ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 81-86
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 81 พาท่านเจ้าเมือ...
บ่าวตอบรับ แล้วออกไปทันที
รอยยิ้มของฮั่วเจี่ยก็หายไป ตนเป็นคนสั่งทำลายสะพานแท้ๆ พอคนบนสะพานเยอะเข้า ก็ถล่มลงมาเองเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว ผู้คนตกน้ำ แต่ตอนนี้ อวี้เอ๋อร์ไม่พบศพของคนพวกนั้น ก็แสดงว่าพวกเขายังปลอดภัยดี เช่นนี้ก็แย่ล่ะสิ ท่านอ๋องฉีเป็นเสด็จอาแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นเชื้อพระวงศ์ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้ เขาไม่อยู่เฉยแน่ อีกทั้งคนก็ตายไปไม่น้อย เขาต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่
คิดได้ดังนั้น ก็นึกเสียใจที่ตนทำการวู่วามลงไป ถอนหายใจออกมา แล้วถามหลิวอวี้เอ๋อร์ที่ขึ้นรถม้าไปแล้วว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขาว่ายน้ำกันไม่เป็นน่ะ”
หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้า แล้วพูดด้วยความมั่นใจ “ท่านอ๋องฉีข้าไม่รู้ แต่พระชายาฉีกับนังสองคนนั่นน่ะ ว่ายไม่เป็นแน่นอนเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น ปีที่แล้วที่โดนข้าเอาเรือชนจนตกลงไปในทะเลสาบ นางก็เกือบจะจมน้ำตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนพระชายาฉี โตมาในเมืองหลวง เป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ ยิ่งว่ายไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ”
ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วเป็นปม โบกมือ “อย่าพูดมากไป กลับจวนก่อนค่อยว่ากัน”
เห็นฮั่วเจี่ยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่กล้าพูดต่อ นั่งรถม้ากลับจวนฮั่วไป
องครักษ์ลับรับคำสั่งจากท่านอ๋องฉี ให้มาแจ้งความที่ที่ว่าการเจ้าเมือง แต่ไม่มีใครอยู่เลย พอได้ถามถึงรู้ว่า ท่านเจ้าเมืองพาลูกน้องไปช่วยคนที่ริมแม่น้ำ เลยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตามไปที่ริมแม่น้ำ
ฮั่วเจี่ยไปแล้ว ท่านเจ้าเมืองออกคำสั่งให้ลูกน้องดำลงไปในแม่น้ำ ดูว่ามีศพจมลงไปหรือไม่ แล้วสั่งลูกน้องอีกส่วนหนึ่งให้จดบันทึกชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บ ยุ่งเสียจนเหงื่อแตกเต็มตัวไปหมด
องครักษ์ลับยืนดูอยู่เงียบๆ รอให้เขายุ่งเสร็จก่อน ในขณะที่เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ ก็เดินเข้าไปหาเขา ทำมือคารวะ “ท่านใต้เท้า!”
เจ้าเมืองที่กำลังเช็ดเหงื่ออยู่ก็หยุด มองไปที่เขาแล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร มีเรื่องอันใด”
“ข้ามาแจ้งความขอรับ หลังจากที่เจ้านายของพวกเราตกน้ำไป ก็สั่งให้พวกเราไปตรวจสอบดู พบว่ามีร่องรอยของการทำลายสะพานขอรับ”
ท่านเจ้าเมืองก็ชะงัก เอาผ้าเช็ดหน้าเก็บเข้าชายเสื้อ แล้วมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าหมายความว่าสะพานนี้มีคนจงใจทำให้ถล่มงั้นรึ”
องครักษ์ลับพยักหน้า “ไม่แน่ชัดขอรับ เจ้านายของข้าหวังว่าท่านใต้เท้าจะสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัด”
“เหลวไหล!” สีหน้าของท่านเจ้าเมืองมีความโกรธเล็กน้อย “พื้นที่ที่ข้าดูแล ทุกคนล้วนปฏิบัติตามกฎระเบียบ อยู่กันอย่างผาสุข จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร”
“ท่านใต้เท้า… …”
องครักษ์ลับยังไม่ทันพูด เจ้าเมืองก็พูดแทรกขึ้นก่อนว่า
“เหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนที่อื่น ข้าก็จะไม่เอาความ แต่หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหล ยุแยงตะแกรงรั่วเช่นนี้ล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ จะจับเจ้าเข้าคุกไปเสีย”
องครักษ์ลับฟังแต่คำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมาหลายปี นิสัยจึงมีความเย่อหยิ่งอยู่ไม่น้อย แต่กลับโดนเจ้าเมืองตะวาดเช่นนี้จึงรู้สึกโกรธ ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องฉีเป็นคนส่งเขามาจัดการเรื่องนี้ ถ้าหากจัดการไม่ได้ก็เสียหน้าอีก เลยพูดด้วยน้ำเสียงกริ้วโกรธ “ถ้าหากท่านไม่เชื่อ ข้าจะพาท่านไปดูด้วยตัวเอง”
เชื่อ! ทำไมจะไม่เชื่อ! พอองครักษ์ลับพูดจบ ท่านเจ้าเมืองก็เชื่อแล้ว ก็เพราะเชื่อไง เขาจึงรู้สึกวูบวาบๆ ผลงานของตนดีมาตลอด กรมข้าราชการพลเรือนส่งข่าวมาบอกแล้วว่าหากอยู่ครบวาระ เขามีสิทธิ์ได้เลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นไปอีกได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นตอนนี้ ถ้าหากว่าเรื่องสะพานเป็นอุบัติเหตุ เขาก็แค่รับโทษข้อหาตรวจสอบไม่รอบคอบ ไม่ได้ให้ลูกน้องมาซ่อมแซมได้ทันเวลา แต่ถ้าหากมีคนทำอะไรจริงๆ โทษของเขาก็หนักขึ้นน่ะสิ เพราะแสดงว่าผลงานที่ผ่านมาของเขานั้นจอมปลอม ในพื้นที่ๆ เขาดูแลไม่ได้เป็นอย่างที่รายงานขึ้นไป ว่าชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาไม่อาจให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
เลยออกคำสั่ง “เจ้าหน้าที่ มาเอาตัวคนยุแยงคนนี้ไปขังคุก รอพิจารณาคดี”
เจ้าหน้าที่ตอบรับ แล้วพุ่งเข้ามา
วิชาการต่อสู้ขององครักษ์ลับเหนือกว่าพวกเขามาก ไม่กี่กระบวนท่าก็ทำเขาล้มได้ง่ายๆ แต่หากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับเปิดศึกกับขุนนางราชสำนัก นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควร ได้เพียงเอามือไขว้หลังไว้ พูดว่า “ไม่รบกวนท่านใต้เท้าแล้วล่ะ ข้าน้อยเดินเองได้ และหวังว่าท่านจะไม่เสียใจในการกระทำของท่านในวันนี้”
ในวันปกติองครักษ์ลับก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่อารมณ์ตอนนี้ที่ปล่อยออกมานั้น ทำให้แตกต่างจากคนอื่นอยู่ดี
ท่านเจ้าเมืองกลอกตาไปมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่มีคนอยู่มากมาย ออกคำสั่งไปแล้ว หากถอนคำสั่งด้วยคำพูดของเขาแค่ไม่กี่คำ ด้วยความที่ตำแหน่งมันค้ำคอ จึงโบกมือ “จับตัวมัน!”
เจ้าหน้าที่เข้ามาจะจับเขา
พอองครักษ์ลับจะโดนจับ ก็พูดออกมาด้วยความดุดันว่า “ไม่ต้อง ข้าเดินเองได้”
เจ้าหน้าที่ของท่านเจ้าเมืองได้ยินเพียงเท่านั้นก็ใจสั่น มองหน้ากัน ต่างก็ไม่กล้าเดินต่อ
ส่วนท่านเจ้าเมืองเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว โบกมือ “เอาตัวไป”
เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนก็กุมตัวองครักษ์ลับไป
เห็นองครักษ์ลับไม่ได้ขัดขืน ยอมให้กุมตัวไปแต่โดยดี ท่านเจ้าเมืองก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ เลยกวักมือเรียกเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ตนมากทีสุดเข้ามา แล้วกระซิบบอกเขาว่า “เจ้าแอบไปสืบมาหน่อยว่า ที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่”
เจ้าหน้าที่รับคำสั่งแล้วออกไป เจ้าเมืองหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ ในใจยังคงรู้สึกไม่ดีอยู่ดี
องครักษ์ที่ไปแจ้งความ ไม่กลับมาสักที เซี่ยเฟิงนึกสงสัย จึงส่งคนไปตรวจสอบ กลับพบว่าถูกขังอยู่ในคุก จึงรีบกลับมารายงานท่านอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว
ท่านอ๋องฉีโกรธเป็นฟืนไฟ ทุบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดว่า “บังอาจนัก กล้าทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไร”
เขาเองก็มีตำแหน่งใหญ่โต ทำไมจะไม่เข้าใจ ที่เจ้าเมืองทำเช่นนี้ ก็เพราะอยากให้เรื่องนี้มันแล้วๆ กันไป ไม่อยากให้ถึงหูของราชสำนัก จะได้ไม่กระทบต่อการเลื่อนตำแหน่งและทรัพย์สินของเขาไงล่ะ
“ท่านอ๋องอย่ากริ้วไปเลยขอรับ จะให้ข้าไปอีกรอบ แล้วบอกฐานะของพวกเราไหมขอรับ” เซี่ยเฟิงถาม
ท่านอ๋องฉีก็เอาตราประจำตำแหน่งที่ติดซ่อนอยู่ที่เอวออกมา ส่งให้กับเขา “ไป ให้เจ้าเมืองเจียงหนานมาพบข้าที่นี่”
เซี่ยเฟิงตอบรับ คว้าตราประจำตำแหน่งเดินออกไป
พอทุกคนออกไปกันหมด พระชายาฉีถึงได้บอกว่า “ท่านอ๋อง เช่นนี้จะดีหรือเพคะ ที่เจ้าเมืองกล้าทำเช่นนี้ ก็เพราะอยากหลับหูหลับตา แล้วก็จวนฮั่วที่ทำตัวกร่างคอยจับจ้องพวกเราอยู่อีก เปิดเผยฐานะของท่านเช่นนี้ จะเป็นอันตรายต่อพวกเราหรือไม่เพคะ อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองหลวง คนที่เราพามาด้วยจะไม่พอเอาได้”
เมื่อครู่ท่านอ๋องฉีโกรธเป็นอย่างมาก เลยไม่ได้คิดอะไร ที่พระชายาฉีพูดเช่นนี้ ก็เพราะจะเตือนเขาว่า พวกเราออกมาท่องเที่ยว พาคนมาไม่เยอะ เจ้าเมืองทางนั้นไม่น่ากลัวเท่าไร แต่จวนฮั่วนี่สิที่เขาลือกันว่าเป็นฮ่องเต้ของพื้นที่แห่งนี้ เป็นผู้มีอิทธิพลมาก ถ้าหากพวกเขาร่วมมือกันล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร
จึงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน “เอาเครื่องเขียนมา”
องครักษ์ลับตอบรับ แล้วรีบเอามาให้ทันที
ท่านอ๋องเขียนจดหมายหนึ่งฉบับอย่างรวดเร็ว แล้วส่งให้กับองครักษ์ลับ “เอาไปให้ที่สถานีส่งสาส์นให้ส่งกลับไปที่เมืองหลวงโดยด่วนที่สุด”
องครักษ์ลับรับไว้ แล้วออกไปทันที
หลังจากบ่าวรับใช้ของตระกูลฮั่วมาที่โรงเตี๊ยม ก็เข้าไปถามเถ้าแก่ทันที พอได้ยินเถ้าแก่บอกว่าพวกเขากลับมาแล้ว ก็ตกใจ รีบกลับไปรายงานที่จวนฮั่วทันที
พวกมันยังไม่ตาย ฮั่วเจี่ยรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก ออกคำสั่งว่า “เจ้าไปที่ริมแม่น้ำ เรียกท่านเจ้าเมืองมาพบข้า บอกว่าข้ามีเรื่องจะปรึกษา”
บ่าววิ่งออกไปที่ริมแม่น้ำ แต่ช้าไปเสียแล้ว เซี่ยเฟิงมาถึงก่อน
ถือตราประจำตำแหน่งมาหาท่านเจ้าเมือง เซี่ยเฟิงไม่ได้มีทีท่านอบน้อมแต่อย่างใด เอาตราประจำตำแหน่งยื่นให้เขาดูเต็มๆ ตา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านอ๋องเรียนเชิญ ท่านเจ้าเมืองไปกับข้าเสียหน่อยเถิด”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำความเคารพ แต่ว่าเขากำลังโกรธ ตั้งแต่เขาเข้าค่ายฝึกทหารมา โดนเลือกเป็นองครักษ์ลับ หลายปีมานี้ ยังไม่เคยมีเพื่อนของเขาคนไหนต้องเข้าคุกเลย นี่เป็นครั้งแรก จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร ส่งผลให้ท่าทางของเขาดูไม่นอบน้อมเท่าไรนัก
พอเห็นแล้วว่าเป็นตราของใคร ฟังคำพูดที่เย็นชาของเซี่ยเฟิงแล้ว ความไม่สบายใจก็กระจ่างโดยทันที ท่านเจ้าเมืองเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ณ เวลานี้ เหงื่อไหลออกมาดังสายฝน ไหลออกมาเป็นหยดเป้งๆ ให้ตายยังไงเขาก็คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน แถมยังเป็นคนในเหตุการณ์อีกด้วย
พยายามฝืนไม่ให้ตัวเองล้มเพราะเข่าอ่อน ใจเต้นตุบๆ เหงื่อไหลออกมาเต็มไปหมด เดินตามเซี่ยเฟิงไปตามทางด้วยสีหน้าขาวซีด
พอบ่าวรับใช้ของจวนฮั่วเห็นท่านเจ้าเมือง รีบรุดเข้าไปแล้วบอกว่า “ท่านเจ้าเมืองขอรับ นายท่านของพวกเราขอเชิญ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาขอรับ”
เจ้าเมืองมองไปที่เซี่ยเฟิง พยายามจะพูด แต่ก็ไม่กล้าพูด
บ่าวรับใช้สงสัย คิดว่าเขาคงฟังไม่เข้าใจ กำลังจะพูดอีกรอบ แต่ท่านเจ้าเมืองแสร้างทำมือโบกไล่ แล้วชี้ไปที่เซี่ยเฟิง แล้วคงมาดขุนนางพูดว่า “ข้ามีธุระจะต้องสะสาง เดี๋ยวไว้วันพรุ่งข้าจะไปหาท่านฮั่วเอง”
บ่าวชะงักไป เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ แต่ก็อดมองเซี่ยเฟิงไม่ได้ สงสัยว่าเขาคือใคร ทำไมถึงได้ทำให้เจ้าเมืองผู้เย่อหยิ่งคนนี้เชื่อฟังเขาได้
เซี่ยเฟิงอยู่ด้านหน้า จึงไม่ทันได้สังเกตท่าทางของเขา แต่ได้ยินสิ่งที่เขาคุยกันทั้งหมด เบะปากเล็กน้อย แล้วคิดในใจ เหมือนว่าจวนฮั่วจะรู้แล้วว่าพวกท่านอ๋องไม่ตาย ถึงได้มาหาเขาเพื่อหาทางรับมือ
เจ้าเมืองเข้าใจว่าฮั่วเจี่ยไม่รู้ว่าท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน เลยกำลังจะบอกกับบ่าวคนนั้น เซี่ยเฟิงเลยหันกลับมา บอกว่า “ท่านใต้เท้า เรื่องใดไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด เรื่องจะได้ไม่มาก”
ท่านเจ้าเมืองขนลุกซู่ เหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ แต่กลับรู้สึกเย็นวาบไปทั้งหัวใจ จึงไม่พูดมาก รีบเดินตามเขาไปแต่โดยดี
บ่าวเห็นเขาเดินออกไปต่อหน้าต่อตา พอได้สติ ก็เขกกะโหลกตัวเองหนึ่งที แล้วรีบกลับมารายงานที่จวนฮั่วว่า “นายท่าน ท่านเจ้าเมืองโดนคนของท่านอ๋องฉีเอาตัวไปแล้วขอรับ”
ไม่คิดว่าท่านอ๋องฉีจะเร็วขนาดนี้ ฮั่วเจี่ยหรี่ตามองด้วยสายตาดุดันน่าเกรงขราม
เจ้าเมืองท่าทางกระอักกระอ่วน ตามเซี่ยเฟิงมาจนถึงโรงเตี๊ยม
พอเถ้าแก่เห็น ก็ตกใจจนตัวสั่น ออกมาจากโต๊ะบริการ คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ข้าน้อยขอคารวะท่านเจ้าเมือง ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองมาด้วยเหตุอันใดขอรับ” ปากก็ว่าไป ใจก็นึกทบทวนไปว่าตนทำอะไรมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรผิด ค่อยวางใจ
เจ้าเมืองร้อนใจนัก มีเวลามาสนใจเขาที่ไหนกัน ตามเซี่ยเฟิงไปชั้นสองทันที
เซี่ยเฟิงรายงานที่หน้าประตู “ท่านอ๋องขอรับ เจ้าเมืองเจียงหนานมาแล้วขอรับ”
เซี่ยเฟิงโกรธเขามากที่เอาเพื่อนองครักษ์ของเขาไปขังคุก ขนาดสรรพนามที่ใช้เรียกใต้เท้าก็ไม่เรียกแล้ว
“พาเข้ามา!” เสียงที่ดุดันของท่านอ๋องดังออกมาจากในห้อง
เซี่ยเฟิงเปิดประตูออก แล้วบอกให้เจ้าเมืองเข้าไป
ท่านเจ้าเมืองก้มหน้า ไม่กล้ามองตรงๆ เดินเข้าไปในห้องด้วยขาแข้งที่ไร้เรี่ยวแรง ก้มกราบคารวะ “ข้าน้อยจูจือหมิงเจ้าเมืองเจียงหนานขอคารวะท่านอ๋องฉี”
ไม่มีเสียงตอบรับ
จูจือหมิงไม่กล้าขยับ ได้แต่ฟุบอยู่ที่พื้นด้วยความกล้าๆ เกร็งๆ
ผ่านไปพักหนึ่ง ท่านอ๋องฉีถึงพูดว่า “จูจือหมิง จอหงวนในรัชสมัยที่สิบสามของฮ่องเต้องค์ก่อน มีฐานะปานกลาง เป็นคนเซิ่งจิง ข้าพูดถูกหรือไม่”
จูจือหมิงเย็นวาบไปทั้งตัว มือไม้อ่อนแรง ยังคงฟุบอยู่ที่พื้นพูดว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อย… …”
“ข้าพูดถูกหรือไม่” ท่านอ๋องพูดแทรก แล้วถามด้วยความน่าเกรงขราม
“ใช่ๆ ขอรับ” จูจือหมิงตอบ
“เมื่อปีนั้นเจ้าเขียนความคิดของคนธรรมดาลงกระดาษ ถวายขึ้นมาจนได้เป็นขุนนาง โดดเด่นเหนือผู้อื่น จนฮ่องเต้เลือกให้เป็นบัณฑิตหน้าใหม่ เจ้าจำได้หรือไม่”
จูจือหมิงยังคงฟุบอยู่กับพื้น ไม่กล้าพูดอะไร
สายตาอันเฉียบคมของท่านอ๋องฉีมองไปที่เขา ราวกับจะแทงเขาให้ทะลุอย่างไรอย่างนั้น แล้วต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย หลายปีมานี้ เจ้าเป็นเจ้าเมืองเจียงหนาน ทำเช่นนี้มาตลอดเลยงั้นรึ”
จูจือหมิงตัวสั่นระริก เหงื่อเม็ดใหญ่ของเขาตกลงสู่พื้น ตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 82 วางแผน
ท่านอ๋องฉีมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ยิ่งมองอารมณ์ก็ยิ่งขึ้น อยากจะถีบเขาให้กระเด็นไปไกลๆ
แต่แล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์ที่จะถีบเขาเอาไว้ แล้วท่านอ๋องฉีก็พูดขึ้นว่า “เป็นใบ้หรือไง ทำไมไม่พูดล่ะ”
“ข้าน้อยสมควรตาย! ข้าน้อยสมควรตายขอรับ!” ในสมองของจูจือหมิงคิดออกแค่คำนี้
“ที่ข้าเรียกเจ้ามาไม่ได้จะฟังเจ้าพูดเพ้อเจ้อ เจ้าเป็นเจ้าเมืองเจียงหนาน รู้ทั้งรู้ว่ามีคนทำลายสะพานจนทำให้ชาวบ้านต้องตกน้ำ แต่เจ้ากลับจงใจปล่อยผ่าน เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร”
อย่างน้อยก็แค่เสียตำแหน่ง ถ้าอย่างมากก็เสียชีวิต เพราะว่ารู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร จูจือหมิงถึงได้คิดปิดบังเรื่องนี้ ปล่อยให้มันผ่านไป ใครจะไปคิดว่าท่านอ๋องฉีจะอยู่บนสะพานด้วย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขามาตั้งแต่ต้น เลยทำให้เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะอธิบายเลยสักนิด
หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ อ๋องฉีก็เบาเสียงลงแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าหลังเกิดเรื่อง เจ้าก็ให้คนไปให้ความช่วยเหลือที่แม่น้ำทันที ในฐานะขุนนาง เจ้าทำได้ดีมาก เรื่องนี้ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้ ส่วนเรื่องที่มีคนทำลายสะพานนั้น หวังว่าเจ้าจะรีบหาตัวคนที่ทำให้เร็วที่สุด คืนความยุติธรรมมาสู่ชาวบ้านให้โดยเร็วที่สุด”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด จูจือหมิงก็โล่งใจ ฟุบลงไปกับพื้นแล้วตอบรับ “ขอท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าน้อยจะส่งคนไปสืบ เรื่องนี้จะมีคำตอบให้ท่านอ๋องในเร็ววันนี้ขอรับ”
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี เจ้ารีบไปจัดการเถอะ”
“ข้าน้อยทูลลา!”
จูจือหมิงค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ไม่กล้าเงยหน้า โค้งตัวเดินออกมา ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มีความโล่งใจเป็นที่สุด พอกำลังจะปาดเหงื่อที่หน้าผาก ก็เห็นพวกเซี่ยเฟิงที่ยืนอยู่ข้างประตู มือที่กำลังจะยกขึ้นมาก็เก็บกลับไป แล้วเดินลงไปข้างล่าง
“ท่านใต้เท้า” เซี่ยเฟิงตะโกนเรียก
จูจือหมิงหยุด แล้วมองไปที่เขา
“คนของพวกเรายังอยู่ในคุก ขอท่านเจ้าเมืองจัดการด้วย” เซี่ยเฟิงพูดแซะออกมา
จูจือหมิงนึกขึ้นได้โดยทันที ตกใจจนเหงื่อไหลออกมาอีกครั้ง เลยรีบพูดว่า “ข้าจะสั่งให้คนส่งเขากลับมาเดี๋ยวนี้”
“ขอบคุณท่านใต้เท้า ไม่ต้องส่งกลับมาหรอก แค่ปล่อยออกมาก็พอ”
“ได้ๆ” จูจือหมิงตอบรับเสร็จก็ออกมา
เถ้าแก่กับคนอื่นๆ ก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่ชั้นหนึ่ง พอเห็นท่าทางอ่อนน้อมของจูจือหมิงที่มีต่อเซี่ยเฟิง ทุกคนก็งงไปตามๆ กัน
พอลงมา เห็นทุกคนคุกเข่าอยู่ จูจือหมิงถึงได้รู้สึกตัว แล้วพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระคุณท่านใต้เท้า!” แล้วทุกคนก็ลุกขึ้น พูดขอบคุณ
จูจือหมิงเดินออกไปไม่ทันไร ก็ต้องหันกลับมาสั่งเถ้าแก่ว่า “แขกชั้นบนสองท่านนั้น เจ้าต้องดูแลเป็นอย่างดี ถ้าหากมีตรงไหนบกพร่องล่ะก็ ระวังหัวเจ้าจะหลุดจากบ่า”
การที่จะได้รับคำสั่งพิเศษจากท่านเจ้าเมืองเช่นนี้ แสดงว่าแขกด้านบนต้องไม่ธรรมดา เถ้าแก่เป็นคนฉลาด เลยนึกถึงจุดนี้ได้โดยทันที จึงโค้งตัวพยักหน้า “ท่านใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าน้อยจะดูแลเป็นอย่างดีขอรับ”
แล้วจูจือหมิงก็ไม่สนใจเขาอีก เดินออกจากโรงเตี๊ยมมา สั่งทหารผู้ติดตามว่า “ไปที่คุกเร็วเข้า ปล่อยคนที่เราจับไปเมื่อครู่ออกมา”
ทหารตอบรับแล้วไปโดยทันที
จูจือหมิงเงยหน้าขึ้น มองดวงอาทิตย์ แต่กลับรู้สึกว่าความกลัวที่มีอยู่ของตนก็ยังไม่หายไปเสียที
บ่าวของจวนฮั่วกลับจวนไป แล้วรายงานเรื่องที่ท่านเจ้าเมืองโดนพาตัวไป ฮั่วเจี่ยเลยเข้าใจทันที ว่าโดนคนของท่านอ๋องฉีเอาไปแน่นอน ถ้าหากว่าเรื่องนี้ท่านอ๋องเข้ามาช่วยตรวจสอบด้วยล่ะก็ เรื่องที่ตนส่งคนไปทำลายสะพานได้ถูกเปิดเผยแน่ จึงรีบออกคำสั่งว่า “ไปรอที่นอกโรงเตี๊ยม พอใต้เท้าจูออกมาเมื่อไหร่ ให้รีบพาตัวมาที่จวนเราทันที”
บ่าวตอบรับ แล้วไปที่โรงเตี๊ยมทันที ตอนที่เขาวิ่งมาถึงนั้น จูจือหมิงเพิ่งจะขึ้นรถม้า เพื่อจะไปที่ริมแม่น้ำ
เมื่อเห็นรถม้าแล่นออกจากโรงเตี๊ยม บ่าวรับใช้ก็พุ่งตัวเข้าไป ตะโกนเรียกอยู่ด้านหลัง “ใต้เท้าขอรับ ช้าก่อน!”
ได้ยินเสียงตะโกนเรียก จูจือหมิงจึงเปิดม่านรถม้าออก เห็นเป็นคนของจวนฮั่ว เลยสั่งให้หยุด
บ่าวรับใช้วิ่งมาด้านหน้า โค้งตัวคารวะ “ท่านใต้เท้า นายท่านของเรามีเรื่องด่วน เลยเชิญท่านไปที่จวนขอรับ”
“เจ้ากลับไปรายงานท่านฮั่วด้วย บอกว่าวันนี้ข้าไม่ว่าง เดี๋ยวไว้วันหลังว่างๆ จะไปเยี่ยม”
พูดจบ ในจังหวะที่กำลังจะปิดม่าน สั่งให้คนรถออกรถได้
บ่าวคนนั้นรีบเข้ามาขวาง แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ท่านใต้เท้า เรื่องของนายท่านรีบเร่งนัก ท่านไปเสียหน่อยเถิด อย่างมากก็แค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น”
ตระกูลฮั่วถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลของเจียงหนาน สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ในแถบนี้ แม้ตนจะเป็นเจ้าเมืองเจียงหนาน เวลาเจอเขายังต้องเกรงใจ ไม่อยากมีเรื่องกับเขา มาวันนี้ ฮั่วเจี่ยส่งคนมาหาตนหลายต่อหลายครั้ง จะต้องมีเรื่องเร่งด่วนเป็นแน่ ถ้าหากตนผลัดไปเรื่อยๆ ไปทำให้เขาไม่พอใจเข้า การอยู่เจียงหนานในภายภาคหน้าคงได้ลำบากแน่
คิดได้เช่นนั้น ก็สั่งคนรถ “ไปจวนฮั่ว”
ฮั่วเจี่ยเดินวนไปมาในจวนด้วยความร้อนใจ เหล่าฮูหยินฮั่วมองแล้วก็มึนศีรษะยิ่งนัก แล้วพูดออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “เลิกเดินได้แล้ว ก็แค่ทำสะพานพัง ตายไปเยอะนักหรือไง พอถึงเวลาสืบแล้วได้ผลออกมา ก็ให้เงินเขาไปจะได้จบๆ ดูเจ้าสิ อย่างกับมดที่เดินอยู่บนหม้อร้อน ยิ่งแก่ก็ยิ่งสงบไม่ได้”
“เจ้าจะไปรู้อะไร!” ฮั่วเจี่ยตะคอกนาง “อ๋องคนนี้เป็นเสด็จอาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หากโดนเขาจับได้ล่ะก็ จะแย่เอาได้”
เหล่าฮูหยินฮั่วก็เบะปาก พูดพร่ำออกมาว่า “ราชนิกูลต่างก็เลือดเย็นมาแต่ไหนแต่ไร กี่คนแล้วที่ไม่สนใจพี่น้องของตนเพื่อตำแหน่งนั้น แล้วจะมาสนใจเสด็จอาของตัวเองอย่างนั้นรึ”
เหล่าฮูหยินฮั่วก็เป็นแค่หญิงสาวธรรมดาที่เติมโตมาในโลกแคบๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับราชสำนักหรืออะไร อีกทั้งยังโดนตามใจจนเคยตัวอีก ดังนั้นนางเลยไม่เคยเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจเลย
พูดไปสองไพเบี้ย ฮั่วเจี่ยกำลังร้อนใจ จึงไม่สนใจนาง แล้วเดินวนไปวนมาต่อ
เหล่าฮูหยินฮั่วโดนเขาทำเสียจนลายตา ลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก “เจ้าเดินของเจ้าไปเถอะ ข้าจะไปหาอวี้เอ๋อร์ ตอนที่นางกลับมา เห็นนางแปลกๆ ไป หรือว่าจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้”
ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็หยุด แล้วพูดว่า “เจ้าไปดูเร็ว หากว่านางไม่สบายตรงไหน ให้รีบเรียกหมอมาทันที”
“รู้แล้วน่า!” แล้วเหล่าฮูหยินฮั่วให้สาวใช้ช่วยพยุงเดินออกไป
ฮั่วเจี่ยฟุ้งซ่าน กำลังจะเทน้ำสักแก้ว พอหยิบกาน้ำชาขึ้น พ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่า “นายท่าน ท่านเจ้าเมืองมาแล้วขอรับ”
“เชิญเขาไปห้องรับแขก เดี๋ยวข้าจะตามไป”
พ่อบ้านตอบรับ แล้วออกไป
ฮั่วเจี่ยจัดท่าทางของตนให้เรียบร้อย เอามือไขว้หลัง แล้วกลับมาอารมณ์ปกติ เดินเข้าไปที่ห้องรับแขกอย่างช้าๆ
จูจือหมิงนั่งลง เห็นฮั่วเจี่ยเดินมา ก็ลุกขึ้น แล้วทำมือคารวะ “นายท่านฮั่ว”
ฮั่วเจี่ยก็ทำมือตอบรับ “ท่านเจ้าเมืองกำลังยุ่งงานราชการ ข้าดันส่งคนไปเชิญท่านมา คงไม่ได้ทำท่านเสียเวลาใช่หรือไม่”
จูจือหมิงโบกมือ “ที่ไหนกัน ต่อให้แผ่นดินจะกว้างใหญ่สักเพียงใด ก็ไม่ใหญ่เท่ากับธุระที่ท่านมีหรอกขอรับ ท่านฮั่วส่งคนมาเชิญข้า มีหรือข้าจะไม่มา”
คำพูดนี้ถูกใจฮั่วเจี่ยยิ่งนัก ลูบเคราแล้วหัวเราะออกมา แล้วยื่นมือทำท่าเชิญ “ท่านเจ้าเมือง เชิญนั่ง”
พูดจบก็สั่งว่า “ยกน้ำชา!”
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องรับแขกตอบรับ แล้วสั่งให้บ่าวไปยกน้ำชามา
ฮั่วเจี่ยนั่งอยู่ที่ประจำ ยิ้มแล้วถามว่า “ท่านเจ้าเมือง วันนี้เกิดเรื่องที่ริมแม่น้ำ บาดเจ็บล้มตายกันไปเท่าไรล่ะท่าน”
“อ่อ ข้าสั่งให้คนตรวจสอบแล้ว บาดเจ็บและตายรวมแล้วห้าสิบกว่าคนขอรับ”
เยอะขนาดนั้นเลยหรือนี่ มันผิดคาด ฮั่วเจี่ยเลยขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้ามองหน้าของท่านเจ้าเมืองแล้วพูดว่า “ท่านใต้เท้าสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“เอ่อ… …” จูจือหมิงพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่เรื่องที่องครักษ์ลับมาบอกว่ามีคนจงใจทำลายสะพาน
“ดูเหมือนว่าใต้เท้าจะเจอตัวการแล้วสินะ” พอเห็นสีหน้าของเขา ฮั่วเจี่ยเลยถามลองเชิงดู
ความคิดที่จะพูดออกมาก็หายไป แล้วจูจือหมิงก็โบกมือ “ยังเลยขอรับ ข้ากำลังกลุ้มใจกับเรื่องนี้อยู่น่ะสิ ข้าสั่งให้คนไปซ่อมอยู่บ่อยๆ แท้ๆ แต่ไม่พบว่าสะพานไม้มันจะมีรอยอะไร แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงถล่มได้ล่ะเนี่ย”
ฮั่วเจี่ยมองจ้องไปที่เขา จับตาดูทุกๆ สีหน้าอิริยาบถของเขา เห็นว่าเขาเหมือนจะไม่ได้โกหก จึงโล่งใจ นั่งพิงหลังไป แล้วเปลี่ยนหัวข้อ “ไม่ทราบว่าท่านใต้เท้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
“เอ่อ แน่นอนว่าต้องสืบหาต้นตอก่อน ส่วนจะอย่างไรต่อนั้น ไว้ค่อยว่ากัน”
“ท่านเจ้าเมืองให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ขนาดนี้เชียวรึ หรือว่ามีคนกดดันท่านอยู่หรือ” ฮั่วเจี่ยถามตรงประเด็น
จูจือหมิงชะงัก มองไปที่เขาแล้วหลุดปากถามว่า “ท่านฮั่วรู้ได้อย่างไร”
พอถามเสร็จ เพิ่งรู้ว่าตนพูดอะไรออกไป เลยอยากจะกัดลิ้นของตัวเองจริงๆ
“ข้าไม่เพียงแต่รู้ว่ามีคนกดดันท่านอยู่เท่านั้น แถมยังรู้ด้วยว่าคนๆ นั้นคือใคร ท่านเจ้าเมืองเชื่อหรือไม่” ฮั่วเจี่ยลูบเครา ทำท่าทางเหมือนทุกสิ่งอย่างอยู่ในกำมือของตนแล้วอย่างใดอย่างนั้น
จูจือหมิงไม่เชื่อแน่นอน ท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน เขาเป็นเจ้าเมืองยังไม่รู้เรื่องเลย นับประสาอะไรกับฮั่วเจี่ย
ฮั่วเจี่ยเห็นท่าทางของเขาก็เลยยิ้มออกมาแล้วบอกว่า “คือท่านอ๋องฉีแห่งราชวงศ์หวงฝู่ใช่หรือไม่”
จูจือหมิงตกใจจนแทบจะลุกขึ้น พูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “นี่ ท่านฮั่วทราบได้เยี่ยงไร” ขนาดเรื่องที่ท่านอ๋องฉีกดดันเขายังรู้ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ตนไปโรงเตี๊ยมมาก็คงจะไม่เหลือ พอคิดได้ว่าไม่ว่าตนจะทำอะไรก็ล้วนอยู่ในสายตาของฮั่วเจี่ยตลอด เหงื่อก็ออกเต็มหลังเลยทีเดียว
ฮั่วเจี่ยยังคงปกติ ยิ้มแล้วบอกว่า “ท่านเจ้าเมืองอย่ากังวลไป ที่ข้ารู้ว่าท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน ก็เพราะว่าหลานสาวของข้าดันไปเจอเข้ากับพวกเขา ท่านก็รู้ว่าหลานของข้าโตในเมืองหลวง เลยรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดีน่ะ”
ปีนั้นที่ลูกสาวของฮั่วเจี่ยต้องออกไปอยู่จวนอู่โหวที่เมืองหลวง คนเจียงหนานก็รู้กันทั่ว อีกทั้งยังเสริมบารมีให้กับตระกูลฮั่วอีกด้วย ดังนั้น ส่วนมากเลยเกรงใจเขา ทำให้ตระกูลฮั่วเหิมเกริมเข้าไปอีก
จูจือหมิงถึงเข้าใจ เลยโล่งอก พูดตามจริงว่า “ท่านฮั่วพูดถูก ท่านอ๋องฉีมาที่เจียงหนานจริงๆ เมื่อครู่เขาเรียกข้าไปอบรมยกใหญ่เชียวแหละ บอกว่ามีคนจงใจทำลายสะพานนั้น เลยสั่งให้ข้ารีบไปตรวจสอบว่าใครเป็นเบื้องหลัง แต่ไม่มีต้นสายปลายเหตุอะไรเลย จะให้ข้าสืบอย่างไร”
“โบราณว่า ผู้ที่ตำแหน่งใหญ่กว่าชอบข่มเหงผู้ที่ตำแหน่งเล็กกว่า ท่านอ๋องฉีคงอยากสร้างผลงาน เลยมาใช้เจ้าไงล่ะ ไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด แต่กลัวว่าต่อให้เจ้าลงแรงมากแค่ไหน ก็คงตกไม่ถึงท่านหรอก” ฮั่วเจี่ยพูด
จูจือหมิงไม่เข้าใจ ถามว่า “ที่ท่านฮั่วพูดหมายความว่าอย่างไร”
“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ถ้าหากเจ้าหาคนที่อยู่เบื้องหลังสะพานขาดนั้นได้ ผลงานก็ตกไปอยู่ที่ท่านอ๋องฉี ไม่เกี่ยวกับท่านเลยสักนิด ถ้าหากไม่เจอ ก็แสดงว่าท่านดูแลไม่ทั่วถึง ทำงานไม่ได้เรื่อง ข้าได้ยินมาว่า อีกไม่กี่เดือนท่านเจ้าเมืองก็จะเลื่อนตำแหน่งแล้วหนิ หากว่าเรื่องนี้มาทำให้ท่านต้องเสียเวลา มันก็ไม่คุ้มกันหรอกน่า”
เขาได้พูดแทงใจดำของจูจือหมิง แล้วจูจือหมิงก็หน้าบูด พูดขึ้นมาว่า “นี่เป็นเรื่องที่ข้าเป็นห่วงน่ะสิ ท่านว่า ทำไมเรื่องมันต้องเกิดขึ้นช่วงนี้ด้วย ดูเหมือนว่าตำแหน่งนี้คงต้องจบสิ้นเสียแล้ว”
ฮั่วเจี่ยมองเขาแล้วส่ายหน้า “ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าในฐานะที่เป็นสหายของท่าน จะช่วยท่านอย่างเต็มที่”
จูจือหมิงดีใจเป็นอย่างมาก “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบพระคุณท่านฮั่วแล้วล่ะ”
“ขอบคุณตอนนี้ยังเร็วไป ว่าแต่ข้าช่วยท่านคิดวิธีหนึ่งได้แล้ว”
จูจือหมิงตาเป็นประกาย อดใจไม่ไหวถามขึ้นว่า “วิธีการอันใดรึ ท่านฮั่วว่ามาได้เลย”
ฮั่วเจี่ยก็กวักมือเรียกเขาเข้ามา “เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด ท่านเอาหูมานี่ ข้าจะบอกให้”
จูจือหมิงลุกขึ้น เดินไปหาเขา โค้งตัวลง เอาหูเข้าไปใกล้ๆ
แล้วฮั่วเจี่ยก็กระซิบบอกเขา
พอจูจือหมิงฟังจบ ก็หน้าซีดตาถลน มองไปที่เขาด้วยสายตาไม่เชื่อ “นายท่านฮั่ว นี่… …”
“ท่านเจ้าเมืองอย่ารนไป ขอแค่ท่านพยักหน้าอนุญาต ที่เหลือข้าจัดการเองได้ ส่วนท่านก็แค่รอวันได้เลื่อนตำแหน่งไปก็เท่านั้น”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 83 ตัวเลือก
ฮั่วเจี่ยพูดจบ พอเห็นดวงตาที่แทบจะถลนออกมาของจูจือหมิง ก็ยังคงนิ่งเฉย ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยื่นมือออกไปหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา เปิดฝาออก เอาฝาปาดที่ปากถ้วยเบาๆ ให้ใบชาไปอีกทางหนึ่ง ก้มหน้า แล้วดื่ม จากนั้นก็ปิดฝา แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ท่านเจ้าเมือง ความคิดเห็นของข้าเป็นอย่างไร”
จูจือหมิงอึ้งอยู่ เลยนิ่งไปราวท่อนไม้ นิ่งอยู่อย่างนั้นสีหน้าเดิม ท่าทางเดิม ขนาดจะลุกขึ้นมายืนดีๆ ยังลืมเลย คำพูดของฮั่วเจี่ย ทำให้เขาได้สติ แล้วตกใจพูดออกมาว่า “เอ่อ นี่… …”
ฮั่วเจี่ยนึกไว้แล้วว่าเขาต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าขุนนางคนไหนที่ได้ฟังความเห็นเช่นนี้ล้วนต้องเป็นเช่นนี้แหละ ถ้าไม่เป็นน่ะสิแปลก
แล้วฮั่วเจี่ยก็พูดอีกว่า “ท่านเจ้าเมือง ข้าก็แค่คิดแทนท่าน ถ้าหากเรื่องนี้ไปถึงหูฮ่องเต้ล่ะก็ เกรงว่าท่านคงต้องลาตำแหน่งจริงๆ เสียแล้วล่ะ ส่วนข้า ไม่ได้เสียหายอะไรสักนิด หากพวกเราไม่ได้เป็นสหายกันล่ะก็ ตระกูลฮั่วของเราไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งหรอกนะ”
จูจือหมิงรีบโบกมือทันที “ไม่ๆ นายท่านฮั่ว นี่เป็นโทษประหารเก้าชั่วโคตรเชียวนะ ข้าไม่กล้าหรอก แล้วก็ไม่ทำด้วย”
มันรุนแรงเกินไป การที่ฮั่วเจี่ยจะฉวยโอกาสจัดการพวกท่านอ๋องฉีเช่นนี้
ฮั่วเจี่ยน่าจะไม่รู้ แต่เขานั้นเป็นขุนนาง เลยเข้าใจเป็นอย่างดี ท่านอ๋องฉีผู้นี้ ในปีนั้นเป็นคนที่ช่วยฮ่องเต้องค์ก่อนกับเหล่าไทเฮาเอาไว้ แล้วยังเกือบเสียลูกของตนเองไปเพราะเหตุนี้อีกด้วย ฮ่องเต้องค์ก่อนซาบซึ้งน้ำใจเป็นอย่างมาก จึงเกรงใจเขามากกว่าใครๆ ส่วนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยิ่งไม่ต้องพูดถึง กลัวท่านอ๋องฉีกว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเสียอีก อีกทั้งยังมีซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด เด็ดเดี่ยว พูดคำไหนคำนั้น ไม่มีใครกล้าขัด แล้วยังมีพระชายาของซื่อจื่อที่เก่งกาจอีกด้วย… …ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ยิ่งคิดหน้าก็ยิ่งซีด เหงื่อเม็ดใหญ่บนหน้าผากไหลลงมาไม่หยุด
ในเมื่อฮั่วเจี่ยมีความคิดเช่นนี้แล้ว คงยากจะล้มเลิก จึงโน้มน้าวต่อไปว่า “ตราบใดที่อยู่เจียงหนาน ถ้าท่านกับข้าร่วมมือกัน ขนาดแมลงวันยังบินออกไปไม่ได้ ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบหายไป ไม่มีใครรู้ ท่านเจ้าเมืองยังจะกลัวอะไรอีก”
กลัวอะไรน่ะหรือ! กลัวโดนประหารน่ะสิถามได้! กลัวโดนประหารเก้าชั่วโคตรน่ะสิ! นี่เป็นคำพูดในใจของจูจือหมิง แต่ไม่กล้าพูดออกมา ได้แต่ยืนขาสั่น กลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม อยากจะดื่มชาปลอบขวัญตัวเองเสียหน่อย แต่มือทั้งสองข้างกลับสั่นจนถือถ้วยชาไม่ไหว
ฮั่วเจี่ยยืนขึ้น เดินไปข้างหน้าเขา ใช้มือจับมือที่กำลังสั่นระรัวของเขา แล้วช่วยเขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาป้อนเขาแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองทำหน้าที่มาหลายปี เรื่องใหญ่กว่านี้ก็เจอมาแล้ว แล้วทำไมเรื่องเล็กแค่นี้ถึงได้ทำท่านกลัวได้ถึงเพียงนี้”
เรื่องเล็ก? ฆ่าพวกท่านอ๋องฉีเนี่ยนะ เขากล้าบอกว่าเป็นเรื่องเล็กอีก จูจือหมิงเกือบจะสำลักน้ำพุ่งออกจากปากเลยทีเดียว
กว่าจะกลืนน้ำชาลงไปได้ ก็สำลักออกมา ไอเสียจนน่ากลัว
ฮั่วเจี่ยยื่นมือออกมา แล้วทุบหลังเขาเบาๆ
แต่จูจือหมิงกลับรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบอยู่ที่ด้านหลัง แล้วหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จนทำให้เขาแทบทนไม่ไหวแล้วสลบไป
เขาผิดหวังมาก วันนี้ไม่น่ามาจวนฮั่วเลย ถึงแม้ว่าเขาจะโลภ อยากเลื่อนตำแหน่ง แต่หากเขาทำเรื่องผิดมหันต์เช่นนั้นจริงๆ ล่ะก็ เขายอมเป็นคนธรรมดาดีกว่ามีชีวิตที่จะต้องปิดบัง ไม่สบายใจแบบนั้นไปตลอดชีวิต
เหมือนฮั่วเจี่ยจะมองออก เลยพูดตามหลังมาว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านเจ้าเมืองคิดว่าจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้อย่างนั้นหรือ”
ประโยคนี้ทั้งโน้มน้าว ทั้งข่มขู่
ฮั่วเจี่ยสถาปนาเป็นฮ่องเต้ของที่นี่ ในเมื่อเขามีความคิดเช่นนี้ แล้วมาพูดกับเขาแล้วด้วย ก็แสดงว่า ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ ก็หนีไม่พ้นที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ดี
จูจือหมิงเข้าใจ แล้วหลับตาลง
อย่างไรก็รับราชการมาหลายปี หลังจากหายตกใจแล้ว พยายามข่มตัวเองให้ใจเย็นลง ถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ท่านอ๋องฉีมาเจียงหนาน ไม่ได้เพื่อการส่วนตัวอะไรทั้งนั้น แต่ฮั่วเจี่ยกลับอยากให้พวกเขาตาย เรื่องนี้จะต้องมีอะไรแน่ๆ
พอคิดประเด็นนี้ออก เขาก็ค่อยๆ สงบลงได้ ลืมตา แล้วมองตรงไปที่ฮั่วเจี่ยที่กำลังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงปกติ และมีความฉลาดซ่อนอยู่ว่า “นายท่านฮั่ว พวกเรามาเปิดใจคุยกันหน่อยดีกว่า ที่ท่านทำเช่นนี้ ไม่ได้เพื่อช่วยข้าอย่างเดียวหรอกกระมัง”
ฮั่วเจี่ยก็หัวเราะเสียงดัง “ข้านึกอยู่แล้วว่าเจ้าเมืองฉลาดๆ อย่างท่าน ไม่มีทางมองไม่ออกถึงเจตนาอื่นได้หรอก ถ้าหากท่านอยากฟัง ข้าจะบอกให้ท่านฟังให้หมด”
“ข้าตั้งตารอฟังเลยล่ะ!”
ฮั่วเจี่ยเล่าต้นสายปลายเหตุให้เขาฟังอย่างไม่ปิดบัง ในขณะที่พูด รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป แต่เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นที่แสดงออกมาแทน “ข้ามีลูกชายหกคน มีลูกสาวแค่คนเดียว ข้าทะนุถนอมของข้ามา ไม่เคยให้ได้รับการกระทำเช่นนี้มาก่อนเลย แล้วก็หลานสาวของข้า เกือบจมน้ำตาย ข้าจะทนการกระทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ในเมื่ออ๋องฉีมาอยู่ในกำมือของเราแล้ว เราอย่าได้ให้พวกมันหลุดมือไปง่ายๆ”
จูจือหมิงฟังจบ เข้าใจ พยักหน้า “เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าล่ะ… …” พูดถึงตรงนี้ ก็มีภาพผุดขึ้นมาในหัว ทำให้เขาตกใจจนต้องลุกขึ้น ตาถลนถามว่า “เรื่องสะพานถล่มวันนี้ หรือว่าเป็นฝีมือของท่านงั้นรึ”
ฮั่วเจี่ยได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร แล้วยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
แล้วจูจือหมิงก็นั่งลง เสื้อเปียกไปด้วยเหงื่อ นั่งอึ้งอยู่นาน ไม่ได้พูดอะไร
ฮั่วเจี่ยก็ไม่ได้รีบร้อน ไม่ได้เร่งเขา เพียงแต่เรียกพ่อบ้านมาเปลี่ยนถ้วยน้ำชาให้ใหม่เท่านั้น
สมองของจูจือหมิงกำลังตีกัน เขาไม่คิดไม่ฝัน ว่าที่สะพานขาดนั้นเป็นฝีมือของคน อีกทั้งยังเป็นฝีมือของฮั่วเจี่ย เหตุเพราะต้องการฆ่าพวกท่านอ๋องฉีเท่านั้น เขาอยู่เจียงหนานมาหลายปี ไม่ว่าฮั่วเจี่ยจะทำอะไร ล้วนอยู่ในสายตาของเขาตลอด
ฮั่วเจี่ยมีฐานะพิเศษ สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง ไม่เห็นใครในสายตาทั้งนั้น เรื่องที่เขาต้องการทำ ไม่ว่าจะด้วยวิธีเลวทรามขนาดไหนเขาก็จะทำให้ได้ ในเมื่อเขาต้องการฆ่าท่านอ๋องฉี เพราะฉะนั้นเขาจะต้องหาวิธีต่างๆ ไม่เลิกราง่ายๆ แน่นอน อย่างวันนี้ การที่ตนรู้เรื่องของเขา แถมยังรู้แผนการของเขาอีก หากไม่ให้ความร่วมมือล่ะก็ เยี่ยงนั้น… …คิดถึงตรงนี้ก็ไม่กล้าคิดต่อ แล้วก็ไม่อยากคิดด้วย เพราะเขาได้เห็นถึงจุดจบที่หัวขาดสะบั้นของตนเองแล้วเรียบร้อย
แล้วก็ขนลุก ในใจรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก
เรื่องก็เล่าไปแล้ว แผนบอกก็บอกไปแล้ว พอเห็นท่าทางลังเลของจูจือหมิง ฮั่วเจี่ยจึงเริ่มยุแยงอีกครั้ง “ข้ารู้ความกังวลใจของท่าน ท่านวางใจเถิด เรื่องนี้ ขอแค่ท่านพยักหน้า เรื่องที่เหลือข้าจัดการเอง ท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย สิ่งที่ท่านต้องทำคือปิดตาข้างหนึ่งก็พอ”
จูจือหมิงเงียบ
ฮั่วเจี่ยพูดต่อ “แล้วก็ หากท่านใต้เท้ากลัวว่าหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น แล้วท่านเป็นขุนนางท้องถิ่นจะพลอยซวยไปด้วยล่ะก็ กลัวหมวกตำแหน่งของท่านจะหลุดไป ท่านวางใจเถิด ข้าขอรับรอง ขอแค่จัดการอ๋องฉีได้ ข้าจะส่งจดหมายไปหาลูกสาวของข้าทันที ด้วยฐานะของอู่โหวแล้ว ท่านอยากได้ตำแหน่งอะไรก็บอกได้เลย”
ท่านอ๋องเป็นราชนิกูลก็จริง แต่ผลงานของจวนอู่โหวในปีนั้นที่ทำให้ได้ตำแหน่งจนมียศ หากจะมีการสืบทอดตำแหน่งเกิดขึ้นได้นั้น ถ้าหากตัดฐานะออกไป จริงๆ แล้วสองจวนนี้ก็พอๆ กัน ถ้าจวนอู่โหวกล้าออกหน้าให้ข้ามีตำแหน่งที่ดีนั้นเป็นเรื่องไม่ยากเลย อีกอย่าง ถ้าหากว่าทำสำเร็จ แถมยังมีตระกูลฮั่วเป็นเครื่องมืออีกด้วย บางทีข้าอาจจะสบายไปทั้งชีวิตเลยก็ได้
คำพูดของฮั่วเจี่ย ไม่รู้ทำให้จูจือหมิงเป็นอะไร คิดเรื่องพวกนี้ออกมาได้ พอถึงตอนที่เขารู้ตัวว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ก็ส่ายหน้า สลัดเรื่องพวกนี้ออกไป เรื่องจัดการพวกท่านอ๋องฉี เป็นโทษประหาร ทำไม่ได้ๆ
แล้วฮั่วเจี่ยก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ได้ยินว่าหลายปีที่ท่านได้ตำแหน่งนี้มา ไม่ค่อยได้กลับไปดูแลครอบครัวเท่าไรนัก เช่นนี้ครอบครัวคงจะนินทาเอาได้ จริงๆ แล้วไม่ใช่ไม่คิด แต่เป็นเพราะท่านเป็นขุนนางที่ใสสะอาด ไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง ท่านยากจน ไม่มีอะไรที่จะเข้าหาพวกเขาได้เท่านั้น หากท่านตอบรับเรื่องนี้ล่ะก็ ข้าจะมอบเงินให้ท่านเป็นจำนวนหนึ่งแสนตำลึง ให้ท่านเอากลับบ้านไปช่วยเหลือครอบครัว”
หนึ่งแสนตำลึง? พวกญาติจนๆ ของข้า ขนาดสองพันตำลึงยังใช้ไม่หมด ฮั่วเจี่ยทำเช่นนี้ หรือว่าอยากหาข้ออ้าง ให้ข้ารับเงินปิดปากก้อนนี้ จูจือหมิงรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เขาก็หวั่นไหว เพราะหลายปีมานี้ ตำแหน่งของเขาสูงขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น สินบนที่นั่นที่นี่เยอะแยะไปหมด แต่หลังจากมาที่เจียงหนานแล้ว ตระกูลฮั่วทรงอิทธิพลมาก โอกาสที่เขาจะหาเงินช่องทางอื่นนั้นไม่มีเลย เงินไม่พอใช้เข้าทุกที โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการเลื่อนตำแหน่ง เขาแทบจะเอาเงินสำรองของเขาแทบทั้งหมดออกมาใช้ติดสินบน เพื่อตำแหน่งในหน้าที่การงานของเขาทั้งนั้น
ตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว ตนแค่ไม่พูดอะไร ทำเป็นไม่รู้แผนการของตระกูลฮั่ว แค่นั้น ไม่เพียงแต่จะได้ตำแหน่ง เงินทอง แล้วเหตุใดตนถึงจะไม่มีความสุขล่ะ แม้หากในอนาคตจะทำไม่สำเร็จ ตนก็สามารถปัดความผิดทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นก็ได้ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้ส่งคนไปเข้าร่วม มีความผิดแค่ดูแลจัดการได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่มีโทษหนักเลย
คิดได้ดังนั้น เรื่องที่คิดเมื่อครู่นี้ก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นลำบากใจ ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น
ฮั่วเจี่ยเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก เขามองคิ้วที่คลายออกเล็กน้อยของจูจือหมิงก็รู้แล้วว่าเขายอมประณีประณอม จึงเรียก “พ่อบ้าน!”
พ่อบ้านเข้ามา “นายท่าน!”
“ไปห้องบัญชี เอาเงินหนึ่งแสนตำลึงมาให้ท่านใต้เท้าจู”
จูจือหมิงรีบบ่ายเบี่ยง “ท่านฮั่ว เช่นนี้จะ… เอ่อ”
“เงินพวกนี้เป็นเงินที่ท่านเจ้าเมืองเอาไปใช้แก้ขัดก่อน หากไม่พอ ขอให้ท่านบอกข้ามา เพราะท่านกับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว ท่านใต้เท้าจูไม่ต้องเกรงใจ”
พอพ่อบ้านนำเงินมา จูจือหมิงก็ไม่รับ แล้วบอกว่า “นายท่านฮั่ว เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ข้าอยากกลับไปไตร่ตรองดูก่อนเสียหน่อย”
ฮั่วเจี่ยไม่ได้เร่งรัดอะไร ตอบรับบอกว่า “ได้ ข้าให้เวลาท่านสามวัน พอสามวันผ่านไปข้าต้องได้คำตอบจากท่าน”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 84 ตระหนกตกใจ
จูจือหมิงออกจากจวนฮั่วมา ปาดเหงื่อที่หน้าผาก เงยหน้ามองท้องฟ้า แสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุสาดลงมาที่ตัวเขา แต่แปลกที่เขาไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด แค่รู้สึกอุ่นๆ เท่านั้น แล้วหันหลังกลับมามองจวนฮั่วที่โอ่อ่าใหญ่โต แล้วนึกในใจว่าภายภาคหน้าคงต้องลงเรือลำเดียวกันกับตระกูลฮั่วจริงๆ แล้วล่ะ เม้มปาก ขึ้นรถม้า สั่งให้ไปริมแม่น้ำ
ในห้องรับแขก ฮั่วเจี่ยนั่งอยู่ที่เดิม หลังจากสั่งให้พ่อบ้านไปส่งจูจือหมิง มองเขาลับไป ตาของเขาหรี่ลง และมีความร้ายกาจแอบแฝงอยู่ในนั้น เพราะไม่ว่าจูจือหมิงคนนี้ เป็นขุนนางมานานนมเพียงใด แต่ก็ไร้เดียสาขนาดนี้ ถึงได้เชื่อคำสัญญาของตนได้ เขาไม่คิดดูหน่อยหรือว่าชีวิตของฮั่วเจี่ยคนนี้ ที่ไม่เคยต้องเป็นรองใคร พอทำสำเร็จแล้ว เขาจะไว้ชีวิตเขาหรือ
คิดได้เช่นนี้ ก็มองไปที่เงินที่อยู่บนโต๊ะ แล้วคิดถึงสายตาละโมบโลภมากของจูจือหมิงเมื่อครู่นี้ แสยะยิ้มออกมา เรียก “พ่อบ้าน!”
บ่าวรับใช้ก็เดินเข้ามา
“ไป เรียกฮั่วต้ามาพบข้า”
ฮั่วต้าเป็นหัวหน้าองครักษ์เงา ปกติไม่ออกมาให้ใครเห็น ขนาดคนในจวนด้วยกันยังไม่ค่อยจะได้เห็น มีหน้าที่คอยขจัดเสี้ยนหนามของฮั่วเจี่ย
พอได้รับคำสั่ง ฮั่วต้าก็เข้ามาทันที โค้งคารวะ “นายท่าน!”
“มีเรื่องหนึ่งข้าต้องการให้เจ้าไปทำ เอาหูมานี่”
ฮั่วต้าเดินเข้ามา โค้วตัวที่สูงใหญ่ลงมา เอาหูเข้าไปใกล้ๆ หน้าของฮั่วเจี่ย
แล้วฮั่วเจี่ยก็บอกกับเขา
ฮั่วต้าฟังจบ ยืนตัวตรง “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
“เจ้าไปเตรียมตัวก่อน สามวันผ่านไปค่อยลงมือ ไม่ว่าใครหน้าไหนที่มาขวางแผนการของเรา ฆ่าทิ้งให้หมด!”
“ขอรับ!”
ณ โรงเตี๊ยม
หลังจากจูจือหมิงออกไป ท่านอ๋องฉีก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด พระชายาฉีจึงเดินมาจากห้องข้างๆ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลฮั่ว ไม่รู้ว่าจูจือหมิงคนนี้จะเต็มที่กับเรื่องนี้หรือไม่นะเจ้าคะ”
“เขาเป็นขุนนางท้องถิ่น เขาจะร่วมมือกับคนที่เขาเกลียด แล้วไม่สนใจความเป็นความตายของชาวบ้านเลยงั้นรึ” ท่านอ๋องฉีพูด
พระชายาฉีถอนหายใจ แล้วไม่พูดอะไรอีก
สามวันนี้ จูจือหมิงไม่มีความสุขเลย จิตใต้สำนึกบอกกับเขาว่า การร่วมมือกับตระกูลฮั่วจัดการกับท่านอ๋องฉี มันไม่มีจุดจบที่สวยแน่ แต่ในความคิด กลับเบนไปทางข้อเสนอของฮั่วเจี่ย โลภในเงินหนึ่งแสนตำลึงและหน้าที่การงานมั่นที่คงในอนาคตนั้นไปเสียแล้ว หลังจากที่ทรมานอยู่สามวัน เช้าวันที่สี่ เขาที่ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ก็มองไปที่ท้องฟ้าที่สดใส แล้วตัดสินใจครั้งสุดท้าย
ในขณะเดียวกัน ม้าเร็วก็ถึงเมืองหลวงแล้ว เข้าไปที่กรมข้าราชการพลเรือน ลงจากม้า ถือรายงานเดินเข้าไป
พอฮ่องเต้สืบทอดตำแหน่ง หลังจากที่ทำการปฏิวัติมาหลายปี บ้านเมืองสงบสุข กองกำลังกล้าแกร่ง เลยไม่ค่อยมีเรื่องเร่งด่วนอะไรมากนัก เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนเลยว่างเป็นอย่างมาก เรื่องด่วนที่สุดขนาดนี้ยิ่งไม่เคยมีมาก่อน พอมาวันนี้ได้ยินเรื่องนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก พอเปิดออกดู เห็นว่ามาจากเจียงหนาน แล้วพออ่านดู ก็ตกใจจนหน้าสีเปลี่ยน รีบถือรายงานนี้เข้าวังหลวง มาที่ห้องทรงพระอักษรทันที
หวงฝู่ซวิ่นกำลังอ่านฎีกาอยู่ พอได้ยินเสนาบดีกรมข้าราชพลเรือนถือรายงานด่วนมาเข้าเฝ้า ก็เรียกตัวเข้ามาโดยทันที
เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนถวายรายงาน แล้วยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะทรงงาน
หวงฝู่ซวิ่นเปิดออก พออ่านจบ ก็ตกใจจนลุกขึ้น แล้วออกคำสั่ง “รีบไปเรียกตัวซื่อจื่อกับพระชายาซื่อจื่อเข้ามาเดี๋ยวนี้”
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนประชุมเช้าเสร็จ กลับจวนมา ยังไม่ทันได้นั่ง ก็มีคนจากวังหลวงมา
เขาขมวดคิ้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นรึ”
“บ่าวก็ไม่ทราบ รู้เพียงแต่ฮ่องเต้ได้รับรายงานด่วน พออ่านจบ สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เลยเรียกซื่อจื่อเข้าวังโดยทันที” ขันทีกล่าว
รายงานเร่งด่วนงั้นรึ? หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน ลุกขึ้น ออกจากจวนไป รีบขี่ม้ามาวังหลวงโดยทันที ยื่นเชือกผูกม้าให้ขันทีที่อยู่หน้าประตู แล้วรีบเดินมาที่ห้องหนังสือทันที
เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนออกไป หวงฝู่ซวิ่นกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือด้วยความกระวนกระวาย พอเห็นทั้งสองคนเข้ามา ก็ยื่นรายงานด่วนนั้นให้กับหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าดูนี่”
หวงฝู่อี้เซวียนรับมา เปิดอ่าน เป็นลายมือของท่านอ๋องฉี เนื้อหาเขียนเล่าเรื่องราวที่ทุกคนได้เจอมาอย่างละเอียด และเรื่องที่สะพานขาด ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายกันไปไม่น้อย แล้วก็เอาความกังวลของตนกับพระชายาฉีเขียนลงไปในนั้นด้วย
ท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีพาเด็กสองคนออกไปเที่ยว ไม่ได้มีเป้าหมาย ไปตามใจของตนเอง หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาไปที่ไหนยังไง แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปถึงเจียงหนาน แต่ว่าเขาได้จัดองครักษ์ลับติดตามสิบกว่านายเพื่อคุ้มกันอันตราย แต่ตอนนี้ดันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ในขณะที่พวกเขากำลังชะล่าใจ เย่ว์เอ๋อร์เกือบโดนคนข่มเหงแล้วจับตัวไป ส่วนเขาและพระชายากับเมิ่งเอ๋อร์ก็เกือบโดนทำร้าย และคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่างนี้ ก็คือบ้านแม่ยายของจวนอู่โหวนั่นเอง เป็นบ้านของฮูหยินจวนอู่โหว และตระกูลฮั่วยังมีอิทธิพลมากในเจียงหนานอีกด้วย
พอปะติดปะต่อได้ถึงความแค้นที่จวนอู่โหวมีต่อพวกเขา หวงฝู่อี้เซวียนจึงรู้สึกไม่ดี พูดออกมาว่า “พี่ใหญ่ ข้ากับโยวเอ๋อร์จะออกเดินทางไปเจียงหนานเดี๋ยวนี้ ท่านรีบเรียกตัวอู่โหวเข้ามา หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขาล่ะก็ ท่านให้เขาล้มเลิกเดี๋ยวนี้ กลับตัวตอนนี้ยังไม่สาย แต่ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจวนอู่โหวจริงล่ะก็ ท่านก็ถามให้แน่ชัด ว่าฮั่วเจี่ยทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร”
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า “พวกเจ้าไปคนเดียวไม่เหมาะสม ข้าจะส่งขุนนางตัวแทนของข้าไปด้วย สั่งให้เขาเดินทางไปกับพวกเจ้า แล้วมอบอำนาจในการประหารก่อนแล้วค่อยรายงานให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก แล้วเสนอว่า “ให้ชิงเอ๋อร์ไปเถอะ เขามีวรยุทธ์ติดตัว เดินทางไปกับพวกเราได้ ถ้าเป็นขุนนางคนอื่นๆ คงไม่ไหว”
เรื่องเร่งด่วน พวกเขาต้องขี่ม้าไปทั้งวันทั้งคืน ขุนนางบางคนก็มากเรื่อง พอหมดวันก็ต้องหาที่พัก กว่าจะเดินทางถึงเจียงหนานอย่าพูดว่าจะถึงภายในสามวันเลย หวงฝู่ซวิ่นจึงพยักหน้า “ได้ พวกเจ้ากลับจวนไปก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะเรียกเมิ่งชิงเข้าวัง”
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากวังหลวงมา รีบกลับจวนไป หวงฝู่อี้เซวียนไปเตรียมตัว ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวไปหาเจียงจิ่น “เกิดเรื่องกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ข้ากับท่านพี่จะรีบไปเจียงหนาน หลังจากอวี้เอ๋อร์กลับมา บอกเขาว่าไม่ต้องออกไปไหนแล้ว ปิดจวนให้สนิท ไม่ว่าใครมา ห้ามให้เข้าพบเด็ดขาด”
หวงฝู่อวี้ไปตรวจตราร้านค้ามา หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยไปกั๋วจื่อเจี้ยน เหลือแต่เจียงจิ่นที่อยู่จวน พอฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ก็ตกใจ รีบถามว่า “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ยังปลอดภัยใช่ไหมเจ้าคะ”
“ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลมาก บางทีอาจจะแค่การข่มขู่เท่านั้นก็ได้”
เจียงจิ่นอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินไปที่เรือนของนางเสียแล้ว
พอทั้งสองออกมา หวงฝู่ซวิ่นก็เรียกตัวเมิ่งชิง เสร็จแล้วก็ออกคำสั่งให้เขาไปสำเร็จราชการแทนฮ่องเต้พร้อมกับมอบดาบอาญาสิทธิ์ให้แก่เขา บอกว่า “เจ้าต้องรับรองว่าพวกเสด็จอาจะต้องไม่เป็นอะไร เมื่อยามจำเป็น ก็ประหารก่อนแล้วค่อยมารายงาน”
เมิ่งชิงน้อมรับราชโองการ พอออกจากวังหลวงมา ก็รีบไปที่จวนอ๋องฉีทันที
แล้วหวงฝู่ซวิ่นก็สั่งให้คนไปเรียกตัวนายท่านและนายน้อยอู่โหวเข้าวัง ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามพวกเขาตรงๆ เลยว่าได้ร่วมมือกับตระกูลฮั่วแห่งเจียงหนานทำร้ายครอบครัวท่านอ๋องฉีหรือไม่
อู่โหวทั้งสองตกใจจนเหงื่อตก นายท่านอู่โหวก็พูดตะกุกตะกักออกมาว่า “ฝ่าบาท ท่านตรัสเช่นนี้ได้อย่างไร แม้กระหม่อมจะมีปัญหากับท่านอ๋อง แต่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป จะมาลอบฆ่าทำไมล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นก็เอารายงานด่วนส่งให้เขาดู
นายท่านอู่โหวรับไป อ่านเนื้อหาทั้งหมด ก็ตกใจจนแทบเป็นลม รีบคุกเข่าลงทันที “ขอฝ่าบาทโปรดตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ การกระทำของตระกูลฮั่วในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับจวนอู่โหวเลยสักนิดพ่ะย่ะค่ะ”
นายน้อยอู่โหวพออ่านแล้ว ก็ตกใจเป็นอย่างมาก คุกเข่าตามลงไป แล้วพูดเหมือนนายท่านอู่โหวว่า “ฝ่าบาท แม้ว่าตระกูลฮั่วจะเป็นบ้านแม่ยายของกระหม่อม แต่นอกจากเวลาตรุษจีนที่จะส่งของขวัญไปให้ พวกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยพ่ะย่ะค่ะ การกระทำที่ชั่วช้าของพวกเขา เรื่องที่ทำร้ายชาวบ้าน พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วพวกเขาจะทำร้ายเสด็จอาด้วยเหตุใดกัน” หวงฝู่ซวิ่นไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด จึงถามด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขราม
“เอ่อ… …” นายน้อยอู่โหวลอกแลก พูดตะกุกตะกักตอบไม่ได้
หวงฝู่ซวิ่นทุบโต๊ะ สีหน้ากริ้วโกรธ “นายน้อยอู่โหว เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำโทษพวกเจ้างั้นรึ เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าริบตำแหน่งคืนงั้นรึ”
นายน้อยอู่โหวก้มกราบลงไปกับพื้น เหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ขนาดที่ว่าชุดราชการของเขาเปียกชุ่มไปหมด มือทั้งสองข้างสั่นรัว เอาหัวกระแทกพื้นลงไปหนึ่งครั้งแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทโปรดอภัย ปีที่แล้วกระหม่อมได้ส่งลูกสาวผู้โง่เขลาของกระหม่อมไปเจียงหนานพ่ะย่ะค่ะ บางที… …”
“บางทีอะไร”
หวงฝู่ซวิ่นถามด้วยความโกรธ
แล้วนายน้อยอู่โหวก็รีบตอบ “บางทีลูกสาวของกระหม่อมเจอกับพวกเขาเข้า เลยจำพวกเขาได้ก็ไม่แน่พ่ะย่ะค่ะ”
หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจวนอู่โหว การที่คุณชายจวนอู่โหวพูดเช่นนี้ ก็พอเข้าใจได้ หวงฝู่ซวิ่นก็ผ่อนลง “ท่านอู่โหวทั้งสอง อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าพวกท่านเลย แต่เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ตระกูลฮั่วอยู่ที่เจียงหนานมานาน แถมยังสถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้ในพื้นที่นั้นอีกด้วย คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือของตนเสียหมด เห็นว่าชาวบ้านล้วนอยู่ในอำนาจของตน กล้าทำลายสะพานด้วยความแค้นส่วนตัว วางแผนลอบฆ่าพวกเสด็จอา แล้วยังพรากชีวิตชาวบ้านไปมากมายอีกด้วย หากไม่จัดการ ชาวบ้านก็จะอยู่อย่างไม่สงบ ดังนั้น ข้าหวังว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริง เพราะไม่เพียงแต่มันจะรักษาเกียรติของจวนอู่โหวได้ แถมยังรักษาชีวิตอีกหลายร้อยชีวิตในจวนอู่โหวของเจ้าได้อีกด้วย”
พอได้ยินเขาพูดดังนั้น นายท่านจวนอู่โหวก็โล่งใจ ก้มกราบเอาหัวกระแทกลงไปอย่างแรง แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงตรวจสอบด้วยเถิด จวนอู่โหวของเราภักดีต่อฝ่าบาท ไม่คิดการอื่นแน่นอน เรื่องวันนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแน่นอน ส่วนตระกูลฮั่วแห่งเจียงหนาน ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ สมควรฆ่าล้างตระกูลเก้าชั่วโคตรพ่ะย่ะค่ะ”
คำทุกคำพูดออกมาอย่างฉะฉาน ไม่มีความลังเลเลยสักนิด
หวงฝู่ซวิ่นจึงวางใจลงได้เล็กน้อย พยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ท่านอู่โหวทั้งสองลุกขึ้นเถิด ข้าได้ยินมาว่าเสด็จอากำลังลำบาก เลยร้อนใจ อาจจะพูดจาแรงไปหน่อย ขอท่านอู่โหวทั้งสองอย่าได้ถือสา”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 85 การตัดสินใจของ...
แม้ว่าจะโดนกล่าวหาเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่ฮ่องเต้ได้ลดอารมณ์ลงมากแล้ว อู่โหวทั้งสองจะไม่รับก็ไม่ได้ เลยได้แต่พูดว่า “กระหม่อมมิกล้า” ในขณะที่นายน้อยอู่โหวกำลังจะลุกขึ้น ก็เหลือบไปเห็นนายท่านอู่โหวยังไม่ลุก เลยตกใจคุกเข่าลงไปอีกครั้ง
นายท่านอู่โหวเงยหน้าขึ้น มองไปที่หวงฝู่ซวิ่น แล้วอ้อนวอนว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อเรื่องนี้เอี่ยวโยงมาถึงจวนอู่โหว พวกเรามิอาจนิ่งดูดายได้ กระหม่อมขอร้องให้ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้นายน้อยอู่โหวไปเจียงหนาน จับตระกูลฮั่ว มาล้างมลทินให้กับจวนอู่โหวด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
นายท่านอู่โหวพูดจบ หวงฝู่ซวิ่นก็หรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย
ส่วนนายน้อยอู่โหวลำบากใจเหลือเกิน ตระกูลฮั่วเป็นบ้านแม่ยายของตน ถ้าหากมีรับสั่งให้ตนไปเจียงหนานจริง เพื่อตรวจสอบพวกเขาล่ะก็ แล้วจะมองหน้าฮูหยินของเขาติดได้อย่างไร แล้วเงินที่ได้มาปีละหนึ่งล้านตำลึงจะเอามาจากไหนอีก
แต่นายท่านอู่โหวเป็นเจ้าบ้าน ต้องคิดหนักกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ตระกูลฮั่วโดนฮ่องเต้จับตาแล้ว คาดว่าต้องพบจุดจบไม่สวยแน่ หากไม่อาศัยโอกาสนี้ทำผลงาน ต่อไป ฮ่องเต้คงไม่ไว้ใจจวนอู่โหวอีก ตำแหน่งนี้ก็คงดำรงได้อีกไม่นาน ดังนั้น จึงตัดสินใจกัดฟันพูดอ้อนวอนออกมาเช่นนั้น
ห้องทรงพระอักษรเงียบสงัด หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้พูดว่าดี หรือไม่ดี ได้แต่มองจ้องไปที่พวกเขา
นายท่านอู่โหวใจเต้นรัว ฮ่องเต้จะไว้ใจจวนอู่โหวหรือไม่ก็ดูกันที่ครานี้ หากฮ่องเต้ตอบรับ ก็แสดงว่าเชื่อใจ เขาจะได้วางใจได้ แต่หากไม่ปฏิเสธ ก็แสดงว่าสงสัยในจวนอู่โหว ต่อไปจวนอู่โหวก็คงไม่เป็นเหมือนเคย คงต้องอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเสียหน่อยแล้วล่ะ
แต่นายน้อยอู่โหวไม่ได้คิดเช่นนั้น ฮ่องเต้ไม่ตอบรับ เขาก็ไม่ต้องไปเจียงหนาน แล้วก็ไม่ต้องมารับกรรมว่าเป็นคนแล้งน้ำใจอีกด้วย
ไม่นาน หวงฝู่ซวิ่นก็เอ่ยปาก พูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ที่นายท่านอู่โหวขอ มาจากใจจริงงั้นรึ”
“กราบทูลฝ่าบาท เพื่อความผาสุขของบ้านเมือง กระหม่อมจะทำสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ” นายท่านอู่โหวตอบอย่างไม่ลังเล
หวงฝู่ซวิ่นมองไปที่นายน้อยอู่โหว แล้วถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ”
“กระหม่อม… …” นายน้อยอู่โหวชะงักไป แต่พอนายท่านอู่โหวมองเขาด้วยสายตาพิฆาต เลยรีบพูดว่า “ความคิดของท่านพ่อก็เหมือนความคิดของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าอนุญาต ออกคำสั่งให้นายน้อยอู่โหวเดินทางไปเจียงหนาน ตรวจสอบตระกูลฮั่ว หาหลักฐานมาเอาผิดพวกเขาให้ได้”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” นายท่านอู่โหวแทบจะข่มความดีใจไว้ไม่อยู่
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง!” นำเสียงของนายน้อยอู่โหวมีความหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
หลังจากรับคำสั่ง และขอบพระคุณเสร็จ ก็กลับจวนมาเก็บของเตรียมไปเจียงหนาน พอสองพ่อลูกเดินออกมาจากวัง นายท่านอู่โหวเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตน ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดีที่รักษาตำแหน่งอู่โหวเอาไว้ได้ เขาก็นอนตายตาหลับแล้ว
แต่ใจของนายน้อยอู่โหวไม่ยินดีเลยสักนิด พอขึ้นรถม้า ก็กล่าวโทษออกมาด้วยความไม่พอใจ “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึง… …”
“หุบปาก! มีอะไรกลับจวนไปค่อยพูด” นายท่านอู่โหวตะคอกใส่
นายน้อยอู่โหวหุบปาก แล้วมีท่าทีไม่พอใจจนกลับมาถึงจวน พอกำลังจะไปเก็บของที่เรือนของตน นายท่านอู่โหวก็พูดว่า “ตามข้าไปที่ห้องหนังสือ” พูดจบ ก็สั่งบ่าวรับใช้ที่คอยติดตามว่า “เจ้าไปเรียกฮูหยินมาด้วยไป”
ห้องหนังสือเป็นสถานที่สำคัญ ฮูหยินอู่โหวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปมาหลายปีแล้ว พอได้รับรายงานจากบ่าวรับใช้ จึงนึกสงสัย แล้วเดินมาที่ห้องหนังสือด้วยความกังวลใจ
เห็นนายน้อยอู่โหวอยู่ด้วย ความกังวลก็ยิ่งทวีคูณขึ้น เลยย่อเข่าคารวะ แล้วถามว่า “ท่านพ่อ ท่านเรียกข้ามาด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“ระหว่างบ้านแม่เจ้ากับจวนอู่โหว เจ้าเลือกสักที่เถิด” นายท่านอู่โหวพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
ฮูหยินอู่โหวก็ตกใจ รีบหันไปมองนายน้อยอู่โหว
นายน้อยอู่โหวได้แต่อ้าปาก แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
ฮูหยินอู่โหวรู้สึกได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน เลยคุกเข่าลงถามว่า “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใดท่านถึงต้องพูดเช่นนี้”
นายท่านอู่โหวมองไปที่นายน้อยอู่โหว “เจ้าบอกนางไปเถิด”
นายน้อยอู่โหวเห็นฮูหยินผู้งดงามของเขาต้องคุกเข่าลงอย่างร้อนใจ ก็เจ็บปวดใจนัก อยากจะเข้าไปพยุงนางขึ้นมา
แล้วฮูหยินอู่โหวก็จับมือของเขา ถามด้วยความร้อนใจว่า “ท่านพี่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ บอกข้ามาสิ”
“เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด ข้าจะบอกเจ้าให้”
ฮูหยินอู่โหวไม่ลุก บอกว่า “ท่านพี่ ท่านบอกข้ามาก่อน ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
นายน้อยอู่โหวไม่รู้จะทำอย่างไร เลยบอกเรื่องทุกอย่างกับนางไป
สีหน้าของฮูหยินอู่โหวแสดงถึงความไม่เชื่อ แล้วพูดพึมพำว่า “เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“ฮ่องเต้ได้รับรายงานด่วนจากท่านอ๋องฉีมา มีอะไรเป็นไปไม่ได้อีกเล่า วันนี้ข้าได้ขอราชโองการให้เขาเดินทางไปเจียงหนานเพื่อตรวจสอบต้นสายปลายเหตุต่างๆ หากว่าเป็นอย่างที่ท่านอ๋องพูดจริงๆ ว่าตระกูลฮั่วของเจ้าสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แห่งเจียงหนานแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครหน้าไหนคงช่วยเขาไม่ได้ ตอนนี้ข้ามีตัวเลือกให้เจ้าสองทาง ข้อแรกอยู่ที่จวนอู่โหวแห่งนี้ คิดเสียว่าไม่มีบ้านของเจ้าแล้ว ต่อไปห้ามพูดเรื่องนี้อีก อย่างที่สองข้าจะให้ใบหย่ากับเจ้า แล้วเจ้ากลับไปเจียงหนาน ไปร่วมชะตากรรมกับครอบครัวของเจ้า”
ฮูหยินอู่โหวส่ายหน้า น้ำตาไหลริน “ท่านพ่อ ตอนข้ามีชีวิต ก็เป็นคนของจวนอู่โหว ตายก็เป็นผีของจวนอู่โหว จะกลับบ้านไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็กลับเรือนของเจ้าไปเสีย ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามออกมาเด็ดขาด”
“ท่านพ่อ!” นายน้อยอู่โหวพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่พอจะต่อต้าน ก็โดนนายท่านอู่โหวตะคอกใส่ “หุบปาก!”
ปากที่อ้าอยู่ของนายน้อยอู่โหวก็ปิดลง ไม่กล้าพูดออกมา
ฮูหยินอู่โหวลุกขึ้น ปาดน้ำตาแล้วเดินสะอื้นออกไป
นายน้อยอู่โหวอยากตามออกไป แต่โดนนายท่านอู่โหวห้ามเอาไว้ “หยุดเดี๋ยวนี้!”
นายน้อยอู่โหวหันกลับมาบอกว่า “ท่านพ่อ ลูกจะกลับไปเก็บของ”
“ไม่ต้อง ข้าสั่งให้คนเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าก็เริ่มออกเดินทางได้แล้ว”
พูดจบ ก็สั่งพ่อบ้าน ให้ไปที่ห้องบัญชีเอาเงินมา สั่งให้คนไปที่เรือนของเขา ให้สาวใช้ช่วยเก็บเสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นประจำ แล้วส่งเขาออกจากจวนไปด้วยตนเอง ขึ้นบนหลังม้า หวดแซ่แล้วออกเดินทาง เขาถึงได้ถอนหายใจออกมา เงยหน้า แล้วมองประตูจวนอู่โหว ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงประทานเกียรติยศและบรรดาศักดิ์ให้กับเขาด้วยตนเอง ในใจก็รู้สึกกระวนกระวายบอกไม่ถูก
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งชิงขี่ม้าเร็ว นำองครักษ์ลับออกจากเมืองหลวงมา ทำให้เกิดความตระหนกกันไปทั้งเมือง ทุกคนต่างคาดเดากันไปต่างๆ นาๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ขบวนผู้แทนพระองค์ก็ตามหลังมาติดๆ ออกจากเมืองมาอย่างอลม่าน เช่นนี้จึงยิ่งทำให้คนมั่นใจได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ
เมิ่งชิงไม่มีเวลากลับจวนเลย ได้แต่เขียนจดหมายไปหนึ่งฉบับ บอกกับทางครอบครัวอย่างรีบร้อน ว่าเขาติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนไปเจียงหนาน ส่วนเรื่องอะไรนั้น ไม่กล้าบอก คนที่จวนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเอาจดหมายส่งให้หวงฝู่อี้ ให้เขาเอาไปส่งให้ที่เรือนนอกเมือง
หวงฝู่อวี้ก็ได้ยินความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน จึงรีบกลับจวนมาทันที เจียงจิ่นเอาคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับเขา แล้วหวงฝู่อวี้ก็นั่งลง พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ไปกันหมดแล้ว แสดงว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเสด็จพ่อจริงๆ น่ะสิ อีกทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย แต่ว่า ให้ตายยังไงเขาก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องใหญ่เท่านั้น แถมเป็นเรื่องความเป็นความตายอีกด้วย พวกเขาเกือบจะไม่มีชีวิตรอดอยู่แล้ว
ณ เจียงหนาน
หลังจากจูจือหมิงตัดสินใจได้แล้ว มั่นใจแล้ว ก็กินข้าวปกติ ใส่ชุดราชการ ไปที่ที่ว่าการเจ้าเมืองก่อน พอเห็นว่าไม่มีเรื่องรีบร้อนอะไรที่จะต้องจัดการ จึงนั่งเกี้ยวของตนไปที่จวนฮั่ว
วันที่สี่แล้ว ฮั่วเจี่ยคิดไว้แล้วว่าจูจือหมิงต้องมา เขานั่งรอที่ห้องรับแขกตั้งแต่เช้าแล้ว
พ่อบ้านเข้ามารายงานว่าท่านเจ้าเมืองมา ฮั่วเจี่ยจึงยิ้มออกมาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม แล้วสั่งให้พาเขาเข้ามา
พอจูจือหมิงเข้าห้องรับแขกมา ฮั่วเจี่ยก็ยืนขึ้นต้อนรับทันที “ท่านเจ้าเมือง”
“นายท่านฮั่ว” จูจือหมิงยิ้มรับทักทาย
“ดูเหมือนว่าท่านเจ้าเมืองจะตัดสินใจได้แล้วสินะ” ฮั่วเจี่ยไม่รอช้า ถามไปตรงๆ
จูจือหมิงพยักหน้า “นายท่านฮั่ว เพียงแค่ท่านทำในส่วนของท่าน ข้าจะไม่ก้าวก่าย แต่ว่า ข้าจะไม่ส่งคนไปช่วยท่านเด็ดขาด”
ฮั่วเจี่ยหัวเราะออกมา “พวกเราตกลงกันไว้แล้วนี่ ท่านเจ้าเมืองวางใจเถิด”
“ถ้าเช่นนี้ ข้าขอตัวก่อน ที่ว่าการเจ้าเมืองมีเรื่องให้ต้องจัดการน่ะ”
“รอเดี๋ยวก่อน” ฮั่วเจี่ยหยิบตั๋วเงินออกมาทั้งหมดหนึ่งแสนตำลึง มอบให้กับเขา “เงินพวกนี้ ท่านเจ้าเมืองรับไว้เถิด”
จูจือหมิงไม่ได้บ่ายเบี่ยง รับไว้ แล้วเดินออกจากห้องรับแขกไป
ฮั่วเจี่ยเห็นเขาเดินออกไป ก็แสยะยิ้มออกมา
สามวันมาแล้ว คดีความยังไม่มีความคืบหน้า ท่านอ๋องฉีเลยเรียกจูจือหมิงเข้ามาถาม
จูจือหมิงเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว บอกว่าตระกูลฮั่วอยู่เจียงหนานมานาน ต้นไม้ใหญ่ย่อมหยั่งรากลึก เวลาทำอะไรจึงแนบเนียนไปหมด เขาสืบมาสามวัน เพิ่งจะได้แค่เบาะแสเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขอท่านอ๋องฉีได้โปรดให้เวลากับเขาเสียหน่อย เขาจะเปิดโปงความจริงให้ได้ น้ำลดตอผุด พอถึงเวลานั้นค่อยขุดรากถอนโคนตระกูลฮั่วให้สิ้นซาก
ท่านอ๋องฉีเชื่อเขา จึงปล่อยเขากลับที่ว่าการเจ้าเมืองไป
ฮั่วเจี่ยเรียกฮั่วต้าเข้ามา ถามว่าเตรียมการไปถึงไหนแล้ว
ฮั่วต้ารายงาน “นายท่านโปรดวางใจ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว รอเวลากลางดึกเท่านั้น พวกเราก็จะจัดการทันทีขอรับ”
ยามดึก พ้นยามจื่อ[1]ไปแล้ว ทุกบ้านปิดประตูกันหมด ชาวบ้านต่างนอนหลับ ส่วนพวกท่านอ๋องฉีกับพวกเซี่ยเฟิงก็ไม่ต่างกัน นอนหลับกันหมด
แล้วก็มีชายเสื้อดำสิบกว่านายมายืนอยู่หน้าตรงเตี๊ยม
ฮั่วต้าใส่เสื้อดำ ปิดหน้า แล้วทำมือบอกกับลูกน้องของเขา
คนเสื้อดำเหล่านั้นก็พยักหน้า รีบแยกย้ายไปล้อมโรงเตี๊ยมเอาไว้ทั้งหมด
ประตูโรงเตี๊ยมโดนขัดเอาไว้ คนเสื้อดำพวกนั้นจึงอ้อมไปที่ด้านหลัง เข้าไปในห้องที่เสี่ยวเอ้อร์นอนอยู่ ใช้มีดแทงจนเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นตายอย่างไม่รู้ตัว
คนเสื้อดำพยักหน้าให้กับพวกของตน แล้วรีบถอยออกไป เข้าทางประตูหลังไปยังห้องหลัก เอาที่ขัดประตูออก แล้วเปิดประตูโรงเตี๊ยมออกอย่างไม่มีเสียงเลยสักแอะ
ฮั่วต้าเดินเข้าไป เท้าเบายิ่งกว่าแมวเสียอีก กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพยักหน้าให้กับลูกน้อง
คนเสื้อดำสิบกว่าคนก็หยิบของรูปทรงกระบอกออกมาเปิดฝาออก มีกลิ่นแปลกๆ ออกมาจากในนั้น
โยนของรูปทรงกระบอกนั้นในทุกๆ มุมของโรงเตี๊ยม แล้วรีบออกมา ปิดประตูโรงเตี๊ยมทันที
ส่วนฮั่วต้ายืนเอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง พอคิดว่าได้ที่แล้วก็โบกมือ
คนเสื้อดำเอาเชื้อไฟที่เตรียมมา เปิดประตูออก แล้วโยนเข้าไปด้านใน เสร็จแล้วก็ปิดประตูโรงเตี๊ยมจากด้านนอก
แล้วฮั่วต้าก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เฝ้าทุกมุมของโรงเตี๊ยมไว้ให้ดี ไม่ว่าใครออกมา ฆ่าทิ้งให้หมด!”
[1] ยามจื่อ หมายถึงช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 86 สู้จนตัวตาย
วันนั้นที่ท่าป๋าหั่นหลินทำไม่สำเร็จ พอกลับมาโรงเตี๊ยม จึงโมโหขึ้นมาทันที สั่งให้คนไปสืบมาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่เชื่อว่าตนจะดวงซวยอะไรขนาดนั้น ที่พอจะเข้าใกล้หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้หน่อยก็พลาดครั้งแล้วครั้งเล่า
บ่าวรับใช้ของเขาไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน เลยตกใจจนตัวสั่น รีบออกไปสืบทันที พอได้ความ ก็รีบกลับมารายงานว่า “เจ้านาย บ่าวได้ไปสืบมาแล้ว เป็นเพราะตระกูลฮั่วของที่นี่มีความแค้นกับท่านอ๋องฉี เลยอยากใช้โอกาสนี้จัดการกับพวกเขา เลยสั่งให้คนไปทำลายสะพานขอรับ”
ท่าป๋าหั่นหลินฟังจบ ก็แสยะยิ้มเยาะเย้ยออกมา ฮ่องเต้แห่งรัฐอู่ ไหนว่าดูแลเข้มงวด บ้านเมืองสงบสุขกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ปลอดภัย แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ดันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าหากไม่ติดเรื่องฐานะล่ะก็ อยากจะรู้จริงๆ ว่าพอหวงฝู่ซวิ่นได้รับรายงานแล้ว จะอับอายแค่ไหน
ในขณะเดียวกัน ความโกรธแค้นภายในใจก็เริ่มปะทุออกมา
ท่าป๋าหั่นหลินวางงานราชการของรัฐตัวเองลง ตามมาก็หลายเดือนแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาส จริงๆ ควรทำสำเร็จตั้งนานแล้ว แต่กลับโดนตระกูลฮั่วชิงตัดหน้าไปเสียก่อน จนทำให้ต้องพลาดโอกาสทองตรงนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปมันเมื่อใดจึงจะมีโอกาสดีๆ เช่นนี้อีก คิดได้ดังนั้น จึงโกรธเป็นอย่างมาก กดเสียงต่ำถามว่า “สืบมาแน่ชัดหรือยังว่าตระกูลฮั่วมีความแค้นอะไรกับพวกเขา”
มีหรือบ่าวของเขาจะพลาด เลยรายงานเพิ่มเติมไป
ท่าป๋าหั่นหลินฟังจบ จึงโกรธแล้วออกคำสั่งว่า “จับตาดูตระกูลฮั่วให้ดี แล้วหาวิธีเอาตัวคุณหนูอู่โหวมาให้ได้ ข้าอยากจะถามเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่างเอง”
แล้วบ่าวก็รับคำสั่งออกไปทันที ไปจับตาดูตระกูลฮั่ว แล้วหาโอกาสลงมือ
คืนนี้ ฮั่วต้าพาคนจำนวนหนึ่งออกมา ก็โดนจับได้เช่นเดียวกัน พอบ่าวเห็นเช่นนั้นก็มองหน้ากัน แล้วมีคนหนึ่ง รีบวิ่งกลับมาที่โรงเตี๊ยมรายงานท่าป๋าหั่นหลินทันที
พอของทรงกระบอกนั่นถูกโยนเข้าไป หวงฝู่สือเมิ่งจึงได้กลิ่นแปลกๆ นางเลยตื่นทันที ลืมตาลุกขึ้นนั่ง แล้วเขย่าตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ “เย่ว์เอ๋อร์ ตื่นเร็ว มีกลิ่นอะไรแปลกๆ น่ะ”
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่นางก็สูดควันยาสลบเข้าไปบ้างแล้ว เลยมีอาการมึนงง หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็สูดเข้าไปด้วยเช่นกัน เลยตอบรับอย่างงงๆ อยากลุกขึ้นมา แต่เปลือกตาหนักเสียเหลือเกิน จะลืมตายังไงก็ลืมไม่ขึ้น
หวงฝู่สือเมิ่งเอามือมาปิดจมูก แล้วลุกออกจากเตียง เดินมาที่กระเป๋า เปิดออก แล้วหยิบขวดสีขาวออกมา เทยาใส่มือแล้วเอาเข้าปากไป เสร็จแล้วก็ฟุบลงกับที่ สูดหายใจเข้าออก พอยาเริ่มออกฤทธิ์ สมองก็เริ่มปลอดโปร่ง ร่างกายเริ่มมีแรง จึงลุกขึ้นจากพื้น เดินไปที่เตียง แล้วรีบเทยาออกมาป้อนเข้าปากหวงฝู่เย่าเย่ว์ “เย่ว์เอ๋อร์ กลืนเข้าไปสิ!”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงรู้สึกตัวอยู่ พอได้ยินคำพูดนาง ก็กลืนลงไป
หวงฝู่สือเมิ่งร้อนใจ พอเห็นนางกลืนลงไปแล้ว จึงรีบเดินออกไป เปิดประตูห้อง เห็นโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยควันยาสลบ เลยพูดในใจว่าแย่แล้ว เสร็จจึงหันกลับไปเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ตื่น เลยบอกว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ลุกขึ้น พวกเราต้องไปห้องท่านปู่กับท่านย่า”
พูดจบ ก็วิ่งไปที่ห้องข้างๆ ก่อนใช้ร่างกายพังประตูเข้าไปอย่างไม่คิด
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เดินตามมาอย่างช้าๆ
เห็นท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีนอนนิ่งอยู่บนเตียง หวงฝู่สือเมิ่งชนประตูเสียงดังขนาดนั้น ยังทำให้พวกเขาตื่นไม่ได้ ก็แสดงว่าสูดยาสลบเข้าไปแล้วนั่นเอง
หวงฝู่สือเมิ่งเทยาออกมาสองเม็ด แล้วป้อนให้กับทั้งสองคน หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปพยุงพระชายาฉี แล้วออกแรงลูบหลังของนาง ให้นางกลืนยาลงไป เสร็จแล้วก็ทำเช่นเดียวกับอ๋องฉี
พอกินยาลงไป ท่านอ๋องฉีกับพระชายาจึงค่อยๆ ตื่นขึ้น พอเห็นว่าตรงหน้าเป็นหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ ท่านอ๋องฉีจึงเอ่ยปากถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“มีคนวางควันยาสลบในโรงเตี๊ยมเจ้าค่ะ ท่านปู่กับท่านย่าเลยสลบไป” หวงฝู่สือเมิ่งตอบ
ท่านอ๋องฉีเพิ่งตื่น ร่างกายเลยมีอาการเมื่อยล้า แต่สายตากลับมีความน่ากลัว และรอบๆ ก็เปล่งรังสีอำมหิตออกมา พูดว่า “ไอ้พวกสารเลว บังอาจมาใช้วิธีต่ำๆ เช่นนี้”
“ท่านปู่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาโกรธเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็แสดงว่าพวกองครักษ์ลับก็น่าจะสลบเช่นกัน ขวดนี้เป็นยาแก้พิษ พวกเราจะเอาไปให้พวกเขาเจ้าค่ะ”
ในเมื่อปล่อยควันพิษเข้ามาก่อน แต่ไม่ได้เข้ามาลงมือฆ่าโดยตรงเช่นนี้ ก็แสดงว่ายังมีศัตรูวนเวียนอยู่ ท่านอ๋องฉีเลยลงจากเตียง ใส่เสื้อคลุมแล้วสั่งว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าอยู่กับท่านย่าไป ปู่กับเมิ่งเอ๋อร์จะลงไปข้างล่าง”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า
ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งรีบลงมาอย่างรวดเร็ว และใช่แล้ว พวกองครักษ์ต่างสลบกันหมด
หวงฝู่เย่าเย่ว์เอายาป้อนใส่ปากของพวกเขาทีละคน ส่วนท่านอ๋องก็ช่วยให้พวกเขากลืนลงไป เซี่ยเฟิงลืมตาขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือ
มีคบเพลิงโยนเข้ามา โรงเตี๊ยมทั้งหลังมีแต่เสียงไฟไหม้
พอได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้น เซี่ยเฟิงจึงตื่น แล้วลุกขึ้นด้วยความตระหนก “ท่านอ๋อง!” เขาได้รับคำสั่งคุ้มกันพวกท่านอ๋องฉี แต่ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายล่ะก็ ต่อให้เขาตายหมื่นรอบก็มิอาจชดใช้ได้
“อย่าตระหนก!” ท่านอ๋องฉีตอบกลับไปด้วยความใจเย็น แล้วโบกมือให้กับพวกเขา ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน “สถานการณ์ตอนนี้ แสดงว่าข้างนอกจะต้องมีคนอยู่อีกแน่ๆ พวกเราจะนิ่งเฉยไม่ได้ ออกคำสั่งให้ทุกคนปิดปากปิดจมูกให้ดี แล้วออกทางด้านหลัง ส่วนที่เหลือจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากัน”
พูดจบ ก็เดินออกจากห้องขององครักษ์ลับ แล้วอาศัยโอกาสตอนไฟยังไม่ลุกมาก ฝ่าขึ้นไปด้านบน
หวงฝู่สือเมิ่งวิ่งตามอยู่ด้านหลัง ฝ่ากลับมาที่ห้องของตน เก็บของใส่กระเป๋าขึ้นมาสะพายเรียบร้อย แล้วมารวมตัวกับท่านอ๋องฉี
พระชายาฉีก็หยิบของที่จำเป็น แล้วเดินออกมา
ทั้งสี่คนรีบลงมาชั้นล่าง
ไฟเริ่มลามไปทั่วโรงเตี๊ยม ควันไฟทำให้ทุกคนหายใจกันแทบไม่ได้
เซี่ยเฟิงยืนรออยู่ตรงหน้าบันไดด้วยสีหน้าร้อนรน ปัดไฟที่อยู่รอบๆ ออก พอให้ทุกคนลงมาได้
ส่วนพวกองครักษ์ลับที่เหลือก็ยืนปิดจมูกรออยู่อีกทาง
พอทุกคนลงมา องครักษ์ลับล้อมพวกเขาฝ่าออกไปทางด้านหลัง พอเปิดประตูระหว่างห้องโถงกับด้านหลังออก
ก็มีธนูพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วและแรง
องครักษ์ลับตกใจ พยายามหลบ แต่มิวายโดนยิงเข้าที่ไหล่ ร่างกายเลยทรุดลง พอก้าวออกมา ก็มีธนูยิงเข้ามาที่เขาอีก
ส่วนองครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลัง ก็ก้มลงกลิ้งกับพื้น หลบลูกธนู
ทั้งสองคนไม่กล้าหยุดนิ่ง กลิ้งไปกลิ้งมาจนมาถึงประตู
องครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลังล่าถอย เปิดทางให้พวกเขาเล็กน้อย แล้วทั้งสองคนก็กลิ้งเข้าประตูไป ถึงรอดมาได้
ไม่รู้ว่าศัตรูด้านนอกมีอยู่กี่คน องครักษ์ลับจึงไม่กล้าพุ่งเข้าไป ออกทางด้านหลังไม่ได้ ไฟในห้องโถงลามขึ้นเรื่อยๆ ในโรงเตี๊ยมมีแต่ควันไฟโขมง แถมยังมีกลิ่นไหม้ หากว่าไม่รีบออกไปล่ะก็ พวกเขาคงได้ตายคากองไฟแน่
ท่านอ๋องฉีจึงออกคำสั่ง “เซี่ยเฟิง พาทุกคนหาทางเปิดประตูให้ได้ แล้วออกทางด้านหน้า”
ทางประตูหลังเต็มไปด้วยพลธนู แสดงว่าประตูหน้าก็คงมีไม่น้อย แต่ก็มีแค่ทางเดียวเท่านั้น ต้องลองเสี่ยงดูเผื่อมีทางรอด
แล้วเซี่ยเฟิงก็พาคนไปพังประตู ออกแรงมหาศาลจนประตูสั่นคล้ายจะพังลง
ฮั่วต้ายืนอยู่ด้านหน้า พอเห็นประตูไม้สั่น และฟังเสียงองครักษ์ลับใช้แรงพังประตู ก็แสยะยิ้มออกมา ก็ดี มีชีวิตรอดออกมาก็ดี ข้าก็อยากจะรู้นักว่ามันคือใครกัน หลายปีที่อยู่เจียงหนานมา เขาทำเรื่องสีเทาให้กับท่านฮั่วมามากมาย ยังไม่เคยได้เจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้เลย เขาจึงดีใจขึ้นมา และมองด้วยสายตาอำมหิต
ชนอยู่ห้าหกรอบ ประตูก็ล้มลง แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา ทำให้เซี่ยเฟิงเห็นด้านนอกว่าเป็นกลุ่มคนสวมใส่เสื้อสีดำสนิท จึงตั้งสติ และสูดหายใจเข้าลึกๆ กระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว และเหล่าองครักษ์ลับก็ตามเข้าไป ส่วนพวกท่านอ๋องฉีอยู่ตรงกลางที่พวกเขาล้อมเอาไว้
ไม่รู้ว่าฮั่วต้าสะเพร่าหรือว่าจงใจ ด้านหลังมีแต่พลธนูเต็มไปหมด ออกไปคนหนึ่งก็ฆ่าคนหนึ่ง แต่ด้านหน้ามีแค่คนเสื้อดำยืนเฝ้าอยู่เท่านั้น เซี่ยเฟิงพุ่งออกไป ก็มีคนเสื้อดำพุ่งเข้ามาหาเขาทันที แต่ละคนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ลงมือเน้นแต่จุดที่เอาชีวิตได้ทั้งนั้น แสดงว่าอยากจบศึกภายในไม่กี่กระบวนท่า
ส่วนเซี่ยเฟิงโดนโจวอันเลือกให้มาคุ้มกันท่านอ๋องฉี แสดงว่าฝีมือต้องเป็นอันดับต้นๆ จะไปยอมให้พวกมันล้มง่ายๆ ได้อย่างไร จึงรีบควักมีดพกออกมา แล้วโต้กลับ
องครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลังก็เช่นกัน วินาทีความเป็นความตาย ทุกคนเลยพุ่งเข้าไป เพราะนี่เป็นทางรอดเดียว
ฮั่วต้าไม่มองการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่กลับยืนนิ่ง หรี่ตามองไปที่ท่านอ๋องฉีที่พวกองครักษ์ลับกำลังล้อมพากันออกมา เห็นท่าทางของเขานิ่ง ดูสง่า แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่มีความเกรงกลัว เขายังแอบชื่นชมท่านอ๋องฉีผู้ที่บุกป่าฝ่าดงเข้าไปช่วยฮ่องเต้องค์ก่อนกับเหล่าไทเฮาออกมาตัวเขาคนเดียว จนทำให้ตระกูลหวงฝู่ได้ครองแผ่นดินมาจนถึงทุกวันนี้ ณ เวลาความเป็นความตายเช่นนี้ ยังนิ่งได้ลงก็คงไม่แปลก แต่เสียดาย ที่วันนี้เขาต้องมาตายในน้ำมือของตน
ไม่พูดอะไรทั้งนั้น โบกมือให้เหล่าเสื้อดำกรูเข้าไป เพื่อบีบให้พวกเขากลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม
มีหรือองครักษ์ลับจะให้พวกเขาสมหวัง งัดกระบวนท่าออกมาฆ่าพวกมันไม่ยั้ง มีดพกที่อยู่ในมือต่างทะลวงเข้าไปในจุดตายของพวกคนเสื้อดำทั้งนั้น
คนเสื้อดำตกใจ จึงรีบถอยกลับไป ทำให้ที่หน้าประตูมีพื้นที่ว่าง แล้วองครักษ์ลับที่คุ้มกันพวกท่านอ๋องฉีก็ออกมาจากโรงเตี๊ยมได้
ไฟลุกโชนรุนแรง จนโรงเตี๊ยมมอดไหม้ ไม่รู้จะถล่มลงมาเมื่อไร
องครักษ์ลับที่ล้อมพวกท่านอ๋องฉีออกมาก็ยืนอยู่หน้าประตู
โรงเตี๊ยมจะถล่มลงมาเมื่อใดไม่มีใครรู้ ฮั่วต้าเข้าใจ และองครักษ์ลับก็เข้าใจ พอมีช่องโหว่ ก็ไม่กล้าหยุด รีบสู้กันต่อไป เพื่อไม่ให้เจ้านายเสียพื้นที่ว่างตรงด้านหน้านั้นไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น