ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 66-67.1

ตอนที่ 66 เรือนที่พึงใจ

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักอึ้งเล็กน้อย แล้วกลับคือสภาพปกติ เลียบๆ เคียงๆ ถาม “ฝ่าบาทจะมอบงานอะไรให้เจ้าหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่รู้ ตรัสเพียงว่าจะให้งานสบายๆ มาให้ข้าค่อยๆ เรียนรู้ไปก่อน”


 


 


พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ไม่มีใครว่างงาน พ้นปีใหม่หวงฝู่อี้เซวียนก็จะมีอายุสิบหกปีแล้ว การที่ฮ่องเต้มอบหมายงานให้ถือเป็นเรื่องเหมาะควร เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ถามมากอีก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ ยกถ้วยชาขึ้นจิบเหมือนกับเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ พูดว่า “ข้าได้ซื้อโรงงานที่เมืองฝั่งเหนือ เป็นโรงงานเก่าแห่งหนึ่ง วันนี้ได้หาคนมาซ่อมแซมแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


“แต่ว่า ท่านจะต้องเดาไม่ถูกว่าข้าเจอใครที่เมืองฝั่งเหนือเข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองนาง เอ่ยปากถาม “ใคร”


 


 


พูดถึงเรื่องนี้เมิ่งเชี่ยนโยวก็มีหน้าตาเบิกบาน “ครอบครัวของใต้เท้าเปา หลังจากเขาถูกโยกย้ายมาอยู่เมืองหลวง ก็ถูกส่งไปดูแลเมืองฝั่งเหนือ เมื่อวานตอนที่พวกเราไปดูโรงงาน บังเอิญพ่อบ้านมาพบแล้วจำพวกเราได้พอดี”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าเคลือบแคลง “ครอบครัวของใต้เท้าเปา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวซ่อนน้ำเสียงชื่นบานยินดีไว้ไม่อยู่ “ใช่นะสิ ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอพวกเขา เดิมข้านึกว่าผ่านเรื่องยุ่งพวกนี้ไปค่อยไปสืบหาว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ครานี้ดีแล้ว จู่ๆ ก็พบเข้าโดยบังเอิญ”


 


 


“อยู่ๆ ก็เจอคนรู้จัก เจ้าคงดีใจแย่เลยสิ”


 


 


“ไม่เพียงเท่านั้น เปาอีฝานที่ติดตามแม่ทัพฉู่ไปชายแดน ก็เพิ่งจะส่งจดหมายมาบอกว่า ความวุ่นวายที่ชายแดนสงบลงแล้ว อีกไม่นานเขาและแม่ทัพฉู่ก็จะได้กลับมา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังเช่นนั้น ถึงกับเบิกตาโตร้องยินดี “ท่านน้าจะกลับมาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ฮูหยินเปาและพี่ฮุ่ยเอ๋อร์ว่าเช่นนี้ พวกเจ้าไม่ได้รับข่าวเลยหรือ”


 


 


“พระบิดาเป็นท่านอ๋อง เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ราชสำนัก ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับท่านน้าเป็นการส่วนตัว ดังนั้นหลายปีมานี้ พระมารดาจึงเป็นห่วงท่านน้ามาก เวลาที่มีรายงานมาจากชายแดน พระมารดาถึงได้รู้ว่าเขาปลอดภัยดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเข้าใจ “วันนี้เจ้ากลับไปบอกพระชายาเอก นางจะต้องดีใจมากแน่ๆ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีอกดีใจ “ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปบอกพระมารดา”


 


 


“ประเดี๋ยวเกรงจะยังไม่ได้ เจ้าต้องตามข้าไปเหลาจวี้เสียน ให้หลงจู๊ช่วยรวบรวมองครักษ์หลวงสิบนาย ตามขบวนรถม้ากลับไปลำเลียงมันฝรั่งที่บ้านข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวางถ้วยชาในมือลง ลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ พวกเราไปตอนนี้ ตอนค่ำก็อยู่กินที่เหลาจวี้เสียน” แล้วพูดเสริมขึ้นว่า “เรียกพี่เมิ่งฉีและอี้เอ๋อร์ไปด้วย”


 


 


เหลาจวี้เสียนเป็นถิ่นของตัวเอง ย่อมทำอะไรได้ตามใจ เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ ร้องสั่งออกไปด้านนอก “ชิงหลวน ไปตามคุณชายรองเข้ามา”


 


 


ชิงหลวนที่อยู่ในลานเรือนรับคำ ไม่นานก็ตามเมิ่งฉีเข้ามา


 


 


เมิ่งฉีเพิ่งจะเขียนจดหมายเสร็จ ได้ยินเสียงชิงหลวนก็เดินตามออกมา พ้นประตูเข้ามาก็ถามขึ้น “มีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


“อี้เซวียนอยากเลี้ยงอาหารพี่รองที่เหลาจวี้เสียนเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด


 


 


เมิ่งฉีโล่งใจ พูดว่า “จู่ๆ ก็เรียกข้ามากะทันหัน ข้านึกว่ามีเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก พวกเจ้าไปกันสองคนเถอะ ข้ากินที่บ้านก็ได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนหันสบตากัน พูดยั่วเย้าเขา “ร้านก๋วยเตี๋ยวของพวกเราเปิดตรงข้ามเหลาจวี้เสียน พี่รองมาหลายวันแล้ว ท่านไม่อยากไปดูว่าการค้าเป็นอย่างไรบ้างหรือ”


 


 


ทุกวันที่ได้คุยกับเมิ่งอี้ รู้ว่าการค้าเป็นไปได้ดี แต่ได้ดีถึงขั้นไหน เมิ่งฉีก็ไม่รู้ ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว จึงเปลี่ยนใจ “ได้ ข้าจะตามพวกเจ้าไปดูว่าการค้าเป็นอย่างไรกันแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปยักคิ้วให้หวงฝู่อี้เซวียนอย่างได้ใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกยิ้มส่ายหน้า


 


 


หวงฝู่อี้ยืนหน้าประตู ย่อมได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง ก็รีบวิ่งไปบอกให้คนรถตระเตรียมรถม้า


 


 


คนทั้งหมดเดินออกมา ไม่เห็นหวงฝู่อี้ รู้ว่าเขาไปเตรียมรถม้าแล้ว จึงเดินตรงออกมาหน้าประตูใหญ่ทันที


 


 


คนรถนำรถม้ามาจอดรอไว้แล้ว หวงฝู่อี้ยืนยิ้มตาหยีข้างรถม้า


 


 


ทั้งสามไม่มีกฎข้อห้าม เข้าไปอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน


 


 


หวงฝู่อี้นั่งบนคานด้านหน้า สั่งคนรถมุ่งหน้าไปเหลาจวี้เสียน


 


 


ชิงหลวนและจูหลีตามหลังรถม้าไป


 


 


เหลาจวี้เสียนตั้งอยู่ในย่านเจริญคึกคักของเมือง ผู้คนหนาตา คนรถต้องบังคับรถม้าช้าๆ ด้วยความระมัดระวังจนมาถึงเหลาจวี้เสียน


 


 


ทั้งสามคนลงจากรถม้า หลงจู๊เหลาจวี้เสียนเห็นทั้งสองเดินเข้ามา รีบออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน เดินมาต้อนรับถึงหน้าประตู พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ซื่อจื่อ พวกท่านมาแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะเล็กน้อย สั่งการเขา “เตรียมห้องรับรองชั้นดี ข้าจะเลี้ยงอาหารพี่รอง”


 


 


ซื่อจื่ออ๋องฉีมีน้องชายต่างมารดาเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่รับทราบโดยทั่วกัน ได้ยินเขาเอ่ยขานพี่รอง หลงจู๊ให้รู้สึกประหลาดใจ เงยหน้ามองประเมินเมิ่งฉี เห็นเขาแต่งกายไม่เหมือนคนเมืองหลวง ท่าทีเป็นพ่อค้าต่างถิ่น ก็เข้าใจพลัน จะต้องเป็นพี่รองของแม่นางเมิ่ง รีบร้อนรับคำ สั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้ไปเตรียมทันที


 


 


เมิ่งฉีมองไปโดยรอบ เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้าม ก็ยกเท้าเตรียมจะเดินไป “พวกเจ้าสั่งอาหารไปก่อน ข้าจะไปดูสักหน่อย”


 


 


พวกหวงฝู่อี้เซวียนเดิมก็มีธุระอื่นอยู่แล้ว จึงไม่ได้ขัดขวางเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกหวงฝู่อี้ “เจ้าตามพี่รองไป พอถึงเวลาให้พาเขากลับมา”


 


 


หวงฝู่อี้ขานรับคำด้วยความยินดี รีบวิ่งตามเมิ่งฉีไป


 


 


หลงจู๊พาทั้งสองมาถึงห้องรับรองชั้นดี หลังจากสั่งเสี่ยวเอ้อร์ไปชงชา ถึงถามว่า “นายท่าน วันนี้เข้ามาด้วยมีเรื่องอันใดสั่งการขอรับ”


 


 


“เจ้าจงเรียกรวมพลองครักษ์หลวงสิบนาย ให้พวกเขาไปรายงานตัวที่บ้านโยวเอ๋อร์ตอนค่ำ วันพรุ่งให้ตามขบวนรถม้ากลับไปลำเลียงสิ่งของจากตำบลชิงซีกลับมา” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


หลงจู๊นึกว่าต้องลำเลียงสิ่งของสำคัญ หยั่งเชิงถาม “องครักษ์หลวงสิบนายจะพอหรือ ให้ผู้น้อยระดมพลเพิ่มหรือไม่”


 


 


“ไม่ต้อง” เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “แค่ลำเลียงมันฝรั่งเท่านั้น ไม่ต้องใช้คนมากมาย สิบคนก็เพียงพอแล้ว”


 


 


“นายท่านและแม่นางต้องการจะสั่งอาหารใดขอรับ” หลงจู๊น้อมถามอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ขอเป็นอาหารที่ข้าถ่ายทอดให้พวกเจ้า เลือกที่ทำอร่อยออกมาสักสิบอย่าง ข้าจะดูว่าพ่อครัวของพวกเจ้าที่นี่เรียนรู้ไปได้กี่ส่วน”


 


 


หลงจู๊ถึงกับตกใจเม็ดเหงื่อผุดซึม ร่างสั่นเทิ้มเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง แล้วโค้งคำนับถอยออกไป หลังจากปิดประตู ก็รีบลงไปชั้นล่าง วิ่งไปห้องครัวหลังร้าน ร้องตะโกนเรียกพ่อครัว ป้องปากกระซิบกระซาบข้างหูเขา


 


 


พ่อครัวฟังจบ เบิกตาโพลงอ้าปากค้าง ตะลึงลานมองมาที่เขา


 


 


หลงจู๊พยักหน้าหงึกๆ ส่งสายตาบอกว่าที่ตนเองพูดเป็นความจริง


 


 


พ่อครัวตะลึงจังงัง เดินเข้าไปในครัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ และไม่ให้ลูกศิษย์ทำ ตะโกนบอกพ่อครัวคนอื่นเตรียมผักให้พร้อม เขาจะลงมือปรุงอาหารเอง


 


 


หลงจู๊ซับเหงื่อบนหน้าผาก แอบวาดหวังให้พ่อครัวทำอาหารผ่านมาตรฐานของแม่นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพียงพูดผ่านๆ ไม่ได้คิดจะบีบคั้นพวกเขา แต่หลงจู๊และพ่อครัวกลับเข้าใจผิดยกใหญ่ ทำอาหารไปด้วยความหวาดกลัว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างจากสีหน้าหลงจู๊ ยิ้มอ่อน พูดว่า “คล้ายว่าเจ้าจะทำให้หลงจู๊ตกใจแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้วถาม “ไม่ดอก ข้าเพียงพูดเล่นๆ หลงจู๊คิดมากเกินไปแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มอ่อนพูดเสียงดังขึ้น “ใครอยากให้เจ้าเป็นว่าที่ซื่อจื่อเฟย ว่าที่นายของพวกเขาเล่า เจ้าพูดเช่นนี้ออกไป พวกเขาย่อมต้องหวาดกลัว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา คิดถึงสีหน้าเมื่อครู่ของหลงจู๊ก็หลุดขำ


 


 


เมิ่งฉีและหวงฝู่อี้มาถึงร้านก๋วยเตี๋ยว พอพ้นประตูเข้ามา ก็เห็นลูกค้าแน่นเต็มร้าน มีทั้งเสียงกินจิ๊บๆ จั๊บๆ เสียงพูดคุย และเสียงเร่งเร้าของลูกค้าดังระงม


 


 


เมิ่งอี้และองครักษ์จำนวนหนึ่งยุ่งจนยืนไม่ติด พอเห็นเมิ่งฉีเข้ามา ไม่ทันได้เงยหน้าก็เอ่ยปากตามสัญชาตญาณ “นายท่านมาแล้ว ท่าน…” พูดยังไม่ทันจบ ครั้นเห็นเป็นเมิ่งฉีก็หยุดพูดทันที ยิ้มถามเขา “น้องฉี เจ้ามาได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งฉีกวาดตามองภายในร้านขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยคนที่เข้ามากินก๋วยเตี๋ยว เกิดอาการตกตะลึงพูดไม่ออก “พี่เมิ่งอี้ ขายดีเกินไปแล้วมั้ง”


 


 


เมิ่งอี้ใบหน้าชื่นบาน “ใช่นะสิ ตั้งแต่เปิดร้านจนบัดนี้ก็เป็นแบบนี้มาตลอด ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะขายดีเช่นนี้ จริงสิ เจ้ามาได้อย่างไร ธุระของเจ้าจัดการเสร็จแล้วหรือ”


 


 


“อือ” เมิ่งฉีตอบ “วันนี้อี้เซวียนไปที่บ้าน จะพาข้ามาเลี้ยงข้าวที่เหลาจวี้เสียนให้ได้ ข้าจึงแวะมาดูที่ร้านเสียหน่อย”


 


 


เมิ่งอี้พยักหน้า ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระต่อ


 


 


หวงฝู่อี้คิดถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ให้ทั้งสองคุยต่อ รบเร้าเมิ่งฉี “พี่เมิ่งฉี พวกเราไปเถอะ ประเดี๋ยวพี่สาวเมิ่งกับท่านพี่จะรอนานนะ”


 


 


เมิ่งอี้ได้ยินดังนั้นก็คะยั้นคะยอเมิ่งฉี “รีบไปเถอะ อย่าให้พวกเขาต้องรอนาน”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า กลับมาเหลาจวี้เสียนพร้อมหวงฝู่อี้


 


 


หลงจู๊รู้จักหวงฝู่อี้ พอเห็นพวกเขาเข้ามา ไม่รอให้เขาซักถาม ก็เข้าไปบอกว่าหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ห้องรับรองไหน


 


 


ทั้งสองเดินตรงมาถึงหน้าห้อง หวงฝู่อี้เคาะประตูเบาๆ


 


 


น้ำเสียงละมุนของหวงฝู่อี้เซวียนดังลอยออกมา “เข้ามาได้”


 


 


หวงฝู่อี้ผลักประตู ทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน หวงฝู่อี้พูดขอรับความดีความชอบกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พี่สาวเมิ่ง ข้าพาพี่เมิ่งฉีกลับมาแล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าชมเชย “อี้เอ๋อร์ทำงานได้ดีมาก”


 


 


เมิ่งฉีแหนงหน่าย “ข้าเพิ่งจะพูดกับเมิ่งอี้ได้ไม่กี่คำ เขาก็รบเร้าให้ข้าออกมาแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้หัวเราะเอิ๊กอ๊าก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกยิ้มส่ายหน้า


 


 


พ่อครัวทำอาหารก่อนสามอย่าง ให้เสี่ยวเอ้อร์ยกเข้ามา หลงจู๊ก็เดินตามเข้ามาด้วย หลังจากวางอาหารไว้บนโต๊ะอย่างนอบน้อม ก็โบกมือให้เสี่ยวเอ้อถอยออกไป ตัวเองยืนอยู่อีกด้าน รอฟังคำติชมจากเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของเขาก็ให้ขบขัน หยิบตะเกียบขึ้นคีบผักเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้ง แล้วพยักหน้าพึงพอใจ “ไม่เลว เรียนรู้ได้แปดถึงเก้าส่วน”


 


 


ได้ฟังเพียงเท่านี้ กำลังจะปล่อยวางความตื่นกังวลในใจ เห็นนางจะพูดต่อทำให้เขาร้อนรนอีกครั้ง มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เป็นสุข


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางตะเกียบลง พูดว่า “พ่อครัวแต่ละคนมีความถนัดต่างกัน อาหารที่ทำออกมาย่อมมีความแตกต่างกันบ้าง ทำได้ถึงขนาดนี้ นับว่าดีมากแล้ว”


 


 


ในที่สุดสิ่งหลงจู๊ก็คลายความตื่นกังวลที่อัดแน่นในใจลงได้ ยิ้มพูดว่า “นายท่าน แม่นางค่อยๆ กิน ข้าจะไปเร่งอาหารที่เหลือขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หลงจู๊เปิดประตูเดินออกไป ปาดเหงื่อบนหน้าผาก เดินเข้าไปบอกข่าวดีกับพ่อครัวที่หลังร้าน


 


 


เมิ่งฉีได้ยินคำเรียกขานพวกเขาของหลงจู๊ ให้นึกกังขา แต่ก็ไม่ได้ถามความ


 


 


เมื่ออาหารพวกนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนสอนพวกเขา เมิ่งฉีและหวงฝู่อี้เซวียนย่อมต้องเคยกินมาก่อน ด้วยฝีมือที่สู้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ จึงกินอย่างขอไปที มีเพียงหวงฝู่อี้ที่กินอย่างออกรสออกชาติด้วยไม่เคยกินมาก่อน


 


 


พอกินอาหารค่ำเสร็จ ท้องฟ้ายังไม่มืดดี หวงฝู่อี้เซวียนจึงรั้นจะไปส่งทั้งสองกลับบ้านก่อนให้ได้ แล้วถึงกลับจวนอ๋องฉีพร้อมหวงฝู่อี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งกลับเข้ามานั่งในห้อง คนเฝ้าประตูก็มาบอกว่ามีชายสิบคนมาขอพบด้านนอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกคนเฝ้าประตูให้พาพวกเขาเข้ามา


 


 


คนเฝ้าประตูรับคำ เดินออกไปพาองครักษ์หลวงสิบนายเข้ามาในเรือนของนาง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอพวกเขาหน้าประตู ต่างประสานมือพูดขึ้นพร้อมกัน “คารวะแม่นาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า บอกภารกิจที่ต้องทำแก่พวกเขา ทั้งบอกให้วันพรุ่งพวกเขาเข้ามาแต่เช้าตรู่ เพื่อตามขบวนรถม้าไปตำบลชิงซี


 


 


องครักษ์หลวงสิบนายขานรับคำโดยพร้อมเพรียง เดินออกไป พลันสลายหายไปจากหน้าประตูใหญ่


 


 


เช้าวันถัดมา องครักษ์หลวงสิบนายเข้ามาตรงเวลา ขบวนรถม้าก็เตรียมพร้อมแล้ว


 


 


เมิ่งฉีมอบจดหมายให้ชายหัวหน้า กำชับเขาว่า “โรงงานยังซ่อมไม่เสร็จ ไม่รีบใช้มันฝรั่ง พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนสักวันค่อยกลับมา อีกอย่าง ไม่ต้องบอกคนที่บ้านถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ หากพวกเขาถาม เจ้าจงบอกว่าทางนี้ค่อนข้างยุ่ง พวกเหวินเป้าจึงยังกลับไปไม่ได้”


 


 


ชายหัวหน้าจดจำเป็นข้อๆ แล้วนำขบวนรถม้าขบวนใหญ่มุ่งหน้าไปสู่ประตูเมือง


 


 


ช่วงเช้าเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในบ้าน เมิ่งฉีนั่งรถม้าไปเมืองฝั่งเหนือ คนงานลงมือทำงานแต่เช้าแล้ว คงเพราะเมื่อวานได้กินอิ่ม คนงานที่ทำงานในวันนี้จึงดูมีพละกำลังขึ้นมากกว่าเมื่อวาน ใบหน้าก็มีแต่รอยยิ้ม


 


 


บ่าวก็เข้ามาแต่เช้าแล้ว คอยตรวจดูว่ายังขาดอะไร ก็จะออกไปซื้อ


 


 


เมิ่งฉีตรวจดูโดยรอบ ไม่พบว่ามีอะไรต้องกำชับอีก จึงพูดกับบ่าวว่า “วันนี้ข้ายังมีธุระอื่น ต้องกลับไปก่อน รบกวนเจ้ากลับไปบอกใต้เท้าของเจ้าว่า วันนี้เที่ยงข้าไม่เข้าไปกินข้าวเที่ยงแล้ว และอีกหลายวันต่อจากนี้ หากพวกเราไม่ได้เข้ามา รบกวนเจ้าดูแลเรื่องในโรงงานให้เรียบร้อยด้วย”


 


 


ก็คือฝากฝังให้เขาเป็นธุระจัดการ บ่าวดีใจที่ได้รับความเอ็นดู โค้งตัวรับคำ “คุณชายวางใจเถอะ ข้าจะทำให้ดีที่สุดขอรับ”


 


 


เมิ่งฉีล้วงเงินสิบตำลึงออกมาให้เขา “ตอนที่พวกเราไม่ได้เข้ามา หากต้องการสิ่งใดให้ซื้อได้ทันที”


 


 


บ่าวยื่นมือสั่นเทิ้มออกไปรับเงิน เก็บไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง


 


 


เมื่อจัดการเรื่องเสร็จ เมิ่งฉีก็กลับมาบ้าน


 


 


รอหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาตอนบ่าย ทั้งสามจึงออกไปดูที่ดินห้าร้อยหมู่ที่นอกเมือง


 


 


เมิ่งฉีขี่ม้าไม่เป็น เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนจึงนั่งรถม้าไปกับเขา แต่จะต้องใช้เวลามากหน่อย


 


 


พอมาถึง ทั้งสามก็ลงจากรถม้า ด้านหน้าเป็นที่ดินสุดลูกหูลูกตา บางส่วนมีการเพาะปลูกแล้ว บางส่วนเป็นที่ดินรกร้าง มีหญ้าขึ้นรกชัฏ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง พาคนทั้งสองเดินตรงมาถึงหน้าเรือนหลังหนึ่ง แล้วเคาะประตู


 


 


ประตูถูกเปิดออก ชายสูงอายุวัยห้าสิบกว่าปีเดินออกมา ถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “คุณชาย ท่านมาแล้ว ตกลงใจได้แล้วใช่ไหมขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชี้เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เมื่อวานข้าเข้ามาดูแทน ท่านนี้ถึงเป็นผู้ซื้อ”


 


 


ชายสูงวัยมองประเมินเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นลง ถามขึ้น “แม่นางรู้ใช่หรือไม่ว่านายของพวกเราขายที่ดินพร้อมกับเรือนหลังนี้”


 


 


“ทราบแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ข้าดูที่ดินคร่าวๆ แล้ว ข้าคิดจะดูภายในเรือนก่อนค่อยตัดสินใจอีกที”


 


 


ขอเรียกร้องของนางสมเหตุสมผล ชายสูงวัยเปิดประตูออกกว้าง ให้พวกเขาเข้ามา และพูดว่า “คนในเรือนถูกขับออกไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือข้าเฝ้าที่นี่เพียงคนเดียว พวกท่านเชิญดูตามสบายเถอะ”


 


 


ทั้งสามเดินเข้ามาด้านใน ไม่ต้องให้ชายสูงวัยนำทาง เดินดูทั่วทั้งเรือน คาดว่าเจ้าของจะเป็นคนสุนทรีย์ชอบเสพสุข ทั้งเรือนจึงประดับตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า ทุกซอกมุมล้วนงดงามประณีต


 


 


เมื่อเดินดูโดยรอบเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก คิดว่าภายหน้าหลังจากคนในครอบครัวย้ายมาอยู่เมืองหลวง หากไม่คุ้นชินกับชีวิตในเมืองใหญ่ สามารถย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้


 


 


เมิ่งฉีก็รู้สึกว่าไม่เลว พูดว่า “ที่นี่ล่ะ ประเดี๋ยวถามชายสูงวัยว่าจะโอนย้ายได้เมื่อไหร่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นชอบ


 


 


ทั้งสามเดินกลับมาหน้าประตู ชายสูงวัยยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เห็นพวกเขาเดินออกมา เอ่ยปากถามขึ้น “ทุกท่านพอใจหรือไม่”


 


 


“พอใจ ไม่ทราบว่าจะดำเนินการโอนย้ายได้เมื่อไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


ชายสูงวัยใบหน้ายินดี “หากแม่นางตัดสินใจแน่แล้ว พรุ่งนี้นัดเวลาไปทำเรื่องที่ศาลาว่าการได้เลย”


 


 


“ดี วันพรุ่งยามเฉินปลาย พวกเราจะรอนายของท่านที่ศาลาว่าการ ให้เขานำโฉนดที่ดินและโฉนดบ้านมาก็พอ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


ชายสูงวัยรับคำ “ได้ขอรับ ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปรายงานนายท่าน วันพรุ่งนายท่านจะเข้าไปตรงตามเวลานัดหมาย”

 

 

 


ตอนที่ 67-1 เจตนาหาเรื่องทะเลาะ

 

ทุกคนกล่าวอำลาชายชรา หลังจากที่ขึ้นรถม้าเสร็จแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งให้สารถีขับวนไปรอบๆ ทีนาหนึ่งรอบ พบว่าที่นาเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นพื้นที่รกร้าง คิดไว้ว่าหลังจากที่พรุ่งนี้ซื้อมาแล้วจะจะหาคนมาบุกเบิกพื้นที่รกร้างเหล่านี้ก่อน รอช่วงอากาศอบอุ่นในปีหน้าก็จะปลูกมันฝรั่งได้


 


 


ในตอนที่พวกเขาไปชายชราก็ลงกลอนปิดประตูของหมู่บ้านไว้ แล้วก็ขึ้นรถม้าเดินทางเข้าไปในเมืองอย่างช้าๆ


 


 


วันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีก็มาที่โรงหัตถกรรม


 


 


จากการที่ได้พักผ่อนเป็นเวลาสามวัน ส่วนหลังคาก็ซ่อมแซมไปพอสมควรแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสั่งคนงานทั้งหลายว่า “หลังจากที่พวกเจ้าซ่อมแซมเสร็จแล้วก็ทำความสะอาดโรงหัตถกรรมรวมถึงภายในเรือนด้วย ทั้งจัดการดายหญ้าให้เรียบร้อย ตอนที่เราเปิดกิจการจะต้องมั่นใจได้ว่าเรือนทุกเรือนจะสะอาดสะอ้าน”


 


 


งานที่ทำนั้นเป็นงานง่ายๆ สบายๆ ยามเที่ยงยังได้กินอาหารที่มีเนื้อสัตว์เต็มหม้ออย่างอิ่มหนำสำราญอีกด้วย คนงานทั้งหลายเห็นว่าซ่อมแซมหลังคาเสร็จแล้วก็ยังรู้สึกร้อนใจอยู่ พอได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นเต้นจนหน้าแดงไปหมด ต่างก็รับปากเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “วางใจเถอะขอรับนายหญิง พวกเราทุกคนรับรองว่าจะทำให้สะอาดหมดจด แม้แต่ต้นหญ้าต้นเดียวท่านก็จะไม่ได้เห็น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าแล้วถามขึ้นอีกว่า “ถ้าคนในครอบครัวของใครมีความจำเป็นต้องใช้เงินก็จะเอาเงินค่าแรงให้พวกเจ้าเอากลับไปใช้ก่อนหนึ่งร้อยอีแปะ ส่วนที่เหลือจะคิดเงินให้พวกเจ้าอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มทำงาน”


 


 


คนงานทุกคนต่างก็มองหน้ากันไปมา ต่างก็มองเห็นความประหลาดใจในแววตาของอีกฝ่าย โดยเฉพาะคู่สามีภรรยาที่มีหน้าที่ทำอาหาร รู้สึกซาบซึ้งใจจนดวงตามีน้ำตาเอ่อล้นออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของพวกเขาก็เข้าใจความคิดของพวกเขาจึงไม่ได้ถามอะไรอีก กำชับเสี่ยวซือและคนอื่นว่าเย็นนี้เมื่อเลิกงานให้เอาเงินค่าแรงให้พวกเขาคนละหนึ่งร้อยอีแปะ


 


 


คนงานทุกคนต่างก็กล่าวขอบคุณขึ้นอีกครั้ง


 


 


พอสั่งงานทางด้านนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีก็เดินทางมาถึงที่ศาลาว่าการ


 


 


ที่ศาลาว่าการเงียบสงัด เปาชิงเหอกำลังสนทนาอยู่กับเจ้าหน้าที่สารบรรณ พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็รู้สึกแปลกใจถามขึ้นว่า “แม่นางเมิ่ง มาหาข้าด้วยธุระอันใดหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับเล่าเรื่องที่ซื้อที่ดินห้าร้อยไร่กับเรื่องที่ซื้อหมู่บ้านให้เขาฟัง


 


 


เปาชิงเหออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ทะลึ่งพรวดลุกยืนขึ้นแล้วถามขึ้นทันควันว่า “แม่นางเมิ่งซื้อที่ดินมากมายเช่นนี้ ต้องการคนงานเป็นจำนวนมากใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ก็คิดไว้เช่นนั้น แต่ว่าต้องรอหลังจากที่โรงหัตถกรรมเปิดเสียก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


เจ้าหน้าที่สารบรรณก็ดีใจไม่น้อย พูดขึ้นต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน มีงานให้ทำแล้ว ฤดูหนาวปีนี้หลายครอบครัวก็ไม่ต้องอดอยากอีกต่อไปแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำลายความกระตือรือร้นของทั้งสองคนในเวลาที่ประจวบเหมาะ “ทั้งสองท่านอย่าดีใจมากเกินไปสิเจ้าคะ ที่ดินห้าร้อยไร่ก็มิได้มากมายอะไร ถ้าคนที่ว่างในเมืองเป่ยเฉิงไปทำงานกันทุกคนแล้วละก็คงจะทำงานกันได้คนละไม่เท่าไหร่”


 


 


น้ำเสียงตื่นเต้นของเปาชิงเหอดังขึ้นว่า “ทำได้หนึ่งวันก็ดีกว่าไม่ได้ทำเลยสักวัน ขอเพียงแค่มีเงินค่าแรงให้ก็ดีแล้ว ดีกว่าที่พวกเขาต้องว่างงานทุกวันเช่นนี้”


 


 


ในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ชายชราเมื่อวานกับชายสวมเสื้อคลุมแพรไหมอายุสามสิบถึงสี่สิบปีที่มีใบหน้าเศร้าหมองก็เดินเข้าประตูศาลาว่าการเข้ามา พอมองเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีชายชราก็ชี้มาทางที่พวกเขายืนอยู่แล้วกล่าวว่า “นายท่านขอรับ แม่นางผู้นี้คือคนที่ต้องการจะซื้อหมู่บ้านกับที่ดินของเรา”


 


 


ชายคนนั้นพยักหน้าให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่พูดอะไรมาก ล้วงเอาโฉนดที่ดินกับโฉนดบ้านออกมาจากในอกแล้วก็ส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางตรวจดูก่อน นี่คือโฉนดบ้านของหมู่บ้านกับโฉนดที่ดินของที่ดินห้าร้อยไร่ที่นั่น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาแล้วก็ตรวจดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ส่งให้เมิ่งฉี


 


 


เมิ่งฉีเองก็ตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นกัน ดูเสร็จแล้วจึงกล่าวว่า “ไม่ผิด” พูดจบก็เอาของสิ่งนั้นส่งให้กับเจ้าหน้าที่สารบรรณ


 


 


เจ้าหน้าที่สารบรรณเขียนเอกสารการซื้อขายที่ดินหนึ่งฉบับแล้วก็ให้พวกเขาทั้งสองคนประทับลายมือลงไป อีกทั้งยังดำเนินการตามขั้นตอนการโอนให้กับพวกเขา พอเสร็จสิ้นทุกกระบวนการเมิ่งฉีก็ล้วงเอาตั๋วเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วก็ส่งให้ชายคนนั้น “ท่านตรวจนับให้ละเอียดเสียก่อนว่าเป็นจำนวนที่ถูกต้องหรือไม่”


 


 


ชายคนนั้นรับมาตรวจนับอย่างละเอียด แล้วก็พยักหน้ากล่าวว่า “ครบถ้วน” พูดจบก็ยัดตั๋วเงินเข้าไปในอกเสื้อ แล้วก็หมุนตัวเดินออกจากศาลาว่าการไป ชายชราเดินตามหลังเขาไปติดๆ


 


 


เมิ่งฉีเองก็เอาโฉนดที่กับโฉนดบ้านยัดเข้าไปในอกเสื้อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ใต้เท้าเปาเจ้าคะ หลายวันนี้ข้ากับพี่รองยังมีธุระอื่นต้องไปทำอีก เกรงว่าจะมาไม่ได้ทุกวัน ธุระในโรงหัตถกรรมต้องขอรบกวนท่านให้เข้าไปดูแลด้วยนะเจ้าคะ”


 


 


“เรื่องนี้ไม่ยาก” เปาชิงเหอรับปากอย่างง่ายดาย “ข้าจะเข้าไปดูให้ทุกวัน พวกเจ้าสบายใจได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งอี้ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณแล้วก็เดินออกจากศาลาที่ว่าการ


 


 


เจ้าหน้าที่สารบรรณยังตกอยุ่ในภวังค์ ลองถามหยั่งเชิงดูว่า “ใต้เท้าขอรับ แม่นางผู้นี้เป็นญาติฝ่ายใดของท่านหรือ เหตุใดถึงมีความสามารถเช่นนี้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ซื้อโรงหัตถกรรมได้ อีกทั้งยังซื้อหมู่บ้านได้อีก”


 


 


เปาชิงเหอมองหน้าเขาแวบหนึ่ง


 


 


เจ้าหน้าที่สารบรรณรู้ตัวว่าตัวเองถามล่วงเกินไป จึงรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า “ใต้เท้าอย่าเข้าใจผิดนะขอรับ ผู้น้อยมิได้มีความนัยอื่นแอบแฝง เพียงแต่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามขึ้น”


 


 


เปาชิงเหอไม่ได้กล่าวโทษเขา แต่กลับกระซิบกระซาบที่ข้างหูเขาเบาๆ


 


 


เจ้าหน้าที่สารบรรณได้ยินแล้วก็เบิ่งตาโต ชี้ไปที่ประตูศาลาว่าการที่ไม่เห็นร่างของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว กล่าวอย่างตื่นตะลึงจนพูดติดอ่างว่า “นาง นาง นางคือ…”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้า


 


 


เจ้าหน้าที่สารบรรณมองไปที่ประตูศาลาว่าการ แล้วก็หันมามองหน้าเปาชิงเหอ แล้วก็หันไปมองที่ประตูศาลาว่าการอีกหน ทำเช่นนี้กลับไปกลับมาหลายต่อหลายครั้ง แล้วจู่ๆ ก็ตบเข่าฉาดใหญ่แล้วถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ใต้เท้าขอรับ ต่อหน้าของแม่นางเมิ่งข้าไม่ได้เสียมารยาทใช่ไหมขอรับ”


 


 


เปาชิงเหอตกใจจากท่าทางของเขา ขมวดคิ้วพร้อมกับตำหนิเขาว่า “ตกใจกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”


 


 


น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่สารบรรณก็เปลี่ยนไป “ไอ้หยา นายท่านขอรับ นี่เป็นถึงว่าที่พระชายาซื่อจื่อเลยนะขอรับ ชั่วชีวิตนี้ของข้าก็อาจจะไม่ได้พบผู้ที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้ ท่านจะไม่ให้ข้าตื่นเต้นได้อย่างไร”


 


 


เปาชิงเหอขมวดคิ้วมากกว่าเดิม สีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย “ที่ข้าบอกฐานะของนางให้เจ้าทราบก็เพื่อว่าต่อไปถ้ามีอะไรเจ้าจะได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้นาง ไม่ใช่ให้เจ้าร้องโหวกเหวกเช่นนี้”


 


 


เจ้าหน้าที่สารบรรณเอามือมาปิดปากตัวเอง กวาดตามองภายในศาลาที่ว่าการไปรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ก็เอามือตัวเองลง ยิ้มแหยๆ อย่างโง่งม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีไม่รู้เลยว่าหลังจากที่พวกเขาออกไปแล้วได้เกิดอะไรขึ้น แต่กลับตรงไปที่ร้านที่เห็นสาวใช้ของพระชายารองอยู่ที่ในวันนั้น แล้วก็ลงจากรถม้าเดินเข้าไปข้างใน


 


 


ร้านนั้นยังเปิดร้านอยู่เช่นเดิม เถ้าแก่ในร้านกับพนักงานต่างก็นั่งทอดถอนใจอย่างไร้ชีวิตชีวาและห่อเ**่ยวอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็คิดว่าเป็นลูกค้า กล่าวขึ้นว่า “ร้านของเราใกล้จะปิดกิจการแล้ว ของในร้านก็ไม่ขายแล้วขอรับ”


 


 


พูดจบก็ไม่ได้สนใจพวกเขาอีก เถ้าแก่ยังนั่งถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มอยู่บนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กลับ ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “เปิดร้านอยู่ดีๆ ทำไมปิดกิจการเสียล่ะ”


 


 


“เพราะว่าเจ้าของร้านคนเดิมของเราขายร้านไปแล้ว พวกเราก็ถูกเลิกจ้างเช่นกัน” เถ้าแก่ตอบโดยไม่เงยหน้า


 


 


พนักทั้งหลายต่างก็เอาคางเกยบนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก


 


 


“ถ้าเช่นนั้นสินค้าในร้านจะจัดการอย่างไรหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


เถ้าถูกถามจนเกิดความรำคาญ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ดีว่า “ของในร้านก็ต้องขายไปพร้อมกันอยู่แล้วสิ หรือว่าจะให้เอากลับไปเผาที่บ้าน”


 


 


ไม่นึกว่าในเมืองหลวงจะมีกฎเกณฑ์เช่นนี้ ซื้อร้านก็ได้ของในร้านทั้งหมดด้วย แอบคิดว่าตัวเองจะได้กำไรอีกแล้ว ส่งเสียงจิ๊จ๊ะขึ้นเบาๆ แล้วจึงลูบไล้ผ้าแพรไหมอันเกลี้ยงเกลาเป็นมันวาวเหล่านั้นแล้วกล่าวขึ้นว่า “สิ่งทอที่ดีเช่นนี้หากเผาทิ้งก็น่าเสียดายแย่”


 


 


เถ้าแก่ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “ข้าว่าพวกเจ้าเป็นอะไรกัน ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ขายของในร้าน…” จนกระทั่งมองเห็นเมิ่งฉีที่อยู่ด้านหลังเมิ่งเชี่ยนโยว ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมาแม้แต่คำเดียว


 


 


พนักงานได้ยินน้ำเสียงเขาแปลกไปก็เงยหน้าขึ้นมองตามๆ กัน


 


 


เถ้าแก่จำเมิ่งฉีได้ว่าเป็นคนที่ซื้อร้านไปจากสาวใช้ของพระชายารอง ลนลานจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี “เถ้าแก่ ไม่สิ ไม่ คุณชาย ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านจะมา เมื่อครู่นี้ได้ล่วงเกินแม่นางผู้นี้ไปแล้ว ท่านอย่าได้กล่าวโทษเลยนะขอรับ”


 


 


เมิ่งฉีขมวดคิ้วแล้วก็เดินเข้าไปหา


 


 


เถ้าแก่เห็นสีหน้าท่าทางของเขาดูไม่ค่อยดีจึงพูดเสียงเบาไม่ชัดเจนเท่าไหร่นักว่า “หลังจากที่ท่านซื้อร้านนี้ไปก็ไม่ได้มาหลายวัน พวกเราไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไรจึงไม่กล้าไปไหน ได้แต่รออยู่ที่ร้านเท่านั้น”


 


 


“ข้าเป็นคนจากเมืองอื่น ไม่รู้กฎเกณฑ์ของคนที่นี่ว่าซื้อร้านก็ได้สินค้าจากในร้านด้วย ตอนนั้นเราตกลงกันว่าหลังจากนี้อีกห้าวันถึงจะส่งมอบ วันนี้ข้าผ่านมาทางนี้พอดีจึงได้แวะเข้ามาดู” เมิ่งฉีกล่าว


 


 


เถ้าแก่รีบกล่าวขึ้นทันทีว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าหลายวันนี้ถึงไม่เห็นท่านมา ส่วนเถ้าแก่ร้านอีกสี่ร้านก็รอท่านจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว”


 


 


“ทำไมหรือ” เมิ่งฉีถาม


 


 


“ร้านของพวกเขาเป็นร้านที่เช่าไว้ วันนั้นหลังจากที่พวกท่านเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนแล้ว เถ้าแก่คนเดิมของพวกเราได้ส่งคนไปบอกพวกเขาเอาไว้ว่าให้พวกเขาย้ายออกภายในห้าวัน แต่ว่าทุกร้านต่างก็มีกิจการที่มั่นคงแล้ว มีหรือที่พวกเขาจะยอมย้ายออกไป อีกอย่างเวลาแค่ห้าวันนั้นมันฉุกละหุกเกินไป พวกเขาหาสถานที่ที่เหมาะสมไม่ได้ ตอนนี้กำลังรอให้ท่านมาปรึกษาหารือเรื่องการทำสัญญาเช่าร้านอยู่ขอรับ” เถ้าแก่พูดจบก็พูดอย่างตะกุกตะกักขึ้นอีกว่า “เอาอย่างนี้ดีไหมขอรับ ให้ข้าน้อยไปตามเถ้าแก่ร้านมาตอนนี้เลย ให้พวกเขามาคุยกันต่อหน้าท่าน”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า “ไปเถอะ ข้าจะรออยู่ที่นี่”


 


 


เถ้าแก่ขานรับ แล้วตำหนิพนักงานที่กำลังยืนเหม่อลอยอยู่ว่า “ยังยืนเฉยอยู่ได้ ต่อไปท่านนี้ก็คือเถ้าแก่คนใหม่ของเรา ยังไม่รีบไปชงชามาให้เถ้าแก่อีก”


 


 


พวกพนักงานราวกับได้ตื่นจากฝัน ต่างก็ยื้อแย่งกันไปข้างหลังเพื่อไปต้มน้ำร้อนมาชงชา


 


 


เถ้าแก่ก็รีบเดินออกไปตามคน


 


 


พริบตาเดียวภายในร้านก็ไม่มีคนอยู่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)