ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 67-70

 ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 67 กลัว

 

แล้วหวงฝู่ซวิ่นก็กลืนน้ำลายลงคอ หมดมาดฮ่องเต้ไปเลยทีเดียว นั่งหลังตรงออกคำสั่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ให้เสด็จอาเข้ามา” 


 


 


หัวหน้าขันทีผู้ดูแลตอบรับ แล้วออกไป ไม่นานท่านอ๋องฉีก็เดินเข้ามา  


 


 


เมื่อเข้ามาในห้องทรงพระอักษรก็ยืนด้านหน้าหวงฝู่ซวิ่นอย่างนอบน้อม ยังไม่ทันให้เขาได้พูดอะไร ก็ทำการคารวะเต็มยศอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ถวายบังคมฝ่าบาท” 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นตกใจขนลุกซู่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาเป็นฮ่องเต้มาหลายปีแล้วล่ะก็ เขาคงตกใจลุกหนีไปไหนต่อไหนแล้ว ที่หน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อย ตอนแรกก็ว่าห้องหนังสือนี้บรรยากาศดี แต่ตอนนี้กลับรู้สึกร้อนขึ้นมาทันทีทันใด 


 


 


ยังคงนั่งนิ่ง พยายามข่มใจที่เต้นแรง แล้วพูดด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “เสด็จอา ท่าน……” 


 


 


“คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ฝ่าบาทคงได้ยินมาบ้างแล้ว กระหม่อมมาขอบพระคุณฝ่าบาทที่ให้เกียรติจวนอ๋องฉีของกระหม่อมเพียงนี้” 


 


 


ประโยคนี้ทำไมยิ่งฟังยิ่งพิลึก รู้สึกได้ถึงความต้องการคิดบัญชีย้อนหลังอย่างไรไม่รู้ แต่ท่านอ๋องฉีพูดด้วยท่าทางสำรวม ทำให้หวงฝู่ซวิ่นใจเสาะขึ้นมาแล้วสิ จึงหัวเราะกลบเกลื่อนออกไป พูดเปลี่ยนเรื่อง แล้วออกคำสั่งว่า “ยกเก้าอี้มาให้เสด็จอา” 


 


 


ขันทีก็ลากเก้าอี้มา วางไว้ตรงด้านหลังท่านอ๋องฉี  


 


 


ท่านอ๋องฉีนั่งลงไปอย่างไม่เกรงใจ แล้วมองจ้องไปที่หวงฝู่ซวิ่น  


 


 


“เสด็จอามองข้าเช่นนี้ด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ” 


 


 


“เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็ผ่านมาหลายปีแล้วที่ท่านได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ กระหม่อมแก่แล้ว ตอนนี้ยังพอมีเวลา จึงแวะมาดูฝ่าบาทเสียหน่อย… …” คำพูดของเขายังไม่ทันจบ หวงฝู่ซวิ่นก็สันหลังเย็นวาบ เหงื่อไหลเต็มไปหมด 


 


 


“เสด็จอา ท่านมีเรื่องอะไรก็กล่าวมาตรงๆ เถอะ ไม่ว่าเรื่องใดหลานจะตอบรับท่านทุกเรื่อง” หวงฝู่ซวิ่นพูดตะกุกตะกัก ถึงขั้นลืมสรรพนามที่ใช้แทนตนเองไปเลยทีเดียว 


 


 


“ฝ่าบาทเข้าใจกระหม่อมผิดแล้ว กระหม่อมไม่ได้มีเรื่องมาขอร้องท่านเลย เพียงแค่อยากพบท่านก็เท่านั้น กระหม่อมจะนั่งเงียบๆ มองท่านแบบนี้ก็พอแล้ว” ท่านอ๋องฉีพูดด้วยสีหน้าจริงใจ ไม่มีท่าทีผิดแปลกเลยสักนิด  


 


 


 ไม่ทำอะไรทั้งนั้น นั่งมองจ้องเขาอย่างเดียว แค่คิดภาพ หวงฝู่ซวิ่นก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว เลยเริ่มนั่งไม่ติด ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินมาตรงหน้าท่านอ๋องฉี แล้วทำท่าทีปกติ พูดเอาใจว่า “เสด็จอาขอรับ หรือว่าหลานทำผิดอะไรไปหรือไม่ ท่านพูดออกมาตรงๆ เลยเถิด หลานจะแก้ไขแน่นอนขอรับ” 


 


 


ท่านอ๋องฉีก็รีบลุกขึ้นทันที “ฝ่าบาท ท่านอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลย ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ จะไปทำผิดอะไรตอนไหนกัน ที่ผิดเป็นกระหม่อมเอง ไม่สิ ไม่มีใครผิดทั้งนั้น กระหม่อมเพียงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอฝ่าบาทนานแล้ว เลยอยากเข้ามาดูฝ่าบาทให้เป็นบุญตา ถ้าหากท่านเห็นว่ากระหม่อมทำการไม่เหมาะสม ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมทูลลา แล้วจะไม่เข้าวังมาเจอหน้าฝ่าบาทอีก” 


 


 


ท่านอ๋องฉีแค่คิดถึงตน เลยมาหาที่ห้องทรงพระอักษร ทั้งยังไม่รบกวนเขาอ่านฎีกาอีก เอาแต่นั่งมองเขาเงียบๆ แล้วถ้าตนไม่อนุญาต ไล่เขาออกไปล่ะก็ แบบนี้หากข่าวแพร่ออกไป ไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านจะมีข้อคิดเห็นอย่างไร แค่เสด็จย่ากับเสด็จพ่อ ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้ว โดยเฉพาะเสด็จย่า ที่อายุมากขึ้นทุกวัน นางเองก็เริ่มเลอะเลือน แค่เรื่องปกติธรรมดานางก็พูดได้สองสามชั่วยาม แล้วถ้าหากว่าเรื่องนี้เข้าถึงหูวัยทองอย่างนางล่ะก็ คงพูดไปสามวันเจ็ดวัน อย่างไรเสียท่านอ๋องฉีก็เป็นลูกชายของนาง ส่วนตนนั้นเป็นแค่หลาน  


 


 


หวงฝู่ซวิ่นลำบากใจเหลือเกิน รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่พูดเช่นนั้นกับเยียลี่ว์อาเป่าไปเพื่อความสนุกชั่วครั้งคราวเท่านั้น ทำให้ตนเองต้องมาตกที่นั่งลำบากเช่นนี้  


 


 


เห็นเขาไม่พูดอะไร ท่านอ๋องฉีเลยกล่าวโทษตนเองว่า “ดูเหมือนว่ากระหม่อมจะรบกวนฝ่าบาทจริงๆ สินะ เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่ๆ ไม่เลย” หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกโดนแทงกลางอก แต่ก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “เสด็จอาไม่ได้รบกวนหลานเลย ท่านนั่งตรงนั้นไปเถิดขอรับ นั่งไปเถอะ” 


 


 


“กระหม่อมไม่ได้รบกวนฝ่าบาทจริงๆ งั้นหรือ” ท่านอ๋องฉีถามด้วยท่าทางไม่เชื่อ แล้วยังทำทีจะเดินออกไปอีกด้วย  


 


 


“ไม่เลยขอรับ ไม่เลย เสด็จอาเชิญนั่งเถิด” หวงฝู่ซวิ่นรีบแก้ต่างทันที แล้วยังยื่นมือออกมาเชื้อเชิญอีกด้วย  


 


 


“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมก็ไม่เกรงใจแล้ว” ท่านอ๋องฉีพูด แล้วนั่งลง 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นได้แต่ฝืนยิ้มออกมา “เสด็จอานั่งลงเถิด หลานยังมีฎีกาที่จะต้องตรวจอีกมากมาย” 


 


 


พูดจบ ก็ออกคำสั่ง “ยกน้ำชาให้เสด็จอาด้วย” 


 


 


ตอนที่พูดประโยคนี้ ก็จงใจพูดคำว่า ‘ยกน้ำชา’ ออกมาเน้นๆ หนักๆ เพื่อให้ขันทีผู้ดูแลทั้งหลายเข้าใจว่า เอามาเยอะๆ เอาชาที่ดีที่สุด มาให้ท่านอ๋องฉีได้ดื่ม ให้ดื่มจนอยากเข้าห้องน้ำ จะได้ไปๆ เสียที นี่เป็นวิธีที่เขาคิดได้ตอนที่เข้าตาจนเมื่อสักครู่  


 


 


แต่วันนี้ขันทีทั้งหลายอยู่ดีๆ ก็โง่ขึ้นมาเสียงอย่างนั้น ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ หลังจากที่ตอบรับแล้ว ก็ยกน้ำชาถ้วยเล็กๆ ออกมาให้กับท่านอ๋องฉี  


 


 


หวงฝู่ซวิ่นแทบอยากจะโบยเขาสักแปดสิบที แต่ละคนปกติฉลาดนักไม่ใช่หรือไง แล้วเหตุใดวันนี้ถึงได้โง่เช่นนี้ล่ะ 


 


 


ถึงใจจะคิดได้เช่นนี้ แต่อยู่ต่อหน้าท่านอ๋องฉีแล้วไม่กล้าทำอะไร เพราะทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เลยจำใจต้องเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสือของตนแล้วตรวจฎีกาต่อไป 


 


 


แต่ว่า สายตาที่ท่านอ๋องฉีจ้องมองไปที่เขานั้น แม้ว่าจะมีความสำราญเบิกบานใจอยู่ แต่หวงฝู่ซวิ่นรู้ว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น แล้วจะให้ตรวจฎีกาต่อไปได้เยี่ยงไรเล่า  


 


 


นั่งทรมานอยู่ได้หนึ่งชั่วยามกว่าๆ เล่มฎีกาเล่มแรกที่ถืออยู่อย่างไร ตอนนี้ก็ยังถืออยู่อย่างนั้น หวงฝู่ซวิ่นทำใจตรวจไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นอย่าได้พูดถึงว่าจะแก้ปัญหาในฎีกานี้ได้อย่างไรเลย 


 


 


“ฝ่าบาท ถึงเวลาเสวยอาหารกลางวันแล้ว” เสียงของหัวหน้าขันทีผู้ดูแลดังขึ้นเหมือนเสียงสวรรค์ 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเลยแอบถอนหายใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น แล้ว “อืม” เบาๆ แล้ววางเล่มฎีกาที่มือลงอย่างช้าๆ พูดด้วยความดีใจว่า “เสด็จอาขอรับ ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วขอรับ ไปทานข้าวกับหลานเถิดขอรับ” 


 


 


“อ่อ ดี” ดูเหมือนท่านอ๋องฉีจะยังดูไม่พอ เลยตอบรับอย่างไม่ลังเล 


 


 


แต่หวงฝู่ซวิ่นกลับชะงักไป กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกกันเลยทีเดียว แล้วยืนขึ้น น้ำเสียงดีใจเมื่อครู่ได้หายไป กลายเป็นความปวดหัวและกัดฟันพูดขึ้นว่า “ขอเชิญเสด็จอาขอรับ!” 


 


 


ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้เกรงใจ ลุกเดินมาที่ห้องอาหาร  


 


 


อาหารเลิศรส แต่หวงฝู่ซวิ่นกลับไม่ได้รู้สึกอยากกินเลยสักนิด เพราะแม้ว่าท่านอ๋องฉีจะนั่งอยู่อีกทางหนึ่ง แต่ก็ไม่กินอะไรทั้งสิ้น ยังคงมองจ้องหวงฝู่ซวิ่นไม่หยุด ราวกับว่าจ้องเขาทั้งชีวิตนี้ก็จ้องไม่พอ 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเองก็ทนไม่ไหว ข้าวยังกินไม่ทันหมด ก็วางชามกับตะเกียบลง โบกมือให้ผู้ดูแลทั้งหมดออกไป ยืนขึ้น แล้วยอมรับผิดกับท่านอ๋องฉีอย่างน่าสงสาร “เสด็จอาขอรับ หลานผิดไปแล้ว ท่านปล่อยข้าไปเถิด” 


 


 


เห็นเขาพูดเช่นนี้ ท่านอ๋องฉีก็ไม่จำเป็นที่ต้องแสร้งทำเป็นอีกต่อไป ปล่อยตัวตามสบาย กลับมาเป็นท่านอ๋องฉีคนเดิม แล้วบอกว่า “ฝ่าบาทผิดตรงไหนหรือ” 


 


 


ประโยคนี้ของเขา ทำให้หวงฝู่ซวิ่นโล่งใจเป็นอย่างมาก รีบตอบกลับทันทีว่า “หลานไม่ควรยุยงให้เยียลี่ว์นั่นไปสู่ขอแต่งงานขอรับ” 


 


 


“แค่เพียงฝ่าบาทต้องการ ข้ากับซื่อจื่อจะทำเพื่อท่านโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่ความตาย แต่เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของข้า ถ้าหากว่าท่านต้องการใช้พวกนางเป็นเครื่องมือเพื่อการใหญ่ของท่าน ข้าไม่อนุญาต และพวกเราจวนอ๋องฉีก็ไม่อนุญาตเช่นเดียวกัน” 


 


 


ฟังเขาพูดจบ หวงฝู่ซวิ่นตกใจเป็นอย่างมาก รีบอธิบายโดยทันที “เสด็จอา หลานไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยนะขอรับ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้กองกำลังรัฐอู่ของพวกเรานั้นแข็งแกร่งนัก ไม่ต้องใช้วิธีผูกมิตรด้วยการสมรสก็มั่นคงได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลานสาวสองคนนี้ข้าก็เห็นมาแต่อ้อนแต่ออด ต่อให้พวกท่านจะยอมให้พวกนางแต่งออกไปแดนไกล ข้าเองนี่แหละที่จะไม่ยอมให้พวกนางแต่งออกไปเด็ดขาด” 


 


 


“ที่ท่านพูดเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“แน่นอนขอรับ ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ตระบัดสัตย์ต่อเสด็จอาอย่างแน่นอนขอรับ” 


 


 


“ดี กระหม่อมจะจำคำพูดของฝ่าบาทเอาไว้ และหวังว่าต่อจากนี้จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” 


 


 


“แน่นอนขอรับ” หวงฝู่ซวิ่นตอบรับอย่างเต็มปาก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวก็เกินพอ ถ้ามีครั้งที่สอง เกรงว่าเจ้าหวงฝู่อี้เซวียนคนใจดำนั่นคงเอาชีวิตตนถึงที่แน่ 


 


 


ได้ยินเช่นนี้ท่านอ๋องฉีพอใจเป็นอย่างมาก แล้วมองหวงฝู่อี้ซวิ่นอีกครั้งหนึ่ง ลุกขึ้น แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทก็เสวยต่ออย่างสบายใจเถิด กระหม่อมทูลลา” หลังจากนั้น ก็เดินออกไป 


 


 


มองเขาเดินออกไป แล้วมองกลับมาที่อาหารเลิศรสบนโต๊ะที่ไม่ได้แตะเลยสักคำ นี่เป็นครั้งแรกที่หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกว่าตนเป็นฮ่องเต้ที่ปอดแหกที่สุด ขนาดเสด็จอายังกลัวเพียงนี้ แต่เรื่องน่าแปลกก็คือ เขาไม่มีความโกรธเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกว่า แท้จริงแล้วตนอยากให้เป็นเช่นนี้ มีความผูกพันซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนกับเสด็จพ่อ ที่เป็นฮ่องเต้ผู้โดดเดี่ยวมาทั้งชีวิต พอสุดท้าย สายสัมพันธ์พี่น้องก็แทบไม่เหลืออะไรเลย  


 


 


พอท่านอ๋องฉีเข้าวังมา เหล่าไทเฮา[1]กับฮ่องเต้องค์ก่อนก็รู้ทันที แต่คิดว่าเขาคงมีเรื่องสำคัญมาปรึกษาหวงฝู่ซวิ่น เลยก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แต่เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว เขาก็ยังไปเสวยอาหารกลางวันกับหวงฝู่ซวิ่นอีก นี่มันไม่ปกติ ดังนั้น ทั้งสองคนเลยส่งคนของตนไปสืบ พอท่านอ๋องฉีเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร ขันทีผู้ดูแลตำหนักเหล่าไทเฮาก็รีบเข้ามาทำความเคารพทันที “ท่านอ๋อง เหล่าไทเฮาได้ยินว่าท่านเข้าวังมา เลยอยากให้ท่านไปหานางเสียหน่อยขอรับ” 


 


 


แม่ของตนเอง อีกทั้งอายุก็มากแล้ว ท่านอ๋องฉีกลับไม่ค่อยได้มาหานางในวังเสียเท่าไร เมื่อได้ยินขันทีผู้ดูแลพูดดังนั้น เลยรีบไปที่ตำหนักเหล่าไทเฮาทันที  


 


 


เหล่าไทเฮาตอนนี้ก็อายุเจ็ดสิบปีแล้ว เรื่องต่างๆ ในวังก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแล้ว หน้าที่รับผิดชอบทั้งหมดถูกส่งต่อให้กับไทเฮาองค์ปัจจุบันจัดการ ส่วนตนก็อยู่แต่ในตำหนักของตนเอง ใช้ชีวิตที่เหลือไปวันๆ แต่วันนี้จวนอ๋องฉีเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หลังจากกูกูผู้ดูแลได้ยินเรื่องราวดังกล่าว ก็อดไม่ได้ที่จะมาบอกนาง เหล่าไทเฮากระวนกระวายใจยิ่งนัก กลัวว่าลูกคนรองของตนจะโกรธจนทำเรื่องผิดๆ เลยสั่งให้คนไปห้ามเขาเอาไว้  


 


 


เมื่อท่านอ๋องฉีเดินเข้ามา ก็คารวะ “ขอคารวะเสด็จแม่!” 


 


 


“นั่งเถอะ” 


 


 


“ขอบพระคุณขอรับเสด็จแม่” 


 


 


หลังจากขอบคุณเสร็จแล้ว ท่านอ๋องฉ็นั่งลงอย่างเรียบร้อย  


 


 


“เรื่องวันนี้ข้าได้ยินหมดแล้วล่ะ ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมให้เมิ่งเอ๋อร์แต่งงาน ก็ปัดๆ ไปให้สิ้นเรื่อง อย่าเอาเรื่องนี้มาบาดหมางกับฮ่องเต้เลย” เหล่าไทเฮาไม่ได้พูดอ้อมค้อม พูดโน้มน้าวโดยทันที 


 


 


  


 


 


[1] เหล่าไทเฮา คือ ไทเฮาของฮ่องเต้องค์ก่อน หรือ เสด็จย่าของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 68 มาเพิ่มอีกหนึ่งคน

 

ท่านอ๋องฉีตอบรับ แล้วพูดว่า “เสด็จแม่ ลูกเพียงแค่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนวันนี้มารายงานให้ฮ่องเต้ฟังอย่างละเอียดเท่านั้น ไม่ได้ทำอันใดเลย ขอเสด็จแม่โปรดวางพระทัย” 


 


 


เหล่าไทเฮาลอบถอนหายใจ ลูกของนาง นางเลี้ยงมากับมือ รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีอะไรก็พูดตรงๆ ไม่เคยปากไม่ตรงกับใจ แต่ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกัน ไปได้จากใครมา ทำเสแสร้งแกล้งทำเป็นกับเขาแล้ว ขนาดกับแม่เช่นนางเขายังทำได้ลงคอ 


 


 


เสียงถอนหายใจเบาๆ ของเหล่าไทเฮา ท่านอ๋องฉีทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วพูดเปลี่ยนเรื่องโดยทันที แล้วสนทนากับนางไปได้พักหนึ่ง 


 


 


หลังจากเสวยอาหารกลางวันเสร็จ เหล่าไทเฮาเคยชินกับการบรรทมกลางวัน หลังจากที่พูดคุยกันได้พักหนึ่ง ก็ง่วงเสียแล้ว สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านอ๋องฉีเห็นดังนั้น จึงยืนขึ้น แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “เสด็จแม่ ลูกยังมีเรื่องในจวนที่จะต้องจัดการ ขอตัวลากลับจวนก่อน แล้วเดี๋ยวไว้วันหลังจะพาพระชายากับเด็กๆ มาหาท่าน” 


 


 


เหล่าไทเฮาเริ่มทนไม่ไหวแล้ว ปิดปากหาวไปแล้วหลายครั้ง จึงโบกมือ “ไปเถอะ กลับไปบอกยัยหนูสองคนนั้น บอกให้พวกนางเข้าวังมาพบข้าบ่อยๆ หน่อย” 


 


 


พอเดินออกมาจากตำหนักเหล่าไทเฮา ท่านอ๋องฉีก็ออกจากวังตรงกลับจวนโดยทันที  


 


 


หน้าประตูจวนเก็บกวาดเรียบร้อย ไม่เห็นร่องรอยแม้แต่นิดเดียว ประตูจวนก็เปิดออกแล้ว นายประตูผู้ขี้เกียจก็ยืนกอดอกพิงรับแสงแดดอยู่ที่โต๊ะข้างประตู  


 


 


เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้า เห็นท่านอ๋องฉีกลับมา ก็รีบยืนตัวตรงต้อนรับโดยทันที 


 


 


ท่านอ๋องฉีลงจากม้า ยื่นเชือกผูกม้าให้กับเขา แล้วเดินตรงเข้าไปในจวนทันที 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ในเรือนตลอด ไม่ได้ออกไปไหน ที่จวนเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทั้งสองคนได้ยินเข้า หวงฝู่เย่าเย่ว์ผู้อยากรู้อยากเห็น ก็อยากจะออกมาดู แต่โดนหวงฝู่สือเมิ่งห้ามเอาไว้ “ท่านแม่สั่งเอาไว้ว่า ให้พวกเราอยู่แต่ในเรือน อย่าออกไปไหน ถ้าหากว่าเจ้ายังดื้อดึงจะออกไปล่ะก็ ท่านแม่จะโกรธเอาได้นะ” 


 


 


ความอยากออกไปของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลดลงทันที ทำหน้ามุ่ยแล้วเดินไปนั่งข้างๆ หวงฝู่สือเมิ่ง ซบไหล่ของนาง “พี่ใหญ่ ท่านว่ามาสิ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ มันเรื่องอะไรกันแน่” 


 


 


“ไม่ว่าเรื่องใด ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา เจ้าควรอยู่ที่นี่เฉยๆ ดีกว่านะ” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์เบะปาก ถอนหายใจออกมากเบาๆ ว่า “อยู่แต่ในเรือนทุกวันแบบนี้น่าเบื่อจะตาย วันพรุ่งพวกเราไปหาท่านยายที่นอกเมืองดีไหม ไม่ได้เจอกันหลายวัน นางจะต้องคิดถึงพวกเราแน่นอน” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน ไว้ตอนเย็นพวกเราไปบอกท่านพ่อท่านแม่นะ ว่าวันพรุ่งจะพารุ่ยเอ๋อร์ไปบ้านท่านยาย” 


 


 


ในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งคุยกัน ก็มีแม่บ้านคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องกับไท่จื่อแห่งรัฐหมิงต่อสู้แล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกโหยงขึ้นมา ลุกลี้ลุกลน สีหน้าดีใจอยากจะเดินออกไป 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งดึงนางเอาไว้ แล้วถามแม่บ้านเพื่อความแน่ใจอีกทีว่า “เจ้าว่าท่านปู่ตีกับใครนะ” 


 


 


“ไท่จื่อแห่งรัฐหมิง ที่ชื่อว่าเยียลี่ว์อาเป่าเจ้าค่ะ วันนี้เขานำของขวัญมา และนำคนมาสู่ขอ ทำให้ท่านอ๋องโกรธ เลยลากเขาเข้ามาในจวน สั่งสอนไปหนึ่งยกเจ้าค่ะ” กำลังหอบ แต่เสียงของแม่บ้านมีความชอบใจแบบบอกไม่ถูก 


 


 


โตมาด้วยกัน ก็ย่อมรู้ใจกันเป็นธรรมดา คาดว่านางคงไม่ได้ออกไปดูเฉยๆ แน่ คงไปช่วยท่านอ๋องตีเขาอย่างแน่นอน แบบนี้ไม่ได้สิ อย่างไรเสียเยียลี่ว์อาเป่าก็เป็นถึงไท่จื่อแห่งรัฐหมิง ท่านปู่ลงมือได้ แต่ถ้าเย่ว์เอ๋อร์ลงมือก็เท่ากับดูหมิ่นเขา คิดได้ดังนั้น ก็ทำหน้าดุ พูดว่า “เย่ว์เอ๋อร์ อย่าวุ่นวาย อยู่ในเรือนนี้ดีๆ” 


 


 


จะขอร้องก็ไม่มีประโยชน์ แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ไม่กล้าออกไป ทำได้แต่ยืนเขย่งอยู่ตรงประตู ยืดคอยาวมองออกไปด้านนอก แต่ว่านางตัวเล็กเกินไป เลยมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น  


 


 


แล้วเรื่องราวก็จบลง ท่านอ๋องฉีเข้าวังไป หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่เรือนของตนเอง หวงฝู่สือเมิ่งเลยยอมปล่อยนางออกไป 


 


 


หวงฝูเย่าเย่ว์ถือชายกระโปง วิ่งเหยาะๆ มาที่เรือนของทั้งสองคน พอเข้าไปก็เอ่ยปากถามโดยทันทีว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่เจ้าคะ” 


 


 


พูดจบ ตัวนางก็พุ่งเข้าไปด้านในห้องอย่างรวดเร็ว  


 


 


“เจ้าลูกคนนี้หนิ นิสัยอยากรู้อยากเห็นของเจ้าเนี่ย ไม่รู้ได้จากใครมา” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูด  


 


 


“ท่านแม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ” เมื่อไม่ได้คำตอบ หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงร้อนรนถามอีกครั้ง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก็เดินตามมา พอหวงฝู่เย่าเย่ว์ถามเสร็จ นางก็เปิดม่านประตูเดินเข้ามาพอดี แล้วเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่” แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหน้าสงสัยของลูกสาวทั้งสอง ก็ยิ้มแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง 


 


 


หลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์ฟังจบ ก็ปิดปากขำเบาๆ แล้วพูดออกมาว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ สมองของไท่จื่อแห่งรัฐหมิงโดนประตูหนีบหรือยังไง ขนาดทักทายยังพูดไม่เป็น แล้วยังจะกล้ามาสู่ขอแต่งงานถึงที่นี่เนี่ยนะ เช่นนั้นก็ไม่แปลกหรอกที่โดนท่านปู่เล่นงานจนน่วม” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งหน้าแดง นั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร  


 


 


วันต่อมา เยียลี่ว์อาเป่าที่หน้าช้ำไปแถบหนึ่งก็บอกลาหวงฝู่ซวิ่น บอกว่าตนและพวกจะรีบกลับรัฐของตนโดยทันที  


 


 


หวงฝู่ซวิ่นมองจ้องไปที่หน้าอันบอบช้ำของเขา ก็คิดในใจว่าจะใช้เวลากี่วันถึงจะหายดี อย่ารอให้ถึงรัฐของเขาก่อน แล้วรอยช้ำยังไม่หาย พอถึงเวลานั้นสองรัฐผิดใจกันมันจะไปกันใหญ่  


 


 


ยิ่งมองก็ยิ่งนึกภาพตอนที่ท่านอ๋องฉีต่อยเขา คงจะหนักน่าดู ที่ทำเพราะคงอยากให้เยียลี่ว์อาเป่าจำไปตลอดชีวิต ว่าต่อจากนี้อย่ามาสู่ขอหลานสาวเขาอีก ดังนั้น ช่วงนี้อย่าเพิ่งเจอกันเลยดีกว่า ริมฝีปากแสยะยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ รอประเดี๋ยว ข้ามีของสำคัญจะมอบให้กับท่าน” 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าหยุดชะงักไป แล้วขอบพระคุณ  


 


 


หวงฝู่ซวิ่นกระซิบบอกหัวหน้าขันทีผู้ดูแลเบาๆ หัวหน้าขันทีผู้ดูแลตอบรับเสร็จ ก็รีบเดินออกไป ขึ้นหลังม้า มาที่จวนอ๋องฉีเพื่อขอพบเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยตนเอง บอกว่าฮ่องเต้ต้องการยารักษาอาการฟกช้ำให้กับไท่จื่อแห่งรัฐหมิง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟัง ก็เข้าใจ จึงรีบหยิบยาส่งให้เขาหนึ่งขวดทันที 


 


 


หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็เก็บเอาไว้ในอก แล้วมุ่งหน้ากลับวังอย่างรวดเร็ว นำมาถวายให้กับหวงฝู่ซวิ่น  


 


 


“ไท่จื่อเยียลี่ว์ นี่เป็นยารักษาอาการฟกช้ำที่ซื่อจื่อเฟยทำด้วยตนเอง ท่านนำกลับไปทาวันละสองครั้ง ไม่เกินสามวัน ใบหน้าของท่านก็จะกลับมาปกติ” หวงฝู่ซวิ่นชี้ไปก็พูดไป 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าเข้าใจในความหมายของเขาโดยทันที จึงน้อมรับไว้ ขอบคุณแล้วเดินทางกลับรัฐหมิง แต่ว่าขณะที่กำลังจะออกจากประตูเมือง เขาเปิดม่านรถม้าออก เม้มปาก มองไปที่ทิศทางของจวนอ๋องตั้งอยู่นานสองนาน  


 


 


ท่านอ๋องฉีไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่าเยียลี่ว์อาเป่าไปแล้ว ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นที่สุด อารมณ์ดีเสียจนยิ้มหน้าบานไปทั้งวัน  


 


 


แต่น่าเสียดาย ที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาอยู่ได้ไม่ทันไร เพราะว่ามีพวกไม่มีสมองมาขอท้าตีท้าต่อยถึงที่จวนอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ อีกทั้งยังมากันไม่ขาดสาย  


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าไปได้สองวัน เมิ่งเชี่ยนโยวเกรงว่าที่กั๋วจื่อเจี้ยนก็ยังคงพูดถึงเรื่องนี้อยู่ เลยไม่ได้ให้เด็กๆ ไปกั๋วจื่อเจี้ยน ให้พวกเขาฝึกซ้อมวิทยายุทธ์อยู่บ้านวันละสองชั่วยาม จากนั้นก็สอนพวกเขาจำแนกยา จ่ายยา และปรุงยา 


 


 


นายประตูเข้ามารายงาน “ซื่อจื่อเฟยขอรับ เถ้าแก่เหวินแห่งร้านยาเต๋อเหรินขอเข้าพบขอรับ” 


 


 


เวลาผ่านไปสิบปีแล้ว ตั้งแต่มีป้ายพระราชทาน ร้านยาเต๋อเหรินก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เหวินซื่อก็ยุ่งๆ อยู่ตลอด อยู่เมืองเดียวกัน ถ้าหากว่าไม่ได้มีเรื่องสำคัญ ก็คงไม่เห็นแม้เงาของเขาหรอก นี่ไม่ใช่ตรุษจีนหรือเทศกาลอะไร กลับมาหาถึงที่ เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจนัก เลยออกคำสั่ง “ เชิญเขาไปที่ห้องรับแขก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” 


 


 


นายประตูออกไป แล้วพาเหวินซื่อมาที่ห้องรับแขก  


 


 


วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เข้าวัง ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดดังนั้น ก็ยืนขึ้น “เดี๋ยวข้าไปเอง ดูว่าเขามีเรื่องอะไร” 


 


 


หลายปีมานี้ ร้านยาเต๋อเหรินเติบโตขึ้นมาก ได้เงินมาไม่รู้เท่าไร หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ส่วนแบ่งจากร้านนี้มาไม่น้อย หวงฝู่อี้เซวียนคิดว่าวันนี้เหวินซื่อคงจะมาหายาสูตรใหม่ เลยพูดออกมาเช่นนี้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน” 


 


 


หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนมาที่ห้องรับแขก เหวินซื่อก็นั่งรออยู่ด้านในแล้ว 


 


 


เห็นเขาเดินเข้ามา ก็ไม่รอช้า เหวินซื่อก็รีบถามว่า “เมื่อคืนข้ากลับมาเมืองหลวง ได้ยินข่าวว่าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงคนนั้นมาสู่ขอ จริงๆ ก็อยากจะมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่โดนเหวินเอ๋อร์ห้ามเอาไว้เสียก่อน เลยมาเอาตอนนี้” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกว่าประโยคนี้มันแปลกๆ คิ้วขมวดเล็กน้อยถามว่า “เจ้ามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะหรือ” 


 


 


“แน่นอนว่าไม่ ข้าจะมาบอกพวกเจ้า รัฐหมิงช่างอยู่ห่างไกลนัก พวกเจ้าอย่าบุ่มบ่ามยกเมิ่งเอ๋อร์ให้กับเขาเชียวล่ะ” 


 


 


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เมิ่งเอ๋อร์ยังเล็ก พวกเรายังไม่พูดเรื่องนี้กับนางหรอก” 


 


 


เหวินซื่อลูบเคราของตน แล้วพูดว่า “จะว่าไปท่านหญิงทั้งสองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ปีหน้าก็สิบสามแล้วไม่ใช่หรือ ถึงเวลาแต่งงานได้แล้วล่ะ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเขา อารมณ์ก็เริ่มเปลี่ยน “เจ้ามีอะไรก็ว่ามาตามตรงเถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อม” 


 


 


ถูกมองออกจนได้ เหวินซื่อยิ้มแห้งๆ ยื่นหน้าออกไป พูดออกมาอย่างไม่อายว่า “ข้าจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ พวกเรามาดองกันให้แน่นแฟ้นกว่าเดิมเถอะ” 


 


 


และแล้วก็เป็นไปตามคาด หวงฝู่อี้เซวียนโมโหขึ้นมาทันที กำหมัดแน่นเลยทีเดียว  


 


 


เหวินซื่อไม่รอช้า พูดต่อว่า “จริงๆ แล้วข้าก็ไม่รีบหรอก ลูกยังเล็ก รออีกสองปีก็ยังไม่สาย แต่เรื่องไท่จื่อแห่งรัฐหมิงนั่นข้าเพิ่งรู้ เลยรอไม่ไหว ถ้ารอต่อไปลูกสะใภ้ข้าคงไปไกลแล้ว ดังนั้น วันนี้ที่ข้ามาเพื่อมาสู่ขอ ไม่ว่าคนไหน ขอแค่เจ้าตอบรับให้ลูกชายข้าสักคนหนึ่งก็พอใจแล้ว หลายปีมานี้ เจ้าก็เห็นเขามาแต่เด็ก นิสัยใจคอเป็นอย่างไรเจ้าก็รู้อยู่ เป็นตัวเลือกที่ดีให้เจ้าได้อย่างแน่นอน” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 69 หนีหัวซุกหัวซุน

 

คำพูดของเหวินซื่อ ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนโกรธเป็นอย่างมาก ลูกชายโง่ๆ ของเขาเนี่ยนะ จะมาอาจเอื้อมลูกสาวของตน  


 


 


และแน่นอน ตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนคิดว่าลูกชายของเหวินซื่อเป็นคนโง่เขลา แม้ว่าเขาจะรับช่วงต่อดูแลร้านยาเต๋อเหรินบางส่วนตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เจ้าเหวินซื่อที่เป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง มีเวลาว่างไปอยู่กับเมีย ไปตรวจตราร้านรวง เที่ยวเล่นเบิกบานสำราญใจ  


 


 


เหวินซื่อพูดจบ ก็นั่งหลังตรงรอฟังคำตอบจากหวงฝู่อี้เซวียน  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดพร้อมกับน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นักว่า “นี่เป็นความคิดของเถ้าแก่เหวินหรือว่าความคิดของคุณชายเหวินกันล่ะ” 


 


 


“เป็นความคิดของข้าสิ พวกเราสองตระกูลเป็นมิตรต่อกัน แล้วถ้าได้ดองญาติกัน จากที่สนิทอยู่แล้วก็จะสนิทชิดเชื้อยิ่งขึ้น ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย “เถ้าแก่เหวินพูดถูก ดีจริงๆ” 


 


 


แต่เหวินซื่อกลับรู้สึกว่าคำพูดของเขาไม่ค่อยถูกต้องเท่าไร แต่ก็ไม่รู้ว่าผิดตรงไหน เลยลองเชิงถามดูว่า “เอ่อะ เจ้าเห็นด้วยงั้นหรือ” 


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์โตมากับท่านอ๋องและพระชายา เรื่องแต่งงานของพวกนางปกติแล้วก็จะเป็นท่านอ๋องกับพระชายาเป็นคนจัดการ” พูดจบ ยังไม่ทันให้เหวินซื่อตั้งตัว ก็ตะโกนออกคำสั่งกับโจวอันทันที “ไปรายงานเสด็จพ่อ บอกว่าเถ้าแก่ร้านยาเต๋อเหรินมาสู่ขอ” 


 


 


โจวอันเปิดม่านประตูออกมามองเหวินซื่อด้วยสายตาสงสาร ตอบรับ แล้วรีบไปรายงานท่านอ๋องทันที 


 


 


ท่านอ๋องฉีฟังจบ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที เพิ่งไปได้ตัวหนึ่ง ยังไม่ทันไร ก็มาเพิ่มอีกตัวหนึ่งแล้ว พวกมันเห็นว่าประตูจวนอ๋องฉีแห่งนี้มันเข้ามาง่ายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์น่าสู่ขอแต่งงานมากเลยหรือยังไง 


 


 


จึงลุกขึ้น เดินออกไป มองซ้ายมองขวา ก็มองเห็นท่อนไม้ที่วางอยู่หน้าประตู ไม่ได้ใช้มาหลายปีแล้ว เป็นท่อนไม้เดียวกับที่เอาไว้ใช้ไล่ตีหวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อวี้นั่นแหละ จึงหยิบขึ้นมา ถือไว้ที่ด้านหลังแล้วเดินมาที่ห้องรับแขก 


 


 


กับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นสนิทกัน เวลาเจอพวกเขาสองคนไม่ต้องทำความเคารพก็ไม่ผิดระเบียบอะไร แต่พอท่านอ๋องฉีมา ถ้าไม่ทำความเคารพ นั่นถือว่าไม่ให้เกียรติเป็นอย่างมาก ดังนั้น พอท่านอ๋องฉีเดินเข้ามา เหวินซื่อก็ลุกขึ้นทันที โค้งคารวะ “ขอคารวะท่านอ๋องฉี” 


 


 


ท่านอ๋องฉีตอบ “อืม” แล้วถามว่า “ได้ยินว่าเจ้ามาเพื่อสู่ขอหลานข้าไปให้ลูกชายของเจ้างั้นรึ” 


 


 


“ขอรับ ท่านอ๋อง คนไหนก็ได้ พวกเราไม่เลือกมากขอรับ” 


 


 


คำพูดของเขา ทำให้เส้นเอ็นตรงหน้าผากของท่านอ๋องฉีปูดโปนขึ้นมาทันที พูดกัดฟันออกมาว่า “เถ้าแก่เหวินหมายความว่าอย่างไร” 


 


 


เหวินซื่อยังไม่รู้ตัว ว่าตนได้พูดคำไม่เหมาะสมออกไป เลยรีบอธิบายว่า “ข้าหมายถึง… …” 


 


 


“ไม่สนว่าเจ้าจะหมายความเช่นไร ข้าขอถามแค่ว่า เถ้าแก่เหวินจะเดินออกไปเอง หรือว่าจะให้ข้าส่งออกไป” เขายังพูดไม่ทันจบ ก็โดนท่านอ๋องฉีแทรกขึ้นมาเสียก่อน  


 


 


เหวินซื่อไม่เข้าใจในความหมายของท่านอ๋องฉี คำพูดที่เขาจะพูดกลืนลงไป ได้แต่ยืนมองท่านอ๋องฉี  


 


 


ท่านอ๋องฉีพยักหน้า แล้วตัดสินใจเอง “ดูเหมือนว่าเถ้าแก่เหวินอยากจะให้ข้าไปส่งสินะ ถ้าอย่างนั้นข้าไม่เกรงใจล่ะนะ” 


 


 


พูดจบ ก็เอามือออกมาจากด้านหลัง ท่อนไม้ที่อยู่ในมือกำลังฟาดลงไปทักทายเหวินซื่อ  


 


 


ใกล้แค่นิดเดียว เหวินซื่อก็ยังไม่ได้สติ ท่อนไม้นั้นก็ตีลงไปบนตัวเขาเต็มๆ ดัง ปั๊ก 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เห็นภาพที่ตนเคยโดนตีเช่นนี้ ตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว  


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหวินซื่อเลย เขาร้อง โอ้ย กระโดดโหยงขึ้นมาทันที 


 


 


พอตีลงไปหนึ่งที ก็ยังไม่พอ ท่านอ๋องฉียังไม่หายโกรธ ไม้ที่อยู่ในมือก็ตีลงไปอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง 


 


 


ตีจนอ่วม เหวินซื่อก็ยังไม่เข้าใจว่าตนผิดตรงไหน ถึงทำให้ท่านอ๋องฉีโมโหขนาดนี้ แต่รู้ว่าถ้าหากไม่หลบ วันนี้คงได้ตายคาจวนอ๋องฉีแน่ ตอนนั้นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หลบไปหลบมา ก็หาจังหวะออกมาจากห้องรับแขก ในตอนที่ท่านอ๋องฉีไล่ตามนั้น ก็หนีออกจากจวนอ๋องมาอย่างหัวซุกหัวซุน  


 


 


คนในจวนต่างเคยชินกับการที่ท่านอ๋องฉีถือท่อนไม้นั้นเสียแล้ว แต่พอเห็นว่าคนที่โดนตีไม่ใช่หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความสงสัย  


 


 


เหวินซื่อพอหนีออกมาได้ ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น วิ่งไปที่รถม้าของตนเอง รีบออกคำสั่งว่า “เร็ว รีบไป!” 


 


 


คนรถตกใจที่เห็นเขาในสภาพแบบนั้น ได้ยินดังนั้นจึงกระตุกเชือก เร่งม้าให้ออกไปจากประตูจวนอ๋องอย่างรวดเร็ว  


 


 


ท่านอ๋องฉีไม่ได้ตาม พอเห็นรถม้าแล่นออกไปไกล ก็มองไปที่ท่อนไม้ในมือของตนเอง เสร็จแล้วก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี เดินกลับเรือนของตนไป 


 


 


พอเหวินซื่อกลับ หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับมาที่เรือนของตน เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เลยยิ้มถามเขาว่า “วันนี้เถ้าแก่เหวินมาด้วยเรื่องใดกัน” 


 


 


“อ่อ มาสู่ขอน่ะ แต่โดนเสด็จพ่อไล่ตะเพิดไปเรียบร้อยแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนบอกกับนางอย่างอารมณ์ดี 


 


 


แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มมองจ้องไปที่หวงฝู่อี้เซวียน แล้วถามว่า “แล้วเสด็จพ่อรู้ได้อย่างไร” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้แต่ลูบจมูก ไม่ได้พูดอะไร  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เข้าใจได้อย่างไร จึงยิ้มส่ายหน้า แล้วไม่ได้พูดอะไร  


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อนนี้ คนตระกูลเมิ่งที่อยู่ทางนอกเมืองเป่ยเฉิงก็ได้ยินแล้ว ตอนที่ได้ยินว่าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงโดนท่านอ๋องฉีตีจนหนีกลับไป เมิ่งซื่อดีใจโบกไม้โบกมือพลางพูดว่า “ดี ท่านอ๋องทำถูกต้องแล้ว มันจะต้องเป็นแบบนี้ เขาจะได้ไม่กล้ามาอาจเอื้อมหลานสาวของพวกเราอีก” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน จึงพยักหน้าเห็นด้วย ยัยเด็กสองคนนั้น พวกเขาเห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด ถ้าหากแต่งออกไปไกลขนาดนั้น นานทีปีหนกว่าจะได้เจอกันทีหนึ่ง พอคิดถึงภาพตอนนั้น เขาก็อยากจะจัดการไท่จื่อแห่งรัฐหมิงนั่นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย 


 


 


“เสียนเอ๋อร์ เจ้าส่งคนไปบอกโยวเอ๋อร์หน่อย บอกว่าข้าไม่ได้เจอยัยหนูสองคนนั่นมาหลายวันแล้ว คิดถึงพวกนาง บอกให้พวกนาง พรุ่งนี้มาหาข้าหน่อย” เมิ่งซื่อพูดกับเมิ่งเสียน 


 


 


เมิ่งเสียนยังไม่ทันได้ตอบรับ เมิ่งเส้าก็รีบตอบรับก่อนทันที “ท่านย่า ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวข้าไปเอง” 


 


 


“ข้าไปด้วย!” เมิ่งเซิ่งก็พูดขึ้น 


 


 


“พวกเราก็จะไปด้วย!” เมิ่งเย่ว์และเมิ่งหงก็พูดขึ้น 


 


 


“ดี พวกเจ้าเองก็ไม่ได้เจอท่านอามาหลายวันแล้ว อยากไปก็ไปเถอะ ถ้าหากมืดมาก ไม่อยากกลับบ้าน ก็นอนที่จวนอ๋องไปนั่นแหละ แล้ววันพรุ่งก็มากับพวกเมิ่งเอ๋อร์พร้อมกันทีเดียวเลย” 


 


 


ทั้งสี่คนดีใจเป็นอย่างมาก ตอบรับว่า “ขอบคุณขอรับท่านย่า!” 


 


 


ทั้งสี่คนไม่นั่งรถม้า ขี่ม้ามุ่งหน้าไปที่จวนอ๋องโดยทันที  


 


 


นายประตูรู้จักพวกเขา เลยไม่ได้รายงาน ให้พวกเขาเข้าจวนอ๋องไปได้เลย 


 


 


ทั้งสี่คนวิ่งมาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรวดเร็ว แล้วเรียก “ท่านอา พวกเรามาแล้วขอรับ!” 


 


 


เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียง ก็ลุกขึ้น เดินออกไป พอเห็นหลานๆ ทั้งสี่คนก็ยิ้มแล้วถามว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรกันล่ะ หรือว่าที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้น” 


 


 


“ท่านย่าคิดถึงน้องเมิ่งเอ๋อร์กับน้องเย่ว์เอ๋อร์ขอรับ เลยให้พวกเรามารับน้องๆ ไปอยู่ที่บ้านสักสองสามวันขอรับ” เมิ่งเส้ายิ้มตอบกลับไป 


 


 


ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเลยยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ก็ค่ำแล้ว พวกเจ้าค้างที่นี่ก่อนเถอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยกลับไป” 


 


 


ทุกคนต่างหวังจะให้เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เลยไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มตอบรับ 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ย พอได้ยินเสียงพวกเขา ก็ออกจากห้องมารอตั้งนานแล้ว พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดแบบนั้น ก็ส่งเสียงเฮออกมาพร้อมๆ กัน แล้วเดินเข้าไปลากทั้งสี่คนไปวาดรูปที่สวนดอกไม้หลังจวน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่มองพวกเขาเดินออกไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ  


 


 


เจียงจิ่นมาทันเห็นพวกเด็กๆ พอดี จึงยิ้มอย่างดีใจ ตอนเด็กๆ เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์ชอบไปที่นอกเมือง เฮ่าเอ๋อร์ยังเด็ก มักร้องไห้งอแงอยากจะไปด้วย ในขณะที่นางกำลังจะอบรมเขานั้น พี่สะใภ้ใหญ่ก็ยิ้มแล้วอุ้มเฮ่าเอ๋อร์ขึ้นรถม้าไปด้วย ไม่รู้ว่าบ้านของพี่สะใภ้ใหญ่มีอะไรน่าดึงดูดนักหนา ตั้งแต่ตอนนั้น เวลาที่เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์จะไป เฮ่าเอ๋อร์ก็จะต้องตามไปด้วย นานวันเข้า อีกนิดเดียวเขาก็จะเข้าใจว่านั่นเป็นบ้านยายของตนเสียแล้ว 


 


 


เด็กๆ ทั้งแปดคนเล่นกันอย่างสนุกสนานทั้งคืน วันที่สองหลังจากกินข้าวเสร็จก็ออกนอกเมืองไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่ไม่ได้กลับบ้านแม่หลายวันก็ไปด้วยเช่นกัน  


 


 


ในวันที่หนาวเหน็บ เมิ่งซื่อก็ออกมารอตั้งแต่เช้าแล้ว เมื่อเห็นเด็กๆ เข้ามา ก็ยิ้มหน้าบาน  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์วิ่งไปก่อน กอดแขนเมิ่งซื่อคนละข้าง แล้วร้องเรียก “ท่านยายเจ้าคะ” 


 


 


เมิ่งซื่อตอบรับ  


 


 


ส่วนหวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยไปคารวะเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านตาขอรับ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบรับ ยื่นมือออกมาลูบหัวของทั้งสอง แล้วพูดว่า “อากาศหนาว รีบเข้าบ้านกันเถิด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพาเด็กๆ ไปทักทายเมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งต้าจินและภรรยาและเมิ่งซานถงและภรรยา จากนั้นถึงกลับไปที่เรือนของเมิ่งเอ้ออิ๋น  


 


 


เด็กๆ อยู่เฉยไม่ได้ เลยออกไปเล่นกันที่นอกเรือน  


 


 


มองเด็กๆ ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขา หน้าของเมิ่งซื่อมีแต่รอยยิ้มที่เบ่งบาน หลังจากนั้นก็ถามเรื่องไท่จื่อแห่งรัฐหมิงที่มาสู่ขออย่างละเอียดว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไร จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “โยวเอ๋อร์​ พ่อของเจ้าสั่งให้คนไปรับท่านปู่ต้าฉุยกับย่าของเจ้ามาฉลองตรุษจีนด้วยกันแล้ว วันนี้ก็น่าจะถึงแล้ว ถ้าหากเจ้าว่างล่ะก็ วันนี้ก็อยู่ที่เรือนนี้เถอะ รอให้พวกเขามาก่อน เจอกันเสียหน่อยแล้วค่อยไป” 


 


 


ปีนั้นตระกูลเมิ่งมาอยู่ที่นี่กันทั้งตระกูลแล้ว หลี่ต้าฉุยและภรรยาให้ตายอย่างไรก็บอกว่ามาด้วยไม่ได้ เมิ่งเอ้ออิ๋นก็จนปัญญา ได้แต่ฝากเขาสองคนให้คนในหมู่บ้านคอยดู แล้วให้เงินเดือนเอา แต่จะว่าไป ก็มีแต่ตรุษจีนนี่แหละที่พวกเขาจะต้องมาทุกปี  


 


 


เพราะหลี่ต้าฉุยกับภรรยารับปากไว้แล้ว สิบปีมานี้ พอถึงช่วงหนาวๆ เช่นช่วงนี้แหละ เมิ่งเอ้ออิ๋นจะส่งคนไปรับพวกเขามาทุกปี  


 


 


“ข้าคิดไว้แล้วว่าท่านพ่อจะส่งคนไปรับมาแล้ว ท่านปู่หลี่กับท่านย่าหลี่อายุมากขึ้นทุกปี ทิ้งให้พวกเขาสองคนอยู่ที่หมู่บ้านสองคน ข้าไม่ค่อยสบายใจนัก ครั้งนี้มาแล้ว พวกเราพูดโน้มน้าวอีกทีเถอะ ให้พวกเขาอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เมิ่งซื่อพยักหน้า “ข้ากับพ่อของเจ้าก็คิดเช่นนั้น รอให้พวกเขามาก่อน พวกเราค่อยช่วยกันพูด” 


 


 


และแล้ว ตอนใกล้เวลาเที่ยง ที่หน้าประตูก็มีเสียงดังขึ้น เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยากับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกไปรับปู่หลี่กับย่าหลี่ที่กำลังลงมาจากรถม้า  


 


 


“ท่านปู่หลี่ ท่านย่าหลี่เจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเดินเข้าไปพยุงแขนของหลี่ต้าฉุย และขานเรียกด้วยความคิดถึง 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 70 พอเถอะ

 

ไม่ได้เจอกันหนึ่งปี ผมสีขาวของย่าหลี่เยอะขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังอารมณ์ดี หน้าสีแดงชาด ไม่มีความอิดโรยหรือดูแก่ชราขึ้นเลยสักนิด พอเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงเหมือนเดิม ดูสนิทชิดเชื้อกับตนดังเดิม ก็อดที่จะยิ้มแก้มปริออกมาไม่ได้ “โยวเอ๋อร์ มานี่ มาให้ย่าดูหน่อย เจ้าผอมลงหรือไม่” 


 


 


ย่าหลี่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นซื่อจื่อเฟย จัดการเรื่องทุกอย่างในจวน แล้วยังต้องมาเป็นห่วงเรื่องร้านบะหมี่มันฝรั่งอีก จะต้องยุ่งตัวเป็นเกลียวทุกวันอย่างแน่นอน ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อน ต้องผอมลงไปมากแน่ๆ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือ ยืนตรง เพื่อให้นางมองหน้าตนเองชัดๆ  


 


 


เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว ย่าหลี่ก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “ไม่ผอมไม่อ้วน กำลังดี” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยาก็ออกมากล่าวทักทาย  


 


 


หลี่ต้าฉุยและภรรยาตอบรับ  


 


 


และทุกคนก็ล้อมรอบเขาทั้งสองเดินเข้าเรือนไป 


 


 


คนที่เหลือก็ออกมาต้อนรับ หลังจากที่ทุกคนได้พูดคุยกันเสร็จ หลี่ต้าฉุยและภรรยาก็ไปที่เรือนของเมิ่งจงจวี่ 


 


 


อยู่จนกระทั่งฟ้ามืด เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้กลับถึงจวน ส่วนพวกหวงฝู่สือเมิ่ง นอนค้างที่จวนนั้นไป 


 


 


ในเมื่อตัดสินใจเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งที่รัฐเพื่อนบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวอาศัยโอกาสที่ยังว่างอยู่ในช่วงนี้ เรียกเมิ่งเสียน เมิ่งฉี และเมิ่งอี้มาปรึกษา  


 


 


เมิ่งเสียนไม่ค่อยเห็นด้วยนัก คิดว่าแค่เปิดร้านในรัฐอู่ก็พอแล้ว เหตุใดต้องไปเปิดที่รัฐอื่นด้วย  


 


 


เมิ่งฉีกับเมิ่งอี้ก็คิดหนัก ตระกูลเมิ่งของพวกเขาไม่เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เรื่องเงินทองนั้นมากมายเสียจนพูดได้ว่าใช้เท่าไรก็ไม่หมด ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงแล้ว อีกทั้งยังไม่รู้ธรรมเนียมของรัฐเพื่อนบ้านว่าเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเอาเวลาและกำลังไปลงทุนเปิดร้านใหม่ แล้วไม่มีคนกิน นั่นก็ไม่เท่ากับเสียเปล่าหรือ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลองโน้มน้าวอยู่นานสองนาน แต่ทั้งสามก็ยังคงคิดหนัก จึงกดเสียงต่ำลง แล้วเล่าเรื่องตอนที่พวกนางอยู่ในเขตแดนของรัฐอิงกับรัฐหมิงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง “ที่ข้าต้องไปเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งตามเขตชายแดนแต่ละรัฐ เพราะคิดว่าถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก พวกเราจะได้มีที่ซุกหัวนอน” 


 


 


ไม่คิดว่านางจะเจอเรื่องเช่นนี้มา พอทั้งสามคนฟังจบ ทุกคนก็กลัวจนเหงื่อแตก เลยไม่คิดหนักอีกต่อไปพยักหน้าเห็นด้วยโดยทันที บอกกับนางว่า ส่วนที่เหลือนางไม่ต้องจัดการแล้ว ให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาเถอะ 


 


 


วันเวลาผ่านไป จะถึงวันสิ้นปีแล้ว เถ้าแก่แต่ละร้านจะเข้าเมืองหลวงมารายงานร้าน ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวยุ่งจนหัวปั่นกันเลยทีเดียวเชียว 


 


 


เพราะเถ้าแก่ทุกคนจะมาพร้อมๆ กันในสองสามวันนี้ ดังนั้นเมิ่งอี้จึงจองโรงเตี๊ยมเอาไว้แล้วหนึ่งโรงเพื่อให้เถ้าแก่ที่เข้ามาทั้งหลายได้มีที่ให้พักผ่อน 


 


 


วันนี้ เมื่อฟังรายงานจากเถ้าแก่ทั้งหลายเสร็จ ก็บอกให้พวกเขาพักผ่อนให้เต็มที่ หลังจากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งอี้ก็ออกมาจากโรงเตี๊ยม คิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้ไปร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงนานแล้ว เลยแยกกับเมิ่งอี้ แล้วสั่งคนรถให้ไปที่นั่น  


 


 


แล้วก็มาถึงร้านแพรไหมอวิ๋นเสียง รถม้าหยุดลง เปิดม่านออก เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งลงจากรถม้า มีคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาจากร้าน “ข้าเพิ่งสั่งให้เถ้าแก่เตรียมของขวัญไปเยี่ยมเจ้าที่จวนอ๋องอยู่พอดี แต่ดันมาเจอเจ้าที่นี่เสียก่อน” 


 


 


พูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้ตอบ เขาคนนั้นก็กวักมือเรียกคนในร้านบอกว่า “อี้เอ๋อร์ มานี่สิ มาทำความเคารพว่าที่แม่ยายของเจ้าเสีย” 


 


 


มุมปากของเมิ่งเชี่ยนโยวขยับขึ้นลงอย่างไม่รู้ตัว ความดีใจที่ได้เจอซุนเหลียงไฉก็หายไปในพริบตา ยกขาขึ้น ถีบเข้าไปทีหนึ่ง “ซุนเหลียงไฉ อยากโดนอีกหรืออย่างไร” 


 


 


แต่ละปีที่เข้าเมืองไป ก็โดนต้อนรับแบบนี้ทุกปี ซุนเหลียงไฉชินไปเสียแล้ว จึงเตรียมการเอาไว้ ดังนั้นพอเมิ่งเชี่ยนโยวยกเท้าขึ้น เขาก็ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วพูด “นี่ๆ โตจนป่านนี้แล้ว นิสัยนี้แก้ไม่หายจริงๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็ใช้ความรุนแรง อย่างกับแม่เสือสาว ไม่รู้ว่าเจ้าอี้เซวียนนั่นทนเจ้าไปได้อย่างไรเป็นสิบกว่าปี” 


 


 


พูดจบ ก็มีมีดพกชี้ไปที่หน้าของเขา  


 


 


สีหน้าของซุนเหลียงไฉเปลี่ยนแทบไม่ทัน รีบถอยหลังไปทันที อีกนิดเดียวก็แทบสะดุดธรณีประตูหงายหลังอยู่แล้ว 


 


 


ซุนอี้เดินออกมาจากร้าน เดินเข้าไปกันซุนเหลียงไฉกับเมิ่งเชี่ยนโยวไว้หน้าตาเฉย แล้วทำความเคารพ “ท่านอาขอรับ”  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บมีดพก แล้วยิ้มตอบรับกลับไปว่า “ไม่ได้เจอกันปีหนึ่ง อี้เอ๋อร์โตขึ้นไม่น้อย” 


 


 


ซุนเหลียงไฉที่กำลังตกใจก็ลูบอกตัวเองเบาๆ แล้วเดินออกไปอย่างไม่กลัวตาย ชี้ไปที่ซุนอี้ลูกชายของเขา แล้วกล่าวว่า “เจ้าอย่ามองแค่หัวสิ มองรูปร่างของเขาด้วย สง่างามกว่าข้าตอนหนุ่มๆ เสียอีก เป็นอย่างไรล่ะ ยกลูกสาวของเจ้าให้อี้เอ๋อร์สักคนเป็นไง” 


 


 


ซุนอี้หน้าแดง ไม่รู้จะพูดอะไร เลยได้แต่เรียก “ท่านพ่อ” เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พ่อของเขาคนนี้ เวลาทำการค้า ฉลาดหลักแหลมหัวไวเป็นที่สุด แต่พอเจอเมิ่งเชี่ยนโยวทีไร ก็เปลี่ยนไป เวลาพูดเวลาจา เหมือนคนไม่มีสมองอย่างใดอย่างนั้น ก็ไม่แปลกที่เวลาท่านอาเมิ่งเจอเขาเลยต้องสั่งสอนเสียหน่อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วพูดหน้าตาเฉยว่า “เรื่องแต่งงานของเมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์ เสด็จพ่อเป็นคนจัดการ ถ้าหากเจ้ามีปัญญาไปขอให้เขาตอบรับล่ะก็ ข้าจะคิดดูอีกที” 


 


 


ตอนนั้นที่ท่านอ๋องฉีสั่งสอนเขาไป ซุนเหลียงไฉยังจำได้ขึ้นใจ พอคิดภาพตอนที่ท่านอ๋องฉีฟาดท่อนไม้นั้นลงบนตัวเขาทีไร ซุนเหลียงไฉก็ขนลุกโดยไม่รู้ตัวทุกที เขาเลยไม่ได้โต้ตอบกลับไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเลยไม่ได้สนใจเขาอีก ถามว่า “อี้เอ๋อร์ พวกเจ้ามาถึงเมื่อใดล่ะ ไปหาท่านอาของเจ้าหรือยัง” 


 


 


“ตอนเช้าครับ ท่านพ่อบอกว่าวันพรุ่งพวกเราจะไปหาท่านอาขอรับ” ซุนอี้ตอบ  


 


 


“ปู่ย่าของเจ้าแข็งแรงดีไหม” 


 


 


“ขอบพระคุณท่านอาที่ถามไถ่ขอรับ ปู่ย่าของข้าสบายดี ถ้าไม่เป็นเพราะย่าไม่ค่อยสบาย ปู่คงมากับพวกเราด้วยขอรับ” 


 


 


ตั้งแต่ที่ตระกูลเมิ่งย้ายมาอยู่เมืองหลวงหมด เมิ่งเชี่ยนโยวได้กลับบ้านเกิดเป็นจำนวนนับครั้งได้ เลยเจอซุนซ่านเหรินเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น นางจึงคิดถึงเขาตลอด 


 


 


“เหล่าฮูหยินซุนไม่ได้เป็นไรมากใช่หรือไม่” 


 


 


“เป็นไข้หวัดธรรมดา หมอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากขอรับ กินยาเดี๋ยวก็หาย ท่านอาไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ” 


 


 


ทั้งสองคนถามตอบกันพักหนึ่ง ก็เดินเข้าร้านไป ทิ้งให้ซุนเหลียงไฉยืนงงอยู่ด้านนอก  


 


 


ซุนเหลียงไฉได้สติ ก็รีบเดินตามเข้ามา แล้วตอบกลับคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อครู่ “ข้าว่า โยวเอ๋อร์ พวกเราคุยยังพอเจรจากันได้นะ เจ้ากลับไปโน้มน้าวท่านอ๋องของเจ้าให้หน่อย ดูสิว่าจะตอบรับยกลูกสาวเจ้าให้กับอี้เอ๋อร์หรือไม่ ถ้าหากได้ เดี๋ยวข้าจะไปสู่ขอเดี๋ยวนี้เลย” 


 


 


ตานี่ ยิ่งแก่ ยิ่งรั้น ไม่ว่าเรื่องใดถ้าไม่สำเร็จจะไม่ยอมเลิกรา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากฟังอีกต่อไป จึงถามว่า “อี้เอ๋อร์เพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง เจ้าจะรีบให้แต่งงานไปเพื่ออะไร” 


 


 


ซุนเหลียงไฉก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่รีบไม่ได้น่ะสิ พอข้าเข้าเมืองมาก็ได้ยินว่าขนาดไท่จื่อแห่งรัฐหมิงยังมาสู่ขอเลย อย่างเราๆ สู้เขาไม่ได้หรอก ทำได้เพียงลงมือชิงตัวมาก่อนเท่านั้น ถึงจะได้มาครอบครอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มแล้วถามกลับอย่างช้าๆ “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอ เจ้าก็คงจะรู้แล้วสิว่าเขามีจุดจบเช่นไร” 


 


 


สายตาของซุนเหลียงไฉก็ลอกแลกขึ้นมาทันที แล้วตอบว่า “นั่นก็สมควร เป็นถึงไท่จื่อ ในรัฐของเขามีผู้หญิงมากมายให้เลือก แต่กลับมาที่จวนอ๋องสู่ขอการแต่งงาน ถ้าหากว่าข้าอยู่ด้วยล่ะก็ จะตีให้ขี้เล็ดเลยทีเดียว” พูดถึงตรงนี้ ก็หยุดแล้วพูดต่อว่า “แต่อี้เอ๋อร์ไม่เหมือนกัน อี้เอ๋อร์เนี่ยเป็นเด็กที่เจ้าก็เห็นมาแต่เล็ก นิสัยใจคอเจ้าก็รู้ดี ไม่ต้องกังวล ลูกสาวเจ้าแต่งเข้ามาบ้านข้าได้เลย จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน” 


 


 


พูดจบ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างเดียว ไม่ได้ตอบอะไร ก็กัดฟันกรอด กระทืบเท้าบอกว่า “ถ้าหากว่าไม่ได้จริงๆ ให้อี้เอ๋อร์แต่งเข้าจวนอ๋องไปก็ได้” 


 


 


เถ้าแก่ที่อยู่ในร้านพอได้ยิน ก็สำลักน้ำลายไอออกมาไม่หยุด ถึงขั้นหน้าแดงก่ำไปหมด  


 


 


ซุนอี้ก็ได้แต่เรียก “ท่านพ่อ!” เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้อยากให้ตนแต่งงานกับลูกสาวของท่านอานัก 


 


 


“เจ้าพูดเช่นนี้ปรึกษาซุนซ่านเหรินหรือยัง” เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังยิ้มไม่เปลี่ยน ถามกลับซุนเหลียงไฉ 


 


 


ซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบๆ กลืนน้ำลายลงไปแล้วก็พูดว่า “ลูกชายของข้า เรื่องแต่งงานข้าเป็นคนจัดการ ขอแค่เจ้าตอบรับ ข้าจะส่งอี้เอ๋อร์ไปจวนอ๋องโดยทันที” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจ หันไปหาซุนอี้ “อี้เอ๋อร์ จับหน้าผากของพ่อของเจ้าดูหน่อยสิ ว่าวันนี้ตัวร้อนหรือไม่ เหตุใดถึงได้เอาแต่พูดจาไร้สาระเพียงนี้” 


 


 


เถ้าแก่ที่เพิ่งจะหยุดสำลักก็สำลักอีกครั้ง ไอไม่หยุดกันเลยทีเดียว 


 


 


ซุนอี้หน้าแดง 


 


 


สีหน้าของซุนเหลียงไฉยังคงเดิม พอจะพูดต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นมือออกมา บอกให้เขาหุบปาก “ข้าขอแนะนำให้เจ้าหยุดคิดเรื่องนี้ได้เลย มิเช่นนั้น ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะไม่ได้เจอเจ้าอีก ข้าเป็นห่วงน่ะ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉมีลูกชายคนเดียว ถ้าหากซุนซ่านเหรินรู้เข้าว่าเขาจะให้ซุนอี้แต่งเข้าจวนอ๋อง ไม่เพียงแต่จะตีขาสองข้างของเขาให้หัก แต่เกรงว่าคงถือมีดปังตอไล่ฆ่าเขาไปทั่วหมู่บ้านแน่นอน 


 


 


ปากของซุนเหลียงไฉที่กำลังเปิดออกก็ปิดลง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูก ถ้าหากตนให้อี้เอ๋อร์แต่งเข้าจวนอ๋องไป ไม่เพียงแต่ปู่ของเขา พ่อของเขาเองก็คงไม่ยอมเช่นกัน  


 


 


จริงๆ แล้ววันนี้ที่มาก็เพราะมาตรวจตราร้านค้าแทนซุนเหลียงไฉ ในเมื่อเขามาแล้ว ตนก็ไม่ต้องแล้ว เลยนั่งสักพักหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับจวนอ๋องไป 


 


 


วันเวลาผ่านไป และแล้วตรุษจีนก็มาถึง ตามธรรมเนียมแล้ว ในคืนวันสิ้นปี ฮ่องเต้จะทรงจัดงานเลี้ยงฉลองให้เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายมาร่วมสังสรรค์ ท่านอ๋องฉี พระชายาและหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปร่วมงานด้วยเช่นกัน  


 


 


เวลาพลบค่ำ ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนใส่ชุดราชการ พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวใส่ชุดประจำตำแหน่ง นั่งรถม้าสองคันแล่นสู่วังหลวง 


 


 


หน้าประตูวังมีรถม้าจอดอยู่เต็มไปหมด เหล่าขุนนางก็พาครอบครัวลงจากรถม้ามาทักทายกัน 


 


 


เมื่อรถม้าของท่านอ๋องฉีมาถึง ทุกคนก็หยุดพูด รอให้ท่านอ๋องฉีกับพระชายาลงจากรถม้า แล้วจึงกล่าวทักทาย  


 


 


ท่านอ๋องฉีก็ยังคงมาดสง่างามสูงส่ง พยักหน้ารับเล็กน้อย ส่วนพระชายาฉีได้แต่ยิ้มตอบรับคนที่เข้ามากล่าวทักทาย  


 


 


ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ด้านหลังของทั้งสองอย่างเงียบๆ 


 


 


หลังจากที่ทุกคนกล่าวทักทายกันเสร็จ ก็ทยอยกันเข้าพระราชวัง  

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)