ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 68.2-75

ตอนที่ 68-2 เชือดไก่ให้ลิงดู

 

 


 


เมิ่งฉีกล่าวบรรเทาความหนักใจของเถ้าแก่เหล่านั้นว่า “ต่อไปจะมีข้ามาดูแลรับผิดชอบร้านค้าเหล่านี้ ถ้าพวกเจ้ามีเรื่องอะไรก็เข้ามาหาข้าก็พอ”


 


 


เห็นได้ชัดว่าทุกคนโล่งอก หลังจากที่กล่าวขอบคุณกันไม่หยุดแล้วก็แยกย้ายกันออกไป


 


 


ภายในห้องจึงเหลือเพียงเถ้าแก่ร้านแพรไหมกับพนักงานเท่านั้น แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็วางถ้วยน้ำชาลง กล่าวกับเถ้าแก่ว่า “ช่วงนี้พวกเจ้าปรับลดราคาผ้าไหมพวกนี้ลงแล้วขายออกไป อีกหลายวันข้าจะเอาสินค้าใหม่ให้พวกเจ้า ส่วนพวกเจ้าถ้าคิดจะอยู่ต่อก็ทำงานให้ดี ถ้าไม่อยากอยู่ต่อก็ออกไปได้ตอนนี้เลย”


 


 


หางานทำไม่ใช่เรื่องง่าย หลายวันที่ผ่านมาเถ้าแก่กับพนักงานต่างก็ขมวดคิ้วคิดหนัก เพราะคิดว่าจะไม่ได้ทำงานนี้อีก เวลานี้พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ก็ดีใจเสียแทบแย่ ต่างก็รับประกันว่าตัวเองจะอยู่ทำงานนี้อย่างดีที่สุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วก็บอกที่อยู่ของจวนให้เถ้าแก่รู้ กล่าวกับเขาว่า “พวกเจ้าไม่ต้องมาทุกวัน เจ้าดูแลรับผิดชอบร้านนี้ทั้งหมด นี่เป็นที่อยู่ของบ้านข้า ถ้ามีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้เจ้าก็ส่งคนมาแจ้งให้ข้าทราบก็พอ”


 


 


เถ้าแก่จดจำอย่างดี กล่าวด้วยความเคารพว่า “แม่นางวางใจได้ ข้าจะไม่ทำลายความไว้ใจของท่านเด็ดขาด”


 


 


“เป็นเช่นนี้ก็วิเศษที่สุด ถ้าพวกเจ้าจัดการกับผ้าไหมพวกนี้ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ถึงวันสิ้นปีข้าจะมีของรางวัลมอบให้พวกเจ้า ทุกคนได้รับเงินสามถึงห้าตำลึงต่างกันไป”


 


 


ไม่ต้องพูดถึงพนักงานเลย ขนาดเถ้าแก่ที่ทำงานให้กับพระชายารองมานานหลายปีก็ยังไม่เคยได้รับเงินรางวัลแม้แต่แดงเดียว พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอก ทุกคนต่างก็รู้สึกยินดีไม่น้อย เถ้าแก่ถามขึ้นว่า “แม่นางต้องการให้พวกเราลดราคาลงกี่ส่วนขอรับ?”


 


 


“สามถึงสี่ในสิบส่วนเถอะ จะกี่ส่วนให้เฉพาะเจาะจงไปนั้นก็ให้เจ้าตัดสินใจเอง เจ้าทำงานมานานมีประสบการณ์มากพอ ข้ามีคำขอเพียงข้อเดียว ไม่ว่าจะขายได้มากน้อยกี่ตำลึงก็ตามพวกเจ้าอย่าโลภ จะต้องทำบัญชีตามความเป็นจริง ถึงตอนนั้นข้าจะมาตรวจสอบบัญชี ถ้าข้ารู้ว่าบัญชีของพวกเจ้าไม่ถูกต้องแล้วล่ะก็ พวกเจ้าก็น่าจะรู้นะว่าจะมีจุดจบเช่นไร”


 


 


เหตุการณ์เมื่อสักครู่ยังติดตาพวกเขาทุกคนอยู่ และความโลภก็เป็นห้ามของเถ้าแก่ร้านทุกคน ถ้าถูกคนรู้เข้า ไม่เพียงแต่จะมีจุดจบที่ไม่ดี แต่ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าใช้ตัวเอง เถ้าแก่รู้เหตุผลข้อนี้ดี กล่าวรับรองขึ้นทันควันว่า “แม่นางสบายใจได้ขอรับ เรื่องที่ท่านเป็นห่วงไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไปพร้อมกับเมิ่งฉี เดินไปขึ้นรถม้าแล้วก็ออกเดินทางมุ่งกลับจวน


 


 


เถ้าแก่กับพนักงานต่างก็ส่งพวกเขาออกจากร้านด้วยความเคารพ มองดูรถม้าที่วิ่งไกลออกไป แล้วจึงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง เถ้าแก่กำชับพวกพนักงานว่า “เจ้านายคนใหม่ของเราเป็นผู้ที่ร้ายกาจมาก ต่อไปพวกเจ้าต้องทำงานให้ดี มิเช่นนั้นใครก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้”


 


 


ฉากเมื่อสักครู่นี้พวกพนักงานต่างก็เห็นเต็มๆ ตา จึงรู้ดีว่าเถ้าแก่บอกเพราะว่าหวังดีต่อพวกเขา ต่างก็พยักหน้าหงึกหงัก


 


 


ภายในรถม้า เมิ่งฉีกลับต่อว่าเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เจ้าดูเจ้าสิ เป็นสาวเป็นแส้แล้วยังชอบลงไม้ลงมือเหมือนแต่ก่อน…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอให้เขาพูดจบ ชูมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วก็ร้องว่าโดนใส่ร้าย “พี่รอง ข้าถูกใส่ร้าย ท่านก็เห็นแล้วว่าตั้งแต่ต้นจนจบข้ายังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ทั้งหมดเป็นฝีมือของชิงหลวนกับจู๋หลีต่างหากล่ะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งฉีทั้งขำทั้งโมโห “ที่พวกนางลงมือก็เป็นเพราะเจ้าสั่ง แล้วจะต่างกับที่เจ้าลงมือเองตรงไหน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบกลับว่า “แตกต่างสิเจ้าคะ นี่เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าตอนนี้ข้าที่เป็นน้องสาวของท่านเป็นกุลสตรีแล้ว”


 


 


เมิ่งฉีทั้งโมโหทั้งหัวเราะ ส่ายหน้าอย่างระอาใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำหน้าทะเล้นยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขา “พี่รองเจ้าคะ พวกเราซื้อกิจการตั้งหลายอย่างในครั้งเดียว มีแค่เราสองคนนั้นดูแลไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ มีเพียงต้องยืมกำลังให้พวกเขาช่วยเราดูแลถึงจะไหว แต่พวกเขาต่างก็รู้ว่าท่านเป็นคนที่มาจากที่อื่น เวลานานไปอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดได้ เดิมทีข้าคิดจะจัดการพวกเขาสักตั้ง ในเมื่อคนพวกนั้นเผอิญมาหาเรื่องถึงที่ ประจวบเหวาะกับที่ข้าจะเชือดไก่ให้ลิงดู เป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาก็จะช่วยเราดูแลกิจการกันแต่โดยดี อีกอย่างก็ทำให้คนอื่นที่มีแผนร้ายต่อกิจการของเขาจะได้เลิกคิดที่จะทำเช่นนั้น”


 


 


เมิ่งฉียิ้มลูบศีรษะของนาง “พี่รองรู้ความคิดของเจ้า แต่เจ้าทำเช่นนี้อีกไม่กี่วันเรื่องก็กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าแต่งงานกับอี้เซวียนจริง เหล่าคุณหนูฮูหยินจะใช้เรื่องนี้มาประณามเจ้าได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำหน้าด้าน กางมือยักไหล่แล้วยิ้มอย่างไม่ยอมรับ “ข้าไม่ได้ทำอะไรนี่เจ้าคะ ข้าก็แค่ยืนอยู่ที่นั่นมองดูสาวใช้ทุบตีคนโดยไม่ห้ามเท่านั้นเอง”


 


 


เมิ่งฉีลูบศีรษะของนางอีก “เจ้านี่นะ…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งทำหน้าผีใส่เขาอย่างดื้อรั้น เมิ่งฉีหัวเราะเสียงดังตลกท่าทางของนาง


 


 


นอกรถม้าชิงหลวนกับจู๋หลีได้ยินเสียงหัวเราะของเมิ่งฉีอย่างมีความสุขก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก


 


 


ถึงประตูหน้าจวน พอลงจากรถม้าก็เห็นฮั่วเซียงผิงที่เป็นสาวใช้ของฮั่วเซียงหลิงยืนอยู่ที่หน้าประตูกำลังยื่นหน้าเข้าไปมองภายในจวน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองอย่างขำๆ แล้วถามขึ้นว่า “แม่นางเซียงผิง ที่เจ้ามีวันนี้มีธุระอะไรหรือ?”


 


 


ฮั่วเซียงผิงสะดุ้งตกใจจากเสียงของนาง รีบหันกลับมาทันที สองมือถืออะไรบางอย่างซ่อนไว้ข้างหลัง น้ำเสียงตื่นเต้นพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “คะ คุณหนูเมิ่ง ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางที่พยายามปิดบังอะไรของนาง ยิ้มแล้วเดินไปหานางตรงหน้า “วันนี้ทำธุระเสร็จเร็ว ข้ากับพี่รองก็เลยกลับ” พูดไปก็มองที่หน้าประตูไปด้วย แล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “หลี่เอ้อร์ล่ะ ทำไมไม่อยู่เฝ้าที่หน้าประตู?”


 


 


“อ๋อ” สาวใช้รีบพูดขึ้นว่า “ข้ามาหานายน้อยเหวินเจ้าค่ะ เขาจึงไปช่วยตามให้ น่าจะใกล้ออกมาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งยิ้มพร้อมกับเรียกนาง “มีธุระอะไรแม่นางเซียงผิงก็เข้ามาคุยข้างในเถอะ”


 


 


เซียงผิงรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน ชี้ไปที่รถม้าข้างนอกแล้วรีบพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูเมิ่ง คุณหนูของเราให้ข้าเอายาชั้นดีมาให้นายน้อยเหวินเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวส่งให้นายน้อยเหวินแล้วข้าก็จะกลับไปรายงาน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้บังคับนาง กล่าวว่า “อีกประเดี๋ยวเหวินเปียวน่าจะออกมาแล้ว แม่นางเซียงผิงรอไปนะ ข้าจะเข้าไปก่อนแล้ว”


 


 


ฮั่วเซียงผิงพยักหน้าอย่างร้อนรน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีจึงเดินเข้าไปในจวน


 


 


ฮั่วเซียงผิงมองข้างหลังของพวกเขาแล้วก็ถอนหายใจ รู้สึกว่ามือที่ถือจดหมายอยู่มีเหงื่ออกมาจนเย็นชื้นไปหมด


 


 


เหวินเปียวพอได้ยินคนเฝ้าประตูมาเรียกก็คิดว่ามีธุระสำคัญถึงได้มาหาเขา รีบร้อนเดินตามคนเฝ้าประตูออกไปข้างนอก มองเห็นเมิ่งฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาก็ชะงักฝีเท้า ทักทายพวกเขาทั้งสองด้วยความเคารพ “แม่นาง คุณชายรอง พวกท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ”


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวดูไม่ดี บอกกับเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “พบเซียงผิงเสร็จแล้วก็มาหาข้าที่เรือนด้วย”


 


 


เหวินเปียวเห็นท่าทางของนางที่ดูเหมือนไม่สบายใจ คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น รีบกล่าวขึ้นทันทีว่า “แม่นางมีธุระอะไรก็สังข้ามาได้เลย ข้าไปทำเดี๋ยวนี้”


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวค่อยดูดัขึ้นมาบ้าง มองเขาอย่างมีความนัยแอบแฝงแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินกลับเรือนของตัวเองไป


 


 


เหวินเปียวรู้สึกไม่เข้าใจ มองคนเฝ้าประตูอย่างมึนงง


 


 


คนเฝ้าประตูก็ไม่เข้าใจความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยว มองหน้าเขาอย่างมึนงงเช่นกัน


 


 


ฮั่วเซียงผิงเห็นเหวินเปียวก็ตะโกนเรียกเขาที่หน้าประตู “นายน้อยเหวิน!”


 


 


เหวินเปียวรู้สึกตัวแล้วก็เดินไปถึงประตูอย่างเชื่องช้า


 


 


พอฮั่วเซียงผิงเห็นเขาดูดีขึ้นกว่าครั้งก่อนที่ตัวเองมาก็รู้สึกดีใจ ขนาดน้ำเสียงยังฟังดูดีใจขึ้นหลายส่วน “นายน้อยเหวินเจ้าคะ คุณหนูของเราให้ข้าเอายาชั้นดีมาให้อีก”


 


 


เหวินเปียวตอบกลับอย่างง่ายๆ ว่า “ขอบใจคุณหนูของพวกเจ้าที่ระลึกถึง ข้าเกือบจะหายดีแล้ว ยาพวกนี้เอากลับไปดีกว่า”


 


 


ฮั่งเซียงผิงโบกมือเป็นพัลวัน กล่าวทันควันว่า “คุณชายเหวิน ข้าเป็นเพียงสาวใช้ ถ้าทำงานที่คุณหนูมอบหมายไม่สำเร็จกลับไปต้องโดนลงโทษ ท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลยนะเจ้าคะ” พูดจบก็หมุนตัวเดินกลับไปที่รถม้าอย่างฉุกละหุก ถือยาขึ้นมากอดไว้ในอกแล้วก็รีบวิ่งกลับอย่างรวดเร็ว แล้วก็เอายาทั้งหมดส่งให้กับมือของเหวินเปียว


 


 


เหวินเปียวไม่มีทางเลือกจึงต้องรับทั้งหมดนั้นไว้


 


 


สุดท้ายฮั่วเซียงผิงเอาจดหมายวางไว้ด้านบนของยา กระซิบพูดเบาๆ ว่า “นายน้อยเหวินเจ้าคะ นี่เป็นจดหมายที่คุณหนูของเรามอบให้ท่าน ท่านต้องอ่านอย่างละเอียดนะ”


 


 


—————————-


 


 


* ชั้นวางต้นไม้(花架子)เป็นคำอุปมาว่าข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง 

 

 


ตอนที่ 69 ไถ่ตัวเหวินเปียว

 

 


 


ไม่รอให้เหวินเปียวมีปฏิกิริยาตอบสนอง ฮั้วเซียงผิงก็หันหลังวิ่งกลับขึ้นรถม้า สั่งคนรถให้รีบไป


 


 


เหวินเปียวมึนงงอีกครั้ง รู้สึกว่าสมองใช้การไม่ได้ ทำไมวันนี้ถึงมีแต่คนแปลกๆ


 


 


คนเฝ้าประตูเป็นคนซื่อ ถามออกไปโดยไม่คิด “พี่เหวินเปียว ให้ข้าช่วยเอาสมุนไพรเข้าไปข้างในหรือไม่”


 


 


เหวินเปียวตื่นจากภวังค์ ส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าจะหอบเข้าไปเรือนแม่นางเอง”


 


 


คนเฝ้าประตูรับคำ กลับไปยืนหน้าประตู


 


 


เหวินเปียวหอบสมุนไพรมาถึงเรือนเมิ่งเชี่ยนโยว จดหมายฉบับนั้นยังวางอยู่ด้านบน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีกลับเข้ามาในห้อง


 


 


สองวันก่อนที่สองนายบ่าวฮั้วเซียงหลิงมาแสดงความขอบคุณ เมิ่งฉีกลับไปเขียนจดหมายในห้องตัวเอง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมีสีหน้าผิดปกติ จึงเอ่ยปากถาม “น้องสาว เป็นอะไรไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะพูด กลับไม่รู้ว่าควรบอกเขาอย่างไร ได้แต่เม้มปากพูดว่า “ประเดี๋ยวเหวินเปียวเข้ามา พี่รองก็จะทราบเองเจ้าค่ะ”


 


 


ชิงหลวนยกน้ำชาเข้ามาอย่างรู้ความ วางไว้ตรงหน้าคนละถ้วย แล้วถอยออกไป


 


 


เหวินเปียวหอบสมุนไพรเดินเข้ามา ชิงหลวนรีบรายงาน “แม่นาง เหวินเปียวมาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“ให้เขาเข้ามา!” น้ำเสียงไม่สู้ดีของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมา


 


 


จูหลีแหวกม่านออกให้เหวินเปียวหอบสมุนไพรเดินเข้าไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตาไว แวบแรกก็เห็นจดหมายที่วางอยู่ด้านบน ขมวดคิ้วถาม “ที่อยู่ข้างบนนั้นคืออะไร”


 


 


เหวินเปียวตอบตามตรง “เป็นจดหมายที่คุณหนูฮั้วมอบให้ข้าขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าราบเรียบ ยังไม่รู้เนื้อความในจดหมายของเขา ก็ให้คลายโทสะลง ปล่อยตัวตามสบาย เอนหลังเข้าหาพนักพิง “หากเจ้าสะดวก เปิดอ่านต่อหน้าพวกเราเถอะ”


 


 


เหวินเปียวก็ไม่คิดมาก บรรจงวางสมุนไพรลงบนโต๊ะ เปิดจดหมายออกอ่านอย่างว่องไว ยังอ่านไม่ทันจบ หน้าก็เปลี่ยนสี เงยหน้าพิลึกพิลั่นมองเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง คือว่า…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำแล้ววางลง พูดกับเหวินเปียวเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “นายน้อยเหวิน เสน่ห์แรงไม่เบานะ”


 


 


เหวินเปียวหัวใจสั่นรัว สมองกระตุก “พลั่ก”ตกใจคุกเข่าลงกับพื้น “แม่นาง นี่ๆ ข้าๆ…”


 


 


“นายน้อยเหวินดีใจจนพูดไม่ออกเลยหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถามเยาะหยัน


 


 


เหวินเปียวตกใจโบกมือเป็นพัลวัน ลนลานอธิบาย “แม่นาง ข้าไม่รู้เลยว่าคุณหนูฮั้วจะมีความคิดเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นต่อให้ตีข้าให้ตาย ข้าก็ไม่มีทางออกไปพบสาวใช้ของนาง”


 


 


เมิ่งฉีคล้ายจะเข้าใจแล้วว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหอะไร มองเหวินเปียวแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร ยกถ้วยชาขึ้นนั่งดื่มเงียบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย้อมถามกลับ “ตอนนี้นายน้อยเหวินทราบแล้ว มีความคิดอย่างไรเล่า”


 


 


เหวินเปียวติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาหลายปี เมิ่งเชี่ยนโยวขานชื่อเต็มเขามาตลอด ไม่เคยทำเช่นวันนี้มาก่อน เอาแต่เรียกเขานายน้อยเหวิน เหวินเปียวรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหแล้ว หมายจะฉีกจดหมายในมือทิ้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงขึ้นอีก “นายน้อยเหวินคิดจะทำลายหลักฐานหรือ”


 


 


เหวินเปียวหยุดชะงัก ฉีกก็ผิด ไม่ฉีกก็ผิด ร้อนรนจนเหงื่อซึมเต็มหน้าผากแล้ว แม้แต่น้ำเสียงก็ผิดเพี้ยน “แม่นาง ต้องการให้ข้าทำอย่างไร”


 


 


“นี่เป็นเรื่องดีของเจ้า ข้าไม่กล้าขวางรั้ง เลี่ยงไม่ให้วันใดเจ้าได้เป็นลูกเขยสกุลฮั้ว จะย้อนกลับมาหาเรื่องข้าได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเนิบนาบ


 


 


สิ้นเสียงนาง เมิ่งฉีแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่


 


 


เหวินเปียวที่กำลังร้อนใจไม่ทันได้ตรึกตรองความหมายของนาง ร้อนรนพูด “แม่นางล้อข้าเล่นทำไม นางมีอายุไล่เลี่ยกับซงเอ่อร์ ข้าเป็นบิดานางได้แล้ว จะมีความคิดน่ารังเกียจเช่นนั้นได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งไม่เชื่อ โน้มตัวเข้าใกล้เหวินเปียว “ตอนนี้กระแสวัวแก่กินหญ้าอ่อนกำลังเป็นที่นิยมไม่ใช่หรือ มีชายชราวัยเจ็ดแปดสิบปีไม่น้อยรับภรรยาน้อยเป็นนิจ เจ้าที่อยู่ในวัยกลางคน จะหย่าแล้วแต่งใหม่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”


 


 


เหวินเปียวได้ฟังวาจานางยิ่งให้ร้อนรน “แม่นาง ท่านอย่าล้อข้าเล่นเลย แม้ข้าจะไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร แต่ก็มีความรับผิดชอบ ไม่มีทางหย่าร้างแล้วแต่งงานใหม่เด็ดขาด อีกทั้งตอนนี้ข้ามีสถานะเป็นทาสหลวง ไม่มีทางมีสถานะเปิดเผยในเมืองหลวงได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนตัวตรงพูดว่า “สถานะเป็นเรื่องเล็ก นายท่านฮั้วมีเงิน มีอำนาจ การเปลี่ยนสถานะใหม่ให้เจ้าเป็นเรื่องง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ”


 


 


เหวินเปียวเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เชื่อ ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาร้อนใจจนน้ำตาคลอเบ้า แล้ว “ต้องทำอย่างไรแม่นางถึงจะเชื่อว่าข้าไม่มีความคิดเช่นนั้น ขอเพียงท่านพูดออกมา เหวินเปียวจะทำตามทุกอย่างขอรับ”


 


 


เมิ่งฉีวางถ้วยชาในมือลง พูดไกล่เกลี่ยแทนเขา “เหวินเปียวอยู่กับพวกเรามาหลายปี เจ้ายังไม่เข้าใจว่าเขาเป็นคนอย่างไรหรือ เขาหาได้มีสันดานเช่นนั้นไม่ เจ้าอย่ากลั่นแกล้งเขาอีกเลย”


 


 


เหวินเปียวมองเมิ่งฉีด้วยความซาบซึ้งใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ พูดกับเหวินเปียวเสียงเย็น “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงฟังข้าให้ดี ข้าเกลียดพวกที่เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญ ทอดทิ้งภรรยาเป็นที่สุด หากเจ้ากล้าทำเรื่องที่ผิดต่อฮูหยินเจ้า ไม่ว่าเจ้าเปลี่ยนไปเป็นสถานะใดข้าก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”


 


 


เหวินเปียวรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ “แม่นางวางใจ ข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด”


 


 


“งั้นก็ดี เรื่องในวันนี้จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น จดหมายฉบับนี้เจ้าก็ห้ามเอ่ยกับผู้ใด เลี่ยงไม่ให้คนผู้นั้นพลั้งปากพูดออกไป เรื่องรู้ไปถึงหูคนทางบ้านเจ้า อีกทั้งจากนี้ห้ามพบกับคนสกุลฮั้วอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เหวินเปียวรับคำ พอเห็นจดหมายในมือ ก็รีบถามขึ้น “เช่นนั้นจดหมายนี้จะทำอย่างไรขอรับ”


 


 


“ทำลายทิ้งซะ ส่วนสมุนไพรพวกนั้น หากข้าดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์กับอาการพวกเจ้า ข้าจะให้คนนำไปให้”


 


 


เหวินเปียวรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “ลุกขึ้นเถอะ ไปบอกคนเฝ้าประตู ต่อไปหากคนในสกุลฮั้วมาหาเจ้า ให้เขาปฏิเสธไปทันที”


 


 


เหวินเปียวรับคำ ลุกขึ้น เร่งฝีเท้าเดินออกไป เดินมาถึงลานเรือนถึงถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ ไม่เพียงรู้สึกเย็นชื้นไปทั้งแผ่นหลัง ทั้งเกิดอาการเจ็บแสบบาดแผลทั่วทั้งร่าง ตำหนิว่าคุณหนูฮั้วที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตนเองชุดใหญ่


 


 


เมิ่งฉีได้ยินเสียงฝีเท้าเหวินเปียวจากไปไกล ถึงยิ้มพูด “ครั้งนี้เจ้าทำเหวินเปียวตกใจแย่แล้ว คาดว่าต่อไปจะต้องเอาแต่หลีกลี้หนีหน้าคุณหนูฮั้วเป็นแน่”


 


 


“เช่นนั้นดีที่สุด สกุลฮั้วมีอำนาจมากในเมืองหลวง เหวินเปียวไปเกี่ยวข้องกับนางไม่ใช่เรื่องดี”


 


 


เมิ่งฉีถามอีกว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูฮั้วมีความรู้สึกเช่นนั้นต่อเหวินเปียว”


 


 


“คนที่มองออกมองแวบเดียวก็รู้แล้ว ฮั้วเซียงผิงเองมีอายุย่างสิบแปดปีแล้ว ยังแต่งตัวเป็นสาวแรกรุ่น แสดงว่านางยังไม่แต่งงาน และต่อให้เหวินเปียวมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อนาง นางก็ไม่ควรจะมากับสาวใช้ตามลำพัง กระทำการโฉ่งฉ่าง มาหาเหวินเปียวโดยไม่ปิดบัง หากมีผู้คิดอกุศลเห็น แล้วนำไปพูดต่อ ชื่อเสียงของนางไม่ย่อยยับหมดสิ้นหรือ ท่านต้องรู้ว่า ที่นี่คือเมืองหลวง ชื่อเสียงเปรียบได้ดั่งชีวิตของเหล่าคุณหนูชนชั้นสูง ในเมื่อนางไม่แยแส ก็แสดงว่านางมีใจให้เหวินเปียว ไม่สนใจคำครหานินทาของผู้อื่น”


 


 


เมิ่งฉีเติบโตในชนบท แม้หลายปีมานี้จะออกไปทำการค้าในหลากหลายพื้นที่ แต่ก็ได้เจอแต่ผู้ชาย ไม่เข้าใจความนึกคิดเหล่านี้ของหญิงสาวเลย พอได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูด ก็อ้าปากค้าง นั่งนิ่งพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสสอนเชิงเขา “พี่รอง ท่านมักจะต้องออกเดินทาง ทางที่ดีอย่าไปข้องแวะกับหญิงสาวเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากไม่ระวังหาเหามาใส่หัว ถึงตอนนั้นพี่สะใภ้รองถือกระบองไล่ตีท่านไปทั่วหมู่บ้าน ระวังจะไม่มีใครช่วยท่าน”


 


 


ภรรยาเมิ่งฉีคือบุตรสาวของเถ้าแก่หวัง ซึมซับการเจรจาการค้าจากเถ้าแก่หวังมาแต่เยาว์ กระทั่งอายุได้สิบเอ็ดสิบสองปีก็เริ่มทำการค้าเอง จึงมีนิสัยดุดันเด็ดขาด แม้ในยามปกติจะดูอ่อนโยนเป็นลูกคุณหนู มีความเป็นแม่ศรีเรือน แต่หากทำให้นางโมโห ต่อให้ต้องวิ่งตามไปสามลี้ก็ต้องตีให้สาแก่ใจ พอคิดถึงภาพตามคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งฉีก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่รู้ตัว ลุกลนพูดว่า “ข้ารู้แล้ว ต่อไปที่ไหนมีผู้หญิงข้าจะหลบลี้ให้ไกล ต่อให้เกิดเรื่องกับพวกนางข้าก็จะไม่เข้าไปช่วย”


 


 


“พู่” เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะ “พี่รอง ไม่ร้ายแรงขนาดนั้น ยามต้องช่วยเหลือก็ยังต้องช่วยเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งฉีโบกมือ “ไม่ได้ๆ ผู้หญิงในเมืองหลวงเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ข้าหลบให้ไกลดีกว่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำอีกครั้ง ลุกขึ้นเปิดกล่องสมุนไพรบนโต๊ะออก มองดูสมุนไพรด้านใน ส่งเสียงร้องจิ๊ๆ “คุณหนูฮั้วไม่เสียดายเงินเลยสักนิด สมุนไพรหายากพวกนี้อย่างน้อยก็ต้องมีราคาหลายพันตำลึง ดูท่าความรู้สึกที่มีให้เหวินเปียวจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว”


 


 


เมิ่งฉีไม่กล้าโต้ตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเลือกสมุนไพรที่เหมาะกับการบำรุงร่างกายออกมา สั่งชิงหลวนนำไปให้เหวินเปียว กำชับพวกเขาให้นำเข้าครัวไปต้มกิน แล้วสั่งจูหลีนำสมุนไพรที่เหลือไปเก็บให้ดี


 


 


สองพี่น้องถึงมีเวลาหารือเรื่องที่จะทำต่อจากนี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งฉี นางต้องการเปลี่ยนร้านผ้าแพรที่มีในตอนนี้เป็นสาขาร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียง พรุ่งนี้จะเข้าไปปรึกษากับหลงจู๊ร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียง


 


 


เมิ่งฉีรู้ว่าร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียงเป็นของครอบครัวซุนเหลียงไฉ และรู้ว่าซุนเหลียงไฉฝากฝังร้านผ้าแพรนี้ไว้กับนางแล้ว จึงไม่คัดค้าน


 


 


บ่ายวันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขามีธุระ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หารู้ไม่ว่า หวงฝู่อี้เซวียนในตอนนี้แทบจะฆ่าคนได้อยู่แล้ว


 


 


ที่แท้หลังจากได้ยินที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเมื่อวาน พอหวงฝู่อี้เซวียนกลับถึงจวน ก็ให้คนสนิทไปสืบความ จนได้ความว่าพระชายารองนำเงินของจวนให้เฮ่อเหลี่ยนไปปล่อยกู้ นี่เป็นความผิดมหันต์เกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของคนหลายร้อยชีวิตภายในจวน หวงฝู่อี้เซวียนทั้งโมโหและให้กังขา พระชายารองเอาความกล้าจากไหนมาทำเรื่องเช่นนี้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งขบคิดใคร่ครวญภายในห้องอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเก็บงำเรื่องนี้ไว้ ไม่บอกอ๋องฉีและพระชายาเอก รอดูว่าวันที่พระชายารองมอบสิทธิ์อำนาจคืนจะรวบรวมเงินส่วนกลางได้ครบหรือไม่ หากว่าครบถ้วน เขาจะยอมปล่อยนางไป หากว่าไม่ครบ ค่อยบอกเรื่องนี้แก่อ๋องฉี


 


 


วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีออกมาสำรวจโรงงานเมืองฝั่งเหนือ เห็นหลังคาซ่อมเสร็จสมบูรณ์ เหล่าคนงานกำลังเก็บทำความสะอาดเศษใบไม้ในลานเรือน หลังจากสั่งงานบ่าว ทั้งสองก็ตรงไปร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียง


 


 


ซุนเหลียงไฉเคยพาเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาหลายครั้ง ทั้งบอกหลงจู๊ว่า ช่วงระยะเวลานี้ตนเองจะมาไม่ได้ การค้าทั้งหมดภายในร้านให้เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนจัดการ หากหลงจู๊เจอปัญหาอะไร ให้มาขอให้นางช่วยแก้ไขให้


 


 


ทั้งสองมาถึงร้านผ้าแพร หลงจู๊ปฏิบัติกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างพินอบพิเทาราวกับเป็นนายท่านเจ้าของร้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องที่ตัวเองคิด ทั้งบอกหลงจู๊ว่า ร้านของตนเองจะติดป้ายชื่อร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียง ทำเป็นร้านสาขาของพวกเขา ราคาขายผ้าแพรก็เหมือนกับพวกเขา แต่การนำเข้าสินค้ากลับมีสองแบบ แบบแรกคือรับสินค้าที่มีราคาสูงกว่าสองเท่าของราคาทุนจากที่นี่ ไปขายที่ร้าน อีกแบบก็คือรับสินค้าในราคาทุนจากที่นี่ แล้วหารือกันว่าจะแบ่งกำไรกี่ส่วน


 


 


ร้านของเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งอยู่ในย่านที่ดีที่สุดของเมืองหลวง ซุนเหลียงไฉกำชับหลงจู๊มาหลายปีแล้ว ให้หาร้านในละแวกนั้นเปิดร้านสาขา แต่ก็ไม่เคยประสบจังหวะเหมาะ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ หลงจู๊ย่อมปีติยินดี พูดทันทีว่าวิธีที่สองเหมาะสมกว่า สำหรับการแบ่งสัดส่วนกำไรนั้น ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนจดหมายไปปรึกษากับซุนเหลียงไฉเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า บอกหลงจู๊ว่า ตนเองได้สั่งคนจัดเก็บผ้าแพรในร้านแล้ว ให้พวกเขาเตรียมสินค้าให้เรียบร้อย อีกสามเดือนก็จะเป็นวันปีใหม่ เป็นช่วงเวลาที่จะได้กอบโกยกำไรก้อนโต


 


 


หลงจู๊ทำการค้ามาหลายปี ย่อมเข้าใจตรรกะนี้ รีบพูดว่าในโกดังยังมีสินค้าคงคลังอยู่มาก หากร้านพวกเขามีพื้นที่ว่าง ให้ลำเลียงไปขายก่อน ส่วนเขาจะรีบสั่งสินค้าชุดใหม่ทันที


 


 


พอจัดการเรื่องเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีก็มาที่ร้านตัวเอง บอกข่าวนี้กับพวกเขา ทั้งสั่งพวกเขาให้จัดการผ้าแพรในร้านให้เสร็จโดยไว


 


 


ร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียงเป็นสถานที่ที่เหล่าเหนียงเหนียง กุ้ยเหรินในวังยังต้องส่งคนออกจากวังมาสั่งทำเป็นพิเศษ ทั้งเมื่อเอ่ยถึงไม่มีฮูหยินคุณหนูในเมืองคนไหนที่จะไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ บัดนี้ร้านของตนเองจะได้เป็นร้านสาขาของพวกเขา อย่าว่าแต่หลงจู๊ แม้แต่พนักงานก็พลันรู้สึกถึงสถานะที่เพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ ต่างยืนยันว่าจะรีบจัดแจงสินค้าในร้านให้เรียบร้อย เพิ่มพื้นที่ว่างออกมา


 


 


หลังจากสั่งการเรียบร้อย ทั้งสองก็นั่งรถม้ากลับจวน


 


 


หลงจู๊และพนักงานมองรถม้าค่อยๆ ไกลออกไป เกิดความกังขา สองพี่น้องนี้เป็นใครมาจากไหน ไม่เพียงมียอดฝีมือข้างกาย ยังได้เป็นคู่ค้ากับร้านดังอย่างร้านผ้าแพรอวิ๋นเสียงได้


 


 


ขบวนรถม้าเดินทางไปสามวันแล้ว คาดว่าจะต้องเพิ่งถึงบ้าน หากพักผ่อนหนึ่งคืน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาสามวันถึงจะกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวที่คิดว่าหลายวันนี้มีเวลาว่าง จึงให้ชิงหลวนไปร้านยาเต๋อเหริน บอกเหวินซื่อว่าตนเองเตรียมสิ่งของทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ให้ฮูหยินเหวินเข้ามารับการรักษาได้ทุกเมื่อ


 


 


ชิงหลวนรับคำ หันหลังเตรียมจะไปร้านยาเต๋อเหริน คนเฝ้าประตูก็เข้ามารายงาน “นายหญิง ด้านนอกมีคนบอกว่าเป็นนายท่านฮั้วมาขอพบขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักอึ้ง แล้วยิ้มขึ้นพลัน “ดูท่าสกุลฮั้วจะตัดสินใจยกบุตรสาวให้แต่งกับเหวินเปียวแน่แท้แล้ว บุตรสาวเขียนจดหมายไม่สำเร็จ บิดาจึงต้องเข้ามาด้วยตนเอง” สั่งการชิงหลวนทันที “เจ้ายังไม่ต้องไปร้านยาเต๋อเหริน ไปตามคุณชายรองออกมา” จากนั้นหันไปสั่งจูหลี “ไปบอกเหวินเปียวว่านายท่านฮั้วมาหา ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีอะไร จะต้องแสร้งทำเหมือนคนเจ็บเจียนตายให้ได้”


 


 


ทั้งสองรับคำ รีบเดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สั่งการ คนเฝ้าประตูไม่กล้าออกไป คอยยืนรับคำสั่งในลานเรือน


 


 


กระทั่งเมิ่งฉีเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวถึงสั่งเขา “เชิญนายท่านฮั้วไปที่ห้องรับแขก”


 


 


คนเฝ้าประตูรีบกลับไปหน้าประตู เชิญนายท่านฮั้วเข้ามาด้วยความอ่อนน้อม


 


 


หลังจากคนเฝ้าประตูออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็บอกเรื่องที่นายท่านฮั้วมาขอพบกับเขา พูดเสียงเย็นว่า “ข้าได้เปิดโลกทรรศน์แล้ว สกุลใหญ่โตกระทำการไม่เหมือนใครจริงๆ แม้แต่เรื่องคู่ครองของบุตรสาว บิดาก็มาเจรจาด้วยตนเองได้”


 


 


เมิ่งฉีเห็นนางคล้ายว่าจะเริ่มมีโทสะแล้ว พูดตักเตือน “จุดประสงค์การมาของนายท่านฮั้วยังไม่แน่ชัด บางทีอาจจะมาเยี่ยมเหวินเปียวอย่างบริสุทธิ์ใจ เจ้าอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ พวกเรารู้ให้กระจ่างก่อนค่อยว่ากันเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสูดลมหายใจเข้าลึก สะกดกลั้นโทสะลงไป ลุกขึ้นเดินออกมารอนายท่านฮั้วหน้าห้องรับแขก


 


 


นายท่านฮั้วตามคนเฝ้าประตูมาถึงห้องรับแขก เห็นชายหญิงอ่อนเยาว์คู่หนึ่งยืนหน้าประตู คิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นสองพี่น้องเมิ่งนายของเหวินเปียว จึงประสานมือเปล่งเสียงพูดว่า “คุณชายเมิ่ง แม่นางเมิ่ง ตัวข้ามารบกวนโดยพลการแล้ว”


 


 


เมิ่งฉีรีบโน้มตัวตอบรับ “นายท่านฮั้วทำพวกเราอายุสั้นแล้ว ผู้น้อยไม่อาจรับการคำนับนี้ได้”


 


 


นายท่านฮั้วหัวเราะร่วน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวประเมินเขา บุรุษในวัยห้าสิบปีเศษ รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าอ่อนโยนมีเมตตา ภูมิฐานสุภาพ ไม่มีมาดของพ่อค้าเลยแม้แต่น้อย ลอบชมเชยในใจ พ่อค้าที่มาถึงขั้นนี้ได้ ถือว่าหาได้ยากยิ่งนัก การที่สกุลฮั้วทำการค้าได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย


 


 


นายท่านฮั้วก็มองประเมินพวกเขาอย่างเงียบๆ


 


 


เมิ่งฉีผายมือเชื้อเชิญ “นายท่านฮั้ว เชิญด้านใน”


 


 


นายท่านฮั้วก็ไม่เกรงใจ ยกเท้าเดินเข้าไป บ่าวที่ยกของขวัญด้านหลังก็ตามเข้าไปด้วย หลังจากวางของขวัญลงบนโต๊ะ ก็ถอยออกไป


 


 


ทั้งสามนั่งดีแล้ว เมิ่งฉีสั่งสาวใช้ยกชาเข้ามา


 


 


นายท่านฮั้วเป็นคนตรงไปตรงมา พอสาวใช้ถอยออกไป ก็เอ่ยปากพูดทันที “ที่ข้ามาวันนี้ เพราะต้องการไถ่ตัวเหวินเปียวจากแม่นาง ไม่ว่าเงื่อนไขคืออะไรก็ตกลง” 

 

 


ตอนที่ 70 ข้อแลกเปลี่ยน

 

ไม่คิดว่านายท่านฮั้วมาถึงก็เอ่ยเรื่องไถ่ตัวเหวินเปียวทันที เมิ่งฉีตะลึงลาน เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเกร็ง


 


 


นายท่านฮั้วพูดต่อว่า “หลายวันมานี้ข้าให้คนสืบประวัติแม่นางเมิ่งแล้ว แม้จะไม่ละเอียดเจาะลึก แต่ก็ครอบคลุมเกือบทั้งหมด รู้มาว่าเจ้าซื้อเหวินเปียวและครอบครัวไว้ ในตอนที่พวกเขาทั้งหมดถูกส่งไปตำบลชิงซี อีกทั้งปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี เห็นพวกเขาเป็นดั่งคนในครอบครัว แม้เงื่อนไขที่ข้าเสนอให้ในวันนี้จะกะทันหันไปบ้าง แต่แม่นางเมิ่งก็รู้แล้วว่าเหตุผลคืออะไร ข้าจึงไม่ขอเก็บซ่อนอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับสู่สภาพปกติแล้ว ยิ้มพูดว่า “เมื่อนายท่านฮั้วสืบมาอย่างดีแล้ว ก็ควรจะรู้ว่าฮูหยินและบุตรของเหวินเปียวยังอยู่ที่บ้านข้า ไม่ทราบว่าการที่ท่านเอ่ยปากไถ่ตัวให้เหวินเปียวนี้เพื่อจุดประสงค์ใดบ้าง”


 


 


นายท่านฮั้วไม่ปิดบัง “แม่นางเมิ่งเป็นคนฉลาด คิดว่าวันที่บุตรสาวข้าเข้ามา เจ้าคงจะเห็นพฤติกรรมบางอย่างแล้ว หลิงเอ๋อร์เป็นบุตรสาวที่ฮูหยินข้ามีตอนอายุเกือบจะสี่สิบปี ก่อนหน้านี้พวกเรามีบุตรชายมาสามคนแล้ว ถือได้ว่ามีลูกตอนแก่ รักใคร่เอาใจดั่งไข่ในหิน ดังนั้นไม่ว่านางต้องการสิ่งใดพวกเราก็ไม่เคยปฏิเสธ โดยเมื่อห้าปีก่อน นายน้อยเหวินช่วยนางไว้ นางจดจำฝังใจ ภายหลังถึงวัยแต่งงาน นางกลับไม่ยอมหมั้นหมาย พอพวกเราเค้นถามถึงได้ยอมบอกว่าความคิดของตัวเอง ในตอนนั้นนายน้อยเหวินไม่รู้เป็นหรือตาย ข้าและฮูหยินทั้งโมโหและร้อนใจ เตรียมจะบังคับนางหมั้นหมาย ไม่คิดว่านางจะฉวยโอกาสตอนบ่าวเผลอ หมายจะปลิดชีวิตตัวเอง ข้าและฮูหยินกลัวจะเสียบุตรสาวคนนี้ไป จึงยอมตามใจนาง แต่ยื่นข้อเสนอว่า เมื่อนางอายุครบยี่สิบปี หากยังไม่มีข่าวของนายน้อยเหวิน นางจะต้องล้มเลิกความคิดนี้ ยอมแต่งงานแต่โดยดี ในตอนนั้นนี่เป็นเพียงแผนถ่วงเวลาของข้าและฮูหยิน ไม่คิดว่านายน้อยเหวินจะกลับมาจริงๆ ทั้งเกิดเรื่องราวใหญ่โต จนบุตรสาวข้ารู้ เข้ามาเอ่ยเรื่องนี้กับพวกเรา แม้พวกเราจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่มีทางเลือก วันนี้ข้าถึงต้องแบกหน้ามาขอไถ่ตัวคน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “รักแท้ของคุณหนูฮั้วช่างน่าเชิดชูยิ่งนัก”


 


 


นายท่านฮั้วเริ่มมีสีหน้าแดงเรื่อ


 


 


เมิ่งฉีกลัวนายท่านฮั้วจะไม่มีทางลง กำลังจะเอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวกลับถามต่อ “วันนี้นายท่านฮั้วมายื่นข้อเสนอไถ่ตัวเหวินเปียว ไม่ทราบว่าจะให้เอาฮูหยินและบุตรของเขาไปไว้ที่ไหน”


 


 


นายท่านฮั้วแสดงชัดว่าคิดถึงปัญหานี้ไว้แล้ว ตอบโดยไม่ลังเล “ข้าคิดไว้แล้ว หากแม่นางตอบตกลง ข้าจะไถ่ตัวพวกเขาทั้งหมด คืนสถานะเดิมให้พวกเขา”


 


 


“จากนั้นเล่า จะให้เหวินเปียวหย่าทอดทิ้งบุตร” เมิ่งเชี่ยนโยวเค้นถามต่อ


 


 


นายท่านฮั้วโบกมือเป็นพัลวัน “แม่นางเมิ่งเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน หากบุตรสาวข้าแต่งงานกับนายน้อยเหวิน จะอยู่ในฐานะภรรยารอง ไม่ให้เขาต้องหย่ากับฮูหยิน พวกเราไม่มีทางทำเรื่องใจไม้ไส้ระกำเช่นนั้นเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ “นายท่านฮั้วคิดว่าสิ่งที่ทำในตอนนี้มีคุณธรรมน่ายกย่องหรือ”


 


 


นายท่านฮั้วถึงกับสะอึก สีหน้าเริ่มบอกบุญไม่รับ “หนึ่งชายมากภรรยาเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งการแต่งงานกับสกุลเรา มีแต่จะส่งผลดีต่อนายน้อยเหวิน”


 


 


“ไม่ทราบว่านายท่านฮั้วมีภรรยากี่คนเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม


 


 


นายท่านฮั้วหน้าแดงก่ำ แสร้งกระแอมสองสามครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดอย่างไม่ไว้หน้า “ไม่แปลกที่นายท่านฮั้วไม่รังเกียจที่บุตรสาวจะแต่งเป็นภรรยารอง ที่แท้เพราะมีครอบครัวไม่สมประกอบ”


 


 


เมิ่งฉีตวาดนางทันควัน “น้องสาว ห้ามกล่าววาจาเช่นนี้”


 


 


โดนคำนี้เข้าไปทำให้นายท่านฮั้วเริ่มมีน้ำโห พยายามสะกดกลั้นข่มใจ ถึงฝืนพูดขึ้นว่า “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสาวที่ยังไม่ออกเรือน ข้าจะไม่เอาความกับคำพูดนี้ของเจ้า นายน้อยเหวินอยู่ที่ไหน เชิญเขาออกมาพูดจา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนอารมณ์ พูดอย่างไม่อินังขังขอบ “คงใกล้ตายแล้วกระมัง วันนี้ข้ายังไม่เห็นเขาเลย”


 


 


นายท่านฮั้วถลึงตัวลุกพรวด ร้องถาม “จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อวานสาวใช้กลับไปยังบอกว่าเห็นเขาดีขึ้นมากแล้ว อยู่ๆ จะใกล้ตายได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ไยดี “เมื่อนายท่านฮั้วทราบว่าสาวใช้ของท่านเข้ามา ก็น่าจะทราบจุดประสงค์การมาของนาง ข้าเกลียดคนโลเลเช่นเขาเป็นที่สุด แม้จะไม่ใช่ความผิดเขา ข้าก็จะไม่ปล่อยเขาไว้ จึงสั่งคนซ้อมเขา พวกเขาคงจะลงมือหนักไปหน่อย ได้ยินว่าพอถูกซ้อมเสร็จ เหวินเปียวก็ลุกจากเตียงไม่ได้อีก”


 


 


“เจ้า…” นายท่านฮั้วโมโหเดือดดาล เดินวนไปในห้องสองรอบ ถึงพูดว่า “เจ้าเอาชีวิตคนมาล้อเล่นได้อย่างไร”


 


 


“เขาเป็นทาสหลวง เป็นบ่าวที่ข้าซื้อมา ข้ามีสิทธิ์กำหนดความเป็นตายของเขา หรือสกุลฮั้วไม่ได้ทำเช่นนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเนิบๆ


 


 


นายท่านฮั้วสะอึกกึกอีกครั้ง ครู่หนึ่งถึงตำหนิถามนาง “เจ้ามิได้ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนญาติเรอะ”


 


 


“นั่นเป็นเมื่อก่อน เขาซื่อสัตย์จริงใจ มีฝีมือดี พอเป็นประโยชน์กับข้า ข้าย่อมต้องดีกับเขา บัดนี้เขากระทำเรื่องให้ข้าขุ่นข้อง ถูกลงทัณฑ์ก็สมควรแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเป็นความจริง นายท่านฮั้วไม่อาจโต้แย้ง เดินวนในห้องอีกสอบรอบ ถึงพูดว่า “นายน้อยเหวินอยู่ที่ไหน รบกวนแม่นางเมิ่งให้คนพาข้าไปดูหน่อยเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “ย่อมต้องอยู่ที่เรือนบ่าว แต่พี่น้องและบุตรชายเขาก็อยู่ด้วย นายท่านฮั้วเข้าไปดูจะไม่เหมาะสม ข้าให้คนแบกเขาเข้ามาจะดีกว่า”


 


 


ว่าแล้ว ไม่รอให้นายท่านฮั้วตอบรับก็ร้องสั่งชิงหลวน “ไปดูสิว่าเหวินเปียวตายหรือยัง หากยังไม่ตายก็ให้คนแบกเขาเข้ามา”


 


 


ชิงหลวนยืนเฝ้าหน้าประตู ย่อมได้ยินบทสนทนาภายในห้องอย่างชัดแจ้ง เข้าใจความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยว รับคำแล้วสาวเท้าไปเรือนบ่าวทันที


 


 


เมื่อครู่ชิงหลวนรีบร้อนเข้ามา บอกให้เหวินเปียวคิดหาวิธีให้ตนเองอยู่ในสภาพร่อแร่ แม้เหวินเปียวจะไม่เข้าใจ แต่ก็ทำตามคำสั่ง ให้กัวเฟยช่วยเขาคิดหาวิธี


 


 


กัวเฟยเป็นหัวหน้าองครักษ์หลวง ย่อมมีวิธีทำให้คนตกอยู่ในสภาพเจียนตายได้ ล้วงยาเม็ดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มอบให้เหวินเปียวกิน


 


 


เหวินเปียวกินเข้าไป ไม่นานก็มีใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากซีดเผือด นอนแผ่หลาไร้เรี่ยวแรง มีสภาพร่อแร่เจียนตาย


 


 


เหวินหู่ เหวินเป้าและเหวินซงกำลังตกอกตกใจ ชิงหลวนก็เดินเข้ามา เห็นสภาพของเหวินเปียวก็แอบชื่นชมในใจ เข้าไปยกตัวเหวินเปียวขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


 


 


เหวินเปียวเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ ตอนนี้ตัวอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ร่างกายยิ่งหนักอึ้ง ชิงหลวนกลับยกเขาขึ้นได้อย่างง่ายดาย พวกกัวเฟยต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง ลอบคิดในใจ รอให้ตนเองหายดี จะหาเวลาประลองกับนางสักตั้ง ดูว่าวรยุทธ์ของชิงหลวนลึกล้ำเพียงใด


 


 


ชิงหลวนไม่รู้ความคิดพวกเขา หามเหวินเปียวตรงมายังห้องรับแขก โยนเขาไปบนพื้น


 


 


นายท่านฮั้วที่กำลังเดินไปมาอย่างรุ่มร้อนใจ เห็นชิงหลวนที่เข้ามาถึงก็โยนคนลงพื้น ตกใจก้มมองดู เห็นเหวินเปียวนอนร่างกายอ่อนยวบ เหมือนจะตายมิตายแหล่ ถึงกับหัวใจกระตุกวูบ


 


 


เหวินเปียวที่เบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก็ต้องปิดลงทันทีอย่างหมดแรง


 


 


นายท่านฮั้วรบเร้าเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เจ้ารีบให้คนไปตามหมอมารักษานายน้อยเหวินสิ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบขำในใจ สีหน้ากลับไม่แยแส พูดว่า “เขาสะกิดถูกขีดจำกัดของข้า ต่อให้ไม่ตายข้าไม่มีทางให้เขาได้อยู่สบาย ตอนนี้เขามีสภาพเช่นนี้ก็ดี จะไปตามหมออะไรมาอีก”


 


 


“เจ้า…” นายท่านฮั้วทำอะไรนางไม่ได้ ร้องตะโกนสั่งบ่าวที่ตนเองพามา “ฮั้วซื่อ รีบไปเชิญหมอมารักษานายน้อยเหวิน!”


 


 


มีเสียงขานรับจากด้านนอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชักสีหน้า ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “นายท่านฮั้วคิดจะมาสอดเรื่องในจวนของข้าหรือ”


 


 


นายท่านฮั้วสะอึกกึก บ่าวด้านนอกไม่กล้าขยับ


 


 


ครู่หนึ่ง นายท่านฮั้วถึงพูดว่า “ต้องทำอย่างไรแม่นางเมิ่งถึงจะยอมปล่อยคน”


 


 


“เหวินเปียวเป็นถึงขนาดนี้แล้ว นายท่านฮั้วแน่ใจว่ายังต้องการไถ่ตัวเขาไป” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ


 


 


นายท่านฮั้วก้มหน้ามองเหวินเปียวที่นอนหายใจรวยริน กัดฟันพูดว่า “เป็นต้องได้คน ตายต้องได้ศพ แม่นางยื่นข้อเสนอมาเถอะ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็น “เห็นแก่ความรักมั่นของคุณหนูฮั้ว ข้าจะให้โอกาสนางก็ได้ ท่านลองถามเหวินเปียวดู หากเขายินยอมให้ท่านไถ่ตัว ข้าจะให้เขาไปกับท่านทันที โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น หากเขาไม่ยินยอม เชิญท่านกลับจวนไป ต่อไปไม่ต้องมาเรียกหาคนที่จวนข้าอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยอมถอยให้หนึ่งก้าว นายท่านฮั้วย่อมไม่อิดออดอีก ตวัดชายผ้าขึ้น คุกเข่า โน้มตัวก้มถามเหวินเปียว “นายน้อยเหวิน ข้าคือบิดาของฮั้วเซียงหลิง วันนี้มาไถ่ถอนตัวเจ้า เจ้ายินดีจะกลับจวนไปกับข้าหรือไม่ นับจากนี้เจ้าจะกลายเป็นชนชั้นสูง มีแต่ลาภยศสรรเสริญ”


 


 


เหวินเปียวพยายามลืมตาขึ้น ส่ายหน้าแผ่ว พูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ขอบคุณในความกรุณาของคุณหนูฮั้ว ข้าไม่อาจรับได้จริงๆ”


 


 


นายท่านฮั้วไม่ตัดใจ พูดอีก “หากเจ้ายินดีไปกับข้า ข้ารับปากเจ้า จะเปลี่ยนสถานะให้เจ้าและคนในครอบครัว ได้มีชีวิตอย่างอิสรเสรีอยู่ในเมืองหลวง”


 


 


เหวินเปียวยังส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว แม่นางเมิ่งดีต่อพวกเรามาก ข้าสาบานไว้ว่า ชีวิตนี้จะขอติดตามนางผู้เดียว”


 


 


นายท่านฮั้วทั้งโมโหทั้งร้อนรน สูดลมหายใจเข้าลึก งัดไพ่ตายในมือออกมา “พวกพ้องสำนักคุ้มภัยในอดีตของเจ้า ข้าได้ใช้วิธีแลกเปลี่ยนตัวพวกเขากลับมา บัดนี้อยู่ที่เรือนนอกเมืองของข้า หากเจ้ารับปากไปกับข้า ข้าจะถอนสถานะทาสของพวกเขา ให้เขากลับมามีชีวิตอิสรเสรีอีกครั้ง หากเจ้าไม่ไปกับข้า พวกเขาจะต้องอยู่ในเรือนนอกเมืองนั้นไปจนตาย”


 


 


เหวินเปียวถลึงตาโพลง จ้องนายท่านฮั้วเขม็ง


 


 


นายท่านฮั้วก็จ้องตาเหวินเปียว เค้นถามกลับ “ว่าอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่หลุบนัยน์ตา


 


 


เมิ่งฉีเริ่มชักสีหน้าเข้ม


 


 


ครู่หนึ่ง เหวินเปียวก็ส่ายหน้าหนักแน่น หลับตาลงอีกครั้ง


 


 


“นายน้อยเหวินต้องคิดให้ดีๆ ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านค้าแล้ว คนอย่างข้าพูดจริงทำจริง นับแต่นี้ไปพวกพ้องของท่านจะไม่มีวันได้อยู่อย่างเป็นสุข” เมิ่งเชี่ยนโยวข่มขู่เขาอีกครั้ง


 


 


เหวินเปียวนอนแน่นิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว สั่งคนด้านนอกเสียงเกรี้ยว “ชิงหลวน ส่งแขก!”


 


 


ชิงหลวนรับคำ เดินเข้ามา ผายมืออย่างมีมารยาท พูดอย่างไม่อ่อนน้อมแต่ก็ไม่แข็งกร้าว “นายท่านฮั้ว เชิญ”


 


 


เมื่อครู่ชิงหลวนแบกชายฉกรรจ์อย่างเหวินเปียวเข้ามาได้อย่างง่ายดาย นายท่านฮั้วรู้ว่านางเป็นยอดฝีมือ ไม่กล้าแข็งข้อกับนาง หันไปพูดเหวินเปียวด้วยความหวังอีกครั้ง “นายน้อยเหวิน ข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง ท่านคิดได้เมื่อไรก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”


 


 


เหวินเปียวยังคงไม่มีปฏิกิรยาตอบสนอง


 


 


นายท่านฮั้วจนใจลุกขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางช่วยดูแลนายน้อยเหวินให้ดีด้วย ในอดีตเขาเป็นชายฉกรรจ์กระดูกเหล็ก ไม่ควรตายด้วยการถูกทารุณเพียงเล็กน้อยนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพูดว่า “เรื่องนี้นายท่านฮั้วไม่ต้องเป็นกังวล ข้ารู้อะไรควรไม่ควร ท่านต่างหากที่ควรกลับไปตักเตือนคุณหนูฮั้ว โลกนี้มีบุรุษดีดาษดื่น อย่าเอาแต่คิดจะผูกคอตายใต้ต้นไม้ พลอยทำให้เหวินเปียวต้องตายตามไปด้วย”


 


 


นายท่านฮั้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันมองเหวินเปียวเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังเดินออกไป


 


 


ทั้งสองส่งเขาออกไปจากห้องรับแขก มองดูเขาเดินจากไป ถึงกลับเข้ามาในห้องรับแขก


 


 


เหวินเปียวยังคงนอนแผ่บนพื้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลงข้างเขา มองซ้ายมองขวาอย่างประหลาดใจ กลับไม่เห็นพิรุธใดๆ ยิ้มถามเขา “เจ้าทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร”


 


 


เหวินเปียวกลั้นขำ “แม่นาง ข้าจะไปมีความสามารถนั้นได้อย่างไร กัวเฟยมอบยาให้ข้าหนึ่งเม็ด พอข้ากินเข้าไปก็มีสภาพอย่างที่เห็น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบคาง คิดจะขอกัวเฟยมาศึกษาบ้างสักเม็ด


 


 


เหวินเปียวเห็นนางอยู่ในภวังค์ พูดวิงวอน “แม่นาง อย่างน้อยท่านก็ให้คนมาพยุงข้าขึ้นก่อนเถอะ พื้นเย็นจะแย่แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา “สมน้ำหน้า ใครใช้ให้เจ้าหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ยอมรับผลกรรมที่ก่อเองเถอะ”


 


 


เหวินเปียวตาค้าง หันไปมองเมิ่งฉีขอความช่วยเหลือ


 


 


เมิ่งฉีทำใจไม่ได้ ย่อตัวพยุงเหวินเปียวขึ้นมา ประคองเขาไปนั่งบนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการด้านนอก “จูหลี ไปขอยาถอนพิษจากกัวเฟยมา”


 


 


จูหลีรับคำ รีบวิ่งไปยังเรือนบ่าว ไม่นานก็กลับเข้ามา เปล่งเสียงกังวานรายงานว่า “นายท่าน กัวเฟยบอกว่าไม่มียาถอนพิษ อีกสองชั่วยามพอยาหมดฤทธิ์ก็จะหายเองเจ้าค่ะ”


 


 


เหวินเปียวตาค้างอีกครั้ง


 


 


“พรืด” เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะออกมา


 


 


เมิ่งฉีมองดูสภาพจะตายมิตายแหล่ของเหวินเปียว หัวเราะร่วนอย่างทนไม่ไหว


 


 


เหวินเปียวถึงตระหนักได้ว่าตนเองถูกกัวเฟยแกล้งแล้ว โมโหกัดฟันเสียงดังกรอดๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะจนพอใจ ถึงชักสีหน้าพูดกับเหวินเปียวอย่างขึงขัง “วันนี้พวกเราร่วมมือกันแสดงละคร อาจจะตบตาไปได้ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อพวกเขารู้ว่าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว จะต้องตามมาตอแยอีก แล้วใช้พวกพ้องของเจ้ามาข่มขู่เจ้า เกรงว่าเจ้าคงผ่านด่านนี้ไปได้ยาก แผนการในตอนนี้ ก็คือคิดหาวิธีรับตัวพวกพ้องของเจ้ามาจากเรือนของเขา เช่นนี้เจ้าก็จะไม่ต้องถูกพวกเขาข่มขู่ได้อีก”


 


 


เหวินเปียวที่เดิมได้รู้ว่าพวกพ้องพี่น้องยังมีชีวิต ก็ดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน แต่พอได้ยินคำพูดข่มขู่ของนายท่านฮั้วเมื่อครู่ เหวินเปียวก็เย็นวาบไปทั้งหัวใจ บัดนี้พอได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ก็ให้เกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เบิกตากว้าง ถามด้วยความยินดี “แม่นาง มีวิธีหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ย่อมต้องมีวิธี แต่ต้องอาศัยคนที่มีไหวพริบไปจัดการ”


 


 


“แม่นางพอจะพูดให้ฟังได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกความคิดของตัวเองออกมา “พวกเราต้องหาคนที่ไว้ใจได้ไปติดต่อกับพวกพ้องของเจ้า บอกพวกเขาเรื่องที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ให้พวกเขาหาวิธีออกมาจากเรือนอย่างไร้ร่องรอย แล้วให้พวกเขามาอยู่บ้านสวนที่ข้าเพิ่งซื้อไว้นอกเมือง”


 


 


เมิ่งฉีรู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้ พยักหน้าเห็นชอบ “น่าจะลองดู”


 


 


เหวินเปียวกลับเป็นกังวล “หากนายท่านฮั้วรู้เรื่องเข้า เขาจะมาหาเรื่องแม่นางหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือไม่ยี่หระ “ขอเพียงพวกเขาหาคนไม่เจอ ก็ไม่มีทางมาหาเรื่องพวกเราได้ และต่อให้พวกเขาหาคนเจอ ก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเรา เพราะเขาสืบประวัติของข้ามาอย่างละเอียดแล้ว ย่อมต้องรู้ความสัมพันธ์ของข้าและอี้เซวียน อีกทั้ง เขาก็ใช้วิธีสกปรกแลกพวกพ้องของเจ้ามา หากเรื่องแพร่งพราย ก็หาได้เป็นผลดีกับเขาไม่ นายท่านฮั้วทำการค้ามาจนใหญ่โต ย่อมมีสติปัญญาคิดอ่านเป็น เขาไม่มีทางออกโรงต่อกรกับพวกเราโดยไม่ยั้งคิด”


 


 


เหวินเปียววางใจลง ถามขึ้น “เช่นนั้นพวกเราหาใครที่เหมาะสมดีขอรับ”


 


 


“เมื่อนายท่านฮั้วจัดให้พวกเขาไปอยู่บ้านสวนนอกเมือง ไม่มีทางปล่อยตามยถากรรม จะต้องมีคนคอยเฝ้าดู คนในจวนของเราต่างรู้วรยุทธ์ คนฝึกยุทธ์ย่อมดูกันออก ไม่เหมาะจะส่งไปติดต่อกับพวกเขา สองวันนี้ข้าค่อยคิดหาคนที่เหมาะสม สิ่งสำคัญตอนนี้คือหาเรือนที่สกุลฮั้วเก็บซ่อนคนว่าอยู่ที่ไหนก่อน พวกเราจะได้ส่งคนไปได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เหวินเปียวขบคิด


 


 


เมิ่งฉีไม่รู้วิธีจัดการ ไม่อาจเสนอความคิดเห็น ได้แต่ยกถ้วยชาขึ้นจิบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ดวงตาพลันเปล่งประกาย เปล่งเสียงออกไปด้านนอก “ไปหยิบกระดาษพู่กันมา”


 


 


ชิงหลวนรีบไปหยิบกระดาษพู่กันเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษ แล้วมอบให้ชิงหลวน “นำไปมอบให้หลงจู๊เหลาจวี้เสียน ให้เขาจักต้องส่งคนไปตรวจสอบสถานที่ซ่อนให้ได้ความภายในวันนี้”


 


 


ชิงหลวนรับกระดาษมา หมุนตัวออกไปทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมานั่งบนเก้าอี้ พูดอย่างสบายใจ “รอก่อนเถอะ เดี๋ยวคืนนี้พวกเราก็จะได้รับข่าว”


 


 


เหวินเปียวที่ไร้เรี่ยวแรง นั่งบนเก้าอี้ตัวไหลลงไปเรื่อยๆ เอ่ยปากร้องขอ “แม่นาง ท่านให้คนพาข้าส่งกลับไปได้หรือไม่ ข้าทรมานเหลือเกินแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ยกยิ้มร้องสั่ง “จูหลี พาเหวินเปียวส่งกลับไป”


 


 


เหวินเปียวตื่นตะลึง โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่ต้องๆ ให้คนเฝ้าประตูมาพยุงข้ากลับไปก็พอ”


 


 


จูหลีเดินชักสีหน้าเข้ามา ยกตัวเหวินเปียวขึ้นเดินออกไป


 


 


เหวินเปียวร้องโวยวาย “แม่นางจูหลี ไม่ต้องรบกวนเจ้าดอก ข้าคลานกลับไปเองก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน


 


 


เมิ่งฉีก็หัวเราะเสียงขรม


 


 


จูหลีไม่ยี่หระ แบกเหวินเปียวมาถึงเรือนบ่าว ขณะที่สายตาทุกคู่ยังตกตะลึงนั้น ก็โยนเขาลงไปบนเตียง แล้วหันหลังเดินกลับไป


 


 


เหวินเปียวฟุบไปบนเตียงอย่างสิ้นสภาพ ไร้การเคลื่อนไหว


 


 


พอทุกคนได้สติกลับมา ต่างหัวเราะครื้นเครง แม้แต่เหวินซงก็อดไม่ได้หัวเราะก๊ากออกมา

 

 

 


ตอนที่ 71 พี่น้องได้พบหน้า

 

 


 


องครักษ์หลวงทำงานไว หลังอาหารค่ำไม่นาน ก็มีองครักษ์หลวงนายหนึ่งส่งที่อยู่บ้านสวนเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ชำนาญเส้นทางในเมืองหลวง สั่งชิงหลวนไปตามเหวินเปียวที่ฟื้นคืนเป็นปกติแล้วเข้ามา ยื่นที่อยู่ให้เขาดู


 


 


เหวินเปียวดูแล้วพูดว่า “สถานที่นี้อยู่ฝั่งตะวันออกห่างออกไปไม่ไกล พอพ้นประตูเมืองฝั่งตะวันออกเดินเท้าประมาณยี่สิบสามสิบลี้ก็ถึงขอรับ”


 


 


อยู่ใกล้เขตเมืองมาก แบบนี้จัดการไม่ยาก ด้วยฝีมือของพวกเขา การจะเข้าเมืองโดยไม่ให้ถูกจับได้ย่อมไม่เป็นปัญหาเลย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกระดาษขึ้น พูดว่า “วันพรุ่งข้าจะส่งคนไปติดต่อพวกเขา เจ้าบอกคนที่มีลักษณะพิเศษแก่ข้ามาสักคนเถอะ”


 


 


เหวินเปียวพยักหน้า “มีผู้คุ้มกันคนหนึ่งชื่อเหวินหย่ง เขาเคยคุ้มกันสินค้าไปกับข้า พบกลุ่มปล้นสะดม ได้รับบาดเจ็บที่ขา ทำให้เดินขากะเผลก ปีนี้มีอายุยี่สิบห้าปี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวท่องจำไว้ แล้วสั่งเหวินเปียวห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่เหวินหู่และเหวินเป้าก็ไม่ได้


 


 


เหวินเปียวย่อมรู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ จึงไม่เคยปริปากพูดกับใคร วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีตรงมายังโรงงานเมืองฝั่งเหนือ เมิ่งฉีไปดูคนงานเก็บทำความสะอาด เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกบ่าวเข้ามาหา “วันนี้ข้ามีเรื่องอยากรบกวนเจ้าไปทำให้หน่อย”


 


 


บ่าวกริ่งเกรง รีบร้อนพูด “แม่นางมีเรื่องอันใดก็พูดได้เลย ผู้น้อยยินดีทำตามทุกอย่าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกที่อยู่บ้านสวนของพี่น้องสำนักคุ้มภัย ถามเขา “เจ้ารู้จักสถานที่แห่งนี้หรือไม่”


 


 


“พอจะมีภาพคร่าวๆ ผู้น้อยจะไปสอบถามรายละเอียดจากคนแถวนั้นอีกทีขอรับ” บ่าวตอบกลับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดี เจ้าจงไปจัดการเรื่องหนึ่งให้ข้า”


 


 


บ่าวรับฟังอย่างอ่อนน้อม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้เขาไปตามหาคนชื่อเหวินหย่ง เป็นบ่าวที่เดินขากะเผลกอยู่ในเรือนแห่งนั้น ให้บอกเขาว่าเหวินเปียวนายน้อยสำนักคุ้มภัยยังมีชีวิตอยู่ ทั้งบอกให้เขาคิดหาวิธีออกมาเจอเหวินเปียวที่หน้าประตูเมืองฝั่งตะวันออก ช่วงยามโหย่วของวันนี้


 


 


บ่าวจดจำขึ้นใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย พวกเราจะแสดงเป็นนายบ่าว พอถึงเวลาให้เจ้าหาโอกาสลงมือ”


 


 


บ่าวรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาเมิ่งฉี ขึ้นนั่งบนรถม้า สั่งบ่าวให้ไปนั่งบนคานด้านหน้า ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลัง จนพ้นประตูเมืองฝั่งตะวันออก


 


 


เมืองฝั่งตะวันออกเป็นเมืองเจริญมั่งคั่ง แม้จะพ้นประตูเมืองออกมายี่สิบสามสิบลี้แล้ว ก็ยังไม่มีภาพให้รู้สึกแร้นแค้นเหมือนเมืองฝั่งเหนือ


 


 


บ่าวคอยวิ่งลงจากรถม้าไปสอบถาม กระทั่งมองเห็นเรือนหลังหนึ่งไกลๆ บ่าวลงไปสอบถามบ้านใกล้เรือนเคียงครั้งสุดท้าย รู้ว่าก็คือเรือนหลังนี้ ก็รีบวิ่งกลับมารายงาน “แม่นางเมิ่ง ถึงแล้วขอรับ เรือนอยู่ด้านหน้านั่นขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแหวกม่านออก มองดูบ้านสวนที่ตั้งตระหง่านนอกหมู่บ้าน พยักหน้าพูดว่า “พวกเราตรงไปหน้าหมู่บ้าน แสร้งทำเป็นผ่านทางมาขอน้ำดื่ม แล้วเลียบๆ เคียงๆ ถามถึงความเป็นไปของเรือนหลังนั้น”


 


 


คนรถบังคับรถม้าเข้ามาในหมู่บ้าน บ่าวลงมาจากรถม้า เดินมาถึงประตูรั้วบ้านหลังหนึ่ง ตะโกนร้องเข้าไปด้านใน “ในบ้านมีคนอยู่หรือไม่”


 


 


ชายชราอายุห้าสิบปีเศษได้ยินเสียง ค่อยๆ เดินออกมาจากในบ้าน เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดห่างออกไปจากหน้าบ้านตนเอง ร้องถามขึ้น “พวกเจ้ามาหาใคร”


 


 


บ่าวประสานมือคำนับชายชรา “ท่านผู้เฒ่า พวกเราเดินทางผ่านมา คุณหนูของพวกเรากระหายน้ำ พอจะขอน้ำดื่มจากท่านได้หรือไม่”


 


 


มักจะมีคนผ่านทางมาขอน้ำดื่มอยู่เป็นนิจ ชายชราไม่ใส่ใจ พูดว่า “ขาข้าไม่ค่อยดี เจ้ายกรั้วกั้นขึ้นออกแล้วเข้ามาเถอะ”


 


 


บ่าวกล่าวขอบคุณ ยกไม้กั้นขึ้นเดินเข้ามาในลาน


 


 


ชายชราค่อยๆ เดินกลับเข้าไปในบ้าน หยิบถ้วยใบหนึ่งออกมา ยื่นให้เขา ทั้งชี้ไปที่อ่างน้ำ “เจ้าตักเองเถอะ”


 


 


บ่าวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วถามขึ้น “บ้านนี้มีท่านเพียงคนเดียวหรือ”


 


 


“พวกเขาไปทำงานที่บ้านสวน ข้าขาไม่ดี จึงต้องอยู่เฝ้าบ้าน” ชายชราตอบ


 


 


บ่าวถามต่อ “คนในหมู่บ้านไปทำงานที่ไหนหรือ ข้าเห็นหมู่บ้านนี้เงียบเชียบนัก”


 


 


“เจ้าของเรือนเป็นเศรษฐีในเมือง มีคนดี ให้ค่าแรงสูง ทั้งอยู่ใกล้บ้าน นอกจากเด็กและคนที่เดินเหินไม่สะดวกเช่นข้า คนในหมู่บ้านต่างไปทำงานกับเขา”


 


 


บ่าวพูดไป ก็ตักน้ำในอ่างออกมาครึ่งถ้วย ยกมาถึงข้างรถม้าด้วยความระวัง ยื่นให้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วส่งสายตาให้นางเททิ้งอีกด้านของรถม้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา กลับแหงนหน้าดื่มลงไป


 


 


บ่าวเกือบจะร้องอุทานออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มคืนถ้วยให้เขา ทั้งพูดว่า “มอบเงินเล็กน้อยให้ชายชรา”


 


 


บ่าวรู้ความ ถือถ้วยกลับมาคืนให้ชายชรา ทั้งล้วงเงินก้อนหนึ่งจากอกยื่นให้ชายชรา “ขอบคุณท่านผู้เฒ่า”


 


 


ชายชราลนลานโบกมือ “ไม่ต้องๆ แค่น้ำถ้วยเดียว จะรับเงินจากพวกเจ้าได้อย่างไร”


 


 


บ่าวหยิบมือข้างหนึ่งของชายชรา วางเงินไว้กลางฝ่ามือเขา “รับไปเถอะ คุณหนูของพวกเรายังมีอีกเรื่องอยากขอร้องท่าน”


 


 


การรับเงินโดยเปล่า ชายชรารู้สึกไม่สบายใจ ได้ยินดังนั้นก็ตอบรับทันควัน “พูดมาเถอะ ขอเพียงข้าทำได้ ข้าจะต้องช่วย”


 


 


“คืออย่างนี้ หลายปีก่อนพี่ชายของคุณหนูพวกเราเกิดมีเรื่องบางหมางกับคนในครอบครัว หนีออกจากบ้านมา หลายวันก่อนพวกเราเพิ่งได้ข่าวว่า ด้วยความโมโหในตอนนั้นทำให้เขาขายตัวมาเป็นบ่าวบ้านสวนละแวกนี้ พวกเราตามหาเรือนละแวกนี้มาหมดแล้ว ก็หาเขาไม่พบ ข้าจึงอยากถามท่านว่า ท่านเคยพบเขาในบ้านสวนหลังนั้นหรือไม่ อ่อ จริงสิ เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ เดินขากะเผลกเล็กน้อย”


 


 


ชายชราขบคิด แล้วพูดว่า “ในบ้านสวนนั้นเหมือนจะมีอยู่คนหนึ่ง อายุยี่สิบกว่าปี แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นคนเดียวกับที่พวกเจ้าตามหาหรือไม่”


 


 


บ่าวสะท้อนแววตายินดี พยักหน้าหงึกๆ “ใช่ๆๆ จะต้องใช่แน่ๆ ท่านผู้เฒ่าพอจะช่วยคิดหาวิธี ให้พวกเราพบหน้ากันได้หรือไม่”


 


 


“คือว่า…” ชายชราเริ่มลำบากใจ “ตามปกติบ่าวในบ้านสวน นั้นจะมีคนคอยเฝ้าดู พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อพวกเราได้ตามใจ”


 


 


บ่าวแสดงสีหน้าร้อนรน “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี นับแต่ที่พี่ชายของคุณหนูพวกเราหายไป ท่านแม่ของเขาก็เอาแต่กินน้ำตาต่างหน้า ร่างกายทรุดโทรม พวกเราอุตส่าห์สืบได้ข่าวคราวของเขา คิดจะพิสูจน์ว่าหากเป็นเขาจริง จะให้เขากลับไปพบหน้าท่านแม่เขาสักครั้ง ตอนนี้จะทำอย่างไรดี”


 


 


บ่าวร้อนใจจนน้ำตาเอ่อคลอแล้ว


 


 


ชายชราทำใจไม่ได้ ครุ่นคิดหาวิธีให้เขา “บุตรชายข้าทำงานอยู่ที่นั่น เขาปลอมเป็นญาติของพวกเราเข้าไปหาเขา ให้เขาหาวิธีช่วยเจ้าก็แล้วกัน”


 


 


บ่าวประสานมือโค้งคำนับให้เขา พร่ำกล่าวขอบคุณไม่หยุด “ขอบคุณท่านผู้เฒ่า ขอบคุณท่านผู้เฒ่า”


 


 


ชายชราโบกมือ “บุตรชายของข้าชื่อซุนซิง ทำงานในเรือนแห่งนั้น เจ้าเข้าไปหาเขาเถอะ”


 


 


บ่าวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง หันหลังเดินออกไป เขาพยักหน้าให้เมิ่งเชี่ยนโยวเล็กน้อย ขึ้นนั่งบนรถม้า กำชับคนรถมุ่งหน้าไปบ้านสวนข้างหน้า


 


 


ชายชรามองส่งพวกเขาจากไป ก้มมองเงินในมืออย่างมีความสุข แล้วค่อยๆ เดินกลับเข้าบ้าน


 


 


รถม้าจอดห่างออกมาจากบ้านสวนระยะหนึ่ง บ่าวลงจากรถม้า เดินเข้าไปหากลุ่มคนที่กำลังทำงานในแปลงดิน


 


 


ยังไม่ทันเข้าใกล้คนกลุ่มนั้น คนที่มีลักษณะเป็นผู้คุมเห็นชายแปลกหน้า รีบเขาไปขวางเขาไว้ “หยุดนะ เจ้ามาทำอะไร”


 


 


บ่าวชะงักฝีเท้า โค้งคำนับพูดกับเขา “ข้าเป็นญาติของซุนซิง มีธุระมาหาเขาขอรับ”


 


 


ผู้คุมมองประเมินเขาขึ้นลง ชี้ไปทางขวามือของตัวเอง “เขาทำงานอยู่ตรงนั้น เจ้าเดินไปหาเขาเถอะ”


 


 


บ่าวโค้งคำนับกล่าวขอบคุณ เดินตรงไปทางนั้น ทั้งลอบมองประเมินคนที่ทำงานอยู่


 


 


พอดีกับมีคนที่ขากะเผลกหอบหญ้าแห้งฟ่อนหนึ่งเดินผ่านหน้าเขา กำลังจะนำไปทิ้งในคันดิน


 


 


บ่าวช้อนสายตาพินิจมองเขา เห็นว่าตรงกับที่เมิ่งเชี่ยนโยวบรรยายไว้ หัวใจสั่นไหว ขาโงนเงน ร่างกายซวนเซ ทิ้งตัวตรงเข้าหาเขาทันที


 


 


ชายคนนั้นเห็นอาการของเขา ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา คว้าเขาเอาไว้ไม่ให้เขาล้มไปกับพื้น พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “พื้นที่นี่ไม่เรียบ เดินระวังหน่อย”


 


 


บ่าวจับแขนเขา ถามเสียงเบา “ท่านคือเหวินหย่งใช่หรือไม่”


 


 


ชายผู้นั้นตกตะลึง


 


 


บ่าวรู้ว่าตนเองเดาถูกแล้ว รีบพูดเสียงต่ำด้วยความเร็วสูง “นายน้อยเหวินสำนักคุ้มภัยให้ข้ามาบอกท่านว่า เขายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้กลับมาเมืองหลวงแล้ว ให้ท่านหาวิธีออกมาพบเขาที่ประตูเมืองฝั่งตะวันออกวันนี้ก่อนยามโหย่ว”


 


 


ชายผู้นั้นเบิกตาโพลง หญ้าแห้งในมืออีกข้าวร่วงหล่นพื้น


 


 


ผู้คุมเห็นดังนั้น เดินเข้ามาตวาดถามพวกเขา “พวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน”


 


 


บ่าวยืนตัวตรง ตอบกลับ “ข้าไม่ระวังเกือบเดินล้ม โชคดีได้พี่ชายท่านนี้เข้ามาประคองขอรับ”


 


 


เหวินหย่งไม่พูดอะไร ย่อตัวลงรวบหญ้าแห้งที่แตกกระจายเข้ามารวมกัน ในเวลานี้หากผู้คุมตั้งใจมอง จะต้องเห็นว่ามือเขาสั่นระรัว


 


 


ผู้คุมไม่สงสัยอะไร มองบ่าวเดินไปหาซุนซิง จึงเดินกลับมาที่เดิม


 


 


เหวินหย่งก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โยนหญ้าแห้งลงไปในคันดิน เดินกะเผลกกลับไป


 


 


ผู้คุมไม่เห็นความผิดปกติของเขา มีเพียงตัวเขาเองที่รู้ว่าภายในใจของเขาตอนนี้ดีใจมากเพียงใด นายน้อยยังไม่ตาย ทั้งยังกลับมาเมืองหลวงแล้ว พอคิดว่าพลบค่ำก็จะได้เจอเหวินเปียว เหวินหย่งก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น


 


 


บ่าวได้เจอเหวินหย่งแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปเจอซุนซิงอีก เขาฉวยโอกาสตอนที่ผู้คุมเผลอ เดินอ้อมไปทางที่ซุนซิงทำงานอยู่ แล้วเดินกลับมา โค้งคำนับกล่าวขอบคุณผู้คุม จากนั้นก็กลับมาขึ้นรถม้า บอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แก่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งคนรถเดินทางกลับ


 


 


เหวินหย่งกลับมายังสถานที่ทำงานของตัวเอง ยังคงสะกดกลั้นความยินดีในใจไม่ได้ มือคู่นั้นสั่นไม่ยอมหยุด ชายฉกรรจ์ที่ทำงานข้างๆ เขาสังเกตเห็นอาการเขา ถามอย่างเป็นห่วง “อาหย่ง เจ้ามือสั่นขนาดนี้ ไม่เป็นอะไรนะ จะให้ผู้คุมไปตามหมอมาดูอาการหรือไม่”


 


 


เหวินหย่งมองเขา ไม่พูดอะไร เอาแต่แสยะยิ้ม


 


 


แค่เอาหญ้าแห้งไปทิ้ง กลับมาก็เปลี่ยนเป็นอีกคน แวบแรกชายฉกรรจ์คิดว่าเขาไม่สบาย ยื่นมือออกไปหมายจะแตะหน้าผากเขาดูว่ามีไข้หรือไม่


 


 


เหวินหย่งเบี่ยงศีรษะหลบ มองไปรอบด้าน เห็นว่าไม่มีคนสนใจพวกเขา จึงกระซิบที่ข้างหูชายฉกรรจ์ว่า “พี่เสียง นายน้อยยังมีชีวิตอยู่”


 


 


เหวินเสียงนิ่งอึ้ง


 


 


เหวินหย่งพยักหน้ายิ้ม รอดูเขาทำหน้ายินดี


 


 


เหวินเสียงถลึงตาโตมองเขาครู่หนึ่ง ถึงโพล่งคำอุทานออกมา “เหวินหย่ง นี่เจ้าถูกผีเข้าเรอะ ทำไมถึงพูดจาเลอะเลือนเช่นนี้”


 


 


เหวินหย่งยิ้มเก้อ


 


 


คนโดยรอบได้ยินเสียงเขาต่างหันมองมา แม้แต่ผู้คุมนายหนึ่งก็มองมาที่พวกเขา


 


 


เหวินหย่งรีบก้มหน้า ทำงานในมือตัวเอง


 


 


เหวินเสียงเห็นเขากลับคืนสู่สภาวะปกติ ให้นึกกังขา ร้อนใจถามเขา “ตกลงว่าเจ้าเป็นอะไรหรือไม่”


 


 


เหวินหย่งไม่สนใจเขาอีก ฉวยโอกาสที่ผู้คุมเผลอ ค่อยๆ เขยิบมาหาชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบปีเศษคนหนึ่ง ด้านหนึ่งเงยหน้าระวังผู้คุม อีกด้านพูดกระซิบบอกเขา “พี่หย่วน ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน ท่านจะต้องกลั้นความรู้สึกไว้ อย่าร้องตะโกนเหมือนพี่เสียงเด็ดขาด”


 


 


เหวินหย่วนได้ยินเสียงร้องเมื่อครู่ของเหวินเสียงแล้ว ยังให้กังขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอเหวินหย่งทำลับๆ ล่อๆ เข้ามาพูดกับเขา จึงมองเขาอย่างประหลาดใจ เห็นเขาใบหน้าเปื้อนยิ้ม เอาแต่ดีใจจนเนื้อเต้น ยิ่งให้คับข้องใจ ตั้งแต่เกิดเรื่องกับสำนักคุ้มภัย แม้ตอนที่นายท่านฮั้วหาวิธีแลกเปลี่ยนตัวพวกเขามาได้ จัดที่พักให้อยู่ที่นี่ ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ เหวินหย่งก็ไม่เคยจะดีใจเช่นนี้มาก่อน จึงยอมตกปากรับคำ “พูดเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่แหกปากร้อง”


 


 


เหวินหย่งโน้มตัวเข้าหาเขาในท่าทางของคนทำงาน พูดกับเขาเสียงสั่น “นายน้อยยังมีชีวิตอยู่ ให้คนมาส่งข่าวบอกข้า ให้ข้าหาวิธีออกไปพบเขาที่ประตูเมืองฝั่งตะวันออกก่อนยามโหย่ววันนี้”


 


 


“เคล้ง” เสียงอุปกรณ์ทำงานในมือเหวินหย่วนร่วงหล่นพื้น


 


 


เหวินหย่งรีบหยิบขึ้นมาใส่มือเขา


 


 


เหวินหย่วนรับไว้อย่างเลื่อนลอย เบิกตาโพลงมองเขา


 


 


เหวินหย่งไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้าทำงาน ให้เขาตกตะกอนเอง


 


 


“เหวิน เหวินหย่ง ที่เจ้าพูดเป็นความจริง” ครู่หนึ่ง เสียงสั่นระริกของเหวินหย่วนเอ่ยถามขึ้น


 


 


เหวินหย่งเงยหน้า พยักหน้าเต็มแรง “เมื่อครู่ตอนข้าไปทิ้งหญ้าแห้ง มีคนเข้ามาส่งข่าวบอกข้า”


 


 


เหวินหย่วนดีใจจนมือสั่น กำเครื่องมือทำงานในมือแน่น แล้วก็คลายออก แล้วก็กำ แล้วคลาย วนซ้ำไปซ้ำมา ถึงสงบสติอารมณ์ลงได้ มองไปโดยรอบ กดเสียงต่ำพูดว่า “ดังนั้นพวกเราต้องหาวิธีช่วยเจ้าออกไปจากเรือนนี้”


 


 


เหวินหย่งส่ายหน้า


 


 


เหวินหย่วนตะลึงค้าง


 


 


เหวินหย่งพูดว่า “ข้าไม่รู้จักคนที่มาส่งข่าว ที่นายน้อยให้เขามาหาข้า คงเพราะข้าขาไม่ดี เป็นที่จดจำง่าย นายน้อยไม่ได้เจาะจงให้ข้าไป ท่านเป็นคนไปเถอะ ท่านแขนขาดี วรยุทธ์ก็ดีกว่าข้า ไปกลับจะต้องใช้เวลาน้อยกว่าข้า”


 


 


ผู้คุมเดินเข้ามา เหวินหย่วนรีบก้มหน้า โน้มตัวทำงาน


 


 


ผู้คุมเดินตรวจตราโดยรอบ ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด จึงเดินไปที่อื่น


 


 


กระทั่งเขาเดินไปไกล เหวินหย่วนถึงพูดเสียงแผ่วว่า “ประเดี๋ยวตอนพัก ไปเรียกระดมพลพี่น้อง ปรึกษากันว่าต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยข้าออกไปจากเรือนนี้ได้”


 


 


นายท่านฮั้วปฏิบัติต่อคนงานเป็นอย่างดี ทุกหนึ่งชั่วยามจะให้พวกเขาพักได้ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป ดังนั้นวันนี้หลังจากถึงเวลาพัก พี่น้องสำนักคุ้มภัยก็เข้ามารวมตัวกัน


 


 


ตอนที่นายท่านฮั้วส่งพวกเขามาอยู่ที่นี่ เพียงสั่งผู้คุมว่า อย่าปล่อยพวกเขาออกไปเดินเพ่นพ่าน เลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาตามมา ไม่ได้กำชับสิ่งอื่นเป็นพิเศษอีก ดังนั้นการที่พวกเขารวมตัวกัน ผู้คุมเพียงมองมาแวบหนึ่ง เห็นพวกเขาไม่มีอะไรผิดแปลก จึงไม่ได้สนใจพวกเขาอีก


 


 


พอเห็นพวกพ้อง เหวินหย่วนในตอนนี้ดีใจลิงโลดอย่างหาที่สุดไม่ได้


 


 


เหวินหย่วนวางมือทาบปาก บอกเป็นนัยไม่ให้พวกเขาส่งเสียงดัง กระทั่งทุกคนสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง ถึงพูดเสียงเบาหารือเรื่องที่ตนเองจะออกไปจากเรือน


 


 


พอกลับมาถึง บ่าวก็บอกเรื่องเมื่อครู่กับเมิ่งเชี่ยนโยวไปตามความจริง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็พยักหน้า พูดชมเชยเขา “ทำได้ดีมาก รอให้พ้นช่วงเวลานี้ไป ข้าจะตกรางวัลเจ้าอย่างงามเทียว”


 


 


หลายวันมานี้บ่าวกระจ่างแจ้งแก่ใจดี แม้แต่นายท่านของตนเองยังโอนอ่อนให้เมิ่งเชี่ยนโยวสามส่วน สถานะนางจักต้องไม่ได้เป็นเพียงคนทำการค้าธรรมดา หากตนเองสร้างผลงานให้เมิ่งเชี่ยนโยวประทับใจได้ ไม่แน่ว่าภายหน้าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล จึงรีบพูดปฏิเสธ “นี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ที่ต้องทำให้ท่านอยู่แล้ว จะรับรางวัลจากแม่นางได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน พูดว่า “เจ้าเป็นคนของใต้เท้าเปา ทำเรื่องให้ข้าเป็นการช่วยเหลือ สมควรตกรางวัลให้เจ้าแล้ว อย่าได้ปฏิเสธอีกเลย”


 


 


บ่าวเป็นคนมีไหวพริบดี ฟังออกถึงน้ำเสียงไม่ยอมให้ปฏิเสธอีกของเมิ่งเชี่ยนโยว เขาจึงไม่บอกปัด ทั้งกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม


 


 


รถม้ากลับมาถึงเมืองฝั่งเหนือ ทิ้งบ่าวไว้ รับเมิ่งฉีเดินทางกลับไป


 


 


ระหว่างทาง เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่บ่าวบอกนางแก่เมิ่งฉี


 


 


เมิ่งฉีได้ฟังก็เริ่มเป็นห่วง พูดว่า “ไม่รู้ว่าพวกเขาจะหลบออกมาได้หรือไม่”


 


 


“พวกเขาเคยบุกป่าฝ่าดงมาหมดแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ใช่เรื่องยาก พวกเรากลับไปรับเหวินเปียวไปรอที่เมืองฝั่งตะวันออกแต่เนิ่นๆ เถอะ”


 


 


ทั้งสองกลับมาบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเหวินเปียวมาพบในห้องตัวเอง บอกเขาว่าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว รอเพียงพวกเขาออกมาพบตามเวลานัดหมาย


 


 


เหวินเปียวตื่นเต้นดีใจ เดินมาเดินไปภายในห้อง เอาแต่มองท้องฟ้า เฝ้ารอให้เวลานัดหมายมาถึงโดยไว


 


 


เหลืออีกหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงยามโหย่ว เหวินเปียวนั่งไม่ติดแล้ว เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เร่งเร้าเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไม่แยแสสถานะ “แม่นาง นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว พวกเราไปรอที่ด้านนอกเมืองฝั่งตะวันออกเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะพบหน้าพี่น้องเสียให้ได้ ยอมโอนอ่อนให้เขา พาเขานั่งรถม้าออกมานอกเมืองฝั่งตะวันออกพร้อมเมิ่งฉี ทั้งหมดหาสถานที่ลับตาคนจอดรถม้า รอคอยการมาถึงของเหวินหย่งเงียบๆ


 


 


เหวินเปียวกระโดดลงจากรถม้า เดินไปยืนกลางถนน คอยชะเง้อคอยืดยาวมองออกไป


 


 


กระทั่งเหลืออีกหนึ่งเค่อถึงจะถึงยามโหย่ว ถึงมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา


 


 


เหวินเปียวเห็นร่างของเขาก็จำได้ทันที ร้องตะโกนเรียก “เหวินหย่วน ข้าอยู่นี่!”


 


 


เหวินหย่วนที่จิตใจกระสับกระส่าย เหงื่อไหลโทรมกาย ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเหวินเปียว วิ่งดีใจเข้ามากอดเหวินเปียวไว้แน่น “นายน้อย เป็นท่านจริงๆ ท่านยังมีชีวิตอยู่!”

 

 

 


ตอนที่ 72 จัดที่พักในเรือน

 

เหวินเปียวกอดเหวินหย่วน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเต็มแน่นของร่างกาย ทำให้เขาเกิดความเชื่อมั่น ถูกต้องแล้ว พี่น้องของเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ประสบเคราะห์กรรม ต้องตายอย่างอนาถในถิ่นทุรกันดารอย่างที่เขาคิดไปเอง


 


 


เหวินหย่วนเองก็ดีใจจนพูดไม่ออก กอดเหวินเปียวแน่นราวกับสตรีนางหนึ่ง น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้มลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้


 


 


ชายกำยำสองคนโอบกอดกันร้องไห้กลางถนน ภาพนี้ไม่ว่าจะมองยังไง ก็แปลกประหลาดพิกล ผู้คนที่เดินเข้าออกเมืองต่างเหลียวมอง แม้แต่ทหารเฝ้าประตูเมืองก็ยังอดพินิจมองมาไม่ได้


 


 


ด้วยกลัวจะทำให้พวกทหารสงสัย เมิ่งเชี่ยนโยวที่คอยมองดูสถานการณ์เปล่งเสียงใสพูดว่า “เหวินเปียว มีเรื่องอะไรก็มาคุยข้างรถม้าเถอะ”


 


 


เหวินเปียวถึงรับรู้ได้ถึงสายตาที่เพ่งมองมาของผู้คน รู้สึกว่าพฤติกรรมของพวกเขาไม่เหมาะสม ใบหน้าแดงเรื่อ ปาดน้ำตา โอบไหล่เหวินหย่วนพาเดินมาข้างรถม้า


 


 


เหวินหย่วนที่สงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง สติสัมปชัญญะกลับมา รู้ว่าที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุย ไม่ได้เอ่ยปากถามความหลังจากที่เหวินเปียวประสบเคราะห์กรรม เพียงถามสั้นๆ ว่า “นายน้อย ท่านให้คนส่งข่าวให้ข้าออกมาพบ มีเรื่องอะไรจะให้พวกเราทำหรือ”


 


 


เหวินเปียวไม่ตอบ ชี้เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำนาง “เหวินหย่วน นี่คือนายของข้า แม่นางเมิ่ง คุณชายเมิ่ง


 


 


แม้เหวินหย่วนจะคาดเดาไว้ว่าเหวินเปียวจะต้องถูกขายเป็นทาส แต่พอได้ยินเขาพูดจากปาก ก็ให้รู้สึกเศร้ารันทด ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นายน้อย…” คำพูดต่อมาติดอยู่ในลำคออย่างไรก็พูดไม่ออก


 


 


เหวินเปียวรู้ว่าเขาคิดอะไร ตบบ่าเขาพูดว่า “แม่นางเมิ่งดีต่อพวกเรามาก เหมือนกับคนในครอบครัว เจ้าไม่ต้องเศร้าใจแทนข้าดอก”


 


 


แม้เขาจะพูดเช่นนี้ เหวินหย่วนก็ยังรู้สึกไม่ดี แต่ก็ยอมเช็ดน้ำตา ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่ง คุณชายเมิ่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “เวลามีไม่มาก พวกเจ้าพูดรวบรัดเถอะ”


 


 


เหวินหย่วนเห็นนางมีท่าทีสบายๆ เงยหน้าพินิจมองนางอย่างพิศวง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยิ้มตาหยีอยู่ในรถม้า สีหน้าเป็นธรรมชาติ ท่าทีเป็นกันเอง มองแวบเดียวก็ให้รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด


 


 


เหวินหย่วนชะงักอึ้งในเสี้ยววินาที


 


 


เหวินเปียวตบบ่าเขาอีกครั้ง


 


 


เหวินหย่วนตื่นจากภวังค์


 


 


เหวินเปียวพูดว่า “ไม่นานมานี้เกิดเรื่องกับข้าในเมืองหลวง อาจจะเดือดร้อนมาถึงพวกเจ้าได้ ดังนั้นข้าอยากให้วันพรุ่งนี้ เจ้าหาวิธีพาพี่น้องเราทั้งหมดหลบหนีออกมาจากเรือนที่พักอยู่ตอนนี้ ไปอยู่ในที่ที่แม่นางของข้าจัดเตรียมให้พวกเจ้า”


 


 


เหวินหย่วนไม่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา พยักหน้ารับคำ “ขอรับ ข้าจะกลับไปบอกพวกพี่น้อง”


 


 


“พวกเจ้าคิดว่าหลบหนีออกมาตอนไหนถึงจะเหมาะสม ข้าจะได้ส่งคนไปรับพวกเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


เหวินหย่วนครุ่นคิด พูดว่า “ในเรือนไม่ได้มีแต่พวกเรา ยังมีผู้คุมอีกหลายนาย และครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อนแล้ว ผู้คุมพวกนั้นความจริงก็เพื่อมาจับตาดูพวกเรา ทว่าหลายปีมานี้พวกเราไม่เคยก่อเรื่อง พวกเขาก็เลยผ่อนคลายความระแวดระวัง ไม่จับตาดูพวกเราเช้าค่ำเหมือนก่อน แต่ตื่นและนอนในเวลาเดียวกับพวกเรา หากพวกเราจะหลบหนีออกมาโดยไม่ให้ถูกจับได้ ก็ต้องรอให้พวกเขาหลับสนิทก่อน พวกเราจะปีนกำแพงเรือนนอนของพวกเราออกมาขอรับ”


 


 


นั่นหมายความว่า เป็นเวลากลางดึก เวลานั้นประตูเมืองปิดหมดแล้ว ต่อให้พวกเขาหนีออกมาได้ก็เข้าเมืองไม่ได้ หากปล่อยเวลาผ่านไปจนผู้คุมสังเกตเห็น ไล่ตามมาจะกลายเป็นเรื่องยุ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีต่างขมวดคิ้วยู่ย่น


 


 


เหวินเปียวและเหวินหย่วนก็คิดถึงปัญหานี้ ต่างนิ่งเงียบไปชั่วขณะ


 


 


ชิงหลวนและจูหลียืนเงียบไม่พูดอะไร


 


 


บรรยากาศข้างรถม้าพลันอึมครึม


 


 


“พวกเจ้าคิดว่าจะหนีออกมาได้ยามใด” ครู่หนึ่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงเอ่ยปากถาม


 


 


เหวินหย่วนครุ่นคิดเล็กน้อย พูดว่า “หลังจากยามจื่อ เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังหลับสนิท ผู้คุมหลับลึกมาก ไม่มีทางสังเกตเห็นความเคลื่อนไหว”


 


 


“ได้ นัดกันยามจื่อ ตอนนี้เจ้าจงรีบกลับไปบอกพวกพ้อง ให้ตรงมาที่นี่ทั้งหมด ถึงตอนนั้นข้าจะคิดหาวิธีให้คนเปิดประตูเมือง ปล่อยพวกเจ้าเข้ามา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เมื่อประตูเมืองปิด ไม่มีทางเปิดได้โดยง่าย นอกจากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจพิเศษในมือ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เหวินหย่วนยิ่งให้ตื่นตกใจ เดาไม่ออกว่านางมีสถานะใดกันแน่


 


 


เหวินเปียวเชื่อเมิ่งเชี่ยนโยว รู้ว่านางพูดแล้วจะต้องทำได้ ตบบ่าเหวินหย่วนพูดว่า “ไปเถอะ ไม่ต้องเอาอะไรมาทั้งนั้น ให้พี่น้องเราเตรียมตัวให้พร้อม จะต้องมาที่นี่ตรงตามเวลา”


 


 


เหวินหย่วนรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก พยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก หลังจากโค้งคำนับเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉี ก็ตบบ่าเหวินเปียวหันหลังกลับไปทันที


 


 


เหวินเปียวยืนข้างรถม้า กระทั่งมองไม่เห็นหลังเขาแล้ว ก็ยังอาวรณ์ไม่ยอมขึ้นรถม้า


 


 


“ไปเถอะ หากล่าช้า ประตูเมืองจะปิดลงเสียก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เหวินเปียวถึงก้าวขึ้นรถม้า


 


 


พ้นประตูเมืองเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงสั่ง “ชิงหลวน เจ้าไปบอกซื่อจื่อที่จวนอ๋องฉี บอกว่าข้าต้องการพบเขา ให้เขามาหาพวกเราที่บ้าน”


 


 


ชิงหลวนรับคำ มุ่งหน้าไปจวนอ๋องฉี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนรถตรงกลับบ้าน


 


 


ตอนที่นางบอกจะให้คนเปิดประตูเมืองในยามจื่อ เมิ่งฉีก็เดาได้แล้วว่านางจะต้องให้หวงฝู่อี้เซวียนช่วย จึงไม่คัดค้าน ตามนางกลับมานั่งรอภายในห้อง


 


 


ชิงหลวนมาถึงจวนอ๋องฉี ตรงไปบอกคนเฝ้าประตูว่าเมิ่งเชี่ยนโยวให้นางมาหาซื่อจื่อ คนเฝ้าประตูรีบปล่อยนางเข้าไป ชิงหลวนเดินมาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อี้เห็นนางก็ให้ตกใจเล็กน้อย ถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงเข้ามาเวลานี้ เกิดเรื่องกับแม่นางเมิ่งหรือ”


 


 


หลายวันมานี้ค่อนข้างยุ่ง หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวที่บ้านหลายวันแล้ว กำลังคิดคำนึงหา พอได้ยินเสียงหวงฝู่อี้ ก็รีบเดินออกมา รบเร้าถาม “เกิดเรื่องกับโยวเอ๋อร์เรอะ”


 


 


ชิงหลวนรีบตอบ “เรียนซื่อจื่อ นายท่านสบายดี ให้ข้ามาตามท่านเข้าไป บอกว่ามีเรื่องอยากพบท่านเจ้าค่ะ”


 


 


ได้ยินดังนั้น หวงฝู่อี้เซวียนรีบเดินออกมา เดินไปสั่งการไป “อี้เอ๋อร์ ส่งคนไปบอกพระบิดาและพระมารดา วันนี้พวกเราจะไม่กินอาหารค่ำที่จวน อีกอย่าง เจ้ารีบไปจูงม้าเข้ามา”


 


 


หวงฝู่อี้รับคำ วิ่งเหยาะๆ ออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเร่งฝีเท้าเดิน


 


 


ชิงหลวนเดินตามหลัง


 


 


หวงฝู่อี้จูงมาออกมา หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดขึ้นหลังม้า ควบม้าตะบึงมุ่งหน้าไปเมืองฝั่งใต้


 


 


หวงฝู่อี้ถูกทิ้งรั้งท้ายไว้ เขามองดูตัวเองที่ยังไม่ทันขึ้นหลังม้า ซื่อจื่อก็ทะยานหายไปไม่เห็นฝุ่นแล้ว เขาส่ายหน้าแหนงหน่าย พูดกับชิงหลวนเสียงหวาน “พี่ชิงหลวน พวกเราไปด้วยกันเถอะ”


 


 


ชิงหลวนยิ้มมองเขาแวบหนึ่ง ขยี้ศีรษะหยอกเอินเขา แล้วกระโดดตัวลอยขึ้นหลังม้า


 


 


หวงฝู่อี้ไม่คิดว่านางจะกระโดดขึ้นหลังม้า มองตาค้าง แล้วเกาหัวทำหน้าลำบากใจพูดว่า “พี่ชิงหลวน ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน พวกเราขี่ม้าไปด้วยกันคงไม่เหมาะสม เราเดินไปด้วยกัน…เถอะ”


 


 


เขายังพูดไม่ทันจบ ชิงหลวนก็ตบก้นม้า ม้าส่งเสียงร้อง ควบทะยานออกไป


 


 


ม้าวิ่งควบฝุ่นฟุ้งกระจาย ทำเอาหวงฝู่อี้สำลักไอไม่หยุด กระทั่งฝุ่นจางลง ร่างก็ของชิงหลวนก็หายไปแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้ยืนงงอ้าปากค้าง ครู่หนึ่งถึงโมโหกระทืบเท้าร้องโวยวาย “ชิงหลวนคนนี้ เพิ่งจะติดตามพี่สาวเมิ่งไม่กี่วัน ก็รู้จักแกล้งคนแล้ว”


 


 


คนเฝ้าประตูเห็นทั้งหมดนี้ ปิดปากแอบขำ


 


 


หวงฝู่อี้มองเขาแวบหนึ่ง เดินปึงปังกลับเข้าไปจูงม้าอีกตัวออกมา มุ่งหน้าไปเมืองฝั่งใต้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมาถึงหน้าบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ลงจากหลังม้า โยนบังเ**ยนให้คนเฝ้าประตูที่เข้ามาทักทาย แล้วเดินเข้าไปในจวน เพิ่งจะเข้ามาถึงเรือนเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ถามขึ้นอย่างทนไม่ไหว “โยวเอ๋อร์ เจ้าอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีเพิ่งถึงบ้านได้ไม่นาน ยังดื่มชาไม่ทันหมด ก็ได้ยินเสียงเขา ให้ประหลาดใจลุกขึ้น เปิดม่านออกถาม “ไยเจ้าถึงมาเร็วเช่นนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาถึงหน้าห้องแล้ว เดินเข้าไปด้านในพลางตอบความ “ดึกขนาดนี้ เจ้าอยากพบข้าจะต้องมีธุระด่วน ข้าถึงได้รีบมาอย่างไร” พูดจบ เห็นเมิ่งฉีนั่งอยู่ในห้อง จึงกล่าวทักทาย “พี่รอง ท่านก็อยู่ด้วย”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า ผายมือออกให้เขานั่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งจูหลีไปชงชามา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันนั่งดี ก็ถามขึ้นอีกครั้ง “โยวเอ๋อร์ เจ้าอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใดกันแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ดอก เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ดื่มชาก่อน ข้าจะค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถึงวางใจลง


 


 


จูหลียกชาเข้ามา วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน แล้วถอยออกไปเฝ้าหน้าประตู


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกชาขึ้นจิบ พูดว่า “พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงบอกเรื่องที่นายท่านฮั้วมาขอไถ่ตัวเหวินเปียวด้วยตัวเอง ทั้งใช้พี่น้องสำนักคุ้มภัยมาข่มขู่เขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว พูดว่า “สกุลฮั้วคิดจะมาไม้ไหนกันแน่ บุตรสาวงดงามพริ้มเพรา ไม่หาคนที่เหมาะสมแต่งงาน จะมาเป็นภรรยารองของเหวินเปียวให้ได้ พิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “บอกว่าเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิต ยอมพลีกายตอบแทน อีกทั้งเพราะเหวินเปียวช่วยนาง ล่วงเกินเฮ่อเหลี่ยน ถึงต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ การที่คุณหนูฮั้วจะรักลึกซึ้งเช่นนี้ก็มีเหตุผล”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร เจรจาเงื่อนไขกับสกุลฮั้วหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่งก็พอ” ว่าแล้ว ก็บอกเรื่องที่ตัวเองส่งคนไปติดต่อพวกพ้องของเหวินเปียว ทั้งนัดเวลามารับพวกเขาที่ประตูเมืองฝั่งตะวันออกยามจื่อกับเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจพลัน “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเปิดประตูเมืองให้ตามเวลานัดหมาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ มีอำนาจในมือ การให้คนเปิดประตูเมืองย่อมเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนดวงตาเปล่งประกาย ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง “เช่นนั้นคืนนี้ข้าก็อยู่กับเจ้าที่นี่ได้นะสิ”


 


 


เมิ่งฉีกระแอมเสียงลั่นขึ้นฉับพลัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าเตรียมรับคำตำหนิ


 


 


เป็นดังคาด เมิ่งฉีกระแอมไอเสร็จ ยังหายใจหอบอยู่ก็พูดขึ้น “พวกเจ้ายังไม่แต่งงานกัน จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร หากเจ้าอยากพักที่นี่ ก็ไปนอนที่ห้องของข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร ยกถ้วยชาขึ้นจิบ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ พอรับพวกเขามาแล้ว ข้ากลับไปที่จวนก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ


 


 


เมิ่งฉีแสร้งพูดขึ้น “ตอนเจ้าอยู่กับพวกเรา พวกเราพี่น้องนอนห้องเดียวกันมาตั้งหลายปี ไม่เห็นเจ้าจะรังเกียจรังงอน ตอนนี้เป็นซื่อจื่อแล้ว รู้สึกว่านอนห้องเดียวกับพี่รอง ไม่สมฐานะสูงศักดิ์ของเจ้าเรอะ”


 


 


“พี่รอง” หวงฝู่อี้เซวียนรีบร้อนอธิบาย “ท่านพูดไปไหนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรท่านก็คือพี่รองของข้า เพียงแต่ตอนนี้ข้าโตแล้ว ไม่ชินที่จะต้องนอนห้องเดียวกันท่านอีก”


 


 


เมิ่งฉีชักสีหน้า พูดขึงขังกับเขา “พี่รองยังคงพูดคำเดิม พวกเจ้ายังไม่ได้แต่งงานกัน ห้ามทำเรื่องผิดจารีตเด็ดขาด พี่รองจะคอยจับตาดูพวกเจ้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพียงก้มหน้าดื่มชาไม่ปริปาก


 


 


เมิ่งฉีก็พูดเพียงเท่านี้ ไม่พูดอะไรอีก


 


 


กินอาหารค่ำเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนยังคงวนเวียนอยู่ในห้องเมิ่งเชี่ยนโยว รอเวลายามจื่อ


 


 


เมิ่งฉีคิดว่าประเดี๋ยวมีเรื่องสำคัญต้องทำ คงไม่เกิดเรื่องอะไรกับคนทั้งสอง จึงไม่ห้ามปราบ กลับมาพักผ่อนที่ห้องตัวเองก่อน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกอดเมิ่งเชี่ยนโยวนอนลงบนเตียง ทั้งสองก็งีบหลับไป


 


 


กระทั่งอีกสองเค่อจะถึงยามจื่อ คนทั้งหมดตื่นขึ้นมา แต่งกายเรียบร้อย เดินออกมาด้านนอก เหวินเปียวเตรียมรถม้าห้าคันตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเอาไว้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีรวมถึงหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นไปนั่งบนรถม้าคันสุดท้าย รถม้าทั้งหมดเคลื่อนขบวนไปประตูเมืองฝั่งตะวันออกท่ามกลางรัตติกาลมืดมิด


 


 


นายทหารเฝ้าประตูเมืองมาหลายปี รู้ว่าคนที่จะออกจากเมืองยามนี้จะต้องเป็นเศรษฐีคนใหญ่คนโต ไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งลงมาจากประตูเมือง ขวางหน้ารถม้าถามอย่างอ่อนน้อม “ไม่ทราบว่านายท่านท่านใดจะออกจากเมือง และมีป้ายคำสั่งหรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินลงจากรถม้า


 


 


นายทหารเห็นเขาแต่งกายสูงศักดิ์ ท่าทีองอาจ ยิ่งให้พินอบพิเทา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งนายทหาร “ใครรับผิดชอบที่นี่ ไปตามเขาเข้ามา”


 


 


นายทหารไม่กล้ารอช้า วิ่งกลับไปรายงานหัวหน้ารักษาการณ์ด้านบน


 


 


หัวหน้าเดินลงมา กระทั่งเห็นว่าคนตรงหน้าคือหวงฝู่อี้เซวียน ก็รีบทำถวายคำนับ “ผู้น้อยคำนับซื่อจื่อขอรับ”


 


 


ได้ยินเขาเอ่ยสถานะตนเอง หวงฝู่อี้เซวียนถึงกับหรี่ตามอง


 


 


หัวหน้ารีบพูดว่า “ซื่อจื่อจำผู้น้อยไม่ได้แล้วหรือ ผู้น้อยก็คือหัวหน้าโต้วอย่างไรขอรับ”


 


 


เพราะเรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยวทำให้หัวหน้าโต้วถูกลดขั้นมาเฝ้าประตูเมือง ไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเฝ้าประตูเมืองฝั่งตะวันออกพอดี หวงฝู่อี้เซวียนขบคิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ข้าสั่งให้ชายสิบกว่าคนออกไปทำเรื่อง พวกเขาส่งข่าวกลับมาบอกว่าจะกลับเข้าทางประตูเมืองฝั่งตะวันออกยามจื่อ ข้ารู้ว่าพวกเขาจะเข้าเมืองไม่ได้ จึงมารับพวกเขา ไม่ทราบว่าหัวหน้าโต้วพอจะอำนวยความสะดวกได้หรือไม่”


 


 


เมืองฝั่งตะวันออกรีบตอบความ “ซื่อจื่ออย่าได้เรียกขานผู้น้อยเช่นนี้อีกเลย ตอนนี้ผู้น้อยเป็นเพียงคนเฝ้าประตูเท่านั้น”


 


 


“หัวหน้าโต้วเป็นคนมีความสามารถ เฝ้าประตูก็เพียงชั่วคราว ไม่แน่ว่าวันไหนจะได้กลับคืนตำแหน่งเดิม” หวงฝู่อี้เซวียนพูดเรียบๆ


 


 


หัวหน้าโต้วหัวใจกระตุกไหว เงยหน้ามองเขา เห็นเขาไม่มีสีหน้าล้อเล่น ก็ยินดีปรีดา น้ำเสียงยิ่งให้นอบน้อมหลายส่วน “ผู้น้อยจะสั่งพวกเขาเปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ขอรับ”


 


 


“ไม่ต้องรีบ ยังไม่ถึงเวลา พวกเขามาค่อยเปิดประตูเมืองก็ยังไม่สาย”


 


 


หัวหน้าโต้วขานรับคำ รีบพูดว่า “ผู้น้อยจะไปเฝ้าด้านบน พอเห็นพวกเขาเข้ามาจะรีบมารายงานซื่อจื่อขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หัวหน้าโต้วกลับขึ้นไปด้านบน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับมารอในรถม้า


 


 


กระทั่งยามจื่อสามเค่อ เหวินหย่วนก็พากลุ่มคนเดินเข้ามา


 


 


หัวหน้าโต้วเห็นพวกเขา รีบวิ่งลงมาบอกให้ทหารเปิดประตูเมือง


 


 


เหวินหย่วนนำคนทั้งหมดเดินพ้นประตูเมืองเข้ามาโดยไว


 


 


เหวินเปียวเข้าไปต้อนรับ ร้อนรนถาม “มาครบทั้งหมดใช่หรือไม่”


 


 


คนทั้งหมดเห็นเหวินเปียว ต่างดีอกดีใจ ยื้อแย่งกันทักทายเขา


 


 


เหวินเปียวเอามือวางทาบปาก บอกเป็นนัยว่าที่แห่งนี้ไม่เหมาะจะพูดคุย ให้พวกเขาอย่าเพิ่งส่งเสียง


 


 


คนทั้งหมดเข้าใจทันที เม้มริมฝีปาก พยักหน้าหงึกๆ


 


 


เหวินหย่วนตอบกลับเสียงต่ำ “มากันหมดแล้ว ไม่ขาดแม้แต่คนเดียว”


 


 


เหวินหย่วนพยักหน้า บอกพวกเขาขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้านหลัง


 


 


หัวหน้าโต้วเปิดประตูเมือง เดินมาข้างรถม้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเปล่งเสียงเข้ม สั่งเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหัวจะหลุดจะบ่าได้”


 


 


หัวหน้าโต้วหัวใจกระตุกวูบ ลนลานพูด “ซื่อจื่อวางใจเถอะ ผู้น้อยขอเอาศีรษะเป็นประกัน เรื่องในวันนี้จะไม่เล็ดลอดออกไปเด็ดขาด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียง “อือ”


 


 


หวงฝู่อี้ก้าวเข้ามา ยัดเงินก้อนหนึ่งใส่มือหัวหน้าโต้ว “นี่เป็นรางวัลที่ซื่อจื่อมอบให้พวกเจ้า เอาไปดื่มสุรา”


 


 


หัวหน้าโต้วก็ไม่ปฏิเสธ เก็บเงินใส่ชายแขนเสื้อ โน้มตัวขอบคุณ “ขอบคุณซื่อจื่อขอรับ”


 


 


คนรถหักเลี้ยวรถม้า รถคันอื่นก็หักเลี้ยวตาม ไม่นานก็หายลับไปกับความมืดของรัตติกาล


 


 


กระทั่งไม่เห็นรถม้าแล้ว หัวหน้าโต้วถึงล้วงเงินในแขนเสื้อออกมา ยิ้มหน้าบานเดินขึ้นไปด้านบน แกว่งไกวต่อหน้านายทหาร “นี่เป็นรางวัลจากซื่อจื่อ”


 


 


นายทหารเห็นเงินก้อนใหญ่ต่างก็ดีใจลิงโลด นายทหารคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย “หัวหน้า เขาเป็นซื่อจื่อจากไหนหรือ ถึงใจใหญ่ใจโตเช่นนี้”


 


 


ไม่แปลกที่นายทหารจะเอ่ยถาม “เมื่อก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์เปิดประตูเมืองกลางดึก แต่ไม่มีนายท่านคนไหนใจใหญ่เช่นนี้ ถึงกับตบรางวัลด้วยเงินก้อนใหญ่”


 


 


หัวหน้าโต้วได้ฟังคำพูดเขา ถลึงตาใส่ พูดเสียงเข้ม “ไม่ควรถามก็อย่าถาม รู้มากไปก็ไม่มีประโยชน์กับพวกเจ้า จำไว้ให้ดี เรื่องในวันนี้ห้ามใครพูดออกไปเด็ดขาด” 

 

 


ตอนที่ 73 ซื่อจื่อถูกซ้อม

 

นายทหารเฝ้าประตูตั้งใจฟัง ขานรับคำพร้อมกัน


 


 


หัวหน้าโต้วชั่งน้ำหนักเงินในมือ “พอฟ้าสาง ข้าจะเอาเงินไปแลก พวกเจ้าเอาไปแบ่งเท่าๆ กัน นับจากนี้ไป ถือว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น”


 


 


เหล่านายทหารรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะอีกครั้ง


 


 


รถม้าห้าคันมาถึงหน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนรถให้เข้าทางประตูหลัง ให้คนทั้งหมดไปถึงลานเรือนถึงลงจากรถม้า


 


 


คนรถรับคำสั่ง คนม้าอีกสี่คันเคลื่อนตามหลังมาติดๆ


 


 


พอเข้ามาหลังเรือน เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งฉีและหวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้าก่อน เหวินเปียวถึงเรียกคนทั้งหมดให้ลงมา กวักมือให้พวกเขามาเบื้องหน้าตนเอง แนะนำกับพวกเขาทีละคน “นี่คือนายของข้าแม่นางเมิ่ง คุณชายเมิ่ง ต่อไปก็จะเป็นนายของพวกเจ้าด้วย”


 


 


คนทั้งหมดทำความเคารพ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีอมยิ้มพยักหน้า


 


 


เหวินเปียวถึงแนะนำหวงฝู่อี้เซวียน “นี่คือซื่อจื่ออ๋องฉี”


 


 


คนทั้งหมดตื่นตะลึง


 


 


เขาพูดขึ้นอีกว่า “เป็นคู่หมั้นแม่นางของพวกเรา”


 


 


คนทั้งหมดเข้าใจพลัน ทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็ให้ดีใจ ผงกศีรษะอมยิ้มจางๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียว “เจ้าจัดหาที่พักให้พวกเขาก่อน พอฟ้าสาง ข้าจะส่งพวกเขาไปยังเรือนฝั่งเหนือทันที พวกเจ้ามีอะไรค่อยไปพูดกันที่นั่น คืนนี้อย่าได้ส่งเสียงดังเอะอะ”


 


 


เหวินเปียวเข้าใจความหมายของนาง พยักหน้ารับ “ทราบแล้วแม่นาง พวกเราจะไม่ส่งเสียงดังขอรับ”


 


 


ทั้งสามไม่สนใจพวกเขาอีก กลับมายังเรือนด้านหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าไปในห้อง บอกนางว่า “ล่วงยามจื่อมาแล้ว วันพรุ่งข้ายังต้องไปกั๋วจื่อเจี้ยน ต้องกลับก่อนแล้ว” พูดจบ ก็มองเมิ่งเชี่ยนโยวตาปริบๆ หวังให้นางรั้งตนเองไว้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นมองไม่เห็น เม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า “ก็ดี เดินทางระวังด้วยล่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างคับข้องใจแวบหนึ่ง แล้วเดินออกไปจากเรือนพร้อมหวงฝู่อี้


 


 


เมิ่งฉีกำชับเมิ่งเชี่ยนโยว “นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อน พรุ่งนี้เช้ายังมีเรื่องต้องทำอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “วันรุ่งขึ้น ข้าจะส่งพวกเขาไปที่เรือนนอกเมือง พี่รองไม่ต้องตามไป ขบวนรถม้าใกล้จะมาถึงแล้ว ท่านรอรับพวกเขาอยู่ที่บ้านเถอะ”


 


 


แค่จัดแจงให้พวกเขาไปอยู่เรือนนอกเมือง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เมิ่งฉีจึงรับคำ “ได้ จัดการเรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมา” ว่าแล้ว ก็หันหลังกลับไปเรือนตนเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับมาที่เรือนตัวเอง ชิงหลวนรายงานเสียงเบา “นายท่าน ซื่อจื่อไม่ได้กลับไป ทั้งสองหลบอยู่หลังประตูเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย ส่งเสียงรับ “อือ” แล้วเดินกลับห้องตัวเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่คอยสังเกตความเคลื่อนไหว เห็นไฟในห้องเมิ่งเชี่ยนโยวสว่างขึ้น รู้ว่านางกลับมาที่ห้องแล้ว จึงสั่งหวงฝู่อี้ “เจ้าไปหาที่หลับนอนเอาเอง หากให้พี่รองรู้ว่าข้าไม่ได้กลับไป ข้าจะลงโทษเจ้ายืนในลานเรือนสามวันสามคืน”


 


 


หวงฝู่อี้ร้องโอดครวญ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนใช้วิชาตัวเบา ลอยตัวมาถึงลานเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


คนเฝ้าประตูนิ่งอึ้ง มองหวงฝู่อี้เซวียนที่พริบตาเดียวก็มาถึงหน้าประตูห้องเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วหันกลับไปมองหวงฝู่อี้


 


 


หวงฝู่อี้แสยะยิ้มให้เขา “พี่ชาย ข้าขออยู่กับท่านสักคืนนะ พรุ่งนี้พวกเราจะรีบไปทันที”


 


 


คนเฝ้าประตูตื่นจากภวังค์ เผยอปากอยากจะถามเขาว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่


 


 


หวงฝู่อี้กลับชิงพูดก่อน “พี่ชาย ทางที่ดีอย่าถามอะไรเลย วันพรุ่งพอพวกเราจากไป ท่านก็ลืมเรื่องนี้ไปให้หมด ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”


 


 


คนเฝ้าประตูหุบปาก ยื่นผ้าห่มให้หวงฝู่อี้ พูดเสียงต่ำ “คุณชายพักผ่อนเถอะ ข้าจะกลับไปห้องตัวเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สั่งการ ชิงหลวนและจูหลีจึงไม่ขัดขวาง หวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปในห้องได้อย่างราบรื่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนชุดล้มตัวลงนอนแล้ว หลับตาพูดว่า “ทำตัวดีๆ ไม่เช่นนั้นต่อไปอย่าหวังจะได้เข้ามาในห้องข้าอีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนดีใจหน้าบาน เดินย่องมาข้างเตียง ถอดเสื้อตัวนอกออก เลิกผ้าห่มขึ้น มุดเข้าไปกอดนาง หลับตาลงอย่างมีความสุข


 


 


วุ่นวายกันมาจนถึงเพลานี้ ทั้งสองต่างเหนื่อยมากแล้ว ไม่นานก็หลับผล็อยไป


 


 


แต่ที่เรือนบ่าวกลับเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว


 


 


เหวินเปียวที่ไม่ได้บอกเหวินหู่เหวินเป้ารวมถึงเหวินซง เห็นเหวินเปียวตามเมิ่งเชี่ยนโยวไปกลางดึก ทั้งสามยังนึกสงสัย อาการเจ็บของเหวินเปียวยังไม่หายดี แม่นางกลับให้เขาไปทำเรื่อง


 


 


เหวินเปียวพาคนทั้งหมดกลับมาถึงเรือนบ่าว ปลุกพวกเขาสามคนขึ้นมา


 


 


ทั้งสามลืมตา เห็นเงาตะคุ่มหลายสิบชีวิตยืนอยู่ในห้อง ตกใจสะดุ้ง หลังจากเห็นใบหน้าพวกเขาชัดเจน ก็นึกว่าเป็นความฝัน เอาแต่ขยี้ตาอย่างไม่เชื่อ


 


 


“ไม่ต้องขยี้ตาแล้ว เป็นพวกเขาจริงๆ “ เหวินเปียวพูดเบาๆ


 


 


ทั้งสามคนทะลึ่งพรวดออกมาจากใต้ผ้าห่ม ตบบ่าพวกเขา ดีใจร้องไห้โฮ “พวกเจ้าไม่เป็นอะไร ดียิ่งนัก!”


 


 


เหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นนายน้อยอยู่กันพร้อมหน้า ความรู้สึกปรวนแปร คนที่อายุน้อยเริ่มส่งเสียงสะอื้นคราง


 


 


ตอนที่สำนักคุ้มภัยถูกตัดสินโทษ ผู้คุ้มภัยที่อายุน้อยที่สุดคือสิบห้าปี เพิ่งจะเข้ามาอยู่สำนักคุ้มภัยได้ไม่นาน ตอนนี้ผ่านไปห้าปี กลายเป็นหนุ่มแล้ว ใบหน้าไม่เหลือคราบเด็กน้อยไร้เดียงสา ได้ยินเสียงสะอื้นของพวกเขา เหวินเปียวเองก็เกิดความรู้สึกเต็มตื้นพูดไม่ออก


 


 


คนทั้งหมดจำคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นใจ ไม่กล้าโห่ร้อง เพียงแค่เข้ามากอดสามพี่น้องเหวินรวมถึงเหวินซงด้วย


 


 


กัวเฟยและองครักษ์หลวงอยู่อีกด้าน เห็นภาพสะเทือนใจนี้ ก็ตาร้อนผ่าวไปด้วย รีบลุกขึ้นแต่งตัว หลีกทางให้พวกเขานั่งคุยกันอย่างสบาย องครักษ์หลวงคนอื่นก็ทำตาม


 


 


ไม่ได้พบหน้าหลายปี ย่อมมีเรื่องพูดไม่จบ กระทั่งฟ้าเริ่มสาง คนทั้งหมดก็ยังไม่มีอาการง่วง


 


 


ทุกวันยามเฉินเป็นเวลาที่เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นมาฝึกยุทธ์ หลายปีมานี้ไม่เคยละเว้น ดังนั้นพอถึงเวลาก็จะตื่นเอง นางลืมตาขึ้น เห็นหวงฝู่อี้เซวียนหลับสนิท กอดตนเองแน่น คิดมาคิดไป ไม่ขยับตัว หลับตาลง ผล็อยหลับไปอีกครั้ง


 


 


พวกเขาหลับไปจนตะวันโด่ง ชิงหลวนพูดรายงานจากด้านนอก “นายท่าน หากซื่อจื่อยังไม่ไป จะถูกคุณชายรองจับได้นะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนลืมตาพรวดขึ้นพร้อมกัน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองนาง ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกอยู่ในภวังค์ นั่งเหม่อมองเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนฉวยโอกาสนี้ประทับจูบบนหน้าผากนาง ไม่รอให้นางได้สติคืนมา รีบลุกขึ้นสวมชุดผ่าว พูดว่า “ข้าไปก่อนนะ เจ้าเองก็ตื่นเถอะ รีบส่งพวกเขาไปเมืองฝั่งเหนือ จะได้สบายใจ”


 


 


ว่าแล้วก็เปิดประตูเดินออกไป เห็นชิงหลวนและจูหลียืนกลางลานเรือน พยักหน้าชมเชย


 


 


คนเฝ้าประตูมาเปิดประตูจวนแต่เช้า หวงฝู่อี้ก็จูงม้าออกมาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมา ขึ้นขี่ม้ากลับจวนอ๋องฉี


 


 


กระทั่งเขาพ้นประตูห้องออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้สติกลับมา ร้องก่นด่า “ตัวเสนียด” ในใจ เลิกผ้าห่มขึ้นลงจากเตียง หันกลับไปพับผ้าห่ม แล้วสั่งชิงหลวนตักน้ำเข้ามาล้างหน้า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เดินมาหลังเรือน


 


 


สามพี่น้องเหวินและเหวินซงกำลังรออยู่พร้อมกับพี่น้องทั้งหมด พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ต่างทำความเคารพนางโดยพร้อมเพรียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “ไปเถอะ เอาไว้ถึงที่บ้านสวนนอกเมืองค่อยว่ากัน”


 


 


ว่าแล้วก็เดินนำขึ้นรถม้าก่อน


 


 


คนของสำนักคุ้มภัยทยอยตามหลังไป


 


 


รถม้าห้าคันออกมาจากประตูหลัง มุ่งหน้าไปเมืองฝั่งเหนือ


 


 


พ้นประตูเมืองออกมา ไม่นานก็มาถึงหน้าบ้านสวน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมอบกุญแจให้เหวินเปียว


 


 


เหวินเปียวเดินขึ้นหน้า เปิดประตูออก รถม้าห้าคันแล่นเข้าไปด้านใน


 


 


คนทั้งหมดลงจากรถม้า ตอนที่เห็นสภาพภายในต่างก็ตกใจ ที่นี่ช่างงดงามนัก อย่าว่าแต่บ้านสวนที่พวกเขาพักมาหลายปี แม้แต่สำนักคุ้มภัยที่เคยอยู่ ก็ดีกว่าไม่รู้กี่เท่า


 


 


คนทั้งหมดเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า สุดท้ายหันไปมองเหวินเปียวพร้อมกัน ใช้แววตาถามว่าเรื่องเป็นมายังไงกันแน่


 


 


เหวินเปียวก็ไม่คิดว่าบ้านสวนแห่งนี้จะงดงามเช่นนี้ ถึงกับตาค้าง ถามติดๆ ขัดๆ “แม่นาง นี่…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ “นี่เป็นบ้านสวนที่ข้าเพิ่งซื้อไว้ ตอนนี้ยังไม่มีคนอาศัย เจ้าให้พี่น้องของเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อน อยู่ว่างๆ ก็จัดเก็บเรือนไปด้วย อีกสองสามวันจะมีงานให้พวกเจ้าทำ”


 


 


เหวินเปียวที่เชื่อฟังเมิ่งเชี่ยนโยวมาตลอด ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถามอีก


 


 


“พวกเจ้าจัดที่จัดทางก่อนเถอะ ข้าจะกลับไปสั่งคนซื้อผ้านวมและของใช้ส่วนตัวมาให้พวกเจ้า ต่อไปพวกเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ จำไว้ว่าไม่มีคำสั่งข้า ใครก็ห้ามเข้าไปในเมือง”


 


 


ทุกคนขานรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “ทุกวันข้าจะให้คนส่งกับข้าวเข้ามา พวกเจ้าต้องทำอาหารเอง ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”


 


 


เหวินหย่วนรับคำ “ไม่มีปัญหา พวกเราพอทำอาหารได้บ้างขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี” พูดจบก็หันไปพูดกับเหวินเปียว “สองสามวันนี้ข้ามีเรื่องต้องทำ จะไม่เข้ามา หากพวกเจ้ามีเรื่องอะไร ก็ฝากข่าวให้คนที่นำกับข้าวมาส่งให้ทุกวัน ข้าจะรีบเข้ามาทันที”


 


 


เหวินเปียวน้อมรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปบนรถม้า สั่งคนรถออกไปจากเรือน รถม้าอีกสี่คันไล่ตามหลังไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนรถให้ไปโรงงาน


 


 


ในโรงงาน บ่าวและพวกคนงานกำลังเก็บกวาดต้นไม้ใบหญ้า


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา บ่าวลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาอย่างรู้ความ ถามเสียงต่ำ “แม่นางเมิ่ง มีอะไรจะสั่งการขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “คนพวกนั้นหนีออกมาแล้ว ข้าจัดให้เขาอยู่เรือนนอกเมืองฝั่งเหนือ เจ้านั่งรถม้าไปซื้อกับข้าวให้พวกเขา ค่อยไปซื้อผ้านวมและของใช้ส่วนตัวให้พวกเขา คนค่อนข้างมาก เจ้าอาจจะต้องไปสองรอบ ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


บ่าวรีบร้อนโบกมือ “แม่นางเมิ่งอย่าพูดแบบนี้เด็ดขาด นี่เป็นงานสบายๆ ไม่เหนื่อยดอกขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบถุงเงินออกมา เปิดออก หยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้เขา “ไปเถอะ หากไม่พอก็บอกข้า”


 


 


บ่าวเคยเห็นเงินมากที่สุดก็ตอนที่เมิ่งฉีมอบเงินสิบตำลึงให้เขาเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้เห็นตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เมิ่งเชี่ยนโยวมอบให้ ตกใจไม่กล้ารับ “แม่นางเมิ่ง นี่ มากเกินไปแล้ว ข้า…” คิดจะพูดว่าข้าไม่กล้ารับ ก็กลัวจะสร้างภาพจำไม่ดีต่อเมิ่งเชี่ยนโยว จึงไม่ได้พูดออกมา


 


 


“รับไป พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นไม่ใช่แค่วันสองวัน ต่อไปต้องให้เจ้าคอยซื้อกับข้าวส่งให้เขาทุกวัน ข้าคงมาให้เงินเจ้าทุกวันไม่ได้ เจ้าจดบัญชีไว้ ถึงเวลาข้าจะเข้ามาดู”


 


 


บ่าวมือสั่น ขาก็สั่น ริมฝีปากยิ่งสั่นหนัก “แม่ แม่นางเมิ่งไม่กลัวว่าข้า จะแอบยักยอกเงินหรือขอรับ”


 


 


“เจ้าทำเป็นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม


 


 


บ่าวส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่แน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มยื่นตั๋วเงินให้เขา


 


 


บ่าวเข้าใจความหมายของนางแล้ว กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ปาดมือไปมาบนเสื้อ ถึงประคองสองมือรับตั๋วเงินมา ใส่ในอกเสื้ออย่างระวัง ก้าวขาที่สั่นเทิ้มขึ้นไปนั่งบนคานรถด้านหน้า บังคับรถม้าไปซื้อของที่ต้องการ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าอีกสองวันขบวนรถม้าของที่บ้านจะกลับเข้ามา จึงสั่งคนงานสองสามคนไว้ แล้วนั่งรถกลับมาบ้าน โดยไม่ได้ไปบ้านใต้เท้าเปา


 


 


ขบวนรถม้ายังไม่มา เมิ่งฉีกำลังนั่งรออยู่ในบ้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกสิ่งที่จัดเตรียมให้คนของสำนักคุ้มภัยแก่เขา


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า “แบบนี้ดีที่สุด ให้พวกเขาหลบอยู่ที่นั่นก่อน ส่วนเรื่องในภายหลัง รอให้พวกเราทำโรงงานเสร็จค่อยว่ากันอีกที”


 


 


จัดการคนของสำนักคุ้มภัยเสร็จแล้ว ขบวนรถม้าของที่บ้านก็ยังมาไม่ถึง เมิ่งเชี่ยนโยวคิดขึ้นได้ว่าตนเองรับเข็มเงินมาหลายวันแล้ว จึงสั่งชิงหลวน “เจ้าไปส่งข่าวบอกนายท่านเหวินร้านยาเต๋อเหริน บอกว่าข้าเตรียมสิ่งของทั้งหมดพร้อมแล้ว ให้ฮูหยินเข้ามารักษาได้ทุกเมื่อ”


 


 


ชิงหลวนรับคำ ออกไปร้านยาเต๋อเหริน


 


 


กินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีอะไรทำ จึงเรียกรวมตัวสาวใช้ สอนพวกนางจำแนกสมุนไพร


 


 


หวงฝู่อี้รีบร้อนเดินเข้ามาจากด้านนอก พูดด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า “พี่สาวเมิ่ง พี่ใหญ่ให้ท่านรีบไปจวนอ๋องฉีขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้สะท้อนแววตาล่อกแล่ก “พี่ใหญ่ไม่ได้บอก ข้าเองก็ไม่ทราบ เพียงบอกให้ข้ารีบมาเชิญท่านเข้าไปขอรับ”


 


 


ด้วยน้ำเสียงเร่งเร้าของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดมากอีก พาจูหลีขี่ม้าตามเขามาจวนอ๋องฉี


 


 


หวงฝู่อี้ไม่ได้พาเขาไปเรือนหวงฝู่อี้เซวียน แต่พาตรงมายังเรือนอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวให้คลางแคลงใจพลัน “พระชายาเอกสุขภาพดีขึ้นมากแล้ว ไม่น่าจะเกิดปัญหาใดอีก”


 


 


นางคิดได้ดังนี้ ก็เดินตามหวงฝู่อี้เข้ามาในห้องแล้ว


 


 


พระชายาเอกนั่งบนตั่งข้างหน้าต่าง กำลังส่งยิ้มพูดบางสิ่งกับหวงฝู่อี้เซวียน พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ไม่รอให้นางถาม ก็ยิ้มกวักมือให้นาง “โยวเอ๋อร์ เข้ามาสิ มานั่งตรงนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย หลังจากทักทายพระชายาเอกแล้ว ก็พูดว่า “อี้เซวียนให้อี้เอ๋อร์รีบร้อนตามข้าเข้ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”


 


 


พระชายาเอกยิ้มดึงมือนางเข้ามา พูดว่า “วันนี้เป็นวันที่พระชายารองจะส่งมอบอำนาจการดูแลบ้านคืน บัญชีมีมาก ข้าดูไม่หมด เซวียนเอ๋อร์จึงแนะนำให้ตามเจ้ามาช่วยดู อีกเรื่อง ข้าสุขภาพไม่ค่อยดี ต่อไปที่นา ร้านค้า ยังมีการค้าต่างๆ ของจวนจะมอบให้เจ้าช่วยดูแล ไม่รู้ว่าเจ้ายินดีจะช่วยงานนี้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหลบสายตา ไม่กล้ามองนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดปฏิเสธ “พระชายาเอก อย่างไรข้าก็เป็นคนนอก ช่วยท่านดูแลเรื่องในจวนหาสมควรไม่ อีกอย่าง ข้าก็มีการค้าของตัวเอง เกรงว่าจะช่วยท่านไม่ได้เจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาเอกยิ้มตบหลังมือนาง “เจ้าเป็นพระชายาซื่อจื่อที่เซวียนเอ๋อร์เลือกแล้ว เรื่องพวกนี้ช้าเร็วเจ้าก็ต้องเป็นคนดูแล เพียงแค่ทำเร็วขึ้นก็เท่านั้น เจ้าอย่าปฏิเสธอีกเลย เจ้าก็เห็นว่าสุขภาพข้าเพิ่งจะดีขึ้น หรือเจ้าทนเห็นข้าร่างกายทรุดลงเพราะเรื่องยิบย่อยพวกนี้ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธอีกครั้ง “ท่านมอบทั้งหมดนี้ให้อี้เซวียนดูแลได้นี่เจ้าค่ะ เขาเองก็ทำการค้าได้ไม่เลวเลย”


 


 


พระชายาเอกพูดเด็ดขาด “ต่อให้ตอนนี้มอบให้เขา หลังงานแต่งงานก็ต้องมอบให้เจ้าอยู่ดี ไม่ต้องยุ่งยากแล้ว มอบให้เจ้าตอนนี้ไปเลย”


 


 


ได้ยินน้ำเสียงเด็ดขาดของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าไม่อาจปฏิเสธได้อีก ยิ้มพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก พระชายาเอกโปรดให้ข้าหารือกับอี้เซวียนตามลำพังก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยแววตาพิศวง พลันคิดบางอย่างขึ้นได้ ถึงกับหน้าถอดสี


 


 


พระชายาเอกไม่คิดอะไรมาก ยิ้มพูดว่า “ไปเถอะ ยังเหลืออีกครึ่งชั่วยามกว่าพระชายารองจะนำบัญชีและกุญแจมาให้ข้า พวกเจ้ามาตรงตามเวลาก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ ลุกขึ้นยืน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอิดออดครู่หนึ่ง ถึงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เดินนำหน้าออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวเดินยิ้มตามหลังไป


 


 


พระชายาเอกมองทั้งสองคนตามกันออกไป ยิ่งมองก็ยิ่งมีความสุข


 


 


ออกมาจากเรือนพระชายาเอก หวงฝู่อี้เซวียนก็หน้าเหยเก ชำเลืองมองสีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง พูดอย่างระวัง “โยวเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งโมโห ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก หากข้าไม่ให้อี้เอ๋อร์พูดแบบนั้น เจ้าคงจะไม่เข้ามา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร ชักสีหน้าเดินตรงไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เดินตามหลัง รับรู้ได้ถึงโทสะคุกรุ่นของเมิ่งเชี่ยนโยว ตกใจถอยห่างออกมา


 


 


จูหลีที่ไม่รู้เรื่อง เดินตามทั้งสองคนไปติดๆ


 


 


พอเข้ามาถึงเรือนหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวก็บิดหูหวงฝู่อี้เซวียน เดินหน้าถมึงทึงเข้าไปในห้อง


 


 


คล้ายว่าจูหลีจะเข้าใจบางอย่างแล้ว หยุดยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเรือน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดึงหูหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาในห้อง แล้วใช้เท้าเตะปิดบานประตู


 


 


เสียงดังสนั่น หวงฝู่อี้ตกใจจนหัวใจเกือบจะหลุดออกมา


 


 


เสียงโอดโอยร้องขอชีวิตของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นตามมา “โยวเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งลงไม้ลงมือ ฟังข้าพูดก่อน…”


 


 


“เค้ง!” “ปัง!” “โอ๊ย!” เขายังพูดไม่ทันจบ ภายในห้องก็เกิดเสียงดังขึ้นเป็นระลอก

 

 

 


ตอนที่ 74 โมโหจนกระอักเลือด

 

หวงฝู่อี้เซวียนร้องโอดครวญขอร้องอีกครั้ง “โยวเอ๋อร์ อย่าตีหน้า ประเดี๋ยวพระมารดาเห็นเข้าจะปวดใจได้”


 


 


ตามมาด้วยเสียงกระแทกโต๊ะเก้าอี้สนั่นหวั่นไหว


 


 


หวงฝู่อี้ตกใจหัวหด ห่อมือคลำหัวใจที่เกือบจะหลุดออกมา


 


 


แม้แต่จูหลีที่ไม่เคยมีสีหน้าสะทกสะท้านยังแสดงอาการตื่นตระหนกออกมา


 


 


เสียงภายในห้องยังดังต่อเนื่อง หวงฝู่อี้เป็นห่วงจนทนไม่ไหว รวบรวมความกล้า เดินเข้าไปใกล้ประตู ถามเสียงแหบสั่น “ซื่อจื่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เป็นเสียงขว้างถ้วยชามาที่ประตูที่ตอบกลับเขา


 


 


หวงฝู่อี้ตกใจถอยหลังกรูด เกือบจะล้มคะมำ รีบกลับไปยืนกลางลานเรือน คอยฟังเสียงอึกทึกภายในห้องอย่างหวาดผวา คิดในใจว่าควรไปรายงานอ๋องฉีหรือไม่


 


 


ราวกันหวงฝู่อี้เซวียนจะอ่านความคิดเขาได้ น้ำเสียงหอบกระเส่าดังลอยออกมา “หากเจ้ากล้าไปบอกพระมารดา ข้าจะลงโทษเจ้า…” ยังพูดไม่ทันจบ “โอ๊ย” เสียงโหยหวนก็ดังออกมาแทน “โยวเอ๋อร์ เจ้าจะฆ่าสามีเรอะ”


 


 


น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมา “เจ้าคนใจดำอำมหิต แม้แต่ข้าก็กล้าวางแผน ฆ่าเจ้าให้ตายก็ดี ข้าจะได้กลับไปแต่งงานที่บ้านนอก”


 


 


ว่าแล้ว ไม่รู้ว่าทำอะไร เสียงร้องโหยหวนของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้ยืนกลางลานเรือน ใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทนรับไม่ไหว ตัดสินใจเดินออกไปนอกลาน อุดหูตัวเอง เมื่อไม่ได้ยินก็ไม่รู้สึก


 


 


ครู่ใหญ่เสียงภายในห้องถึงสงบลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตู เดินออกมาอย่างสบายอกสบายใจ ยืนรออยู่ในลาน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ เคลื่อนย้ายสองขาของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก


 


 


หวงฝู่อี้ไม่ได้ยินเสียงเอะอะแล้ว รีบเดินเข้ามาในลาน เห็นสภาพของหวงฝู่อี้เซวียน รีบเดินอ้อมหลังเมิ่งเชี่ยนโยว หมายจะเข้าไปประคองเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงกร้าว “หากเจ้าเข้าไปประคองเขา ข้าจะตีเจ้าให้ขยับตัวไม่ได้ไปครึ่งเดือน”


 


 


หวงฝู่อี้หดมือทันควัน ยืนนิ่งอยู่อีกด้าน มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความเห็นใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปจากลาน หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลัง ทุกย่างก้าว รวดร้าวจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมา น้ำเสียงเกรี้ยว “เจ้าทำแบบนี้อยากให้คนในจวนรับรู้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง มองนางอย่างน้อยใจ ทำหน้าขอความเห็นใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ระบายอารมณ์แล้ว พอใจสบาย อารมณ์ก็ดีตามไปด้วย กลั้นขำ แสร้งชักสีหน้าพูดว่า “นี่เป็นเพียงการสั่งสอนสถานเบา หากครั้งหน้าเจ้ากล้าวางแผนกับข้าอีก ข้าจะอัดเจ้าให้ออกจากบ้านไม่ได้ไปสามวัน”


 


 


พอคิดถึงเพลิงโทสะในดวงตาเมิ่งเชี่ยนโยวที่แทบจะฆ่าเขาให้ตายได้เมื่อครู่ หวงฝู่อี้เซวียนก็กลัวจนตัวสั่นเทิ้ม รีบโบกมือรับประกัน “จะไม่มีครั้งหน้าอีก ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับไป หลุดขำ เม้มริมฝีปากเดินนำหน้าไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนฝืนเดินตามหลังแสร้งเหมือนเป็นคนปกติ


 


 


กระทั่งมาถึงหน้าประตูเรือนพระชายาเอก เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน เบี่ยงตัว หันหน้าไปส่งสายตาให้หวงฝู่อี้เซวียนเดินนำเข้าไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจทันที แอ่นอกยืดตัวตรงเดินนำเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง


 


 


พอพ้นประตูเข้ามา พระชายาเอกเห็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่มีท่าทีขุ่นข้อง นึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนพูดเกลี้ยกล่อมได้แล้ว จึงกวักมือให้นางมานั่งข้างตัวเอง ยิ้มพูดว่า “ต้องแบบนี้สิ ช้าเร็วเจ้าก็ต้องมาดูแลจวนอ๋องฉี เจ้ารีบมารับช่วงต่อไปแต่เนิ่นๆ ภายหน้าจะได้ไม่เหนื่อยมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มเหล่ตามองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกเจ็บแผลแปลบๆ


 


 


เกิดความเคลื่อนไหวในเรือน พระชายารองและฝ่ายบัญชีต่างมากันแล้ว


 


 


ด้วยมีบทเรียนจากครั้งก่อน พระชายารองไม่กล้าโอหังอีก พูดกับหลิงหลงที่เฝ้าหน้าประตู “ไปเรียนพี่สาวหน่อยเถิด บอกว่าข้านำบัญชีมามอบให้แล้ว”


 


 


พระชายาเอกได้ยินเสียงนาง หันไปสบตาเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง เก็บคืนรอยยิ้ม ชักน้ำเสียงสั่งการออกไปด้านนอก “เชิญพระชายารองเข้ามาได้”


 


 


พระชายารองเดินเข้ามา แสดงความเคารพพระชายาเอกตามธรรมเนียมปฏิบัติ


 


 


พระชายาเอกยื่นมือรับ “ได้ยินว่าหลายวันมานี้น้องสาวไม่ค่อยสบาย ผอมซูบไปไม่น้อย ไม่ต้องมากพิธีแล้ว นั่งลงเถอะ”


 


 


พระชายารองกล่าวขอบคุณ ทั้งทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย


 


 


พระชายารองนั่งบนเก้าอี้อีกด้าน ส่งสายตาให้ฝ่ายบัญชีนำสมุดบัญชีและกุญแจวางบนโต๊ะเบื้องหน้าพระชายาเอก พูดว่า “ท่านพี่ บัญชีทั้งหมดของจวนอยู่นี่แล้ว เชิญท่านตรวจดูความถูกต้องเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาเอกหันมองเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งขึ้น


 


 


พระชายารองโพล่งปากถาม “ท่านพี่ นี่เป็นสมุดบัญชีของจวน ให้คนนอกดูได้อย่างไรเจ้าคะ”


 


 


พระชายาเอกพูดโต้กลับไปอย่างเนิบๆ “เรื่องนี้ข้าได้ปรึกษาท่านอ๋องแล้ว บัญชีในจวนมีมากนัก ข้าคนเดียวตรวจสอบไม่ไหว จึงขอให้แม่นางเมิ่งมาช่วย”


 


 


พอได้ยินว่าอ๋องฉีก็เห็นชอบแล้ว พระชายารองทำหน้าตกตะลึง ทั้งไม่กล้าโต้แย้งอีก ทำได้เพียงก่นด่าสาปแช่งพระชายาเอกในใจ “เมื่อไร้ความสามารถ ยังจะมาถือสิทธิ์ภายในจวน ทำเอาข้าต้องขายเครื่องแต่งงานไปเกือบหมด ถึงพอจะอุดช่องโหว่นี้ได้ ไม่เช่นนั้นพอสิ้นปีข้าก็จะได้กำไรหลายแสนแล้ว”


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ ใบหน้าก็เหยเกแทบดูไม่ได้


 


 


พระชายาเอกเห็นดังนั้น ถามด้วยเสียงละมุน “น้องสาว ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของท่านอ๋องหรือ”


 


 


พระชายารองลนลานโบกมือ “ที่ไหนกันเจ้าคะ เรื่องในจวนท่านพี่และท่านอ๋องมีสิทธิ์ขาด น้องสาวก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของท่านมาหลายปีแล้ว”


 


 


พระชายาเอกแสดงสีหน้าอิจฉา “นั่นสิ ตอนนี้น้องสาวสบายตัว แต่พี่กลับต้องลำบากแล้ว”


 


 


ตนเองได้ประโยชน์กลับแสร้งว่าถูกเอาเปรียบ พระชายารองโมโหบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ร้องก่นด่าพระชายาเอกในใจเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าดูบัญชี แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากบทสนทนาของพวกนางเลย


 


 


บัญชีในจวนมีมาก นอกจากที่นา ร้านค้าและการค้าแล้ว ข้าวของในคลังเก็บของในจวนก็มีไม่น้อย


 


 


พระชายาเอกหยิบสมุดบัญชีคลังมาพลิกดู ร้องเรียกหลิงหลงเข้ามา ให้นางนำสมุดบัญชีพาคนไปตรวจสอบสิ่งของทุกชิ้นในคลัง


 


 


หลายปีผ่านมา ในที่สุดนายของตนเองก็จะมากุมอำนาจแล้ว ต่อไปตนเองไม่ต้องก้มหัวให้สาวใช้ของพระชายารองอีก หลิงหลงดีใจขานรับคำ ยืดตัวตรง ร้องเรียกสาวใช้ขั้นหนึ่งในเรือนพระชายาเอกจำนวนหนึ่งไปยังคลังเก็บของ ตรวจนับสิ่งของอย่างละเอียด ไม่มีตกหล่นแม้สักชิ้นเดียว


 


 


ความจริงหลิงหลงคิดมากไปเอง หลายปีมานี้นอกจากเงินทอง พระชายารองหาได้แตะต้องสิ่งของอื่นในจวนไม่


 


 


ใช้เวลาตรวจสอบตลอดช่วงบ่าย ถึงตรวจบัญชีครบทั้งหมด


 


 


ดูท่าพระชายารองจะลงแรงไปไม่น้อย ทำบัญชีได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดูบัญชีเสร็จ หันไปพูดกับพระชายาเอก “บัญชีไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายารองที่ไม่ถูกจับได้ว่าตกแต่งบัญชีก็ให้โล่งใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดขึ้นต่อว่า “ทว่าอักษรในสมุดบัญชียังมีกลิ่นน้ำหมึก น่าจะเพิ่งทำเสร็จได้ไม่นาน จวนของท่านมักจะทำบัญชีตอนใกล้เวลาหรือเจ้าคะ”


 


 


ฝ่ายบัญชีถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก


 


 


พระชายารองตกใจลุกขึ้นยืนพูดละล่ำละลัก “หลายวันก่อนตอนที่ข้าสั่งฝ่ายบัญชีเข้ามาทำบัญชี เขาเผลอทำน้ำหกใส่ ข้าจึงตวาดเขาแล้วให้เขียนขึ้นมาใหม่”


 


 


ฝ่ายบัญชีรีบพูดสมทบ “ผู้น้อยไม่ระวังทำสมุดบัญชีเปียก ขอพระชายาเอกโปรดอภัยด้วย”


 


 


เรื่องช่างบังเอิญนัก คนโง่ก็รู้ว่าพวกเขาโกหก แต่บัญชีไม่มีปัญหา พระชายาเอกจึงไม่คิดหาความพวกเขา ยกยิ้มแล้วทำมือบอกให้พระชายารองนั่งลง ทั้งโพล่งหัวเราะออกมาพูดว่า “น้องสาวไยต้องลนลานเช่นนี้ นั่งลงเถอะ อย่าว่าแต่ทำบัญชีใหม่เลย ต่อให้ทำเงินขาดไป ข้าก็ไม่ว่าอะไร อย่างไรเรื่องใหญ่น้อยในจวนก็มีมากมาย หลายปีมานี้หากจะทำเงินตกหล่นไปหลายหมื่นก็เป็นเรื่องเข้าใจได้”


 


 


พระชายารองขบฟันแน่นจนเกือบจะหัก บัญชีถูกต้อง กุญแจก็มอบให้แล้ว นางกลับมาพูดจาหน้าใหญ่ใจโต หากนางพูดเร็วกว่านี้สองสามวัน ตนเองคนไม่ต้องขายเครื่องประดับศีรษะชิ้นโปรดที่สุดไป ทำเอาตอนนี้ตนเองไม่เหลือเครื่องประดับดีๆ สักชิ้นแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางสมุดบัญชีลง แสร้งแย้มยิ้มพูดกับพระชายาเอกอย่างไม่คิดอะไร “เมื่อครู่ตอนข้าตรวจดูบัญชี เห็นว่าที่จวนมีร้านค้าหลายร้านที่อยู่ในทำเลทองของเมือง บังเอิญนัก หลายวันก่อนข้าก็เพิ่งซื้อในย่านนั้นมาได้หลายร้าน”


 


 


พระชายารองเงยหน้าพลัน มองนางอย่างไม่เชื่อ


 


 


พระชายาเอกที่ไม่รู้ว่าเรื่องที่นางซื้อร้านค้าของพระชายารอง ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ดีใจแทนด้วยใจจริง “เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก ย่านนั้นเป็นทำเลที่ดีมาก ต่อให้ไม่ทำการค้า แค่เพียงปล่อยเช่า แต่ละปีก็จะทำเงินได้ไม่น้อยแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นจึงซื้อมาทีเดียวห้าร้านเลยเจ้าค่ะ”


 


 


ย่านทำเลทองนั้นอย่าว่าแต่ห้าร้านเลย แค่เพียงร้านเดียวก็ยากจะหาได้ พระชายาเอกถึงกับตกใจถลึงตาโต ถามอย่างไม่มั่นใจ “ซื้อห้าร้านหรือ”


 


 


“อือ”


 


 


“เช่นนั้นก็ต้องใช้เงินไม่น้อยสินะ” พระชายาเอกถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้ม ทำท่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ น้ำเสียงคึกคะนองลำพองใจ “ร้านค้าห้าร้าน ใช้เงินไปทั้งหมดเพียงสองล้านเจ้าค่ะ”


 


 


สิ้นเสียงนาง “ปัง” เกิดเสียงดังขึ้นภายในห้อง


 


 


คนทั้งหมดสะดุ้งตกใจ หันมองไปพร้อมกัน เห็นพระชายารองทรุดนั่งลงไปกองกับพื้นอย่างน่าสังเวช


 


 


“น้องสาว เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือ หลิงหลงรีบไปตามหมอเข้ามา” พระชายาเอกที่ไม่รู้เรื่องราว รีบร้อนพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบแสยะยิ้ม


 


 


พระชายารองรีบโบกมือ “ไม่ต้องๆ คงเพราะเมื่อคืนข้าพักผ่อนไม่พอ เมื่อครู่จู่ๆ ก็รู้สึกหน้ามืด ถึงได้ล้มลงไป กลับไปพักผ่อนที่ห้องก็พอแล้ว”


 


 


พระชายาเอกยิ่งให้เป็นห่วง น้ำเสียงรบเร้า “เช่นนั้นก็ยิ่งต้องเชิญหมอมา อาการวิงเวียนหน้ามืดเป็นเรื่องใหญ่” ว่าแล้ว ก็สั่งหลิงหลงเสียงเข้ม “ยังไม่รีบไปอีก!”


 


 


หลิงหลงรับคำ รีบวิ่งออกไป


 


 


พระชายารองลนลานบอกปัด “ไม่ต้องจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านพี่ ข้าเป็นเช่นนี้บ่อยๆ พักสักหน่อยก็หายเองเจ้าค่ะ”


 


 


หลิงหลงหยุดรอ


 


 


พระชายาเอกพลันทำหน้าตำหนิตัวเอง “เพราะข้าสุขภาพไม่ดี พลอยลำบากเจ้าต้องมาดูแลงานในจวนหลายปี ต้องเหนื่อยทั้งใจและกาย จนสุขภาพเจ้าทรุดโทรม ข้ารู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ ครานี้ดีแล้ว มอบงานทั้งหมดในจวนให้ข้า ต่อไปเจ้าจะได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่แล้ว”


 


 


นี่เป็นคำพูดเยาะเย้ยถากถางชัดๆ ทำเอาพระชายารองแทบอยากจะทุ่มม้านั่งข้างมือ ใส่ใบหน้าจอมปลอมของนางแตกเสียให้รู้แล้วรู้รอด จำต้องสะกดกลั้น กล้ำกลืนกัดฟันพูดว่า “การแบ่งเบางานของท่านพี่เป็นหน้าที่ของน้องแล้ว หาต้องเก็บมาใส่ใจไม่”


 


 


พระชายาเอกที่เพิ่งนึกได้ว่าพระชายารองยังนั่งไม่เหมาะสมอยู่บนพื้น ตวาดใส่หลิงหลง “นังบ่าวไม่มีตา ยังไม่รีบประคองน้องสาวข้าขึ้นมาอีก!”


 


 


หลิงหลงเองก็เพิ่งจะได้สติกลับมา เดินเข้าไปคล้องแขนพระชายารอง ค่อยๆ ประคองนางลุกขึ้น


 


 


พระชายารองรู้สึกว่าตัวเองขายหน้าไม่เหลือแล้ว พอลุกขึ้นยืนก็สะบัดมือหลิงหลงออกพลัน ทำความเคารพพระชายาเอกอย่างขอไปที “เมื่อตรวจบัญชีเรียบร้อยดีแล้ว น้องสาวก็ขอตัวลาเจ้าค่ะ”


 


 


“ไปเถอะๆ” พระชายาเอกกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย “กลับไปก็พักผ่อนให้เยอะๆ หากยังไม่สบายตรงไหน ก็รีบไปตามหมอ เรื่องสุขภาพจะรอช้าไม่ได้”


 


 


พระชายารองกล่าวขอบคุณ สาวเท้าก้าวฉับๆ ออกไปจากเรือนพระชายาเอก สาวใช้ข้างกายที่รอนางในลานเรือนรีบเดินเข้าไปหมายจะประคองนางกลับ


 


 


พระชายารองถลึงตาใส่ สะบัดมือนางออก พูดอย่างเคืองขุ่น “กลับไปค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”


 


 


สาวใช้ไม่เข้าใจ


 


 


พระชายารองไม่ต้องให้สาวใช้ประคองแล้ว เดินกระฟัดกระเฟียดกลับเรือนตัวเอง


 


 


กระทั่งพระชายารองออกไปแล้ว พระชายาเอกถึงชักสีหน้า น้ำเสียงอ่อนเนิบ แต่ละคำกลับบาดลึกเข้าไปในใจฝ่ายบัญชี “เจ้าเป็นคนเก่าแก่ของจวน ใครเป็นผู้ดูแลจวนนี้เจ้าย่อมรู้แก่ใจดี เห็นแก่ที่เจ้าทุ่มเททำงานเพื่อจวนอ๋องมาหลายปี เรื่องตบแต่งทำบัญชีขึ้นใหม่นี้ข้าจะไม่เอาความ แต่หลังจากนี้…”


 


 


“พลั่ก” ฝ่ายบัญชีตกใจคุกเข่ากับพื้น “พระชายาเอกไว้ชีวิตด้วย บ่าวเองก็ถูกบังคับไม่มีทางเลือก หลายปีมานี้พระชายารองยักย้ายเงินไปเป็นจำนวนมาก หากไม่ทำบัญชีขึ้นใหม่ไม่มีทางจะตรงกัน แต่บ่าวรับประกันได้ว่า พระชายารองคืนเงินทั้งหมดกลับมาแล้ว เงินของจวนไม่ขาดไปแม้แต่อีแปะเดียวขอรับ”


 


 


“หากไม่เพราะเงินอยู่ครบ เจ้าคิดว่าข้าจะยังเก็บเจ้าไว้พูดกับเจ้าดีเช่นนี้เรอะ” พระชายาเอกพูดเสียงกร้าว


 


 


ฝ่ายบัญชีโขกศีรษะ “ขอบคุณเหนียงเหนียงที่ไว้ชีวิต ขอบคุณเหนียงเหนียงที่ไว้ชีวิต”


 


 


“ลุกขึ้นได้” พระชายาเอกพูดเนิบๆ “ต่อไปรู้ว่าควรทำอย่างไรแล้วหรือไม่”


 


 


“บ่าวทราบแล้ว เหนียงเหนียงวางใจ นับแต่นี้ไปบ่าวจะทำบัญชีอย่างชัดเจน หากท่านไม่อนุญาต ใครก็อย่าหวังจะมาเอาเงินไปจากบ่าวได้แม้ตำลึงเดียว”


 


 


“อือ” พระชายาเอกเปล่งเสียง แล้วพูดว่า “ทำดีจะมีรางวัล ทำไม่ดีจะคิดบัญชีรวบยอดพร้อมกับครั้งนี้ ลงโทษสถานหนัก”


 


 


พระชายาเอกใช้น้ำเสียงเนิบนาบ ฝ่ายบัญชีกลับตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก ลนลานรับประกัน “เหนียงเหนียงวางใจ ต่อไปบ่าวจะทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดขอรับ”


 


 


พระชายาเอกโบกมือ


 


 


ฝ่ายบัญชีถึงลุกขึ้น ขาที่สั่นเทิ้มกำลังจะก้าวถอยออกไป ลืมแม้แต่จะหอบสมุดบัญชีออกไป


 


 


“ช้าก่อน!” พระชายาเอกพูด


 


 


ฝ่ายบัญชีขาพับขาอ่อน แทบล้มทั้งยืน


 


 


พระชายาเอกสั่งเขา “เอาบัญชีกลับไปด้วย”


 


 


ไม่ได้จะลงโทษเขา หัวใจของฝ่ายบัญชีกลับสู่สภาวะปกติ เดินตัวสั่นไปข้างโต๊ะ มือสั่นเทิ้มหอบสมุดบัญชี ถอยออกไปอย่างนอบน้อม


 


 


กระทั่งเขาออกไปแล้ว พระชายาเอกก็ยกยิ้มขึ้นทันที ทำหน้าอยากรู้อยากเห็น พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอดใจรอไม่ได้ “รีบบอกข้ามา เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ ข้าเห็นหน้าเหลียนอีแทบจะกระอักเลือดอยู่แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ บอกเรื่องที่ตัวเองพบเข้ากับสาวใช้พระชายารองที่กำลังขายร้านค้าอยู่โดยบังเอิญ จึงให้เมิ่งฉีซื้อตัดราคานางมา


 


 


พระชายาเอกฟังจบ ชอบอกชอบใจพูดว่า “เจ้านี่นะ ร้ายกาจยิ่งนัก คาดว่าครั้งนี้เหลียนอีคงต้องกระอักเลือดเป็นแน่แท้แล้ว”


 


 


พระชายาเอกคาดเดาไม่ผิดจริงๆ หลังจากพระชายารองกลับมาถึงเรือนตัวเอง ก็ตวาดสาวใช้คนสนิท “เจ้าคนหนอนบ่อนไส้ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”


 


 


สาวใช้ลนลานคุกเข่า ยังไม่ทันเอ่ยปาก พระชายารองก็ถามเสียงเกรี้ยว “พูดมา ร้านค้าทั้งห้าร้านนั่น เจ้าขายให้ใครไปกันแน่”


 


 


สาวใช้ตกใจขวัญผวา น้ำเสียงสั่นเครือ “ขายให้พ่อค้าต่างเมืองคนหนึ่ง บ่าวได้รายงานเหนียงเหนียงตั้งแต่วันที่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายารองตบหน้านางฉาดใหญ่ “ยังกล้าโกหก ต้องโดนโบยก่อนใช่หรือไม่”


 


 


สาวใช้คนนี้พระชายารองเป็นคนพามาจากจวนมหาเสนาบดี ติดตามนางมาหลายปี เป็นคนสนิทข้างกายนาง มีสถานะสูงกว่าคนทั่วไป ไม่เคยถูกลงโทษมาก่อน ตอนนี้ถูกพระชายารองตบหน้ากะทันหัน ก็ให้มึนงง กุมใบหน้ามองพระชายารองอย่างไม่เชื่อ


 


 


พระชายารองโมโหจนแทบคลั่ง ไร้สติสัมปชัญญะแล้ว เห็นนางมองตนเอง จึงตบเข้าไปที่หน้านางอีกฉาด “เรื่องเล็กแค่นี้ยังทำให้ดีไม่ได้ ยังกล้ามาจ้องข้าอีก”


 


 


สาวใช้ในห้องต่างตกใจตัวสั่น ห่อหดตัวยืนหลบอีกด้าน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


 


 


สาวใช้ถูกตบติดต่อกันสองครั้ง นางมึนงงไปหมดแล้ว


 


 


แม่นมของพระชายารองเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา เห็นพระชายารองโมโหหายใจหอบ ดวงตาลุกเป็นไฟ แทบอยากจะฆ่าสาวใช้ให้ตายคามือ รีบพูดด้วยใจร้อนรน “คุณหนูคนดีของข้า มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน โมโหเช่นนี้จะเสียสุขภาพได้นะเจ้าคะ”


 


 


พระชายารองพูดเสียงเกรี้ยว “นังทาสชั้นต่ำคนนี้ เอาร้านค้าทั้งห้าร้านของข้าไปขายให้นังเด็กสาวบ้านนอกนั่น”

 

 

 


ตอนที่ 75 คุณหนูรองเฝิงผู้สดใสร่าเริง

 

แม่นมร้องอุทาน


 


 


สาวใช้คนสนิทยิ่งตกใจงุนงง โต้แย้งเสียงหลง “เหนียงเหนียง ตีให้ตายบ่าวก็ไม่มีทางขายร้านค้าให้นางเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายารองไร้สติสัมปชัญญะแล้ว ได้ฟังดังนั้นก็เตะเข้าไปกลางอกสาวใช้ “ยังกล้าเถียงข้า เมื่อครู่นังตัวดีนั่นบอกกับข้าเอง”


 


 


แม่นมมีประสบการณ์สูง ทั้งรู้จักสาวใช้ในระดับหนึ่ง ได้สติพูดขึ้นว่า “จะต้องมีอะไรเข้าใจผิดกัน ชุ่ยเหลียนจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ”


 


 


ชุ่ยเหลียนโขกศีรษะเต็มแรง ร้องขอความเป็นธรรมให้ตนเอง “เหนียงเหนียง บ่าวขายให้คุณชายคนหนึ่งจริงๆ แม้แต่โฉนดร้านเขาก็เป็นคนประทับลายนิ้วมือ หากท่านไม่เชื่อ ส่งคนไปสอบถามที่ศาลาว่าการได้เจ้าค่ะ”


 


 


พระชายารองดูท่าทีนางไม่เหมือนคนโกหก สติสัมปชัญญะเริ่มกลับมา แผดเสียงยืนยันอีกครั้ง “ที่เจ้าพูดเป็นความจริง”


 


 


“จริงแท้แน่นอน บ่าวจะโกหกเหนียงเหนียงได้อย่างไรเจ้าคะ” ชุ่ยเหลียนรับรอง


 


 


แม่นมก็ช่วยพูดสมทบ “ก็นั่นนะสิ นังตัวดีนั่นจะต้องใช้แผนบางอย่าง หลอกล่อให้ชายคนนั้นออกหน้าซื้อร้านแทนนาง”


 


 


เดิมพระชายารองคิดจะรอเก็บเงินกู้คืนได้หลังปีใหม่ อาศัยสถานะตนเอง บีบบังคับซื้อร้านค้าทั้งห้านั้นคืน ตอนนี้ตกไปอยู่ในมือเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ไม่เหลือความหวังแล้ว พอคิดว่าต้องมาเสียท่าให้เมิ่งเชี่ยนโยว พระชายารองรู้สึกถึงกลิ่นคาวในลำคอ กระอักพ่นเลือดออกมา โดนตัวของชุ่ยเหลียนพอดี


 


 


ชุ่ยเหลียนกรีดร้อง ตกใจเป็นลมสลบไป


 


 


พระชายารองก็หลับตาลง ร่างหงายไปด้านหลัง


 


 


แม่นมร้องอุทาน เข้าไปประคองพระชายารอง “คุณหนู!”


 


 


สาวใช้ในห้องลนลานทำตัวไม่ถูก ต่างกรูเข้ามาประคองพระชายารอง


 


 


แม่นมร้องสั่งพวกนาง “เร็ว รีบประคองเหนียงเหนียงไปที่เตียง!”


 


 


สาวใช้ล้อมกันเข้ามาประคองพระชายารองไปที่เตียง วางนางนอนลง


 


 


เรือนของพระชายารองวุ่นวายอลหม่าน เรือนของพระชายาเอกกลับมีแต่เสียงหัวเราะสรวลเส


 


 


พระชายาเอกยิ้มสั่งหลิงหลง “ไปบอกพ่อครัวทำอาหารอร่อยๆ วันนี้โยวเอ๋อร์จะกินข้าวที่นี่ อีกอย่างประเดี๋ยวพอท่านอ๋องกลับมา บอกเขาว่าวันนี้ข้ามีแขกสำคัญ ให้เขาไปกินอาหารที่เรือนพระชายารอง”


 


 


หลิงหลงรับคำ เดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพระชายาเอกมีความสุข จึงไม่ปฏิเสธ เพียงชำเลืองตามองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตัวสั่นวาบ รู้สึกเจ็บแปลบที่แผลบนตัวอีกครั้ง


 


 


เรือนของพระชายาเอกนานๆ ถึงจะมีแขก อีกทั้งไม่แน่ว่าในอนาคตสตรีนางนี้จะได้เป็นพระชายาซื่อจื่อด้วย แม่ครัวทำอาหารที่ตนเองถนัดออกมาหลายอย่าง


 


 


พระชายาเอกให้หลิงหลงจัดวางอาหารบนโต๊ะในห้อง ทั้งสามล้างมือเสร็จเพิ่งจะนั่งลง เสียงสาวใช้ด้านนอกก็ดังขึ้น “ท่านอ๋อง!”


 


 


พระชายาเอกตกใจลุกขึ้นยืน เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นตาม


 


 


อ๋องฉีเข้ามาในห้อง เห็นอาหารถูกจัดวางไว้ในห้อง กะพริบตาปริบๆ


 


 


“ท่านอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันให้คนไปเรียนแล้วว่าวันนี้มีแขก ให้ท่านไปที่เรือนของน้องสาว” พระชายาเอกตกใจถาม


 


 


อ๋องฉีกระแอมพูดว่า “วันนี้เหลียนอีไม่ค่อยสบาย ข้าอยู่แล้วเบื่อ จึงมาที่นี่”


 


 


พระชายาเอกพ่นหัวเราะในใจ น้ำเสียงกลับยิ่งตื่นตกใจ “น้องสาวไม่สบาย วันนี้ตอนที่ตรวจบัญชียังดีๆ อยู่ เหตุใดถึงไม่สบายเสียแล้ว หรือนางเสียใจ ก็เลยผลักไสท่านออกมา”


 


 


“เห็นว่าเมื่อคืนนอนไม่พอ วิงเวียนศีรษะ กลัวจะจับไข้แล้วเอาโรคมาติดข้า จึงไม่ให้ข้าอยู่กินข้าวด้วย”


 


 


พระชายาเอกพยักหน้า “ตอนบ่ายพอตรวจบัญชีเสร็จ น้องสาวก็กล่าวเช่นนี้ ข้านึกว่าพอนางมอบอำนาจคืนจะทำใจไม่ได้ พูดจาบอกปัด ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง ข้าจะสั่งคนไปตามหมอเดี๋ยวนี้เพคะ”


 


 


“ไม่ต้องแล้ว นางบอกว่าพักสักหน่อยก็ดีเอง”


 


 


“เช่นนั้นท่านอ๋อง…” พระชายาเอกแสร้งถาม


 


 


“ข้ามากินข้าวกับพวกเจ้าด้วย” อ๋องฉีรีบพูด


 


 


พระชายาเอกเห็นท่าทีกระวนกระวายของเขา นึกขำในใจ สั่งหลิงหลง “ไปเตรียมถ้วยตะเกียบมาให้ท่านอ๋อง!”


 


 


อ๋องฉีรีบเข้าไปนั่งในตำแหน่งประธาน บอกทั้งสามคนว่า “นั่งลงเถอะ”


 


 


ทั้งสามนั่งประจำที่


 


 


หลิงหลงหยิบถ้วยตะเกียบเข้ามาวางตรงหน้าอ๋องฉีอย่างอ่อนน้อม


 


 


อ๋องฉียังไม่ทันหยิบตะเกียบขึ้นมา เสียงของหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นจากลานด้านนอก “พี่ใหญ่อยู่เรือนพระมารดาหรือไม่ขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างแหนงหน่าย “อยู่ เข้ามาเถอะ!”


 


 


สาวใช้เปิดม่าน หวงฝู่อวี้เดินเข้ามา เห็นอ๋องฉีก็อยู่ด้วย ชะงักเล็กน้อย จากนั้นพูดอย่างน้อยใจ “พระบิดา พระมารดา วันนี้ท่านแม่ไม่ได้ทำกับข้าวให้ข้า” ว่าแล้ว ก็มองอาหารบนโต๊ะตาปริบๆ


 


 


พระชายาเอกทั้งโมโหทั้งขำ ส่ายหน้า ชี้ที่นั่งข้างหวงฝู่อี้เซวียน “นั่งลงกินด้วยกันเถอะ!”


 


 


“ขอบคุณพระมารดา!” หวงฝู่อวี้กล่าวขอบคุณอย่างชื่นบาน สาวเท้าเดินมาข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน ทำหน้าแป้นร้องเรียกประจบ “พี่ใหญ่ แม่นางเมิ่ง”


 


 


“อือ” หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า


 


 


“ไปบอกแม่ครัว ให้เพิ่มอาหารที่ท่านอ๋องและอวี้เอ๋อร์ชอบมาอีกสองอย่าง” พระชายาเอกพูด


 


 


“ขอบพระทัยพระมารดา” หวงฝู่อวี้ทำหน้าประจบประแจงพระชายาเอก


 


 


หลิงหลงรับคำ เดินมาสั่งในครัว แล้วหยิบถ้วยตะเกียบอีกหนึ่งชุดเข้ามา วางลงเบื้องหน้าหวงฝู่อวี้


 


 


อ๋องฉีหยิบตะเกียบก่อน คีบอาหารใส่ถ้วยตัวเอง


 


 


พระชายาเอกและคนอื่นๆ ถึงหยิบตะเกียบเริ่มลงมือกินข้าว


 


 


แม่ครัวได้รับคำบอกจากหลิงหลง ก็ให้ตกอกตกใจ ลอบคิดว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น นายท่านต่างมารวมตัวกันกินข้าวที่เรือนของเหนียงเหนียง หากย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในใจคิดแต่มือกลับไม่รอช้า ทำอาหารถนัดอีกสองอย่างออกมาโดยไว


 


 


ปกติจะทานอาหารในห้องครัว ไม่เพียงมีพระชายาเอกและหวงฝู่อี้เซวียน พระชายารองและหวงฝู่อวี้ก็อยู่ด้วย ทุกคนต่างกินไม่พูด นอนไม่คุย กินข้าวอย่างเป็นระเบียบเสร็จก็กลับห้องตัวเอง วันนี้ไม่เหมือนกัน ขาดพระชายารองไปหนึ่งคน แม้แต่อ๋องฉีก็รู้สึกว่าบรรยากาศในการกินอาหารดีขึ้นมาก รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างประหลาด ทำให้เจริญอาหารทานได้มากขึ้น


 


 


เจ้าเด็กทึ่มอย่างหวงฝู่อวี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เดิมทีก็เป็นคนคิดอะไรไม่เป็น ตอนนี้ไม่มีพระชายารองคอยส่งสายตาให้ จึงไม่รู้สึกเกร็งกินได้อย่างสบาย ดังนั้นบทสรุปของอาหารมื้อนี้คือ อ๋องฉีและเจ้าทึ่มหวงฝู่อวี้กินจนพุงกาง พระชายาเอกที่เดิมกินได้น้อย ก็กินพอประมาณ ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับกินอิ่มเพียงครึ่งท้อง


 


 


พระชายาเอกโมโหมองค้อนใส่สองพ่อลูกหลายครั้ง


 


 


อ๋องฉีรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยานาง ถึงรู้ว่าตัวเองกินเยอะกินไปแล้ว ใบหน้าแดงเรื่อ


 


 


เจ้าทึ่มหวงฝู่อวี้กลับครึ้มอกครึ้มใจไม่รับรู้อะไรเลย ยังลูบพุงของตัวเองพูดว่า “อิ่มจัง ข้ากินจนพุงกางเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้ปริมาณการกินของเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นนางกินไปเล็กน้อย รู้ว่านางยังไม่อิ่ม กำลังปวดใจ ครั้นได้ยินคำพูดหวงฝู่อวี้ จึงถามเสียงเ**้ยม “อยากให้ข้าช่วยเจ้าย่อยหรือไม่”


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจผวาในน้ำเสียงเ**้ยมของเขา รีบเบิกตาโต พูดอย่างสั่นผวา “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าไม่ได้หาเรื่องแม่นางเมิ่ง เหตุใดท่านถึงพูดเช่นนี้กับข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขบฟันกรอดๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ เตือนเขา “พอแล้ว เขายังเป็นเด็ก ไยต้องถือสาเขาด้วย”


 


 


หวงฝู่อวี้รีบพูดต่อ “ใช่ๆ พี่ใหญ่ ข้ายังเด็ก ท่านจะเอาแต่ถือสาข้าไม่ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเค้นเสียงพูดลอดไรฟัน “เจ้าอายุสิบห้าแล้ว ยังเป็นเด็ก”


 


 


เห็นอ๋องฉีและพระชายาเอกต่างยิ้มตาหยี ไม่ชักสีหน้าตึงเหมือนก่อน หวงฝู่อวี้จึงมีความกล้า พูดจายอกย้อน “อย่างไรข้าก็เด็กกว่าท่าน ไม่ว่ายังไงข้าก็คือน้อง ท่านจะเอาแต่รังแกข้าไม่ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแค่นหัวเราะ หันไปพูดกับอ๋องฉี “พระบิดา อวี้เอ๋อร์อายุสิบห้าปีแล้ว ท่านสมควรกำหนดงานแต่งงานให้เขาแล้วหรือไม่”


 


 


“พี่ใหญ่!” หวงฝู่อวี้ร้องโวยวาย “ข้าเป็นน้องชายท่าน ท่านจะผลักข้าลงเหวไม่ได้ ผู้หญิงน่ากลัวจะตาย ข้าไม่ต้องการ!”


 


 


ภายในบ้านไม่เคยมีบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้มาก่อน อ๋องฉีที่ชอบอกชอบใจ ก็รับลูกเล่นด้วย พูดเห็นดีเห็นงามอย่างขึงขัง “ดี วันพรุ่งให้พระมารดาเจ้าไปส่งเทียบเชิญให้บรรดาฮูหยิน ให้พวกนางพาบุตรสาวที่วัยไล่เลี่ยกันเขามาดูหน้าดูตาก่อน”


 


 


อ๋องฉีไม่เคยพูดเล่นมาก่อน หวงฝู่อวี้นึกว่าเป็นเรื่องจริง ตกใจร้องลั่น “พระบิดา พี่ใหญ่พูดเล่น ท่านอย่าคิดเป็นจริงเด็ดขาด” ว่าแล้ว รีบหันไปพูดกับพระชายาเอก “พระมารดา ท่านเพิ่งจะแข็งแรงดี หากต้องมาเหน็ดเหนื่อยเพราะคัดเลือกภรรยาให้ข้า คงไม่เป็นการดี ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ฟื้นฟูสุขภาพให้มากๆ ดีกว่าขอรับ”


 


 


เห็นเขาร้อนรนจนเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผากแล้ว พระชายาเอกกลั้นไม่อยู่หัวเราะออกมา หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะตามไปด้วย


 


 


อ๋องฉีก็ยกยอมุมปาก


 


 


หวงฝู่อวี้ถึงรู้ว่าตัวเองถูกหลอก แต่ก็ไม่โกรธ ถอนใจโล่งอก ตบหน้าอกตัวเองพูดว่า “ตกใจแทบแย่ ข้านึกว่าพระบิดาจะเลือกภรรยาให้ข้าจริงๆ แล้ว”


 


 


คนทั้งหมดหัวเราะครื้นเครง


 


 


สาวใช้และบ่าวด้านนอกได้ยินเสียงหัวเราะในห้อง ต่างข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า ได้เห็นแต่แววตาประหลาดใจในสายตากันและกัน


 


 


พอกินอาหารค่ำเสร็จ ฟ้าก็มืดมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวลาอ๋องฉีและพระชายาเอก “วันนี้ตอนอี้เอ๋อร์เข้าไปไม่ได้บอกให้ชัดเจน ข้าก็รีบตามเขาเข้ามา มืดค่ำเช่นนี้ข้ายังไม่กลับไป คาดว่าพี่รองจะต้องกำลังว้าวุ่นใจ ข้าสมควรกลับแล้ว เลี่ยงไม่ให้เขาเป็นห่วง”


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ พระชายาเอกจึงไม่รั้งไว้ พูดว่า “ให้เซวียนเอ๋อร์ไปส่งเจ้า เดินทางระวังด้วย”


 


 


“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “วันนี้เขาเองก็ไม่ค่อยสบาย ให้อยู่พักที่จวนเถิด ข้ากลับไปกับจูหลีก็ได้แล้ว”


 


 


พระชายาเอกถามด้วยความเป็นห่วงพลัน “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายตรงไหน จะให้ตามหมอหรือไม่”


 


 


อ๋องฉีและหวงฝู่อวี้ก็มองไปที่เขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหน้าแดงเรื่อ พูดโป้ปด “ตอนบ่ายกลับไปที่ห้อง เผลอไปเดินชนโต๊ะเข้า ไม่ได้เป็นอะไรมาก พระมารดาไม่ต้องเป็นห่วง”


 


 


พระชายาเอกชะงักอึ้ง แล้วคิดบางอย่างได้ ใบหน้ามีแววดีใจลางๆ ยิ้มพูดว่า “เจ้าลูกคนนี้ เพิ่งอายุแค่นี้ ต่อไปห้ามใจร้อนเช่นนี้อีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่านางคิดไปอีกอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจความหมายของพระชายาเอก เหยียบเท้าหวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ใต้โต๊ะอย่างไม่มีใครจับได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเจ็บเกือบจะร้องออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อน”


 


 


พระชายาเอกพยักหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินกะเผลกตามหลังนางไป


 


 


พระชายาเอกสงสัย บ่นพึมพำ “เซวียนเอ๋อร์เป็นอะไรไป”


 


 


“คงจะนั่งนานเกินไป ขาก็เลยชา” อ๋องฉีกล่าว


 


 


“ไม่ใช่สักหน่อย” เจ้าทึ่มหวงฝู่อวี้หาได้เบาเสียงไม่ แผดเสียงพูดว่า “เมื่อครู่พี่ใหญ่ถูกแม่นางเมิ่งเหยียบเท้า ข้าเห็นกับตา”


 


 


อ๋องฉีและพระชายาเอกมองตากันปริบๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่เพิ่งจะเดินมาถึงลานเรือนชะงักฝีเท้า โกรธจนแทบอยากจะเอาถุงเท้าเน่าอุดปากหวงฝู่อวี้


 


 


สาวใช้และบ่าวทั่วลานเรือนต่างก้มหน้าก้มตา แต่หากมองดีๆ จะเห็นบ่ากระตุกไหว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจปฏิกิริยาพวกเขา มุ่งหน้าเดินออกไปจากจวน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามนางไป พูดปะเหลาะเอาใจ “โยวเอ๋อร์ ข้าไปส่งเจ้านะ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มอ่อน “หากเจ้าไม่อยากโดนพี่รองอัดอีกรอบ ก็ไปส่งข้าเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีความกล้านั้น ถอยหลังก้าวหนึ่งทันที “งั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย อีกสองวันข้าค่อยเข้าไปหาเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพลิกตัวขึ้นหลังม้า ขี่ม้ากลับไปพร้อมจูหลี


 


 


เมิ่งฉีเป็นกังวลมาโดยตลอด แม้แต่อาหารค่ำก็กินไม่ลง พอได้ยินบ่าวรายงานว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว ก็รีบมายังเรือนของนาง ถามขึ้นกลางลานเรือนทันที “น้องสาว เกิดอะไรขึ้นกับอี้เซวียน เหตุใดเพิ่งกลับมาป่านนี้”


 


 


“พี่รอง” เมิ่งเชี่ยนโยวก็เพิ่งจะกลับเข้าห้อง ได้ยินเสียงเขาก็ตอบกลับไปว่า “พี่รอง ท่านเข้ามาเถอะ”


 


 


เมิ่งฉีเดินเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนหลอกให้ตัวเองไปช่วยตรวจบัญชีกับเขา


 


 


ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ เมิ่งฉีวางใจลง ทั้งพูดสนับสนุน “เช่นนี้ก็ดี พระชายาเอกร่างกายไม่แข็งแรง พอเจ้าแต่งงานเข้าไป เจ้าก็ต้องเป็นคนดูแลต่อ รีบรับมาตอนนี้ ต่อไปจะได้ไม่เหนื่อยมาก”


 


 


“พี่รอง” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เหตุใดท่านถึงพูดเหมือนพระชายาเอกเช่นนี้”


 


 


เมิ่งฉียิ้มพูดว่า “เจ้าช่างโชคดีนัก พระชายาเอกไม่เคยคิดจะควบคุมดูแลบ้าน หากเป็นสกุลใหญ่บ้านอื่นไม่มีทางเป็นเช่นนี้ ทุกคนมีแต่จะแย่งกันเพื่อครอบครองอำนาจมาไว้ในมือตัวเอง บางทีถึงขั้นแย่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พระชายาเอกปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้ พี่รองก็วางใจแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังบอกเรื่องที่จงใจพูดว่าซื้อร้านค้าเหล่านั้นไว้ให้พระชายารองรู้ รวมถึงเรื่องที่พระชายารองโมโหจนป่วยให้เมิ่งฉีฟัง


 


 


เมิ่งฉีฟังจบ หัวเราะส่ายหน้า “เจ้านะ จะต้องยั่วโมโหนางให้ได้ ระวังนางจะแก้แค้นคืน”


 


 


“ที่ข้าต้องการก็คือให้นางโต้กลับ หากนางไม่โต้ตอบ พวกเราจะหาโอกาสขจัดนางได้อย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


สองพี่น้องคุยกันอีกพักใหญ่ เมิ่งฉีจึงกลับมาพักผ่อนที่ห้องตัวเอง


 


 


วันถัดมาหลังกินอาหารเช้า ขบวนรถม้าของครอบครัวก็ยังมาไม่ถึง ฮูหยินเหวินซื่อและสาวงามนางหนึ่งกลับมาถึงก่อน


 


 


พวกเขาได้พบหน้ากัน ฮูหยินเหวินซื่อรีบดึงมือเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาพูดอย่างชื่นมื่น “เมื่อวานท่านพี่กลับไปบอก ข้าดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้พอกินข้าวเสร็จก็รีบมาแต่เช้า หากมีอะไรไม่เหมาะสม ขอน้องสาวอภัยด้วย”


 


 


“อาซ้อ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ที่นี่ก็เหมือนบ้านของท่าน ท่านเข้ามาได้ทุกเมื่อ จะมีสิ่งใดไม่เหมาะสมกันเล่า”


 


 


“ท่านก็คือแม่นางเมิ่ง” สตรีข้างกายฮูหยินเหวินซื่อยื่นหน้าถามอย่างไม่กลัวคนแปลกหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองนาง เป็นหญิงอายุราวสิบห้าสิบหกปี ดวงตากลมโต คิ้วโก่งได้รูป รอบกายมีกลิ่นอายสดใสร่าเริง


 


 


ฮูหยินเหวินซื่อยิ้มแนะนำ “นางเป็นน้องสาวข้าจิ้งซู เจ้าบอกไม่ให้ข้าพาสาวใช้มาด้วย ข้าจึงกลับไปบ้านแม่รับนางมาอยู่ด้วย วันนี้ก็บอกคนที่บ้านว่าพานางออกมาเที่ยว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้เฝิงจิ้งซู


 


 


เฝิงจิ้งซูเข้าไปคล้องแขนอีกข้างของนางอย่างสนิทสนม “ข้าได้ยินพี่เขยพูดถึงท่าน ว่าท่านเคยช่วยชีวิตเขา ข้ายังนึกว่าท่านเป็นหญิงแกร่งดุดันซักแค่ไหน ที่แท้ท่านก็เป็นสตรีที่พริ้มเพรายิ่งกว่าข้าเสียอีก”


 


 


ฮูหยินเหวินซื่อเริ่มรู้สึกไม่ดี พูดว่า “น้องสาวข้ามีนิสัยร่าเริงเปิดเผย เข้ากับคนง่าย โยวเอ๋อร์อย่าได้ถือสา”


 


 


“คุณหนูเฝิงปากตรงกับใจ นิสัยโผงผาง ข้าชอบผู้หญิงเช่นนี้ที่สุด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


“งั้นหรือ” เฝิงจิ้งซูร้องยินดี “ข้าก็รู้สึกว่าพวกเราถูกคอกัน ต่อไปพวกเราก็คือเพื่อนรักกัน”


 


 


“จิ้งซู!” ฮูหยินเหวินซื่อเอ็ดนาง “อย่าทำอะไรไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่”


 


 


“ได้สิ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ต่อไปพวกเราก็คือเพื่อนรักกัน”


 


 


“จริงนะ” เฝิงจิ้งซูดีใจเบิกบาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เฝิงจิ้งซูยิ้มหน้าบาน ปรากฏลักยิ้มบุ๋มที่สองข้างแก้ม ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้นางยิ่งขึ้น


 


 


ฮูหยินเหวินซื่อไม่คิดว่าทั้งสองจะถูกคอกันเช่นนี้ ให้ปลาบปลื้มยินดีไปด้วย


 


 


แม้เมิ่งฉีจะไม่เคยเจอเหวินซื่อ แต่ได้ยินเรื่องเขามานาน พอได้ยินว่าเหวินซื่อและฮูหยินจะมา จึงออกมาต้อนรับด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พี่รอง ข้าจะไปรักษาให้อาซ้อ บุรุษไม่ควรดู ท่านพานายท่านเหวินไปนั่งรอที่ห้องรับแขกเถอะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)