ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 82-83

ตอนที่ 82 นี่เป็นการเตือน

 

ชายหนุ่มสีหน้าดูแคลน เอ่ยปากเสียงกร้าว “เจ้าคือเมิ่งเชี่ยนโยว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “ถูกต้อง ข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านคือ”


 


 


ชายหนุ่มยังคงพูดเสียงกร้าว “ข้าเป็นใครเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ที่ข้ามาขวางเจ้าในวันนี้ เพื่อจะเตือนเจ้า อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังกลับปล่อยตัวตามสบาย เอนตัวพิงรถม้า ยิ้มพูด “ข้ายุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว ไม่ทราบว่าท่านหมายถึงเรื่องไหน”


 


 


“เรื่องของร้านยาเต๋อเหริน” ชายหนุ่มพูดเสียงเ**้ยม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งไม่เข้าใจ “ท่านคงจะมาหาคนผิดแล้ว แม้ข้ากับนายท่านร้านยาเต๋อเหรินจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ข้าไม่เคยข้องเกี่ยวเรื่องของพวกเขามาก่อน การที่ท่านมาขวางข้าวันนี้เสียแรงเปล่าแล้ว”


 


 


เห็นนางแสร้งโง่ ทำไม่รู้ความ น้ำเสียงชายหนุ่มเริ่มเจือแววดุดัน “เจ้าไม่ต้องตีหน้าเซ่อ ระยะนี้เจ้าทำอะไรไว้เจ้าอยู่แก่ใจดี”


 


 


ดูท่าเรื่องที่ตนเองรักษาโรคให้เฝิงจิ้งเหวินจะเล็ดลอดออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจเล็กน้อย สีหน้ากลับเรียบเฉย “ท่านพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ท่านช่วยชี้แจงให้ละเอียดกว่านี้ได้หรือไม่”


 


 


ชายหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดอย่างบันดาลโทสะ “วันนี้ข้าเพียงมาเพื่อเตือนเจ้า ไม่อยากจะลงมือด้วย ดูท่าเจ้าจะเป็นพวกพูดดีไม่ชอบ จะบีบให้ข้าลงมือให้ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกตัวเองเบาๆ กวาดตามองชายฉกรรจ์สิบกว่าคนหน้ารถม้า แสร้งแสดงท่าทีหวาดกลัว “ข้าเป็นคนขี้ขลาด ท่านอย่าทำข้าตกใจเลย”


 


 


ชายหนุ่มพูดเสียงเ**้ยม “รู้จักกลัวก็ดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ใช่ ข้ากลัวมาก แต่ข้าก็มีนิสัยประหลาดหนึ่ง พอตกใจถึงขีพสุดก็จะคลุ้มคลั่ง พอคลุ้มคลั่งก็จะจำใครไม่ได้ เห็นใครก็ฆ่า”


 


 


ชายหนุ่มชะงักอึ้ง ร้องคำรามด้วยความโกรธ “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าต้องการจะเป็นศัตรูกับข้าจริงๆ ใช่ไหม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแคะหูอย่างเอื่อยเฉื่อย พูดว่า “เจ้าเป็นใคร ไยข้าต้องอยากเป็นศัตรูกับเจ้าด้วย”


 


 


ชายหนุ่มหรี่นัยน์ตา จ้องนางอย่างเคียดแค้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องกลับอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว


 


 


โดยรอบเงียบจนน่าสะพรึง


 


 


ชิงหลวนและจูหลีเตรียมพร้อมรับมือ


 


 


กัวเฟยกำบังเ**ยนแน่น


 


 


ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนหน้ารถม้าก็มองพวกเขาในท่าเตรียมพร้อม


 


 


บรรยากาศตึงเครียด รอเพียงสองคนออกคำสั่ง ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมรบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องกลับคนผู้นั้น กลับนึกชื่นชมในใจ คนตรงหน้านี้หนักแน่นกว่าเหวินซื่อหลายเท่าตัวนัก หากไม่เพราะเหวินซื่อได้เปรียบทั้งเวลา สถานที่และผู้คนสามปัจจัยนี้ คาดว่าตำแหน่งนายท่านร้านยาเต๋อเหรินคงตกเป็นของเขาไปนานแล้ว น่าเสียดายนัก สถานะต่ำด้อย จิตใจละโมบ ถึงทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้


 


 


คิดได้ดังนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยิ้มพูด ทลายบรรยากาศตึงเครียดนี้ว่า “ให้ข้าเดานะ เจ้ามีใบหน้าละม้ายนายท่านเหวินหลายส่วน คิดว่าเจ้าก็คือน้องชายร่วมบิดาต่างมารดา ที่ได้ลอบทำทุกวิถีทางเพื่อลอบฆ่าพี่ใหญ่ของตัวเองครั้งไม่ถ้วน ทว่าแผนการไม่สำเร็จ จนถูกนายท่านใหญ่เหวินขับออกจากสกุล”


 


 


ชายหนุ่มปรากฏสีหน้าตะลึงลาน พลันสลายไปโดยไว มองนางอย่างดุดัน ไม่เอ่ยปากพูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “ที่เจ้ามาขวางทางข้าในวันนี้ คิดว่าเพราะไม่กี่วันมานี้เหวินซื่อจัดระบบภายในจวนใหม่ เจ้าได้รับข่าวบางอย่าง สืบรู้มาว่าเกี่ยวพันกับข้า ถึงได้มาเตือนข้าสินะ”


 


 


ชายหนุ่มเบะปาก “ถึงว่าเจ้าสวะนั้นให้ความสำคัญเจ้าเพียงนี้ สมองใช้ได้ไม่เลว”


 


 


“เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะอย่างยั่วโมโหพูดว่า “ทว่าข้ากลับกังขา เจ้าถูกขับออกจากสกุลเหวิน ถูกลบชื่อออกจากบันทึกสกุล ต่อให้เจ้าทำร้ายเหวินซื่อและฮูหยินได้ เจ้าก็กลับมาเป็นนายท่านร้านยาเต๋อเหรินไม่ได้”


 


 


ชายหนุ่มตอบเสียงกร้าว “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมาเป็นกังวล ขอเพียงเจ้ารามือตอนนี้ ไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับเศษสวะนั่นอีก วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป และรับประกันว่าภายหน้าจะไม่มาหาเรื่องเจ้าอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สะทกสะท้าน ยังคงยิ้มตอบว่า “หากข้าไม่ยอมรามือเล่า”


 


 


ชายหนุ่มเค้นเสียงเ**้ยม “เช่นนั้นวันนี้ในปีหน้าก็คือวันเซ่นไหว้ของเจ้า”


 


 


“ปากดีนัก คนที่เคยพูดกับข้าเช่นนี้ล้วนไปพบพญามัจจุราชในปรโลกหมดแล้ว ไม่ทราบว่าวันนี้เจ้าอยากจะลองดูหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย


 


 


ชายหนุ่มถูกยั่วยุท้าทายซ้ำแล้วซ้ำเล่า บันดาลโทสะพูดว่า “ข้าเข้ามาเจรจาแต่โดยดีก่อน เมื่อเจ้าไม่รู้จักดี ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”


 


 


“เหอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงแล้วพูดว่า “คนที่ดีแต่ลอบกัดคนอื่นลับหลังรู้จักการเจรจาแต่โดยดีด้วย อย่าให้ข้าต้องหัวเราะจนฟันร่วงเลย” พลันเก็บคืนสีหน้า ร้องเรียก “ชิงหลวน! จูหลี!”


 


 


ทั้งสองคนขานรับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันนี้จงทำให้ข้านายของพวกเจ้าได้เห็น ว่าพวกเจ้ามีวรยุทธ์ร้ายกาจเพียงใด ไม่ต้องเกรงใจ”


 


 


ทั้งสองขานรับเสียงดังกังวาน ชักดาบอ่อนข้างเอวออกมา เดินไปหน้ารถม้า


 


 


ชายหนุ่มโบกมือ มีชายฉกรรจ์สองนายเดินออกมา คนที่เหลือถอยออกไปหลายก้าว


 


 


ชายหนุ่มสั่งคนทั้งสองเสียงกร้าว “ไม่ต้องออมมือ ให้พวกนางได้รู้สำนึก”


 


 


ชายฉกรรจ์รับคำ แสดงท่าตั้งรับ


 


 


นับแต่ที่พระชายาเอกมอบชิงหลวนและจูหลีให้นาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็อยากรู้มาตลอดว่าทั้งสองมีวรยุทธ์ลึกล้ำเพียงใด วันนี้เป็นโอกาสดี ให้พวกนางได้แสดงฝีมือ จึงส่งสายตาให้กัวเฟยผ่อนคลายลง เพียงเฝ้าดูอย่างห่างๆ ก็พอ


 


 


กัวเฟยนั่งบนคานรถด้านหน้า รับรู้ได้ถึงพลังของพวกชายฉกรรจ์ รู้ว่าวรยุทธ์ของพวกเขาด้อยกว่าทั้งสองสาวหนึ่งขั้น จึงยอมวางใจลง


 


 


ชิงหลวนและจูหลีออกมือพร้อมกัน ดาบในมือเข้าประหัตประหารตรงเข้าเอาชีวิตชายฉกรรจ์ทั้งสอง


 


 


ชายฉกรรจ์ก็ไม่อ่อนข้อให้ จับอาวุธในมือขวางไว้แล้วตอบโต้กลับทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่หลุบนัยน์ตา ดูท่าน้องชายเหวินซื่อจะลงแรงเพื่อจัดการเขาไปไม่น้อย แม้แต่ลูกน้องยังมีวรยุทธ์ร้ายกาจเช่นนี้


 


 


ทั้งสี่คนต่อสู้กัน


 


 


คนที่เหลือต่างกลั้นหายใจเฝ้าดูการออกท่าของพวกเขา หลังเสียงดาบกระทบกันครู่ใหญ่ ชิงหลวนและจูหลีก็ถอนกลับมาหน้ารถม้า


 


 


ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนยืนนิ่งอยู่กับที่ ในท่วงท่าถือดาบ


 


 


ชายคนนั้นขมวดคิ้ว ร้องคำราม “เศษสวะ ยืนเซ่อทำไม ยังไม่…”


 


 


เขายังพูดไม่ทันจบ ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนก็ล้มหน้าคว่ำ เกิดฝุ่นหนาฝุ้งตลบ ทำเอาคนโดยรอบกระแอมไอไม่หยุด


 


 


ชายคนนั้นตะลึงลาน ส่งสายตาให้ชายฉกรรจ์อีกคนเข้าไปตรวจดู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ไม่ต้องดูแล้ว พวกเขาตายไปแล้ว”


 


 


สิ้นเสียงนาง ก็มีเลือดซึมไหลออกมาจากลำคอของชายฉกรรจ์ทั้งสองคน


 


 


ชายหนุ่มมีสีหน้าเหยเกบิดเบี้ยว ยิ่งสะท้อนรังสีเ**้ยมอำมหิต จ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ อยากจะฉีกเนื้อแล้วกลืนกินนางทั้งเป็น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบอย่างไม่ยี่หระ “เมื่อสู้ไม่ได้ ก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้”


 


 


สิ้นเสียงนาง รังสีอำมหิตรอบตัวเขาก็ระเบิดออก เดินเค้นตรงเข้ามาหาเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ชิงหลวนและจูหลีกำดาบในมือแน่น จับจ้องการกระทำของชายตรงหน้า


 


 


กัวเฟยขยับตัวด้วยความว่องไว เข้าขวางตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่ไม่ขยับตัว สีหน้าไม่สะทกสะท้าน ยังคงยิ้มมองไปที่เขา


 


 


ในตอนที่ทุกคนคิดว่าชายหนุ่มจะสั่งคนเข้าโจมตีอีกครั้ง ชายคนนั้นกลับถอนคืนรังสีอำมหิตฉับพลัน แสยะยิ้มเ**้ยมพูดว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว เราต้องได้เจอกันอีก”


 


 


ว่าแล้วก็โบกมือ ชายสองคนเข้ามาแบกร่างชายฉกรรจ์ คนทั้งหมดถอยกลับเข้าเมือง ไม่นานก็เลือนหายไป


 


 


ชิงหลวน จูหลีและกัวเฟยถอนใจโล่งอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับให้นึกหวาดหวั่น ในสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มกลับคิดคำนวณถึงผลประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมความรู้สึกตัวเอง ไม่ให้ลูกน้องตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บอีก มีความลึกล้ำแยบยลกว่าเหวินซื่อหลายเท่าตัว ไม่แปลกที่เหวินซื่อจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ดูท่ากลับไปครั้งนี้จะต้องเตือนเหวินซื่อให้ระวังน้องชายที่รับมือได้ยากคนนี้


 


 


คิดได้ดังนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ออกคำสั่งกัวเฟย “ไปได้!”


 


 


กัวเฟยนั่งประจำที่ ตวัดบังเ**ยน ฟาดไปที่ตัวม้าเล็กน้อย ม้าวิ่งมุ่งหน้าไปยังบ้านสวนทันที


 


 


เหวินเปียวนำพวกพ้องของตัวเอง ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง แบ่งที่ดินเปล่าหลายร้อยหมู่เป็นพื้นที่ใหญ่เล็กต่างกันไป พี่น้องแต่ละคนคอยดูแลคนงานทำงานในพื้นที่ที่กำหนด ทำเช่นนี้ ไม่เพียงควบคุมง่าย ทั้งยังได้ประสิทธิผลมาก คนงานที่ทำงานในพื้นที่ของตัวเอง กลัวพื้นที่อื่นจะทำได้มากกว่าพื้นที่ของตน ทำให้นายหญิงคิดว่าพวกเขาแอบอู้ ต่างก้มหน้าทำงานอย่างถวายชีวิต


 


 


เห็นพวกเขาตั้งใจทำงาน พวกพี่น้องเหวินเปียวก็ไม่ยืนเฉย หยิบเครื่องมือร่วมแผ้วถางที่ดินด้วย ดังนั้นบริเวณบ้านสวน จึงมีแต่ภาพการทำงานอย่างแข็งขัน


 


 


เห็นกัวเฟยบังคับรถม้าเข้ามา เหวินเปียวรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาด้วยตัวเอง รีบเข้ามาต้อนรับ กระทั่งรถม้าจอดสนิท เหวินเปียวก็กล่าวถามอย่างนอบน้อมทันที “แม่นาง เหตุใดถึงมาด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไรให้คนส่งข่าวเข้ามาก็ได้ขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดลงจากรถม้า พูดว่า “ไม่ได้เข้ามาหลายวัน วันนี้จึงเข้ามาดู ทั้งมีหลายเรื่องจะบอกเจ้าด้วย”


 


 


“เช่นนั้นพวกเราไปคุยที่เรือนเถอะ” เหวินเปียวน้อมกล่าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามเขาไปที่เรือน ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกพวกนางว่า “ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไร พวกเจ้าไม่ต้องตามมา”


 


 


ชิงหลวนและจูหลีหยุดฝีเท้า


 


 


เหวินเปียวและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่เรือน


 


 


คนกินข้าวเยอะ ในเรือนรองรับได้ไม่พอ เหวินเปียวจึงคิดหาวิธี ขุดหลุมตั้งกระทะใบใหญ่บนที่โล่งนอกเรือน ตอนนี้หญิงสาวสิบกว่าคนกำลังขมีขมันทำกับข้าว พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้า ต่างทยอยทักทายนาง “นายหญิง!” “นายหญิง!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า ชะโงกมองดูเตา เห็นพวกนางทำตามที่ตนเองสั่ง ใส่เนื้อลงในผัดผักรวมจำนวนมาก จึงพยักหน้าพอใจ พูดว่า “คนงานกินดี ถึงจะมีแรง ไม่ต้องเสียดายเนื้อหมู”


 


 


พวกหญิงสาวมาจากครอบครัวแร้นแค้น มีชีวิตที่อัตคัด ตอนที่มาทำอาหารแรกๆ แม้บ่าวจะซื้อเนื้อมาให้จำนวนมาก พวกนางก็ไม่กล้าใส่มาก เพียงใส่ให้พอเป็นพิธี มีกลิ่นคาวหมูนิดหน่อย ครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา เห็นผัดผักมีแต่ผัก ใช้ตะหลิวคว้านหาเป็นนาน ถึงเจอเนื้อก้อนเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดว่าพวกนาง ทั้งสั่งอย่างเคร่งครัด แต่ละวันซื้อเนื้อหมูมาเท่าไหร่ให้ใส่ลงกระทะเท่านั้น ไม่เช่นนั้นต่อไปไม่ต้องมาทำกับข้าวอีก พวกหญิงสาวตกใจตัวสั่น รีบใส่เนื้อที่เหลือลงไปทั้งหมด หลายวันผ่านไป ถึงคุ้นเคยแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเหวินเปียวเดินเข้ามาในเรือน


 


 


เหวินเปียวยกเก้าอี้เข้ามา เชิญเมิ่งเชี่ยนโยวนั่ง ตัวเองยืนพินอบพิเทาอีกด้าน


 


 


หลายปีมานี้เหวินเปียวคุ้นชินเช่นนี้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็คร้านจะพูดกับเขา จึงพูดว่า “วันนี้มีสามเรื่องจะบอกเจ้า เรื่องแรก ข้าวโพดหลายสิบหมู่สุกงอมแล้ว วันพรุ่งเจ้าให้คนงานหยุดการแผ้วถาง ไปเด็ดข้าวโพด จากนั้นแบ่งข้าวโพดให้พวกเขาเท่าๆ กัน ให้พวกเขาขนกลับไปบ้าน”


 


 


เหวินเปียวร้องอุทาน “แม่นาง ข้าวโพดพวกนั้นตั้งหลายหมื่นจินนะขอรับ จะให้พวกเขาเอากลับไปเปล่าเช่นนี้หรือ”


 


 


“ข้าวโพดพวกนี้เป็นของเจ้าของคนก่อนทิ้งไว้ พวกเราซื้อบ้านสวนนี้ได้ในราคาถูกมากแล้ว แบ่งข้าวโพดพวกนี้ให้คนยากแค้นไปเถอะ จำไว้ว่า ตอนแบ่งข้าวโพดจะต้องทำให้เป็นระเบียบ ห้ามเกิดความวุ่นวายเด็ดขาด หากพวกเขาต้องการ ก็ให้แบ่งเอาฟางข้าวโพดกลับไปด้วย”


 


 


เหวินเปียวไม่พูดเตือนอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “เรื่องที่สอง เหวินเป้าและเหวินซงหายเกือบเป็นปกติแล้ว อีกไม่กี่วันขบวนรถม้าจะกลับไปลำเลียงมันฝรั่ง ให้พวกเขากลับไปพร้อมกัน เจ้าต้องกำชับพวกเขาให้ดี เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ห้ามแพร่งพรายให้คนที่บ้านรู้แม้แต่คำเดียว หากคนที่บ้านเค้นถาม ก็ให้บอกว่าที่นี่งานยุ่งมาก คนไม่พอใช้ พวกเขาจึงต้องอยู่ช่วยงาน”


 


 


เหวินเปียวพยักหน้ารับ


 


 


“เรื่องที่สาม และเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นายท่านฮั้วรู้เรื่องที่พี่น้องของเจ้ามาอยู่บ้านสวนแล้ว หลายวันก่อนเขาและคุณหนูฮั้วมาที่เรือนของข้า เอาพวกเขามาเป็นตัวประกัน แลกเปลี่ยนเจ้ากลับไป ข้าไม่ตกลง นายท่านฮั้วยังพอฟังความ แต่คุณหนูฮั้วดูจะคลั่งเจ้าตนเสียสติไปแล้ว อาจจะทำเรื่องเกินกว่าเหตุได้ ช่วงเวลานี้เจ้าและพวกพี่น้องคอยระวังตัวไว้ หากมีคนต้องสงสัยเข้ามา ให้จับกุมตัวไว้ก่อน ทั้งหลังเลิกงาน จงปิดประตูใหญ่ให้สนิท ห้ามออกไปไหนตามลำพังเด็ดขาด”


 


 


เหวินเปียวได้ฟังดังนั้น ให้ละอายใจ “แม่นาง ข้าสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ท่านอีกแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “เจ้าหาได้ผิดไม่ เห็นความอยุติธรรม ยื่นมือเข้าช่วย เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ใครจะไปคิดว่าจะมาเจอกับคนอย่างคุณหนูฮั้ว ถือว่าเป็นคราวซวยของเจ้า ขอเพียงเจ้าและนางไม่มีสัมพันธ์ใดต่อกัน เรื่องทุกอย่างข้าจะจัดการให้เอง”


 


 


เหวินเปียวรับคำเสียงแข็ง “แม่นางวางใจ ในสายตาข้า นางเป็นเพียงหญิงสาวแปลกหน้า ข้าจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดกับนางเด็ดขาด”


 


 


“เจ้ารู้จักวางตัวก็ดี อย่าให้ราคะครอบงำจนเสียสติ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เหวินเปียวเงยหน้า พูดขึงขัง “เหวินเปียวติดตามแม่นางมาหลายปี แม่นางจะต้องรู้ดีว่าข้าเป็นคนเยี่ยงไร ข้ามีภรรยาบุตรชายบุตรสาว ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าเพียงเตือนเจ้าเท่านั้น เจ้าไม่หลงใหลในกามราคะเป็นสิ่งดี เปลืองแรงข้าต้องลงมือจัดการเจ้าอีก”


 


 


เหวินเปียวกำหมัดสาบาน “แม่นางวางใจ จะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพูดว่า “เรื่องที่ต้องพูดข้าได้พูดหมดแล้ว ต่อไปงานที่บ้านสวนเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว ข้าจงจัดการให้เรียบร้อย สำหรับเรื่องของข้า ตอนนี้มีชิงหลวนและจูหลีอยู่ข้างกาย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงอีก”


 


 


แม้จะไม่รู้ประวัติที่มาของชิงหลวนและจูหลี แต่พวกนางเดินเหินไร้เส้นเสียง ลมหายใจหนักแน่น ดูก็รู้ว่ามีวรยุทธ์สูงกว่าตนเอง มีพวกนางคอยอยู่เคียงข้างเมิ่งเชี่ยนโยว เหวินเปียวรู้สึกวางใจได้เต็มที่ พูดรับคำ “ทราบแล้ว ข้าจะจัดการเรื่องทางนี้ให้เรียบร้อย แบ่งเบาภาระของแม่นางขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ออกไปจากเรือน


 


 


ถึงยามเที่ยงแล้ว คนงานแผ้วถางต่างพักมือ ทยอยกันเดินเข้ามา เดินต่อแถวเข้ามาหยิบชามรอรับอาหารอย่างมีระเบียบ พอเห็นเนื้อหมูในชาม แต่ละคนต่างแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น มองพวกเขา


 


 


คนของสำนักคุ้มภัยก็ตามพวกเขากลับมา พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ต่างเอ่ยปากทักทาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพยักหน้ารับ


 


 


เป็นครั้งแรกที่ชิงหลวนและจูหลีเห็นคนหลายร้อยชีวิตกินข้าวด้วยกัน ต่างถลึงตามองอย่างตื่นตาตื่นใจ มองดูพวกเขากินกันอย่างมูมมาม


 


 


พวกนางเป็นองครักษ์เงา ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดแต่เด็ก ความลำบากที่ได้รับคนทั่วไปไม่อาจคาดคิดได้ แต่เรื่องอาหารการกิน นายไม่เคยให้พวกเขาอดยาก มีแต่อาหารชั้นเลิศให้กินทุกวัน ดังนั้นพอเห็นปฏิกิริยาของคนหลายร้อยชีวิตตรงหน้า ก้มหน้าก้มตากินข้าว เพียงไม่กี่คำก็กินหมั่นโถวหนึ่งก้อนหมด ได้แต่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก


 


 


ปกติเหวินเปียวจะกินข้าวกับคนงานแผ้วถาง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ไป จึงหยั่งเชิงถาม “แม่นาง ข้าไปตักอาหารมาให้ท่านดีหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีธุระต้องทำ พวกเจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ กินเสร็จก็พักผ่อนแล้วค่อยทำงานต่อ”


 


 


เหวินเปียวพยักหน้ารับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้า ชิงหลวนและจูหลีคนหนึ่งนั่งด้านหน้า อีกคนนั่งด้านหลัง


 


 


พอทั้งสามคนนั่งดีแล้ว กัวเฟยก็บังคับรถม้าเดินทางกลับ


 


 


เหวินเปียวรอให้รถม้าจากไปไกล ถึงเดินมาหยิบชามด้านข้าง ต่อแถวรับอาหารเหมือนคนงานคนอื่นๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับกัวเฟย “วันนี้ที่พวกเราต้องขวัญผวา เพราะเหวินซื่อคนเดียว ไป พวกเราไปร้านยาเต๋อเหริน หลอกกินอาหารจากเขาสักมื้อ”

 

 

 


ตอนที่ 83 เสียงเคาะประตูกลางดึก

 

 


 


กัวเฟยรับคำอย่างเบิกบาน “ได้เลย แม่นาง นั่งให้ดีนะขอรับ!” ว่าแล้ว ก็สะบัดบังเ**ยน ม้าเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น


 


 


เข้ามาในเมือง เส้นทางเดินสะดวกขึ้น อีกทั้งยังเป็นช่วงเที่ยง ผู้คนไม่พลุกพล่าน กัวเฟยบังคับรถม้าได้เร็วขึ้น ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงหน้าร้านยาเต๋อเหริน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำอารมณ์ในรถม้าครู่หนึ่งถึงเดินลงมา ชักสีหน้าเดินเข้ามาในร้านยาเต๋อเหริน ถามพนักงานเข้าเวร “นายท่านของพวกเจ้าเล่า”


 


 


พนักงานเห็นนางชักสีหน้าถมึงทึงเข้ามา ตกใจรีบชี้มือชี้ไม้ไปด้านบน ลนลานพูดว่า “นายท่านกำลังกินอาหารอยู่ชั้นบน ข้าจะไปตามเขาลงมาขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยั้งเขา “ไม่ต้องแล้ว ข้าขึ้นไปเอง”


 


 


ว่าแล้ว ไม่รอพนักงานตอบกลับก็สาวเท้าเดิน “ตึงๆๆ” ขึ้นไป


 


 


ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลัง


 


 


พนักงานมองพวกนางเดินขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว ถึงได้สติกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้าไม่สู้ดี คงไม่ต่อยตีกับนายท่านดอกนะ พอคิดเช่นนี้ ก็มองไปชั้นบนอย่างเป็นห่วง เตรียมความพร้อมหากมีเสียงเอะอะด้านบน ตนเองจะได้วิ่งไปเรียกคนเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงชั้นบนก็ยกเท้าถีบประตูออก เดินตึงๆ เข้าไป


 


 


เหวินซื่อกำลังกินข้าว ตกใจสะดุ้งโหยง อมข้าวเต็มปาก มองนางอย่างตกตะลึง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้อง ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาหน้าโต๊ะ “ตึ่ง” กระแทกก้นนั่งลงไป จ้องมองเขาเขม็ง


 


 


เหวินซื่อตกใจจนสำลักข้าวในปาก ไอจนหน้าดำหน้าแดง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงพูด “สมน้ำหน้า เอาให้สำลักจนตายไปเลย”


 


 


เหวินซื่อไอจนน้ำตาไหลแล้ว ได้แต่ชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดไม่ออก


 


 


“หากเจ้ากล้ายกนิ้วชี้ข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหักนิ้วเจ้าเดี๋ยวนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงกร้าว


 


 


เหวินซื่อตกใจชักมือกลับทันที พยายามสะกดกลั้นการไอ ถามอย่างไม่เข้าใจ “ข้าไม่ได้ล่วงเกินเจ้า วันนี้เจ้าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ “ใครบอกว่าเจ้าไม่ได้ล่วงเกินข้า ข้าเกือบถูกคนฆ่าตายแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า”


 


 


“เฮ้ๆๆ” เหวินซื่อร้องอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่นะ เจ้าถูกคนตามฆ่าเพราะเจ้าไปล่วงเกินคนผู้นั้น เกี่ยวอะไรกับข้า เจ้าอย่าเอาเรื่องทุกอย่างมาโยนให้ข้าได้ไหม ข้าจะบอกให้นะ ที่นี่คือร้านยาเต๋อเหริน ข้าเป็นนายท่านของที่นี่ เจ้าช่วยไว้หน้าข้าบ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องจิ๊ๆ “ปากดีนักนะ ยังมีหน้าพูดว่านายท่านร้านยาเต๋อเหริน อีกไม่นานก็จะไม่ใช่แล้ว!”


 


 


เหวินซื่อชะโงกหน้าเข้าหานาง พินิจมองนางถามอย่างกังขา “เจ้าไม่ได้ไข้สูงดอกนะ เหตุใดถึงพูดจาเลอะเทอะ เหตุใดไม่นานข้าถึงจะไม่ใช่นายท่านร้านยาเต๋อเหริน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวช้อนตาชำเลืองมองเขา พูดว่า “คนโง่อย่างเจ้า แม้แต่อีกครึ่งของน้องชายตัวเองก็ยังไม่รู้ เจ้าคิดว่าจะเป็นนายท่านไปได้อีกนานแค่ไหน”


 


 


เหวินซื่อเข้าใจความหมายของนางพลัน ขมวดคิ้วพูด “เจ้าเจอเขาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด มองเขาอย่างเคืองขุ่น


 


 


เหวินซื่อรู้แจ้ง ตกใจร้องถาม “วันนี้คนที่ตามฆ่าเจ้าก็คือเขา”


 


 


“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงเย็น


 


 


เหวินซื่อรีบลุกขึ้นเดินออกมาจากโต๊ะ มองประเมินนางขึ้นลง ถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ


 


 


เหวินซื่อวางใจลง ถามนางเป็นพรวน “เจ้าไปเจอเขาที่ไหน ตอนนี้เขาเป็นอย่างไร เหตุใดเขาต้องตามฆ่าเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยตัวตามสบาย ทิ้งตัวเอนพนักพิง ตอบเขาว่า “เส้นทางไปบ้านสวนนอกเมืองของข้า ดูท่าจะสุขสบายดี สำหรับสาเหตุที่เขาตามฆ่าข้า ข้าที่ต้องถามเจ้า”


 


 


“ถามข้า” เหวินซื่อชี้จมูกตัวเอง “ข้าไม่ได้เจอเขามาหลายปีแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขามาตามฆ่าเจ้าทำไม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตัวลุกพรวด


 


 


เหวินซื่อตกใจก้าวถอยหลัง ร้องถามเสียงหลง “เจ้า เจ้าจะทำอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด ประเมินมองเขาขึ้นลง เดินวนรอบเขาสองรอบ


 


 


เหวินซื่อถูกมองจนขนลุกชูชัน ถามตะกุกตะกักอย่างร้อนตัว “เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่ไว้หน้า “ข้ามองว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ถึงป่านนี้ได้อย่างไร”


 


 


เหวินซื่อหัวร้อนแล้ว พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ยายตัวดี พูดดีๆ ไม่ได้หรือไง เจ้าพูดสองแง่สามง่ามเช่นนี้ ข้าจะโมโหเจ้าแล้วนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก กลับไปนั่งเก้าอี้


 


 


เหวินซื่อก็เดินเข้ามาหลังโต๊ะ นั่งลงถาม “เกิดเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าพูดให้ชัดเจนหน่อย”


 


 


“เจ้าบอกให้พูดข้าก็ต้องพูดหรือ จะบอกให้นะ ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากพูด”


 


 


“เจ้า…” เหวินซื่อสะอึกกึก อยากจะระเบิดอารมณ์ก็ไม่กล้า จำต้องถามเสียงอ่อน “ต้องให้ทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมพูด”


 


 


“ข้าหิวแล้ว กินอิ่มถึงจะมีแรงพูด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


“เรื่องนี้ไม่ยาก ข้าจะสั่งพนักงานยกสำรับขึ้นมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้” เหวินซื่อพูดจบก็ลุกขึ้นหมายจะออกไปสั่งพนักงาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “ข้าอยากกินอาหารที่เหลาจวี้เสียน”


 


 


เหวินซื่อเป็นคนใจร้อน อยากรู้ว่าทำไมน้องชายต่างมารดาของตนต้องตามไล่ฆ่านาง ได้ยินดังนั้นร้องโวยวายลั่น “แม่เจ้าประคุณทูนหัว เจ้าถูไถกินไปก่อน แล้วรีบบอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้น เอาไว้มื้อค่ำ ข้าจะเลี้ยงเจ้าที่เหลาจวี้เสียนให้อิ่มหนำเทียว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ได้ ไม่เพียงข้า สาวใช้ทั้งสองคนต้องปะทะฝีมือกับพวกเขา เหนื่อยล้าไปหมด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกินเสริมให้อิ่มก่อน”


 


 


เหวินซื่อกระทืบเท้ารัว “มื้อค่ำ มื้อค่ำได้หรือไม่ ตอนค่ำพวกเจ้าอยากกินสั่งได้ตามใจชอบ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา ส่ายหน้าเอื่อย


 


 


เหวินซื่อทั้งโมโห ทั้งทำอะไรไม่ได้ จำต้องพูดว่า “ได้ๆๆ ข้าจะสั่งพนักงานไปเหลาจวี้เสียนเดี๋ยวนี้” พูดจบก็สาวเท้าเดินมาเปิดประตู เปล่งเสียงร้องไปชั้นล่าง “มีใครอยู่บ้าง!”


 


 


พนักงานเข้าเวรที่คอยฟังความเคลื่อนไหวชั้นบน ได้ยินเสียงเหวินซื่อ รีบวิ่งขึ้นมาถามทันที “นายท่าน มีอะไรเรียกใช้ขอรับ”


 


 


เหวินซื่อสั่งเขา “รีบไปเหลาจวี้เสียน บอกพวกเขาทำอาหารหนึ่งโต๊ะให้เจ้านำกลับมา”


 


 


พนักงานรับคำวิ่งลงไปเบิกเงินกับฝ่ายบัญชี หยิบปิ่นโตหวาย วิ่งไปเหลาจวี้เสียนทันที


 


 


สั่งการเสร็จ เหวินซื่อก็ปิดประตูเดินกลับมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พักใหญ่กว่าพนักงานจะกลับมา เจ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังก่อนได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเกียจคร้าน พ่นออกมาหนึ่งคำ “หิว”


 


 


เหวินซื่อโมโหกรอกตาขาวใส่ กลับทำอะไรนางไม่ได้ เดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปนั่งบนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบขำ พูดว่า “เจ้าบอกข้ามาก่อน ที่ผ่านมาเจ้าสืบได้ความอะไรบ้าง”


 


 


พูดถึงเรื่องนี้ เหวินซื่อเก็บคืนอาการ ขมวดคิ้วพูดว่า “หลายวันที่ผ่านมา ข้าสืบไม่พบผู้ต้องสงสัยใดในเรือนของข้าสักคน”


 


 


“โง่!” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่ได้ดั่งใจ


 


 


เหวินซื่อสะอึกกึก กำลังจะระเบิดอารมณ์ คำพูดต่อมาของเมิ่งเชี่ยนโยวขวางไฟโทสะของเขาให้ย้อนกลับ “น้องชายของเจ้ารู้เรื่องที่ข้ารักษาโรคให้อาซ้อแล้ว ที่วันนี้เขามาขวางรถม้าก็เพื่อขู่เตือนข้า อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่ตายดี”


 


 


เหวินซื่อทะลึ่งพรวด “จะเป็นไปได้อย่างไร เรื่องที่เจ้ารักษาโรคให้เหวินเอ๋อร์ แม้แต่ท่านปู่ข้ายังไม่บอก เขาจะรู้ได้อย่างไร”


 


 


“เรื่องนี้ต้องถามเจ้า ช่วงที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรอยู่กันแน่ อีกอย่าง นับแต่ที่น้องชายเจ้าถูกขับออกไป เขาไปอยู่ที่ไหน ไปทำอะไร เจ้าสืบรู้แล้วหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วถาม


 


 


เหวินซื่อที่ยังตกอยู่ในภวังค์ได้แต่ส่ายหน้า “ยังเลย นับแต่ที่เขาถูกขับออกจากสกุล ก็ไม่มีการติดต่อกับคนในสกุลอีก คนที่ข้าส่งไปก็ยังไม่รู้ที่อยู่ของเขา”


 


 


ฟังคำพูดเขาจบ เมิ่งเชี่ยนโยวเอามือก่ายหน้าผาก “ข้าสงสัยจริงๆ ที่ผ่านมาเจ้ามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร หรือแม่เลี้ยงและน้องชายคิดว่าเจ้าไร้พิษสง จึงไม่ลงมือกับเจ้า ปล่อยเจ้าให้มีชีวิตอยู่มาถึงป่านนี้”


 


 


พูดจบ ไม่รอให้เหวินซื่อตอบก็พูดขึ้นว่า “ข้าดวงซวยแท้ๆ เหตุใดถึงมีเพื่อนเช่นนี้ได้ ไม่เพียงไม่มีสมอง ยังเป็นคนดีผิดที่ผิดทางอีก”


 


 


“เจ้า…” เหวินซื่อสะอึกจนพูดต่อไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแวดใส่เขา “เจ้าอะไรเจ้า ตอนนั้นข้าก็บอกเจ้าแล้ว อย่าได้ใจอ่อน ต้องถอนรากถอนโคน ไม่เช่นนั้นจะย้อนกลับมาแว้งกัดได้ เจ้าก็ไม่เชื่อ ใจอ่อนปล่อยเขาไป ตอนนี้ดีแล้ว ไม่เพียงอาซ้อต้องตกอยู่ในอันตราย แม้แต่ข้าก็พลอยติดร่างแหไปด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดล้วนเป็นความจริง เหวินซื่อไม่อาจโต้แย้ง หย่อนก้นนั่งตามเดิม พูดงึมๆ งำๆ “ข้าก็แค่คิดว่าอย่างไรเขาก็เป็นน้องชายข้า ทำใจห่ำหั่นกันเองไม่ลง”


 


 


“เจ้าทำถูกต้องที่สุดแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถากถางเขา “ไม่เช่นนั้นนายท่านใหญ่จะเสียหลานไปได้อย่างไร ต่อไปเจ้าจะสูญเสียตำแหน่งนายท่านร้านยาเต๋อเหรินได้อย่างไร”


 


 


เหวินซื่อพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิงแล้ว


 


 


ชิงหลวนและจูหลีที่นอกประตูหันหน้าสบตากัน ต่างเห็นความพิลึกพิลั่นในสายตากันและกัน นายท่านเหวินผู้นี้เป็นบุคคลมีหน้ามีตาของเมืองหลวง เหตุใดถึงยอมให้นายท่านตำหนิว่าได้ถึงเช่นนี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเหวินซื่อไม่พูด จึงไม่ปริปากอีก


 


 


พนักงานหิ้วปิ่นโตหวายขึ้นมา เดินมาเคาะที่หน้าประตู “นายท่าน ซื้ออาหารกลับมาแล้วขอรับ”


 


 


“เอาเข้ามาได้” เสียงเหวินซื่อดังลอยออกมา


 


 


พนักงานเปิดประตูเดินเข้าไป จัดวางสำรับอาหารไว้บนโต๊ะ พูดอย่างอ่อนน้อม “นายท่าน แม่นางเมิ่ง ทั้งหมดนี้คืออาหารขึ้นชื่อของเหลาจวี้เสียนของรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอบใจมาก!”


 


 


พนักงานรีบโบกมือ “แม่นางเกรงใจแล้วขอรับ”


 


 


“ออกไปเถอะ มีอะไรข้าค่อยเรียกเจ้า” เหวินซื่อบอกเขา


 


 


พนักงานรับคำ เก็บปิ่นโตหวายเดินออกไป


 


 


เหวินซื่อกำลังจะลุกขึ้นเดินมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็เปล่งเสียงสั่งออกไปด้านนอก “ชิงหลวน ไปตามกัวเฟยมากินข้าวด้วยกัน ให้พนักงานช่วยดูแลรถม้าแทน กินข้าวเสร็จ พวกเราจะกลับทันที”


 


 


เหวินซื่อชะงักเล็กน้อย นั่งกลับลงไปอย่างเก่า


 


 


ชิงหลวนลงมาตามกัวเฟยขึ้นไป ทั้งสามเดินเข้ามาในห้อง ทำความเคารพเหวินซื่อ นั่งลงร่วมกินข้าวพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ปกติหากหวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวก็จะกินข้าวร่วมกับคนในบ้าน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม


 


 


เหวินซื่อมองดูพวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วมองดูอาหารเต็มโต๊ะตรงหน้า กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แอบงึมงำในใจว่าเมิ่งเชี่ยนโยวคนขี้งก กินอาหารที่ตนเองจ่ายเงิน กลับไม่ให้เขาร่วมวงกินด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่ได้ยินเสียงในใจเขา พอกินข้าวจนอิ่มหนำ ดื่มชาที่พนักงานยกมาให้เสร็จ ก็พูดกับเหวินซื่อว่า “เมื่อน้องชายเจ้ารู้เรื่องที่ข้ารักษาโรคให้อาซ้อ จักต้องไม่ยอมเลิกรา เจ้าจะต้องเร่งสืบความ กำจัดเขาโดยไว ไม่เช่นนั้นไม่เพียงอาซ้อที่จะเป็นอันตราย แม้แต่เจ้าก็จะเดือดร้อนไปด้วย”


 


 


เหวินซื่อพยักหน้า สีหน้าหนักแน่น “ข้ารู้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปเตรียมการทันที”


 


 


“เจ้าคิดจะจัดการเช่นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


เหวินซื่อตอบว่า “กลับไปข้าจะไปหาท่านปู่ บอกเรื่องที่เกิดขึ้นหลายวันนี้กับเขา ให้เขาส่งคนไปจัดการ”


 


 


“รู้จักยืมแรงคนอื่น นับว่ายังไม่โง่มาก แต่ว่า เรื่องนี้ยิ่งจัดการได้เร็วยิ่งดี อาการป่วยของอาซ้อรักษาจนเกือบหายแล้ว อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะมีบุตรได้ อย่าให้เกิดเรื่องในช่วงเวลาสำคัญนี้อีก เอาอย่างนี้ ข้าจะกลับไปหารือกับอี้เซวียน ขอยืมคนของพวกเรามาให้เจ้า ข้าจะให้พวกเขาตรงมาหาเจ้าที่ร้านยาเต๋อเหรินเอง”


 


 


เหวินซื่อพยักหน้า แย้มยิ้มพูดว่า “ขอบใจ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า ตอนที่หมอชราจะสิ้นใจ ข้าได้รับปากเขา จะปกป้องเจ้าสุดความสามารถ ตอนนี้ข้าเพียงทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ก็เท่านั้น”


 


 


เอ่ยถึงหมอชรา รอยยิ้มบนใบหน้าเหวินซื่อพลันจางหาย


 


 


ที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นลงมาชั้นล่าง


 


 


เหวินซื่อออกมาส่งนางถึงชั้นล่าง มองนางนั่งรถม้าจากไป หันมาสั่งพนักงานบังคับรถม้าออกมา ขึ้นรถม้ากลับไปปรึกษากับนายท่านใหญ่ที่บ้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้าน เห็นว่าวันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เข้ามา ได้โอกาสพักผ่อน จึงเรียกชิงหลวน จูหลานและสาวใช้อีกสามคนเข้ามาช่วยบดสมุนไพร ช่วงที่ผ่านมายุ่งตัวเป็นเกลียว ไม่ได้ปรุงยารักษารอยแผลเป็นนานแล้ว วันนี้มีเวลาฉวยโอกาสนี้ปรุงออกมามากหน่อย เลี่ยงไม่ให้ภายหน้ายุ่งมากจนไม่มีสินค้าส่งให้ร้านยาเต๋อเหรินอีก


 


 


ตอนบ่ายคนทั้งหมดพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกอย่างสนุกสนาน


 


 


กระทั่งยามค่ำ พอเมิ่งฉีกลับมา กินข้าวเย็นเสร็จ สองพี่น้องพูดคุยกันเรื่องโรงงานครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงกลับมานอนที่ห้องตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่สะลึมสะลือไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ เสียงเคาะประตูเร่งเร้าดังแว่วมา ทำเอานางลืมตาตื่น ลุกพรวดขึ้นฉับพลัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)