ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 71-74
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 71 มิอาจปฏิเสธได้
ทุกคนเข้านั่งประจำที่ ชายหญิงแยกกันคนละฝั่ง แล้วทุกคนก็อาศัยโอกาสนี้พูดคุยถามไถ่ซึ่งกันและกัน
ท่านอ๋องฉีนั่งประจำที่ตนเอง ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ
เมื่อหวงฝู่ซวิ่นเสด็จมาถึง ทุกคนก็ลุกขึ้นต้อนรับ
“วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง ไม่ต้องพิธีรีตองมากมายนักหรอก ทุกคนตามสบายเถอะ” หวงฝู่ซวิ่นพูดเช่นนี้ทุกปีไม่เคยเปลี่ยน
ทุกคนตอบรับ นั่งลง แต่ไม่กล้าทำตัวสบายมากนัก ฮ่องเต้ตรัสเป็นพิธีไปเช่นนั้น หากมีคนทำเช่นนั้นจริงๆ อาจต้องปลดเกษียณกลับบ้านเกิดไปเลยก็เป็นได้
แต่ว่า ปีนี้ทุกคนดูแปลกไป ตอนที่ต้องยกสุราดื่มพร้อมกันนั้น ทุกคนต่างเดินมาดื่มกับท่านอ๋องฉีทั้งนั้น แม้ว่าปีก่อนๆ จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ปีนี้แปลกไปกว่าแต่ก่อนอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงนั่งสังเกตทุกอย่างเงียบๆ
ท่านอ๋องฉีไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ว่าใครเดินเข้ามา ก็ให้เกียรติจิบสุราด้วยทั้งนั้น
ร่ำสุรากันอยู่นาน ขุนนางน้อยใหญ่ต่างมีความสุขถ้วนหน้า ท่านอ๋องฉีดื่มไปไม่น้อย จึงโซเซลุกขึ้นมาบอกว่าตนเองอายุมากแล้ว เริ่มไม่ไหวแล้ว อยากกลับจวนพักผ่อน
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่อาวุโสกว่า อายุมากกว่าท่านอ๋องฉีก็มีไม่น้อย ดื่มมากกว่าท่านอ๋องฉีก็มี แต่ไม่มีใครเอ่ยปากก่อนเลยว่าจะกลับก่อน มีแต่ท่านอ๋องฉีที่เป็นเสด็จอาแท้ๆ ของฮ่องเต้ เป็นพระญาติเพียงผู้เดียวในรัฐอู่แห่งนี้ กล้าที่จะบอกว่าอยากกลับจวนก่อนในขณะที่ฮ่องเต้กำลังสำราญพระทัย
เห็นท่านอ๋องฉีเซไปมา หวงฝู่ซวิ่นได้ยินดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้า
พระชายาฉีอาศัยจังหวะนี้ลุกขึ้น พยุงท่านอ๋องฉีออกจากวังหลวงไป ท่ามกลางสายตาอิจฉาและผิดหวังเพราะยังไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด ท่านอ๋องก็กลับไปก่อนเสียแล้ว
ยามดึก นอกวังหลวงมืดสนิท มีก็แต่แสงไฟจากโคมแดงไม่กี่โคมส่องสว่างนำทางไป
เมื่อทั้งสองคนออกพ้นวังหลวงมา ท่านอ๋องฉีก็ยืดหลังตรง ถอนหายใจที่มีกลิ่นสุราคลุ้งออกมา ดวงตาใสแป๋ว ดูไม่เมาเลยสักนิด
คนรถจวนอ๋องเมื่อเห็นเจ้านายของตนออกมา ก็รีบเอารถเข้าไปรับ หลังจากที่ท่านอ๋องฉีกับพระชายาขึ้นรถม้า คนรถก็รีบขับกลับจวนอ๋องโดยทันที
“ท่านอ๋อง ไหวไหมเพคะ” พอขึ้นรถมา พระชายาฉีถึงเอ่ยถาม
“ไม่ได้เป็นอะไร สุราแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ท่านอ๋องฉีตอบ ด้วยสีหน้าหนักใจ
“คืนนี้ทุกคนต่างยกสุรามาดื่มกับท่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด”
ท่านอ๋องฉีไม่ได้ตอบ แต่แสดงสายตาอันล้ำลึกออกมา เพราะอะไรน่ะหรือ ก็คงอยากอาศัยจังหวะนี้มาผูกมิตรกับข้าน่ะสิ อยากมาแต่งงานกับหลานสาวของเราสองคนนั้นยังไงล่ะ
หลังจากท่านอ๋องฉีลาไป เลยไม่รู้ว่าจะเอาใจใครต่อ บรรยากาศในตำหนักก็เงียบลง บางคนก็ไม่ย่อท้อ คิดหนักว่าควรจะไปดื่มกับหวงฝู่อี้เซวียนหรือไม่ ค่อยๆ หาจังหวะเข้าใกล้ แต่ตรงหน้าเขามีแต่น้ำชา พอเห็นว่าเขาไม่ดื่มสุราสักหยด ก็แอบถอนหายใจ ยกเลิกความคิดนั้นไป แล้วแอบไปเสียใจกับตัวเองว่าเหตุใดตอนที่ท่านอ๋องฉีอยู่ถึงไม่พูดออกไป
วันตรุษจีน จวนท่านอ๋องฉีคึกคักกว่าที่เคย เพราะขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็พาครอบครัวของตนมาอวยพรปีใหม่ที่จวนอ๋องฉีแห่งนี้อย่างมิได้นัดหมาย
พระชายาฉี เมิ่งเชี่ยนโยวและเจียงจิ่นยุ่งกันจนหัวปั่น พอพ้นวันไป สามคนนี้ก็เหนื่อยจนแทบล้มเลยทีเดียว
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวกำชับไว้ให้อยู่แต่ในเรือนของตน ห้ามออกไปไหนทั้งนั้น ดังนั้นทั้งสองคนเลยว่างมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก หนีไม่พ้นสายตาของท่านหญิงสองคนนี้หรอก
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถามด้วยความสงสัยว่า “พี่ใหญ่ ทำไมคนถึงมาอวยพรปีใหม่ที่จวนของเราเยอะเพียงนี้เจ้าคะ”
หวงฝู่สือเมิ่งส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราต้องทำตามคำสั่งของท่านแม่ อย่าออกไปไหนดีที่สุดนะ”
“อืม” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบรับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเป็นที่สุด นางมีนิสัยร่าเริง ปีก่อนๆ คนที่มาอวยพรปีใหม่ไม่ได้เยอะขนาดนี้ พูดคุยกันประเดี๋ยวเดียวก็ไป ดังนั้น เวลานี้พวกเด็กๆ ก็จะได้ออกไปเล่นกันที่นอกเรือน แต่ปีนี้ไม่ได้เลย ต้องทำตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเดียว เลยต้องอยู่แต่ในเรือนที่น่าเบื่อแห่งนี้
วันที่สองก็แล้ว วันที่สามก็แล้ว หน้าจวนอ๋องฉีก็ยังคงมีรถม้าจอดเต็มไปหมด ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
วันที่สี่ เช้าตรู่ หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมพร้อมที่จะพาเด็กๆ ทั้งสามคนไปบ้านยาย
ในที่สุดก็ออกมาสูดอากาศข้างนอกได้สักที หวงฝู่เย่าเย่ว์เหมือนนกที่ได้บินออกจากกรง ดีใจเป็นที่สุด ระหว่างทางก็เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยานั่งรออยู่หน้าบ้านตั้งนานแล้ว พอเห็นรถม้าสองคันแล่นเข้ามา ยังไม่ทันจอดดี ก็รีบเดินเข้าไปทันที
หวงฝู่เย่าเย่ว์เปิดม่านรถม้าออก กระโดดลงมา เข้าสู่อ้อมอกของเมิ่งซื่อ แล้วพูดเอาใจว่า “ท่านยาย ข้าคิดถึงท่านจังเลยเจ้าค่ะ”
เพิ่งจะเจอกันหยกๆ คำพูดของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็แค่คำพูดเอาใจตนเท่านั้น แต่นางกลับดีใจเป็นอย่างมาก ได้แต่ยิ้มแล้วตบหลังของนางเบาๆ “ยายก็คิดถึงเจ้า ปีนี้เลยเตรียมซองอั่งเปาให้เจ้าไว้แล้วด้วย”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านยาย”
ครอบครัวตระกูลเมิ่งปกติอยู่กันแต่ในเรือน มีแต่เมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งเหริน และเมิ่งอี้ที่ออกไปทำงาน นานๆ ทีจะมีโอกาสได้รวมตัวกัน วันนี้พอได้รวมตัวกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว จึงพูดคุยกันสนุกสนานกันเลยทีเดียว
เมิ่งจงจวี่กับเหล่าเมิ่งซื่ออายุมากแล้ว ลุกก็โอยนั่งก็โอย แต่สุขภาพจิตยังดี พอเห็นครอบครัวมากันพร้อมหน้า ก็ยิ้มออกมาด้วยความปีติ
พอกินข้าวกลางวันเสร็จ เด็กๆ ออกไปวาดภาพกันที่นอกเรือน ส่วนที่เหลือรวมตัวพูดคุยกันอยู่ที่ห้องของเมิ่งจงจวี่ พูดไปพูดมา ก็พูดถึงเรื่องงานแต่งงานของหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์
เมิ่งซื่อ ลอบถอนหายใจเล็กน้อย “ทำไมเด็กถึงได้โตไวขนาดนี้ พริบตาเดียวก็สิบสามเข้าแล้ว คงอยู่ที่เรือนได้อีกไม่นานแล้วสิ”
“ท่านแม่ แม้พวกนางจะออกเรือนไป ก็คงต้องอยู่ที่เมืองหลวงนี่แหละเจ้าค่ะ ถ้าคิดถึงพวกนาง ก็ส่งข่าวให้นางรู้ ให้นางกลับมาหาก็พอแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
เมิ่งซื่อ พยักหน้า “ว่าไปก็ถูก เมืองหลวงก็มีอยู่แค่นี้ ต่อให้พวกนางไปอยู่บ้านสามี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็รู้ได้ทั้งนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำออกมา “ท่านแม่ ยังไม่ทันได้แต่งงานเลย ท่านก็คิดถึงตอนที่พวกนางไปอยู่บ้านสามีแล้ว ไม่เร็วไปหน่อยหรือเจ้าคะ”
เมิ่งซื่อ รู้สึกว่าตนตีตนไปก่อนไข้ จึงหัวเราะแล้วส่ายหน้า “ข้าน่ะแก่แล้ว จึงชอบคิดมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา แล้วหันไปฟ้องเหล่าเมิ่งซื่อว่า “ท่านย่า ท่านแม่บอกว่านางแก่แล้ว”
เหล่าเมิ่งซื่อหัวเราะ แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “อืม แม่เจ้าแก่แล้ว ย่ายังสาวอยู่น่ะ”
ทุกคนหัวเราะกันเฮฮา หลี่ต้าฉุย เมิ่งต้าจินทั้งสองครอบครัวต่างหัวเราะกันจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความสุข
แล้วก็มีเสียงรายงานดังมาจากด้านนอก “นายท่าน มีคนมาจากจวนอ๋องฉีขอรับ บอกว่าฮ่องเต้เรียกตัวซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยเข้าวังโดยด่วนขอรับ”
เสียงหัวเราะของทุกคนชะงักลง แล้วมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยว
“มีเรื่องอะไรงั้นรึ” หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วถาม
“ไม่มีขอรับ บอกแค่ว่าให้ท่านกับซื่อจื่อเฟยเข้าวังโดยด่วน”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วลุกขึ้น
แล้วเวลาแห่งความสุขก็หมดลง ทุกคนมองพวกเขาด้วยความเป็นห่วง
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น บอกลากับทุกคน ให้เด็กๆ ทั้งสามอยู่เล่นที่จวนนี้ก่อน ส่วนพวกเขาสองคนขี่ม้าควบไปที่วังหลวง เอาเชือกผูกม้ายื่นให้กับนายประตู แล้วเดินเข้าไปทันที
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลยืนรออยู่ที่ประตูนานนานแล้ว พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็รีบออกไปรายงานว่า “วันนี้มีทูตจากหลายรัฐมาอวยพรปีใหม่ แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ของรัฐอิงจะเสด็จมาด้วยตนเอง แล้วยังบอกว่าจะมาสู่ขอแต่งงาน ฮ่องเต้ไม่รู้จะทำเยี่ยงไร จึงเรียกตัวซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยเข้ามา ปรึกษาเรื่องนี้ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนหยุด ขมวดคิ้วถามว่า “ขออะไรนะ”
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ไม่ปิดบัง ตอบตามตรงว่า “เขาอยากสู่ขอท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ไปเป็นฮองเฮาขอรับ”
สายตาอันดุดันของหวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่หัวหน้าขันทีผู้ดูแล ถึงขั้นทำให้เขาเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก
ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์ ฮ่องเต้ยังพอปฏิเสธได้ เพราะอย่างไรเสียก็เป็นแค่ไท่จื่อ จะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ที่เขามาสู่ขอแต่งงาน จริงๆ แล้วอาจจะให้จวนอ๋องฉีช่วยดันให้เขาได้ตำแหน่งฮ่องเต้ก็เป็นได้ แต่ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงไม่เหมือนกัน เขาอยู่ในตำแหน่งแล้ว ขอเพียงแค่หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ หลังจากเย่ว์เอ๋อร์อายุครบแต่งงานได้ พอออกเรือนไป ก็ได้เป็นฮองเฮาผู้ทรงสง่าแห่งรัฐอิง อีกอย่าง สองประเทศนี้ไม่เหมือนกัน รัฐหมิงเป็นรัฐที่มาผูกมิตรด้วย แต่รัฐอิงเป็นรัฐภายใต้การปกครอง อีกทั้งยังเพิ่งจะได้ยึดครองมาไม่นานนี้เอง ตามธรรมเนียมแล้ว หวงฝู่ซวิ่นที่เป็นฮ่องเต้นั้นสมควรตอบรับการหมั้นหมายในครั้งนี้ เพื่อความผาสุกของราษฎร
แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นใคร เป็นหลานสาวของท่านอ๋องฉี เป็นลูกสาวของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว เป็นแก้วตาดวงใจของพระชายาฉี ถ้าหากว่าเขากล้าไม่ปรึกษาพวกเขาก่อน แล้วตอบรับการสู่ขอในครั้งนี้โดยพลการ เขาคงได้พ้นจากตำแหน่งฮ่องเต้แน่ แถมยังจะโดนท่านอ๋องฉีไล่ฆ่าทั่ววังหลวงอีก ดังนั้น หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน เขาถึงได้ส่งคนไปเชิญหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา แต่ไม่กล้าเชิญท่านอ๋องฉี
รู้จักหวงฝู่ซวิ่นมานาน ทำไมหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงหันหลังเดินออกจากวังหลวงไป แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นทูตจากหลายประเทศมา ตอนนี้ข้าแต่งตัวไม่เหมาะสม ขอกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดราชการก่อนแล้วจะรีบกลับมา”
วันนี้เขากับเมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านแม่ยาย แต่งตัวปกติ ไม่เหมาะสมจริงๆ เพราะฉะนั้นคำพูดของเขามีเหตุผล แต่ฮ่องเต้กับทูตของแต่ละประเทศรอนานแล้ว ถ้าหากซื่อจื่อกลับไปเปลี่ยนชุด กว่าจะไปกว่าจะกลับกินเวลาไปตั้งเท่าไร อีกอย่าง ถ้าเขากลับจวนไป คงได้บอกกับท่านอ๋องฉีแน่ ถ้าอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นต่อ… … ขันทีผู้ดูแลไม่กล้าคิด รีบเดินไปขวางหวงฝู่อี้เซวียนเอาไว้ โค้งตัวคารวะ แล้วโน้มน้าวว่า “ซื่อจื่อ เรื่องวันนี้เร่งด่วนนัก ท่านไปพบทูตเช่นนี้ ฮ่องเต้ไม่ถือโทษโกรธท่านหรอกขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเหมือนโดนบังคับให้หยุด หรี่ตามองเขาแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ฮ่องเต้ไม่กล้ากล่าวโทษข้าหรอก แต่พวกทูตเหล่านั้นเล่า ข้าเข้าไปเช่นนี้ พวกเขาจะมองว่าข้าไม่ให้เกียรติพวกเขา ฮ่องเต้ไม่กลัวว่าพวกเขาจะไม่พอใจ แล้วเกิดเรื่องใหญ่งั้นหรือ”
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลชะงักไป ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกไปเสียแล้ว
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 72 ดูหมิ่น
พอคนเดินออกไป จะไปห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว หัวหน้าขันทีผู้ดูแลได้แต่ก่ายหน้าผากเช็ดเหงื่อ แล้ววิ่งเหยาะๆ กลับเข้าไปรายงาน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวขี่ม้ากลับมาจวนอ๋อง แล้วตรงไปที่เรือนของพระชายาฉีโดยทันที
วันนี้เป็นวันที่ทั้งสองคนไปบ้านแม่ยาย นี่เป็นครั้งแรกที่กลับมาเร็วเช่นนี้ พระชายาฉีรู้สึกได้ว่าต้องมีเรื่องแน่นอน เลยถามว่า “ทำไมวันนี้ถึงกลับมาเร็วนักล่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ”
“ฮ่องเต้มีเรื่องด่วนเลยส่งคนมาเรียกตัวพวกเราเข้าวังขอรับ จึงกลับมาเร็ว” หวงฝู่อี้เซวียนเห็นว่าท่านอ๋องฉีไม่ได้อยู่ในห้อง เลยบอกไปไม่หมด
สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็อารมณ์ไม่ค่อยดี พระชายาฉีจึงอดถามไม่ได้ว่า “เพิ่งจะตรุษจีน ฮ่องเต้จะเรียกพวกเจ้าเข้าวังด้วยเรื่องอันใดกัน”
“วันนี้มีทูตจากหลายรัฐมาอวยพรเจ้าค่ะ อี้เซวียนจึงต้องเข้าวังไปด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันพูดตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชิงตอบก่อน
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พูดอะไร
พระชายาฉีพยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเจ้ากลับมาแล้ว ก็ไปพักสักประเดี๋ยวเถิด”
“เสด็จพ่อล่ะขอรับ ไม่ได้อยู่ที่จวนหรือขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยท่าทางปกติ
“เด็กๆ ไม่อยู่จวน เขาว่างน่ะ เลยไปที่ห้องหนังสือ”
“โยวเอ๋อร์ เจ้าไปพักก่อน ข้าจะไปคุยกับเสด็จพ่อเสียหน่อย” เพื่อไม่ให้พระชายาฉีสงสัย หวงฝู่อี้เซวียนเลยจงใจบอกให้เมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้องไปก่อน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจ พยักหน้าตอบรับไป
ทั้งสองคนเดินออกจากเรือนของพระชายาแล้วไปที่ห้องหนังสือทันที
เด็กๆ ไม่อยู่ บรรยากาศในจวนเงียบเชียบ ท่านอ๋องฉีไม่รู้จะทำอะไร เลยไปห้องหนังสือฝึกฝนการเขียนพู่กันเพื่อฆ่าเวลา
เห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ท่านอ๋องฉีก็ประหลาดใจนัก วางพู่กันลง ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นรึ”
ที่ถามเช่นนี้ เพราะว่าเวลาเมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านไปในช่วงตรุษจีนของแต่ละปี หากอยู่ไม่เต็มวันนั้น ไม่มีทางกลับมาแน่นอน บางทีถ้าหากที่จวนไม่มีเรื่องอะไร ก็จะอยู่ยันตรุษจีนวันที่หกถึงจะกลับ วันนี้กลับมาเร็วเช่นนี้ จะต้องมีเรื่องแน่นอน
“ฮ่องเต้เรียกข้ากลับมาขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบ
ท่านอ๋องฉีที่กำลังล้างมือก็ชะงัก ถามว่า “เรื่องอันใด”
“บอกว่าฮ่องเต้แห่งรัฐอิงมาสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ด้วยตนเองขอรับ”
ผ้าขนหนูในมือของท่านอ๋องฉีตกลงไปในอ่างทองเหลือง จนน้ำกระเซ็นไปทั่วทั้งตัวของเขา หันกลับมา แล้วถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่า “มาสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์งั้นรึ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ด้วยสีหน้าหนักใจ
เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัด ท่านอ๋องฉีก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินออกไปทันที
หวงฝู่อี้เซวียนตามหลังออกมา “วันนี้มีทูตจากหลายรัฐมาด้วยขอรับ เสด็จพ่อเปลี่ยนชุดก่อนค่อยไปเถิด”
ท่านอ๋องฉีไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เดินออกนอกจวนไปทันที แล้วสั่งว่า “จูงม้ามา”
องครักษ์ตอบรับ แล้วรีบจูงม้ามาทันที
“โยวเอ๋อร์ เจ้าอยู่กับเสด็จแม่ ข้าจะไปกับเสด็จพ่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบ ก็รีบตามไปทันที
ออกมาจากจวน ขึ้นม้า แล้วรีบควบม้ามาที่หน้าประตูพระราชวังทันที
พอลงม้า ท่านอ๋องฉีก็มุ่งหน้าไปตำหนักที่หวงฝู่ซวิ่นใช้รับแขกโดยทันที ตำหนักชิงเหอ
มีเสียงดนตรีจากด้านในตำหนักชิงเหอดังออกมา
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลได้นำขันทีและคนรับใช้รออยู่ด้านนอก พอเห็นท่านอ๋องฉีเดินมาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ก็กรีดร้องกันในใจ แต่หน้าก็ยังยิ้มออกไปต้อนรับ “ขอคารวะท่านอ๋องฉี ขอคารวะซื่อจื่อ”
ท่านอ๋องฉีหยุด ความโกรธที่กำลังปะทุได้ดังก้องอยู่ในน้ำเสียง “ไปรายงานฝ่าบาท บอกว่าข้าขอเข้าพบ”
“เอ่อ… …” หัวหน้าขันทีผู้ดูแลคิดหนัก
“ทำไม ตำแหน่งของท่านสูงขึ้นแล้วสิ ข้าสั่งท่านไม่ได้แล้วงั้นรึ” ท่านอ๋องฉีถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ท่านอ๋องฉีไม่เคยพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน เลยทำให้หัวหน้าขันทีผู้ดูแลเหงื่อออกเต็มตัวไปหมด โค้งคำนับลงต่ำกว่าปกติ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ขอท่านอ๋องโปรดอภัย เดี๋ยวกระหม่อมจะเข้าไปรายงานให้ขอรับ”
น่าขัน ขนาดฮ่องเต้ยังกลัวเสด็จอาคนนี้ แล้วขันทีตัวเล็กๆ อย่างเขาล่ะ ถ้าหากผิดใจกับเขาล่ะก็ อย่าว่าแต่จะรักษาเกียรติและเงินทองที่สั่งสมมาทั้งชีวิตไม่ได้ แม้แต่หัวของตนก็คงรักษาไว้ไม่ได้เช่นกัน
คิดได้ดังนั้น ก็รีบเดินเข้าไปรายงานในตำหนักทันที
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลอุตส่าห์ไปยืนดักที่หน้าประตู แต่ไม่เพียงรับหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาไม่ได้แล้ว ยังเห็นเขาสองคนกลับจวนอ๋องไปต่อหน้าต่อตาอีก หลังจากที่หวงฝู่ซวิ่นฟังรายงานเสร็จ ก็ใจเต้นรัว แต่พอได้รับรายงาน ก็แอบถอนหายใจ เงยศีรษะที่ปวดจี๊ดของตนขึ้น แล้วโบกมือ ให้คณะดนตรีหยุดบรรเลง แล้วออกคำสั่ง “เรียกตัวเสด็จอาเข้าเฝ้า”
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ประกาศเรียก
ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในตำหนัก ทำความเคารพโดยการก้มคำนับศีรษะจรดพื้น ไม่ผิดธรรมเนียมเลยแม้แต่นิดเดียว ถือว่าให้เกียรติหวงฝู่ซวิ่นเป็นอย่างมาก
ใจของหวงฝู่ซวิ่นยิ่งเต้นแรงเข้าไปใหญ่ เขานั่งตรงนี้มาสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับความเคารพเต็มยศเช่นนี้จากท่านอ๋องและหวงฝู่อี้เซวียน แต่เขากลับอยากให้ไม่ต้องมีจะดีกว่า เพราะเขารู้ว่าถ้าท่านอ๋องให้เกียรติเขามากเมื่อใด อีกประเดี๋ยวก็จะก่อเรื่องใหญ่เป็นแน่
เลยเงยหน้าขึ้นพูดว่า “เสด็จอา ซื่อจื่อ ลุกขึ้นเถิด”
หลังจากนั้นก็สั่ง “ยกเก้าอี้มาให้เสด็จอาและซื่อจื่อด้วย”
ท่านอ๋องฉีลุกขึ้นขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาท แต่ไม่จำเป็นหรอก กระหม่อมยืนเอาก็ได้”
พูดจบ ก็มองไปรอบตำหนักด้วยสายตาน่าเกรงขาม
หวงฝู่ซวิ่นรู้ว่าเขากำลังมองหาฮ่องเต้แห่งรัฐอิงอยู่ ท่าป๋าหั่นหลิน และที่ยืนก็เพื่อจะได้เข้าไปตีคนได้ง่ายๆ อย่างไรล่ะ เขาทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “เสด็จอา ซื่อจื่อ ข้าเรียกพวกท่านเข้าวังมา เพราะฮ่องเต้แห่งรัฐอิงได้แสดงเจตจำนงค์ต่อเหล่าขุนนางทั้งหลายว่าจะมาสู่ขอท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ไปเป็นฮองเฮา ข้าเลยสั่งให้คนไปตามพวกท่านมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ”
ท่านอ๋องฉีมองหน้าของเหล่าทูตทั้งหลาย ในใจนึก ให้หวงฝู่ซวิ่นได้พูดจบเสียก่อน เสร็จแล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ไม่ทราบท่านใดคือฮ่องเต้แห่งรัฐอิงพ่ะย่ะค่ะ ช่วยออกมาแสดงตนให้ข้าเห็นหน่อยได้หรือไม่”
น้ำเสียงปกติของเขา ทำให้หวงฝู่ซวิ่นยิ่งใจเต้นแรงเข้าไปอีก ในใจหวังว่าท่าป๋าหั่นหลินจะรู้จักประณีประนอม อย่าได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาเลย ในตำหนักแห่งนี้ ถ้าหากโดนตีจนเละคาที่ล่ะก็ ตัวเขาเองก็มิอาจช่วยได้
แล้วก็มีเด็กผู้ชายอายุราวสิบห้าสิบหกลุกขึ้นมา คารวะท่านอ๋องฉีตามความอาวุโส แล้วพูดภาษาอู่ว่า “ขอคารวะท่านอ๋องฉีผู้สูงศักดิ์แห่งรัฐอู่”
ท่านอ๋องฉีก็ไม่นิ่งดูดาย รับการคารวะของเขา แล้วมองเขาอย่างละเอียด
อายุราวสิบห้าสิบหก ผิวขาวราวสำลี โดดเด่นเหนือผู้ใด ไม่เหมือนคนรัฐอิงที่สูงใหญ่หยาบกระด้าง แล้วรูปร่างหน้าตาก็ไม่เหมือนกับท่าป๋าหั่นมู่ มองไปมองมา เหมือนคนรัฐอู่แท้ จึงพยักหน้า พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะสงสัย แต่ก็ยังคงปกติอยู่ว่า “ข้าเคยพบองค์ชายใหญ่ท่าป๋าหั่นมู่ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ไม่ทราบว่าเหตุใดฮ่องเต้แห่งรัฐอิงผู้นี้ถึงได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนรัฐอู่นัก”
คำพูดของเขา ทำให้ตำหนักเงียบสงัด
ท่าป๋าหั่นหลินไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะถามคำถามเช่นนี้ จึงชะงักไป หน้าแดงฉาด ทั้งเจ็บปวด ทั้งละอาย อีกทั้งยังโกรธอีกด้วย อารมณ์ต่างๆ นาๆ ประเดประดังเข้ามาในเวลาเดียวกัน ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเขาคงโกรธจนระเบิดออกมา จะสะบัดชายเสื้อเดินออกไปนั้น แต่เขากลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ข่มอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ แล้วทำการคารวะท่านอ๋องฉีอีกครั้ง “ท่าป๋าหั่นหลินขอเป็นตัวแทนเสด็จพี่ขอประทานโทษกับท่านอ๋องด้วย เขาอาศัยโอกาสตอนที่เสด็จพ่อป่วย ไม่ฟังการอะไรทั้งสิ้น นำทหารออกไปรบเอง เทำให้เขาต้องพบจุดจบคือความตาย เรื่องนี้มิอาจโทษผู้ใด นอกจากตัวเขาเอง ส่วนข้านั้น เสด็จแม่ของข้าเป็นคนรัฐอู่ ตอนนั้นที่สองรัฐยังเป็นมิตรต่อกัน เสด็จพ่อของข้ายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ได้มาเที่ยวเล่นที่รัฐอู่ จึงทำให้ได้พบกับเสด็จแม่ แล้วรับนางไปอยู่ด้วยกัน และรูปลักษณ์ของข้าค่อนข้างที่จะไปทางเสด็จแม่ขอรับ”
“อ่อ” ท่านอ๋องฉีพยักหน้าเข้าใจ ในขณะที่ทุกคนโล่งอก ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ฮ่องเต้องค์ก่อนช่างใจกล้ายิ่งนัก กล้ายกตำแหน่งให้กับบุตรที่มีสายเลือดของรัฐอู่ ไม่กลัวหรือว่าเขาจะพารัฐของเขาไปสู่จุดจบ”
คำพูดนี้ ทำให้ตำหนักชิงเหอเงียบยิ่งกว่าเดิม เงียบเสียจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
ท่าป๋าหั่นหลินก็แอบเสียหลักเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียวขึ้นมาทันที แต่ก็ยังคงอยู่ในท่าโค้งคำนับไม่ขยับ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ท่านอ๋องล้อข้าเล่นแล้วล่ะ ตอนนี้รัฐอิงเป็นรัฐในครอบครองของรัฐอู่ ถ้าหากฮ่องเต้รัฐอู่ต้องการ จะเอาไปเมื่อใดก็ย่อมได้ ต่อให้ข้ามาร้องขออ้อนวอนมันจะไปมีประโยชน์อันใด”
เสียงพูดที่ปกติ ไร้ซึ่งอารมณ์ข้องเกี่ยว ถ้าหากว่าเขาไม่ได้มาขอหลานสาวของตนล่ะก็ ท่านอ๋องล่ะอยากจะชมเขาเสียด้วยซ้ำ วีรบุรุษเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก แต่น่าเสียดาย ที่เขามาสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ เลยต้องเป็นศัตรูกับเขา อย่างไรเสียก็ขัดลูกหูลูกตาของเขาอยู่ดี
มิอาจให้เรื่องราวดำเนินต่อไปเช่นนี้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเสด็จอาจะงัดไม่เด็ดอะไรออกมาอีก หวงฝู่ซวิ่นเลยรีบพูดขึ้นมาว่า “เสด็จอา ท่านนั่งลงก่อนเถิด มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันดีกว่า”
ผู้ดูแลนำเก้าอี้มาวางไว้ตรงด้านหลังของอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียน
ฮ่องเต้ประทานเก้าอี้ให้ หากไม่นั่งถือว่าไม่ให้เกียรติ
ท่านอ๋องฉีถกชายเสื้อขึ้น นั่งลง ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ด้านหลัง
ส่วนท่าป๋าหั่นหลินยืนตรงอยู่นิ่งกับที่
“เรื่องที่ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงจะมาสู่ขอหลานสาวของข้า จริงหรือไม่” ท่านอ๋องฉีถามต่อ
“เหล่า[1]อ๋องเข้าใจถูกแล้ว ข้าเป็นคนบอกเองขอรับ” ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้เรียกแทนตนเองตามตำแหน่ง แต่เรียกแทนตนเองตามลำดับอาวุโสว่าข้า
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจบอกว่า “เหล่าอ๋องงั้นหรือ ข้าแก่ตรงไหน ฮ่องเต้รัฐอิงกล่าวเช่นนี้หรือว่าอยากประลองกับข้าอย่างนั้นรึ”
นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ หวงฝู่ซวิ่นอยากทำลายสถานการณ์ตรงหน้านี้ กระแอมไอเบาๆ ออกมาสองที พอกำลังเอ่ยปากพูด ท่าป๋าหั่นหลินก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ข้าพูดผิดไปแล้ว ขอท่านอ๋องโปรดอภัย”
“ดูท่าแล้ว ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงองค์ก่อนคงจะเลือกผิด มิเช่นนั้นคงไม่เลือกบุตรชายที่ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีวาทศิลป์ อีกทั้งยังเป็นบุตรนอกสายเลือดมาเป็นฮ่องเต้หรอก”
เกิดเป็นชายเสียชีพได้ แต่จะมิให้ใครมาเหยียดหยามดูหมิ่นเด็ดขาด เสด็จพ่อเพิ่งสวรรคตไปเมื่อหลายเดือนก่อน แต่กลับโดนคนในระดับอ๋องมาวิภาควิจารณ์เช่นนี้ ท่าป๋าหั่นหลินทนไม่ไหวอีกต่อไป
เงยหน้าขึ้น มองจ้องไปที่อ๋องฉี มีคำพูดมากมายอยากจะกล่าวย้อนกลับไปเต็มที
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 73 ผิดปกติ
ท่าป๋าหั่นหลินกำลังจะโต้กลับ คำสั่งเสียของฮ่องเต้รัฐอิงองค์ก่อนก็ผุดขึ้นมาทันที ‘ที่พี่ใหญ่ของเจ้าต้องมาพบจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้ เพราะท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉีแห่งรัฐอู่นั่น ปลอมตัวเป็นชายมาทำให้พี่ใหญ่ของเจ้าตายใจ และพ่อของนางเป็นคนฆ่าพี่ใหญ่ของเจ้า ที่พ่อยกตำแหน่งให้เจ้าสืบทอด ก็เพราะในบรรดาพี่น้องทั้งหลายของเจ้า มีเพียงเจ้าที่ใกล้ชิดกับพี่ใหญ่ของเจ้ามากที่สุด เจ้าจะต้องคิดหาวิธีเพื่อมาแก้แค้นให้กับพี่ใหญ่ของเจ้าให้ได้ พ่อจึงจะตายตาหลับ’
ปากที่อ้าออกก็หุบลง แล้วก้มหน้า
ท่านอ๋องฉีเห็นท่าทางของเขา ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงมีอะไรก็ตรัสออกมาเถอะ ข้ากำลังรอฟังอยู่”
“ท่านอ๋องคิดมากไปแล้ว ท่าป๋ามารัฐอู่ครั้งแรก เรื่องกฎระเบียบอาจจะมีผิดพลาดกันบ้างเล็กน้อย เลยทำให้ท่านอ๋องไม่พอใจ เป็นความผิดของท่าป๋าเอง ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย” ท่าทีของท่าป๋าหั่นหลินยิ่งนอบน้อมเข้าไปใหญ่ นอบน้อมเสียจนทำให้คนจับผิดไม่ได้เลย
ท่านอ๋องฉีหรี่ตามองด้วยสายตาอันเฉียบคม “การถอยเพื่อดูเชิงโต้กลับของท่านนั้นทำได้ดีเลยทีเดียว เกรงว่าหลังจากวันนี้ ก็คงมีข่าวว่าข้า อ๋องผู้นี้มาวางอำนาจบาดใหญ่ด้วยความอาวุโส รังแกฮ่องเต้แห่งรัฐอิงเสียนี่”
พูดจบ ก็มองไปที่ทูตจากหลากหลายรัฐที่มา
ทูตต่างก้มหน้าลง ไม่มีใครกล้ามองหน้าเขาตรงๆ แต่ในใจน่ะ อยากเงยหน้าขึ้นมองให้มันรู้แล้วรู้รอดเสีย
แล้วท่านอ๋องฉีก็พูดขึ้นอีก ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เสียดแทงเข้าไปในใจของทุกคนว่า “ข้ามันคนวางอำนาจบาตรใหญ่ ชอบรังแกคนแล้วจะทำไม ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้รัฐอิงหรอก ทุกคนฟังให้ดี จากนี้ถ้าใครยังกล้ามาอาจเอื้อมหลานสาวของข้าอีกล่ะก็ รอข้านำทหารไปตีได้เลย”
พูดเสร็จ ก็ลุกขึ้น ทำความเคารพหวงฝู่ซวิ่นแล้วขอลา ออกไปจากตำหนักชิงเหอง่ายๆ เช่นนั้น เหลือก็แต่ภาพจำที่น่าเกรงขาม ดูสูงส่งน่ายกย่อง
ในตำหนักกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ครั้งนี้หวงฝู่ซวิ่นอยากกระแอมก็กระแอมไม่ออก
พอออกมาจากพระราชวัง ก็ขึ้นม้า กลับจวนอ๋องฉีไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วสั่งนายประตูว่า “ปิดประตู ไม่ต้อนรับแขก ตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ว่าใครมา ไม่ต้องให้เข้า ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่ให้เข้า”
นายประตูตอบรับ แล้วรีบปิดประตูทันที
การกระทำของท่านอ๋องฉีในวันนี้ ก็เป็นที่เล่าลือกันไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่พวกชนชั้นสูงที่จับกลุ่มคุยเรื่องนี้กันเท่านั้น ขนาดประชาชนคนธรรมดา หรือไม่ว่าผู้ใดต่างก็พูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน โดยเฉพาะวันนั้น ตั้งแต่ที่ประตูจวนอ๋องปิดตาย ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ เลยทำให้คนต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ นาๆ
ไม่ว่าข้างนอกจะว่าอย่างไร แต่ในจวนกลับมิใช่อย่างนั้น ทุกคนต่างใช้ชีวิตปกติ เด็กๆ ก็ยังคงเล่นกันสนุกสนาน ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เลยสักนิด
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ท่านอ๋องฉีก็อดคิดไม่ได้ เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์ก็กำลังเติบโตเป็นสาวงาม การที่มีคนมาสู่ขอจะต้องมากขึ้นมิใช่น้อยลง ปฏิเสธหนึ่งครั้งไม่เป็นไร สองครั้งไม่เป็นไร แต่ปฏิเสธไปมากครั้ง เกรงว่าจะโดนคนติฉินนินทาเอาได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สนใจ แต่อย่างไรเสียก็ส่งผลต่อเกียรติของเด็กน้อยทั้งสองคนเช่นกัน คิดไปคิดมา หลังจากที่คิดอยู่ห้าหกวันได้ ก็ส่งคนไปเรียกหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ห้องหนังสือ แล้วพูดกับเขาสองคนว่า “หลายวันมานี้ข้าคิดแล้วว่า ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่ทางออก เช่นนี้แล้วกัน ข้าอยากพาเสด็จแม่ของเจ้ากับยัยหนูสองคนนี้ออกไปท่องโลก ในขณะที่พวกนางสั่งสมประสบการณ์ ยังสามารถหลบสายตาพวกที่คอยจ้องจะจับผิดพวกนางในเมืองหลวงได้อีกด้วย”
หลายวันมานี้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่คิดเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เมื่อฟังท่านอ๋องฉีพูดจบ จึงมองหน้ากัน พยักหน้า แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็พูดว่า “วิธีนี้ของเสด็จพ่อดียิ่งนัก อีกทั้งยังได้พาเสด็จแม่ออกไปดูโลกภายนอกอีกด้วย”
ในเมื่อทั้งสองคนเห็นด้วย ท่านอ๋องฉีก็ไม่รอช้า มาที่เรือนของพระชายาด้วยตนเอง แล้วพูดกับนางเหมือนที่พูดกับลูกๆ ว่า “หลายปีมานี้ เจ้าไม่เคยออกจากเมืองหลวงเลย เลยอยากอาศัยโอกาสตอนที่พวกเรายังไม่แก่ ได้พาเจ้าออกไปดูโลกภายนอกบ้าง”
พระชายาฉีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก มีก็แต่ตอนเด็กที่เคยออกไปนอกเมืองกับท่านแม่ทัพไม่กี่ครั้ง ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้ไปไหนแล้ว มีความคิดอยากออกไปดูโลกภายนอกตั้งนานแล้ว พอได้ยินดังนั้น จึงยิ้มแก้มบาน พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “หม่อมฉันอยากจะออกไปเที่ยวเล่นตั้งนานแล้ว ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”
พระชายาฉีเห็นด้วย เช่นนั้นก็ดีเลย ทุกคนเริ่มเตรียมของกันเงียบๆ พอหมดเดือนหนึ่ง ต้นเดือนสองอากาศดี ก็เริ่มออกเดินทาง
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ต้องดีใจยู่แล้ว กั๋วจื่อเจี้ยนก็ไม่ต้องไปแล้ว เอาแต่อยู่เรือนเตรียมของที่ตนจะเอาไปด้วย
หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยก็อยากไป ทั้งสองคนนัดกันมาปรึกษาแบบลับๆ แล้วแอบพ่อของตนและท่านอ๋องฉี ไปหาพระชายาฉี “เสด็จย่าขอรับ พวกเราก็อยากไปกับพวกท่านด้วยขอรับ”
จะให้ทั้งสองคนไปด้วยได้หรือไม่นั้น พระชายากับท่านอ๋องฉีเคยปรึกษากันแล้ว ท่านอ๋องฉีบอกว่า “รุ่ยเอ๋อร์เป็นผู้สืบสกุลของจวนอ๋อง การไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนเฮ่าเอ๋อร์จะต้องช่วยเขาแบ่งเบาภาระกิจการของจวนอ๋องแห่งนี้ การศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก แล้วการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อใด หากว่าทำให้พวกเขาไม่ได้เรียนล่ะก็ มันจะเสียหายเปล่าๆ”
ท่านอ๋องฉีพูดมีเหตุผล พระชายาก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ จึงได้แต่ลูบหัวเด็กน้อยทั้งสองอย่างรู้สึกผิด “รุ่ยเอ๋อร์ เฮ่าเอ๋อร์ พวกเจ้ากับเมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์นั้นไม่เหมือนกัน ในอนาคตพวกเจ้าจะต้องสืบทอดจวนอ๋องแห่งนี้ มีภาระหน้าที่ใหญ่หลวง เอาแต่ใจไม่ได้ ฟังย่าเถิด ตัดใจเสีย แล้วตั้งใจเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนให้ดี วันข้างหน้า พวกเจ้าก็จะมีโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตาได้”
นี่เป็นการปฏิเสธ สีหน้าที่ตั้งตารอของทั้งสองก็หายไป ไร้ชีวิตชีวา ยืนอยู่ตรงหน้าพระชายาฉี
พระชายาฉีรู้สึกสงสาร กำลังจะพูดโน้มน้าว ท่านอ๋องฉีก็เดินเข้ามา เห็นทั้งสองคนก็รู้แล้วว่าเรื่องอะไร มองไปที่พวกเขาแล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนจะทำอะไร”
“ไม่ ไม่มีขอรับ เรา เราเพียงแต่อยากไปกับพวกท่านเท่านั้น” หวงฝู่รุ่ยรวบรวมความกล้า พูดขอร้องออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เป็นการลองเชิงท่านอ๋องฉี
“พวกเจ้าเรียนหนังสือจบแล้วงั้นหรือ”
ทั้งสองส่ายหน้า
“วิชาที่กั๋วจื่อเจี้ยนเรียนสำเร็จหมดแล้วงั้นหรือ”
ทั้งสองก็ยังคงส่ายหน้า
“วิทยายุทธ์ล้ำเลิศสุดในยุทธภพแล้วงั้นหรือ”
ทั้งสองส่ายหน้าติดกันสามครั้ง
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าถามพวกเจ้าหน่อย พวกเจ้ายังเรียนไม่จบเลยสักอย่าง แล้วภายภาคหน้าจะจัดการจวนอ๋องแห่งนี้ได้อย่างไร” ท่านอ๋องฉีไม่ได้พูดเสียงดัง แต่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วก้มหน้าลง
“ไปห้องหนังสือกับข้า ข้าจะทดสอบความรู้ของพวกเจ้าเสียก่อน ในวันที่ข้ากลับมา ถ้าพวกเจ้ายังไม่มีการพัฒนาล่ะก็ รู้หรือไม่ว่าจะเป็นเช่นไร”
“ขอรับ เสด็จปู่”
ทั้งสองคนตอบรับ แล้วไม่กล้าพูดถึงเรื่องเที่ยวเล่นอีก
หลังจากที่ทดสอบกับท่านอ๋องฉีเสร็จ ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องหนังสือ แล้วเดินหาที่เงียบสงบ ถอนหายใจออกมาราวกับเป็นผู้ใหญ่ ยื่นมือออกมาตบบ่าของกันและกัน แล้วพูดกับอีกฝ่ายด้วยความสงสารว่า “พี่เฮ่า ทำไมเราต้องเกิดในจวนอ๋องแห่งนี้ด้วย”
นั่นสิ ทำไมต้องเกิดในจวนอ๋องด้วย ในยุคที่ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง ผู้ชายจะต้องเป็นเสาหลักของบ้าน ผู้ชายจะต้องเป็นคนที่ทุกคนรักใคร่เอ็นดูสิ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูง หรือคนธรรมดา ก็ไม่ต่างกัน แต่ตัดภาพมาที่พวกเขา มันแปลกมาก ไม่ได้รับความรักไม่พอ เวลามีเรื่องอะไรดีๆ ล้วนไม่เคยถึงพวกเขาเลยสักครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนใบสั่งยา บอกให้โจวอันนำไปให้ร้านยาเต๋อเหริน เอายามาหนึ่งคันรถ หลังจากที่ให้คนในจวนมาช่วยกันบดยาเสร็จ นางกับหวงฝู่อี้เซวียนทำยาเม็ดขึ้นมาหลายชนิด ใส่เอาไว้ในขวดดินเผา เตรียมไว้ให้กับพวกท่านอ๋องฉี ไว้ใช้ตอนที่พวกเขาเที่ยวเล่นอยู่แล้วเกิดเหตุไม่คาดคิด
พอหวงฝู่อวี้และเจียงจิ่นได้ยินเข้า ก็ตกใจมาก รีบวิ่งมาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว พอได้คำตอบ ก็โต้แย้งทันที “หลายปีมานี้จวนเราสร้างศัตรูไว้มากมาย ถ้าหากพวกมันได้ยินเข้า แล้วถือโอกาสนี้มาทำร้ายเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ล่ะก็ ผลลัพธ์อาจเลวร้ายเกินคาดนะขอรับ”
“พวกเจ้าวางใจเถิด ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว มากสุดครึ่งปี น้อยสุดสามเดือน พวกเขาก็จะกลับมา”
ในมือของหวงฝู่อี้เซวียนมีองครักษ์ลับสามพันนาย เมิ่งเชี่ยนโยวมีร้านบะหมี่มันฝรั่งอยู่ทั่วรัฐ เมื่อพวกเขาพูดเช่นนี้ หวงฝู่อวี้ก็เบาใจ จึงกลับเรือนของตนไปพร้อมกับเจียงจิ่น นำเงินมาสองหมื่นตำลึง เสร็จแล้วก็มาที่เรือนหลัก นำเงินมาให้กับพระชายาฉี “เสด็จแม่ เงินเหล่านี้ท่านเก็บไว้ให้ดีนะขอรับ เอาไว้ใช้ระหว่างทาง”
พระชายาฉียิ้ม แล้วใส่กลับคืนไปในมือของเจียงจิ่น “ส่วนกลางมีเงินมากมาย พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าให้มาไม่น้อย พวกเจ้าเก็บส่วนนี้เอาไว้เถอะ”
ถ้าหากพูดเรื่องเงินในจวนแห่งนี้ หวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นคู่นี้มีเงินน้อยที่สุด พระชายาฉีต้องไม่รับเงินของพวกเขาแน่นอน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เงินที่จวนอ๋องมี ใช้เท่าไรก็ใช้ไม่หมด ไม่จำเป็นที่จะต้องรับเงินของพวกเขามา
เจียงจิ่นยิ้มแล้วเอาเงินยื่นคืนให้กับพระชายาฉี “เสด็จแม่เจ้าคะ นี่เป็นน้ำใจของพวกเรา ท่านรับไว้เถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นข้ากับท่านพี่คงไม่สบายใจ”
พระชายาฉีจึงไม่ได้อิดออด ยิ้มแล้วรับไว้
ทุกอย่างพร้อมเสร็จ จนถึงเดือนสอง พอผ่านวันเกิดของหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ไป ก็เลือกวันที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส ท่านอ๋องฉี พระชายาฉี หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ขึ้นรถม้าคันใหญ่ที่สั่งทำมาเป็นพิเศษ ออกจากเมืองหลวงไปอย่างเงียบๆ ในขณะเดียวกัน หวงฝู่อี้เซวียนก็ประกาศว่า ท่านอ๋องฉีกับพระชายาไม่สบาย ไม่รับแขกเป็นการชั่วคราว อีกทั้งลูกสาวทั้งสอง ก็โตเป็นสาวแล้ว จึงไม่ไปกั๋วจื่อเจี้ยน อยู่บ้านเรียนงานเย็บปักถักร้อย แล้วคอยดูแลท่านอ๋องฉีกับพระชายา
เกิดเป็นคน ต้องมีเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ตอนแรกคนในเมืองหลวงก็ไม่ได้เอะใจอะไรมาก แต่พอเวลาผ่านไปนานวันเข้า หนึ่งเดือนผ่านไป ก็ไม่เห็นท่านอ๋องฉีและพระชายาและสาวน้อยทั้งสอง คนที่คิดร้ายก็เริ่มคาดเดา และหนึ่งในนั้นก็มีนายท่านอู่โหว
ตั้งแต่ท่านอ๋องฉีไปหาเรื่องถึงที่เมื่อครั้งก่อน จวนของตนก็ตกต่ำ แม้จะรายงานฝ่าบาทไปแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นมาเลย นายท่านอู่โหวเจ็บแค้นเคืองโกรธเป็นอย่างมาก คอยหาโอกาสแก้แค้นมาโดยตลอด กำชับให้คนคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของจวนอ๋องฉีไว้ ดูว่ามีโอกาสเหมาะสมที่จะลงมือหรือไม่ ดังนั้น พอได้ฟังรายงานของบ่าวรับใช้จบ ก็รู้ทันทีว่ามันผิดปกติ
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 74 เงาลึกลับ
หวงฝู่จิ้งนั่น แข็งแรงจะตายไปใครก็รู้ แม้จะมีป่วยบ้าง แต่นี่ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว ควรจะหายดีได้แล้ว จะไม่ออกจากบ้านนานขนาดนั้นเลยหรือไร แล้วหลานสาวสองคนนั่น แต่ก่อนก็ไปจวนเมิ่งที่นอกเมืองนั้นอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว จะต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ๆ ไม่ได้แค่ป่วยแค่นั้นหรอก
คิดได้ดังนั้น นายท่านอู่โหวจึงสั่งให้คนไปตามนายน้อยมา แล้วบอกในสิ่งที่ตนคาดเดากับเขาอย่างลับๆ
นายน้อยโหวรีบลุกขึ้น ถามด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อหมายความว่าหวงฝู่จิ้งนั่น ไม่ได้อยู่ที่จวน แต่ออกไปข้างนอกงั้นรึ”
“เป็นไปได้ เจ้ารีบส่งคนไปสืบมาเดี๋ยวนี้ ดูสิว่าเจ้าหวงฝู่จิ้งมันอยู่ที่จวนหรือไม่”
คุณชายตอบรับ แล้วรีบส่งองครักษ์เงาของตนออกไปทันที
แต่จวนอ๋องฉีมีหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวดูแลอยู่ ไม่มีอะไรเล็ดลอดไปได้หรอก อย่าว่าแต่นายประตูเลย ขนาดแม่บ้านที่คอยออกไปซื้อผักยังไม่ปริปากเรื่องในจวนเลยสักนิด การไปสืบครั้งนี้ เลยใช้เวลาค่อนข้างนาน
ส่วนพวกท่านอ๋องฉีเที่ยวเหนือล่องใต้กันไปแล้ว
อากาศตอนสิ้นเดือนสาม ทางเหนือจะเป็นฤดูปลายหนาว ตอนนี้จึงเริ่มอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว ดอกไม้ใบหญ้าเริ่มผลิดอกออกใบ แต่ทางใต้อากาศค่อนข้างร้อน ทุกคนเปลี่ยนเป็นเสื้อบางๆ นั่งกินลมชมวิวทิวทัศน์กันในรถม้า
ระหว่างการเดินทาง ไม่ได้มีเพียงหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ดีใจเท่านั้น ขนาดพระชายาฉียังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ราวกับเป็นสาววัยรุ่นแรกแย้ม
ท่านอ๋องฉีได้แต่ยิ้มมองพวกนาง เป็นรอยยิ้มแห่งความพอใจอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตเขา อยู่แต่ในเมืองหลวง คอยช่วยเหลือเสด็จพี่ดูแลอาณาประชาราษฎร์ จนเกือบจะเสียพระชายาและลูกชายของตนไป มาวันนี้ พอวางทุกอย่างลง แล้วเดินออกมาจากจุดนั้น เพิ่งจะรู้ว่าโลกมันกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แล้วยังได้เห็นอีกมุมหนึ่งของพระชายาอีกด้วย พอนางเห็นอะไรแปลกตาก็จะร้องเรียกออกมาพร้อมกับเด็กๆ พอเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ก็จะถามออกมาด้วยความสงสัย แล้วยังได้ทำตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดาที่เดินไปเลือกซื้อของต่างๆ ที่ตนเองชอบ และสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งของเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ซื้อให้เขาทั้งนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีค่าราคามาก แต่มีคุณค่าทางจิตใจ แสดงให้เห็นว่านางมีแต่เขาทั้งหัวใจ ขนาดหลานสาวทั้งสองยังเป็นรองลงมา
คิดได้เช่นนี้ มุมปากของท่านอ๋องฉีก็ยกขึ้นยิ้มออกมามากกว่าเดิมเสียอีก แล้วเงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มขึ้น มองพระชายาฉีด้วยสายตาที่แสนอ่อนโยน
พอรู้สึกได้ถึงสายตาของท่านอ๋องฉี พระชายาฉีก็หน้าแดง หลังจากเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาคราหนึ่ง ก็พูดกับหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ ที่นี่ดูคึกคัก พวกเราลงไปเดินเล่นกันเถอะ”
ทั้งสองคนอดใจแทบไม่ไหวแล้ว ตอบรับทันที แล้วเปิดม่านรถม้าลง เสร็จแล้วก็ยื่นมือมาประคองพระชายาฉีลงจากรถม้า
ท่านอ๋องฉีจะลงไปด้วย แต่พระชายาฉีห้ามเขาไว้ว่า “ท่านพี่ ที่นี่คนเยอะ ท่านนั่งรอในรถรอพวกเราไปเถิดเจ้าค่ะ” เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ สรรพนามการเรียกขานก็ถูกปรับเปลี่ยนไปด้วย ยิ่งทำให้ดูสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น
การที่ลงมาเดินเล่นเช่นนี้แม้ว่าท่านอ๋องฉีจะไม่ได้คัดค้านอะไร แต่นางรู้ว่าอย่างไรเสียเขาก็ยังไม่ชินกับการลงมาคลุกคลีกับชาวบ้าน จึงห้ามเขาเอาไว้
“ได้ พวกเจ้าระวังๆ หน่อยแล้วกัน ข้าจะไปรอพวกเจ้าตรงด้านหน้าที่คนน้อยๆ” ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้ดึงดัน พูดด้วยเสียงอ่อนโยน
พระชายาฉีพยักหน้า “เจ้าค่ะ พวกเราจะรีบดู แล้วรีบตามไป”
พระชายาฉีสั่งให้คนรถไปด้านหน้าก่อน แล้วพาเด็กทั้งสองเดินตลาดจนทั่ว แถมยังหยิบสิ่งของต้องตาต้องใจขึ้นมาดูตลอดเวลาอีกด้วย แต่ที่พวกเขาไม่ได้สังเกตก็คือ มีชายหนุ่มคนหนึ่งคอยจ้องมองพวกนางอยู่ห่างๆ
เมื่อเห็นท่านอ๋องฉีนั่งรถม้าออกไปแล้ว คุณชายหนุ่มน้อยคนนั้นก็แสยะยิ้มออกมา แล้วโบกมือให้กับคนที่อยู่ด้านหลัง
แล้วก็มีชายฉกรรจ์เดินออกมา โค้งคำนับอยู่ด้านหน้าเขา แล้วเรียก “เจ้านาย!”
“รู้หรือยังว่าต้องทำอย่างไร” วันรุ่นคนนั้นยืนตัวตรง มีรังสีผู้ทรงสง่าแผ่ออกมา น้ำเสียงไพเราะ แต่มีความดุดันซ่อนอยู่
“ข้าน้อยทราบขอรับ!”
“ไปเถอะ จัดการให้รวดเร็ว อย่าให้พวกนางจับผิดสังเกตได้”
“ขอรับ!”
คุณชายผู้นั้นตอบรับ แล้วโบกมือ
เสร็จแล้วก็มีออกมาอีกสามคน แล้วเดินตามพวกพระชายาฉีไป
พระชายาฉีไม่รู้มาก่อนว่าชาวบ้านจะมีของเล่นแปลกๆ มากมายขนาดนี้ ขณะนั้นก็กำลังถือตะกร้าที่สานด้วยฟางขึ้นมาแล้วชมไม่ขาดปาด “เมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ ดูนี่สิ ตะกร้าเหล่านี้สวยยิ่งนัก ทั้งๆ ที่ทำมาจากหญ้าฟางเท่านั้น”
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เพิ่งเคยเห็น เลยตื่นตาตื่นใจมาก “สวยมากจริงๆ ท่านย่าเจ้าคะ พวกเราซื้อได้หรือไม่”
“ได้สิ” พระชายาฉีตอบรับ แล้วหันไปหาเจ้าของร้าน “เถ้าแก่ ตะกร้านี้เท่าไหร่รึ”
เจ้าของร้านทำค้าขายที่นี่มานาน พอฟังสำเนียงของทั้งสาม มองเสื้อผ้าที่พวกนางสวมใส่ ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกคนรวย หลังจากที่คิดเสร็จ ก็ชูขึ้นมาห้านิ้ว “ห้าสิบตำลึง!”
พูดจบ ก็ลุ้นมองทั้งสามคน เพราะกลัวว่าพวกนางจะมองออกว่าตนขายเกินราคา จริงๆ แล้วตะกร้าพวกนี้ขายในราคาปกติอยู่ที่สิบห้าตำลึง เพราะฟาง ที่ไหนก็มี ไม่ได้มีต้นทุนอะไร เขาเสียแค่ห้าตำลึงในการเก็บมาเท่านั้น
แค่ห้าสิบตำลึง พระชายาฉีกำลังจะตอบรับ แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ชิงพูดเสียก่อนว่า “ห้าสิบตำลึงแพงเกินไป ถูกกว่านี้หน่อยเถอะ”
พอเห็นพวกนางถือของไม่ปล่อย เจ้าของร้านก็คิดในใจ ส่ายหน้า “แม่นาง ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ ท่านดูสิ งานฝีมือแบบนี้ วิธีการแบบนี้ คนที่บ้านข้าใช้เวลาตั้งสามวันกว่าจะได้มาอันหนึ่งเชียวนา”
เจ้าของร้านข้างๆ ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อยากจะเกลียดเขาจริงๆ นี่มันของง่ายๆ ให้เมียเขาทำแค่ครึ่งวันก็ได้สองอันแล้ว แต่เขากลับทำมาเป็นบอกว่าใช้เวลาทำตั้งสามวัน แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงเขาหรืออะไร ของซื้อของขาย มันขึ้นอยู่กับความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย แล้วอีกอย่างแม่นางกลุ่มนี้ดูท่าแล้วก็คงรวยไม่น้อย นานๆ ทีจะมีคนรวยๆ มาซื้อของ อีกอย่าง เจ้าของร้านก็ไม่ได้โลภมาก แค่ห้าสิบตำลึงเอง สำหรับพวกนางแล้ว ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก
หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า แล้วทำทีต่อรองอย่างชำนาญ “สามสิบตำลึงเท่านั้น มากไปกว่านี้พวกเราไม่เอาแล้ว” ก่อนที่พวกนางจะออกเดินทาง พวกนางศึกษามาก่อนแล้วว่าสินค้าแผงลอยตามตลาดแบบนี้ สามารถต่อรองราคาได้ อีกทั้งนางยังทำแบบนี้มาตลอดทางอีกด้วย
เจ้าของร้านข่มความตื่นเต้นเอาไว้ ส่ายหน้า โบกมือ “ไม่ได้ๆ น้อยเกินไป ต่ำสุดได้แค่สี่สิบห้าตำลึง”
ก็นึกว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะให้สักสี่สิบตำลึง เพราะเห็นแม่นางผู้นี้ชอบตะกร้านี้ยิ่งนัก แต่ผิดคาด เพราะหวงฝู่เย่าเย่ว์พูดกับพระชายาฉีว่า “ท่านย่า พวกเราไม่เอาแล้ว เดี๋ยวรอกลับไปก่อน แล้วข้าจะสานให้ท่านนะเจ้าคะ”
“อ่อ ดีเลย” พระชายาฉีเห็นด้วยแล้ววางลง
ไม่ใช่ว่านางสนใจเงินไม่กี่สิบตำลึงนั้นหรอก แต่สนใจท่าทางการต่อรองราคาของหลานสาวตนที่มันแปลกตาต่างหาก
“ไปกันเถอะ!” หวงฝู่เย่าเย่ว์จงใจพูดขึ้นมา
พระชายาฉีกับหวงฝู่สือเมิ่งกำลังจะหันกลับ
เจ้าของร้านก็รีบพูดขึ้นมาว่า “สามสิบก็สามสิบ ขายก็ขาย”
ทั้งสามคนหยุด หวงฝู่เย่าเย่ว์หยิบตะกร้าใบนั้นขึ้นมาใหม่ ใส่มือของพระชายาฉี “ท่านย่า นี่ของท่าน เดี๋ยวข้าจ่ายเองเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีรับไว้
หวงฝู่เย่าเย่ว์หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา เปิดออก แล้วหยิบเหรียญออกมานับให้กับเจ้าของร้านสามสิบอัน
“แม่นาง ต่อรองเก่งยิ่งนัก ของๆ ข้ายังไม่เคยขายราคานี้มาก่อนเลย” ในขณะที่เจ้าของร้านรับเหรียญมา ก็พูดพึมพำออกมาด้วยความเสียดาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินเข้า ก็ดีใจเป็นอย่างมาก เก็บกระเป๋าสตางค์ห้อยไว้ที่เอว แล้วพยุงพระชายาฉีเดินออกไป
หวงฝู่สือเมิ่งที่ตามอยู่ด้านหลังได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า
ทั้งสามคนเดินไปไม่เท่าไร ก็มีชายฉกรรจ์เดินเข้ามาทางด้านหน้า ผ่านหวงฝู่เย่าเย่ว์ไป แล้วกระตุกกระเป๋าสตางค์ของนางอย่างแรง แล้ววิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกมีแรงกระตุก ใช้มือคลำดู พบว่ากระเป๋าสตางค์หายไปแล้ว จึงรับหันกลับมาดู พอเห็นกระเป๋าสตางค์ของตนอยู่ในมือชายผู้นั้น ก็ปล่อยพระชายาฉี วิ่งตามชายผู้นั้นไป “กลางวันแสกๆ แบบนี้ ยังจะกล้าดีมาขโมยกระเป๋าสตางค์ของข้าอีกงั้นรึ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
พอหวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกตัว ก็ยื่นมือออกไปห้ามนาง แต่จับนางไว้ไม่ทัน ได้แต่ยืนมองนางวิ่งออกไปต่อหน้าต่อตา เลยตะโกนว่า “เย่ว์เอ๋อร์ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ กระเป๋าสตางค์น่ะไม่เอาก็ได้”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เจอขโมย หวงฝู่เย่าเย่ว์นึกสนุก จะฟังที่นางพูดได้อย่างไรกัน ในหัวมีแต่ความคิดจะจับขโมยนั่นให้ได้
พระชายาฉีก็ร้อนใจ เห็นนางวิ่งไปไกล จึงบอกหวงฝู่สือเมิ่ง “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าไปตามเย่ว์เอ๋อร์ อย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับนาง”
ให้พระชายาฉีอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นเคยแบบนี้ หวงฝู่สือเมิ่งวางใจไม่ลง แต่หากไม่ตามเย่ว์เอ๋อร์ แล้วนางเจอ… … หวงฝู่สือเมิ่งร้อนใจจนเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก จึงกัดฟันบอกว่า “ท่านย่า ท่านอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน ข้าจะไปตามเย่ว์เอ๋อร์กลับมาเจ้าค่ะ”
“ดีๆ รีบไปเถอะ!” พระชายาฉีเร่งนาง หวงฝู่สือเมิ่งจับชายกระโปรงขึ้น แล้ววิ่งตามหวงฝู่เย่าเย่ว์ไป แต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก็ไม่เห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว จึงยืนอยู่กับที่ตะโกนไปรอบๆ ว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ เจ้าอยู่ไหน”
ไม่มีคนตอบรับ
ตอนนี้หวงฝู่เย่าเย่ว์ตามมาจนจำทางไม่ได้แล้ว กว่านางจะรู้สึกตัว ก็มาถึงบนถนนที่ไร้ซึ่งผู้คน ชายฉกรรจ์เหล่านั้นจึงล้อมนางเอาไว้
ชายผู้นั้นที่ขโมยกระเป๋าสตางค์ของนางก็โยนกระเป๋าทิ้ง ทำท่าทางนักเลง แล้วพูดกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยท่าทางป่าเถื่อน “นังหนู ไม่เลวเลยนี่ ตามข้ามาได้ตั้งไกล”
“เจ้าก็ร่างกายกำยำแข็งแรงดีนี่ ทำไมไม่ไปทำงานหาเงินเล่า กลับมาเป็นโจร หน้าไม่อาย” หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากสั่งสอนเขาให้เข็ดหลาบ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ถึงด่าออกไปได้เพียงหน่อยเดียว
ชายผู้นั้นหัวเราะออกมา “ศักดิ์ศรีงั้นหรือ คืออะไรกัน กินได้งั้นรึ ข้าขอแค่ได้กินอิ่ม อะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ” พูดจบ ก็มองไปที่เรือนร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยสายตาประสงค์ร้าย และไม่รู้จักพอ
เคยโดนไปแล้วครั้งหนึ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์คุ้นเคยกับสายตาเช่นนั้นของเขา เลยถอยหลังลงไป ใจดีสู้เสือพูดออกมาว่า “เจ้ากล้างั้นรึ กลางวันแสกๆ ไม่เกรงกลัวกฎหมายเลยหรือไง”
ชายผู้นั้นหัวเราะออกมาราวกับได้ยินเรื่องตลกอย่างใดอย่างนั้น “โอ้โห นี่ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าก็รู้จักกฎหมายด้วย มานี่ๆ บอกข้าที กฎหมายคืออะไร บอกให้ข้าฟังหน่อยสิ”
ชายที่เหลืออีกสามคนก็หัวเราะตามๆ กัน
เสียงหัวเราะที่แสนน่ากลัวและเต็มเปี่ยมไปด้วยอันตราย
หวงฝู่เย่าเย่ว์มองไปที่กระเป๋าสตางค์ที่ส่ายไปส่ายมาในมือของชายผู้นั้น แล้วกระโจนเข้าไปด้านหน้าเขา เพื่อจะแย่งคืนมา
ชายผู้นั้นคิดไม่ถึงว่านางจรวดเร็วถึงเพียงนี้ ขณะที่กำลังตกใจ ตัวก็ถอยหลังลงไปด้วย หลบการโจมตีของนาง แล้วพูดว่า “โอ้โห ใช่ย่อยเลยนะเจ้าเนี่ย วันนี้ข้าคงโชคดี ถ้าจับเจ้าไปให้หอนางโลมฟางหวาล่ะก็ จะต้องได้ราคาดีแน่นอนเลยล่ะ”
พูดจบ อีกสามคนก็ล้อมตัวของหวงฝู่เย่าเย่ว์เอาไว้
หวงฝู่เย่าเย่ว์เห็นดังนั้น ก็รู้ว่าหนึ่งต่อสี่ ตนกำลังเสียเปรียบ รวบรวมสติ พุ่งตัวเข้าโจมตีชายคนนั้น ใจนึกว่า แค่จับเขาได้ เอาเขาเป็นตัวประกัน คนที่เหลือก็คงไม่กล้าเข้ามา
ชายคนนั้นไม่ทันได้โต้กลับ ก็ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ใจ รีบเข้าไปเกือบจะจับตัวชายผู้นั้นได้
ชายผู้นั้นก็รีบตะโกนด่าอีกสามคนว่า “พวกเจ้าสามคน เลี้ยงเสียข้าวสุกเสียจริง ยังไม่รีบเข้ามาช่วยข้าอีก”
ทั้งสามคนตอบรับ แล้วเข้าไปพร้อมๆ กัน
หวงฝู่เย่าเย่ว์กดดัน เลยพลาดโอกาสที่จะจับเจ้านั่น
พอเจ้านั่นยืนนิ่งได้ ปาดเหงื่อที่หน้าผากตน แล้ว ถุย ออกมา พูดด้วยความโกรธว่า “จับนางให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยให้นางหนีไปไหนไม่ได้ ข้าจะสั่งสอนนังเด็กนี่ให้รู้ว่า ที่ตรงนี้ มันถิ่นของใคร”
อีกสามคนก็แค่ลูกกระจ๊อก ต่อสู้เป็นแค่ไม่กี่กระบวนท่า อีกทั้งยังไม่คล่องแคล่วอีกด้วย ตอนแรกหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้เปรียบ เลยทำให้ความกดดันนั้นได้คลายลงบ้าง
แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง สู้กันไปสิบกระบวนท่า หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เริ่มหายใจไม่ทัน อีกทั้งยังล้มไม่ได้เลยสักคน แล้วเจ้านั่นก็ได้สติ เข้ามาร่วมด้วย ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยพอสมควร
คุณชายวัยรุ่นเมื่อครู่นี้ยืนมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ไม่ไกลนัก สายตามีความอำมหิต ราวกับอยากจะเอาหวงฝู่เย่าเย่ว์มาถลกหนังทั้งเป็นอย่างใดอย่างนั้น มือที่ไขว้หลังเอาไว้ จากที่กำไว้แน่นก็คลายออก แล้วก็กำเข้าไปอีก ทำเช่นนี้หลายครั้ง แล้วก็ตัดสินใจจะเดินไปที่เกิดเหตุตรงนั้น
เดินไปไม่เท่าไร ก็มีเสียงลมผ่านหูของตนไป เขายังไม่ทันได้รู้สึกตัว ก็มีองครักษ์ลับยืนอยู่ตรงหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว
คุณชายคนนั้นหยุด หรี่ตา แล้วมองไปรอบๆ
พอคนพวกนั้นเห็นองครักษ์ลับ แล้วเห็นรังสีความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวของพวกเขา ก็หยุดมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ
องครักษ์ลับคนหนึ่งก็ทำมือเคารพ แล้วพูด “ท่านหญิงขอรับ ท่านอ๋องรอไม่ไหว เลยให้พวกเรามาตามท่านกลับไปขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หยุด สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้า ชี้ไปที่กระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในมือเจ้านั่น แล้วบอกว่า “กระเป๋าสตางค์นั่นเป็นของข้า พวกเจ้าช่วยเอาคืนมาให้ข้าด้วย”
“ขอรับ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หันหลังกลับ อดไม่ได้ที่จะลูบอกตนเอง แล้วปลอบใจตัว เกือบไปแล้วไหมล่ะ ถ้าหากว่าองครักษ์ลับมาไม่ทันล่ะก็ วันนี้ข้าคงเละตุ้มเปะแน่ๆ
คุณชายคนนั้น พอเห็นนางหันหลังกลับ ก็รีบเข้าไปแอบทันที
หวงฝู่เย่าเย่ว์มองไม่เห็นเขา เดินไปตามถนนจนกระทั่งถึงปากทาง มองไปรอบๆ เกิดความสับสนเพราะไม่รู้จะเดินไปทางไหนต่อ
“ท่านหญิง ทางนี้ขอรับ พระชายากับท่านหญิงเมิ่งรออยู่ทางนั้นขอรับ” องครักษ์ลับที่ตามมาชี้ไปอีกทาง
“ขอบใจมาก” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบ เดินเลี้ยวไปตามทางที่เขาบอก แล้วก็เห็นหวงฝู่สือเมิ่งที่ยืนตะโกนเรียกอยู่กลางตลาดที่มีผู้คนมากมาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น