชาวบ้าน  


 


 


เหล่าทหารเห็นท้องฟ้าสีแดงนั้น จึงมารวมตัวกันหน้าที่ว่าการเจ้าเมืองตั้งนานแล้ว จูจือหมิงรวบรวมสติ แล้วเดินออกไป ในขณะที่กำลังจะนำทหารไป ก็มีคนเสื้อดำออกมาจากที่ลับ ขวางทางเขาไว้ “ท่านเจ้าเมือง นายท่านของพวกเราบอกว่าให้ท่านอยู่ที่จวนไป ไม่ต้องเป็นห่วง คิดเสียว่าคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” 


 


 


จูจือหมิงก็ตาถลึง ชี้ไปที่ท้องฟ้าสีแดงนั่น “แต่ว่า แต่… …” 


 


 


“ท่านใต้เท้าไม่ต้องกังวล นายท่านของพวกเราเตรียมการไว้หมดแล้ว ท่านคิดเสียว่าเรื่องคืนนี้เป็นแค่ความฝัน เดี๋ยววันพรุ่งนี้ เรื่องทุกอย่างก็จะเรียบร้อย” 


 


 


“แต่มันเป็นฝันร้ายน่ะสิ!” จูจือหมิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ตวาดใส่คนนั้น มาถึงตอนนี้ เขาเข้าใจแล้ว ว่าตนได้เหยียบเข้ามาในบ่อน้ำที่ลึกเกินกว่าจะออกเสียไปแล้ว” 


 


 


แล้วคนเสื้อดำก็พูดเสียงแข็งว่า “ไม่ว่าจะเป็นฝันอะไร ท่านก็ต้องกลับไปฝันมันต่อให้จบ”  


 


 


“ถ้าข้าไม่กลับ แล้วเจ้าจะ… …” “ยังไง” ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีดาบเล่มหนึ่งมาพาดที่คอของเขา “ท่านเจ้าเมือง ท่านคิดให้ดีๆ นะขอรับ ดาบของข้าเล่มนี้คมมากเชียวล่ะ ชอบดื่มเลือดคนเสียด้วยสิ” 


 


 


“ท่านใต้เท้า!”  


 


 


เหล่าทหารก็ร้องเรียกออกมา แล้วชักดาบเข้าไปล้อมรอบจูจือหมิงกับคนเสื้อดำเอาไว้  


 


 


มาถึงตอนนี้ จูจือหมิงเข้าใจแล้ว เจ้าเมืองอย่างตน ในสายตาของฮั่วเจี่ยก็แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งเท่านั้น หากวันนี้ตนดึงดันที่จะไป เกรงว่าจะตายในน้ำมือของคนเสื้อดำนี้แน่ จึงหลับตาลงอย่างทรมานใจ แล้วโบกมือบอกกับเหล่าทหารว่า “กลับไปนอนกันให้หมด คิดเสียว่าวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” 


 


 


คนเสื้อดำแสยะยิ้มออกมา เก็บดาบที่พาดอยู่บนคอของเขาแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองรู้จักกาลเทศะ ท่านวางใจเถิด นายท่านของเราสัญญากับท่านแล้ว รับรองว่าท่านจะไม่ผิดสัญญากับท่านแน่นอน” 


 


 


จูจือหมิงได้แต่คอตก ไม่มีอะไรจะพูด หันหลังเดินกลับเข้าจวนไปด้วยความสิ้นหวัง 


 


 


เหล่าทหารก็มองหน้ากัน แล้วก็มองไปที่ท่านเจ้าเมืองที่เดินคอตกเข้าไปในจวน แล้วก็มองไปที่คนเสื้อดำนั่น ที่กำลังเดินออกไป เสร็จแล้วทุกคนก็แยกย้ายกลับที่ของตน  


 


 


ส่วนท่าป๋าหั่นหลินที่พักอยู่โรงเตี๊ยมใกล้ๆ เพื่อคอยสอดส่องพวกเขานั้น พอไฟไหม้ คนที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นก็แตกตื่น แล้วลุกขึ้นใส่เสื้อแห่กันออกมาดู  


 


 


พอบ่าวรับใช้ได้ยิน ก็มองไปทีเปลวไฟที่โชติช่วง เสร็จแล้ววิ่งมาเคาะประตู “เจ้านาย แย่แล้วขอรับ โรงเตี๊ยมซิงหลงไฟไหม้ขอรับ” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 88 ถูกปล้น

 

ท่าป๋าหั่นหลินตื่นจากความฝัน สะดุ้งลุกขึ้นมา สวมเสื้อคลุม สาวเท้ายาวเดินออกไปด้านนอก เปิดประตูห้อง พูดงัวเงีย “คนที่จับตามองอยู่กลับมาแล้วหรือยัง” 


 


 


“เรียนนายท่าน ยังไม่กลับมาขอรับ แต่คงจวนจะกลับมาแล้วขอรับ” 


 


 


สิ้นเสียง บ่าวรับใช้คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากประตู สาวเท้ายาวขึ้นชั้นสองไป เรียนต่อท่าป๋าฮั่นหลินว่า “นายท่านขอรับ ไฟไหม้โรงเตี้ยมซิงหลงขอรับ” 


 


 


“เกิดขึ้นได้เยี่ยงไร” 


 


 


“เป็นฝีมือของคนจวนฮั่วขอรับ พวกเขาส่งชายชุดดำพร้อมทั้งพลธนูจำนวนมาก เห็นว่าได้โยนยาสลบเข้าไปด้านใน พร้อมจุดไฟเผา เห็นทีครอบครัวของท่านอ๋องผู้นั้นคงหนีไม่พ้นความตายขอรับ” 


 


 


น้ำเสียงของบ่าวรับใช้ที่มารายงานแฝงไปด้วยความยินดี เหตุใดเจ้านายของพวกเขาต้องมารัฐอู่ เรื่องนี้พวกเขารู้ดี บัดนี้สิ้นครอบครัวท่านอ๋องนั่นแล้ว พวกเขาจะได้กลับรัฐของตนได้เสียที เจ้านายก็จะได้กลับไปจัดการดูแลบ้านเมืองของตน 


 


 


แต่ท่าป๋าหั่นหลินกลับไม่ได้ยินดีอย่างที่เขาคิด เขาขมวดคิ้ว สั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “จงไปสืบมา ว่ามีคนรอดชีวิตออกมาจากโรงเตี้ยมหรือไม่” 


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะมีคำสั่งเช่นนี้ บ่าวจึงชะงักเล็กน้อย ไม่ขยับตัว 


 


 


ขณะที่ท่าป๋าหั่นหลินกำลังจะโมโหนั้น บ่าวนายหนึ่งหลังจากกลับมาจากโรงเตี้ยม ก็วิ่งตรงมายังชั้นสอง พูดด้วยเสียงหอบเหนื่อยว่า “นายท่านขอรับ ครอบครัวของท่านอ๋องนั่นรอดชีวิตออกมาได้ขอรับ ส่วนผู้อื่นในโรงเตี๊ยมต่างสิ้นชีพในกองเพลิงจนสิ้น” 


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ท่าป๋าหั่นหลินจึงได้ถอนใจออกมา ขณะที่ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงเป็นเช่นนี้ ก็รับสั่งว่า “ไปสืบมา หากมีเหตุอันใดรีบมารายงานข้า” 


 


 


บ่าวทั้งสองรับคำ วิ่งลงบันไดไปด้วยความรวดเร็ว  


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินเดินกลับมายังห้องของตน ไปยังหน้าต่าง เปิดออก มองเปลวไฟลุกโชน แววตาเปลี่ยนไปมา มิอาจรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


อ๋องฉีและฮั่วต้าสู้กันอยู่อยู่หลายกระบวนท่า กำลังกายเริ่มถดถอย เสียงหอบเหนื่อยดังชัดเจนขึ้น  


 


 


ฮั่วต้าได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มชอบใจ เพิ่มความเร็วในการโจมตีขึ้นอีก แสดงวิชาออกมาหลายกระบวนท่า 


 


 


อ๋องฉีไม่ตอบโต้ ถูกบีบให้ยอมแพ้ 


 


 


ฮั่วต้ายังคงโจมตีไม่ถอย เมื่อเห็นว่าอ๋องฉีกำลังจะถอยเข้าไปในกองเพลิง หวงฝู่สือเมิ่งจึงได้คว้าดาบที่พกติดเอวขึ้นมา  


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์เองก็ไม่ช้า คว้าดาบขึ้นมาพร้อมกัน ทั้งยังพุ่งเข้าใส่ฮั่วต้าอีกด้วย 


 


 


สองพี่น้องลงมือพร้อมกัน ทำให้ฮั่วต้าต้องยอมถอยไป 


 


 


อ๋องฉีได้โอกาสเว้นช่วงหายใจ ยืดตัวตรง หายใจหอบ  


 


 


ฮั่วต้าสู้กับอ๋องฉีด้วยมือเปล่า บัดนี้หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่สือเมิ่งโจมตีเช่นนี้ เขาจึงจำต้องถอยไปหลายก้าว เมื่อยืนมั่น จึงได้มองทั้งสองด้วยความขัน 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ให้โอกาสเขาได้หายใจ เข้าโจมตีพร้อมกัน 


 


 


แม้ว่าทั้งสองจะยังอายุน้อย แต่ได้รับการฝึกฝนจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว นับว่าฝีมือดี ฮั่วต้าถูกพวกนางโจมตีจนต้องถอยไปหลายก้าว 


 


 


“ท่านปู่ ท่านย่าเจ้าคะ พวกท่านขยับเข้ามาอีก” หวงฝู่สือเมิ่งทวนดาบไปหนึ่งครั้ง จากนั้นก็หันมาพูดกับอ๋องฉีและพระชายา 


 


 


“ไม่ต้องสนใจพวกข้า รับมือกับศัตรูตรงหน้าของพวกเจ้าก่อน” อ๋องฉีเตือนสตินาง พร้อมทั้งดึงแขนพระชายาก้าวเข้ามา ออกห่างจากโรงเตี้ยมเพิ่มขึ้น 


 


 


เมื่อเห็นว่าทั้งสองใกล้มาถึงจุดปลอดภัยแล้ว ฮั่วต้าร้อนใจ ใช้กระบวนท่าต่อกรกับทั้งสอง จากนั้นร่างกายกระโดดไปด้านหลัง สั่งว่า “รีบจัดการให้สิ้น!” 


 


 


พลธนูที่ยืนคุ้มกันอยู่ด้านหลังเรือนก็ถอยออกมา เมื่อได้ยินคำสั่งของฮั่วต้า จึงได้วางคันธนูลง หยิบมีดพกเอวขึ้นมาเข้าร่วมการต่อสู้ 


 


 


ชายชุดดำที่กำลังต่อสู้อยู่ด้านนอกประตู เหล่าองครักษ์ลับเสียแรงไปมาก แต่คนเหล่านั้นยังคงเพิ่มพูนเข้ามา เหล่าองครักษ์ลับค่อยๆ อ่อนกำลังลง ถูกทำร้ายไปตามๆ กัน ซ้ำยังมีคนเสียชีวิตด้วยปลายดาบของชายชุดดำด้วย 


 


 


เมื่อเห็นพวกเขาล้มลง กรอบตาของพระชายาแดงก่ำขึ้นมา องครักษ์ลับเหล่านี้ ถูกท่านพ่อของนางคัดเลือกเข้ามาตั้งแต่อายุได้สิบกว่าขวบ ทุ่มเทให้กับครอบครัวเขามาโดยตลอดหลายปี จนใกล้ถึงวัยปลดประจำการแล้ว แต่กลับมาตายอย่างอนาถที่นี่ เงยหน้า มองอ๋องฉี สายตาเด็ดเดี่ยว “ท่านอ๋อง!” 


 


 


เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี อ๋องรู้ทันทีว่านางต้องการจะกล่าวอะไร พยักหน้า “ซู่อิง แม้นจะไม่ได้เกิดพร้อมกัน แต่ตายพร้อมกันได้ ชีวิตนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว” 


 


 


พระชายาพยักหน้า ก้มลง หยิบดาบที่ร่วงหล่นอยู่ข้างตัวขึ้นมา ยื่นให้อ๋องฉี ส่วนอีกด้ามกำไว้ในมือของตน โบยโบกด้ามดาบสู้ชายชุดดำที่ปะทะเข้ามาด้านหน้า 


 


 


พระชายาเป็นลูกแม่ทัพ แม้ว่าตอนเด็กจะอ่อนแอ แต่ก็พอมีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้าง และไม่นานก็ปะทะเข้ากับชายชุดดำ 


 


 


ฮั่วต้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชา มุมปากเผยรอยยิ้มเลือดเย็นออกมา ช่างเป็นคู่ชีวิตที่รักกันเสียจริง เห็นทีตายไปก็คงไม่เหงาหรอก 


 


 


อ๋องฉีติดตามอยู่ด้านหลังของพระชายา บังด้านหนึ่งของนางเอาไว้  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ด้วยกันตลอด ทุกครั้งที่ยื่นดาบออกไป จะต้องแลกด้วยหนึ่งชีวิตกลับมา  


 


 


เหล่าองครักษ์ลับล้มลงไปตามๆ กัน ชายชุดดำเข้ามาล้อมรอบคนที่เหลือมากขึ้น พวกของเซี่ยเฟิงรู้สึกได้ว่าเหนื่อยมากขึ้น อ๋องฉีและพระชายาเองก็รู้สึกได้ว่าเริ่มเดินลำบากขึ้น 


 


 


ขณะเดียวกัน ไฟนอกห้องหนังสือของฮั่วเจี่ยติดขึ้น ฮั่วเจี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ หลับตาทำสมาธิ รอฮั่วต้านำข่าวดีมาให้ด้วยความมั่นใจ  


 


 


แต่ทว่าประตูที่มุมหนึ่งด้านตะวันออกเฉียงใต้ของจวน กลับค่อยๆ ถูกเปิดออก รถม้าคันหนึ่งแล่นออกมาจากมุมนั้น บนรถม้ามิใช่ใครอื่น แต่เป็นหลิวอวี้เอ๋อร์ ที่ได้ยินคำสั่งของฮั่วเจี่ยโดยบังเอิญ รู้ว่าวันนี้เขาจะส่งคนไปจัดการครอบครัวอ๋องฉี แล้วอดรนทนไม่ได้ เลยอยากจะไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง 


 


 


เมื่อรถม้าออกจากจวนไป คนรถยกแซ่ขึ้นหวด ม้าวิ่งด้วยฝีเท้าเบาแต่เร็ว มุ่งหน้าสู่โรงเตี้ยม 


 


 


ภายในรถม้า หลิวอวี้เอ๋อร์นั่งอยู่ภายในด้วยความปิติ แต่ชุนเซียงกลับนอนขดตัวอยู่ในมุมด้านใน 


 


 


หลิวอวี้เอ๋อร์มองค้อนใส่นาง คิดว่าการที่นางทำเช่นนี้ช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง เหยียดเท้าออกไปถีบนาง “ไสหัวไปนั่งนอกรถม้าไป อย่ามาเกะกะสายตาข้า” 


 


 


ชุนเซียงถูกเตะจนร่างงอ รีบตอบรับ คลานออกไปด้านนอก ไปนั่งที่อีกด้านของล้อรถ 


 


 


หลิวอวี้เอ๋อร์เบ้ปาก เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหลวง สาวใช้คนนี้ดูท่าทางฉลาด ตอนตนมาจึงเลือกให้นางมาอยู่ข้างกาย ไม่คิดเลยว่าเมื่อมายังที่นี่แล้ว นางไม่เพียงแต่เขลาขึ้นทุกวัน ซ้ำยังใจเสาะเสียเหลือเกิน คืนนี้นางทำทุกวิถีทางเพื่อห้ามไม่ให้ตนออกมา หากมิใช่ตนบอกว่าจะเอานางไปขาย นางก็คงจะห้ามไม่ให้ตนออกมาเป็นแน่ 


 


 


ที่รถม้าดำเนินไปในความมืด เกือกม้าส่งเสียงจากพื้น เสียงกงล้อรถส่งเสียงดังบาดหู ส่งเสียงไปไกลในคืนเงียบสงัดเช่นนี้ น่ากลัวเสียจนทำเอาชุนเซียงตัวสั่น ในใจคิดว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ ดวงตาเบิกโพลงมองไปรอบตัว แต่กลับเห็นเพียงความมืดสนิท มองอะไรไม่ชัดเลย  


 


 


คนที่ท่าป๋าหั่นหลินส่งมา คอยจับตามองจวนฮั่วอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่มีโอกาสจับตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ได้ 


 


 


เมื่อรถม้าออกมาจากจวน พวกเขาได้ยินเสียง ทีแรกไม่ได้ใส่ใจ เพราะคนที่จะออกมาจากประตูเล็กนั้นมีเพียงบ่าวรับใช้ กลางดึกเช่นนี้ อาจะเป็นเพราะเจ้านายท่านใดในจวนไม่สบาย ไปตามหมอมาดู แต่เสียงดุดังที่หลิวอวี้เอ๋อร์ตวาดออกมา ลอยเข้าหูพวกเขา มองตากัน วิ่งตามไปยังเสียงของรถม้าทันที 


 


 


รถม้าแล่นด้วยความเร็ว แต่พวกเขาเร็วยิ่งกว่า ไม่นานก็วิ่งตามาถึงรถม้า 


 


 


จู่ๆ ก็มีคนโผล่ออกมา คนรถตกใจ ดึงเชือกไว้แน่น บังคับให้ม้าหยุดลง 


 


 


หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ทันระวัง ร่างกายโอนเอน หัวกระแทกเข้ากับรถ ส่งเสียงดัง ตึง ออกมา รู้สึกเจ็บ ถามเสียงแหลมด้วยความโกรธว่า “เจ้าบังคับรถเช่นไรกัน อยากให้ข้าหัวโขกตายหรือไง” 


 


 


คนรถตกใจจนลิ้นพันกัน “คุณ คุณหนู พวกเราเจอโจรเข้าแล้วขอรับ” 


 


 


“พูดซี้ซั้ว รถม้าของเรามีป้าย มีใครบังอาจที่เห็นรถแล้วไม่ถอยไปห่างบ้าง เจ้า…” หลิวอวี้เอ๋อร์เปิดม่านรถออกมาเสียงดังด้วยความโกรธ ฉึบ ด่าทอคนรถด้วยความโกรธ พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อเห็นร่างคนจำนวนหนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้ารถม้า ก็ตกใจจนพูดไม่ออก 


 


 


ชุนเซียงตกใจจนกลิ้งตกจากรถม้า ร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างแรง แม้เจ็บแต่ก็ไม่มีแม้เวลาโอดครวญ รีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มือจับกงล้อรถเอาไว้พยุงตนเองขึ้นมา ถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พ่อ พ่อหนุ่ม พวก พวกเราเป็น นี่เป็นรถ รถม้าของจวน จวนฮั่ว…” 


 


 


ยังพูดไม่จบคำ ก็ถูกชายผู้หนึ่งตัดบทขึ้นมา “ข้าก็มาปล้นรถม้าของจวนฮั่ว มาปล้นคนของจวนฮั่วนี่อย่างไรเล่า หากมิใช่จวนฮั่วพวกเราคงไม่มาปล้นหรอก” 


 


 


แขนขาของชุนเซียงอ่อนแรงลง หลิวอวี้เอ๋อร์สงบขึ้น ตวาดเสียงดังว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาปล้นรถม้าของจวนฮั่ว” 


 


 


“เจ้านายของพวกเรามีเรื่องจะถามแม่นางหลิว หวังว่าแม่นางจะตามเราไปอย่างว่าง่าย” หนึ่งในนั้นเปิดปากพูด 


 


 


“เจ้านายของพวกเจ้าคือผู้ใด จะถามเรื่องใดกับข้า ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ข้าเป็นคุณหนูที่สูงศักดิ์ที่สุดแห่งจวนฮั่ว หากพวกเจ้าทำร้ายข้า ระวังเถิดว่าท่านตาของข้าจะถลกหนังหัวพวกเจ้า” บัดนี้หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ยังคงไม่รู้ถึงอันตรายที่จะมาถึงตัว ยังคงข่มขู่พวกเขา 


 


 


สำเนียงถูกต้อง ชื่อเรียกก็ไม่ผิด เป็นหลิวอวี้เอ๋อร์แน่นอนไม่ต้องสงสัย คนพวกนั้นหันมองหน้ากันพร้อมพยักหน้า กระโดดเข้าหารถม้าอย่างรวดเร็ว ทำร้ายคนรถและชุนเซียงจนสลบ โยนไปอีกด้าน  


 


 


ขณะที่หลิวอวี้เอ๋อร์กำลังจะต่อต้าน มีมีดด้ามเล็กด้ามหนึ่งมาจ่อที่คอนาง “ข้าว่าแม่นางหลิวเชื่อฟังแต่โดยดีดีกว่า รอนายท่านของพวกเราพูดจบแล้ว ก็จะปล่อยตัวท่านมาเอง” 


 


 


ตอนนี้เองหลิวอวี้เอ๋อร์เพิ่งรู้ถึงความอันตราย แต่เมื่อมองดูเงาของมีดด้ามเล็กตรงหน้า ก็ไม่กล้าปริปากร้องออกมา มองดูชายคนหนึ่งหยิบเชือกขึ้นมาด้วยความกลัว ตัวสั่นเทิ้ม รถม้าเคลื่อนที่ไปด้านหน้า 


 


 


 


 


 


ณ หน้าโรงเตี้ยม  


 


 


หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนาน เหล่าองครักษ์ลับที่ยังมีชีวิตอยู่บาดเจ็บไม่น้อย อ๋องฉีและพระชายาเหนื่อยหอบ กระบวนท่าของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ช้าลง 


 


 


ฮั่วต้าเห็นภาพทั้งหมด รู้ว่าพวกเขามาถึงจุดจบแล้ว จึงไม่ได้เร่งรัดลูกน้อง แต่กลับกอดอก ยืนดูอยู่อย่างสบายใจ มองดูพวกเขาด้วยความปีติ มองพวกเขาสู้ยิบตา ในใจกลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


พระชายาใช้ดาบแทงทะลุร่างของชายชุดดำ เลือดร้อนกระเซ็นออกมาเต็มหน้านาง ไม่รอให้นางดึงดาบออกมา ชายชุดดำใช้แรงที่มีทั้งหมดชกไปยังพระชายา พระชายาหลบไม่ทัน ร่างกายกระเด็นออกมาราวกับว่าวที่ขาดออกจากสาย 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 89 วีรบุรุษช่วยชีวิต

 

“ซู่อิง!” อ๋องฉีตะโกนสุดเสียง จากนั้น โบกดาบไล่ชายชุดดำที่เข้ามาโจมตี พุ่งตัวเข้าไปรับพระชายาที่กำลังจะล้มลงบนพื้น 


 


 


“ท่านย่า!”  


 


 


“ท่านย่า!”  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ตะโกนร้องพร้อมกัน โจมตีติดกัน จนชายชุดดำถอยทัพไป จากนั้นก็ไปหาอ๋องฉีและพระชายา 


 


 


พระชายาเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก น้ำเสียงอ่อนแรงพูดว่า “ข้ามิเป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า” 


 


 


พูดจบ สายตาหันไปยังอ๋องฉี “ท่านอ๋อง ท่านวางข้าลง!” 


 


 


ชายชุดดำยืนมองอยู่รอบๆ อ๋องฉีบีบมือพระชายาแน่น กัดฟันวางนางลง พยุงให้นางยืนให้ดี  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์จ้องชายชุดดำ พูดพร้อมกันว่า “ท่านปู่ พวกข้าจะป้องกันทางนี้ไว้ ท่านพาท่านย่าไปก่อน!” 


 


 


ไป? ไปที่ใด สี่ทิศเต็มไปด้วยชายชุดดำ อ๋องฉีผู้เดียวอาจสู้ได้ แต่หากพาพระชายาไปด้วย ก็ไม่แม้แต่จะคิด และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางทิ้งเด็กสองคนแล้วหนีไปผู้เดียวเป็นแน่ 


 


 


“ไม่ต้อง ปู่จะดูทางนี้ พวกเจ้าดูแลท่านย่า!” นี่เป็นทางออกเดียวในตอนนี้ พูดจบ ไม่รอให้พระชายาปฏิเสธ สั่งการเซี่ยเฟิงและองครักษ์ลับนายอื่นว่า “เข้าประชิดกัน!” 


 


 


เซี่ยเฟิงและเหล่าองครักษ์ลับได้รับคำสั่ง เดินเข้ามาหาเขาด้วยความยากลำบาก  


 


 


ชายชุดดำรุมล้อมเข้ามา ล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ 


 


 


ด้านหลังเป็นทะเลเพลิง ไม่มีทางให้ถอยได้ อ๋องฉีเดินออกมาจากวงล้อมขององครักษ์ลับด้วยความอาจหาญ มองฮั่วต้าด้วยสีหน้าปกติ พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบว่า “วันนี้ข้าหวงฝู่จิ้ง จะดูทีว่าพวกเจ้าจะห้ามข้าได้หรือไม่” 


 


 


สิ้นเสียง ก็ลงมือทันที ชายชุดดำด้านหน้ายังไม่รู้ตัว ก็สิ้นใจอยู่กับปลายดาบของเขาเสียแล้ว  


 


 


อ๋องฉีไม่แม้จะชายตามอง แกว่งดาบเดินหน้าต่อ  


 


 


เหล่าองครักษ์ลับทยอยออกโรง 


 


 


เริ่มต้นการรบราฆ่าฟันกันขึ้นอีกครั้ง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ปกป้องพระชายาอยู่ข้างกาย ดาบในมือใช้ป้องกันไม่หยุด 


 


 


ขณะนั้น คนที่เหลือมีท่าทีแข็งแกร่ง ไม่อาจล้มได้อย่างง่ายดาย 


 


 


ฮั่วต้าหรี่ตาลง สีหน้าสบายใจหายไป ยืดตัวขึ้นตรง ในมือคว้าเอาดาบเงางามขึ้นมา เป้าหมายชัดเจน พุ่งไปที่พระชายาที่กำลังเป็นตัวถ่วง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ใช้ดาบป้องไว้  


 


 


ฮั่วต้าได้สังเกตุการณ์มาครู่ใหญ่แล้ว ฝีมือของหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ดีสู้อีกคน กระบวนท่าที่เขาใช้กับพระชายาเป็นกลหลอก แต่ที่โจมตีหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นของจริง ดังนั้น ขณะที่เขาตรงมาที่ทั้งสามคน จู่ๆ เขาหันร่าง มุ่งไปที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ 


 


 


องครักษ์ลับล้มตายไปตามกัน อ๋องฉีเริ่มสู้ไม่ไหว คนของท่าป๋าหั่นหลินมองเห็นทั้งหมด จึงรีบไปรายงานที่โรงเตี๊ยม 


 


 


หลังท่าป๋าหั่นหลินได้ยินทั้งหมดแล้ว ขมวดคิ้วที่โค้งสูง เดินวนไปมาในห้องของตน ราวกับว่ากำลังทำการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่อยู่ หันหลังเดินออกไปด้านนอก สั่งว่า “ระดมพลมา ไปช่วยพวกเขา” 


 


 


บ่าวรับใช้มองหน้ากัน คิดว่าเจ้านายของตนเสียสติไปแล้ว เขาหวังมาตลอดมิใช่หรือว่าให้ครอบครัวอ๋องฉีตายให้หมด ตอนนี้พวกเขากำลังแพ้แล้ว เหตุใดต้องส่งคนไปช่วยพวกเขา 


 


 


บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งยืนขวางหน้าเขา คุกเข่าลง “เจ้านาย เช่นนี้มิได้นะขอรับ หากเป็นเช่นนั้น คนของเราก็ต้องเผยตัว” 


 


 


แม้ว่าจะมิได้พูดตรงๆ แต่ท่าป๋าหั่นหลินเข้าใจความหมายของเขา ก้มหน้าลง จ้องมองเขา แววตามีความโกรธ พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “คนที่ข้าต้องการลงโทษ จะต้องถูกลงโทษด้วยตัวข้าเอง เข้าใจหรือยัง” 


 


 


พูดจบ เดินอ้อมตัวเขาไป สาวเท้ายาวลงบันไดไป 


 


 


คนด้านหลังตามติด 


 


 


บ่าวรับใช้ที่นั่งคุกเข่าได้สติขึ้นมา รีบลุกขึ้น เดินตามไป 


 


 


ออกมาโรงเตี้ยมได้ไม่นาน รถม้าคันหนึ่งแล่นมาขวางหน้าพวกเขาเอาไว้ 


 


 


“เจ้านาย!” คนรถตะโกนเรียก กระโดดลงมา เดินตรงมาหาเขา รายงานด้วยเสียงเบาว่า “เราพาตัวคุณหนูจวนอู่โหวมาแล้วขอรับ” 


 


 


ฝีเท้าของท่าป่าหั่นหลินหยุดลง เดินไปด้านหน้า เปิดม่านรถออก เผยให้เห็นใบหน้าหวาดกลัวของหลิวอวี้เอ๋อร์ตรงหน้าเขา เขาขมวดคิ้วลงด้วยความรังเกียจ ปล่อยม่านประตูลง “เอาตัวคนไปยังที่พักของพวกเจ้า รอข้ากลับมาสืบความ” 


 


 


พูดจบ หันหลัง มุ่งหน้าไปยังโรงเตี้ยมซิงหลง  


 


 


หลังจากบ่าวไพรชะงักไป ก็ได้ควบม้าต่อ ไปยังที่พักชั่วคราวของพวกเขา 


 


 


ป้ายรถม้าถูกนำออกแล้ว ต่อให้ผู้คนหน้าโรงเตี้ยมเห็นรถม้าคันนี้ ก็ไม่มีใครมองออกว่าเป็นรถของจวนฮั่ว 


 


 


ไม่รู้ว่าตนจะถูกพาไปที่ใด หลิวอวี้เอ๋อร์ที่ถูกสกัดจุดจนทำให้ส่งเสียงออกมาไม่ได้กำลังตื่นกลัวเป็นที่สุด 


 


 


ฮั่วต้ากลับลำไปโจมตีหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างกะทันหัน ไม่มีผู้ใดคิดถึงเรื่องนี้ หวงฝู่เย่าเย่ว์รีบยกดาบขึ้นปกป้อง แต่ฮั่วต้ามั่นใจว่าจะโจมตีให้ตรงเป้า จึงได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว มีหรือจะให้นางหลบไปได้ 


 


 


ร่างกายเอนหลบปลายดาบของนาง อาศัยโอกาสที่นางยังไม่ได้ชักดาบกลับไป ใช้เท้าเตะเข้าที่ทรวงอกของนาง 


 


 


การเตะครั้งนี้ใช้เกือบสุดแรง หวงฝู่เย่าเย่ว์รับมือไม่ไหว ร่างนางหงายล้มทั้งยืนไปด้านหลัง กำลังจะล้มเข้าไปในกองไฟ 


 


 


“เย่ว์เอ๋อร์!” 


 


 


“เย่ว์เอ๋อร์!” 


 


 


สองเสียงตะโกนร้อง  


 


 


ขณะที่หวงฝู่สือเมิ่งและพระชายากำลังจะกระโจนเข้าไปรับร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้ มีร่างหนึ่งปรากฎขึ้นมาจากด้านข้าง รับร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้ กลับมาตรงหน้าของพระชายาและหวงฝู่สือเมิ่งอย่างรวดเร็ว แล้ววางร่างนางลง 


 


 


ฮั่วต้าไม่คิดว่าในเวลาเช่นนี้จะมีผู้ใดปรากฏขึ้น ผงะไป จากนั้นหรี่ตาลงมองชายผู้นั้นอย่างพินิจพิจารณา 


 


 


ความสนใจของพระชายาและหวงฝู่สือเมิ่งอยู่ที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ ไม่ได้สนใจเขา 


 


 


ฮั่วต้าเอ่ยปาก น้ำเสียงเย็นชา ดุร้าย “ท่านเป็นผู้ใด เหตุใดต้องยื่นจมูกเจ้ามาในเรื่องที่ไม่ใช่ของตนด้วย” 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินพยุงร่างยืนขึ้น สีหน้าสงบ ไม่ได้ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย พูดอย่างสงบว่า “เย่ว์เอ๋อร์เป็นว่าที่เมียของข้า นางมีปัญหา ข้าก็ต้องมาช่วย” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกตาโพลง มองด้านหลังเขาอย่างไม่เชื่อสายตา 


 


 


พระชายาและหวงฝู่สือเมิ่งฉงน หากมิใช่อยู่ต่อหน้าศัตรู ทั้งสองคงจะกระโจนเข้าไปถามเขาให้รู้ความ 


 


 


เห็นได้ชัดว่าฮั่วต้าไม่เชื่อ มุมปากเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา “คำโกหกเช่นนี้ท่านยังกล้าพูดออกมาอีกหรือ ดูท่าคงอยากยุ่งเรื่องของผู้อื่นล่ะสิ” 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินชี้นิ้วออกมา โบกเล็กน้อย “เข้าผิดแล้ว ข้ามิได้โกหก และมิได้ยุ่งเรื่องผู้อื่น” 


 


 


“ในเมื่อเจ้าใจร้อนอยากตายนัก อย่างนั้นข้าก็จะจัดให้เจ้าสมใจ” มองออกว่าฝีมือเขาไม่ธรรมดา และเห็นได้ว่าเขาพาคนมากว่าสิบคน ฮั่วต้าไม่มีใจจะต่อปากกับเขา พูดจบก็ยกดาบเข้าโจมตี 


 


 


มีกำลังเสริมจากคนที่ท่าป๋าหั่นหลินพามาด้วย ภาระของพวกของอ๋องฉีลดลง กระบวนท่าเร็วขึ้น ชายชุดดำล้มลงตามกันไปไม่น้อย แต่คนของฮั่วต้ามีจำนวนมาก ตายไปหนึ่ง ด้านหลังยังเข้ามาเสริมได้อีก ต่อให้ภายหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยกองศพ แต่กลับไม่รู้สึกว่าชายชุดดำมีจำนวนน้อยลงเลย 


 


 


เป็นการสู้รบกันอีกครั้ง คนของท่าป๋าหั่นหลินได้รับบาดเจ็บไปสองคน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คืนนี้พวกเขาทุกคนต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่  


 


 


เมื่ออ๋องฉีเห็นการปรากฏตัวของท่าป๋าหั่นหลิน สีหน้าก็ขรึมลง การต่อสู้รุนแรงขึ้น ขณะที่ป้องกันการโจมตีจากชายชุดดำ ยังตะโกนพูดกับท่าป๋าหั่นหลินว่า “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มิใช่ทางออก พวกเราต้องเปิดทางโดยการฆ่าเป็นแนวเดียวกัน” 


 


 


ฝีมือของท่าป๋าหั่นหลินและฮั่วต้าดีพอกัน สู้กันอย่างแยกได้ยาก เมื่อได้ยินคำของอ๋องฉีเช่นนั้น จึงได้หันไปสั่งคนของตนว่า “เข้าไปใกล้พวกเขา แล้วออกไปพร้อมกัน!” 


 


 


เขาพูดภาษารัฐอิง ฮั่วต้าไม่เข้าใจ โกรธมาก จึงได้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมยิ่งขึ้น 


 


 


เมื่อลูกน้องได้ยินเช่นนั้น เดินเข้าไปประชิดตัวอ๋องฉี สองฝ่ายผนึกรวมกัน กำลังมีเพิ่มขึ้นไม่น้อย ชายชุดดำตรงหน้าล้มตายไปไม่น้อย ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ก็สามารถเปิดทางออกมาได้จริงๆ ออกมาจากวงล้อมของชายชุดดำ 


 


 


แต่กระนั้น คนของพวกเขาเหลือไม่มากแล้ว เหล่าองครักษ์ลับยังเหลืออยู่สิบกว่านาย แต่คนของท่าป๋าหั่นหลินยังเหลืออยู่ห้าหกสิบนาย 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งปกป้องพระชายาและหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ด้านหน้าสุด อ๋องฉีคุ้มกันด้านหลังพวกเขา เซี่ยเฟิงที่แขนได้รับบาดเจ็บและเหล่าองครักษ์ลับป้องกันพวกเขาอยู่ด้านหลัง คนของท่าป๋าหั่นหลินอยู่ด้านหลังสุด  


 


 


หลังจากที่ท่าป๋าหั่นหลินใช้กระบวนท่าจนทำให้ฮั่วต้าถอยทัพไปได้ ก็ตามมาด้านหลังทันที 


 


 


คนทั้งหมดหนีออกไป 


 


 


ชายชุดดำติดตามมาไม่ห่าง 


 


 


ฮั่วต้าเรียกพวกเขาเสียงดัง “กลับมาให้หมด!” 


 


 


เหล่าชายชุดดำหยุดฝีเท้าลง ถอยทัพกลับมา  


 


 


ฮั่วต้าโบกมือ ชายชุดดำจำนวนหนึ่งก้มหยิบคันธนูบนพื้น จัดเตรียม ขณะเดียวกันก็ยิงไปทางด้านที่พวกเขาเพิ่งถอยทัพกลับมา 


 


 


เสียงคันธนูพุ่งผ่านอากาศดังขึ้นมาจากด้านหลัง คนของท่าป๋าหั่นหลินและองครักษ์ลับถูกยิงเข้าหลายคน 


 


 


ฝีเท้าของคนทั้งหมดช้าลง พยุงคนบาดเจ็บถอยทัพต่อไป เลือดสดหยดตามทาง แต่กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยปากร้อง 


 


 


ฝนธนูร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง คนบาดเจ็บมีเพิ่มมากขึ้น ฝีเท้าของคนทั้งหมดช้าลงอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนทั้งหมดคงไม่อาจหนีต่อไปได้  


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินหยุดฝีเท้าลง “พวกเจ้าไปก่อน ข้าจะคุ้มกันให้เอง!” 


 


 


เหตุการณ์ขณะนั้นอันตรายยิ่ง ให้เขาได้ใช้โอกาสช่วยชีวิตหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้ อ๋องฉีรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากแล้ว ขณะนี้ ยังจะให้เขาคุ้มกันได้อีกหรือ ไม่อยากติดหนี้บุญคุณเขาอีก จึงได้กล่าวว่า “พวกเจ้าไปก่อน ข้าจะคุ้มกันเอง” 


 


 


“หากเจ้ามาคุ้มกันด้านหลัง เกรงว่าวันนี้คนเหล่านี้คงจะต้องตายกันอยู่ที่นี่” ท่าป๋าหั่นหลินพูดออกมา โดยไร้ซึ่งความเคารพต่ออ๋องฉี 


 


 


อ๋องฉีชูดาบในมือขึ้นมาด้วยความโกรธ อยากตัดคอเขา แต่คนกว่าสามสิบนายของท่าป๋าหั่นหลินมาบังเขาเอาไว้ แล้วมองเขาด้วยสายตาโกรธ 


 


 


พระชายาคว้าแขนของอ๋องฉีเอาไว้ บอกให้เขาใจเย็นลง ไม่ว่าชายผู้นี้เป็นผู้ใด แต่เรื่องที่เขาช่วยชีวิตเย่ว์เอ๋อร์เป็นเรื่องจริง ช่วยพวกเขาออกมาจริงๆ แต่เมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างสงบลง รู้ว่าท่าป๋าหั่นหลินเป็นผู้ใด พระชายาเสียใจเหลือเกิน เสียใจที่ตอนนั้นตนห้ามอ๋องฉี ควรจะให้เขาตัดหัวชายผู้นี้ไปให้สิ้นเรื่อง 


 


 


อ๋องฉีเก็บดาบของตนลง 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินหันหลัง เหลือคนของตนไว้สามคน  


 


 


อ๋องฉีกัดฟัน พูดลอดไรฟันว่า “ถอยทัพ!” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 90 เจ็บหนัก อันตราย

 

อ๋องฉีนำผู้คนที่บาดเจ็บเดินหน้าต่อ ขณะหันกลับ หวงฝู่เย่าเย่ว์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองแผ่นหลังของท่าป๋าหั่นหลิน พลันเกิดความรู้สึกแปลกขึ้นมาในใจ 


 


 


คนทั้งหมดออกมาจากรัศมีของธนูแล้ว ฮั่วต้าสั่งหยุดยิงและนำทัพคนตามไป ล้อมรอบพวกของท่าป๋าหั่นหลินเอาไว้ 


 


 


ลูกน้องบังอยู่ด้านหน้าของท่าป๋าหั่นหลิน ในมือกำดาบไว้แน่น เตรียมพร้อมสู้กับชายชุดดำ 


 


 


จุดประสงค์ที่ท่าป๋าหั่นหลินอยู่ก็เพื่อถ่วงเวลาชายชุดดำ ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือทันที แต่กลับยืนไขว้หลัง มองฮั่วต้าด้วยสายตาดูแคลน  


 


 


หลายปีมานี้ ฮั่วต้าแม้จะแอบอยู่ในมุมมืด แต่ก็เป็นผู้นำในมุมมืด ไม่เคยมีผู้ใดใช้สายตาเช่นนี้มองเขามาก่อน จึงโกรธจนเสียสติ ยกดาบขึ้นมาโจมตีท่าป่าหั่นหลิน 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินเตรียมรับมือ ทั้งสองต่อสู้กัน 


 


 


ไม่มีคำสั่ง ชายชุดดำไม่กล้าลงมือ 


 


 


คนฝั่งท่าป๋าหั่นหลินยังคงจับดาบไว้แน่น มองพวกเขาด้วยความระวัง ไม่กล้าประมาท 


 


 


ทั้งสองสู้กันอยู่ครึ่งชั่วยาม ดูไม่ออกว่าผู้ใดจะชนะ ฮั่วต้าโกรธยิ่งขึ้น อ้าปาก เตรียมสั่งให้คนทั้งหมดมารุม แต่ไกลออกไปมีเสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินสติหลุด เป็นอ๋องฉีที่พาทุกคนกลับมา จึงได้โกรธจนมีเสียงดังลั่นในหัว กัดฟันกรอด 


 


 


มองอ๋องฉีที่เปลี่ยนใจกลับมา ชายชุดดำตกใจ เข้าล้อมทันที 


 


 


คนเหล่านั้นไม่มีเวลาหยุดพักหายใจ โบกดาบเริ่มฆ่าฟันทันที 


 


 


ยังไม่เคยเห็นว่ามีใครที่คนของตนหนีไปแล้ว ส่วนตนวิ่งกลับมา ฮั่วต้าก็อึ้งไป 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินอาศัยช่วงที่เขาเสียสมาธิ ใช้เท้าถีบดาบในมือเขากระเด็น จากนั้นเอื้อมมือไปบีบคอเขาไว้ 


 


 


ฮั่วต้าได้สติเอนหลัง หลบมือของเขา พร้อมทั้งใช้วิชาสู้กลับ 


 


 


จัดการไม่ได้ในทีเดียว เสียโอกาสไป ท่าป๋าหั่นหลินไม่สู้ต่อ กระโดดไปยังที่ที่ไม่ห่างจากอ๋องฉีมากนัก ตบชายชุดดำใกล้ตนจนกระเด็นออก ถามด้วยความไม่เกรงใจว่า “หัวของเจ้าถูกลากินไปแล้วหรือ” 


 


 


เมื่ออ๋องฉีได้ยินดังนั้น โกรธจนใช้ดาบฆ่าชายชุดดำตรงหน้า ตอกกลับไปด้วยความโกรธว่า “หัวข้ามิได้ถูกลากิน อย่าคิดเลยว่าเจ้าจะมาทวงบุญคุณโดยการสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ ฝันไปเถิด” 


 


 


เป็นถึงท่านอ๋อง ความสง่า สุขุมสูงศักดิ์ บัดนี้ได้หายไปสิ้นแล้ว ในหัวมีเพียงความคิดเดียว ซึ่งก็คือต่อให้วันนี้ตนต้องสละชีวิตที่นี่ ก็ไม่ยอมติดหนี้บุญคุณเขา ทั้งยังไม่ยอมให้หลานสาวของตนออกเรือนกับคนฉวยโอกาสเช่นนี้ด้วย 


 


 


แต่ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้มีความคิดเช่นนี้จริงๆ เมื่อครู่พูดที่กับฮั่วต้าเช่นนั้น เพื่อให้เขาเชื่อสนิทใจ ตนจะได้มีข้ออ้างลงมือ เมื่อได้ยินคำของอ๋องฉีดังนั้น จึงถีบชายชุดดำไปไกลๆ แล้วด่าว่า “หัวเจ้าถูกลากินไป หรือว่าในหัวมีแต่หญ้ากันแน่” 


 


 


“เจ้า…” อ๋องฉีเติบโตมาในวังหลวง เมื่อเติบใหญ่ก็ได้ย้ายเข้ามายังจวนอ๋องของตน ไม่เคยได้สัมผัสคลุกคลีกับชาวบ้าน คำด่ามีไม่มาก เมื่อได้ยินคำของท่าป๋าหั่นหลินเช่นนั้นจึงอยากด่ากลับ แต่คิดไม่ออกว่าควรด่าว่าอะไรดี 


 


 


ฮั่วต้าพอจะเข้าใจพอประมาณว่า ในทีแรกคนหนึ่งอยากสู่ขอ แต่อีกฝ่ายไม่ยอม ดังนั้นท่าป๋าหั่นหลินจึงได้รีบเข้าช่วยคน ยิ่งคนเช่นนี้ ยิ่งยากจะรับมือ  


 


 


สถานการณ์ของอ๋องฉีและท่าป๋าหั่นหลินยากจะห้ามได้ แต่คนของพวกเขาเหลือไม่มาก หากยังสู้กันยืดเยื้ออยู่เช่นนี้ ทั้งสองคงต้องจบชีวิตที่นี่เป็นแน่ แต่อ๋องฉีหาได้กลัวไม่ เนื่องจากเขาได้จัดการให้องครักษ์ลับที่บาดเจ็บพาพระชายาและหลานสาวสทั้งสองหนีไปแล้ว เขาสู้กับชายชุดดำอย่างสุดกำลัง คงจะช่วยยื้อเวลาให้พวกนางได้  


 


 


ครึ่งชั่วยามผ่านไป ชายชุดดำบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก พื้นที่ตรงนี้เหลือเพียงอ๋องฉี เซี่ยเฟิงและองครักษ์ลับสองนาย รวมทั้งท่าป๋าหั่นหลินและลูกน้องคนหนึ่งของเขา 


 


 


ฝืมือของท่าป๋าหั่นหลินแข็งแกร่ง บัดนี้หากหนีเอาชีวิตรอดไปผู้เดียวไม่มีปัญหา คนของเขาใช้ภาษาของรัฐอิงขอร้องว่า “เจ้านาย ข้าจะอยู่ที่นี่ช่วยพวกเขา ท่านหนีไปเถิด หากไม่ไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะขอรับ” 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินเม้มปาก มองดูสถานการณ์ตรงหน้า มองดูทรงผมที่ยุ่งเหยิง ร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบเลือด ทั้งยังดูอ่อนแรงของอ๋องฉี แล้วหันมามองเซี่ยเฟิงที่แขนได้รับบาดเจ็บ แต่ยังคงปกป้องอ๋องฉีด้วยชีวิต ความคิดที่จะพาทุกคนเข้าไปสู้ ก็ค่อยๆ หายไป ไม่กล่าวอะไร เพียงแต่ใช้กำลังที่มากขึ้นเท่านั้น 


 


 


สู้กันอยู่นาน แต่ไม่มีคนของทางการมา อ๋องฉีเข้าใจทันทีว่าคนของทางการมีส่วนร่วมด้วย จึงไม่ได้ส่งคนมาช่วยพวกเขา หากอยากมีชีวิตต่อ ก็มีเพียงฆ่าคนเพื่อเปิดทางเท่านั้น 


 


 


ในคืนที่เงียบสงัด ไม่มีเสียงโอดครวญของผู้ตาย มีเพียงเสียงดาบแทงทะลุร่างดังไกลออกไป ในเสียงที่เงียบแต่วุ่นวายนี้ เสียงเกือกม้าใกล้เข้ามาดังสนั่นเป็นพิเศษ 


 


 


ฮั่วต้าขมวดคิ้ว อ๋องฉีก็ขมวดคิ้วลงด้วยเช่นกัน คนทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมอง ม้าสีขาว สูงสง่าตัวหนึ่งลากรถม้าสีดำสนิทใกล้เข้ามา ขาวดำสลับกัน ยิ่งดูแปลกตาในคืนเงียบสงัดเช่นนี้ 


 


 


คนรถสวมชุดดำกางเกงดำ ผ้าดำปิดหน้า มองเห็นหน้าตาไม่ถนัด เห็นเพียงดวงตาชัดเจนสองดวงที่โผล่ออกมาด้านนอก 


 


 


คนทุกผู้หยุดการต่อสู้ลงเพราะความสงสัย มองดูรถม้าใกล้เข้ามาอย่างงุนงง  


 


 


“หยุดนะ!” ฮั่วต้าได้สติกลับมา ตะโกนเสียงดัง 


 


 


ราวกับว่าคนม้าไม่ได้ยิน ความเร็วของรถม้าไม่เพียงไม่ลดลง ซ้ำยังเร็วขึ้นด้วย 


 


 


คนตรงนั้นเกรงว่าจะถูกม้าเหยียบเข้า จึงได้หลบหลีกทางให้ 


 


 


รถม้ามายังตรงหน้าของอ๋องฉี คนรถพูดเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง ขึ้นรถขอรับ!” 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น อ๋องฉีไม่ลังเล กระโดดขึ้นรถทันที “เซี่ยเฟิง เร็วเข้า!” 


 


 


เซี่ยเฟิงและองครักษ์ลับทั้งสองขึ้นรถม้าด้วยความเร็ว  


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินและคนของเขาไม่ขยับ  


 


 


อ๋องฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่า อยากอยู่รอความตายหรืออย่างไร!” 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินทำเสียงไม่พอใจ ไม่สนใจเขา แต่ลูกน้องร้อนใจ ดึงทึ้งแขนของเขา กระโดดขึ้นไปบนรถ  


 


 


พื้นที่ภายในรถม้าโอ่โถง เพียงพอสำหรับพวกเขา 


 


 


รถม้าไม่ได้ย้อนกลับ มุ่งตรงไปด้านหน้า  


 


 


ฮั่วต้าได้สติกลับมา วิ่งตามไป แต่คิดอะไรบางอย่างได้ ยื่นมืออกมา  


 


 


ชายชุดดำคนหนึ่งใช้ธนูสั้นวางลงบนมือเขา 


 


 


ฮั่วต้าหยิบมา กางธนูออก สายตาจับจ้องไปยังรถม้า ออกแรงดึง ลูกธนูวิ่งพุ่งผ่านอากาศตรงไปยังรถม้า 


 


 


ลูกธนูไม่เพียงแม่นยำ ทั้งยังมีกำลังมาก แทงทะลุม่านรถม้า ทะลุไปยังเนื้อของท่าป๋าหั่นหลินที่นั่งอยู่ท้ายรถ 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินสบถคำหยาบคาย ด่าอย่างไม่พอใจ  


 


 


“เจ้านาย!” บ่าวตกใจ ดึงลูกธนูออกทันที  


 


 


“อย่าขยับ!” แม้ว่าอ๋องฉีจะไม่เห็นว่าท่าป๋าหั่นหลินเจ็บที่ใด แต่ฟังจากเสียงแล้ว รู้ได้ว่าเขาเจ็บไม่น้อย จึงรีบห้าม “บัดนี้ไม่รู้ว่าอาการเป็นเช่นไร หากเจ้าดึงออกสุ่มสี่สุ่มห้า อาจทำให้แผลของเขาหนักยิ่งขึ้น” 


 


 


มือของลูกน้องหยุดชะงัก  


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินอดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นผ่านกระดูกขึ้นมาได้ พยายามทำเสียงให้นิ่ง พูดว่า “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้า” 


 


 


ลูกธนูพุ่งออกไป ฮั่วต้าเผยรอยยิ้มพอใจออกมา หัวธนูอาบไปด้วยยาพิษ ไม่ว่าจะยิงถูกผู้ใด หากพวกเขาต้องการช่วยชีวิตเขา จะต้องไปที่ร้านยา เขาเพียงต้องส่งคนไปเฝ้าที่ร้านยาเท่านั้น ก็จะจับพวกเขาได้ทั้งหมด 


 


 


หันกลับมา มองศพที่ล้มอยู่ระเนระนาด ออกคำสั่งหน้าตายว่า “เก็บกวาดให้เรียบร้อย!” หันหลัง เดินไปยังกองเพลิง 


 


 


คนที่เหลืออยู่ นำซากศพมากองรวมกัน หยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋า เปิดออก ราดไปบนศพเหล่านั้น หลังศพเหล่านั้นมีเสียง ซู่ๆ 


 


 


ดังขึ้นมา ไม่นานก็ละลายหายไปจนหมด ไม่ทิ้งร่องรอยบนพื้นแม้แต่น้อย 


 


 


โรงเตี๊ยมถูกเผาจนมอด ฮั่วต้าโบกมือ คนที่เหลือแบกร่างศพขึ้นมาอย่างรู้ความ โยนลงไปในเพลิงไฟ เปลวไฟลุกโชนอีกครั้ง มีกลิ่นแสบจมูกโชยมาในอากาศ 


 


 


รถม้าแล่นไปได้ไม่นานก็เลี้ยวกลับ คนรถพารถม้ามายังบ้านหลังหนึ่งด้วยความชำนาญ หยุดรถ ลงจากรถ ทิ้งผ้าปิดหน้าของตน เปิดม่านรถ “ท่านอ๋อง ถึงแล้วขอรับ เชิญท่านลงได้” 


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า ลงจากรถม้า คนด้านหลังตามมา ขณะกำลังลงจากรถ ในรถก็มีเสียงดัง ตุ้บ ดังออกมา จากนั้นน้ำเสียงหวาดกลัวของบ่าวลอยออกมาจากในรถว่า “เจ้านาย ท่านเป็นอะไรไป” 


 


 


อ๋องฉีสาวเท้ายาวเดินไปยังท้ายรถ เปิดม่านรถออก ท่าป๋าหั่นหลินปิดตาทั้งสองข้าง นอนแน่นิ่งอยู่ภายในรถ ใบหน้าดำเขียว เห็นได้ชัดว่าถูกยาพิษ 


 


 


“เซี่ยเฟิง พาเขาเขาไปด้านใน” อ๋องฉีสั่ง 


 


 


เซี่ยเฟิงตอบรับ ไปกับองครักษ์ลับอีกสองนาย นำร่างของท่าป๋าหั่นหลินลงมาจากรถ เดินเข้าไปในเรือนตามคำแนะนำของคนรถ 


 


 


ในห้องโถง คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดปนกับกลิ่นยา ดูเหมือนว่าจะเป็นเรือนหลัง หลายห้องยังมีไฟสว่างอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอันวุ่นวายของพวกเขา คนด้านในวิ่งออกมา เป็นพระชายา หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่นเอง 


 


 


เมื่อเห็นว่าอ๋องฉีปลอดภัย ใจที่กังวลมาตลอดของพระชายาก็วางลง กล่าวด้วยความยินดีว่า “ท่านอ๋อง!” กำลังจะเดินเข้ามารับ 


 


 


“ท่าป๋าถูกยาพิษเข้า เมิ่งเอ๋อร์ เจ้ามียาแก้พิษอยู่หรือไม่” อ๋องฉีไม่ได้ตอบรับ กลับเปิดปากถามก่อน 


 


 


“มีเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำเรียกของอ๋องฉี หวงฝู่สือเมิ่งที่ชะงักไปรีบพยักหน้า  


 


 


“ท่านอ๋อง ไปห้องทางด้านนั้นเถิด” คนรถชี้ไปทางห้องที่เปิดไปอยู่ไม่ไกล  


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์ เอายามา เซี่ยเฟิง แบกคนไป” 


 


 


อ๋องฉีสั่ง เดินสาวเท้ายาวไปยังห้องนั้น 


 


 


เซี่ยเฟิงแบกร่างของท่าป๋าหั่นหลินตามไปด้านหลัง  


 


 


คนรถเร็วกว่า เปิดประตู ให้พวกเขาเข้าไป  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งหันหลังเดินเข้าไปในห้อง หยิบกระเป๋าติดตัวของตนขึ้นมา และตามไป 


 


 


พระชายาหยุดคิดเล็กน้อย จึงไม่ได้ตามไป 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ดูแลนาง ไม่ได้ตามไป แต่สายตามองไปทางนั้นอย่างควบคุมไม่ได้ 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 91

 

อาศัยแสงไฟด้านนอก ทุกคนจึงเห็นได้ชัดว่าลูกธนูของฮั่วต้ายิงมาถูกแขนซ้ายของท่าป๋า ไม่ได้บาดเจ็บมากนัก แต่ว่าพิษที่อาบบนปลายธนูดูรุนแรงมาก บัดนี้ใบหน้าของท่าป๋าได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำแล้ว


 


 


ช้าไม่ได้แล้ว หวงฝู่สือเมิ่งหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋าของตน เปิดขวด เทเม็ดยาออกมา มอบให้คนของท่าป๋า สั่งว่า “ป้อนเขาเสีย!” จากนั้นก็รีบไปหาผ้ามา มัดบริเวณที่ถูกธนูยิงเข้าใส่ เมื่อเห็นท่าป๋ากลืนยาไปแล้ว จึงสั่งว่า “ดึงธนูออก!”


 


 


ลูกน้องของท่าป๋ากำคันลูกศรแน่น ออกแรง เลือดสีดำกระเซ็นออกมาพร้อมกับลูกธนู กระเด็นเต็มหน้าและตัวของเขา


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งได้เตรียมยาหยุดเลือดเอาไว้แล้ว ราดลงไปบนแผลของท่าป๋าหั่นหลินอย่างไม่ลังเล


 


 


เลือดหยุดแล้ว สีหน้าเขียวคล้ำของท่าป๋าหั่นหลินเริ่มดีขึ้น


 


 


ทุกคนโล่งใจ หวงฝู่สือเมิ่งลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ยื่นมือไปจับชีพจรเขา


 


 


คนของท่าป๋าหั่นหลินมองเขาตาไม่กะพริบ


 


 


คิ้วของหวงฝู่สือเมิ่งขมวดลงเล็กน้อย ปล่อยมือท่าป๋าลง “พิษของยาแก้ได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องมีคนไปนำยามาเท่านั้น แต่สถาณการณ์ตอนนี้ เกรงว่าร้านยาในเมืองคงถูกพวกมันจับตาดูอยู่เป็นแน่ รอให้พวกเราติดกับดัก”


 


 


คนในห้องเงียบสนิท


 


 


คนของท่าป๋าหั่นหลินเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบพร่า “แม่นาง เจ้านำชื่อยามาให้ข้า ข้าจะคิดหาทางเอง”


 


 


หวงฝู่สื่อเมิ่งมองเขา ส่ายหน้า “เจ้ากับชายชุดดำสู้กันมาทั้งคืนแล้ว เกรงว่าพวกมันจะจำหน้าของเจ้าได้ หากเจ้าออกไป เท่ากับว่าออกไปตายในมือของพวกมันเสียเปล่า”


 


 


“เรื่องนั้นแม่นางอย่าห่วงไปเลย เจ้าสนใจแต่ชื่อยาเป็นพอ” คนของท่าป๋าไม่ได้บอกว่ามีคนฝ่ายตนอยู่ที่นี่ บอกเพียงว่าให้เอาชื่อยามาเท่านั้น


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งมองท่านอ๋องฉี ถามความเห็นของเขา


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า บัดนี้ คงทำได้เพียงเท่านี้ พวกเขารวมทั้งองครักษ์ลับต่างบาดเจ็บไม่น้อย หากออกไปคงถูกจับได้ไม่ยาก


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งสั่งคนรถที่ตามเข้ามา “เถ้าแก่ รบกวนท่านไปหาพู่กันให้ข้าที”


 


 


เถ้าแก่ตอบรับ หันหลังเดินออกไป ไม่นานก็นำพู่กันเข้ามา


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเขียนชื่อยาออกมา ยื่นให้คนของท่าป๋า “ระวังตัวด้วย เจ้านายของพวกเจ้ารอพวกเจ้ามาช่วยชีวิตอยู่”


 


 


“ขอบใจมากแม่นาง ช่วยดูแลเจ้านายแทนข้าด้วย ข้าจะรีบกลับมา”


 


 


พูดจบ หันหลังเดินออกไปด้านนอก


 


 


“รอเดี๋ยว!” หวงฝู่สือเมิ่งเรียกเขาเอาไว้ ปลดผ้าที่พันแขนของท่าป๋าหั่นหลินออกมาให้เขา “เอาไปซักให้สะอาด แล้วให้เถ้าแก่หาเสื้อผ้าใหม่มาให้พวกเจ้าด้วย”


 


 


เขาออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้ ต่อให้หาร้านยาพบ ยามวิกาลเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดหยิบยาให้เขา


 


 


คนของท่าป๋าหั่นหลินคิดเช่นนี้เช่นกัน หลังกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก็เดินตามเถ้าแก่ออกไป รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ลักพาตัวหลิวอวี้เอ๋อร์มา


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมามอบให้เซี่ยเฟิง “พวกเจ้าเอาไปจัดการกันเอง”


 


 


พวกเซี่ยเฟิงได้นำยาหยุดเลือดมาเช่นกัน เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเตี๊ยมค่อนข้างกะทันหัน หลังพวกเขาตื่นขึ้น ก็คิดเพียงแต่ดูแลอ๋องฉีให้ออกมาอย่างปลอดภัย ลืมหยิบออกมาด้วย จึงรับมา แล้วกล่าวขอบคุณ


 


 


“ไม่เป็นไร ให้เถ้าแก่หาชุดให้พวกเจ้าเปลี่ยนด้วย แล้วไปพักเสียหน่อย” หวงฝู่สือเมิ่งกล่าว


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเป็นท่านหญิง เป็นหญิงสาว ไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลท่าป๋าหั่นหลิน เซี่ยเฟิงส่ายหน้า “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าน้อยไม่เหนื่อย อย่างไรเสีย ให้ข้าน้อยดูแลเขาเองเถิด”


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเข้าใจความหมายของเขาในทันที จึงไม่ได้ขัดข้อง “อย่างนั้นเจ้าไปทำธุระเสียให้เรียบร้อย เสร็จแล้วมาเปลี่ยนกับพวกข้า”


 


 


พวกเซี่ยเฟิงออกไป


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยุงอ๋องฉีนั่งลงบนเก้าอี้ เม้มปาก “ท่านปู่เจ้าคะ เขาคือท่าป๋าหั่นหลิน น้องชายขององค์ชายใหญ่ เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของรัฐอิงอย่างนั้นหรือ”


 


 


อ๋องฉีมองท่าป๋าหั่นหลินที่ยังไม่ได้สติด้วยสายตาสับสน พยักหน้าช้าๆ


 


 


เป็นอย่างที่นางคาดการณ์เอาไว้จริง หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกไม่สบายใจ “เยี่ยงนั้น…”


 


 


พูดจบคำหนึ่ง ก็ถูกน้ำเสียงไม่พอใจของอ๋องฉีตัดบทว่า “เขากำลังพักผ่อน!”


 


 


มองดูอ๋องฉีที่กำลังโมโหสุดขีด แล้วหันไปมองท่าป่าหั่นหลินที่นอนสลบอยู่บนเตียง หวงฝู่สือเมิ่งเม้มปาก พูดไม่ออก ยืนขึ้น เดินอ้อมไปด้านหลังของอ๋องฉี ทุบหลังให้เขาเบามือ


 


 


“วันนี้สู้กับพวกเขา เจ้าเองก็เหนื่อย นั่งพักสักครู่เถิด” อ๋องฉีสงสารไม่ยอมให้นางทุบหลังให้


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งไม่หยุด “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เมื่อมายังที่เหลาจวี้เสียนพร้อมท่านย่า ข้าได้พักผ่อนไปบ้างแล้ว”


 


 


อ๋องฉีรู้ว่านางกำลังปด เขานั่งรถม้ายังต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าพวกนางต้องเดินทางนานเท่าใด จึงมาถึง แล้วยังต้องมาห่วงตนอีก ไม่มีทางจะพักผ่อนลงได้หรอก แต่ไม่อยากทำลายความกตัญญูนี้ จึงได้ตบมือนางเบาๆ ถอนใจออกมา เขาปากแข็งไปเท่านั้น ท่าป๋าหั่นหลินช่วยพวกเขาไว้จริง ไม่ต้องพูดเรื่องที่เขามาได้ทันเวลา ช่วยเย่ว์เอ๋อร์ได้ทัน แต่เพียงบุญคุณที่เขากันชายชุดดำอย่างสุดกำลัง ทำให้พวกเขารอดมาได้ ก็ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรหมด


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางเม้มปาก ไม่พูดจา


 


 


พวกเซี่ยเฟิงทำธุระเรียบร้อยแล้ว เดินเข้ามา


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกล่าวว่า “ยับยั้งพิษของเขาได้แล้ว บัดนี้ไม่มีอะไรน่าห่วง พวกเจ้าไม่ต้องอยู่ทั้งหมดหรอก ผลัดกันมาดูแลเขาเป็นพอ”


 


 


เซี่ยเฟิงจัดการให้องครักษ์ลับสองนายที่เจ็บหนักไปพักผ่อนที่ที่เถ้าแก่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้


 


 


“ท่านปู่ ท่านเองก็ไปพักบ้างเถิดเจ้าค่ะ ท่านเป็นเช่นนี้ ท่านย่าคงเป็นกังวลมากแล้ว ข้าอยู่ดูแลที่นี่สักครู่ หากเขาไม่มีอาการผิดปกติ ข้าก็จะไปพักเช่นกัน”


 


 


อ๋องฉีพยักหน้า ยืนขึ้น “หากมีเรื่องอะไรก็เรียกข้า”


 


 


“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หวงฝู่สือเมิ่งตอบรับ


 


 


อ๋องฉีเดินออกไปด้านนอก ไปยังห้องที่พระชายาพักอยู่


 


 


พระชายาและหวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังนั่งอยู่ในห้อง เมื่อเห็นเขาเข้ามา จึงยืนขึ้น พระชายาเดินเข้ามา “เป็นอย่างไรบ้าง อาการหนักหรือไม่”


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์ว่าใช้ยาไม่กี่ชนิดก็สามารถล้างพิษได้ แต่สถานการณ์เช่นนี้ จะไปหายาได้จากที่ใด”


 


 


“เยี่ยงนั้นจะทำเช่นไรเพคะ เขามีบุญคุณต่อเรา จะดูเขาตายไปต่อหน้าได้อย่างไร” พระชายาถามด้วยความร้อนใจ


 


 


“ไม่ถึงตายหรอก เพียงแต่ต้องทรมานนานเสียหน่อยเท่านั้น อีกอย่าง คนของเขาได้ออกไปหายามาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีทางหามาได้”


 


 


ขณะเดียวกัน คนที่เขากล่าวถึงบัดนี้ได้ไปถึงที่กบดานของพวกเขาแล้ว เป็นบ้านธรรมดาค่อนไปทางซอมซ่อหลังหนึ่ง


 


 


หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกสกัดจุด แล้วโยนทิ้งอย่างไม่มีใครใส่ใจ ชายที่ลักพาตัวนางนั่งอยู่ข้างโต๊ะเก่าตัวหนึ่ง บนโต๊ะจุดตะเกียงที่ไม่สว่างมากอยู่ดวงหนึ่ง แสงไฟสว่างสลับมืด ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งดูน่ากลัวยิ่งขึ้น


 


 


เมื่อเสียงฝีเท้าเบาลอยเข้ามาในหู ทั้งสองดับไฟพร้อมกัน ร่างย้ายไปยังข้างประตูด้วยความรวดเร็ว ถามเสียงทุ้มว่า “ผู้ใด”


 


 


“ข้าเอง!” เสียงที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในหู ใจที่กดดันของทั้งสองก็วางลง คนหนึ่งยื่นมืออกไปเปิดประตูออก “เจ้านายมีคำสั่งหรือ”


 


 


“เจ้านายบาดเจ็บสาหัส พวกเจ้าหาทางนำยามาให้ได้” พูดจบ ใบรายการยาถูกยื่นมาตรงหน้าเขา


 


 


ทั้งสองตกใจ ถามพร้อมกันว่า “เจ้านายอาการหนักหรือไม่”


 


 


“บัดนี้ไม่มีอะไรต้องห่วง พวกเจ้าดูแลเรื่องนี้ให้ดีเป็นพอ”


 


 


ทั้งสองตอบรับด้วยความนอบน้อม หนึ่งในนั้นถามว่า “คนในนั้นจะจัดการเช่นไร”


 


 


หลิวอวี้เอ๋อร์ได้ยิน ก็ใจสั่นขึ้นมา ความกลัวเข้ามาโจมตีนางอีกครั้ง


 


 


“บัดนี้เจ้านายยังไม่ได้สติ ไต่สวนนางไม่ได้ ที่แห่งนี้ไม่เหมาะจะอยู่นาน พวกเจ้าหาทางพานางหนีออกไปนอกเมือง หากสามวันจากนี้ยังไม่มีข่าวจากข้าและเจ้านาย ให้พานางกลับไป ทิ้งไว้ที่ใดก็แล้วแต่”


 


 


ทั้งสองตอบตกลงอีกครั้ง


 


 


คำว่ากลับบ้านลอยเข้าหู หลิวอวี้เอ๋อร์เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ พวกเขามิใช่คนรัฐอู่ อย่างนั้นจะลักพาตัวนางมาทำอะไร ตัวนางไม่ได้กุมความลับอะไรเอาไว้ ไม่มีค่าอะไร แต่น่าเสียดาย ที่คำพูดเหล่านี้ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ พูดไม่ออก


 


 


“หากได้ยามาแล้ว ให้สัญญาณข้า ข้าจะไปเอามาเอง”


 


 


กำชับอีกครั้ง จากนั้นผู้มาเยือนก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งเจ้านายไว้ที่นั่นคนเดียว เขาไม่วางใจ อย่างไรเสียรีบกลับไปดีกว่า


 


 


มองร่างเขาหายไปในความมืด ทั้งสองหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง นอนลงบนเตียงผุพังในห้อง แต่หลิวอวี้เอ๋อร์ ราวกับถูกพวกเขาลืมไปแล้วอย่างนั้น ยังคงถูกทิ้งไว้บนพื้น


 


 


ส่วนชุนเซียงและคนรถที่ถูกทำร้ายจนสลบ เมื่อฟื้นขึ้นมาเห็นแต่ความมืดจึงเกิดความงุนงง จากนั้นจึงนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนสลบขึ้นมาได้ ตกใจเสียจนลุกขึ้นมาจากพื้นพร้อมกัน ชุนเซียงถามด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “คุณหนู คุณหนูอยู่ที่ใด”


 


 


มองไปที่ไกลที่เต็มไปด้วยความมืด ขาของคนรถอ่อนลง หากให้นายท่านทราบว่าเขาไม่ทำตามกฎ พาคุณหนูลักลอบออกมาจากมุมกำแพงกลางดึก คงจะต้องถูกตีจนตายเป็นแน่


 


 


ชุนเซียงตกใจไปไม่น้อยกว่าเขา คุณหนูหายไป ลูกน้องอย่างพวกนางกลับไม่เป็นอะไร หากไม่ถูกตีตายสิถึงจะแปลก


 


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังตกใจนั้น ก็มองตากัน ยกเท้าวิ่งกลับจวนพร้อมกัน รีบไปรายงานฮั่วเจี่ย ในใจมีความหวังว่า บางทีหากนายท่านเห็นแก่ที่ทั้งสองมารายงานได้ทันเวลา อาจจะไว้ชีวิตพวกเขาได้


 


 


แต่พวกเขาคิดผิดแล้ว ทั้งสองรีบวิ่งกลับมา ไม่สนใจแม้จะหันไปเก็บรองเท้าที่หลุดไป กลับมายังจวนฮั่ว หายใจหอบทุบประตูจวน “เปิดประตู เปิดประตู รีบเปิดประตู เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”


 


 


ทำหน้าที่เฝ้าประตูให้จวนฮั่วมานานหลายปี ไม่เคยได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังถึงเพียงนี้ หลังนายประตูตกใจแล้ว รีบยืนขึ้นมา ถอดสลักประตู เปิดประตูออก ถามได้เพียงคำเดียวว่า “เป็น…”


 


 


ร่างของทั้งสองพุ่งเข้ามา วิ่งชนกันกระเด็น จากนั้นก็ตรงไปยังเรือนหลักทันที ปากตะโกนไม่หยุดว่า “นายท่าน เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ!”


 


 


นายประตูถูกชนจนมึนหัว เมื่อได้สติกลับมา ทั้งสองก็วิ่งไปยังเรือนหลักเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เขาต้องการห้าม ก็ห้ามไว้ไม่ได้ จึงก่นด่าว่า “เป็นบ้าหรือไง โวยวายกลางดึกเช่นนี้ นายท่านตื่นขึ้นมาคงได้เอาพวกเจ้าตายแน่”

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 92 บ้าคลั่ง

 

ทั้งสองยังถึงไม่เรือนหลักก็ถูกคนกันตัวเอาไว้ ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


 


ฮั่วเจี่ยรอข่าวฮั่วต้าอยู่ด้านในด้วยใจจดใจจ่อ แน่นอนว่าเขาได้ยินเสียง ไฟโกรธปะทุขึ้น สั่งคนด้านนอกว่า “ผู้ใดมาเอะอะโวยวายอยู่ด้านนอก เอาตัวมันเข้ามา”


 


 


นอกห้องหนังสือมีเสียงคนตอบรับ เดินออกไปนอกเรือนหลัก พาตัวชุนเซียงและคนรถเข้ามา


 


 


ทั้งสองเข้ามาในห้องหนังสือด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้เลยหน้า คุกเข่าลงที่พื้นทันที “นายท่าน แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ”


 


 


นานเพียงนี้แล้ว ฮั่วต้ายังไม่ออกมา ใจของฮั่วเจี่ยเริ่มทนไม่ไหว สิ้นเสียงของทั้งสอง ฮั่วเจี่ยยืนขึ้น ยกเท้าถีบไปที่กลางอกของคนรถ คนรถกลิ้งไปด้านหลัง นอนซบบนพื้น ไม่ขยับ “สมควรตาย พูดเรื่องอัปมงคลยามวิกาลเช่นนี้ อยากตายนักรึ”


 


 


ชุนเซียงเห็นว่าคนรถไม่ขยับ จึงยิ่งกลัวมากขึ้น ร่างของนางสั่นสะท้าน ฟันกระทบกันเสียงดัง


 


 


ได้ถีบระบายอารมณ์ ไฟโกรธในใจได้บรรเทาไปบ้าง ฮั่วเจี่ยนั่งลงบนเก้าอี้ พูดพร้อมควบคุมไฟโกรธว่า “ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


 


ชุนเซียงเป็นคนที่หลิวอวี้เอ๋อร์พามาจากเมืองหลวง หลิวอวี้เอ๋อร์ให้ความสำคัญกับนางเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ได้ถีบนาง


 


 


“นาย นายท่านเจ้าคะ คุณ คุณหนูนาง…”


 


 


พูดถึงตรงนี้ ถูกฮั่วเจี่ยตะคอกเสียงดัง “พูดอะไรพิรี้พิไร ไม่มีลิ้นรึไง”


 


 


ชุนเซียงสะท้านไปทั้งร่าง ฟันกระทบกัน ลิ้นแข็ง “นายท่าน คุณหนูถูกโจรจับตัวไปเจ้าค่ะ”


 


 


ฮั่วเจี่ยยังไม่เข้าใจในทีแรก ถามย้ำอีกครั้งว่า “เจ้าว่าผู้ใดนะ”


 


 


“คุณหนู…เมื่อครู่ถูกโจรลักพาตัวไปเจ้าค่ะ!” ชุนเซียงรีบพูดอีกครั้ง


 


 


ฮั่วเจี่ยผุดลุกยืนขึ้น ถามย้ำให้แน่ชัด “อวี้เอ๋อร์?”


 


 


ชุนเซียงพยักหน้าด้วยความกลัว


 


 


เมื่อได้รับการยืนยัน แต่ฮั่วเจี่ยยังคงไม่เชื่อ ยามวิกาลเช่นนี้ หลิวอวี้เอ๋อร์จะถูกจับตัวไปได้อย่างไร จึงตะคอกถามชุนเซียงว่า “ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


ชุนเซียงเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเรื่องที่หลิวอวี้เอ๋อร์ยืนยันจะไปดูพวกอ๋องฉีตายให้เห็นกับตา นางห้ามไม่อยู่ จึงได้ไปหาคนรถ มอบอัฐให้เขา และแอบลักลอบออกจากประตูเล็ก ออกไปได้ไม่นาน ก็พบกับผู้ที่ทำร้ายพวกเขาจนสลบ และลักพาตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ไป


 


 


เมื่อฮั่วเจี่ยฟังจบ ไฟโกรธก็ลามถึงขีดสุด ผุดยืนขึ้น ยกขาขึ้นถีบนางเช่นกัน


 


 


ชุนเซียงน่าสงสารเสียยิ่งกว่าคนรถ นางกระเด็นไปอยู่หน้าประตู


 


 


กระอักเอาเลือดออกมา ตาเหลือก เจ็บแทบจะขาดใจ


 


 


“สมควรตาย ข้าสั่งแล้วมิใช่หรือ ว่าหลังยามสองไปแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดในจวนออกไปด้านนอก เจ้าเห็นคำของข้าเป็นเพียงลมผ่านหูรึไง” พูดจบ ยังไม่หายโกรธสั่งบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกว่า “ลากเจ้าไร้ประโยชน์สองตัวนี่ออกไปตีให้ตาย”


 


 


ราวกับว่าคนรถตายไปแล้วอย่างนั้น ไร้ซึ่งการตอบสนอง แต่ชุนเซียงตกใจมาก พยุงร่างขึ้นมาอย่างยากลำบาก โขกหัวให้ฮั่วเจี่ย “นายท่านไว้ชีวิตด้วย นายท่านไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ!”


 


 


ฮั่วเจี่ยโบกมือ บ่าวรับใช้ในเรือนเข้ามาปิดปากนาง แล้วลากนางและคนรถออกไปอย่างไร้ความปราณี


 


 


เสียงไม้โบยลงบนเนื้อดังสนั่น


 


 


“ใครก็ได้!”


 


 


ฮั่วเจี่ยตะโกนเสียงดัง


 


 


พ่อบ้านที่ดูแลอยู่ด้านหน้าตลอดเวลาเดินเข้ามา “นายท่าน!”


 


 


“ส่งคนในจวนออกมาให้หมด ไปหาอวี้เอ๋อร์ และปิดประตูเมือง ตั้งแต่บัดนี้ห้ามผู้ใดเข้าออก!”


 


 


พ่อบ้านรับคำ จากนั้นจึงรีบหันหลังเดินออกไปด้านนอก คุณหนูหลิวอวี้เอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของนายท่าน หากไม่หาให้พบโดยเร็ว คนในจวนก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบเลย


 


 


“ช้าก่อน!” ฮั่วเจี่ยเรียกตัวเขาเอาไว้ “ส่งคนไปดูว่าฮั่วต้าเป็นอย่างไรบ้าง นานถึงเพียงนี้แล้ว เรื่องเท่านี้ยังทำได้ไม่ดี ไร้ประโยชน์ขึ้นทุกที”


 


 


หัวของพ่อบ้านมีเหงื่อผุดออกมา หลังตอบรับแล้ว รีบวิ่งออกมา ฮั่วต้าเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของนายท่าน บัดนี้ถูกพูดถึงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านายท่านโกรธเขามากแล้ว


 


 


หลังฮั่วเจี่ยคิดเล็กน้อย ก็กลับเรือนหลักไป บอกฮูหยินที่ตื่นขึ้นเพราะเสียงเอะอะโวยวายเรื่องที่หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกลักพาตัวไป


 


 


ฮูหยินรับไม่ไหว ตาเหลือก เป็นลมล้มไป


 


 


ฮั่วเจี่ยรีบส่งคนไปเรียกตัวหมอมา


 


 


คนในจวนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น วุ่นวายกันไปหมด


 


 


ในขณะที่จวนฮั่วกำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น ฝั่งของอ๋องฉีเองก็วุ่นวายเช่นเดียวกัน ท่าป๋าหั่นหลินยังไม่ฟื้น คนของตนถูกไล่ฆ่า โดยเฉพาะหลังจากคืนวันนี้ วันพรุ่งฟ้าสาง ฮั่วเจี่ยจะต้องส่งคนมาค้นเป็นแน่ คนของตนยังอยู่ที่เหลาจวี้เสียน ไม่รู้ว่าสามารถหนีจากอันตรายนี้ได้หรือไม่


 


 


พระชายาคิดอย่างนี้เช่นกัน คิ้วขมวดกัน


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์มองสีหน้าของนาง เม้มปาก พิจารณาจากนั้นพูดว่า “ท่านปู่ ท่านเปลี่ยนชุดเปื้อนเลือดนี้ออกก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่”


 


 


อ๋องฉีจะชำระร่างกาย นางไม่เหมาะสมที่จะอยู่ที่นี่ พระชายาพยักหน้า “หากไม่มีปัญหาอะไร เจ้าและเมิ่งเอ๋อร์ไปพักผ่อนเถิด วันพรุ่งไม่รู้ต้องเจอกับอะไรบ้าง”


 


 


“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านย่า ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่”


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบรับ หันหลังเดินออกไป มายังห้องของท่าป๋าหั่นหลิน


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งจับชีพจรให้เขาอีกครั้ง รู้สึกว่าชีพจรเขาดีกว่าเมื่อครู่ จึงโล่งใจ สั่งอะไรบางอย่างกับเซี่ยเฟิง กำลังจะกลับไปยังห้องที่เถ้าแก่ได้เตรียมเอาไว้ให้ หวงฝู่เย่าเยว์เข้ามาพอดี


 


 


“เจ้ามาทำอะไร” เดินไปตรงหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ บดบังสายตาของนาง


 


 


คนทั้งสองสูงพอกัน สายตาของหวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกบดบัง ความหวังที่จะมาดูอาการท่าป๋าหั่นหลินหมดไป เกิดความรู้สึกหดหู่ในใจ แต่ยังคงตอบตามจริง “ท่านปู่กำลังผลัดเสื้อผ้า ไม่สะดวกอยู่ด้านใน ข้ามาเรียกพี่กลับห้อง”


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งวางมือทั้งสองไว้บนไหล่ของนาง จับนางหมุนหันหลัง “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด วันนี้เจ้ามีเรื่องให้เสียขวัญ รีบไปพักผ่อนดีกว่า”


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ได้รั้นจะอยู่ต่อ ทั้งสองกลับห้องของตนเองไป


 


 


เหนื่อยมานาน ฟ้าใกล้สางแล้ว สิ่งที่กลัวมีเพียงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก ทั้งสองนอนลงบนเตียงทั้งเสื้อผ้า หลับตาลง ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา


 


 


ฮั่วต้ามองร่างศพถูกเผาจนมอดในกองไฟ จึงจะพาคนที่เหลือกลับมายังจวนฮั่ว


 


 


เมื่อมาถึงจวนฮั่วก็ถูกพ่อบ้านห้ามเอาไว้ “นายท่านสั่งเอาไว้ว่า ให้ท่านไปเรือนหลักทันทีขอรับ”


 


 


ฮั่วต้ามิได้คิดอะไร ตรงไปยังเรือนหลักทันที


 


 


ฮั่วเจี่ยได้ยินเสียงของเขา เดินออกมาจากห้อง ไม่ชายตามองศพสองร่างที่เต็มไปด้วยเลือด ถามเขาด้วยความโกรธว่า “เรื่องเท่านี้ ใช้เวลาจัดการนานถึงเพียงนี้ ข้าว่าเจ้าช่างไร้ประโยชน์ไปทุกทีแล้ว”


 


 


ฮั่วต้าคุกเข่าลง ยอมรับผิด “ข้าน้อยไร้ปัญญา นายท่านได้โปรดลงโทษด้วยขอรับ”


 


 


เมื่อได้ยินความผิดปกติในน้ำเสียงของเขา ฮั่วเจี่ยหรี่ตา สายตามีความโกรธ “อย่าบอกข้าเชียวนะว่าเจ้าทำพลาด”


 


 


ฮั่วต้าไม่แก้ตัว ยังคงพูดต่อว่า “นายท่านได้โปรดลงโทษด้วยขอรับ”


 


 


“คนของเจ้ามีร่วมร้อย ทั้งยังมีธนู กลับฆ่าพวกมันไม่ได้ เจ้ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปตั้งแต่เมื่อใดกัน” น้ำเสียงของฮั่วเจี่ยเย็นชา เต็มไปด้วยความแค้นเคือง


 


 


ใจของฮั่วต้าเริ่มกลัว แต่ยังคงพูดต่อไปว่า “ทีแรกข้าน้อยกำลังจะชนะแล้ว แต่มิรู้ว่ามีเด็กเมื่อวานซืนจากที่ใดโผล่มา ซ้ำยังพาคนฝีมือดีมาไม่น้อย ข้าน้อยไล่ล่าเต็มกำลังแล้ว แต่ยังไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ ซ้ำยังเสียคนของเราไปนับสิบ”


 


 


องครักษ์เงานั้น ตั้งแต่คัดเลือกจนถึงการฝึกซ้อม ใช้กำลังและเงินมหาศาล เมื่อได้ยินว่าศูนย์เสียไปหลายสิบคน ฮั่วเจี่ยจึงโกรธจนมีเสียงระเบิดดังขึ้นในหัวของเขา ถามด้วยความโกรธว่า “ไร้ประโยชน์สิ้นดี ไร้ประโยชน์กันทั้งหมด!”


 


 


ฮั่วต้าไม่กล้าส่งเสียง


 


 


พ่อบ้านเองก็กลัวไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงบ่าวรับใช้ในเรือน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ


 


 


“รุ่งขึ้นไปสืบค้นทุกบ้าน ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะติดปีกบินออกไปได้” กัดฟันกรอด สั่งการชัดถ้อยชัดคำ


 


 


วันที่สอง หลังฟ้าสางประตูของซื่อเฉิงเต็มไปด้วยผู้คน รอประตูเปิดออก เพื่อเข้าออกได้สะดวก แต่เกินเวลาไปแล้วประตูยังคงปิดสนิท ไม่มีร่องรอยว่าจะเปิดเมื่อใด ผู้คนเริ่มร้อนใจ เริ่มสืบถามกัน จึงได้รู้ว่า นับแต่วันนี้ประตูเมืองจะไม่เปิดออกอีก ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต้องการเข้ามา หรือต้องการออกไป ล้วนไม่สามารถข้ามไปได้ทั้งสิ้น


 


 


ผู้คนเริ่มวุ่นวาย วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ยังมีคนที่รีบออกจากเมืองไปทำธุระ ต้องการเข้าเมืองมาค้าขาย พวกเขารับไม่ได้ จึงถามเสียงดังว่าเหตุใดจึงไม่เปิดประตู


 


 


ฮั่วต้านำกองทัพคนมายืนที่กำแพงเมือง ถือธนูคนละคัน มุ่งไปที่คนสองคนด้านล่าง ความหมายชัดเจน คือหากผู้ใดขยับ จะยิงให้ตายคาที่


 


 


ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่เคยเจอสิ่งเหล่านี้ จึงกลัวเสียจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ รีบผละออกจากประตูเมืองทันที สองฝั่งประตูเมืองเป็นระเบียบขึ้นมาในพริบตา


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ฮั่วต้าปรากฏตัวให้ผู้อื่นเห็นอย่างเปิดเผย เงยหน้า มองฟ้า รู้สึกว่าแสงอาทิตย์วันนี้สว่างแสบตากว่าทุกวัน


 


 


พวกของอ๋องฉีก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน แม้จะเป็นดังที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังโกรธไม่น้อย สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกยินดีได้นั้น ก็คือไม่รู้ว่าคนของท่าป๋าใช้วิธีใด พอฟ้ารุ่งสาง สามารถนำยากลับมาได้จริงๆ หวงฝู่สือเมิ่งที่เพิ่งพักผ่อนได้ไม่นานรีบลุกขึ้นมาทันที ต้มยาให้เขาด้วยตัวเอง สั่งให้คนของเขาป้อนยาให้เขาดื่ม


 


 


ยาแก้พิษที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำ ใช้ตัวยาที่ดีที่สุดจากในวัง ภายในมีดอกบัวสีเลือดผสมอยู่ด้วย ทีแรกมอบให้หวงฝู่สือเมิ่ง ให้นางใช้หากได้รับพิษเข้า แต่ด้วยว่าท่าป๋าช่วยชีวิตพวกนางไว้ หวงฝู่สือเมิ่งจึงได้ป้อนยาให้เขาอย่างไม่ลังเล เกรงว่าพิษของยาจะกลับมาอีก จึงได้ให้คนไปนำยามาเพิ่ม


 


 


ตอนนี้ดีแล้ว ได้ยามาแล้ว คนต้องปลอดภัยเป็นแน่ วันหน้าเพียงดูแลให้ดีเป็นพอ พวกหวงฝู่สือเมิ่งโล่งใจ ใจของอ๋องฉีและพระชายาก็กลับมาเป็นดังเดิม


 


 


เหลาจวี้เสียนเปิดทำการดังเดิม ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในเรือนหลัง จึงไม่มีผู้ใดพบเห็น


 


 


เมื่อใกล้เวลาเที่ยง คนกลุ่มหนึ่งมายังเหลาจวี้เสียน คนนำทัพใบหน้าอวบอ้วน พูดจาหยาบคาย “เถ้าแก่ ที่นี่แอบซ่อนคนบาดเจ็บเอาไว้หรือไม่ รีบส่งตัวมาดีกว่า มิเช่นนั้นข้าจะพังเหลาจวี้เสียนของพวกเจ้าเสีย!”


 


 


เถ้าแก่รีบเดินออกมาจากโต๊ะ ทำท่าเคารพ “นายท่าน นายท่าน พูดอะไรกัน ที่นี่ทำการค้าต้อนรับแขกเหรื่อ มีคนบาดเจ็บที่ใดกัน หากไม่เชื่อ เชิญท่านเข้ามาดูเลยขอรับ”

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 93

 

ผู้มาเยือนเปิดประตู เดินเข้าไปด้านใน


 


 


วันนี้ประตูเมืองปิด แขกที่มาเป็นคนในเมือง และพ่อค้าที่ถูกกักไว้ออกไปไม่ได้


 


 


เมื่อกวาดตามองโถงหลัก ไม่พบคนน่าสงสัย ผู้มาเยือนโบกมือ คนด้านหลังถือมีดดาบเดินขึ้นไปด้านบน ตึง ตึง ตึง เสียงฝีเท้าดังสนั่นจนทำเอาคนฟังรู้สึกใจสั่นกลัว


 


 


ผู้มาเยือนก้าวเท้าเดินตาม


 


 


เถ้าแก่รีบตรงเข้ามา “นายท่าน นายท่าน ด้านบนต่างเป็นแขกคนสำคัญ ท่านอย่าไปรบกวนพวกเขาเลย มิเช่นนั้น ข้าขึ้นไปรายงานพวกเขาก่อนได้หรือไม่”


 


 


“ไสหัวไป หากยังเกะกะพวกข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดหัวเจ้าทิ้งเสียเลย” ผู้มาเยือน ไม่เพียงหน้าตาดุร้าย แภมยังพูดจาดุร้ายอีกด้วย


 


 


เถ้าแก่ยกชายเสื้อขึ้นเดินตามไปด้านหลัง


 


 


ประตูห้องระดับสูงถูกเปิดออกทีละบาน แขกที่กำลังกินข้าวอยู่ในห้องร้องออกมาด้วยความตกใจ ผู้มาเยือนทำหูทวนลม ใบหน้าดุร้ายไร้ซึ่งอารมณ์


 


 


จากสุดปลายทางหนึ่งไปยังปลายทางหนึ่ง ได้ทำการตรวจค้นจนหมดแล้ว ไม่เว้นกระทั่งใต้โต๊ะ ไม่มีผู้ใด!


 


 


ผู้มาเยือนไม่ว่าอะไร เดินก้าวเท้ายาวขึ้นไปด้านบน ตรงไปยังเรือนหลัง


 


 


ลูกน้องของเขาเดินตามติดไปด้านหลัง


 


 


เถ้าแก่ร้องห้าม แล้วเดินตามไปด้านหลัง


 


 


เรือนหลังเป็นครัวและที่พักของคนงาน และยังเป็นที่ผูกม้าและรถม้า ตอนนี้ เป็นเวลาอาหาร ในครัวงานยุ่ง ทั้งพ่อครัว ทั้งผู้ช่วย ต่างทำงานกันเป็นพัลวัน ไม่ว่าจะเป็นต้มผัดแกงทอด ล้วนหอมอร่อยในพริบตา


 


 


ผู้มาเยือนบุกเข้าไป ทำคนตรงนั้นตกใจกันหมด ทุกคนหยุดงานตรงหน้า มองพวกเขาด้วยความตกใจ


 


 


ทำหน้าดุ ค้นหาทุกซอกทุกมุม ไม่พูดไม่จา ไม่พบคนน่าสงสัย จึงได้พาคนของตนกลับออกมา หรี่ตาลง มองพิจารณาเรือนหลัง คิดว่าที่ใดสามารถซ่อนคนไว้ได้อีก


 


 


ยกมือขึ้น ผู้มาเยือนชี้ไปที่ห้องทุกห้อง “ค้นให้ทั่ว อย่าให้คลาดสายตาแม้แต่น้อย”


 


 


ที่เหลาจวี้เสียน เปิดมาหลายปีแล้ว ยังคงมีแขกเหรื่อมากมาย ฮั่วเจี่ยเองเคยคิดโลภ อยากได้มาเป็นของตน ต่อมาได้ข่าวว่าพวกเขามีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง หากต้องเสียอำนาจของตนไปเพื่อแย่งชิงที่นี่ คงได้ไม่คุ้มเสีย จึงได้ละทิ้งความคิดนี้ไป แต่ว่า ในเมื่อมีเบื้องหลัง ที่นี่จะต้องมีที่ลับเป็นแน่ วันนี้จะต้องหาที่นั่นให้พบ หากที่นั่นซ่อนคนเอาไว้จริง ก็จับตัวมา ปิดเหลาจวี้เสียนเสีย หากไม่มี ก็ใส่ความให้มี สั่งปิดเหลาจวี้เสียนไป ต่อจากนี้ นายท่านจะได้ไม่ต้องอิจฉาที่พวกเขาค้าขายดีอีก


 


 


ผู้มาเยือนมีความคิดเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางถอดใจโดยง่าย ลูกน้องเข้าใจความหมายของเขา ค้นหาโดยละเอียด ไม่ปล่อยไปแม้กระทั่งหนูตัวเดียว แต่ไม่พบร่องรอยอะไรแม้แต่น้อย จึงได้มารายงาน


 


 


ไม่ได้เป็นดั่งที่หวังไว้ ก้อนเนื้อบนหน้าของผู้มาเยือนโกรธจนสั่น พูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ไป!”


 


 


พูดจบ ก็นำทัพเดินออกไป


 


 


เถ้าแก่ถอนใจยาวเหยียด


 


 


คิดไม่ถึงว่าผู้มาเยือนกลับหันหลังมากะทันหัน ราวกับมีเรื่องจะพูดกับตน จึงได้เห็นสีหน้าของเขาเข้าพอดี ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้ว่าอะไร หันหลังเดินออกไป


 


 


เถ้าแก่ตกใจกับท่าทางของเขา ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีจะเดินออกไปส่งพวกเขา


 


 


ผู้มาเยือนเดินออกไปทางโถงใหญ่ หันมามองคำว่า “เหลาจวี้เสียน”


 


 


บนป้ายชื่อที่ยังใหม่แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้ว มุมปากเผยรอยยิ้มน่ากลัวออกมา หันหลังเดินออกไป


 


 


เมื่อแน่ใจว่าพวกเขากลับไปแล้ว เถ้าแก่ไปยังที่ลับ เปิดห้องที่เต็มไปด้วยกองฟืน เดินเข้าไปด้านใน หอบกองฟืนที่กองอยู่เต็มพื้นขึ้นมา ประตูลับบานหนึ่งปรากฎออกมา


 


 


หยิบกุญแจที่พกติดตัวออกมา เปิดประตู เดินเข้าไปด้านในยังมีอีกห้องหนึ่งซ่อนอยู่ ที่แท้ที่นี่เป็นสนามฝึก ตั้งแต่หลายปีก่อนเมื่อองครักษ์ลับถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงไปแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดใช้งานอีก เถ้าแก่ทั้งหลายของเหลาจวี้เสียน ปรับเปลี่ยนสนามฝึกที่นี่ตามแบบที่หวงฝู่อี้เซวียนบอก ไว้ใช้ในยามคับขัน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้จริงๆ


 


 


อ๋องฉีและเหล่าองครักษ์ลับพร้อมทั้งคนของท่าป๋า รออยู่ห้องริมสุดทาง เถ้าแก่เดินเข้าไป คำนับอ๋องฉี “ท่านอ๋อง พวกเขาไปแล้ว พวกท่านออกมาได้แล้วขอรับ”


 


 


ในห้องเหล่านี้ ไม่เคยมีผู้ใดเคยพักมาก่อน อับชื้นยิ่งนัก ทนอยู่ด้านในอยู่ไม่ได้แม้เพียงหนึ่งก้านธูป อย่าว่าถึงหนึ่งชั่วยามเลย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าป๋าที่กำลังบาดเจ็บอยู่ด้วย


 


 


“แน่ใจหรือว่าไปแล้ว จะไม่กลับมาอีก” อ๋องฉีถามด้วยเสียงเบา


 


 


เถ้าแก่ชะงักไป นึกถึงรอยยิ้มของผู้มาเยือน เกิดความไม่แน่ใจขึ้น “เรื่องนั้น…”


 


 


“เพื่อความปลอดภัย พวกข้าอยู่ที่นี่ต่อดีกว่า หลีกเลี่ยงความปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น จากการคาดเดาของข้า ทางเมืองหลวงคงได้ข่าวแล้ว ถ้าไม่วันนี้ อย่างเร็วก็วันพรุ่ง เซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์น่าจะมาถึง”


 


 


เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นกับตน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวต้องมาด้วยตัวเองเป็นแน่ อ๋องฉีรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี


 


 


เมื่อได้ยินว่านายท่านจะมา เถ้าแก่ยินดียิ่งนัก ไม่คะยั้นคะยอ เดินกลับไปตามคำสั่ง ใส่กลอน ปิดให้มิด เดินออกไปด้านนอก


 


 


สามวันแล้ว ฮั่วเจี่ยส่งคนค้นหาทุกมุมในเมือง แต่ไม่ได้อะไรกลับมา ไม่เพียงหาร่องรอยของอ๋องฉีไม่พบ แต่กระทั่งหลิวอวี้เอ๋อร์ก็หายไปราวกับหายตัวได้ ไม่พบแม้แต่เส้นผมเส้น


 


 


ฮั่วเจี่ยเสียใจจนเป็นลมไปครั้งแล้วครั้งเล่า หมอที่ร้านยาถูกจับตัวมาจนหมด นั่งรออยู่ในจวน เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


 


ลูกชายและลูกสะใภ้พร้อมทั้งหลานๆ ของฮั่วเจี่ย โดยเฉพาะเด็กหญิง เมื่อได้ยินว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ถูกจับตัวไป ดีใจจนพูดไม่ออก บอกว่าฟ้ามีตา เห็นนางไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่รักพี่รักน้อง ถูกลงโทษแล้ว


 


 


ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา จูจือหมิงใช้ชีวิตราวคนไร้วิญญาณ นอนอยู่บนเตียง ไม่ขยับ ไม่เปิดประตู กระทั่งข้าวปลาก็ไม่ยอมกินแล้ว เวลาสั้นๆ เพียงสามวัน ก็ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด รอบดวงตาคล้ำลงไปมาก


 


 


ฮูหยินจูขวัญเสีย ใช้ผ้าเช็ดน้ำตาไม่หยุด พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านพี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่านพูดกับข้าสิ”


 


 


จูจือหมิงขยับปากเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา เรื่องจนบัดนี้ หากบอกพวกนาง มีแต่จะทำให้พวกเขาขวัญเสียกันยิ่งขึ้น สู้ให้ตนรับกรรมเองดีกว่า


 


 


ฮูหยินจูร่ำไห้ตาแดง สุดท้ายจนปัญญา พาลูกสาวและลูกชายคุกเข่าต่อหน้าเขา “ท่านพี่ ในเมื่อท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว พวกเราแม่ลูกจะไปกับท่าน”


 


 


จูจือหมิงแต่งกับฮูหยินจูตั้งแต่ก่อนที่ตนจะสอบจอหงวน ตอนนั้นที่บ้านยากไร้ นำของจากบ้านฮูหยินจูมาก็ไม่น้อย จูจือหมิงซาบซึ้งนัก เมื่อสอบได้ จึงไม่ทอดทิ้งเมียที่กัดก้อนเกลือกินมาด้วยกัน ไม่รับอนุเพิ่ม สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันดี


 


 


เมื่อเห็นท่าทางไม่อยากมีชีวิตต่อเช่นนี้ของเขา ใจของฮูหยินจูกลัวยิ่งนัก ต้องใช้วิธีนี้เพียงหวังให้เขาบอกมาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


 


จูจือหมิงหันมามองพวกนางอย่างช้าๆ เปิดปากพูด เสียงแหบแห้ง ถามคำถามที่ฟังไม่เข้าใจกับพวกนาง “ประตูเมืองเปิดแล้วหรือยัง”


 


 


ทุกคนไม่เข้าใจ แต่กลับส่ายหน้า ลูกชายคนโตพูดว่า “ยังขอรับ”


 


 


จูจือหมิงเก็บสายตากลับไป ปิดตาลงอย่างหมดหวัง ทีแรกอยากจะคิดว่าก่อนตาย จะส่งพวกนางแม่ลูกหนีไปก่อน มีเงินหลายแสนตำลึงจากฮั่วเจี่ย ต่อให้ไม่มีตนแล้ว ชีวิตพวกนางภายภาคหน้าก็ไม่ลำบาก แต่บัดนี้ คนของฮั่วเจี่ยปิดประตูเมืองไปแล้ว ไม่มีผู้ใดออกไปได้ หรือเข้ามาได้ ต่อให้เป็นเขาก็ตาม


 


 


ฮูหยินจูเห็นเขากลับไปสภาพดังเดิม ยิ่งสังหรณ์ใจไม่ดีมากขึ้นไปอีก อยู่กินกันมาหลายปี ไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว พร้อมทั้งเมิ่งชิงพาองครักษ์ลับเดินทางข้ามวันข้ามคืน พลบค่ำวันที่สาม ก็มาถึงประตูเมือง


 


 


สามวันแล้ว ยังจับตัวคนไม่ได้ ฮั่วเจี่ยโกรธถึงขีดสุด ก่นด่าตำหนิฮั่วต้าต่อหน้าทุกคนทุกวัน


 


 


ฮั่วต้าเสียศักดิ์ศรีไปจนสิ้น อารมณ์เสียเป็นที่สุด คนหลายร้อยคนเดินมาแต่ไกล เขาเห็นแล้ว เห็นพวกเขาเดินมาถึงประตูเมือง หยุดม้า เมื่อได้ยินคำของเมิ่งชิง ก็ตกใจยิ่งนัก หลายวันมานี้พวกเขาปิดประตูเมือง ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออก อย่างนั้นข่าวนี้แพร่ไปได้อย่างไร


 


 


ในใจคิดเช่นนี้ โบกมือสั่งให้ทุกคนเตรียมธนูให้พร้อม จากนั้นสั่งให้คนรีบไปรายงานฮั่วเจี่ย จึงได้พูดกับคนด้านล่างด้วยเสียงดังกังวานว่า “เมืองนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ท่านเจ้าเมืองยังหาคนร้ายไม่พบ จึงได้สั่งให้ปิดประตูเมือง ต่อให้ฝ่าบาทส่งพวกเจ้ามา ข้าก็ให้เจ้าเข้ามาไม่ได้”


 


 


“ไปเรียกจูจือหมิงมาสืบความที่นี่!” เมิ่งชิงกล่าวเสียงดัง


 


 


“ขอประทานอภัย เจ้านายของพวกเรามีการงานมากมาย ไม่มีเวลามาหาพวกเจ้าหรอก พวกเจ้ารอยู่ด้านนอกดีกว่า รอพวกเราจับตัวคนได้แล้ว จะเปิดประตูให้พวกเจ้าเอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนฟังจบ รู้ได้ทันทีว่ามีความผิดปกติ ควบม้าเข้ามาด้านหน้า ตะโกนรายงานสถานะของตน “ข้าเป็นซื่อจื่อของอ๋องฉี ตามท่านขุนนางมาลาดตระเวนที่นี่ตามพระประสงค์ของฝ่าบาท เจ้าจงรีบเปิดประตู ให้พวกเราเข้าไปด้านในเถอะ”


 


 


ฮั่วต้าเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ต้องการมองหวงฝู่อี้เซวียนให้ชัดเจน น่าเสียดายที่มืดเกินไป ทั้งยังไกล มองไม่ชัดเจน แต่ยังคงบังคับใจของตน ตอบกลับเสียงดังว่า “ขออภัยด้วย พวกข้าอยู่นี่ที่มานานหลายปี ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของซื่อจื่อมาก่อน ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นตัวจริงหรือไม่ อย่างไรรอเจ้านายของพวกเราเสร็จกิจแล้วค่อยว่ากันเถิด”


 


 


“พวกเจ้ายืนยันจะไม่เปิดประตูเช่นนั้นหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงเย็นชา


 


 


“ขออภัยด้วย พวกข้าต้องทำตามคำสั่ง จำใจต้องทำเช่นนี้จริงๆ”


 


 


เมื่อได้ยินความโอหังจากน้ำเสียงของเขา มองคนที่กำลังจ้องมองมาทางตนพร้อมธนู หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มน่ากลัวออกมา สั่งว่า “โจมตีกำแพงเมือง แล้วเปิดประตูออกเสีย!”

 

 

 


ตอนพิเศษ 1 ตอนที่ 94

 

พูดจบ ร่างกระโจนขึ้น ตรงไปยังกำแพงเมือง


 


 


เมิ่งชิงตามหลังไปทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้วิชาตัวเบา รออยู่ที่เดิม จนกว่าประตูเมืองจะเปิดให้ตนพาคนเข้าไปได้


 


 


องครักษ์ลับแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งตามหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นไปบนกำแพงเมือง อีกฝ่ายปกป้องเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านล่าง


 


 


ปฏิกิริยาของฮั่วต้าเร็วไม่น้อย เห็นหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นมา ออกคำสั่งว่า “ปล่อยธนู ยิงพวกมันให้ตาย”


 


 


ฝนธนูลอยลงมาหาพวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เงยหน้ามองพวกเขาด้วยความกังวล


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งชิงใช้กำลังภายในอย่างเต็มที่ ปล่อยหมัดออกมากลางอากาศ ศรธนูเปลี่ยนทิศทาง ฟุบๆ ๆ เสียบลงบนพื้นข้างกำแพงเมือง


 


 


พลธนูประหลาดใจ รีบหยิบลูกธนูออกมาจากด้านหลัง ยังต้องการยิงต่อไป หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งชิงได้มาถึงกำแพงเมืองแล้ว


 


 


เป้าหมายของเมิ่งชิงคือพลธนู ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนตรงไปโจมตีฮั่วต้า


 


 


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังอันแกร่งกล้าของเขา ฮั่วต้ารู้ดีว่าหากสู้กับเขาตนต้องพ่ายแพ้แน่ แต่อย่างไรยังคงกัดฟันแน่น ใช้วิชาป้องกันตัว


 


 


องครักษ์ลับกระโดดขึ้นมาบนกำแพงคนแล้วคนเล่า เริ่มการต่อสู้หากพูดให้ถูกคือ การการฆ่าอีกฝ่ายให้ราบได้เริ่มขึ้นแล้ว


 


 


เมิ่งชิงไม่ออมมือ ฆ่าทุกคนตรงหน้า ดาบอาบไปด้วยเลือด องครักษ์ลับก็เช่นกัน มีดเล่มสั้นในมือส่องแสงสะท้อน แทงทะลุอีกฝ่ายอย่างไม่ออมมือ


 


 


พลังของพวกเขาดุร้าย เหล่าทหารเริ่มเกิดความเกรงกลัว ฝีมือที่ใช้ต่อสู้เริ่มไม่เป็นท่า


 


 


นี่ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้เมิ่งชิงและเหล่าองครักษ์ลับ ไม่เกินหนึ่งก้านธูปทหารของฝ่ายตรงข้ามล้มลงนอนกองกับพื้นจนหมด เหล่าทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเห็นดังนั้น ตกใจกลัวเสียจนขาสั่น คุกเข่าลงที่พื้นเพื่อขอร้อง


 


 


ทหารทั่วไปและเหล่าทหารพวกนั้นแตกต่างกัน เมิ่งชิงจึงไม่ได้ออกคำส่งให้ฆ่าพวกเขา ชายตาไปมองพวกเขาเล็กน้อย จากนั้น สั่งองครักษ์ลับว่า “ไปเปิดประตูเมือง!”


 


 


องครักษ์ลับจำนวนหนึ่งกระโดดลงจากกำแพง เปิดประตูเมืองบานใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวควบม้าเข้ามา พูดว่า “อี้เซวียน จัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว ต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่แล้วแน่”


 


 


เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้น จึงได้ออกแรงเพิ่มขึ้น ฮั่วต้ารับมือไม่ไหว ถอยหลังไป


 


 


เมิ่งชิงถือดาบยืนอยู่อีกด้าน เตรียมช่วยหวงฝู่อี้เซวียนอีกแรง


 


 


พริบตาเดียวผ่านไปแล้วกว่าสามสิบกระบวนท่า ฮั่วต้าที่เป็นผู้เพลี่ยงพล้ำเริ่มทรงตัวไม่อยู่ ร่างหงายไปด้านหลัง เมิ่งชิงได้โอกาส ใช้ดาบเสียบทะลุผ่านหลังเขา จากนั้นดึงออก เลือดสดไหลสาดออกมา


 


 


ร่างใหญ่ของฮั่วต้าล้มลงบนพื้น กระแทกแรงเสียจนทำเอากำแพงเองสั่นไหว เบิกตาโพลงมองเมิ่งชิงด้วยความตกใจ


 


 


เมิ่งชิงไม่ให้กระทั่งโอกาสหายใจแก่เขา ใช้ดาบฟันคอของเขาขาดออกจากกัน รีบหันหลังจากไป “พี่เขย ไปกันเถิด ไม่รู้ว่าพวกเมิ่งเอ๋อร์เป็นเช่นไรแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้ชายตามองฮั่วต้า เดินลงจากกำแพงทันที


 


 


ฮั่วต้าเบิกตาโพลง มองทั้งสองเดินจากไป ตายตาไม่หลับ


 


 


พลทหารรักษาประตูกลัวจนใจสั่น ร่างกายอ่อนแรง ความสามารถของฮั่วต้าพวกเขารู้ดี เขาผู้เดียวสามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้ แต่คนเหล่านี้ กลับฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย น่ากลัวเหลือเกิน โชคดีที่เมื่อครู่พวกเขาไม่ได้ออกแรงห้ามปราม มิเช่นนั้น บัดนี้คงตายตามเขาไปแล้วเป็นแน่


 


 


เมื่อลงจากกำแพงแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนสั่งว่า “โจวอัน แบ่งคนเอาไว้เฝ้าประตู ห้ามมิให้ผู้ใดหนีออกไป”


 


 


พูดจบ กระโดดขึ้นหลังม้า พุ่งทะยานเข้าเมืองทันที


 


 


หลังโจวอันจัดการเรียบร้อยก็ได้ตามไปอย่างรวดเร็ว องครักษ์ลับร่วมสามสิบนายอยู่เฝ้าประตูเมือง


 


 


พวกเขาตรงเข้าเมืองไปยังที่ว่าการ เสียงดังสนั่นทำให้ชาวบ้านตรงนั้นตกใจ ต่างชะโงกหน้าออกมาดูด้วยความสงสัย เห็นคนกลุ่มหนึ่งควบม้าวิ่งเร็ว ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความน่ากลัว หัวที่ยื่นออกมาก็หดกลับไป รีบปิดประตูสั่งให้คนแก่และเด็กที่บ้านให้อยู่อย่างสงบ ประตูที่ว่าการยังคงปิดอยู่ ด้านในไม่มีเสียง ครานี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่เกรงใจ สั่งให้คนไปทำลายประตูหน้าที่ว่าการทันที จากนั้นก็บุกเข้าไปด้านใน


 


 


บ่าวรับใช้ที่เรือนหลังได้ยินเสียง จึงเดินออกมาดู เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวดุร้าย ก็ตกใจกลัวเสียจนสีหน้าซีดเผือด ถอยหลังออกมา “พวก พวกเจ้าเป็น ผู้ ผู้ใด”


 


 


“จูจือหมิงเล่า ให้เขาไสหัวมาหาข้า!” น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความคลั่งโกรธ ฝีเท้าไม่หยุดลง


 


 


บ่าวรับใช้ตกใจเสียงของเขา จึงได้ถอยหลังไปไม่หยุด “นาย นายท่าน…”


 


 


“ไสหัวไป อย่าขวางทางข้า!” เพียงได้ยินเสียงของเขา ฟันก็กระทบกันแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดกับเขาให้เสียเวลา เอ็ดเขา จากนั้นเดินตรงไปยังเรือนใน การตกแต่งภายในที่ว่าการไม่ต่างกันนัก พวกเขาเดินไปยังเรือนหลักด้วยความคุ้ยเคย


 


 


เมื่อเห็นพวกเขาเข้าไป บ่าวรับใช้ขาอ่อนแรง ทรุดนั่งลงบนพื้น ในใจหวังตะโกนร้องเสียงดัง แต่ลองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย


 


 


ภายในเรือนหลักสาวใช้และบ่าวรับใช้ที่รอรับใช้อยู่ เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนนำคนบุกเข้ามาด้านใน จึงได้ร้องออกมาด้วยความตกใจ ทำให้ผู้ที่อยู่ในเรือนพลอยตกใจไปด้วย


 


 


อดข้าวมาสามวันแล้ว จูจือหมิงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขยับร่าง ฮูหยินจูพาลูกทั้งสามนั่งคุกเข่าขอร้องอยู่ที่พื้น ขอร้องไปได้นานทีเดียว เมื่อได้ยินเสียงด้านนอก ทั้งสองตกใจเป็นอย่างมาก จูจือหมิงรู้ดีว่าคนจากเมืองหลวงได้เดินทางมาถึงแล้ว แต่ฮูหยินจูกำลังไม่พอใจที่มีผู้บุกรุกเข้ามาในที่ว่าการได้


 


 


กำลังจะยืนขึ้น เพื่อไปดูว่าเกิดเรื่องอะไร แต่คุกเข่าอยู่หลายชั่วยาม ขาชาไปหมด ลุกขึ้นมาหลายครั้งก็ยังลุกไม่ขึ้น


 


 


ด้านนอกหนาวเหน็บ อากาศของเดือนห้านี้ แล้วเสียงที่ราวกับสามารถคร่าชีวิตของทุกผู้ดังขึ้น “จูจือหมิง ไสหัวเจ้าออกมา! ข้าเมิ่งชิง ได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท มาตรวจสอบเหตุการณ์สะพานไม้ถล่ม”


 


 


ร่างของจูจือหมิงสะท้าน พูดกับฮูหยินจูด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เร็วเข้า พยุงข้าไปหาผู้แทนฝ่าบาท”


 


 


ฮูหยินจูยืนขึ้น ลูกทั้งสามยืนตาม เดินเข้ามาพร้อมกัน พยุงเขา


 


 


นอนเป็นเวลานาน เมื่อลุกขึ้น จึงได้หน้ามืด หัวหมุน จูจือหมิงไม่มีเวลาสนใจ ปิดตาลง ลืมตาขึ้น ลงจากเตียง ไม่ใส่แม้รองเท้า ให้คนเหล่านั้นพยุงตนออกไป คุกเข่าคำนับด้วยร่างโอนเอน “ข้าน้อยคารวะท่านผู้แทนพระองค์”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาหน้าตอบลง ฝีเท้าไร้เรี่ยวแรง เสมือนว่าสามารถปลิวไปตามลมได้ ในใจสงสัยขึ้น เมิ่งชิงถามว่า “ท่านเจ้าเมืองจู ท่านป่วยหนักหรือ”


 


 


“ขอขอบพระคุณที่ไต้เท้าที่ถามไถ่ขอรับ ข้าน้อยมิเป็นไร” จูจือหมิงหายใจยาว จากนั้นจึงได้ตอบ


 


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าครอบครัวท่านอ๋องอยู่ที่ใด” เสียงแปลกหน้าที่เย็นชาดังขึ้น


 


 


จูจือหมิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กำลังจะตอบ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนได้ชัดเจน จึงตกใจจนทำให้หงายหลังนั่งลงกับพื้น “ซื่อ ซื่อจื่อ”


 


 


“ท่านจูรู้จักข้าด้วยหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอัดอั้น


 


 


“ไม่ ไม่ ไม่รู้จักขอรับ” จูจือหมิงตอบเป็นพัลวัน พูดจบ ก็คิดได้ว่าไม่ควร จึงได้รีบพยักหน้าว่า “รู้จัก รู้จักขอรับ”


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็พูดกันตรงๆ เถิด ท่านเจ้าเมือง เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้าอยู่ที่ใด บอกมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”


 


 


จูจือหมิงตะเกียกตะกาย หวังจะคุกเข่าอีกครั้ง แต่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทำได้เพียงนั่งบนพื้น ตอบพร้อมหายใจหอบว่า “ข้าน้อยมิทราบขอรับ”


 


 


“หืมมมม?” ลากเสียงยาว เต็มไปด้วยน้ำเสียงแห่งความโหดร้าย ทำเอาผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นใจสั่น จูจือหมิงกลัวเสียจนเหงื่อออกเต็มมือ


 


 


“ท่านจูช่างเป็นขุนนางชั้นดีเสียจริง จวนอ๋องฉีของข้าเกิดเรื่องเข้า แต่ท่านกลับแอบอยู่ในจวนไม่ส่งเสียง เห็นทีคงจะสมกับคำที่ว่า ฝนตกไม่ทั่วฟ้า ไม่มีผู้ใดสามารถจัดการกับเจ้าได้งั้นรึ”


 


 


“ซื่อจื่ออภัยให้ข้าน้อยด้วย ซื่อจื่ออภัยให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อย…” เม็ดเหงื่อบนหัวของจูจือหมิงหยดลง ก้มลงขอร้อง ยังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไป เงยหน้าขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งชิงได้พาคนออกไปแล้ว


 


 


อ้าปากค้าง นั่งงุนงงอยู่ที่เดิม กระทั่งทุกคนเดินจากไปหมดแล้ว ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ใดแล้ว ฮูหยินจูจึงได้ตะโกนขึ้นว่า “ท่านพี่!”


 


 


จูจือหมิงได้สติกลับมา สั่งทันทีว่า “เร็วเข้า รีบพาข้ากลับเข้าห้อง ข้ามีเรื่องจะไหว้วานพวกเจ้า”


 


 


พวกเขาพาเขากลับเข้าห้อง หลังจูจือหมิงสูดหายใจเข้าไปครู่หนึ่ง จึงได้หยิบตั๋วเงินออกมาจากชายเสื้อ มอบให้ฮูหยิน “ฮูหยิน เร็วเข้า เก็บข้าวของจำเป็น รับตั๋วเงินนี่ไป พาลูกๆ หนีออกจากเมือง ไปไกลเท่าใดยิ่งดี”


 


 


“ท่านพี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ ท่านรีบบอกข้า ให้พวกข้าได้ทำใจไว้ก่อนได้หรือไม่” ฮูหยินจูพูดด้วยความรีบร้อน


 


 


“ข้าได้ทำผิดมหันต์ อาจต้องถูกส่งตัวกลับเมืองหลวง ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจถูกร่างแหไปด้วย อาศัยตอนนี่ที่ซื่อจื่อและผู้แทนพระองค์ยังไม่มีเวลาสนใจพวกเรา เจ้าพาลูกๆ หนีไป ยิ่งไปไกลเท่าใดยิ่งดี” พูดประโยคยาวเช่นนี้ในคราวเดียว จูจือหมิงก็ไอขึ้นมาอย่างหนัก


 


 


ฮูหยินจูเข้ามา หวังจะช่วยทุบหลังให้เขา แต่ถูกจูจือหมิงผลักออกอย่างแรง เอ็ดว่า “ฮูหยินผู้โง่เขลาเอ๋ย นี่มันเวลาใดแล้ว ยังร่ำไรอยู่อีก ยังไม่รีบพาลูกๆ หนีไปอีกหรือ!”


 


 


อยู่กินกันมาหลายสิบปี จูจือหมิงมิเคยทำเช่นนี้กับนาง คราวนี้ฮูหยินจูเข้าใจถ่องแท้แล้ว ว่าจูจือหมิงอาจทำความผิดร้ายแรงลงไป จึงได้กัดฟัน พูดว่า “ให้ลูกๆ หนีไป ข้าจะอยู่ที่นี่กับท่าน”


 


 


“บ้านของแม่เจ้า และบ้านของข้าไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจโดนจับได้ เจ้าจะให้พวกเขาทั้งสามไปที่ใด เชื่อข้า รีบหนีไป หนีได้สักคนก็ยังดี หากยังไม่ไป อาจไม่ทันแล้ว” จูจือหมิงเร่งรัด


 


 


ฮูหยินจูกัดฟัน มองเขา แล้วลังเลเล็กน้อย


 


 


จูจือหมิงหยิบแก้วขึ้นมาจากโต๊ะ โยนลงบนพื้น สั่งเสียงดังว่า “รีบไปสิ!”


 


 


ฮูหยินจูตกใจจนแทบร้องออกมา ลูกทั้งสามตกใจเสียจนตัวสั่น


 


 


จูจือหมิงไอเสียงดังอีกครั้ง


 


 


ฮูหยินจูไม่ได้เข้ามาช่วย เช็ดน้ำตา สั่งลูกทั้งสามว่า “คารวะลาท่านพ่อของเจ้าซะ!”


 


 


ลูกทั้งสามคุกเข่าลง ก้มคารวะ


 


 


จูจือหมิงโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง


 


 


ฮูหยินจูหันหลังเดินออกไป ลูกทั้งสามลุกขึ้น เดินตามออกไปด้านนอก


 


 


มองแผ่นหลังของพวกเขา ตาของจูจือหมิงมีน้ำตาแห่งความเสียดายไหลรินออกมา ผิดหนึ่งก้าว ผิดตลอดไป ตนโลภมาก รักตัวกลัวตาย เห็นแก่ได้ จนเกือบทำร้ายครอบครัวตนเองแล้ว


 


 


เขาวางแผนได้ดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อฮูหยินจูเก็บของเรียบร้อย นั่งรถม้าไปยังประตูเมืองนั้น ก็ถูกขวางเอาไว้ “ฮูหยินขอรับ ตัวแทนพระองค์มีคำสั่งว่ามิให้ผู้ใดเข้าออกเด็ดขาดขอรับ”


 


 


ฮูหยินจูจนปัญญา ทำได้เพียงกลับมายังที่ว่าการอีกครั้ง เมื่อเห็นคนทั้งสี่คนกลับมาอีกครั้ง จูจือหมิงจึงเป็นลมล้มไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)