ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 75-80
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 75 เงาลึกลับ(ต่อ)
“พี่ใหญ่!” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตะโกนเรียกแล้ววิ่งไปหานาง
หวงฝู่สือเมิ่งได้ยินก็วิ่งมา มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นแค่แขนเสื้อของนางที่ขาดเล็กน้อย กับหัวที่ยุ่งเหยิง แต่ไม่ได้มีแผลอะไร จึงโล่งใจ แล้วกล่าวโทษนางว่า “เจ้าก็วู่วามเกินไป ถ้าหากเป็นอะไรไปจะทำอย่างไร”
“ไม่หรอกพี่ใหญ่” พอผ่านพ้นอันตรายมาได้ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ท่านพ่อท่านแม่ส่งองครักษ์ลับมาดูแลพวกเราไม่ใช่หรือ เวลาพวกเราเจออันตรายพวกเขาจะปรากฏตัวน่ะ”
“เจ้าเนี่ยนะ ถ้าเจ้าพลาดขึ้นมาล่ะ แล้วเจ้าจะเสียใจ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กอดแขนหวงฝู่สือเมิ่ง “เอาล่ะพี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว วันหลังจะไม่วู่วามอีกแล้ว”
หวงฝู่สือเมิ่งได้แต่ส่ายหน้า ถามองครักษ์ลับว่า “แล้วพวกมันล่ะ”
“อยู่ตรอกทางนั้นขอรับ เดี๋ยวข้าจะกลับไปจัดการเดี๋ยวนี้” องครักษ์ลับ
“ในกระเป๋าสตางค์นั่นเหลือแต่เศษเหรียญ ไว้ชีวิตพวกเขา แล้วส่งไปที่ว่าการเจ้าเมืองก็พอ”
“ขอรับ”
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า แล้วหันไปถามหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “พวกเรารีบไปหาท่านย่ากันเถอะ นางคงเป็นห่วงแย่แล้ว”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบรับ แล้วเดินกอดแขนนางไปหาพระชายาฉี
พอองครักษ์ลับเห็นว่าพวกนางเดินหายเข้าไปในกลุ่มคนแล้ว ถึงหันหลังกลับไปที่ตรอกนั้น
องครักษ์ลับสี่คนกับชายฉกรรจ์สี่คน ยังไม่มีใครเปิดศึกก่อน ตอนนี้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างสลัดคราบคนปอดแหกออกไป แล้วกลับมาดูดุดันน่าเกรงขราม ความกล้าแกร่งของพวกมันแผ่ออกมาไม่แพ้ไปกับองครักษ์ลับที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มที่อยู่ไกลๆ คนนั้นกำมือแน่น องครักษ์ลับสามพันนายของหวงฝู่อี้เซวียน เขาเคยได้ยินมาก่อนแล้ว ตั้งแต่พวกท่านอ๋องฉีออกจากเมืองหลวงมา เขาก็ส่งคนมาติดตาม คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของพวกเขาตลอดเวลา แต่ตอนนี้ก็เกือบสองเดือนแล้ว กลับหาร่องรอยของพวกเขาไม่พบเลย เพราะเหตุนี้เขาจึงเลือกลงมือในวันนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าองครักษ์ลับพวกนี้จะออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โจมตีเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ทำลายแผนการของเขาจนหมดสิ้น และที่สำคัญ วันนี้คนของเขาคงไม่รอดแล้ว
องครักษ์ลับที่ไปส่งหวงฝู่เย่าเย่ว์กลับมา ยืนอยู่ตรงหน้าพวกมัน มองชายฉกรรจ์พวกนั้น แล้วถามว่า “จะให้พวกข้าลงมือ หรือว่าพวกเจ้าจะยอมจำนน”
ชายฉกรรจ์ที่ขโมยกระเป๋าสตางค์ไร้ซึ่งสีหน้าเกรงกลัว ยิ้มออกมาบอกว่า “ล้อเล่นน่า พวกเจ้าแค่ไม่กี่คน จะเอาชีวิตพวกข้างั้นรึ”
“ดูเหมือนว่าจะให้พวกข้าลงมือสินะ” องครักษ์ลับถาม
“อย่าพูดมากไปหน่อยเลย พวกเจ้าทำลายแผนการของข้า แล้วยังจะมาเจ๊าะแจ๊ะอีก ตายเสียเถิด!”
กล่าวจบ ก็เริ่มโจมตีด้วยท่าทีที่คล่องแคล่ว
อีกสามคนก็เข้าร่วมไปด้วย
หัวหน้าองครักษ์ลับยืนนิ่งอยู่กับที่
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ที่ไกลๆ กำลังจะโบกมือ สั่งให้คนเข้าไปช่วย แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงเอามือลง มองชายฉกรรจ์พวกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังจากไป
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ฝีมือไม่เลว สู้กันไปได้สิบกว่ากระบวนท่า ส่วนเหล่าองครักษ์ลับก็ไม่ออมมือเช่นเดียวกัน
“รีบจัดการให้เรียบร้อย เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่อง” องครักษ์ลับที่ยืนมองอยู่ออกคำสั่ง
พูดจบ ก็เข้าไปร่วมสู้ด้วย มีดเล็กที่อยู่ในมือ ปาดเข้าที่คอของชายฉกรรจ์คนหนึ่งอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ชายฉกรรจ์คนนั้นตาค้าง ล้มลงไปที่พื้น เลือดไหลนองออกมา จนพื้นเต็มไปด้วยสีแดงจากเลือด
ชายฉกรรจ์อีกสามคนสมาธิหลุด จนโดนองครักษ์ลับปาดคอไป แล้วทั้งสี่คนล้มลงกับพื้นไปตามๆ กัน แล้วค่อยๆ หมดลมหายใจไป
โค้งตัวลง พลิกตัวชายฉกรรจ์ขึ้น เก็บกระเป๋าสตางค์มาเป่าฝุ่น แล้วเก็บไว้อย่างดี หัวหน้าองครักษ์ลับก็ออกคำสั่งว่า “ทำลายเสีย”
องครักษ์ลับคนหนึ่งตอบรับ แล้วหยิบขวดดินเผาออกมาจากแขนเสื้อ เปิดออก แล้วเทลงบนศพของพวกชายฉกรรจ์
แล้วศพก็มีเสียง ซู่ๆ ออกมา จากนั้นก็มลายหายไป ถ้าหากว่าไม่มีเลือดหลงเหลืออยู่ล่ะก็ ก็แทบไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้เมื่อครู่นี้เลยด้วยซ้ำ
พอหัวหน้าองครักษ์ลับหันหลัง คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนก็ผุดขึ้นมาทันที ‘เมื่อใดที่พวกเจ้ารู้สึกว่าคนใดไม่ชอบมาพากล ก็ฆ่ามันให้หมด แล้วทำลายอย่าให้เหลือซาก อย่าให้เหลือร่องรอยที่จะเป็นปัญหาภายหลังได้’
ชายฉกรรจ์พวกนี้ แต่งตัวเป็นคนธรรมดา แต่พวกเขามีฝีมือไม่ธรรมดาเลย ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน แต่วันนี้พวกเขาไม่ได้มีเวลาไปสืบต่อว่าพวกมันเป็นใครจากไหน เพราะความปลอดภัยของเจ้านายต้องมาก่อน
เห็นพระชายาฉีร้อนรนอยู่ไกลๆ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ปล่อยแขนหวงฝู่สือเมิ่งออก แล้วเดินรุดเข้าไปในกลุ่มคน วิ่งมาหานาง ยิ้มแล้วพูดอ้อนว่า “ท่านย่า”
“เจ้าไปที่ใดมา ย่าตกใจแทบแย่ เจ็บตรงไหนหรือไม่” พระชายาฉีถาม
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร ท่านย่าไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ”
“ให้ย่าดูที” พระชายาฉีดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่านางไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน เลยโล่งใจ แล้วรู้สึกว่าขาแข้งของตนนั้นอ่อนระทวยลงทันที
“ท่านย่า!” หวงฝู่สือเมิ่งตกใจ รีบเข้าไปพยุงนาง แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
พระชายาฉีโบกมือ “ไม่เป็นไรๆ คงเพราะร้อนใจไปหน่อย ตอนนี้เลยไม่มีแรง พวกเจ้าพยุงข้ากลับไปที่รถม้าทีเถิด”
หวงฝู่สือเมิ่งไม่ขยับ แต่ใช้มือจับไปที่ชีพจรของเขา เพื่อดูว่านางไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แล้วถึงจะพยุงนางกลับไปหาท่านอ๋องฉี
ตอนที่พวกนางออกไปยังดีใจอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่นาน พระชายาฉีก็เดินกลับมาอย่างช้าๆ ท่านอ๋องฉีที่นั่งอยู่บนรถม้าเห็นว่าผิดแปลกไป เลยรีบลงมา รีบเดินไปหานาง แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอันใดงั้นรึ”
“เจอโจรเจ้าค่ะ มาขโมยกระเป๋าสตางค์เย่ว์เอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์บุ่มบ่ามตามพวกมันไป ข้าเป็นห่วง เลยหมดแรงเจ้าค่ะ” พระชายาฉีอธิบายคร่าวๆ ให้ท่านอ๋องฉีฟัง
ท่านอ๋องฉีหรี่ตา ตั้งแต่หวงฝู่ซวิ่นครองราชย์ ก็ได้พัฒนาการเกษตรอย่างเต็มรูปแบบ ลดหย่อนภาษี ชาวบ้านกินดีมีสุข จะมีโจรได้อย่างไร หรือว่าที่ตรงนี้มันจะห่างจากการดูแลไปหน่อย เลยเกิดการโกงกินกันในหมู่ข้าราชการท้องถิ่นงั้นรึ
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์พยุงพระชายาฉีขึ้นบนรถม้า
พราะชายาฉีนั่งลง ถอนหายใจ ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “ข้าแก่แล้วน่ะ เรื่องแค่นี้ ก็หมดเรี่ยวหมดแรงแข้งขาอ่อนเสียแล้ว”
“ท่านย่าเจ้าคะ เย่ว์เอ๋อร์ผิดเอง วันหลังเย่ว์เอ๋อร์จะไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ ท่านอย่ากล่าวโทษตัวเองเช่นนี้เลย ท่านไม่ได้แก่ ไม่แก่เลยสักนิดเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีลูบหัวนาง ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของย่า วันหลังอย่าวู่วามเช่นนี้อีกนะ ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ย่าคงรับไม่ได้”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า “ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ ท่านย่าวางใจเถิด จะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว”
พระชายาฉีขึ้นมานั่งบนรถ แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
แล้วหวงฝู่เย่าเย่ว์เล่าเหตุการณทั้งหมดให้นางฟัง
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ พออยากจะถามเพิ่มเติม ก็มีเสียงองครักษ์ลับรายงานว่า “ท่านอ๋อง!”
“ดูแลย่าของเจ้าให้ดีๆ” ท่านอ๋องฉีกำชับทั้งสอง แล้วลงมาจากรถม้า
องครักษ์ลับที่ยืนอยู่ด้านนอก พอเห็นท่านอ๋องฉีลงมา ก็เข้ามาคารวะแล้วพูดว่า “กระหม่อมเซี่ยเฟิงได้รับคำสั่งให้ติดตามดูแลความปลอดภัยของพวกท่านขอรับ”
“พวกเจ้าตามพวกเรามาตลอดเลยงั้นรึ” ท่านอ๋องถาม
“ขอรับ เจ้านายสั่งพวกเราว่า ให้พวกท่านเที่ยวกันให้สนุก ถ้าหากไม่มีเหตุจำเป็น ไม่ต้องออกมาขอรับ” เซี่ยเฟิงอธิบาย
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น แล้วพวกมันล่ะ”
เซี่ยเฟิงเล่าเรื่องของพวกมันและการคาดการณ์ของตนเองให้กับท่านอ๋องฉีฟัง แล้วยังบอกอีกว่า “พวกมันไม่เหมือนโจรทั่วไป เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เหมือนมีการวางแผนเอาไว้แล้วขอรับ กระหม่อมจัดการเช่นนี้ เพราะอยากจะให้คนที่อยู่เบื้องหลังมันออกมา ขอท่านอ๋องฉีเที่ยวให้สบายใจ แล้วกระหม่อมจะจัดการทุกอย่างเองขอรับ”
“มีเรื่องอะไรต้องมารายงานตลอดเวลา แล้วส่งคนไปสืบด้วย ทางใต้นี้ มันจะเหมือนที่ขุนนางท้องถิ่นรายงานว่าทุกคนอยู่ดีกินดี ไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลยจริงหรือไม่”
“ขอรับ”
แล้วพวกเซี่ยเฟิงก็หายไป
ท่านอ๋องฉีกลับมาที่รถม้าด้วยท่าทางปกติ
พระชายาฉีอดถามไม่ได้ว่า “เซวียนเอ๋อร์ส่งคนมางั้นหรือเจ้าคะ”
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “พวกเขาตามพวกเรามาตั้งแต่เมืองหลวงแล้ว เจ้าอย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาจะคอยช่วยเหลือพวกเรา”
“แบบนี้ก็ดีเลยสิ เรื่องวันนี้ทำข้าตกใจแทบแย่ มีพวกเขาอยู่ ข้าจะได้วางใจ”
จริงๆ แล้วท่านอ๋องฉีเองก็มีองครักษ์เงาอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ตอนที่ออกมา ไม่ได้ให้พวกเขาตามมาด้วย เหตุเพราะอยากจะอยู่กับหลานๆ และพระชายา เที่ยวเล่นอย่างสบายใจ ไม่อยากให้พวกเขาต้องมาคอยดูทุกฝีเก้า และแน่นอน ที่สำคัญที่สุดคือ หวงฝู่อี้เซวียนบอกว่าเตรียมพร้อมเสร็จสรรพทุกอย่างแล้ว เขาจึงวางใจออกมากับพระชายาและหลานๆ ได้อย่างสบายใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่พวกเขาออกเมืองหลวงมาจะมีคนจับได้ เพราะมีแต่คนในจวนเท่านั้นที่รู้ ขนาดหวงฝู่ซวิ่นเองยังไม่รู้เลย แล้วจะมีใครกล้ามาทำร้ายได้อีก
ท่านอ๋องฉีคิดไปต่างๆ นาๆ
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นนั่งปาถ้วยชาลงพื้นจนแตกละเอียดด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก เสียงที่ดังสนั่นทำให้คนในห้องนั้นแทบไม่กล้าที่จะหายใจ อีกทั้งยังทำให้คนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ตกใจกันไปตามๆ กัน ทั้งคนที่มากินเหล้ารวมไปถึงตัวเถ้าแก่เองด้วย
เถ้าแก่เงยหน้าขึ้น เพราะได้ยินเสียงจากห้องด้านบน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เลยเดินออกจากโต๊ะบริการ ขึ้นมาด้านบน ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ห้องนั้นเลย ก็มีคนบอกว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”
คนที่อยู่ตรงหน้ารูปร่างใหญ่ หน้าตาดุดัน เถ้าแก่ก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีแน่ จึงถามว่า “นายท่าน ข้าได้ยินเสียง หรือว่ามีคนของเราไปรบกวนนายท่านขอรับ”
“เจ้านายของข้ากำลังโมโห ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ของที่เสียหาย เดี๋ยวพวกเราจะชดใช้ให้ ออกไปก่อนเถอะ!”
เถ้าแก่รอฟังเพียงคำนี้ รีบตอบรับแล้วออกไป
ในห้อง ชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนจะยังไม่หายโมโห หยิบถ้วยอีกใบหนึ่งจะปาลงอีก แต่นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือโรงเตี๊ยม ทำแบบนี้จะเป็นที่สนใจของคนอื่นเอาได้ มือที่ชูขึ้นก็เอาลง แล้ววางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างแรง
โอกาสวันนี้ เป็นโอกาสที่เขาใช้เวลาสองเดือนกว่าจะคว้ามาได้ กว่าจะได้เขาใกล้ยัยหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่น วางแผนไว้หมดแล้วแท้ๆ ว่าจะเป็นวีรบุรุษขี่ม้าขาวมาช่วยหวงฝู่เย่าเย่ว์ ให้นางมีภาพจำที่ดีต่อเขา แล้วที่เหลือจะได้ง่ายขึ้น แต่ยังไม่ทันไรก็โดนองครักษ์ลับมาฆ่าเสียจนหมด ไม่เพียงทำลายแผนของเท่านั้น แถมยังฆ่าคนของเขาไม่เหลือแม้แต่ซากศพอีกด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาโมโหได้เช่นไร
ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว หยิบถ้วยชาใบนั้นขึ้นมาเล่นใหม่ มองลายและสีสันบนถ้วยนั้นที่ขยับไปมา ก็ยิ้มมุมปากออกมาแล้วพูดว่า “หวงฝู่จิ้ง คอยดูเถอะ วันนั้นเจ้าดูถูกข้าไว้เยี่ยงไร เดี๋ยวถึงตาเจ้า ข้าจะเอาคืนเจ้าให้สาสม”
ท่านอ๋องฉีสงสัย แต่นึกเท่าใดก็นึกไม่ออกว่าใครมันจะมารู้ได้ว่าตนหายไปไหน แต่ไม่คิดอะไรต่อมากนัก อย่างไรเสียก็มีองครักษ์ลับตรวจสอบให้แล้ว ส่วนตนนั้นก็แค่ดูแลพระชายาฉีกับหลานๆ เที่ยวเล่นให้สนุกก็เป็นพอ
ทางใต้อากาศอบอุ่น มีที่ให้เที่ยวเล่นมากมาย แล้วทั้งสี่คนก็เที่ยวเล่นกันเพลินจนลืมไปเลยว่าตนอยู่ที่นี่มาเดือนกว่าแล้ว
ณ เมืองหลวง จวนอู่โหว
จากที่สืบเสาะมา นายท่านอู่โหวก็มั่นใจว่าอ๋องฉีไม่ได้อยู่ที่จวนแน่นอน ส่วนพวกเขาไปไหนนั้น ยังไม่รู้
“ทหาร ส่งคนไปสืบมา จะต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้เพื่อนญาติหวงฝู่จิ้งนั่นมันหายหัวไปไหน ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าออกนอกเมืองไป ไม่มีจวนอ๋องกับฝ่าบาทคอยคุ้มกะลาหัวมัน มันจะหยิ่งผยองเช่นนั้นได้อยู่ไหม”
ในขณะเดียวกัน หวงฝู่ซวิ่นก็ได้ข่าวนี้เช่นเดียวกัน แต่ยังฟังหูไว้หู เลยเรียกหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาถาม “น้องเซวียน เสด็จอาไม่ได้อยู่ที่จวนใช่หรือไม่”
หลายเดือนผ่านไปแล้ว ข่าวลือคงแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปิดบัง พยักหน้า “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่พาเมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ออกไปเที่ยวเล่น ส่วนไปที่ใดนั้น ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 76 อยู่ๆ ก็ได้เจอ
หวงฝู่ซวิ่นเบะปาก ทำท่าไม่เชื่อ ในมือของเจ้ามีองครักษ์ลับอยู่สามพันนาย จะเป็นไปได้ยังไงที่ไม่รู้ว่าเสด็จอากับเสด็จอาสะใภ้และเด็กทั้งสองคนไปที่ใด นี่มันไม่อยากบอกข้าชัดๆ คิดได้ดังนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ไม่สบายใจ
พอเห็นเขาท่าทีเช่นนั้น ก็เข้าใจความรู้สึกของเขาทันที หวงฝู่อี้เซวียนทำท่าทางเบื่อหน่ายใส่เขา “ข้าไม่รู้จริงๆ เพราะตอนที่เสด็จพ่อเดินทาง ได้บอกกับข้าไว้ว่า เขาไม่มีจุดหมาย อยากจะไปไหนก็ไป ขอแค่เสด็จแม่ดีใจก็พอ อีกทั้งองครักษ์เงาก็ไม่ได้เอาไปด้วย ข้าได้ส่งองครักษ์ลับออกตามก็จริง แต่ข้าสั่งพวกเขาไว้ว่าถ้าไม่ถึงตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน ห้ามออกมา ถ้าหากไม่มีอะไร ก็ไม่ต้องมารายงาน ตอนนี้องครักษ์ลับไม่มีรายงานอะไรทั้งนั้น ดูท่าแล้วพวกเขาคงไม่เป็นไรหรอก”
พอฟังเขาอธิบายเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นก็สบายใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าแล้ว ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้างได้เยี่ยงไรไร เช่นนี้นี่เอง แต่ว่า เจ้าส่งองครักษ์ลับไปกี่นายกันแน่ ถ้าหากพวกเขาไปไกลแล้วเกิดเรื่องขึ้น กำลังไม่พอจะทำเช่นไร”
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาเหมือนเขาเป็นคนโง่อย่างใดอย่างนั้น ขณะนั้นหวงฝู่ซวิ่นกำลังโกรธ จึงยิ้มแล้วพูดแซะไปว่า “ฝ่าบาทที่กระหม่อมเคารพรัก ท่านลืมว่าเสด็จพ่อของข้าเป็นใครแล้วงั้นหรือ ตอนที่เจออันตราย ยังมีขุนนางท้องถิ่นที่ให้ความช่วยเหลือได้พ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นชะงักไป แล้วถอนหายใจออกมา “ข้ามันทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ข้าแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของเสด็จอาเท่านั้น เจ้าจะแซะข้าหาพระแสงอะไร หาว่าข้าแส่รึไง”
“น้องไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น ทำมือคารวะอย่างเต็มยศ “น้องแค่รู้สึกว่าช่วงนี้ฝ่าบาทจะขี้หลงขี้ลืม น่าจะแก่ก่อนวัยนะพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นโมโหลุกยืนขึ้น ชี้ที่หน้าตัวแล้วตะคอกใส่หวงฝู่อี้เซวียนด้วยอารมณ์โกรธว่า “ข้าขี้หลงขี้ลืมงั้นรึ แก่ก่อนวัยงั้นรึ การบ้านการเมืองบนหัวข้ามันหนักมากนะ ข้า ข้าก็เหนื่อยเป็นนะโว้ย!”
“ใช่ๆ ฝ่าบาททรงอุตสาหะ ก็ต้องมีหลงลืมบ้างเป็นธรรมดา น้องผิดไปแล้ว กระหม่อมพูดผิดเองพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! ให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่เช่นนั้นเจ้าลองมานั่งบนบัลลังก์นี้ดูไหมล่ะ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าทำไมข้าถึงดูแก่กว่าเจ้านัก” ใช่แล้ว นี่เป็นสิ่งที่แทงใจดำของหวงฝู่ซวิ่นเสมอมา เขาแก่กว่าหวงฝู่อี้เซวียนแค่ปีสองปี แต่ทำไมถึงได้ดูแก่กว่าเป็นสิบปี อีกทั้ง หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งอายุมากก็ยิ่งดูดี
พูดจบ เหมือนหวงฝู่ซวิ่นจะนึกอะไรบางอย่างออก ตาเบิกออกเป็นประกาย รีบเดินมาหาหวงฝู่อี้เซวียน กดเสียงต่ำถามว่า “น้องเซวียน พวกเรามาปรึกษากันหน่อยไหม เจ้าทำงานแทนข้าสักวันสองวัน ข้าจะทำเหมือนเสด็จอาบ้าง ออกไปเที่ยวเล่น ได้พักกายพักใจ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ แล้วมองออกไปด้านนอก
หวงฝู่ซวิ่นก็มองตามไป แต่ก็ไม่เห็นอะไร เลยถาม “เจ้ามองอะไรรึ”
หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับมา ตอบกลับไปหน้าตายว่า “ตอนนี้ก็ยังกลางวันแสกๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ทำไมฝ่าบาทถึงได้ฝันอยู่ล่ะ หรือว่าหลายวันนี้จะเหนื่อยเกินไป หรือจะให้น้องเรียกหมอหลวงมาตรวจดูอาการหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
“หวงฝู่อี้เซวียน!” หวงฝู่ซวิ่นโมโหมาก จนเรียกชื่อเต็มของเขาออกมา “ข้าพูดจริงนะ เจ้าอย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หน่อยเลย”
“กระหม่อมก็พูดจริง พระพลานามัยของฝ่าบาทเป็นสิ่งสำคัญ เป็นอะไรไปไม่ได้ อย่างไรก็เรียกหมอหลวงเข้ามารักษาไม่ดีกว่าหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบเขาอย่างช้าๆ
หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว หันเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสือ หยิบพู่กันขึ้นมา ฝนหมึก แล้วพูดพึมพำว่า “ข้าจะออกราชโองการ ให้เจ้ามาสำเร็จกิจแทนข้าเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังคงเฉย แล้วพูดเตือนขึ้นมาช้าๆ ว่า “ฝ่าบาท ท่านคิดให้ดีนะ ถ้าหากเรื่องนี้รู้ถึงซื่อจื่อเฟยล่ะก็ ท่านจะรับมือกับความโกรธของนางได้หรือไม่”
พอพูดถึงเมิ่งเชี่ยนโยว ก็คิดถึงรอยยิ้มอันน่าสยดสยองของนางที่ทำให้คนตายมาแล้วไม่รู้เท่าไร มือที่ถือพู่กันอยู่ดีๆ ก็เขียนไม่ออก
แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็เข้ามา หยิบพู่กันในมือของเขาวางลงแท่นวางอย่างช้าๆ พับเก็บกระดาษบนนั้น เอาตัวหวงฝู่ซวิ่นไปนั่งลงให้ดี แล้วค่อยๆ พูดว่า “พี่ใหญ่ บัลลังก์นี้เป็นของท่าน ท่านต้องทำมันให้ดี”
หวงฝู่ซวิ่นนั่งลง แล้วถอนหายใจออกมา ไม่พูดอะไรอีก
พวกท่านอ๋องฉีท่องเที่ยวแถบทางใต้ ดื่มด่ำบรรยากาศทางนั้นจนพอใจ กำลังจะเตรียมเดินทางไปที่อื่น ก็ได้ยินคนในโรงเตี๊ยมเขาพูดกัน จึงหยุดฟัง ไม่ได้เป็นเพราะอะไรหรอก เพราะที่นี่กำลังจะมีการจัดงานแข่งเรือมังกร
แข่งเรือมังกร! เป็นประเพณีของทางเจียงหนานที่มีมาตั้งแต่โบราณ ท่านอ๋องฉีเคยได้ยินแต่ขุนนางทางใต้รายงานเท่านั้น ส่วนเป็นอย่างไร เขาไม่เคยเห็นกับตามาก่อน
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เคยได้ยินมาก่อน อยากจะดูมาตั้งนานแล้ว วันนี้ได้ยินพวกแขกเขาพูดกัน เลยขอร้องท่านอ๋องฉีให้หยุด รอดูแข่งเรือมังกรกันก่อน
ท่านอ๋องฉีพยักหน้าตอบรับ ส่วนพระชายาฉีก็ดีใจเป็นที่สุด
พอไปถามเถ้าแก่มา ว่าเขาแข่งเรือมังกรกันที่ไหน แล้วทั้งสี่คนก็นั่งรถม้า ไปดูสถานที่ว่าเป็นอย่างไร อยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมนัก ในแม่น้ำที่แสนกว้างใหญ่ มีสะพานไม้พาดผ่าน คนสามารถขึ้นไปดูในมุมสูงได้ หรือว่าจะไปที่ริมฝั่ง ไปให้กำลังใจอยู่กับพวกคนที่มาดูแข่งเรืออย่างแน่นขนัด
แล้วทุกคนก็เลือกไปบนสะพาน ยืนที่สูง มองได้ไกล ไม่เพียงแต่จะเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดแล้ว ยังไม่ต้องไปเบียดเสียดกับกลุ่มคนอีกด้วย
พอมาถึง ก็ลงจากรถม้า ท่านอ๋องฉีกับพระชายาพาหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เดินที่ริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อจะได้สัมผัสถึงความเย็นสบายและความสดชื่นจากแม่น้ำ
ไม่ไกลกันนัก มีหญิงสาวใส่ชุดสวยงาม รุมล้อมไปด้วยสาวใช้ที่คอยดูแล จับกระโปรงแล้วเดินขึ้นไปบนสะพานไม้นั้น มองออกไป แล้วพูดออกมาด้วยความตื่นตาว่า “แม่น้ำนี้ใหญ่จัง มองได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเลย”
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ที่ใส่ชุดสวยๆ ก็ยิ้มแล้วตอบว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู สวยกว่าทะเลสาบชิงหยางในเมืองหลวงอีกเจ้าค่ะ เพราะเช่นนี้ถึงได้มีการจัดงานแข่งเรือมังกรทุกปีไงเจ้าคะ”
พูดถึงทะเลสาบชิงหยาง รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นก็หายไป แล้วหันไปเขม็งตาใส่สาวใช้คนนั้น
สาวใช้ก็นึกเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงออก ใจเต้นแรง รีบคุกเข่าลงขอร้องว่า “คุณหนูไว้ชีวิตบ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวสมควรตาย”
และหญิงสาวผู้นั้นก็คือคุณหนูแห่งจวนอู่โหวนั่นเอง เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวขู่เอาไว้ หลิวอวี้เอ๋อร์จึงถูกฮูหยินจวนอู่โหวส่งกลับมาที่บ้านยายนั่นเอง
ฮูหยินแห่งจวนอู่โหวเกิดที่เจียงหนาน ชาติตระกูลของพ่อแม่นางก็มีชื่อเสียงทางใต้ไม่น้อย เป็นเพราะนายท่านแห่งจวนอู่โหวและพ่อของฮูหยินจวนอู่โหวเป็นสหายสนิทกัน จึงมีความคิดให้ลูกชายของตนแต่งงานกับนาง จนนางได้เป็นฮูหยินจวนอู่โหวอยู่ทุกวันนี้
เมื่อพูดถึงอดีต หลิวอวี้เอ๋อร์ก็โกรธแค้นมาก จวนอ๋องฉีใช้อำนาจรังแกคน บังคับให้แม่ของตนส่งนางมาอยู่เจียงหนาน ความแค้นนี้นางคิดจะชำระมาโดยตลอด ส่วนสาวใช้ที่คอยติดตามตน พูดเรื่องอะไรไม่พูด ดันมาพูดเรื่องนี้ ทำให้นางอยากจะถีบนังสาวใช้คนนี้ตกลงน้ำไปเสียด้วยซ้ำ คนที่ขึ้นมาบนสะพานไม้ก็มาก พอเห็นสาวใช้นั่งคุกเข่า เลยอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดกันไปต่างๆ นาๆ แล้วคาดเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ท่ามกลางสายตาของผู้คน หลิวอวี้เอ๋อร์ต้องทำท่าทางเป็นคุณหนูผู้ดีสูงศักดิ์ ห้ามใช้อารมณ์ เลยถลึงตาใส่สาวใช้คนนั้น เป็นความหมายว่ากลับไปเจอดีแน่ แล้วแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ลุกขึ้นเถอะ เจ้าเองก็พูดโดยไม่ทันคิด ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก”
สาวใช้อยู่กับนางมาหลายปี จะไม่รู้นิสัยนางได้อย่างไร หลังจากเห็นสายตาของนางแล้ว ก็กลัวเข้าไปใหญ่ รีบเอามือขึ้นมาตีที่ปากของตนอย่างแรง แล้วบอกว่า “บ่าวพูดพล่อยๆ เอง สมควรโดนทำโทษเจ้าค่ะ”
นั่นทำให้ตนดูแย่ สีหน้าของหลิวอวี้เอ๋อร์เริ่มไม่ดี พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ทำไม ที่ข้าพูดเจ้าไม่ฟังงั้นรึ”
พอได้ยิน ก็รู้ถึงนัยยะในคำพูดนาง จึงมองไปที่ผู้คนที่อยู่รอบๆ สาวใช้ก็รู้ตัวทันที สีหน้าซีดเซียว รีบลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างนางตามเดิม แล้วไม่พูดอะไรอีก
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่สนใจนางอีก มือจับที่ราวสะพาน มองออกไป แต่แล้วก็ดันไปเห็นพวกท่านอ๋องฉีเดินเล่นอยู่ที่ริมน้ำ จึงเบิกตาโตขึ้นมาทันที
เสร็จแล้วก็ขยี้ตาของตนเองดูอีกทีหนึ่ง เพราะไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แล้วมองไปอีกที ใช่แล้ว เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย
“ชุนเซียง เจ้าดูสิ นั่นคือยัยหวงฝู่สือเมิ่งกับยัยหวงฝู่เย่าเย่ว์หรือเปล่า” หลิวอวี้เอ๋อร์ลืมเรื่องเมื่อครู่นี้ไปโดยทันที แล้วเรียกสาวใช้คนเมื่อกี๊มาดู
ชุนเซียงที่หน้าซีด กำลังก้มหน้าสำนึกผิดอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองไปตามที่นางชี้ แล้วก็แปลกใจ พยักหน้า “คุณหนูเจ้าคะ ใช่เจ้าค่ะ พวกนางจริงๆ ด้วย”
“เจ้ารีบไปสืบมา ว่าพวกเขามาทำอะไรที่เจียงหนาน แล้วคนที่ตามมามีใครบ้าง” หลิวอวี้เอ๋อร์รีบสั่ง
ชุนเซียงตอบรับ แล้วรีบเดินลงจากสะพานไป
หลิวอวี้เอ๋อร์เอาแต่มองจ้องไปที่หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่กำลังยิ้มแย้มเบิกบานใจ แล้วกัดฟันโดยไม่รู้ตัว พูดขึ้นว่า “นี่พวกเจ้าหาเรื่องเองนะ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะ ไว้ปีหน้า ข้าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ก็แล้วกัน”
ส่วนสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เป็นคนที่ปู่ของนางส่งมาให้ เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองหลวง เลยไม่เข้าใจว่าที่นางพูดนั้นหมายความว่าอะไร ได้แต่มองไปที่นาง แล้วก็มองไปที่ริมฝั่ง แล้วสงสัยในใจว่านางเห็นใครขัดลูกตานักหรือ แล้วแถมยังจะจัดการเขาอีก
ส่วนทางท่านอ๋องฉีไม่รู้เลยว่ากำลังโดนจับตาอยู่ ได้แต่ยิ้มแล้วมองหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เล่นกัน ส่วนพระชายาฉีก็เหมือนกันสาววัยรุ่นอย่างใดอย่างนั้น ถือชายเสื้อของตนขึ้น โค้งตัวลงกวักน้ำในแม่น้ำอย่างช้าๆ บนใบหน้ามีแต่รอยยิ้มอันมีความสุข
ชุนเซียงลงมาจากสะพานไม้ เข้าไปใกล้พวกเขา แล้วทำเป็นก้มหน้าหาของ
เขาเป็นเพียงแค่สาวใช้ หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เลยไม่ได้ใส่ใจนางนัก เลยจำนางไม่ได้
ท่านอ๋องฉีรู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ เลยมองไปด้วยสายตาดุดัน พอเห็นว่าเป็นเพียงผู้หญิงก้มหน้าหาของเท่านั้น เก็บสายตา แล้วไม่สนใจนางอีก
ในขณะที่หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังเล่นสนุกกันอยู่ หวงฝู่สือเมิ่งดันเซถอยหลังไปชนกับชุนเซียงเข้า เลยรีบปลีกตัวออก แล้วพูดขอโทษว่า “ขอโทษๆ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
ชุนเซียงก็จับไหล่ของตนที่เจ็บ แล้วส่ายหน้าว่า “ไม่เป็นไรๆ เพราะข้าไม่ระวังเอง ไม่เกี่ยวกับคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
เขาดูแลอวี้เอ๋อร์มาตั้งแต่เด็ก โตในเมืองหลวง เวลาพูดเลยพูดเป็นสำเนียงเมืองหลวง
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้ว
หวงฝู่สือเมิ่งจึงดีใจ ถามว่า “ฟังจากสำเนียงเจ้าแล้ว เป็นคนเมืองหลวงเหมือนกันใช่หรือไม่”
สีหน้าของชุนเซียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสติ แล้วพูดเสียงสะอื้นออกมาว่า “ข้าโตที่เมืองหลวง เมื่อหลายปีที่แล้ว ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้น ทำให้ข้าต้องมาเป็นคนใช้ที่นี่เจ้าค่ะ”
คิดไม่ถึงว่านางจะเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้มาก่อน หวงฝู่สือเมิ่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
ชุนเซียงเลยรีบทำความเคารพทั้งสองแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ คุณหนูของบ่าวเดินเล่นอยู่แถวนี้ แล้วทำของตก เลยรีบสั่งให้บ่าวมาหา เช่นนั้นบ่าวไม่รบกวนท่านทั้งสองแล้วเจ้าค่ะ”
พูดจบ ก็ก้มหน้ารีบเดินออกไปตามทาง ไม่รู้เป็นเพราะรู้สึกผิด หรือว่ารีบอะไร พอเดินออกไปไม่กี่ก้าว ขาแข้งก็อ่อนแรง เดินซวนเซไปมา
หวงฝู่สือเมิ่งเห็นเช่นนั้นเลยจะช่วยพยุงนาง แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ห้ามนางเอาไว้ แล้วส่ายหน้า
ท่านอ๋องฉีรู้สึกแปลกๆ จับตามองนางจนลับไป แล้วถึงเลิกมอง
บนสะพาน หลิวอวี้เอ๋อร์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เลยด่าว่า “สวะเอ้ย เกือบทำลายแผนการของข้าแล้วไหมล่ะ”
พอรู้สึกว่าสายตาที่มองมาได้หายไปแล้ว ชุนเซียงถึงได้โล่งอก ลูบหัวใจที่เต้นแรงของตน แล้วเดินขึ้นสะพานอีกทางหนึ่ง กลับไปหาหลิวอวี้เอ๋อร์ แล้วรายงานว่า “คุณหนูเจ้าคะ จากที่บ่าวได้สืบมา มีแค่สี่คนเท่านั้นเจ้าค่ะ ไม่ได้พาใครมาอีก”
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เชื่อ การที่ท่านอ๋องฉีกับพระชายาจะออกเดินทาง แถมยังพาหลานสาวทั้งสองออกมาอีก จะไม่มีคนคอยคุ้มกันเลยงั้นหรือ เลยสั่งว่า “เจ้าไปตามดูพวกเขาเอาไว้ ดูว่าพวกเขาพักที่ไหน เสร็จแล้วกลับมารายงานข้า”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 77 ตระกูลฮั่วแห่ง...
ชุนเซียงตอบรับ แล้วลงสะพานไปอีกครั้ง หาที่หลบอยู่ไม่ห่างจากพวกท่านอ๋องฉีมากนัก เพื่อสอดส่อง
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เล่นกันอยู่พักหนึ่ง พระชายาฉีก็รู้สึกเหนื่อย แล้วทั้งหมดก็กลับขึ้นนั่งที่รถม้า แล้วมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยม
บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน คนรถกลัวว่าจะชนเข้ากับใคร จึงไม่กล้าขับเร็วนัก
ชุนเซียงถือชายกระโปรงเดินตามอยู่ห่างๆ มาจนถึงโรงเตี๊ยม พอเห็นพวกเขาลงจากรถม้าแล้ว ก็จำชื่อโรงเตี๊ยมเอาไว้ แล้วเดินกลับไปรายงานหลิวอวี้เอ๋อร์ทันที
พอพวกท่านอ๋องฉีไปแล้ว หลิวอวี้เอ๋อร์ได้แต่คิดว่าจะแก้แค้นพวกเขาอย่างไรดี ไม่มีกะจิตกะใจจะดูการแข่งเรืออีกต่อไป เลยพาเหล่าสาวใช้กลับขึ้นรถม้า กลับจวนของท่านตาไป
ตระกูลท่านตาของหลิวอวี้เอ๋อร์นั้นแซ่ฮั่ว เป็นตระกูลดังของพื้นที่นั้น ค่อนข้างมีฐานะ มีหน้ามีตาพอสมควร เพราะฉะนั้นจวนที่อยู่อาศัยก็ค่อนข้างแตกต่างจากคนทั่วไป ดูโอ่อ่าใหญ่โตกว่าขุนนางท้องถิ่นเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงเป็นเช่นนี้ ตอนที่หลิวอวี้เอ๋อร์โดนส่งมาแรกๆ นางก็ยังคงไม่ยินยอมมาอยู่ที่นี่อยู่ดี เจียงหนานแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นจวนที่สวยที่สุด ใหญ่ที่สุด แต่ในสายตาของนางก็เป็นแค่จวนเก่าๆ ไม่ได้เศษเสี้ยวจวนอู่โหวของนางเลยแม้แต่น้อย แต่ทำอย่างไรได้ เสียน้อยดีกว่าเสียมาก ต่อให้นางจะไม่ยินยอมอย่างไร ก็ต้องมาอยู่ที่นี่อยู่ดี ยังดีที่ตากับยายของนางยังอยู่ รักและเอ็นดูนางเป็นอย่างมาก นี่ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
หลิวอวี้เอ๋อร์ลงรถม้ามา หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็ไปที่เรือนของฮั่วเจี่ยซึ่งเป็นตาของนาง
ฮั่วเจี่ยชรามากแล้ว แต่สุขภาพจิตแข็งแรงดี ไม่มีความชราภาพเหมือนกับคนแก่ทั่วไป
หลังจากที่หลิวอวี้เอ๋อร์และบ่าวขออนุญาตเสร็จ ก็เดินเข้าไปด้านใน ทำความเคารพฮั่วเจี่ยและนางเหล่าฮั่วซื่อ “อวี้เอ๋อร์ขอคารวะท่านตา ท่านยาย”
ตอนนั้นลูกสาวแต่งออกไปไกล ฮั่วเจี่ยและภรรยาอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมาก แต่ความเป็นเพื่อนของเหล่าอู่โหว แล้วก็ลูกสาวของตนไปเป็นฮูหยินจวนอู่โหว ต่อให้ทั้งสองคนไม่อยากให้ไปอย่างไร ก็ต้องให้ลูกสาวตนแต่งออกไปอยู่ดี เป็นภรรยาก็ต้องปรนนิบัติสามี นับตั้งแต่ฮูหยินจวนอู่โหวแต่งออกไปแล้ว จึงไม่ค่อยกลับมาที่นี่ เลยทำให้ฮั่วเจี่ยและภรรยาคิดถึงเป็นอย่างมาก จนกระทั่งปีที่แล้ว ฮูหยินจวนอู่โหวพาอวี้เอ๋อร์กลับมาที่นี่ด้วยตนเอง บอกว่าจะให้อวี้เอ๋อร์อยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง ส่วนเพราะอะไรนั้น นางไม่ได้บอกไว้ ฮั่วเจี่ยและภรรยาก็ไม่ได้มากความถามเพิ่ม ยินดีให้นางอยู่ที่นี่อย่างยิ่ง
หลิวอวี้เอ๋อร์คล้ายกับฮูหยินจวนอู่โหวมาก เพราะฉะนั้นฮั่วเจี่ยและภรรยาเห็นนางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ มากกว่าหลานในตระกูลฮั่วของตนเสียอีก เพราะฉะนั้น นางมักจะถูกเด็กๆ ในเจวนนินทา หลิวอวี้เอ๋อร์โดนฮูหยินแห่งจวนอู่โหวตามใจเสียจนเคยตัว มาอยู่นี่ก็ไม่รู้จักเจียมตัว แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายชี้นิ้วสั่งนั่นนี่ ราวกับนางเป็นเจ้าของเรือนนี้อย่างใดอย่างนั้น จึงทำให้เด็กๆ ในเรือนนี้เกลียดขี้หน้านางเป็นอย่างมาก ขนาดฮั่วฉงหมิงและภรรยาที่เป็นลุงแท้ๆ ของหลิวอวี้เอ๋อร์ ยังไม่ชอบนางเลย
นางเหล่าฮั่วซื่อพยักหน้า ยิ้มแล้วถามว่า “วันนี้ออกไปเที่ยวเล่นมา อารมณ์ดีขึ้นหรือยังล่ะ”
ต่อให้จะกินดีอยู่ดีอย่างไร ฟุ่มเฟือยแค่ไหน หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ยังคิดถึงบ้านอยู่ดี จึงมักอารมณ์เสียโดยไร้สาเหตุ สิ่งนี้เลยทำให้ฮั่วเจี่ยกับภรรยาเจ็บปวดใจเป็นที่สุด พยายามทำให้นางพอใจให้ได้มากที่สุด ต่อให้นางอยากได้ดวงดาวบนฟ้า ก็จะหามาให้ได้ แต่ไม่เลย วันนี้นางอารมณ์เสีย เลยอยากออกไปเดินเล่น พวกเขาก็ตอบรับ เลยส่งคนตามนางออกจากจวนไป ถ้าหากไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของตนล่ะก็ พวกเขาคงไม่ตามใจเช่นนี้หรอก
พอได้เห็นพวกท่านอ๋องฉี หลิวอวี้เอ๋อร์อารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ แต่พอคิดได้ว่าพวกเขามาใกล้แค่เอื้อมแล้ว มีโอกาสแก้แค้นเสียที นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก บนใบหน้ามีรอยยิ้มผลิบาน ขนาดที่ว่าตั้งแต่มาที่นี่ ยังไม่เคยยิ้มเช่นนี้มาก่อน “ท่านยาย วันนี้อวี้เอ๋อร์อารมณ์ดีมากเจ้าค่ะ”
หลิวอวี้เอ๋อร์เป็นหญิงสาวหน้าตาดี ยิ้มนี้ ราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ กระชากใจเสียเหลือเกิน
เป็นครั้งแรกที่นางเหล่าฮั่วซื่อเห็นรอยยิ้มของหลานสาว จึงดีใจเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็คิดถึงลูกสาวของตนด้วยเช่นกัน เลยใช้มือตบลงที่ข้างๆ ตน เป็นการบอกให้หลิวอวี้เอ๋อร์มานั่งข้างๆ ยิ้มแล้วถามว่า “วันนี้อวี้เอ๋อร์มีความสุขเช่นนี้ ไปทำอะไรมางั้นหรือ หรือว่าเจอคนที่ถูกใจเข้าแล้ว”
ความหมายของคำถามนี้ก็คือ ถ้าหากว่าเจอเรื่องอะไรที่น่าสนใจมา ก็คงจะพูดให้นางฟังได้ แล้วนางจะได้ใช้โอกาสนี้ในการใกล้ชิดกับหลานสาวของตนมากขึ้น แต่ถ้าหากเจอคนที่สนใจ นี่เป็นสิ่งที่พวกนางสองคนอยากให้เป็นแบบนั้นที่สุด จะได้ใช้โอกาสนี้ในการให้อวี้เอ๋อร์แต่งงาน นางจะได้อยู่ที่นี่ เป็นตัวแทนของลูกสาวของนางที่ไม่ได้อยู่ข้างกายพวกเขา
อวี้เอ๋อร์เม้มปาก ยิ้มแล้วบอกว่า “ท่านยาย เป็นเพราะหลานเจอทั้งเรื่องที่น่าสนใจและเจอคนที่ถูกใจเจ้าค่ะ”
“หืม” นางเหล่าฮั่วซื่อรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “ไหนว่ามาสิ”
“ท่านยายรู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านแม่ของข้าถึงส่งข้ามาอยู่ที่นี่” หลิวอวี้เอ๋อร์เอ่ยปากถาม
สองสามีภรรยาก็มองหน้ากัน แล้วนางเหล่าฮั่วซื่อก็ส่ายหน้า “ยายเคยถามแล้ว แต่แม่ของเจ้าไม่ได้บอก”
“ท่านแม่ไม่บอกพวกท่าน เพราะกลัวว่าพวกท่านจะเป็นห่วง แต่อวี้เอ๋อร์จะเล่าให้ฟังว่าเป็นเพราะอะไร”
มาอยู่เกือบปี หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวงเลย แต่วันนี้กลับเป็นฝ่ายไปบอกพวกเขาก่อน ฮั่วเจี่ยรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันมีลับลมคมนัย เลยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าว่ามาสิ”
“เป็นเพราะตอนที่ข้าเรียนอยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยน… …” หลิวอวี้เอ๋อร์ใส่สีตีใข่เรื่องที่ตนมีปัญหากับเด็กๆ จวนอ๋องฉีในขณะที่เรียนอยู่กั๋วจื่อเจี้ยน บอกว่าตนโดนพวกเขาหมาหมู่ ตนโดนทำร้ายไม่เท่าไร ขนาดพี่ชายที่มาประนีประนอมด้วยกับพวกเขายังไม่รอดพ้นเงื้อมมืออันโหดร้ายของพวกเขาเลย และที่แค้นคือ หลังจากที่เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นติดต่อกันมากมาย จวนอู่โหวไม่เพียงแต่เสียเกียรติและศักดิ์ศรีเท่านั้น แม่ของนางยังโดนเมิ่งเชี่ยนโยวขู่อีก เลยต้องส่งตนมาอยู่ที่เจียงหนานนั่นเอง
ฮั่วเจี่ยฟังจบ ก็ทุบโต๊ะ “ท่านอ๋องฉีนั่นมันน่ารังเกียจนัก กล้ามาดูหมิ่นจวนอู่โหว ถ้าหากอยู่เจียงหนานล่ะก็ ตาจะให้มันตายโดยไม่มีแม้กระทั่งที่ฝังศพมันเลยคอยดู!”
ไม่แปลกใจที่เขากล้าพูดเช่นนี้ เพราะเจียงหนานเป็นที่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก ฮ่องเต้ในสายตาพวกเขา ก็เป็นแค่ชื่อเรียกเท่านั้น อย่าพูดถึงราชวงศ์เลย ตระกูลฮั่วของพวกเขามีฐานะและหน้าตา อยู่กันมารุ่นสู่รุ่นในเจียงหนานแห่งนี้ สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นนี้ไปเรียบร้อย ขนาดขุนนางท้องถิ่นเจอหน้าพวกเขายังต้องทำความเคารพ จึงไม่เคยประสบเรื่องอะไรเช่นนี้มาก่อน
นางเหล่าฮั่วซื่อก็โกรธเช่นเดียวกัน “มิน่าล่ะ ตอนที่พวกเราถามแม่ของเจ้า ให้ตายนางก็ไม่บอก ที่แท้เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง”
พอเห็นทั้งสองคนโกรธเช่นนี้ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ใส่ไฟอีกว่า “วันนี้เรื่องที่ข้าสนใจกับคนที่ข้าสนใจก็คือพวกอ๋องฉีมาที่เจียงหนาน ข้าเจอพวกเขาโดยบังเอิญเจ้าค่ะ”
ฮั่วเจี่ยชะงักไป เลยถามต่อว่า “เจ้าพูดจริงงั้นรึ”
หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้ารับ “ข้าอยู่เมืองหลวงตั้งหลายปี จำไม่ผิดแน่นอน โดยเฉพาะนังหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่น ต่อให้สลายกลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็จำพวกมันได้”
“พวกเขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด” ฮั่วเจี่ยถามต่อ
หลิวอวี้เอ๋อร์ส่ายหน้า “หลานไม่รู้ หลานได้ส่งคนไปสืบมาแล้ว เดี๋ยวอีกไม่นานก็คงกลับมา”
ชุนเซียงวิ่งกลับมาที่จวน แล้วไปรายงานที่เรือนของหลิวอวี้เอ๋อร์ แต่ในห้องมีไม่มีใคร สาวใช้ที่ทำความสะอาดเลยบอกกับนางว่า ไม่เห็นคุณหนูกลับมา เลยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชุนเซียงจึงมาขอเข้าพบฮั่วเจี่ยและภรรยาที่เรือน
ทั้งสามคนกำลังรอนางอยู่พอดี หลิวอวี้เอ๋อร์เลยเรียกให้นางเข้ามา
ชุนเซียงบอกชื่อโรงเตี๊ยมและที่ตั้งกับฮั่วเจี่ย
ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็ตะโกนเรียกคนเข้ามา บอกชื่อโรงเตี๊ยมกับเขา “เจ้าไปสืบดูที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ว่ามีคนจากเมืองหลวงมาเข้าพักหรือไม่ แล้วก็ พวกเขาจะกลับเมื่อใด มากันกี่คน สืบมาให้ละเอียด แล้วกลับมารายงานข้า”
บ่าวตอบรับ แล้วไปโรงเตี๊ยม
ท่านอ๋องฉีกับพระชายาไม่รู้เลยว่ามีคนกำลังเพ่งเล็งอยู่ หลังจากกลับมาโรงเตี๊ยม ก็แยกย้ายกันเข้าไปพักที่ห้องของตนเอง
เซี่ยเฟิงก็พาองครักษ์ลับเข้าไปพักด้วยเช่นกัน พักอยู่ทางชั้นหนึ่ง แต่ว่า ตอนนี้เซี่ยเฟิงขมวดคิ้วอย่างแรง เพราะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ก็บอกไม่ถูกเช่นกัน
หลังจากที่คนของตระกูลฮั่วเข้าโรงเตี๊ยมไป ก็กวาดสายตามองไปที่แขกที่มาเข้าพักในโรงเตี๊ยม อีกทั้งยังแอบฟังพวกเขาคุยกันอีกด้วย แต่ก็ไม่พบคนที่พูดสำเนียงเมืองหลวงเลย เลยเดินมาที่โต๊ะบริการ ในขณะที่เถ้าแก่กำลังจะเอ่ยปากถามนั้น เขาก็หยิบป้ายประจำตัวออกมาให้เถ้าแก่ดู
สีหน้าของเถ้าแก่เปลี่ยนไป เพราะไม่รู้ว่าตนไปทำอะไรให้กับจวนฮั่วตอนไหน พวกเขาถึงได้ส่งคนมาเช่นนี้
บ่าวคนนั้นเก็บป้าย แล้วกดเสียงต่ำ ขู่เถ้าแก่ว่า “ข้าถามเจ้า เจ้าต้องตอบตามจริง มิเช่นนั้นเจ้าคงรู้ว่าจะพบจุดจบเช่นไร”
พอพูดถึงเจ้าเมืองเจียงหนาน ผู้คนไม่รู้จักหรอก แต่พอพูดถึงตระกูลฮั่ว ขนาดเด็กเพิ่งหัดเดินยังรู้จัก เพราะเขาคือฮ่องเต้ของพื้นที่นี้ ใครก็ห้ามไปมีเรื่องกับเขาเด็ดขาด
บ่าวคนนั้นพูดเช่นนี้ เหงื่อของเถ้าแก่ก็ไหลออกมาเต็มหน้าผาก พยักหน้าพร้อมโค้งเอว บอกว่า “ขอแค่ท่านถามมา หากข้ารู้ ข้าจะไม่ปิดบังเลยขอรับ”
“เช่นนั้น โรงเตี๊ยมของเจ้ามีคนพูดสำเนียงเมืองหลวงไหม”
เถ้าแก่พยักหน้า “มีๆ อยู่ด้านบนน่ะ”
“กี่คน”
“สี่คน เป็นสามีภรรยาสูงอายุ แล้วก็ยัยหนูอีกสองคน”
“มีคนอื่นอีกหรือไม่”
เถ้าแก่กระซิบบอก แล้วชี้ไปทางสองห้องนั้น “ยังมีอีกสี่คนที่เป็นคนเมืองหลวง เข้าพักพร้อมกับพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกัน”
บ่าวคนนั้นก็มองไปทางสองห้องนั้น จำตำแหน่งห้องไว้ แล้วสั่งว่า “พาข้าขึ้นไปข้างบน แล้วชี้ตำแหน่งห้องให้กับข้าหน่อย”
เถ้าแก่ตอบรับทันที แล้วออกมาจากโต๊ะบริการ พาเขาขึ้นไปด้านบน ชี้ห้องของพวกท่านอ๋องฉีให้กับเขา
หลังจากดูเสร็จ ก็หันหลังเดินกลับลงมา แล้วหยิบเงินก้อนเล็กๆ โยนไว้บนโต๊ะบริการ “จับตาดูพวกมันให้ดี ถ้าหากว่ามีความเคลื่อนไหวอะไร ให้ไปรายงานกับนายประตูจวนฮั่วทันที”
พูดจบ ก็หันเดินออกไป
เถ้าแก่มองไปที่เงินก้อนนั้น แล้วมองบ่าวคนนั้นที่เดินจากไป ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นไปทำอะไรให้ตระกูลฮั่ว ถึงได้โดนเพ่งเล็งเช่นนี้ เกรงว่าคงจบไม่สวยเป็นแน่
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 78 สืบ
พวกท่านอ๋องฉีอยู่แต่ในห้องของตนไม่ได้ออกมา ส่วนเซี่ยเฟิงก็ครุ่นคิดเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ในห้อง จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนมาสืบข่าวพวกเขา
หลังจากที่บ่าวรับใช้ของจวนฮั่วกลับไปแล้ว ก็รายงานเรื่องที่ตนไปสืบมาตามจริง ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็ลูบเครา แล้วยิ้มออกมาด้วยความได้เปรียบว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เขาอยู่ที่เจียงหนานไปตลอดกาลเถิด”
หลิวอวี้เอ๋อร์โตที่เมืองหลวง เข้าใจจวนอ๋องฉีเป็นอย่างดี คิดอยู่พักหนึ่ง โน้มน้าวว่า “ท่านตา อย่าได้วู่วามเป็นอันขาดนะเจ้าคะ จวนอ๋องฉีไม่ได้มีแค่องครักษ์เงาเท่านั้น แถมยังมีองครักษ์ลับอีกสามพันนาย พวกเขาออกเดินทาง ไม่มีทางไม่พาคนพวกนั้นมาแน่นอน พวกเราต้องสืบให้ดีก่อน แล้วค่อยลงมือ จัดการพวกเขาอย่างแยบยล มิเช่นนั้นอาจมีปัญหาภายหลังได้นะเจ้าคะ”
“องครักษ์เงางั้นรึ” ฮั่วเจี่ยรู้ เพราะในจวนของเขาก็มีเช่นกัน เอาไว้สำหรับคุ้มกันเจ้านายเท่านั้น แต่องครักษ์ลับนั้นไม่เคยได้ยิน เลยถามว่า “องครักษ์ลับคืออะไร”
ตอนนี้เรื่ององครักษ์ลับไม่ใช่ความลับอะไรอีกต่อไปแล้ว รู้กันทั้งเมืองหลวง หลิวอวี้เอ๋อร์ก็พอรู้มาบ้าง จึงอธิบายให้ฟัง
ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็ลูบเคราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ ไว้มีโอกาสข้าจะให้คนไปสืบเรื่องพวกเขามา”
ส่วนอีกทางหนึ่ง เกิดเรื่องขึ้นในรัฐ จึงต้องดูแลงานราชการตลอดเวลา ท่าป๋าหั่นหลินจึงต้องรีบรุดกลับมา สีหน้าดำทมิฬขึ้นทุกวัน หลายเดือนมาแล้ว ยังหาจังหวะที่เหมาะสมในการลงมือไม่ได้สักที ส่วนที่รัฐอิง พี่น้องของเขา กำลังฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่ วางแผนการลับ เพื่อจะแย่งบัลลังก์ของเขา ถ้าหากไม่มีเสด็จแม่ของเขาเป็นหูเป็นตาให้ หาตัวการที่คอยยุแยงวางแผนการลับพวกนั้น แล้วส่งม้าเร็วไปเรียกตัวเขากลับมาหยุดยั้งได้ทันการพอดี มิเช่นนั้นล่ะก็ ตำแหน่งฮ่องเต้ของรัฐอิงคงถูกช่วงชิงไปนานแล้ว และปัญหาของทั้งหมดนั้นมาจากยัยหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่นคนเดียว ตอนแรก ที่นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย แล้วมายั่วยวนเสด็จพี่ เลยทำให้เขาต้องมาตายอย่างน่าอนาถในเงื้อมมือของหวงฝู่อี้เซวียน พอมาวันนี้ยังบังอาจมาปฏิเสธงานแต่งงานอีก แถมยังมีหน้าให้เขาต้องมาวิ่งตามนางครั้งแล้วครั้งเล่า ยังต้องคิดหาวิธีเข้าใกล้นาง อ่อยนาง ทำให้นางปฏิเสธตนไม่ได้ แล้วแต่งงานกับตน
ยืนมองรถม้าที่แล่นผ่านไปมาด้านนอกจากริมหน้าต่างโรงเตี๊ยม ความกดดันก็ค่อยๆ รุมเร้าเข้ามาเรื่อยๆ ความเดือดดาลภายในใจก็ค่อยๆ ประทุออกมา เลยกดเสียงต่ำออกคำสั่งว่า “ไปสืบมาให้ไว ว่าพวกเขามีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
มีเสียงตอบรับ แล้วออกไป พร้อมกับแอบถอนหายใจออกมา เพราะจริงๆ แล้วพวกเขาเข้าใกล้พวกท่านอ๋องฉีไม่ได้เลยสักนิด ไปสืบได้ แต่ก็ลงมือไม่ได้อยู่ดี ทำได้เพียงไปสืบความจากโรงเตี๊ยมที่พวกเขาพำนักอยู่เท่านั้น
เดือนห้าของเจียงหนาน อากาศร้อนระอุ เกรงว่าพระชายาฉีจะทนความร้อนนี้ไม่ไหว ในวันที่สอง ท่านอ๋องฉีและอีกสามคนออกจากโรงเตี๊ยมตั้งแต่เช้าตรู่ นั่งรถม้าชมนกชมไม้ไปอย่างสบายใจ
ออกเดินทางไปได้ครึ่งชั่วยาม ยังไม่ทันถึงที่หมายที่เถ้าแก่แนะนำมา ท่านอ๋องฉีก็รู้สึกได้ว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเขา แต่ไม่ได้บอกให้อีกสามคนตื่นตระหนก จึงแอบเปิดม่านรถม้าออก แล้วมองไปรอบๆ พอรถม้ามาถึงที่ๆ เงียบสงบ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านสักเท่าไร ล้อรถที่เคลื่อนอยู่ก็มีเสียงดังจนแสบแก้วหู
วางม่านรถม้าลง แล้วสั่งคนรถว่า “รีบหน่อย วันนี้อากาศร้อน เราจะต้องถึงโรงเตี๊ยมให้ได้ก่อนเวลากลางวัน”
คนรถตอบรับ ฟาดแซ่ลงไป ให้ม้าเร่งความเร็วมากกว่าเดิม
และในขณะนั้น ก็มีกลุ่มคนเสื้อดำปรากฏตัวขึ้น มือถือดาบเล่มใหญ่ ยืนขวางรถม้าอยู่
คนรถตกใจมาก รีบดึงแซ่ให้ม้าหยุด แล้วรายงานว่า “ท่านอ๋องขอรับ พวกเราพบโจรขอรับ”
คำพูดของเขา ทำให้ท่านอ๋องฉีเปิดม่านออก แต่พอเห็นคนพวกนั้นเป็นคนที่ได้รับการฝึกมา ก็หรี่ตา
พระชายาฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่นานถึงกลับมามีสติ หวงฝู่เย่าเย่ว์นึกสนุก เลยลุกขึ้น เพื่อจะชะเง้อมองออกไปด้านนอก
แล้วพระชายาฉีก็เอ็ดนาง “เย่ว์เอ๋อร์ อย่างวู่วาม”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่กล้าขัดคำสั่ง นั่งกลับไปโดยดี ได้แต่เอียงคอมองม่านรถที่โดนท่านอ๋องฉีเปิดออก ด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามทำอะไรเป็นอันขาด!” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่งเสร็จ ก็โค้งตัวลงจากรถม้ามา ม่านที่ปิดลง เหมือนการตัดขาดจากภายนอก
หวงฝู่เย่าเย่ว์ประหลาดใจเหลือทน เอื้อมมือไปยกม่านรถม้าขึ้นเล็กน้อย แล้วมองออกไปด้านนอก
พระชายาฉีกังวล แต่ก็อยากรู้สถานการณ์ด้านนอกเช่นกัน จึงไม่ได้ห้ามนาง
ท่านอ๋องฉีลงจากรถม้ามา ยืนตัวตรง มือไพล่หลัง ถามอย่างช้าๆ ว่า “ทุกท่าน นี่มันกลางวันแสกๆ มาขวางทางรถม้าเช่นนี้ ช่างบังอาจนัก”
แล้วมีคนหนึ่งหัวเราะออกมา “งานของพวกข้าก็คือขวางทางรถแล้วปล้นสิ่งของมีค่ามา ถ้าใจไม่เด็ดพอ แล้วจะมีเงินได้เยี่ยงไร ถ้าเข้าใจแล้ว ก็เอาของมีค่าออกมาให้หมด ไว้พวกข้าพอใจเมื่อไรก็จะปล่อยพวกเจ้าไป”
“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ” ท่านอ๋องฉีถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อั้ยหยา วันนี้เจองานหนักแล้วล่ะสิ” คนเมื่อครู่พูดตอบ “ไม่ให้งั้นรึ ถ้าไม่ให้ เชงเม้งปีนี้ครอบครัวพวกเจ้าคงได้ไหว้พวกเจ้าแน่”
“ทุกวันนี้บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า พวกเจ้ายังหนุ่มยังแน่น ทำไมไม่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่กลับมาเป็นโจรเช่นนี้ พวกเจ้าไม่กลัวราชสำนักจะเล่นงานพวกเจ้างั้นรึ”
“ราชสำนักคืออะไร ในย่านเจียงหนานแห่งนี้ มันขึ้นอยู่กับข้า อย่ามาพูดมาก เอาของมีค่าออกมาให้หมด ไม่งั้นเจอดีแน่”
ท่านอ๋องฉีหยิบกระเป๋าที่ติดตัวออกมาอย่างช้าๆ ถืออยู่ในมือ ลูบเบาๆ แล้วพูดว่า “ในนี้มีเงินอยู่หลายพันตำลึง ถ้าหากพวกเจ้าอยากได้ ก็เข้ามาเอาเอง”
ดวงตาของคนพวกนั้นก็เป็นประกาย เจ้านายสั่งมาว่า ถ้าหากครั้งนี้ทำสำเร็จ ของที่ได้มาก็จะเป็นของพวกเขา เงินหลายพันตำลึงนี้ก็จะเอามาแบ่งๆ กัน มันพอที่จะใช้เอาไปเคล้านารีที่หอนางโลมได้เป็นเดือน
คิดได้เช่นนั้น ก็โบกมือให้กับชายที่อยู่ข้างๆ “เจ้า ไปเอากระเป๋านั้นมาให้ได้”
คนนั้นกำลังจะก้าวเท้าออกมา ท่านอ๋องฉีก็ชี้ไปที่คนที่พูดอยู่ว่า “เจ้ามาเถอะ ข้าจะดูหน่อยสิว่าพวกเจ้าจะมีน้ำยาสักเพียงใดกันเชียว”
“อื้อหือ” ชายคนนั้นเข้าใจในความหมาย จึงโกรธเป็นอย่างมาก “ไอ้แก่เอ้ย ยังจะมาเล่นลิ้นกับข้าอีกนะ เงินแค่นี้ มันจะแค่ไหนกันเชียววะ”
พูดจบ ก็มุ่งไปหาท่านอ๋องฉีทันที
แล้วท่านอ๋องฉีก็ยื่นกระเป๋านั้นให้
คนนั้นก็กำลังจะหยิบมาด้วยความดีใจ
แต่คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องฉีจะชักกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วถีบเขาออกไป
คนนั้นไม่ทันระวัง โดนถีบจนกระเด็นตกลงที่พื้นอย่างแรง
“พี่ใหญ่!”
“พี่ใหญ่!”
……
คนที่เหลือร้องเรียกออกมา แล้ววิ่งไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา
ท่านอ๋องฉีแรงเท้าหนัก หนักเสียจนทำให้ชายคนนั้นตาปรือเลยทีเดียว ในขณะที่ทุกคนกำลังช่วยพยุงเขาขึ้นมานั้น เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ออกคำสั่งด้วยความโกรธ “พวกเจ้าเข้าไปจัดการเดี๋ยวนี้ ตีไอ้แก่นั่นให้ตายสะ”
ทุกคนตอบรับ ปล่อยเขา แล้วกรูกันเข้าไปหาท่านอ๋องฉี
หวงฝู่เย่าเย่ว์เห็นดังนั้น ก็ลืมคำพูดของท่านอ๋องฉี กระโดดลงมาจากรถม้า มายืนอยู่ข้างๆ
“เย่ว์เอ๋อร์ กลับไป!” ท่านอ๋องตวาดนาง
“ท่านปู่ ข้ามาช่วยท่าน”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ฟังคำพูดของเขาเลยสักนิด มองจ้องไปที่พวกที่เข้ามาโจมตีด้วยความสนุก
หวงฝู่สือเมิ่งกับพระชายาที่นั่งอยู่ในรถ ก็มองออกไปด้วยความร้อนใจ
พวกชายเสื้อดำดูดุดันน่าเกรงขราม ร้องตะโกนออกมาอย่างดุดัน แต่น่าเสียดายที่วิทยายุทธไม่ได้ดีนัก เพียงไม่กี่กระบวนท่า ก็โดนเตะจนนอนกองกับพื้น โอ้ย!
หัวหน้าพวกชายเสื้อดำรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวรอบๆ นิ่งเงียบ ไม่มีคนมาช่วยเหลือ สิ่งที่อยากจะสืบก็สืบได้แล้ว คนพวกนี้ไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของท่านอ๋องเลย ชายผู้นั้นเลยตะโกนเรียกพวกด้วยเสียงแหบแห้ง “ถอย!”
พวกคนเสื้อดำเหมือนกำลังรอคำนี้อยู่ พอสู้กันได้อีกหนึ่งกระบวนท่า ก็ถอยกลับไป พยุงเพื่อนที่นอนอยู่ที่พื้นขึ้น “วันนี้ถือว่าพวกเจ้าโชคดี ที่ข้าออมมือให้ ไว้ชีวิตพวกเจ้า” พูดจบ ชายคนนั้นวิ่งออกไป ส่วนที่เหลือก็ค่อยๆ เดินหนีไป
ส่วนท่านอ๋องฉียืนมือไขว้หลัง มองพวกมันหนีหัวซุกหัวซุนไป แล้วมองว่าจะมีใครมาปล้นอีกหรือไม่
“เซี่ยเฟิง!”
เซี่ยเฟิงก็ออกมาจากที่ลับ “ขอรับท่านอ๋อง!”
“ส่งคนตามไป”
“ขอรับ!” เซี่ยเฟิงตอบรับ โบกมือ แล้วองครักษ์ลับคนหนึ่งก็ออกมาตามพวกมันไป
พระชายาฉีเปิดม่านรถม้าออก แล้วเดินลงมา ถามด้วยความร้อนใจว่า “ท่านอ๋อง เย่ว์เอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านย่า” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบด้วยความสนุก
“ปล้นกันกลางวันแสกๆ คงอยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้วล่ะ พวกเรากลับไปเก็บของที่โรงเตี๊ยมกันเถอะ แล้วรีบออกเดินทางไปที่อื่นกัน” พระชายาฉีเสนอขึ้นด้วยความกังวลใจ
“ท่านย่า… …” หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ยอม นางโตจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยดูแข่งเรือมังกรเลย อย่างไรเสียก็ไม่อยากพลาด เลยเขย่าแขนของพระชายาฉี แล้วพูดอ้อนวอน
“อีกไม่กี่วันก็จะแข่งเรือมังกรแล้ว พวกเราดูเสร็จค่อยไปก็ยังไม่สาย” ท่านอ๋องฉีเข้าใจหวงฝู่เย่าเย่ว์ เลยแอบกระซิบกับพระชายาฉีเบาๆ
“แต่ว่าข้าไม่สบายใจ รู้สึกได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ เจ้าค่ะ” พระชายาฉีเอามือทาบที่อก ขมวดคิ้วพูดออกมา
“มันก็แค่ไอ้พวกสวะ ทำอะไรไม่ได้มากหรอก เจ้าไม่ต้องกังวลไป มีข้าอยู่ทั้งคน” ท่านอ๋องฉีปลอบใจนาง
พระชายาฉีก็ยิ่งไม่สบายใจหนักเข้าไปอีก แต่พอมองไปที่หน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จึงพยักหน้า “เอาเถอะ ดูแข่งเรือมังกรเสร็จพวกเราต้องออกเดินทางทันที ข้าล่ะไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว”
ตั้งแต่พวกนางออกจากเมืองหลวงมา ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย แต่พอมาถึงเจียงหนานแห่งนี้ กลับมีเรื่องติดกันสองครา ทำให้นางเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านย่า” พอฟังพระชายาฉีตอบกลับมา หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ขอบพระคุณด้วยความดีใจ แล้วพยุงนางขึ้นรถม้าไปตามเดิม
พอเจอเรื่องเช่นนี้ การเดินทางก็ไม่สนุกอีกต่อไป พระชายาฉีสั่งให้รถม้ารีบเดินทางกลับไปที่โรงเตี๊ยม
ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้ห้าม ขึ้นนั่งบนรถม้าตามเดิม แล้วได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิด
พวกชายเสื้อดำวิ่งหนีออกมาอย่างสุดชีวิต พอเห็นว่าท่านอ๋องฉีไม่ได้ตามมา ถึงได้หยุดพักหายใจ เอาผ้าปิดหน้าออก แล้วด่าว่า “บ้าเอ้ย นึกว่าจะเป็นเรื่องขี้หมา อีกนิดเดียวก็จะพลาดท่าให้กับไอ้แก่นั่นแล้วไหมล่ะ เงินที่อยู่แค่เอื้อมก็เอามาไม่ได้”
ส่วนคนที่เหลือก็ถอดผ้าปิดหน้าออกมาพักหายใจเช่นเดียวกัน
พักหนึ่ง พอเริ่มหายเหนื่อยแล้ว คนนั้นก็พูดกับทุกคนว่า “พอกลับไป บอกเพียงแต่ว่าพวกเราได้สืบมาแล้ว พวกมันไม่มีคนมาช่วย ส่วนเรื่องที่พวกเราโดนซ้อมนั้น ไม่ต้องพูดถึงเป็นอันขาด ถ้าใครปากโป้ง ทำให้ข้าขายหน้าล่ะก็ เจอดีแน่”
คนที่เหลือตอบรับ “รู้แล้วขอรับ รองหัวหน้า”
องครักษ์ลับที่ตามอยู่ด้านหลังได้ยินสรรพนามเช่นนี้ จึงอดสงสัยไม่ได้
พอคนผู้นั้นสั่งเสร็จ ก็จัดท่าทางแต่งตัวให้เรียบร้อย เชิดหน้าเดินกลับจวนฮั่วไปรายงานที่เรือนของฮั่วเจี่ย
ฮั่วเจี่ยได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะออกมาดังลั่น “อ๋องฉีคนนี้มันก็แค่คนที่ไม่รู้จักระวังตัว ชอบทำตัวสูงส่งไปเช่นนั้นแหละ ออกมาเที่ยวเล่นทั้งที ดันไม่เอาคนมาคุ้มกันสักคน ดูเหมือนว่าสวรรค์คงเกลียดขี้หน้ามันเช่นกัน เลยให้ข้าช่วยจัดการเขาให้”
“ขอรับ นายท่านพูดถูก” ชายผู้นั้นผสมโรง
“ทำดีมาก ไปเอารางวัล คนละยี่สิบตำลึง” ฮั่วเจี่ยเบิกบานใจ จึงยิ้มแล้วพูดออกมา
ชายผู้นั้นดีใจเป็นที่สุด หลังกล่าวขอบคุณเสร็จ ก็ไปที่ห้องบัญชีเพื่อรับเงินอย่างเบิกบาน
องครักษ์ลับตามชายคนนั้นมาจนถึงหน้าประตูจวนฮั่ว เห็นพวกเขาเข้าไปด้วยความคุ้นเคย จดจำตำแหน่งจวนฮั่วเอาไว้ แล้วกลับมาที่โรงเตี๊ยม รายงานเรื่องนี้แก่เซี่ยเฟิง
เซี่ยเฟิงไม่รอช้า รีบขึ้นไปด้านบนแล้วรายงานให้กับท่านอ๋องฉีทันที
“จวนฮั่วรึ” ท่านอ๋องนั่งครุ่นคิด นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เขาเคยรู้จักคนตระกูลฮั่วด้วยงั้นรึ หากว่าไม่มีความแค้นกับเขา แล้วเหตุใดจึงลงมือกับเขาเช่นนี้
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 79 อุบัติเหตุ?
ท่านอ๋องฉีครุ่นคิดอยู่นาน เรียกเซี่ยเฟิงเข้ามา “ส่งคนไปสืบมา ว่าจวนฮั่วนี่มันเป็นใคร ข้าเคยมีความแค้นกับพวกเขาหรือไม่ แล้วก็ ส่งคนไปสืบมาด้วยว่าชาวเจียงหนานอยู่อย่างสงบสุข ประชาราษฎร์กินดีอยู่ดีภายใต้การปกครองขององค์ฮ่องเต้เหมือนกับทางเหนือหรือไม่”
อย่างไรเสียแผ่นดินนี้ก็เป็นของตระกูลหวงฝู่ ในเมื่อเขาเจอเรื่องเช่นนี้ แค่นี้คงเป็นเหตุผลมากพอให้เขามาจัดการได้
เซี่ยเฟิงตอบรับ แล้วออกไป
พระชายาฉีรู้สึกไม่ดีอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้ออกไปไหนเลยเป็นเวลาหลายวัน หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็อยู่กับนางตลอดที่โรงเตี๊ยมไม่ได้ออกไปไหนเช่นเดียวกัน
พริบตาเดียว ก็มาถึงวันแข่งเรือมังกร เช้าตรู่ หวงฝู่เย่าเย่ว์วิ่งมาที่ห้องของท่านอ๋องฉีด้วยความตื่นเต้น บอกว่า “ท่านปู่ ท่านย่า วันนี้เป็นวันแข่งเรือมังกรแล้วเจ้าค่ะ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
นี่เป็นเรื่องที่นางรอคอยมาตลอด พระชายาฉียิ้มแล้วพยักหน้า “เอาล่ะ พวกเรากินข้าวเช้าเสร็จ ก็ไปกันได้ พอแข่งเรือมังกรเสร็จ พวกเราก็กลับมาพักที่โรงเตี๊ยมกันก่อนครู่หนึ่ง แล้วค่อยออกเดินทางไปที่อื่นกัน”
“เจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบรับด้วยความตื่นเต้น “ท่านย่าว่าเยี่ยงไรก็เยี่ยงนั้นเลยเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ออกจากโรงเตี๊ยม ขึ้นรถม้ามาที่ริมแม่น้ำ
ประเพณีแข่งเรือมังกรจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ปีละครั้ง ชาวบ้านแต่งตัวเรียบร้อยพร้อมใจกันมายืนดูแข่งเรือบนสะพานไม้แห่งนี้ พอพวกเขามาถึง บนสะพานไม้ก็เต็มแน่นไปด้วยผู้คนเสียแล้ว
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เกาะแขนของพระชายาฉีคนละข้าง ท่านอ๋องฉีเอามือไขว้หลัง เดินตามอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ ทั้งสี่คนก็มายืนตรงที่ตนเล็งไว้แต่แรก
ที่ตรงนั้นก็คือจุดกึ่งกลางของสะพานไม้พอดี เป็นจุดที่สูงที่สุด มองทิวทัศน์ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ขณะนั้น บนแม่น้ำก็จัดเรียงเรืองมังกรเอาไว้พร้อมแล้ว คนที่อยู่บนเรือกำลังเตรียมการแข่งขันกันอยู่
ทะเลสาบชิงหยางในเมืองหลวงก็มีเรือ แต่เอาไว้สำหรับเที่ยวเล่น บนเรือมีแต่ชั้นวางของสวยๆ ไม่เหมือนกับเรือมังกร รูปร่างของเรือมังกรสวยงาม และเห็นคนในเรือได้ชัดเจน
ได้เห็นเรือมังกรครั้งแรก หวงฝู่เย่าเย่ว์ตื่นเต้นมาก เอาแต่ชี้เรือมังกรเหล่านั้นแล้วพูดกับพระชายาฉีไม่หยุด
พระชายาฉีได้แต่พยักหน้า หวงฝู่สือเมิ่งก็ได้แต่มองตามที่นางชี้ สายแต่มีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด
รูปร่างของท่านอ๋องฉีสูงใหญ่ ยืนคุมหลังทั้งสามคนอยู่ตลอดเวลา
คนที่มาดูการแข่งขันมากขึ้นเรื่อยๆ สะพานไม้เริ่มเบียดเสียดขึ้นทุกที
ท่านอ๋องฉีคิ้วขมวดเล็กน้อย แล้วทำเป็นมองซ้ายมองขวา
เซี่ยเฟิงเห็นดังนั้น เลยโบกมือให้องครักษ์ลับค่อยๆ เข้าใกล้พวกเขา
เมื่อถึงเวลาเริ่มการแข่งขันเรือมังกร เสียงกลองดังสนั่นไปทั่วพื้นน้ำในชั่วพริบตา เสียงคนร้องเรียก ร้องเป็นกำลังใจ ดังสนั่นออกมาไม่ขาดสาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์สนุกจนปล่อยแขนของพระชายาฉีออก ปรบมือของตนสนุกกับการแข่งเรือมังกร
และตอนนั้น ก็มีสาววัยรุ่นแอบเข้ามาใกล้พวกเขาอย่างเงียบๆ ท่าทางพวกนางเหมือนคนปกติทั่วไป ท่านอ๋องฉีจึงไม่ได้เอะใจ
แต่เซี่ยเฟิงรู้สึกแปลกๆ ส่งสัญญาณบอกกับองครักษ์ลับ ให้เบียดตัวเข้าไปในหมู่คนที่มาดูการแข่งขัน อยากกันเอาพวกนางเหล่านั้นออกมาให้ห่างจากพวกพระชายาฉีอย่างแนบเนียน
สาววัยรุ่นพวกนั้นค่อยๆ เข้าไปใกล้หวงฝู่เย่าเย่ว์ ในขณะที่นางยังไม่ทันตั้งตัว ก็อุ้มหวงฝู่เย่าเย่ว์ กระโดดลงไปในแม่น้ำ
“เย่ว์เอ๋อร์!” พระชายาฉีเห็นดังนั้น ก็ร้องเรียกออกมาเสียงดัง แล้วจะกระโดดลงไปช่วยนางด้วย
ขณะนั้นสะพานไม้เกิดเสียง เอี๊ยดๆ อ๊าดๆ ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว สะพานไม้ก็หักกลาง คนบนสะพานก็ตกลงมาตามๆ กัน
ท่านอ๋องฉีรู้ตัวทัน เลยยื่นมือออกมากอดพระชายาฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งเอาไว้ แล้วตกลงไปในน้ำพร้อมกัน
ส่วนพวกเซี่ยเฟิงก็ตกลงไปด้วยเช่นกัน
พริบตาเดียว บนพื้นน้ำก็เต็มไปด้วยเสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือ และเสียงตกน้ำดัง ตู้มๆ
คนที่คอยดูแข่งเรืออยู่ทางริมฝั่งเห็นเช่นนี้ก็อึ้งไปตามๆ กัน
แม่น้ำนี้ลึกมาก หลังจากที่ท่านอ๋องฉีกอดพระชายาและหวงฝู่สือเมิ่งตกลงมานั้น เลยจำใจต้องปล่อยพวกนางออก แล้วใช้มือสองข้างลากพวกนางขึ้นเหนือน้ำ
พระชายาฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งว่ายน้ำเป็น เมื่อครู่นี้เพียงแค่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเท่านั้น หลังจากที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ก็ได้สติ มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจอหวงฝู่เย่าเย่ว์เลย
ส่วนพวกเซี่ยเฟิงโดนผู้คนที่กำลังตกใจขวางอยู่ ยากที่จะเข้าใกล้พวกท่านอ๋องฉี
ท่านอ๋องฉีพยายามรวบรวมกำลัง ออกคำสั่งอย่างเสียงดังว่า “ไม่ต้องสนใจพวกข้า แยกกันไปหาเย่ว์เอ๋อร์”
เซี่ยเฟิงพยักหน้า เป่ามือเหมือนเสียงหนกหวีด แล้วก็มีคนออกมาจากที่ลับอีกสิบกว่าคน กระโดดลงน้ำเสียงดัง ตู้ม จากนั้นก็ช่วยกันหาเย่ว์เอ๋อร์
หวงฝู่เย่าเย่ว์โดนหญิงสาวพวกนั้นกอดกระโดดลงน้ำมา ตอนที่กำลังจะถึงน้ำ นางได้กลั้นหายใจเอาไว้ เพื่อไม้ให้น้ำเข้าปอดสำลักตาย
หญิงสาวพวกนั้นชำนาญการว่ายน้ำ หลังจากที่เอาหวงฝู่เย่าเย่ว์กระโดดลงน้ำมาแล้วนั้น ก็ว่ายน้ำเหมือนปลาไปยังจุดที่ตนต้องการ แต่ที่พวกนางไม่คาดคิดก็คือ สะพานจะขาดจนทำให้คนตกลงมามากมายขนาดนี้ จนขวางทางพวกนาง แล้วทำให้พวกนางว่ายไปถึงจุดนั้นไม่ได้
หวงฝู่เย่าเย่ว์ต่อสู่เป็น หลังจากที่คุ้นชินกับการอยู่ในน้ำแล้ว ก็เริ่มดิ้นให้หลุดจากพวกนาง
หญิงสาวพวกนั้นคิดว่านางว่ายน้ำไม่เป็น กลัวนางจมน้ำตาย เลยเอาหัวนางโผล่ขึ้นมาสูดอากาศบ้าง แต่ไม่ว่านางจะดิ้นอย่างไร ก็ไม่ยอมปล่อยให้นางหลุดเสียที
ขณะนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงดำน้ำลงไปกัดมือของสาวคนหนึ่งที่จับนางไว้อยู่
สาวคนนั้นเจ็บ จนต้องปล่อยมือออกอย่างไม่รู้ตัว
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้โอกาส เอาหัวโขกกับตัวของสาวอีกคนหนึ่ง
ตอนคนอยู่ในน้ำ ร่างกายมีแรงพยุง เลยเซไปมา หญิงสาวคนนั้นที่โดนหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาหัวโขก ก็หงายหลัง มือที่จับนางอยู่ก็ปล่อยออก
คนซ้ายขวาปล่อยออกหมดแล้ว แขนของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เป็นอิสระ ใช้มือจัดการกับผู้หญิงอีกสองคนที่เหลืออย่างไม่ปรานี
โอ้ย โอ้ย พอสิ้นเสียงร้อง ผู้หญิงสองคนนั้นก็ปล่อยนางออก
หวงฝู่เย่าเย่ว์หลุดออกมาได้แล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ดำน้ำว่ายไปที่ใดก็ได้ก่อน ให้ห่างจากสี่นางนี้ค่อยว่ากัน
พอหญิงสาวเหล่านั้นได้สติ ก็รีบตามทันที
ท่าป๋าหั่นหลินที่ยืนอยู่ริมฝั่งไม่ไกลโกรธจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว กว่าเขาจะรู้ว่าวันนี้พวกท่านอ๋องฉีจะมาดูการแข่งเรือมังกรได้นั้น ต้องวางแผนตั้งเท่าไร คิดไม่ถึงว่าสะพานจะพังลงมา เลยทำให้เขาไม่รู้เลยว่าแผนการของเขาสำเร็จหรือไม่
ส่วนอีกทางหนึ่ง ฮั่วเจี่ยลูบเคราของตนมองภาพคนที่ตะกุยตะกายอยู่ในน้ำ แล้วยิ้มออกมาด้วยความสะใจ อวี้เอ๋อร์บอกไว้ว่า นังหนูแซ่หวงฝู่นั่นว่ายน้ำไม่เป็น ตกน้ำลงไปเช่นนี้คงไม่รอดแน่ ถ้าหากไม่กลัวคนสงสัยล่ะก็ เขาคงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ว่าไอ้แก่อ๋องฉีนั่น ตอนนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง
หลิวอวี้เอ๋อร์ที่ยืนอยู่อีกทาง ก็มองดูอย่างละเอียด รวมไปถึงตอนที่สะพานยังไม่หักออก แล้วหวงฝู่เย่าเย่ว์โดนอุ้มกระโดดลงน้ำมา ในขณะที่นางกำลังดีใจ ก็แอบกระซิบถามว่า “ท่านตา ท่านส่งคนไปทำให้ยัยหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่นจมน้ำตายก่อนงั้นหรือเจ้าคะ”
ฮั่วเจี่ยชะงักไป ไม่เข้าใจที่นางพูด “อวี้เอ๋อร์ เจ้าพูดอะไรน่ะ ตาไม่เข้าใจ”
ไม่ใช่คนที่ท่านตาส่งไป หลิวอวี้เอ๋อร์เลยชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าก็ได้หายไป แล้วยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง แท้จริงแล้ว นอกจากข้า ยังมีคนเกลียดขี้หน้ายัยหวงฝู่เย่าเย่ว์อีกงั้นหรือ นางจะต้องตาย ความคิดเช่นนี้ ทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาทันที จากที่เครียดมาเป็นปี เลยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเป็นอย่างมากจนเก็บไว้ไม่อยู่ว่า “เปล่าเจ้าค่ะท่านตา อวี้เอ๋อร์ก็แค่ถาม ท่านไม่ต้องกังวลไป”
ฮั่วเจี่ยมองนางด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ถามต่อ
พระชายาฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งตะโกนเรียกหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยความร้อนใจ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เลยยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่
ท่านอ๋องฉีใจเย็น แล้วปลอบพวกนางว่า “องครักษ์ลับลงน้ำมาช่วยตามหานางแล้ว เดี๋ยวก็เจอ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป”
หวงฝู่เย่าเย่ว์โดนหญิงสาวพวกนั้นดึงลงแม่น้ำมา จะไม่ให้พระชายากังวลได้อย่างไร ได้แต่ลอยคอ แล้วตะโกนเรียก “เย่ว์เอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์”
ทำอะไรไม่ได้ คนเยอะมากเหลือเกิน คนที่ร้องขอความช่วยเหลือก็มีมาก เสียงของนางโดนกลบไปเสียหมด
องครักษ์ลับลงน้ำมาก็แยกย้ายกันหาจนทั่ว
หวงฝู่เย่าเย่ว์หลบซ้ายหลีกขวา หาทางหนีหญิงสาวเหล่านั้น แล้วเจอเข้ากับองครักษ์ลับนายหนึ่งพอดี
องครักษ์ลับดีใจมาก “ท่านหญิง ตามข้ามาทางนี้ขอรับ ท่านอ๋องกับพระชายารออยู่ทางนั้น”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า แล้วนำหน้าไป
องครักษ์ลับว่ายตามอยู่ด้านหลัง
หญิงสาวพวกนั้นเห็นเช่นนี้ จึงไม่กล้าเข้าใกล้อีก เพราะเจ้านายบอกไว้ว่า หากโดนจับได้ล่ะก็ ไม่เพียงแค่พวกนางเท่านั้น ครอบครัวของพวกนางก็คงไม่เหลือรอด
มาตามทางที่องครักษ์ลับบอกจนมารวมตัวกับพวกพระชายาฉีได้ ได้ยินเสียงเรียกพร้อมกับเสียงสะอื้นของพระชายาฉีที่กำลังร้องเรียก หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เพราะตนเป็นคนก่อเรื่องทุกครั้งเลย จนทำให้ท่านปู่ท่านย่าต้องเป็นห่วงตลอด
แล้วนางก็ตะโกนออกมาว่า “ท่านย่า ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ” แล้วก็ว่ายไปหาพวกนางอย่างรวดเร็ว
พระชายาฉีได้ยินเสียงเรียกของนาง ก็หันมาตามเสียง พอเห็นนาง ก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ แล้วว่ายมาหานาง กอดนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ย่าตกใจแทบแย่”
“ท่านย่า ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องห่วง แต่ท่านน่ะสิ เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ เจ็บตรงไหนหรือไม่”
แล้วท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งก็ว่ายเข้ามา
หวงฝู่สือเมิ่งยื่นมือออกมากอดนาง มือแอบสั่นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เย่ว์เอ๋อร์ ข้าตกใจแทบแย่”
“พี่ใหญ่ ไม่เป็นไรนะ ข้าเก่งแค่ไหนท่านก็รู้ พวกนางแค่นั้นทำไรข้าไม่ได้หรอก”
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้วๆ” หวงฝู่สือเมิ่งพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “ไปกันเถอะ พวกเราขึ้นฝั่งกัน แล้วรีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
“พี่ใหญ่” หวงฝู่เย่าเย่ว์ดึงนางไว้ แล้วมองไปที่ท่านอ๋องฉี “ท่านปู่ ข้ารู้สึกว่าเรื่องวันนี้มันแปลกๆ เมื่อครู่หญิงสาวพวกนั้นยังตามข้าอยู่ดีๆ เลย ท่านส่งคนไปกับพวกเราหน่อย เดี๋ยวข้ากับพี่ใหญ่จะไปจับพวกนางมาให้เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้” พระชายาฉีแย้งทันที “กว่าเจ้าจะได้กลับมา อย่าไปเสี่ยงเลย ที่เหลือให้องครักษ์ลับเป็นคนจัดการเถิด”
“ท่านย่า พวกองครักษ์ลับไม่ได้เห็นพวกนาง เลยไม่รู้ว่าพวกนางรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร พวกนางต่อสู้ไม่เป็น ถ้าข้ากับพี่ใหญ่ช่วยกันล่ะก็ จับพวกนางได้แน่นอนเจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ลองโน้มน้าวดู
หาหวงฝู่เย่าเย่ว์เจอแล้ว องครักษ์ลับจึงเป่าหวีดออกมา เพราะฉะนั้นองครักษ์ลับทั้งหมดก็มุ่งหน้าว่ายมารวมตัวกันตรงพวกเขา
เซี่ยเฟิงจึงรีบตามมาอย่างรวดเร็ว
“เซี่ยเฟิง เจ้าพาทหารตามเย่ว์เอ๋อร์กับเมิ่งเอ๋อร์ไปจับตัวคนมา จำเอาไว้ว่า จับเป็น”
เซี่ยเฟิงรับคำสั่ง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หันกลับว่ายไปตามทางเดิม ส่วนหวงฝู่สือเมิ่งก็ว่ายตามไปด้วยเช่นกัน
เซี่ยเฟิงนำองครักษ์สามนายตามมาด้วยติดๆ
หญิงสาวทั้งสี่เห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ไปกับองครักษ์ลับแล้ว ก็ลอยคออยู่ที่เดิมพักหนึ่ง แล้วถึงว่ายกลับไปที่ท่าป๋าหั่นหลิน ขึ้นฝั่งไปทั้งเสื้อผ้าที่เปียกปอน บอกกับเขาด้วยน้ำเสียงกะกุกตะกัก “เจ้านาย”
“นางล่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินมองข้ามพวกนางไปเลย แล้วถามออกมาด้วยความดุดัน
“เอ่อ หนีไปแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวคนหนึ่งก้มหน้าตอบกลับไป
ท่าป๋าหั่นหลินขมวดคิ้วอย่างแรง แล้วพูดด้วยความดุดัน “หนีไปแล้วงั้นหรือ”
ครั้งนี้ไม่มีใครตอบกลับ
“ทำไมไม่พูดล่ะ เป็นใบ้กันหรือไง” น้ำเสียงที่ดุดันของท่าป๋าหั่นหลินทำให้พวกนางตัวสั่นระรัว ขาแข้งอ่อนแรง ได้แต่นั่งคุกเข่า ก้มกราบลงไป “ไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิดเจ้านาย พวกบ่าวพยายามแล้วเจ้าค่ะ ตอนแรกได้ตัวมาแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าสะพานจะถล่ม คนที่ตกลงมาขัดขวางหนทางของพวกบ่าว เลยทำให้นางหนีไปได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนี้หมายความว่าไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้างั้นรึ” ท่าป๋าหั่นหลินถาม
“ไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิดเจ้าค่ะ” นางพวกนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่ก้มกราบ เอาหัวกระแทกๆ อย่างเดียว
“ส่งตัวพวกนางกลับไปให้กับค่ายทหาร” ท่าป๋าหั่นหลินไม่มองพวกนางอีก แล้วออกคำสั่งอย่างเฉยชา
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 80 สะพานถล่มอย่าง...
สีหน้าของหญิงสาวทั้งสี่เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด เอาแต่ก้มกราบกระแทกหัวลงกับพื้น ตึกๆ พร้อมกับพูดว่า “เจ้านาย!”
พูดไม่ทันจบ ก็โดนองครักษ์ลากตัวออกไป
ท่าป๋าหั่นหลินกวาดสายตามองออกไปที่ผู้คนในแม่น้ำ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเดินออกไปจากริมแม่น้ำ
หวงฝู่เย่าเย่ว์พาองครักษ์ลับมาที่เดิม หาจนทั่ว แต่พบว่าหญิงสาวพวกนั้นหนีไปแล้ว จึงจะกลับมาหาพระชายาฉี
อากาศร้อน อาภรณ์ที่ใส่ค่อนข้างบาง ตอนนี้เปียกน้ำ เสื้อเลยแนบเนื้อ พระชายาฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งเลยได้แต่เอาตัวให้อยู่ในน้ำไว้ ไม่กล้าขึ้นมา
ท่านอ๋องฉีขึ้นฝั่งไปหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้ใช้ฉุกเฉินมาให้ด้วยตนเอง
หลังจากที่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับมา ท่านอ๋องฉีก็กลับมาพอดี บอกให้พวกเขาขึ้นจากฝั่ง จากนั้นก็เอาชุดส่งให้กับพวกนาง
ทั้งสามคนเอามาห่มอย่างรวดเร็ว แล้วเดินกลับไปที่รถม้าทันที
ส่วนพวกเซี่ยเฟิง หลังจากขึ้นฝั่งแล้ว ก็หาที่ๆ คนไม่พลุกพล่าน อาศัยจังหวะไม่มีคนสนใจ เอาเสื้อของตนมาบีบน้ำออกให้แห้ง
พระชายาฉีและหลานๆ ขึ้นรถม้าไป
ท่านอ๋องฉียืนอยู่ด้านนอก หันมองไปที่ผู้คนที่ตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นน้ำ แล้วออกคำสั่งกับเซี่ยเฟิงว่า “เจ้าไปสืบมา สะพานถล่มในวันนี้ เป็นฝีมือของคนหรืออุบัติเหตุ”
สะพานไม้แห่งนี้พาดผ่านแม่น้ำ ถ้าหากว่าจะถล่มเองล่ะก็ แสดงว่าขุนนางท้องถิ่นทำไว้ไม่ดี ไม่ได้คอยให้คนมาตรวจสอบซ่อมบำรุง แต่หากว่ามีคนจงใจก่อเหตุล่ะก็ เขาคงต้องตรวจสอบด้วยตนเองเสียหน่อยแล้ว เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นติดต่อกันหลายวันนี้ ไม่มีเรื่องไหนเลยที่จะไม่เอาชีวิตเขา
เซี่ยเฟิงตอบรับ แล้วรีบออกคำสั่งให้องครักษ์ที่เหลือไปตรวจสอบสะพานไม้ที่ถล่มลงมา
แล้วท่านอ๋องฉีก็ขึ้นรถม้า สั่งให้คนรถกลับไปที่โรงเตี๊ยม
อยู่ดีๆ สะพานไม้ก็ถล่มลงมา ทำให้คนที่มาดูการแข่งขันเรือมังกรต้องตกลงน้ำ ไม่นานเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่ว ขนาดเถ้าแก่โรงเตี๊ยมยังได้ยินข่าวนี้แล้วเลย พอเห็นพวกเขากลับมาอย่างหมดสภาพ ก็รีบเอ่ยปากก่อนเลยว่า “ทุกท่านเชิญพักที่ห้องก่อน เดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนเอาน้ำร้อนขึ้นไปให้ขอรับ”
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า แล้วเดินขึ้นห้องไป
แล้วเสี่ยวเอ้อร์ก็รีบเอาน้ำร้อนมาให้ พอทุกคนอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ทำความสะอาดห้องให้สะอาด จากนั้นหวงฝู่เย่าเย่ว์กับหวงฝู่สือเมิ่งก็มาที่ห้องของท่านอ๋องกับพระชายาฉี
“ท่านย่า ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ” ทั้งสองคนถามด้วยความเป็นห่วง
แม้จะอาบน้ำร้อนไปแล้ว แต่สีหน้าของพระชายาฉียังคงซีดเซียว แต่ก็กลัวหลานทั้งสองจะเป็นห่วง จึงยิ้มแล้วโบกมือบอกว่า “ย่าไม่เป็นไร ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” “ท่านย่า ขอโทษเจ้าค่ะ ที่ทำให้ท่านเป็นห่วง” หวงฝู่เย่าเย่ว์ขยับเข้าใกล้นาง เงยหน้าแล้วพูดขอโทษออกมาด้วยความรู้สึกผิด
พระชายาฉียื่นมือออกมาลูบหัวของนาง “เด็กโง่เอ๋ย ย่าไม่โทษเจ้าหรอก เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ มันมีคนจงใจวางแผนไว้แล้วชัดๆ”
“ข้ากับพี่ใหญ่ก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นข้าเลยอยากถามท่านย่า ว่าพวกเราควรจะอยู่ที่ต่ออีกสักหลายๆ วัน พอสืบเรื่องราวชัดเจนแล้วว่าใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังแล้วค่อยไปดีไหมเจ้าคะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดอ้อนวอนอย่างช้าๆ
หลายวันนี้เกิดเรื่องติดต่อกันมากมาย จริงๆ แล้วพระชายาฉีอยากจะหลีกหนีจากถิ่นเจียงหนานนี้เต็มทนแล้ว แต่พอวันนี้ หวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ข้างตนเองแท้ๆ กลับโดนคนจับกระโดดลงน้ำไปอีก พระชายาฉีเข้าใจว่าทั้งสี่คนคงโดนเพ่งเล็งเอาไว้เรียบร้อย พอหวงฝู่เย่าเย่ว์พูดเช่นนี้ จึงพยักหน้า “ได้ พวกเราจะอยู่ที่เจียงหนานต่อ ดูสิว่าใครมันมีความแค้นต่อพวกเราเพียงนี้ อยากจะให้พวกเราตายนักหรือไง”
แล้วก็มีเสียงรายงานจากเซี่ยเฟิงดังมาจากด้านนอก “ท่านอ๋องขอรับ!”
“เข้ามาได้!” ท่านอ๋องฉีออกคำสั่ง
เซี่ยเฟิงเปิดประตูห้องออก เดินเข้ามา แล้วปิดประตู “ขอคารวะท่านอ๋องฉี พระชายา และท่านหญิง”
“เรื่องใด”
“คนที่ไปสืบที่จวนฮั่วกลับมาแล้วขอรับ”
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“จวนฮั่วแห่งนี้เป็นบ้านแม่ของฮูหยินของนายน้อยอู่โหวขอรับ แล้วก็หลิวอวี้เอ๋อร์แห่งจวนอู่โหว ไม่รู้ว่าปีที่แล้วเกิดเรื่องอันใด ถึงได้ถูกส่งมาเจียงหนาน อยู่ที่จวนฮั่วขอรับ”
หลิวอวี้เอ๋อร์ก็อยู่เจียงหนานด้วยงั้นหรือ ในขณะที่ท่านอ๋องฉีคิดไม่ตก ก็นึกออกขึ้นมาทันที
เพราะหลังจากเกิดเรื่องเมื่อปีที่แล้ว ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวของจวนอู่โหวอีก เลยไม่รู้ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ถูกส่งออกนอกเมืองหลวงมา
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์พอรู้มาบ้าง แต่ว่าจวนอู่โหวบอกกับคนนอกว่าหลังจากหลิวอวี้เอ๋อร์ตกน้ำไปก็ขวัญเสีย สติหลุด เลยส่งไปอยู่วัดเป็นระยะเวลาหนึ่ง ตอนนั้นพวกนางไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก นานวันเข้าก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียหมด วันนี้เซี่ยเฟิงพูดขึ้นมา ถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วหลิวอวี้เอ๋อร์ถูกส่งมาอยู่เจียงหนานนี่เอง ส่วนเรื่องที่จวนอู่โหวแต่งขึ้นก็เพื่อปกปิดคนนอกเท่านั้นเอง
หลังจากตรวจสอบแน่ชัดแล้ว นึกถึงพวกคนเสื้อดำเมื่อวันก่อนได้ว่าเป็นคนที่จวนฮั่วส่งมา แต่ทำไมพวกเขาถึงได้ส่งคนที่ต่อสู้ไม่เป็นมานะ ข้อนี้ ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วคิดไม่ตก
แล้วก็มีเสียงองครักษ์ลับดังมาจากด้านนอก “ท่านอ๋องขอรับ!”
ท่านอ๋องได้สติ แล้วออกคำสั่ง “เข้ามาได้!”
องครักษ์ลับคนนั้นเข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋องขอรับ ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบมาแล้ว บนสะพานนั้นมีร่องรอยที่แสดงว่าเป็นฝีมือคนขอรับ”
สีหน้าของท่านอ๋องฉีเคร่งขรึมมากกว่าเดิม เพียงเพราะครอบครัวของตนแค่ไม่กี่คน บังอาจทำลายสะพานโดยไม่คำนึงถึงชาวบ้านตาดำๆ ว่าจะเป็นหรือตาย การกระทำเช่นนี้ ปล่อยไว้ไม่ได้
“ไป ไปแจ้งความที่ที่ว่าการเจ้าเมือง ให้พวกเขาสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว”
องครักษ์ลับตอบรับ แล้วออกไป
“เจ้าส่งคนไปรวบรวมหลักฐาน ห้ามพลาดแม้แต่นิดเดียว”
“ขอรับ!” เซี่ยเฟิงตอบรับแล้วออกไป
พระชายาฉีตระหนกจนอ้าปากค้าง เพราะนางยังไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน เพื่อความแค้นส่วนตัว ถึงขั้นเอาชีวิตคนตั้งมากมายมาแลกเช่นนี้ เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อน “ท่านอ๋อง! เรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ จะต้องตรวจสอบให้แน่ชัด ทวงคืนความยุติธรรมให้กับพวกชาวบ้านตาดำๆ ให้ได้!”
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า
เจ้าเมืองเจียงหนานได้ยินเรื่องสะพานถล่ม ก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบร้อนมาที่ริมแม่น้ำด้วยตนเอง ออกคำสั่งให้คนเข้าช่วยเหลือชาวบ้านขึ้นฝั่งให้หมด แต่ว่าได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก นอนอยู่ริมฝั่ง ร้องกันออกมาระงม ส่วนพวกศพที่ลอยอยู่บนพื้นน้ำ นำขึ้นมาเป็นอย่างสุดท้าย วางอยู่ริมฝั่งอย่างนั้น ให้ครอบครัวของพวกเขามารับศพไปเอง พอมีชาวบ้านได้ยินข่าวก็มาตามหาคน ค่อยๆ ดูไปทีละคน จะได้รู้ว่ามีครอบครัวของตนอยู่ในนั้นหรือไม่ ส่วนหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ยืนอยู่กับคนพวกนั้นด้วย
นางเพิ่งมาอยู่เจียงหนานได้แค่ปีเดียว แถมยังเป็นหญิงสาว เจ้าเมืองเจียงหนานไม่รู้จักนาง นึกว่านางเป็นคนที่มาตามหาญาติเท่านั้น ไม่ได้สนใจ
หลิวอวี้เอ๋อร์กลั้นความปลื้มใจเอาไว้ไม่ไหว วิ่งไปตรงที่มีศพเรียงราย ดูไปทีละคนๆ ในใจก็นึกภาพครอบครัวของอ๋องฉีจมน้ำหมดสภาพนอนกองอยู่ตรงนั้น แต่หาตั้งแต่ต้นจนหมด ก็ไม่มี
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เชื่อ เลยหาดูอีกรอบ แต่ก็ไม่พบ ความดีใจก็หายไป ทำหน้าบึ้งตึง แต่ก็อยากจะไปหาตรงคนที่บาดเจ็บ แต่อีกใจก็กลัวว่านังหวงฝู่เย่าเย่ว์จะจำนางได้ จึงยืนอยู่ที่เดิม สั่งชุนเซียงว่า “เจ้าไปหาดูสิว่าตรงนั้นมีพวกมันไหม”
ชุนเซียงถกชุดกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไป ก้มหน้าหาอยู่สองรอบ แต่ก็หันกลับมาส่ายหัวให้นาง
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เชื่อ เดินไปดูด้วยตนเอง ถลึงตามองไปที่คนทุกคนที่อยู่ตรงนั้น หาดูอย่างละเอียด แต่ก็ไม่มีจริงๆ เลยโกรธมาก ตะโกนออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้!”
อย่าว่าแต่พระชายฉีเลย หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ว่ายน้ำไม่เป็น ตกลงมาจากสะพานสูงขนาดนี้ ไม่โดนทับตายก็ต้องสำลักน้ำตาย จะไม่มีได้เยี่ยงไร
ทุกคนต่างได้ยินเสียงของนาง หันมามองนางด้วยความสงสัย รวมไปถึงเจ้าเมืองเจียงหนานด้วย
ดูจากการแต่งกายของนางแล้วคงเป็นคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยตระกูลหนึ่ง เลยเดินเข้ามาถามว่า “คุณหนู กำลังหาใครอยู่งั้นหรือ หาไม่เจองั้นหรือ”
ถ้าหากหาไม่เจอล่ะก็ แสดงว่าจมลงใต้แม่น้ำไปแล้วน่ะสิ เขาจะได้ส่งคนไปงมขึ้นมา สะพานไม้ไม่ได้ซ่อมมานาน เลยถล่มลงมา สำหรับเขาก็ผิดพลาดมากพอแล้ว แต่หากปล่อยให้ศพจมลงน้ำไป ไม่งมแล้วลอยอืดขึ้นมาเองล่ะก็ เขาคงได้หลุดจากตำแหน่งเป็นแน่
พอหาศพพวกเขาไม่เจอ หลิวอวี้เอ๋อร์กำลังโมโห แล้วเจ้าเมืองก็เข้ามาได้จังหวะพอดี เลยทำให้นางตอกกลับไปอย่างไม่เกรงใจว่า “ข้าจะหาใครต้องบอกเจ้าด้วยงั้นรึ อย่ามายุ่ง”
เจ้าเมืองเจียงหนานคนนี้คุ้นชินแต่กับการโดนเอาใจ หากว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของเขาล่ะก็ ให้ตายยังไง เขาก็ไม่เสนอหน้าเข้ามาถามเด็กคนนี้ให้มากความหรอก แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะไม่รับน้ำใจจากเขา แถมยังตวาดเขาต่อหน้าทุกคนอีกด้วย แล้วเช่นนี้เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เลยทำหน้าขรึมแล้วบอกว่า “นี่แม่นาง เจ้าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ข้าเห็นเจ้าร้อนใจ เหมือนว่าจะหาครอบครัวของเจ้าไม่เจอ เลยมาถามเจ้าเพราะมีน้ำใจ แล้วเจ้ามาทำเช่นนี้กับข้างั้นรึ”
หลิวอวี้เอ๋อร์กำลังจะเถียงกลับ ฮั่วเจี่ยก็เดินมาพอดี ยิ้มทักทาย “ท่านเจ้าเมือง”
เจ้าเมืองเงยหน้าขึ้น เห็นว่าเป็นฮั่วเจี่ย หน้าก็รีบเปลี่ยนเป็นความนอบนน้อมทันที “ท่านฮั่วขอรับ”
ฮั่วเจี่ยชี้ไปที่หลิวอวี้เอ๋อร์ แล้วยิ้มพูดออกมาว่า “นี่เป็นหลานสาวของข้า นางยังเด็ก เวลาพูดจาไม่ค่อยรื่นหูนัก ขอท่านเจ้าเมืองอย่าถือสา”
สีหน้าของท่านเจ้าเมืองก็เปลี่ยนเล็กน้อย หัวเราะออกมา แล้วพูดตอบกลับไปหน้าตาเฉยว่า “ข้าก็ว่าคุณหนูจวนไหนถึงได้ดูโดดเด่นแตกต่างจากผู้อื่นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นหลานสาวของท่านฮั่วเจี่ยนี่เอง อย่างนี้นี่เอง”
ฮั่วเจี่ยลูบเคราของตน แล้วหัวเราะออกมาบอกว่า “วันนี้ท่านเจ้าเมืองคงยุ่งน่าดู ข้าไม่รบกวนแล้ว ไว้วันหลังจะเชิญท่านไปดื่มที่จวน ให้หลานสาวของข้าขอขมาท่านก็แล้วกัน”
“มิบังอาจๆ นายท่านฮั่วก็ว่าไป” ท่าทางของท่านเจ้าเมืองยิ่งอ่อนน้อมเข้าไปใหญ่
“อวี้เอ๋อร์ อย่ามาสร้างความวุ่นวายให้ท่านเจ้าเมือง กลับจวนกับข้าเถอะ” ฮั่วเจี่ยยิ้มแล้วพูด
พอหาพวกนั้นไม่เจอ หลิวอวี้เอ๋อร์ยอมที่ไหนกันล่ะ อ้าปากอยากโต้เถียง
แล้วฮั่วเจี่ยก็ส่งสายตาบอกให้นางหุบปาก
แล้วฮั่วเจี่ยก็ออกคำสั่ง “ไป ไปสืบมา ว่าพวกอ๋องฉีกลับไปที่โรงเตี๊ยมนั่นหรือไม่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น