ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 7.2-9.2
ตอนที่ 7-2 สาเหตุ
และแล้วเหตุการณ์ที่ทำให้เฮ่ออีและคนอื่นๆ ต้องตกใจตาถลนก็เกิดขึ้น จู่ๆ หวงฝู่อวี้ก็ร้องไห้จ้าออกมา “ข้าไม่อยากถูกสัตว์ร้ายกิน ข้าจะกลับเมืองหลวง!”
เฮ่ออีและคนอื่นๆ พูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะพ่นหัวเราะออกมา “เป็นถึงคุณชายรองจวนอ๋องฉีกลับมีสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ ไม่รู้ว่าควรดีใจแทนอี้เซวียน หรือว่าดีใจแทนอี้เซวียนดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนระงับความขบขัน สั่งการกัวเฟย “ปล่อยเขาซะ!”
กัวเฟยก็ฝืนกลั้นขำตัวสั่น ได้ยินดังนั้นก็โยนหวงฝู่อวี้ลงบนพื้น เบี่ยงศีรษะอมยิ้มขบขัน
พอหันกลับมาก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวปรายตาเ**้ยมมองเขา กัวเฟยเนื้อตัวหดเกร็ง รีบเก็บคืนรอยยิ้ม นายท่านอะไรก็ดี เสียแต่ทรมานคนได้อย่างสยดสยอง ใครทำความผิด ตกมาอยู่ในเงื้อมือนาง นางมีวิธีเป็นร้อยพันทรมานคนผู้นั้น ทำเอาองครักษ์อย่างพวกเขาต้องคอยเตือนตัวเอง อย่าได้เผลอกระทำความผิด
หวงฝู่อวี้ที่ถูกโยนลงบนพื้นเจ็บจนร้องไห้ลั่น “ข้าไม่อยากถูกโยนให้สัตว์ร้ายบนเขากิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเขา “หุบปาก! ไม่เช่นนั้นจะจับเจ้าโยนทิ้งไว้บนเขาจริงๆ”
หวงฝู่อวี้หยุดร้องทันที ช้อนดวงตาเอ่อคลอมองนางอย่างน่าเวทนา
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ ถามขึ้น “ข้าถามเจ้า ตอนนี้อี้เซวียนสุขสบายดี?”
หวงฝู่อวี้สะอึกสะอื้นตอบ “เสด็จย่าและเสด็จลุงต่างรักใคร่เขา มักจะรับสั่งเรียกหาเขาเข้าวัง พระบิดาก็รักเขามาก”
“เช่นนั้นเจ้าได้ยินเขาพูดพระบิดาเจ้าตอนไหน ถึงได้รู้ว่าเขาไม่ยินยอมแต่งงานกับธิดาราชเลขาฝ่ายการทหาร?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
หวงฝู่อวี้ตอบตามความสัตย์จริง “ครึ่งเดือนก่อน พระบิดาหารือกับเขาเรื่องการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์ เขาไม่ตกลง พระบิดาโกรธมาก บอกว่าจะเข้าวังขอสมรสพระราชทานให้เขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “เช่นนั้นธิดาราชเลขาว่าอย่างไร?”
หวงฝู่อวี้ตอบทันควัน “เยียนเอ๋อร์เป็นคนจิตใจดีอ่อนโยน มีความรู้โคลงฉันท์กาพย์กลอน ทั้งงดงามอรชร เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งเมืองหลวง หากไม่เพราะได้หมั้นหมายกับพี่ใหญ่ไว้ตั้งแต่ยังเยาว์ ไม่รู้ว่าจะถูกแม่สื่อเหยียบธรณีประตูบ้านพังไปกี่คนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม ถามเขา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าแม่สื่อจะเหยียบธรณีประตูบ้านพวกเขาพัง?”
หวงฝู่อวี้สะดุ้งตกใจตัวสั่น ตอบทันควัน “ข้าได้ยินตอนที่พระบิดาโกรธ”
“พระบิดาเจ้ายังพูดสิ่งใดอีก?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
หวงฝู่อวี้หลบสายตา ไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนลั่น “กัวเฟย!”
ไม่รอให้กัวเฟยขานรับ หวงฝู่อวี้ก็พูดขึ้นทันที “พระบิดายังพูดว่า เจ้าเป็นเพียงสาวบ้านนาชั้นต่ำ หาได้คู่ควรกับพี่ใหญ่ไม่ หากเขาปรารถนาจะได้เจ้า รอให้เสร็จงานมงคลสมรสของเขา ค่อยรับเจ้าเข้ามาเป็นนางสนมในจวน”
พูดจบ ก็ลอบช้อนสายตามองเมิ่งเชี่ยนโยว กริ่งเกรงว่าพอนางได้ฟัง จะโมโหให้คนจับตัวเองโยนขึ้นเขาอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับนั่งยืดตัวตรง เท้าคางขบคิด พยักหน้า พูดพึมพำ “ดูท่า ข้าสมควรเข้าเมืองหลวงไปหาเขาแล้ว”
หวงฝู่อวี้มองนางอย่างไม่เข้าใจ
กัวใจตกตะลึง “นายท่านจะเข้าเมืองหลวง ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่อย่างไร”
ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดนั้น อู๋ต้าและองครักษ์หลวงก็กุมตัวชายชุดดำที่เหลือเข้ามา
กัวเฟยเห็นพวกเขาหลายสิบคน ถามเมิ่งเชี่ยนโยว “นายท่าน จะจัดการพวกเขาอย่างไรขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง
หวงฝู่อวี้ตกใจร้องพูด “เจ้าจะฆ่าพวกเขาไม่ได้ พระบิดาให้องครักษ์ลับข้าไว้เพียงเท่านี้”
เฮ่ออีและคนอื่นๆ มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความหวาดผวา
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองชายชุดดำทั้งหมด สั่งการกัวเฟย “คืนนี้ให้พวกเขาอยู่ในสนามฝึกยุทธ์นี้ไปก่อน พอฟ้าสางให้เจ้าไปที่ว่าการตำบล บอกท่านผู้ว่าการว่าเมื่อคืนพวกเราถูกชายชุดดำล้อมสังหาร โชคดีที่พวกเราจับคนไว้ได้ ให้เขาเข้ามาจัดการ”
“ขอรับ นายท่าน” กัวเฟยรับคำ
พอได้ยินว่านางจะส่งพวกเขาให้ผู้ว่าการตำบล หวงฝู่อวี้และพวกเฮ่ออีต่างก็ถอนใจโล่งอก ในตัวพวกเขาต่างก็มีป้ายจวนอ๋องฉี คิดว่าผู้ว่าการตำบลเล็กๆ คนนี้คงไม่กล้าทำอะไรพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ มองพวกเขาอย่างเหยียดหยัน
ทุกคนถูกมองจนขนลุกชัน ต่างก้มหน้าก้มตา
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น กำชับกัวเฟย “เจ้าให้คนคอยมาผลัดเปลี่ยนเวรยามที่นี่ ห้ามแก้มัดให้พวกเขา อีกอย่าง พาคุณชายรองไปที่เรือนของพวกเจ้า หากคนพวกนี้กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ให้ฆ่าเขาทันที”
ว่าแล้ว ก็เดินออกไปจากสนามฝึกยุทธ์
กัวเฟยสั่งให้คนคอยผลัดเปลี่ยนเวรยาม แล้วพาตัวหวงฝู่อวี้เดินตามหลังออกไป
พวกอู๋ต้าเดินรั้งท้าย
พวกเฮ่ออีทนมองดูหวงฝู่อวี้ถูกพวกเขาพาออกไปตาปริบๆ ไม่กล้าผลีผลาม
เหน็ดเหนื่อยกันมาค่อนคืน ในที่สุดฟ้าก็เริ่มสาง
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องตื่นเช้ามาฝึกยุทธ์อีก
ทุกคนขานรับด้วยความยินดี กลับไปที่เรือนตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตูลานเรือนเบาๆ ไม่พบว่ามีความเคลื่อนไหวใด จึงค่อยๆ ย่องกลับเข้าห้องตัวเอง
ถอดเสื้อผ้าแล้วเอนตัวนอนบนเตียงเตา ตั้งใจคิดทบทวนคำพูดของหวงฝู่อวี้ ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ แล้วอ้าปากหาว เข้าสู่ห้วงนิทรา
ฟ้าสว่างจ้าแล้ว เมิ่งชื่อตื่นมาทำกับข้าว พบว่าประตูห้องเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่เปิดออกเหมือนเคย ให้ประหลาดใจ เดินมาหน้าประตูห้อง ค่อยๆ แง้มบานประตูออก เห็นนางนอนหลับสนิทบนเตียงเตาด้วยสีหน้าปกติ คิดว่าเมื่อวานนางคงจัดการเรื่องจนเหนื่อย จึงไม่คิดอะไรมาก ค่อยๆ งับบานประตูลง เดินมาทำกับข้าวในครัว
เมื่อวานซุนเชี่ยนก็นอนไม่เต็มอิ่ม วันนี้จึงนอนต่ออีกหน่อย ตอนที่ลืมตาเห็นท้องฟ้าสว่างจ้า ตกใจลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า พาสาวใช้เร่งรุดมาที่ครัว
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จหมดแล้ว เห็นพวกเขาสามคนเหมือนเพิ่งตื่นนอน ถามด้วยความประหลาดใจ “เช้าวันนี้พวกเจ้าต่างเป็นอะไร? จนถึงตอนนี้โยวเอ๋อร์ยังไม่ตื่น พวกเจ้าสามคนก็เหมือนเพิ่งจะตื่นนอน”
เมิ่งเสียนกำชับไว้แล้วว่าห้ามบอกเรื่องเมื่อคืนกับเมิ่งชื่อ ซุนเชี่ยนจึงยิ้มตอบว่า “สองวันมานี้โรงงานค่อนข้างยุ่ง เหนื่อยล้าสะสม ทำให้ตื่นสายเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อพูดด้วยความห่วงใย “หากเจ้าเหนื่อย ก็พักสักวันเถอะ เรื่องในโรงงานให้เสียนเอ๋อร์ไปจัดการ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่” ซุนเชี่ยนยกยิ้มขานรับ
แม่สามีลูกสะใภ้พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอีกครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวที่แต่งตัวเสร็จ ก็เดินตรงมายังครัว ถามอย่างใคร่รู้ “ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกท่านคุยอะไรกัน ดูมีความสุขนัก”
เมิ่งชื่อตอบว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กำลังเล่าเรื่องในโรงงานให้แม่ฟัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งชื่อพูดกับนาง “เจ้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ พวกเราจะได้กินข้าวกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเดินเข้ามาในครัว ยิ้มตาหยีพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน แต่ท่านห้ามตื่นเต้นตกใจนะ”
“เรื่องอะไร?” เมิ่งชื่อเงยหน้าถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเรียบๆ “เมื่อคืนวานมีโจรขึ้นบ้านพวกเรา ข้าและกัวเฟยจับพวกเขาไว้ได้”
เมิ่งชื่อผงะอึ้ง แล้วเดินเข้าไปพินิจดูนางโดยรอบ ร้อนรนถาม “เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บหรอกนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหมุนเบื้องหน้านางหนึ่งรอบ พูดว่า “ข้าไม่ได้ลงมือ พวกกัวเฟยจับกุมพวกเขาได้อย่างไม่ต้องเหนื่อยแรง”
เมิ่งชื่อมองนางด้วยความกังขา
เมิ่งเชี่ยนโยวให้นางพินิจมองเต็มที่
เมิ่งชื่อไม่เห็นว่านางมีอะไรผิดปกติ จึงเชื่อในคำพูดนาง วางใจแล้วพูดว่า “ต่อไปหากมีเรื่องเช่นนี้ ก็ให้พวกกัวเฟยจัดการ แม่ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
สี่ปีก่อนที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บ ต้องนอนบนเตียงเตาถึงสามเดือนเต็ม ทำเอาเมิ่งชื่อขวัญหนีดีฝ่อ นับแต่นั้นมา เมิ่งชื่อไม่ยอมให้นางเดินทางไกลอีก ต่อให้ต้องไปเจรจาการค้าก็ไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเมิ่งชื่อเป็นห่วงตัวเอง โอบไหล่นางพูดโอ้โลม “ข้ารู้ว่าท่านแม่เป็นห่วงข้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ลงมือเลย ท่านวางใจเถอะ”
เมิ่งชื่อตบมือนางเบาๆ พูดว่า “ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ แล้วเรียกเจี๋ยเอ๋อร์มากินข้าวด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวคลายมือออก เดินมากลางลานเรือนตะโกนเรียก “เจี๋ยเอ๋อร์กินข้าวได้แล้ว”
เมิ่งเจี๋ยส่งเสียงขานรับออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเข้ามาล้างหน้าในห้อง
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ได้ยินเสียงตะโกนของนาง เดินออกมาจากในบ้าน
ซุนเชี่ยนสั่งสาวใช้ไปตามเมิ่งเสียนและเมิ่งเส้ามา
กระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวล้างหน้าเสร็จ กลับเข้ามาในครัว คนก็มารอนางพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง ยังไม่กินข้าว แต่หันไปยิ้มตาหยีแล้วพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นกับเมิ่งชื่อว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีเรื่องหนึ่งจะบอกพวกท่าน”
เมิ่งชื่อพูดว่า “เมื่อครู่แม่บอกเรื่องที่เมื่อคืนมีคนโจรขึ้นบ้านพวกเรากับพ่อเจ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงฉีกยิ้มพูดว่า “ข้าไม่ได้จะบอกพวกท่านเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อเห็นปฏิกิริยานางไม่เหมือนเป็นเรื่องใหญ่อะไร จึงหยิบตะเกียบในมือแจกจ่ายให้ทุกคน แล้วถามไปด้วยว่า “เช่นนั้นเป็นเรื่องอันใดเล่า?”
“ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะเข้าเมืองหลวงไปหาอี้เซวียน”
ตอนที่ 8 ข้าจะเข้าเมืองหลวง
“เคร้ง!” ตะเกียบร่วงหลุดจากมือเมิ่งชื่อ
เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียนและภรรยาก็ตะลึงค้าง
เมิ่งเอ้ออิ๋นเอ่ยปากถาม “โยวเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงคิดจะเข้าเมืองหลวงไปหาอี้เซวียนกะทันหันเช่นนี้ เกิดเรื่องขึ้นกับเขาใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบความ “ท่านพ่อ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว อี้เซวียนอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสบาย หาได้เกิดเรื่องอันใดไม่เจ้าค่ะ?”
เมิ่งชื่อได้สติกลับคืนมาแล้ว ร้อนรนถาม “เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องไปหาเขาฉุกละหุกเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปกปิดความจริง “ท่านแม่ ท่านมักบ่นว่าข้ากลายเป็นสาวใหญ่แล้ว สองวันมานี้ข้ามาคิดดู ก็รู้สึกว่าตัวเองสมควรไปหาเขาที่เมืองหลวง ถามเขาว่ายังจำสัญญาในอดีตได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยเอาไว้ ข้าได้ไม่มีเอาเป็นแน่แท้เชียว”
“โยวเอ๋อร์” เมิ่งชื่อเรียกนางด้วยสีหน้าขึงขัง
เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งตกใจ แย้มยิ้มขานรับ
“เจ้าเป็นลูกสาวที่แม่ฟูมฟักเลี้ยงดูมา เจ้าปิดบังแม่ไม่ได้หรอก มีอะไรก็บอกแม่มาตามตรง ทำไมเจ้าถึงต้องไปเมืองหลวงกันแน่?” เมิ่งชื่อเค้นถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนรอยยิ้ม แลบลิ้นปลิ้นตา พูดหยอกเย้า “ท่านแม่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีอะไรหลบพ้นสายตาท่านได้”
เมิ่งชื่อหาได้หวั่นไหว “อย่าเปลี่ยนเรื่อง บอกพวกเรามาว่าเจ้าจะไปเมืองหลวงทำไม? เกิดเรื่องขึ้นกับอี้เซวียนใช่หรือไม่?”
“ข้าบอกพวกท่านไป พวกท่านอย่าตกใจนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเตือนไว้ก่อน
เมิ่งชื่อเป็นคนใจร้อน กระวนกระวายใจพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้ รีบพูดมาเถอะ พวกเราร้อนใจจะแย่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจแผ่ว พูดว่า “ความจริงพวกที่ขึ้นบ้านเราเมื่อวานไม่ใช่โจร แต่เป็นคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี เป็นน้องชายของอี้เซวียน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อลุกขึ้นร้องอุทานพร้อมกัน “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวอุดหูตัวเองแน่น พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าบอกพวกท่านแล้วไงว่าอย่าตกใจ”
เมิ่งชื่อเปล่งน้ำเสียงตำหนิ “เจ้าลูกคนนี้ เรื่องใหญ่เช่นนี้ยังกล้าปิดบังพวกเรา ทั้งยังนั่งตรงนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามบ้าง “คุณชายรองบุกรุกบ้านพวกเรากลางดึกด้วยเหตุใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ยกมือบอกคนทั้งสองอย่าเพิ่งใจร้อน แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่าน นั่งลงก่อน ใจเย็นๆ ข้าจะค่อยๆ เล่าให้พวกท่านฟังเจ้าค่ะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นนั่งลงก่อน
แม้เมิ่งชื่อจะร้อนใจ แต่ก็ยอมนั่งลง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งลงด้วย แล้วเอ่ยปากพูดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในร้านของพวกเราเมื่อวานเป็นฝีมือของคุณชายรอง จุดประสงค์ก็เพื่อให้พวกเราเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำลายการค้าพวกเรา ไม่คิดว่าข้าจะจับพิรุธและสืบหาความจริงได้โดยไว พอเขาเห็นว่าแผนแรกไม่สำเร็จ จึงคิดจะบุกเข้ามากลางดึกเพื่อจับตัวข้าไปเมืองหลวง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวเมิ่งชื่อและเมิ่งเอ้ออิ๋นจะเป็นห่วง ไม่กล้าพูดตามตรงว่ามาฆ่านาง เปลี่ยนเป็นมาจับตัวนางแทน
“เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้? พวกเรามีความแค้นกับพวกเขาหรือ?” เมิ่งชื่อถามอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ยังจำเรื่องการหมั้นหมายแต่เยาว์ของอี้เซวียนที่ท่านแม่ทัพฉู่เคยบอกได้หรือไม่? บัดนี้เขาถึงวัยแต่งงานแล้ว อ๋องฉีบีบเขาให้แต่งงานกับธิดาราชเลขา เขาไม่ยินยอม คุณชายรองเติบโตมาพร้อมคุณหนูคนนี้ คงจะมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นหลังจากได้ยินบทสนทนาของพวกเขา คิดว่าเป็นข้าที่ขวางเส้นทางรักของนาง จึงจะมาจับตัวข้าเข้าเมืองหลวงเพื่อบีบอี้เซวียนให้ถอนหมั้นกับข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างประนีประนอม เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อกลับเข้าใจถึงประเด็นสำคัญ เมิ่งชื่อถามด้วยความเป็นห่วง “พวกเขาจะจับตัวเจ้า เจ้ากลับจะไปเมืองหลวง ไม่เท่ากับเข้าไปอยู่ในกำมือพวกเขาหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ข้าได้ซักถามแล้ว นี่เป็นความคิดวู่วามของคุณชายรองฝ่ายเดียว อ๋องฉีไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลย ข้าเลยจะใช้โอกาสนี้เข้าเมืองหลวง หนึ่งเพื่อให้อ๋องฉีรับผิดชอบ สองเพื่อ…” แล้วนางก็หยุดพูด
เมิ่งชื่อร้อนใจถามพลัน “สองคืออะไร? รีบพูดสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบโต๊ะ พูดหน้าชื่นตาบาน “สองเพื่อไปบีบให้แต่งงาน!”
สิ้นเสียงนาง ซุนเชี่ยนก็เปล่งเสียงขึ้นทันที “พี่สะใภ้สนับสนุนเจ้า เจ้าสมควรจะทำนานแล้ว”
เมิ่งเสียนมองซุนเชี่ยนอย่างแหนงหน่าย ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “น้องสาวอายุยังน้อย ทำอะไรขาดการยั้งคิด เจ้ากลับจะยุยงนาง”
ซุนเชี่ยนโต้แย้ง “ข้ายุยงนางที่ไหน อี้เซวียนอายุสิบห้าปีแล้ว เข้าสู่วัยแต่งงานมีคู่ครอง หากน้องสาวยังไม่ไป หากเขาทนแรงกดดันไม่ไหวแต่งกับคุณหนูนางนั้น หลายปีมานี้น้องสาวไม่ต้องรอเปล่าหรือ ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรถูกกำหนด ให้น้องสาวรีบเข้าเมืองหลวง ลงมือก่อนเป็นต่อ รีบแต่งงานกับอี้เซวียน เรื่องอื่นค่อยว่ากันที่หลัง”
แม้เมิ่งเสียนจะรู้สึกว่านางพูดมีเหตุผล กลับยังไม่เห็นด้วย พูดว่า “เมืองหลวงไม่เหมือนชนบท จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ จวนอ๋องฉีก็หาใช่ที่ที่เจ้าอยากจะเข้าก็เข้าไปได้ หากน้องสาวถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่เจออี้เซวียนจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดต่อ “พี่ใหญ่ ท่านลืมไปแล้วหรือ คุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉีอยู่ในมือข้า มีป้ายอาญาสิทธิ์นี้ ข้าก็สามารถพบหน้าอี้เซวียนได้อย่างง่ายดายแล้ว”
เมิ่งเสียนไม่มีเหตุผลคัดค้านอีก
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อนิ่งอึ้งกับคำพูดสั่นประสาทของเมิ่งเชี่ยนโยวไปนานแล้ว มองนางอย่างไม่รู้จัก กระทั่งซุนเชี่ยนพูดจบ ทั้งสองถึงได้สติกลับมา เมิ่งชื่อชี้เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้า เจ้า เจ้า…” อย่างไรก็พูดไม่ออก
เมิ่งเอ้ออิ๋นที่ตามใจเมิ่งเชี่ยนโยวมาตลอด ก็ตกใจพูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นสาวเป็นนาง ต้องรักนวลสงวนตัว จะไปบีบเขาให้แต่งงานถึงบ้านได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกระเง้ากระงอด “ท่านพ่อ หากข้าไม่ไปบีบบังคับเขา ข้าไม่กลายเป็นสาวแก่จริงๆ หรอกหรือ”
ในที่สุดเมิ่งชื่อก็พูดได้แล้ว “แต่ก็จะทำเช่นนั้นไม่ได้ จะทำให้คนอื่นเอามาเป็นขี้ปากได้ ต่อไปหากได้แต่งงานกับอี้เซวียนจริงๆ น้ำลายของผู้หวังดีพวกนั้นจะถ่มรดท่วมตัวเจ้าตาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกพูดว่า “ท่านแม่ บุตรสาวท่านต้องกลัวน้ำลายคนพวกนั้นหรือ? หากพวกเขากล้ามาถ่มรดข้า ข้าก็กล้าเหวี่ยงพวกเขากลับไป”
นางพูดเช่นนี้ เมิ่งชื่อยิ่งไม่วางใจ “ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะไปเมืองหลวงไม่ได้ เอาอย่างนี้ ให้พี่ใหญ่เจ้าพาคุณชายรองไปเมืองหลวง แล้วให้เขาถามอี้เซวียนว่า เขายังจะยอมรับการแต่งงานนี้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “คนสุภาพอ่อนโยนอย่างพี่ใหญ่ คาดว่ายังไม่ทันได้เจอหน้าอี้เซวียนก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาจากจวนอ๋องฉีแล้ว”
“งั้นก็ให้พี่รองเจ้าไป ประเดี๋ยวจะให้คนไปตามเขามาจากเรือนใหม่” เมิ่งชื่อยืนหยัดพูดต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเมิ่งเสียนและภรรยา แสดงสีหน้าให้พวกเขาช่วยพูดหว่านล้อม
เมิ่งเสียนขบขันกับท่าทีของนาง ยกยิ้มส่ายหน้าไปมา แล้วพูดโน้มน้าวเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ น้องสาวพูดไปอย่างนั้นเอง หาได้จะไปบีบบังคับเรื่องงานแต่งงานจริงๆ ไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพยักหน้าเออออ “พี่ใหญ่พูดถูกต้อง นั่นเป็นความคิดขั้นที่แย่ที่สุด หากข้าเจออี้เซวียนแล้วเขาตกลงจะแต่งงานกับข้า การบีบให้แต่งงานก็จะไม่เกิดขึ้นเจ้าค่ะ”
ซุนเชี่ยนก็ช่วยพูดอีกแรง “ท่านแม่ ท่านให้น้องสาวไปเถอะ สี่ปีมานี้ไม่มีข่าวคราวของอี้เซวียนเลย ท่านเองก็เป็นกังวลมาตลอด ใช้โอกาสนี้ให้น้องสาวเข้าไปดูพอดี หากท่านไม่วางใจ ให้เมิ่งเสียนตามไปด้วยก็ได้เจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ได้ พี่ใหญ่ต้องอยู่ที่นี่ดูแลกิจการของครอบครัว พวกท่านวางใจเถอะ ข้าคิดเอาไว้แล้ว ข้าจะพาเหวินเปียวและเหวินหู่ไปด้วย พวกเขาเติบโตในเมืองหลวง คุ้นเคยกับที่แห่งนั้น มีพวกเขาสองคน จะกินอยู่หลับนอนย่อมไม่เป็นปัญหา อีกอย่าง ข้าจะพาพวกกัวเฟยไปด้วย พวกเขามีวรยุทธ์สูง หากเจอเรื่องอะไรจะได้คุ้มครองข้าได้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นนางวางแผนทุกอย่างดีแล้ว พูดโอนอ่อน “เมื่อเจ้าเตรียมการไว้พร้อมแล้ว อยากไปก็ไปเถอะ หลังจากเจออี้เซวียนจงบอกเขาว่า พ่อแม่คิดถึงเขามาก ถ้าเขามีเวลาให้เขียนจดหมายมาถึงพวกเราบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำหน้าบาน “ทราบแล้ว ท่านพ่อ พอข้าเจอเขาจะให้เขาเขียนจดหมายหาพวกท่านเป็นสิ่งแรกเลยเจ้าค่ะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า ช่วยพูดหว่านล้อมเมิ่งชื่อ “โยวเอ๋อร์อยากไปก็ให้นางไปเถอะ จะปล่อยให้การแต่งงานยืดเยื้อต่อไปก็คงไม่ดี รีบไปรีบมีบทสรุป พวกเราก็จะได้เตรียมการแต่เนิ่นๆ”
เห็นทุกคนเห็นชอบแล้ว เมิ่งชื่อถอนหายใจ พยักหน้ายอมจำนน
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดประจบ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะต้องอนุญาตให้ข้าไปเมืองหลวง พวกท่านวางใจเถอะ พอข้าไปถึงจะให้คนส่งจดหมายกลับมารายงานความปลอดภัยทุกสิบวันเจ้าค่ะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี อย่าให้พวกเราต้องคอยเป็นห่วงเจ้า”
เมิ่งชื่อก็พยักหน้า “เจ้าต้องพูดได้ทำได้ หากแม่ไม่ได้รับจดหมายตรงตามเวลา จะให้พี่ใหญ่ไปหาเจ้าที่เมืองหลวง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “พวกท่านวางใจเถอะ ข้าจะไม่ลืมเด็ดขาด”
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว เมิ่งชื่อถึงรีบถามถึงหวงฝู่อวี้ “คุณชายรองเล่า เจ้าจัดการกับเขาอย่างไร?”
“เด็กเกเรคนนั้นไร้การอบรม เมื่อคืนพอจับเขาได้ ข้าก็มอบเขาให้พวกกัวเฟย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าบางครั้งนางทำอะไรไม่ยั้งคิด กำชับนาง “หากเจ้าได้แต่งงานกับอี้เซวียน เขาก็จะเป็นน้องชายสามีเจ้า เจ้าอย่าได้ทำอะไรเกินกว่าเหตุ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเชื่อฟัง “ข้าทราบแล้ว ท่านแม่” แล้วพูดเสริมในใจ “สายไปเสียแล้ว ข้าสั่งสอนเขาไปจนหนำใจแล้ว”
เมิ่งชื่อไม่รู้ความคิดนาง เก็บตะเกียบขึ้นแจกให้ทุกคนใหม่ แล้วพูดว่า “กินข้าวเถอะ พอกินข้าวเสร็จแม่จะไปตระเตรียมข้าวของให้โยวเอ๋อร์”
คนทั้งหมดรับตะเกียบ ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าของตัวเอง
พอกินเสร็จ สาวใช้สองคนเข้าไปเก็บล้าง เมิ่งชื่อกลับมาในห้องเตรียมสิ่งของให้เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเอ้ออิ๋นพาเมิ่งเส้าเดินตามไป
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยน แล้วเดินนำออกไปนอกเรือน
เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนหันหน้ามองกันเดินตามออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวรอคนทั้งสองเดินออกมา ถึงกระซิบบอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานอย่างละเอียด
ซุนเชี่ยนได้ฟังก็ตกใจเหงื่อผุดซึม เมิ่งเสียนก็ตื่นตระหนกไม่น้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พอข้าจับพวกเขามัดเสร็จ ก็เอาไปทิ้งไว้ในสนามประลองยุทธ์ ให้องครักษ์หลวงคอยผลัดเวรยามเฝ้าดู ทั้งสั่งกัวเฟยเข้าไปหาท่านผู้ว่าการ คาดว่าพอท่านผู้ว่าการรู้เรื่องจะต้องรีบตรงเข้ามา ดังนั้นพี่ใหญ่พี่สะใภ้ ประเดี๋ยวพวกท่านไม่ต้องไปโรงงานแล้ว อยู่ที่บ้านคอยดูแลท่านพ่อท่านแม่ ห้ามให้พวกเขารู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
ซุนเชี่ยนพูดว่า “คนมากขนาดนั้น ต่อให้ถูกนำตัวเข้าคุกก็จะต้องเป็นขบวนใหญ่ ต่อให้ท่านพ่อท่านแม่ไม่รู้ตอนนี้ ภายหน้าก็จะต้องรู้”
“ข้าเพียงกลัวว่าถ้าพวกเขารู้วันนี้ จะเปลี่ยนความคิดห้ามไม่ให้ข้าไปเมืองหลวง ขอแค่ผ่านวันนี้ไปได้ พวกท่านจะบอกพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
สองสามีภรรยาเข้าใจความหมายของนางแล้ว ต่างพยักหน้า “เข้าใจแล้ว พวกเราจะเข้าไปชวนท่านพ่อท่านแม่คุย พยายามไม่ให้พวกเขาออกไปไหนในวันนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า พูดว่า “นี่ก็สายมากแล้ว คงอีกสักพักกว่าท่านผู้ว่าการจะมาถึง พวกเราไปดูคุณชายรองกันก่อนเถอะ”
ทั้งสองพยักหน้า ตามเมิ่งเชี่ยนโยวมายังเรือนรอง
กัวเฟยเข้าไปแจ้งความในเมือง ให้องครักษ์หลวงอีกคนเฝ้าหวงฝู่อวี้ไว้
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา องครักษ์หลวงน้อมเรียก “นายท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะ ถามขึ้น “คนเล่า?”
องครักษ์หลวงตอบความ “อยู่ในห้องขอรับ”
ทั้งสามเดินเข้าไปในห้อง เห็นหวงฝู่อวี้นั่งหงอยอยู่ปลายเตียง พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาก็เบะปาก เกือบจะร้องไห้ออกมา พูดเสียงกระเส่า “ห้องของพวกเขาเหม็นยิ่งนัก ข้านอนไม่ได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะพ่นหัวเราะออกมา
เมิ่งเสียนและภรรยาเห็นเขาไม่มีท่าทีดุดันเ**้ยมโหดเหมือนที่คิดไว้ ต่างตะลึงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา พูดว่า “ข้าเห็นแก่อี้เซวียนหรอกนะ ถึงให้เจ้ามาอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องถูกมัดทิ้งเอาไว้ในสนามฝึกยุทธ์เหมือนลูกน้องของเจ้า หากเจ้ายังรังเกียจ ข้าจะให้คนมาโยนเจ้ากลับไป”
หวงฝู่อวี้ตกใจตัวสั่น ลนลานพูด “ข้าไม่อยากถูกส่งกลับไป ฝืนใจอยู่ที่นี่ก็ได้”
ซุนเชี่ยนตกใจร้องถาม “โยวเอ๋อร์ นี่ๆ คือคนที่จะมาฆ่าเจ้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำ พยักหน้า “เมื่อคืนวานยะโสโอหังนัก ถูกข้าสั่งสอนเข้าไป ทำตัวดีขึ้นมาก” ว่าแล้ว ก็ปรายตามองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง
หวงฝู่อวี้ตกใจหดตัวถอยกรูด
เมิ่งเสียนเห็นรอยบวมช้ำทั่วใบหน้าเขา เริ่มไม่เห็นด้วยกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว เจ้าลงมือหนักเกินไปแล้ว หากเจ้าพาเขากลับเมืองหลวงไปในสภาพนี้ อ๋องฉีจะต้องโมโหโกรธเกรี้ยว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจมองหวงฝู่อวี้ครู่หนึ่ง พูดอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นไร กว่าจะถึงเมืองหลวงต้องใช้เวลาหลายวัน ถึงตอนนั้นอาการบวมช้ำบนใบหน้าเขาก็ไม่เหลือแล้ว”
แม้นางจะพูดมีเหตุผล เมิ่งเสียนก็ยังไม่เห็นด้วย พูดว่า “เจ้าเข้าเมืองหลวงไปครั้งแรก จะให้พวกเขารู้สึกไม่ดีกับเจ้าไม่ได้ เชื่อพี่ใหญ่ ประคบยาให้เขาก่อน ให้อาการบวมช้ำทุเลาเร็วขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเอาไว้หมดแล้วว่าจะทำอะไร ได้ฟังก็พยักหน้าเออออ “ทราบแล้วพี่ใหญ่ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนมาทายาให้เขา”
เมิ่งเสียนเป็นปฏิกิริยาของนาง ก็รู้ว่านางไม่ใส่ใจคำพูดของตัวเอง กำลังจะพูดบางอย่าง ซุนเชี่ยนก็แอบดึงชายเสื้อเขา พูดว่า “น้องสาวรู้ว่าควรไม่ควรทำอะไร ท่านไม่ต้องพูดแล้ว อีกอย่าง อายุเพียงเท่านี้ก็กล้ามาสังหารคน สมควรได้รับการสั่งสอน น้องสาวไม่จับเขาไปมัดไว้ใต้ต้นไม้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
หวงฝู่อวี้ได้ฟัง ยิ่งห่อหดร่างตัวสั่น
เมิ่งเสียนกำลังจะเอ่ยปากพูด กัวเฟยก็เดินเข้ามา พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอ่อนน้อม “นายท่าน ท่านผู้ว่าการมาถึงหมู่บ้านแล้วขอรับ”
“พาเขาตรงไปสนามฝึกยุทธ์ ข้าจะตามเข้าไป” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขา
กัวเฟยรับคำ หันหลังเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะไปสนามฝึกยุทธ์”
เมิ่งเสียนพยักหน้า “ไปเถอะ พวกเราจะกลับไปอยู่กับท่านพ่อท่านแม่”
ทั้งสามเดินออกมาพร้อมกัน
หวงฝู่อวี้เผยอปากคิดจะพูดบางอย่าง ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป นั่งตาละห้อยมองพวกเขาเดินออกไป
เพิ่งจะเปิดประตูศาลาว่าการ ผู้ว่าการตำบลก็ได้รับคำแจ้งความของกัวเฟย บอกทุกคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวแก่เขาอย่างไม่ตกหล่นสักคำ
ผู้ว่าการตำบลตะลึงงัน รีบตรงเข้ามาพร้อมกัวเฟยทันที กระทั่งเห็นชายชุดดำหลายสิบชีวิตถูกจับมัดในสนามฝึกยุทธ์ ก็ยิ่งให้ตะลึงลาน
ร้องถามเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เมื่อคืนคนทั้งหมดนี้บุกเข้าไปในบ้านเจ้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “แค่เพียงส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ คนที่เหลือคอยคุ้มกันนายของพวกเขาด้านนอก”
ผู้ว่าการตำบลถามอย่างไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเจ้าจับกุมพวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร?”
“ง่ายมากเจ้าค่ะ พอจับนายของพวกเขาได้ พวกเขาก็จะยอมให้จับแต่โดยดี” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
ผู้ว่าการตำบลกวาดตามองชายชุดดำทั้งหมด ไม่เห็นใครโดดเด่น ถามขึ้น “ใครเป็นนายของพวกเขา?”
“ข้านำตัวไปขังแยกไว้อีกที่เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
ผู้ว่าการตำบลสั่งการ “รีบไปพาตัวเขามา ข้าจะนำตัวกลับไปสอบสวนพร้อมกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เกรงว่าท่านใต้เท้าจะสอบสวนไม่ได้”
ผู้ว่าการตำบลขมวดคิ้ว “แม่นางเมิ่งหมายความว่าอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกัวเฟย “เอาแผ่นป้ายคล้องเอวของพวกเขามาให้ท่านใต้เท้าดู”
กัวเฟยรับคำสั่ง เดินไปตรงหน้าเฮ่ออี ควานหาแผ่นป้ายแล้วนำมามอบให้ผู้ว่าการตำบล
ผู้ว่าการตำบลรับมาอย่างไม่อินังขังขอบ กวาดตามองส่งๆ กระทั่งเห็นตัวอักษรที่สลักบนแผ่นป้าย ก็ตกใจเกือบล้มก้นจ่ำเป้า มือที่ถือแผ่นป้ายสั่นระริก พูดตะกุกตะกัก “แม่นางเมิ่ง นี่ๆ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “นายของพวกเขาคือคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี ดังนั้นข้าถึงพูดว่าท่านสอบสวนไม่ได้”
ผู้ว่าการตำบลได้ฟังเบิกตาโพลง พูดอะไรไม่ออกพักใหญ่
เฮ่ออีและคนอื่นๆ ลอบยินดี เห็นอาการของผู้ว่าการตำบลแล้ว อีกไม่นานก็คงสั่งให้ปล่อยตัวพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่มองพวกเขา ราวกับรู้ความนึกคิดของพวกเขา หันไปพูดกับผู้ว่าการตำบล “พรุ่งนี้ข้าจะกุมตัวคุณชายรองเข้าเมืองหลวง ไปฟ้องร้องอ๋องฉี คนที่เหลือพวกนี้ มอบให้ท่านใต้เท้าแล้ว ข้าไม่มีข้อเรียกร้องมาก ขอแค่ท่านขังพวกเขาไว้ในคุกสิบวันก็พอ”
ตอนที่ 9-1 ตั้งท่าตั้งรับเพื่อบีบให้แ...
คนเฝ้าประตูจวนอัครมหาเสนาบดียังเป็นถึงขุนนางระดับเจ็ด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองครักษ์ลับพระชายาอ๋องฉี หากเป็นในอดีต ต่อให้ผู้ว่าการตำบลมีความกล้าล้นฟ้าก็ไม่กล้าจับกุมตัวพวกเขา แต่พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปาก คิดว่านางจะได้เป็นพระชายาองค์ชายในอนาคต ผู้ว่าการตำบลก็กัดฟันแน่น พยักหน้ารับคำ “ได้ คนพวกนี้กล้าบุกรุกเคหะสถาน เข่นฆ่าสังหาร ตามหลักสมควรรับโทษอาญา เมื่อแม่นางเมิ่งขอร้องแทนพวกเขา ก็ให้ขังพวกเขาไว้สิบวัน สิบวันให้หลังจะปล่อยตัวพวกเขาทันที”
เฮ่ออีและคนอื่นๆ มองผู้ว่าการตำบลอย่างไม่เชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองสีหน้าพวกเขา แอบยิ้มขบขัน ฉวยโอกาสนี้ยกยอผู้ว่าการตำบล “พวกเจ้ามาจากเมืองหลวง ไม่รู้จักผู้ว่าการตำบลของพวกเรา เขาเป็นคนซื่อตรงเที่ยงธรรม ไม่ประจบสอพลอใคร มีใจมุ่งมั่นเพื่อประชาราษฎร์”
ผู้ว่าการตำบลที่กำลังหมดความเชื่อมั่น ได้ยินคำพูดนาง ก็ให้มีความมั่นใจ หันไปพูดกับพวกเฮ่ออีอย่างเด็ดขาด “แม่นางเมิ่งพูดถูกต้อง ข้าไม่เกรงกลัวอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น พวกเจ้าอย่าได้วาดฝันว่าข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆ”
ความหวังของพวกเฮ่ออีดับสูญ หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างร้อนใจ เฮ่ออีขอร้องนาง “แม่นางเมิ่ง นายท่านของพวกเรายังเยาว์ ขอท่านให้ข้าติดตามเขากลับเมืองหลวงด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มอ่อน “ไม่ต้องแล้ว อย่างไรเขาก็เป็นถึงคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี ข้าไม่ทำอะไรเขาหรอก อย่างมากก็ให้เขาได้รับความลำบากเล็กน้อยระหว่างทาง”
เฮ่ออีได้ฟังยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข ขยับร่างหมายจะลุกขึ้น กลับถูกองครักษ์หลวงข้างๆ กดกลับที่เดิม เฮ่ออีดิ้นรนพูดว่า “แม่นางเมิ่ง ความผิดทั้งหมดเป็นความผิดของพวกเรา เป็นพวกเราที่ไม่ขัดขวางนายท่าน ท่านจะโบยจะปรับ จะจับพวกเราขังคุกก็ได้ แต่อย่าทารุณนายท่านของพวกเราเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา หันไปพูดกับผู้ว่าการตำบล “รบกวนท่านใต้เท้าแล้ว ท่านพาตัวพวกเขาไปเถอะ ข้ายังต้องกลับไปเก็บของ พรุ่งนี้จะออกเดินทางเข้าเมืองหลวงแต่เช้าตรู่”
ผู้ว่าการตำบลพยักหน้า สั่งการเจ้าหน้าที่ “พาตัวพวกเขาทั้งหมดไป!”
เจ้าหน้าที่รับคำ ตวาดสั่งองครักษ์ลับให้ลุกขึ้นตามพวกเขาไป
องครักษ์ลับเหล่านี้คอยติดตามหวงฝู่อวี้ อยู่ในเมืองหลวงมีแต่คนนับหน้าถือตา ในตอนนี้กลับเพลี้ยงพล้ำถูกคนรังแก แม้แต่เจ้าหน้าที่กระจอกๆ ยังกล้าตวาดใส่พวกเขา โทสะปะทุ นัยน์ตาสะท้อนแววดุดัน หากไม่เพราะข้างๆ มีองครักษ์หลวงเฝ้าอยู่ คาดว่าพวกเขาคงกระชากเชือกขาด กระโจนเข้าใส่พวกเจ้าหน้าที่ไปแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดให้พวกเขาผ่อนคลายลง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “หากพวกเจ้าทำตัวดีๆ อยู่ในคุกสิบวัน ข้าจะไม่ทารุณนายของพวกเจ้า ให้เขานั่งในรถม้ากลับไปเมืองหลวงพร้อมข้า แต่ถ้ามีใครหน้าไหนกล้าหนีคุก ข้าจะมัดหวงฝู่อวี้ไว้บนหลังม้า ไม่ให้เขากินดื่มสามวัน”
พวกเฮ่ออีรับรู้ถึงความเ**้ยมอำมหิตของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว รู้ว่านางพูดจริงทำจริง ตกใจจนโทสะหดหาย เดินตามเจ้าหน้าที่ออกไปจากสนามฝึกยุทธ์แต่โดยดี
ผู้ว่าการตำบลก็กำลังจะตามออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขาเสียงเบา “ท่านใต้เท้า หลังจากนำตัวพวกเขาขังคุกแล้ว ห้ามทารุณกรรมพวกเขาเด็ดขาด จะเป็นการยั่วโทสะ นำภัยมาถึงชีวิตพวกท่านได้”
ผู้ว่าการตำบลเหงื่อผุดซึมออกมาฉับพลัน รีบร้อนพูดขอบคุณ “ขอบใจแม่นางเมิ่งที่เตือน ข้ารู้แล้ว กลับไปข้าจะกำชับพวกเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ผู้ว่าการตำบลเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เดินรั้งท้ายออกมาจากสนามฝึกยุทธ์
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกัวเฟย “พรุ่งนี้เจ้าพาคนสิบคนตามข้าไปเมืองหลวง คนที่เหลือให้จัดเวรยามให้ดี ให้พวกเขาคอยระวังความปลอดภัย ห้ามให้เกิดความผิดพลาดเด็ดขาด”
“ทราบแล้วขอรับ นายท่าน” กัวเฟยรับคำ หันหลังออกไปจัดเตรียมการ
ชาวบ้านเห็นเจ้าหน้าที่กุมตัวชายชุดดำหลายสิบนายเดินเป็นขบวนออกไปจากหมู่บ้าน เกิดเสียงดังเอ็ดอึง คาดเดาไปต่างๆ นานาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีชาวบ้านใจกล้าคนหนึ่งเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ “ใต้เท้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
เจ้าหน้าที่ไม่เคยจับกุมคนเข้าคุกมากเช่นนี้ ให้รู้สึกเห่อเหิมใจ จึงตอบไปว่า “เมื่อคืนวานคนพวกนี้บุกเข้าไปในบ้านแม่นางเมิ่ง ถูกแม่นางเมิ่งให้คนจับตัวไว้ได้”
สิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ ชาวบ้านก็ส่งเสียงดังเซ็งแซ่ หลายปีก่อน หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวจัดการกับพวกอันธพาล หลายปีมานี้ ในหมู่บ้านก็มีแต่ความสงบสุข ไม่มีขโมยขึ้นบ้านใครอีก บัดนี้กลับมีคนหนึ่งโขยงบุกรุกบ้านเมิ่ง ทุกคนพอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนถึงกับคิดไปถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีความสัมพันธ์กับองค์ชายจวนอ๋องฉี
เมิ่งฉีเพิ่งจะเดินออกมาจากในบ้าน ได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่เข้าพอดี ตกใจตาลีตาลานกลับไปบ้านเก่า พอพ้นประตูเข้ามาก็ร้องโวยวายกลางลานเรือน “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
เมิ่งเสียนและภรรยากำลังแยกกันชวนสองสามีภรรยาเมิ่งพูดคุยตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับ ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเมิ่งฉี ต่างหัวใจเต้นรัว รีบลุกขึ้นออกมาพร้อมกัน เมิ่งฉีสาวเท้าเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว ซุนเชี่ยนยกยิ้มเปลี่ยนเรื่องพูด “น้องรอง น้องสะใภ้ไม่ได้มาพร้อมเจ้าด้วยหรือ”
เมิ่งฉีหยุดฝีเท้า เรียกขาน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่” แล้วตอบว่า “เยียนเอ๋อร์ใกล้คลอดเต็มที่ ไม่อยากเดินไปไหน อยู่ที่บ้านให้สาวใช้คอยดูแล ข้ากำลังจะไปโรงงาน เห็นเข้ากับ…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกซุนเชี่ยนตัดบท “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? โรงงานมีข้าและพี่ใหญ่ดูแลแล้ว ให้เจ้าอยู่ที่บ้าน คอยดูแลน้องสะใภ้ให้ดี” ว่าแล้ว ก็พยายามขยิบตาให้เมิ่งฉี
เมิ่งฉีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอบกลับ “วันนี้ข้าเห็นนางสบายดี เลยจะไปดูโรงงานเสียหน่อย แล้วค่อยกลับบ้านไปดูแลนาง”
พูดจบก็ถามเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
ซุนเชี่ยนแย่งตอบ “เมื่อคืนมีคนบุกเข้ามาในบ้าน แต่ถูกน้องสาวให้คนจับตัวไว้ได้ ด้วยกลัวน้องสะใภ้จะตกใจ ถึงไม่ได้ให้คนไปบอกพวกเจ้า เจ้าใจเย็นก่อน ให้พี่ใหญ่ค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง”
เมิ่งฉีทำการค้ามาหลายปี ย่อมฟังความหมายแฝงของซุนเชี่ยนออก รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องมีเรื่องที่ไม่ควรให้สองสามีภรรยาเมิ่งรู้ พยักหน้า พูดเออออว่าตาม “พี่ใหญ่ ท่านรีบบอกข้าสิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ซุนเชี่ยนเห็นเขาเข้าใจความหมายแฝงแล้วก็โล่งใจ พูดว่า “พวกท่านค่อยๆ คุยกันไป ข้าจะเข้าไปอยู่กับท่านพ่อท่านแม่”
ซุนเชี่ยนเข้ามาในบ้าน เมิ่งชื่อถามด้วยความสงสัย “ทำไมถึงไม่ให้พวกเขาสองคนเข้ามาคุยในบ้าน?”
ซุนเชี่ยนใช้เมิ่งเส้าเป็นข้ออ้าง “เส้าเอ๋อร์ยังเด็ก ไม่ควรฟังเรื่องพวกนี้มากเกินไปเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อพยักหน้าไม่สงสัยอีก
ด้านนอก เมิ่งเสียนพาเมิ่งฉีมาห้องฝั่งตะวันออก ค่อยๆ เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
เมิ่งฉีลุกขึ้นด้วยความโมโห พูดว่า “หยาบช้าเกินไปแล้ว ถึงกับส่งคนมาฆ่าน้องสาว คุณชายรองคนนั้นอยู่ที่ไหน ข้าจะไปอัดเขาระบายแค้นให้น้องสาว”
เมิ่งเสียนห้ามเขา “คุณชายรองได้รับการสั่งสอนจากน้องสาวไม่น้อยแล้ว เจ้าอย่าไปทำให้เรื่องยิ่งยุ่ง สิ่งสำคัญในตอนนี้คือปิดบังท่านพ่อท่านแม่เรื่องที่เมื่อวานมีคนเข้ามามากมาย ทุกอย่างจะพูดได้เมื่อน้องสาวเดินทางเข้าเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ไปแล้ว”
“น้องสาวจะไปเมืองหลวง?” เมิ่งฉีตกใจถาม
เมิ่งเสียนพยักหน้า “ท่านพ่อท่านแม่เพิ่งจะยอมอนุญาต ประเดี๋ยวเจ้าอย่าได้พลั้งปากเด็ดขาด หากพวกเขารู้ได้ห้ามไม่ให้น้องสาวไปเมืองหลวงอีก”
เมิ่งฉีพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว พี่ใหญ่” แล้วถามต่อ “เตรียมการเรื่องการไปเมืองหลวงของน้องสาวเรียบร้อยแล้วหรือไม่? พวกเราใครที่ต้องตามนางไปด้วย?”
“น้องสาวจะพาเหวินเปียว เหวินหู่และกัวเฟยไป” เมิ่งเสียนพูด
เมิ่งฉีไม่เห็นด้วย “จะให้น้องสาวเข้าเมืองหลวงไปลำพังได้อย่างไร? พวกเราเป็นพี่ สมควรมีใครสักคนตามไปเป็นกองหนุน”
เมิ่งเสียนถอนหายใจ “น้องสาวเข้าเมืองหลวงไปครั้งนี้ คงไม่กลับมาในระยะเวลาสั้นๆ กิจการของครอบครัวจำเป็นต้องมีคนดูแล น้องสะใภ้ก็ใกล้จะคลอดแล้ว เจ้าเองก็ปลีกตัวไม่ได้ จำต้องให้นางเดินทางไปคนเดียว”
“พี่ใหญ่ไปกับนางเถอะ ข้าจะอยู่ดูแลกิจการเอง” เมิ่งฉีพูด
เมิ่งเสียนส่ายหน้า “เจ้ายังไม่เข้าใจ กิจการของครอบครัวเป็นเพียงเรื่องรอง น้องสาวกลัวว่าช่วงเวลาที่นางไม่อยู่นี้ จะมีคนบุกเข้ามาลอบสังหารอีก ข้าจำเป็นต้องอยู่บัญชาการที่นี่ เจ้าอยู่ที่เรือนใหม่ เกรงจะไม่ทันการ”
เมิ่งฉีพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาจากสนามฝึกยุทธ์ เห็นเมิ่งฉีก็อยู่ด้วย ยิ้มถามเขา “พี่รอง วันนี้พี่สะใภ้รองเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมิ่งฉีส่ายหน้า ตอบความ “สบายดี บอกว่าตัวหนัก คร้านจะขยับตัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “ข้ากำลังจะให้คนไปหาท่าน พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองหลวง เรื่องในครอบครัวต้องมอบให้ท่านและพี่ใหญ่คอยดูแลแล้ว”
เมิ่งฉีรับคำ “พี่ใหญ่บอกข้าแล้ว ระหว่างทางเจ้าต้องระวังให้มาก ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปนำตั๋วเงินจำนวนหนึ่งมาให้เจ้า ในเมืองหลวงอะไรก็แพง พกตั๋วเงินไปมากหน่อยจะได้อุ่นใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ ที่ข้ามีก็พอแล้ว”
เมิ่งฉีไม่ดึงดันต่อ
สามพี่น้องเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกัน
เมิ่งชื่อจัดเตรียมข้าวของให้เมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จแล้ว เห็นนางเดินเข้ามา ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าดูสิว่าของพวกนี้เพียงพอหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองข้าวของที่กินเนื้อที่ไปเกือบครึ่งห้อง
ซุนเชี่ยนปิดปากแอบขำ พูดว่า “ข้าห้ามท่านแม่แล้ว บอกให้เจ้าพกตั๋วเงินไปมากหน่อย ค่อยไปซื้อหาในเมืองหลวง ท่านแม่ก็ไม่ฟัง ตอนนี้แม้แต่ผ้านวมชุดใหม่ก็เอาออกมาให้เจ้านำติดตัวไปด้วย”
เมิ่งชื่อมองดูสิ่งของที่ตัวเองจัดเตรียมอย่างพึงพอใจ พูดว่า “ผ้านวมในเมืองหลวงจะอุ่นเท่ากับพี่แม่ทำได้อย่างไร” ว่าแล้ว ก็ชี้ห่อผ้าขนาดใหญ่หลายกอง พูดว่า “ยังมีเสื้อผ้าพวกนี้ ใครจะทำได้พอดีตัวเจ้าเท่าแม่อีก เจ้าจงเอาไปด้วยทั้งหมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องโอดโอย ฟุบลงไปบนกองผ้านวม บ่นครวญคราง “ท่านสมกับเป็นแม่แท้ๆ ของข้าจริงๆ”
ทุกคนหัวเราะครืน
ตอนที่ 9-2 ตั้งท่าตั้งรับเพื่อบีบให้แ...
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น กอดแขนเมิ่งชื่อแน่น พูดออดอ้อนนาง “ท่านแม่ เราปรึกษากันหน่อยได้ไหมเจ้าคะ…”
ยังไม่ทันได้พูดต่อ ก็ถูกเมิ่งชื่อตัดบท “ไม่มีอะไรต้องปรึกษากันอีก ของพวกนี้เจ้าต้องนำไปด้วยทั้งหมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหมายจะพูดให้นางยอมจำนน “แต่ของพวกนี้เยอะเกินไป ต้องบรรทุกสองรถม้า พวกเราเอาของพวกนี้ไปด้วยจะเดินทางล่าช้า”
เมิ่งชื่อไม่อ่อนข้อให้ “เจ้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เดิมแม่คิดจะเตรียมของให้เจ้ามากกว่านี้ แต่พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าพยายามห้ามไว้ แม่ถึงเตรียมไว้เพียงเท่านี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งแขนเมิ่งชื่อไปมา พูดกระเง้ากระงอด “ท่านแม่ ข้าไปบีบให้แต่งงาน ขอเพียงพวกเขารับปากแต่งงาน ข้าก็จะกลับมารอเป็นเจ้าสาวทันที ใช้เวลาไม่นานหรอกเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อตบหลังมือนางพูดว่า “เจ้านึกว่าแม่ไม่รู้อะไรจริงๆ อย่างนั้นรึ การแต่งงานของเจ้ากับอี้เซวียนจะลุล่วงดั่งใจหมายได้อย่างไร สถานะของพวกเจ้าแตกต่างกันมาก ต่อให้อี้เซวียนยินยอมขอเจ้าแต่งงาน พวกเจ้าก็ไม่มีทางได้แต่งงานโดยง่าย เชื่อแม่ นำของพวกนี้ไปด้วย พอถึงเมืองหลวงหาซื้อเรือนสักหลังก่อน เรื่องแต่งงานต้องใช้เวลา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแข็งค้าง แล้วกลับคืนสู่สภาพเดิมทันควัน ยิ้มตบหน้าอกพูดว่า “ท่านแม่ บุตรสาวท่านเป็นใคร ข้าออกโรงเองยังจะบีบให้ใครแต่งงานไม่สำเร็จอีก ท่านวางใจเถอะ อย่างมากก็สามเดือน ข้าจะได้แต่งงานกับอี้เซวียน”
เมิ่งชื่ออมยิ้มไม่พูดอะไร
บรรยากาศภายในห้องเริ่มอึมครึม
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ที่สุด ร้องโหวกเหวกไม่พอใจ “พวกท่านเป็นอะไรกัน ไม่เชื่อมั่นในตัวข้าแล้วรึ?”
เมิ่งชื่อถอนหายใจ ตบแผ่นหลังนาง พูดว่า “ฟังแม่นะ ถ้าไม่ได้ก็อย่าฝืน อย่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง กลับมาใช้ชีวิตสุขสงบเรียบง่ายที่บ้านเรา”
ซุนเชี่ยนฝืนยิ้มพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ อี้เซวียนและน้องสาวมีความผูกพันลึกซึ้ง การแต่งงานนี้จะต้องประสบความสำเร็จ ท่านอย่าเป็นห่วงไปเลย”
เมิ่งชื่อถอนหายใจยาวอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดทันควัน “ได้ๆๆ ข้าจะเชื่อท่านแม่ นำสิ่งของทั้งหมดนี้ไปด้วย หากพวกคนจวนอ๋องฉีกล้าปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ ข้าพาคนอีกโขยงไปกินนอนอยู่หน้าประตูจวนอ๋องฉี”
เมิ่งชื่อยิ้มออกแล้ว ตีนางเบาๆ พูดติเตียน “เจ้านะ อายุสิบแปดปีแล้ว ยังพูดจาไม่เป็นโล้เป็นพายอีก”
ในที่สุดก็ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งชื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้โล่งใจ แอบแลบลิ้นใส่ซุนเชี่ยน
ซุนเชี่ยนอมยิ้มกลั้นขำ
ทั้งครอบครัวพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง เมิ่งชื่อก็ให้เมิ่งฉีกลับไปดูแลภรรยาตัวเอง
เมิ่งฉีพยักหน้า ลุกขึ้นพูดอีกสองสามคำ ก็กลับบ้านตัวเองไป
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้เมิ่งเสียนและภรรยาอยู่คุยกับสองสามีภรรยาเมิ่งต่อ ตัวเองเดินมายังเรือนรอง
สะใภ้เหวินทั้งสามคนและเหวินเหลียนไปทำงานที่ร้านก๋วยเตี๋ยมแป้งมันฝรั่ง เหวินเป้าบังคับรถม้าไปส่งพวกเขา ในเรือนเหลือเพียงเหวินเปียวและเหวินหู่สองคน
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ทั้งสองก็น้อมเรียก “แม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะเล็กน้อย พูดว่า “วันพรุ่งข้าจะเข้าเมืองหลวง พวกเจ้าตามข้ากลับไปด้วยเถอะ”
ทั้งสองตะลึงงัน
ครู่หนึ่งเหวินเปียวถึงพูดอย่างตื้นตัน “แม่นางหมายความว่าจะให้พวกเราเข้าเมืองหลวงไปด้วยหรือขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เหวินเปียวและเหวินหู่ปิติยินดี เกือบจะกระโดดตัวลอย หกปีแล้ว ในที่สุดก็จะได้กลับเมืองหลวง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีดีอกดีใจของพวกเขา ก็ยกยิ้มพูดว่า “พวกเจ้าเติบโตที่เมืองหลวง คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นั่นดี พอพวกเราไปถึง เรื่องทุกอย่างจะมอบให้พวกเจ้าสองคนเป็นคนจัดการ”
ความปิติในน้ำเสียงเหวินเปียวสะกดไว้ไม่อยู่แล้ว “วางใจเถอะขอรับแม่นาง พวกเราจะจัดการให้เป็นอย่างดีเลยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากต่อ “พอพวกเราไปถึงเมืองหลวง พวกเจ้าหาซื้อเรือนสักหลังก่อน ไม่ต้องใหญ่มาก แต่จะต้องมีทำเลที่ตั้งดี ราคาแพงหน่อยก็ไม่เป็นไร”
ทั้งสองพยักหน้ารับคำ “ทราบแล้ว แม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “คืนนี้พูดกับคนในครอบครัวให้เรียบร้อย พวกเราไปเมืองหลวงครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ บอกพวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง”
ทั้งสองยังคงพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ถึงสภาพจิตใจของพวกเขา กำชับอีกสองสามคำ แล้วหันหลังเดินออกมา
เพิ่งจะเดินพ้นประตูเรือน เสียงกระหืดกระหอบของเหวินเปียวก็ดังแว่วมา “แม่นาง ช้าก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้า หันศีรษะกลับไป
สีหน้าเหวินเปียวไม่เหลือความปิติยินดีเมื่อครู่แล้ว ก้าวเท้าอาดๆ มาเบื้องหน้านางพูดว่า “แม่นาง พวกเราเอาแต่ดีใจ ลืมว่าพวกเราถูกขับออกจากเมืองหลวงอย่างไร บัดนี้จะให้พวกเราตามท่านกลับไป จะก่อความเดือดร้อนให้ท่านหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองทั้งสองคนพูดว่า “ครั้งนี้ข้าจะไปบีบให้แต่งงาน ก็คือไปก่อความเดือดร้อน เพิ่มพวกเจ้าไปด้วยจะเป็นไรไป”
เหวินเปียวยังคงลังเล “แต่ว่า “คนที่พวกเราล่วงเกินในตอนนั้นเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลท่านมหาเสนาบดี หากเขาเห็นพวกเรา จะต้องมาหาเรื่องพวกเรา ถึงตอนนั้นเกรงจะลำบากมาถึงแม่นางด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มสุกใสเจิดจ้า พูดว่า “พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปี ยังไม่รู้จักข้าอีกหรือ? ที่ข้าไม่กลัวที่สุดก็คือความเดือดร้อน พวกเจ้าเพียงจำไว้ว่า หากมีใครจงใจหาเรื่องให้ซัดพวกมันกลับไป ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด เรื่องที่เหลือข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
เหวินเปียวและเหวินหู่หันหน้ามองกัน แล้วยืดหลังแอ่นอก เปล่งเสียงขานรับดังลั่น “ทราบแล้ว แม่นาง!”
เสียงก้องกังวานทำให้กัวเฟยและเหล่าองครักษ์มองเข้ามา
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว กัวเฟยก็เดินเข้ามา พูดอย่างอ่อนน้อม “นายท่าน จัดการเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้จะมีสิบคนตามพวกเราเข้าเมืองหลวง คนที่เหลือคอยเฝ้าอยู่ที่บ้านขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งการเขา “เฝ้าดูคุณชายรองให้ดี พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางแต่เช้าตรู่”
กัวเฟยขานรับคำ
เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับเข้ามาในห้องตัวเอง เปิด**บออก หยิบป้ายหยกสองแผ่นและตั๋วเงินอีกปึกหนึ่งออกมาเก็บไว้ให้ดี พลันเลือบไปเห็นจดหมายสี่ฉบับ นางขบคิดเล็กน้อย ก็หยิบออกมาวางไว้ด้วยกัน ตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย รอคอยการเดินทางในวันพรุ่งนี้
เมิ่งฉีกลับมาถึงบ้าน บอกภรรยาเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไปเมืองหลวง หวังเยียนอยากจะมาส่งเมิ่งเชี่ยนโยวให้ได้
วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สาง เมิ่งชื่อที่ไม่ได้นอนทั้งคืนลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า
หลังจากทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จ พวกกัวเฟยก็ขนข้าวของทั้งหมดขึ้นไปไว้บนรถม้าเสร็จเช่นกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเดินออกไป เมิ่งเสียนร้องเรียกนาง ล้วงตั๋วเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ วางใส่มือนาง พูดว่า “เจ้ารับตั๋วเงินพวกนี้ไป หากว่าไม่พอ ให้ส่งข่าวกลับมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะปฏิเสธ
ซุนเชี่ยนเดินขึ้นหน้า พับมือของนางลง พูดว่า “รับไปเถอะ นี่เป็นน้ำใจของข้าและพี่ใหญ่เจ้า เมืองหลวงหนทางยาวไกล พวกเราคงช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตื้นตันใจน้ำตาเอ่อ ไม่ปฏิเสธอีก เก็บตั๋วเงินไว้ให้ดี
“น้องสาว!” น้ำเสียงกระวีกระวาดของเมิ่งฉีดังมาแต่ไกล
ทุกคนหันมองไป เห็นเมิ่งฉีประคองหวังเยียนที่เดินอุ้ยอ้ายตรงเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินออกไปรับ พูดตำหนิเมิ่งฉี “พี่รอง พี่สะใภ้รองท้องโตขนาดนี้แล้ว พวกท่านไม่ต้องมาก็ได้”
หวังเยียนจับมือนาง หายใจหอบพูดว่า “อย่าโทษพี่รองเจ้าเลย ข้าเองที่อยากมาส่งเจ้าให้ได้”
ว่าแล้วก็ส่งสายตาให้เมิ่งฉี
เมิ่งฉีล้วงตั๋วเงินจำนวนหนึ่งออกมา พูดว่า “น้องสาว นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยของข้าและพี่สะใภ้รอง”
“เมื่อครู่พี่ใหญ่ให้ข้ามาไม่น้อยแล้ว ข้าเองก็ยังมี คงไม่มีอะไรให้จับจ่าย ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันข้าก็กลับมาแล้ว”
หวังเยียนรับตั๋วเงินมา ฝืนยัดใส่มือนาง พูดว่า “เมืองหลวงข้าวของแพง พกตั๋วเงินไปมากหน่อยกันไว้ดีกว่าแก้”
เมิ่งเชี่ยนโยวจนปัญญา จำต้องรับตั๋วเงินมา พูดว่า “ขอบคุณพี่รอง พี่สะใภ้รอง”
หวังเยียนตบหลังมือนาง ไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาคนทั้งหมด ขึ้นนั่งบนรถม้าเดินทางมุ่งทางไปเมืองหลวง
เมิ่งชื่อมองดูรถม้าไกลออกไป น้ำตาที่ฝืนกล้ำกลืนไว้หลั่งรินเป็นสาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น