ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 61-66
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 61 ส่งกลับเมืองหลวง
ในห้องหอเต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่าเศร้าสลด แม้แต่สี่ผอและคนใช้ในจวนก็เศร้าเสียใจ
หลินจ้งมองแผ่นหลังของหวงฝู่อวี้ที่กำลังอุ้มหลินหันเยียนจากไปด้วยตาที่พร่ามัวเพราะน้ำตา เขาอยากจะวิ่งเข้าไปทำอะไรสักอย่าง แต่เขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อฝืนบังคับตนเองไม่ให้พุ่งตัวออกไป สิ่งที่น้องเล็กปรารถนาและรอคอยมาทั้งชีวิต คือ ณ เวลานี้ บัดนี้นางได้มันมาแล้ว เขาห้ามเข้าไปรบกวน ห้ามเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวตาร้อนผ่าว นางเม้มปากแน่น บาปบุญหลายปีมานี้ของอวี้เอ๋อร์และหลินหันเยียนจบลงแล้ว ณ เวลานี้ เป็นเพียงความทรงจำของหลินหันเยียน จดจำลงในใจของหวงฝู่อวี้ คนตายได้ตายจากไป แต่อวี้เอ๋อร์…เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจยาว
หลังจากหวงฝู่อวี้เดินออกจากห้องหอ น้ำตาที่กลั้นมานานก็ไหลลงมา หยดลงบนตัวของหลินหันเยียน จนเสื้อนางเปียกชุ่ม แต่กลับแผดเผาใจนางไม่ได้อีกต่อไป มีแต่จะเย็นลงเมื่อสัมผัสถูกตัวนางที่ค่อยๆ เย็นลง
น้ำตาทำให้สายตาพร่ามัวไปหมด จนเขามองทางที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัดเจน แต่ภาพอันงดงามในตอนนั้นกลับปรากฎต่อหน้าเขาอย่างชัดเจน เมื่อครั้นตอนที่พวกเขาโกรธกัน ทะเลาะกัน หยอกล้อกัน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ร่างของคนที่อยู่ในอ้อมอกค่อยๆ เย็นลงและกำลังเตือนเขาว่าจะไม่มีห้วงเวลาเหล่านั้นอีก ชั่วชีวิตชาตินี้จะไม่มีคนที่รักเอ็นดูเขา ในสายตามีเพียงเขาคนเดียว และเคารพเขา ภูมิใจในตัวเขาอย่างนางอีกแล้ว
เขาเดินซวนเซจนถึงเรือนหอ ค่อยๆ วางนางลงบนเตียง แล้วยื่นมือไปลูบใบหน้าที่ขาวซีดของนาง น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง
ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ลับฟ้า หวงฝู่อวี้อยู่ในเรือนหอตลอดไม่ได้ออกมา
ฮูหยินหลินทนความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไป นางร้องไห้จนสลบไป
เมิ่งเชี่ยนโยวจัดยาให้นาง สองสามีภรรยาหลินจ้งเฝ้าอยู่ข้างหน้านาง
เพียงวันเดียวหลินฉงเหวินก็แก่ตัวลงไปมาก เขานั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ในห้องของเขาและฮูหยินหลิน
อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนในค่ายทหารได้ข่าวนี้ ก็ทอดสายตามองไปที่เมืองชายแดน แล้วถอนหายใจยาว
ภายในวันเดียวกัน จดหมายเร่งด่วนแปดร้อยลี้ก็ถูกส่งถึง ฉู่เหวินเจี๋ยเปิดออก ในนั้นเขียนไว้สองสามประโยคว่า ‘ตัวข้าอยู่ในเมืองหลวงห่างไกลจากชายแดน ไม่ทราบสถานการณ์ชัดเจน ให้พวกเจ้าตัดสินใจเองได้ จะไปต่อหรือสงบศึกข้าก็ไม่มีความเห็นคัดค้าน’
นี่เท่ากับว่ามอบอำนาจไว้ในมือพวกเขา ฉู่เหวินเจี๋ยรีบนำจดหมายให้อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนดู
หลังจากพวกเขาปรึกษากันแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าให้รัฐอิงอยู่ใต้การปกครองจะเป็นการดี อย่ามีศึกสงครามอีกเลย
ในพระราชวังรัฐอิง ศีรษะของท่าป๋าหั่นมู่ถูกส่งคืน หลังจากจัดพิธีศพทั่วทั้งรัฐแล้ว ฮ่องเต้ก็ล้มป่วยหนัก ในวันนั้นเขาฝืนพระวรกายที่เหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้ายเรียกท่านป๋าหั่นหลินองค์ชายสิบที่ยังเป็นหนุ่มแน่นของตนมาข้างเตียงตน หลังจากให้ทุกคนในห้องบรรทมออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรไป รู้เพียงว่าตอนที่องค์ชายสิบออกมาจากห้องบรรทม เขาเม้มปากแน่น สีหน้าหนักแน่น ทอดสายตามองไปที่รัฐอู่อยู่แสนนาน
ในวันนั้น ฮ่องเต้ประกาศสละบัลลังก์ องค์ชายสิบสืบราชบัลลังก์ต่อ
เมื่อองค์ชายท่านอื่นได้ยินก็ตกใจ
วันที่สอง องค์ชายสิบสืบราชบัลลังก์ เรื่องแรกที่ทำคือส่งจดหมายยอมจำนนต่อฉู่เหวินเจี๋ย แสดงความจำนนว่าประชาราษฎรชั่วอายุคนทั้งรุ่นลูกรุ่นหลานของรัฐอิงจะยอมเป็นเมืองขึ้นของรัฐอู่ และรับรองว่ารัฐอิงจะเป็นรัฐที่อยู่ใต้การปกครองของรัฐอู่เพียงรัฐเดียว
ฉู่เหวินเจี๋ยได้รับจดหมายยอมจำนน จึงออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับเข้าเมืองชายแดนรัฐอู่
วันที่สาม ฮ่องเต้สวรรคต ทั้งรัฐไว้อาลัย ฮ่องเต้ที่ถูกแต่งตั้งใหม่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด
ในเมืองชายแดน
หวงฝู่อวี้อยู่ในเรือนหอมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว เช้าวันที่สอง เขาเดินออกมาจากห้องด้วยร่างเสมือนไร้วิญญาณที่เสื่อมโทรม มีสีหน้าที่ซีดเซียว เขาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างเป็นห่วงด้วยเสียงแหบแห้งกว่าเดิมว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ รบกวนท่านช่วยเตรียมโลงศพให้เยียนเอ๋อร์หน่อยขอรับ ข้าและเฮ่าเอ๋อร์จะส่งนางกลับเมืองหลวง”
“เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อยู่หน้าประตูใหญ่”
“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ”
พูดจบ ก็หันไปหาหวงฝู่เฮ่า “เฮ่าเอ๋อร์ ไปเก็บของของเจ้าให้เรียบร้อย ส่งแม่ของเจ้ากลับเมืองหลวงพร้อมข้า”
“ขอรับ ท่านพ่อ” หวงฝู่เฮ่าขานรับ หันกลับไปห้องของตัวเอง แล้วเก็บสัมภาระของตนจนเสร็จ แบกขึ้นหลัง เดินออกไปประตูใหญ่
หวงฝู่อวี้หันหลังกลับเข้าไปในห้อง อุ้มร่างที่แข็งทื่อของหลินหันเยียนออกมา “พี่สะใภ้ใหญ่ รบกวนท่านนำทางขอรับ ข้าและเยียนเอ๋อร์จะไปกล่าวอำลาท่านพ่อและท่านแม่ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนำเขามาจนถึงเรือนของฮูหยินหลิน
หวงฝู่อวี้อุ้มหลินหันเยียนคุกเข่าลงบนพื้นลานบ้าน โขกหัวลงสามครั้ง พูดเสียงดังว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าและเยียนเอ๋อร์กลับเมืองหลวงวันนี้นะขอรับ ท่านทั้งสองโปรดดูแลสุขภาพด้วยขอรับ”
ฮูหยินหลินที่ร้องห่มร้องไห้มาทั้งวันทั้งคืน เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็ร้องอย่างทุกข์ทรมานอีกครั้ง
หลินฉงเหวินที่นั่งเหม่อลอยมาตลอดก็ตั้งสติได้ เขาลุกขึ้น แล้วเดินออกไปข้างนอก จนถึงข้างหน้าหวงฝู่อวี้
หวงฝู่อวี้คุกเข่าอย่างนอบน้อม ขานเรียก “ท่านพ่อ!”
ริมฝีปากหลินฉงเหวินขยับ หนวดเคราสีขาวที่ปกคลุมก็กระตุกตาม ผ่านไปนานจนพูดออกมาว่า “เรากลับเมืองหลวงไม่ได้แล้ว เยียนเอ๋อร์…ข้าขอฝากไว้กับเจ้านะ”
“ท่านพ่อพูดอะไรกัน เยียนเอ๋อร์เป็นภรรยาที่ข้าตบแต่งถูกต้องตามประเพณี งานศพของนาง ข้าต้องจัดอย่างเปิดเผยอยู่แล้วขอรับ” หวงฝู่อวี้ให้สัญญา
หลินฉงเหวินตบไหล่เขาเบาๆ แล้วหันหลังไป เพื่อไม่ให้เขาเห็นดวงตาที่บวมแดงจากการร้องไห้ของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ไปเถอะ ระวังตัวด้วย”
“ขอรับ ท่านพ่อดูแลตนเองด้วยขอรับ”
หวงฝู่อวี้ขานรับ ลุกขึ้นแล้วหันหลัง อุ้มหลินหันเยียนออกจากจวนไป
หน้าประตูมีโลงศพหรูหราวางอยู่บนรถม้า
หวงฝู่อวี้เดินขึ้นหน้า นำร่างหลินหันเยียนวางลงในนั้น แล้วยกฝาโลงปิดโลงศพด้วยตนเอง จากนั้นก็รับสายบังเ**ยนจากคนขับรถม้า หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าและเยียนเอ๋อร์กลับก่อนนะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หวงฝู่อวี้ตวัดบังเ**ยนขึ้น พร้อมตะเบ็งเสียงให้ม้าออกตัว แล้วขี่ม้ามุ่งไปทางประตูเมือง
หวงฝู่เฮ่าขี่ม้าตามข้างหลัง
เฮ่ออีและองครักษ์เงาสองสามนายตามอยู่หลังสุด
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ยืนอยู่หน้าประตู มองดูรถม้าที่จากไปไกล
หวงฝู่เย่าเย่ว์ค่อยๆ เอียงตัวไปไปด้านหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว เรียกเสียงหวาดกลัวว่า “ท่านแม่!”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจยาว ยื่นมือมาลูบศีรษะนาง แล้วกำชับว่า “กลับไปเก็บของกับเมิ่งเอ๋อร์เถอะ อีกสองสามวันเราต้องกลับเมืองหลวงกันแล้วล่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขานรับ แล้วกลับห้องพร้อมหวงฝู่สือเมิ่งไป
วันที่สาม หลังจากจัดการเรื่องของรัฐอิงเสร็จ อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับเข้ามาในเมือง เมื่อได้ยินสิ่งที่หวงฝู่อวี้ทำ ก็เงียบไม่พูดอะไร
ผ่านไปนาน อ๋องฉีก็ถอนหายใจยาว “เก็บของแล้วรีบกลับเมืองหลวงกันเถอะ”
ทหารที่ราชวังส่งมายังมาไม่ถึง ฉู่เหวินเจี๋ยจึงต้องอยู่ชายแดนก่อน ยังไม่สามารถนำกองทัพกลับเมืองหลวงได้
ฉู่เหยาที่ตามมาฝึกฝนตนเองในสนามรบ บัดนี้สงบศึกแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยจึงให้เขากลับเมืองหลวงพร้อมอ๋องฉี
วันที่สี่ อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนทั้งบ้านก็ขี่ม้ากลับเมืองหลวง พร้อมด้วยฉู่เหยา
หลินฉงเหวินและฮูหยินหลินไม่ได้ออกมาส่ง สองสามีภรรยาหลินจ้งส่งทุกคนออกจากเมืองอย่างนอบน้อม และในเย็นวันนี้เอง โจวอันผู้ออกไปสืบความได้กลับมาแล้ว เมื่อได้ยินว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเมืองหลวงไปแล้ว เขาก็รีบนำผู้ติดตามสองสามคนตามไปโดยไม่สนใจแม้นเวลาจะมืดค่ำ
แม้หวงฝู่อวี้จะล่วงหน้ากลับไปก่อนหนึ่งวัน แต่เขาขี่รถม้า และยังไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นขี่ให้ เขาที่ไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันหลายคืน จึงขี่ได้ช้ากว่าปกติ ในเย็นวันแรก ทุกคนก็ตามพวกเขาทันแล้ว
เมื่ออ๋องฉีเห็นลำตัวของหวงฝู่อวี้ที่ซวนเซไปมาเหมือนร่างที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง เขาก็พูดเสียงต่ำว่า “อวี้เอ๋อร์ หยุดรถม้าเถอะ พักก่อนหนึ่งคืนค่อยกลับ”
อ๋องฉีรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดเขาไว้ จึงถอยออกมา
ราวกับว่าหวงฝู่อวี้ไม่ได้ยิน เขายังคงสะบัดบังเ**ยนเร่งม้าเดินต่อไปดั่งเครื่องจักร
หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดไปข้างหลังเขา ใช้สันมือกระแทกลงไปบนศีรษะเขาเพื่อให้เขาสลบ จากนั้นก็รับร่างของเขาไว้แล้วนำขึ้นมาวางบนม้าของตน ขี่ม้าไปโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุด
เฮ่ออีรีบกระโดดลงจากม้า เร่งรถม้าตามด้านหลัง
คนทั้งขบวนสวมเสื้อผ้าราคาแพง แต่กลับลากโลงศพมาด้วย เจ้าของร้านรู้สึกเป็นอัปมงคล จริงๆ ไม่อยากให้พวกเขาพักที่นี่ แต่ก็เสียดายเงินทองมากมาย เขาจึงตัดสินใจเสนอเงื่อนไขว่า คนอยู่ที่นี่ได้ แต่โลงศพต้องย้ายไปสถานที่ที่ไกลจากโรงเตี๊ยมของพวกเขาเสียหน่อย ห้ามอยู่หลังเรือน หากทำเอาแขกผู้อื่นเห็นแล้วไม่กล้าเข้าพัก จะกระทบโรงเตี๊ยมของเขาเอา
อ๋องฉีกำลังจะโมโห เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามปรามเขาไว้ สั่งเฮ่ออีขี่รถม้าไปร้านบะหมี่มันฝรั่งที่อยู่ในเมือง และส่งตราประทับให้เขา
เมื่อเถ้าแก่ร้านบะหมี่มันฝรั่งเห็นตราประทับ ก็ให้เฮ่ออีขี่รถม้าเข้าไปในเรือนทันที
ทุกคนนอนพักในโรงเตี๊ยม
หวงฝู่อี้เซวียนลงมือหนักไปหน่อย หวงฝู่อวี้ไม่ตื่นเลยจนถึงมื้ออาหารเย็น
หลังจากทุกคนกินข้าวเย็นกันแล้ว ก็แยกย้ายกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตน หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้พักห้องเดียวกัน กลางดึก หวงฝู่อวี้ค่อยๆ ตื่นขึ้น เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้นอน เขานั่งบนเก้าอี้ในห้องตลอด เมื่อเห็นเขาลุกนั่งขึ้น ก็เอ่ยถาม
หวงฝู่อวี้หันศีรษะที่แข็งเกร็งมองไปที่เขา เรียกด้วยเสียงที่แทบจะไม่มีเสียงออกมาว่า “พี่ใหญ่”
หวงฝู่อี้เซวียนรินน้ำให้แก้วหนึ่ง ยื่นให้เขา
หวงฝู่อวี้รับไว้ เงยหน้าขึ้น แล้วกระดกน้ำลงไปหมดแก้ว
หวงฝู่อี้เซวียนรินน้ำให้เขาอีกแก้วหนึ่ง
หวงฝู่อวี้ดื่มหมดแก้วไปสามแก้ว กว่าเขาจะรู้สึกคอกระชุ่มกระชวยขึ้น จากนั้นก็กวาดตามองรอบๆ เมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เยียนเอ๋อร์ล่ะ”
“โรงเตี๊ยมไม่อนุญาตให้นำโลงศพไว้ที่นี่ พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าสั่งเฮ่ออีขี่รถม้าไปไว้ในร้านบะหมี่มันฝรั่งแล้ว”
“ข้าจะไปอยู่กับนาง” พูดจบ ก็ลงจากเตียง สวมรองเท้าเสร็จ กำลังจะเดินออกไป
“อวี้เอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเขา
หวงฝู่อวี้ชะงักฝีเท้าลง หันศีรษะกลับไป
“เจ้ายังมีเมีย พ่อและแม่นะ”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “ขอรับ ข้ารู้ แต่ข้ามีเวลาอยู่กับนางอีกไม่นานแล้ว ข้าอยากใช้เวลาอยู่กับนางให้มากที่สุดขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนลอบถอนหายใจ เดินมาตบไหล่เขาเบาๆ “พี่เข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่คนตายได้ตายไปแล้ว สภาพเจ้าแบบนี้ต้องการให้คุณหนูหลินที่ตายไปแล้วต้องไม่สบายใจหรือ”
หวงฝู่อวี้น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง พูดเสียงสะอื้นว่า “พี่ใหญ่ ข้า…”
หวงฝู่อี้เซวียนลอบถอนหายใจอีกครั้ง “เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่ใช่เจ้าฝ่ายเดียวที่ทำผิดต่อนาง นางก็มีส่วนผิดเหมือนกัน จวนอ๋องฉีของเรานั้นก็ซาบซึ้งใจที่นางสละชีวิตเพื่อช่วยเฮ่าเอ๋อร์ไว้ ข้าเชื่อว่าคุณหนูหลินที่ตายไปแล้วก็ไม่อยากเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้หรอก”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 62 ทุกอย่างผ่านไป...
หวงฝู่อวี้เดินโซซัดโซเซ แล้วปล่อยตัวล้มนั่งลงบนเก้าอี้ เขาก้มศีรษะลง น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงบนพื้น
เขาไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อถึงเช้าวันที่สอง หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว ทุกคนก็เร่งเดินทางกลับ เมื่อถึงช่วงบ่าย โจวอันก็นำคนตามมาถึง เมื่อเห็นโลงศพก็ตกใจ เขารีบกวาดตามองคนในจวน เมื่อเห็นว่าอยู่กันครบ ไม่ขาดใครไป ก็วางใจลง แต่เมื่อเห็นคนที่ขี่รถม้าคือหวงฝู่อวี้ เขาก็ตกใจมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่กล้าปริปากถาม ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เขาเดินขึ้นหน้า รายงานเรื่องเจ้าของเบื้องหลังหอนางโลมชิงเฟิงที่เขาไปสืบมาหลายวันนี้ด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนฟังจบ ก็เงียบ
โจวอันถอยหลัง
การเดินทางผ่านไปด้วยดี หลังจากผ่านไปสิบวัน คนทั้งขบวนก็มาถึงเมืองหลวง โชคดีที่อากาศหนาวเย็น ร่างของหลินหันเยียนจึงแข็งตัว ไม่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่พึงประสงค์
คนในเมืองหลวงไม่ทราบข่าว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นจวนอ๋องฉีลากโลงศพกลับมาด้วย ก็เริ่มคาดเดากันไปต่างๆ นานา เพียงเวลาครู่หนึ่ง เรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก จนถึงหูของหวงฝู่ซวิ่น
หวงฝู่ซวิ่นคิดว่าคนในจวนอ๋องเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาตกใจจนหนังสือในมือร่วงหล่นลงบนพื้น รีบสั่งขันทีผู้ดูแลวังว่า “เร็วเข้า รีบไปสืบข่าวมา ใครเป็นอะไรกันแน่”
เมื่อถึงประตูเมือง อ๋องฉีก็สั่งคนให้กลับจวนไปรายงานพระชายาฉีก่อนแล้ว
เมื่อทุกคนถึงหน้าประตูจวน พระชายาฉีก็ยืนรอตาแดงก่ำกับเจียงจิ่นอยู่หน้าประตูจวนแล้ว
ประตูจวนเปิดอ้ากว้าง
หวงฝู่อวี้หยุดรถม้า
เจียงจิ่นเห็นใบหน้าทรุดโทรมของเขา ก็อยากเข้าไปถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
หลังจากหวงฝู่อวี้หยุดรถม้าแล้ว ก็แนบมือไปที่โลงศพ พูดเสียงเบาว่า “เยียนเอ๋อร์ เราถึงบ้านแล้ว” เมื่อเจียงจิ่นเห็นภาพตรงหน้า ขาที่ยื่นออกไปก็ค่อยๆ ยื่นกลับมา นางเม้มปาก ยืนอยู่ข้างหลังพระชายาฉี
หวงฝู่อวี้หันหลังไปคารวะพระชายาฉี “เสด็จแม่ ข้าและเยียนเอ๋อร์แต่งงานไหว้ฟ้าดินกันแล้วขอรับ บัดนี้นางเป็นภรรยาที่แต่งงานกันถูกต้องตามประเพณีแล้ว ได้โปรดท่านอนุญาตให้โลงศพของนางเข้าทางประตูหลักด้วยเถอะขอรับ”
หลังจากที่หวงฝู่อวี้ได้รับจดหมายของเมิ่งเชี่ยนโยวและจากไปอย่างเร่งรีบ เจียงจิ่นก็นำจดหมายให้พระชายาฉีดูแล้ว พระชายาฉีรู้ว่าหลินหันเยียนตายเพราะช่วยหวงฝู่เฮ่าไว้ เมื่อได้ยินหวงฝู่อวี้พูดเช่นนี้ นางก็พอเดาอะไรได้บ้างแล้ว จึงพยักหน้า “เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว ข้าให้คนตระเตรียมห้องเซ่นไหว้ไว้แล้ว จะสั่งให้คนยกโลงศพเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“ขอบพระคุณเสด็จแม่ขอรับ”
บ่าวรับใช้ในจวนเดินขึ้นหน้า ค่อยๆ ยกโลงศพลงมาแล้วยกเข้าไปข้างใน วางไว้ในห้องเซ่นไหว้
หวงฝู่อวี้คอยเดินตามตลอด
หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ และหวงฝู่เฮ่าเดินขึ้นมาคารวะพระชายาฉี
พระชายาฉีพยักหน้า ถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่หวงฝู่อวี้ตบแต่งหลินหันเยียนเป็นผิงชี และให้หวงฝู่เฮ่าเรียกนางว่าแม่ให้นางฟังทั้งหมด
“นี่…” พระชายาฉีมองไปที่เจียงจิ่น
เจียงจิ่นได้ยินดังนั้น คลื่นที่ปั่นป่วนอยู่ภายในใจของนางก็ทำให้นางไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ แต่เมื่อเห็นพระชายาฉีมองมาที่นาง นางจึงฝืนฉีกยิ้มออกมา พูดอย่างใจกว้างว่า “เสด็จแม่ ในเมื่อท่านพี่ตบแต่งคุณหนูหลินเป็นผิงชีแล้ว ก็ไม่ควรจัดงานศพอย่างสะเพร่านะเจ้าคะ คนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเอาได้เจ้าค่ะ”
พระชายาฉีถอนหายใจ “จิ่นเอ๋อร์ ชาตินี้ที่อวี้เอ๋อร์แต่งเจ้าเป็นเมียได้ ไม่รู้ว่าเขาต้องสั่งสมบุญมากี่ชาติ”
เจียงจิ่นฝืนฉีกยิ้มไว้ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดกว่าสีหน้าร้องไห้เสียอีก
หลังจากโลงศพถูกยกเข้าไปในจวนอ๋องฉี ผู้คนก็คาดเดาไปต่างๆ นานา บ่าวรับใช้ใส่ปลอกแขนไว้ทุกข์เดินออกมาทีละกลุ่มสองกลุ่ม เพื่อไปแจ้งข่าวมรณกรรมแก่จวนอื่นๆ ว่าผิงชีของคุณชายรองเสียชีวิตเพราะเจ็บป่วย
เรื่องของหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนในตอนนั้นแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่มีใครไม่รู้ ตอนนี้หวงฝู่อวี้ก็ลากโลงศพของหลินหันเยียนกลับเข้าเมืองอีก บอกว่าเป็นผิงชี ผู้คนจึงคาดเดากันไปต่างๆ แต่ก็ทำได้เพียงคาดเดา จวนน้อยใหญ่ต่างก็มาแสดงความเสียใจอยู่ดี
ณ จวนเจียง
เมื่อหมอหลวงเจียงได้ยินคำพูดของคนแจ้งข่าว ก็คิดว่าตนเองอายุมากแล้ว จึงได้ยินไม่ชัดเจน เขาถามขึ้นอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตนเอง “เจ้าบอกว่าใครเสียแล้วนะ”
“ผิงชีของคุณชายรอง หลินหันเยียนคุณหนูใหญ่ของบ้านหลินขอรับ” บ่าวรับใช้พูดซ้ำตามที่หวงฝู่อวี้แจ้งมาอีกครั้ง
“เหลวไหล!” เป็นครั้งที่สองที่หมอหลวงเจียงพ่นคำไม่สุภาพออกมาอย่างไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของตน “ข้าไม่เห็นได้ยินว่าคุณชายรองตบแต่งผิงชีเมื่อไหร่เลย”
บ่าวรับใช้ตกใจ ขยับเท้าเล็กน้อย จนห่างจากหมอหลวงเจียงมากขึ้น แล้วจึงตอบกลับว่า “พ่อบ้านสั่งให้ข้าน้อยพูดเช่นนี้ขอรับ”
หมอหลวงเจียงเบิกตาโต หนวดเคราที่ปรกอยู่กระตุก “เขาให้เจ้าพูดเช่นนี้ หมายความว่าไม่ได้เอาตระกูลเจียงของเราไว้ในสายตาเลยใช่ไหม”
บ่าวรับใช้ไม่กล้าพูดอะไร
พ่อของเจียงจิ่นขึ้นหน้าไปไกล่เกลี่ย “ท่านพ่อ อย่าโกรธเลย ลูกจะส่งคนไปสืบความ และถามจิ่นเอ๋อร์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะขอรับ”
“พวกเจ้าไม่ต้องไปหรอก ข้าไปเอง ข้าอยากรู้เหลือเกินว่า หลานสาวของข้าเจอข้าแล้วจะอธิบายอย่างไร นี่มันรังแกกันเกินไปหน่อยแล้ว ตอนนั้นเขาตบแต่งจิ่นเอ๋อร์เป็นเมียของเขา หลายปีมานี้ก็รักและดูแลจิ่นเอ๋อร์อย่างดี ไม่คิดว่าตอนนี้กลับทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมา หรือเห็นว่าตระกูลเจียงของเราไม่มีชีวิตแล้วหรือ รังแกกันสนุกนักรึ”
อาจจะเป็นเพราะอายุที่มากขึ้น ยิ่งแก่ก็ยิ่งกลับไปน้อยใจโวยวายเหมือนเด็ก หรืออาจจะเป็นเพราะหลายปีมานี้คนจวนอ๋องฉีนอบน้อมต่อเขาเกินไป จนทำให้เขาลืมตัว หมอหลวงเจียงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถลกแขนเสื้อขึ้น บอกว่าจะไปจวนอ๋องฉีคิดบัญชีกับหวงฝู่อวี้ให้ได้
พ่อของเจียงจิ่นรั้งเขาไว้ไม่อยู่ แต่ก็กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป จึงทำได้เพียงติดตามเขามาด้วย
ผิงชีของคุณชายรองเสียชีวิต คนส่วนใหญ่ที่มาแสดงความเสียใจคือผู้หญิง ทุกคนรวมตัวกันหน้าประตูจวน เมื่อเห็นพ่อลูกหมอหลวงเจียงมา เสียงซุบซิบก็ดังเซ็งแซ่
พ่อบ้านจวนอ๋องยืนอยู่หน้าประตู คอยต้อนรับคนที่มาแสดงความเสียใจ เมื่อเห็นพ่อลูกหมอหลวงเจียงก็ชะงัก แล้วรีบเดินไปต้อนรับทันที “นายท่านเจียง ท่าน…”
แม้จะโกรธเพียงใด หมอหลวงเจียงก็ยังมีสติอยู่ เมื่อเห็นผู้คนมากมายหน้าประตู ก็ข่มความโกรธในใจไว้ ถามขึ้นว่า “คุณชายรองของพวกเจ้าล่ะ ให้เขาออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้”
“นี่…” พ่อบ้านไม่กล้าพูดว่าหวงฝู่อวี้เฝ้าอยู่หน้าโลงศพของหลินหันเยียนตลอดเวลา
แต่ก็กลัวว่าจะทำให้หมอหลวงเจียงโกรธ จึงรีบกดเสียงต่ำพูดว่า “นายท่านเจียง ข้างนอกมีคนมากมาย ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การพูดคุยขอรับ ท่านเข้าไปในจวนก่อน มีอะไรให้ฮูหยินรองบอกท่านเถอะขอรับ”
หมอหลวงเจียงไม่ได้พูดอะไร เดินตามเขาเข้าไปในจวน
พ่อบ้านจวนนำพวกเขาพ่อลูกจัดแจงไว้ในเรือนรับรอง และรีบสั่งคนให้ไปเชิญเจียงจิ่นมา
เจียงจิ่นได้ยินบ่าวรับใช้รายงาน ก็รีบมาทันที เมื่อเห็นสีหน้าไม่รับแขกของท่านปู่ ก็ชะลอฝีเท้าลง พูดต่อหน้าเขาอย่างระมัดระวังว่า “ท่านปู่”
“ว่ามาซิ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” หมอหลวงเจียงไม่พูดพล่าม เขาถามขึ้นทันที
เจียงจิ่นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงทั้งหมดให้เขาฟังอย่างไม่ปิดบังใดๆ
เมื่อหมอหลวงเจียงได้ยินว่าหลินหันเยียนตายเพราะช่วยเหลนชายของตนไว้ เขาก็นั่งเงียบอยู่นาน
เจียงจิ่นถามหยั่งเชิงว่า “ท่านปู่ เรื่องของคุณหนูหลินและท่านพี่ ท่านก็รู้ดี ผ่านมาหลายปี คุณหนูหลินไม่ได้ออกเรือนเลย ที่เขาทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดใหญ่หลวง ท่านอย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ”
หมอหลวงเจียงถลึงตาใส่นาง “ปู่ของเจ้าไม่ได้เลอะเลือน ข้าไม่ใช่คนที่แยกแยะไม่ออกเสียหน่อย หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องฉุกละหุกแบบนี้ และไม่มีคนแจ้งเราล่วงหน้าก่อน ข้าคงไม่มาหาเจ้าถึงที่นี่หรอก”
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านปู่เป็นคนปราดเปรื่องที่สุดในตระกูลเลยเจ้าค่ะ” เจียงจิ่นรีบยิ้มแล้วพูดยอ
หมอหลวงเจียงถลึงตาใส่นางอีกครั้ง “อย่าคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงแค่นี้นะ หลังจากเสร็จพิธีแล้ว เจ้าและคุณชายรองกลับบ้านเสียหน่อย ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า”
“เจ้าค่ะ ข้าจะบอกเขาให้ ท่านปู่วางใจเถอะเจ้าค่ะ” เจียงจิ่นขานรับ
ใครจะไปรู้ว่านางตอบตกลงไปดิบดี แต่ก็ไม่ได้กลับไปเลย เพราะว่าหลังจากหวงฝู่อวี้ฝังศพหลินหันเยียนไปแล้ว เขาก็นอนซมอยู่บนเตียง และไข้ขึ้นสูงตลอดสามวัน เมิ่งเชี่ยนโยวคิดหาทุกวิถีทาง แต่ไข้ก็ไม่ลดลง นางร้อนใจจนปากเป็นแผลร้อนในแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอ๋องฉีและพระชายาฉี โดยเฉาพะอ๋องฉี เขาสั่งหัวหน้าสำนักหมอหลวงมา ขู่คำรามให้พวกเขาคิดหาวิธี
หัวหน้าสำนักหมอหลวงตกใจกลัวจนขาอ่อน ตัวสั่นไปหมด เหงื่อบนหน้าผากก็ไหลลงมาไม่ขาดสาย อย่าพูดถึงรักษาไข้ให้หวงฝู่อวี้เลย ตอนนี้แม้แต่ยืนเขายืนยังยืนไม่นิ่งเลย
อ๋องฉีโกรธจนถีบเขาไปทีหนึ่ง แล้วก่นด่าว่า “พวกสวะ ไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เลี้ยงพวกเจ้าไว้เพื่ออะไรกัน”
เมื่อเขาก่นด่าเสร็จ หัวหน้าสำนักหมอหลวงก็ตัวสั่นเทิ้มมากกว่าเดิม
ในขณะที่ทุกคนไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ ได้ และต่างก็ร้อนใจจนเหมือนกับมดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหม้อร้อน วันที่สี่ ไข้ของหวงฝู่อวี้ก็ลดลงไปอย่างปาฏิหาริย์
ทุกคนดีใจ หัวหน้าสำนักหมอหลวงที่ถูกอ่องฉีก่นด่าอย่างสาดเสียเทเสียก็โล่งอก เขารู้สึกราวกับว่าตนเอาชีวิตรอดกลับมาได้
ในห้อง ทุกคนยืนรายล้อมเตียง กลั้นลมหายใจมองหวงฝู่อวี้ ตั้งตารอเขาลืมตาขึ้น
เป็นไปตามคาด ขนตาของหวงฝู่อวี้กระตุกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ” พระชายาฉีถามอย่างดีอกดีใจ
หวงฝู่อวี้ค่อยๆ เคลื่อนสายตามองไปที่ทุกคน อ้าปากกำลังจะพูด แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
เจียงจิ่นรีบรินน้ำให้แก้วหนึ่ง ประคองตัวเขาไว้ แล้วค่อยๆ ให้เขาดื่มน้ำลงไป
หวงฝู่อี้เลียริมฝีปากที่แห้งกระด้างอยู่ครู่หนึ่ง เสียงทุ้มต่ำอันแหบแห้งที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจึงดังขึ้น “เสด็จแม่ ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ ท่านเป็นห่วงแย่เลย”
“ฟื้นก็ดีแล้วล่ะ ฟื้นก็ดีแล้ว” พระชายาฉีขอบตาแดงก่ำ แล้วพูดขึ้น
หวงฝู่อวี้หันไปที่คนอื่นๆ แล้วขานเรียกทีละคน “เสด็จพ่อ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ขอโทษที่ทำให้พวกท่านเป็นห่วงขอรับ”
เมื่ออ๋องฉีเห็นว่าเขาหายดีแล้ว ความร้อนรนใจตลอดหลายวันมานี้ก็ค่อยคลายลง แล้วเขาก็ร้อง ฮึ ขึ้นมา ถามอย่างน่าเกรงขามว่า “ดีขึ้นแล้วจริงๆ ใช่ไหม ผ่านไปแล้วใช่ไหม”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “ขอรับ ผ่านไปแล้วขอรับ”
แม้คำพูดของทั้งสองจะสั้นกระชับ แต่ทุกคนรู้ดีว่าหมายถึงอะไร เจียงจิ่นตาร้อนผ่าว น้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้ง นางรีบก้มศีรษะลง เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นสีหน้าของนาง
หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกไป กุมมือนางไว้ ให้สัญญาต่อหน้าทุกคนที่เฝ้าอยู่ว่า “จิ่นเอ๋อร์ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะรักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าสัญญา”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 63 คำทำนาย
หนึ่งเดือนผ่านไป เรื่องของหวงฝู่อวี้เป็นที่เล่าลือกันไปทั่วเมืองหลวง จากนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป
หวงฝู่ซวิ่นส่งคนไปที่รัฐอิง และฉู่เหวินเจี๋ยก็นำเหล่าทหารทั้งหลายกลับเมืองหลวงมาแล้ว
ศึกครั้งนี้มีทหารบาดเจ็บมากมาย
หวงฝู่ซวิ่นไม่อยากเป็นเหมือนแต่ก่อน ที่ให้เงินกับพวกเขาเล็กน้อยแล้วปล่อยให้กลับบ้านไปตายเอาดาบหน้า แต่ก็ยังคิดหาทางจัดการไม่ได้ คิดเสียจนผมหงอกไปทั้งหัวแล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยร้อนรนไม่แพ้กัน หลังจากที่เข้าเฝ้าหวงฝู่ซวิ่นแล้ว ทั้งสองคนก็วางแผนการลับเอาไว้ว่า ให้ไปที่จวนอ๋องฉีเป็นบ่อยๆ ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ ให้แกล้งทำเป็นพูดถึงเรื่องทหารบาดเจ็บ ไม่มีทางอื่นแล้ว ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่คาดหวัง ขนาดพวกทหารที่อยู่ในค่ายยังตั้งหน้าตั้งตารอข่าวเลย
หวงฝู่ซวิ่นยังดี ที่หน้าด้านมาแต่ไหนแต่ไร หลังจากออกว่าราชการเช้า ตรวจฎีกาเสร็จ ก็ไปที่จวนอ๋องฉี พูดคุยโวเสียดิบดีเรื่องที่รัฐอิงแพ้พ่าย ทำให้เขาวางใจได้เสียที ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีเรื่องอันใด ในที่สุดเขาก็มีเวลามาหาเสด็จอากับเสด็จอาสะใภ้ของเขาเสียที
แต่ฉู่เหวินเจี๋ยไม่เลย อายุปามาปูนนี้ เขายังไม่เคยทำเรื่องน่าอายเช่นนี้มาก่อนเลย แต่เพื่อเหล่าทหารที่บาดเจ็บทั้งหลาย เขากัดฟัน บากหน้าไปทุกวัน หลังจากที่เขาฝึกซ้อมทหารเสร็จ ก็หาข้ออ้างต่างๆ นาๆ มากินข้าวที่จวนอ๋องฉี ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น รู้แต่ว่าเขามาหาพี่สาวกับพี่เขยของเขาเท่านั้น
คำพูดของเขาสองคน ท่านอ๋องฉีได้ฟังก็เข้าใจทันที เลยเหลือบมองทั้งสองคนแล้วถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้อะไร
พระชายาฉีกลับดีใจ สั่งให้ครัวทำสำรับที่ทั้งสองคนชอบออกมาให้กินทุกวัน
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ตั้งนานแล้วว่าพวกเขาต้องการอะไร แต่ไม่พูด แต่ได้เห็นสองคนนั้นร้อนใจ พอกลับถึงห้องไปกลับมีความสุขยิ่งนัก
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ทหารบางคนก็หายดีแล้ว เริ่มออกจากค่ายทหารกันแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยร้อนใจ มาเข้าพบหวงฝู่ซวิ่นที่วังหลวงแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ฝ่าบาท หากยังคิดหาวิธีจัดการกับทหารไม่ได้ล่ะก็ คนทั้งประเทศจะหัวเราะเยาะฝ่าบาทเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไร จะแสดงออก หรือบอกเป็นความนัย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น หลายวันมานี้หวงฝู่ซวิ่นร้อนรนกระวนกระวายเสียจนหัวแทบจะล้านแล้ว ได้ยินดังนั้น ก็ลุกขึ้น เอาฎีกาที่อยู่ในมือเขวี้ยงลงไปที่โต๊ะหนังสือ “ทหาร จัดขบวนไปจวนอ๋องฉี วันนี้ถ้าหากซื่อจื่อเฟยไม่มีทีท่าอะไร ข้าไม่กลับ”
ฉู่เหวินเจี๋ยที่ยืนอยู่อีกทางหนึ่งก็พูดว่า “ฝ่าบาท นี่ท่านจะไปขอความช่วยเหลือนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านจัดขบวนใหญ่โตขนาดนี้ จะไปขอความช่วยเหลือหรือว่าไปบังคับข่มขู่กันแน่”
หวงฝู่ซวิ่นชะงักไป แล้วออกคำสั่งใหม่ว่า “ทหาร เอารถม้าของไท่จื่อมาให้ข้า”
ทหารตอบรับ
หวงฝู่ซวิ่นนั่งรถม้า ฉู่เหวินเจี๋ยขี่ม้า ไร้ซึ่งผู้ติดตามเดินทางมาที่จวนอ๋องฉี
ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ออกตัว ก็เพราะนางกับหวงฝู่อี้เซวียนกำลังทำการสืบเรื่องทหารที่ได้รับบาดเจ็บอย่างลับๆ อยู่ว่าจะจัดการเช่นไรถึงจะดี จนกระทั่งวันนี้ ถึงจะหารือกันแล้วเสร็จ
ตอนที่หวงฝู่ซวิ่นกับฉู่เหวินเจี๋ยมา ทั้งสองคนเพิ่งจะปรึกษากันเสร็จ เพราะฉะนั้น พอทั้งสองคนเดินเข้าจวนมา หวงฝู่อี้เซวียนก็เอาเรื่องที่ทั้งสองปรึกษากันเรียบร้อยแล้วพูดออกมาว่า “ฝ่าบาท ข้ากับโยวเอ๋อร์ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่าจะไปเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งที่รัฐเพื่อนบ้าน เพราะฉะนั้นเลยต้องการพื้นที่เปล่าเพื่อใช้สอย ท่านดูว่าจะพระราชทานให้พวกเราได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
พื้นที่เปล่าน่ะมี แต่เป็นที่ๆ อยู่ห่างจากเมืองหลวงออกไปไกล แต่ทหารพวกนั้นก็ไม่ได้เป็นคนเมืองหลวงอยู่แล้ว ไม่น่าคิดมาก หวงฝู่ซวิ่นเลยตอบรับทันที “แบบนี้ค่อยดีหน่อย พวกเจ้าต้องการเท่าไรล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนหันไปหาฉู่เหวินเจี๋ย “ท่านน้าขอรับ เปิดหน้าดินเป็นเรื่องลำบาก ท่านกลับไปถามพวกเขาก่อน ว่ามีคนไม่ยินยอมหรือไม่ พวกเราจะไม่บังคับ”
ทหารเหล่านี้มาจากบ้านนอกทั้งนั้น ล้วนเป็นลูกของคนยากคนจน งานหนักงานเหนื่อยเพียงใดล้วนเคยทำมาหมด เปิดหน้าดินแค่นี้เอง แต่ก็เพื่อความแน่นอน ฉู่เหวินเจี๋ยจึงพยักหน้าตอบรับ “ได้ ข้าจะกลับไปถาม แล้วจะรีบมาบอกโดยเร็ว”
“ดีขอรับ ถ้าสองเรื่องนี้จัดการเรียบร้อย พวกเราก็สามารถจัดการกับพวกทหารที่เหลือได้แล้ว”
หวงฝู่ซวิ่นกับฉู่เหวินเจี๋ยคิดไม่ถึงว่าแผนการที่พวกเขาวางมาทั้งหมด ที่หน้าด้านมาขอความช่วยเหลือตั้งครึ่งเดือน จะจบง่ายๆ เพียงเท่านี้ เขาไม่อยากจะเชื่อ เลยเอาแต่นั่งชะงักอยู่บนเก้าอี้
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วถาม “ฝ่าบาท ท่านน้า พวกท่านไม่พอใจกับแผนการนี้อย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่ซวิ่นได้สติ สะดุ้งขึ้นมาพูดอออกมาไม่ขาดปากว่า “พอใจๆ ข้าจะออกราชโองการ เจ้ากับเมียเจ้าชอบที่ตรงไหน ก็บอกมาได้เลย จะเอาเท่าไรก็เอาไป”
การเปิดหน้าดินในพื้นที่รกร้าง ไม่เพียงแต่จะจัดการเรื่องทหารได้ ยังสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อีกด้วย ยิงนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ คนเป็นฮ่องเต้อย่างเขามีหรือจะไม่พอใจ ไม่ให้การสนับสนุนก็โง่แล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยได้สติ ลุกขึ้นยืนทันที แล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าจะกลับค่ายทหารเดี๋ยวนี้ ไปถามความเห็นของพวกเขาก่อน อย่างช้าสุดก็คืนนี้…… ไม่สิ ช้าสุดก็หลังจากนี้หนึ่งชั่วยามข้าจะกลับมารายงาน”
พูดจบ ก็คารวะหวงฝู่ซวิ่น แล้วขอตัวลา เดินออกจากจวนอ๋องฉีแล้วควบม้ากลับไปอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่ซวิ่นก็ไม่ได้อยู่ต่อ รีบกลับวังหลวงไป
เรื่องทหารที่ได้รับบาดเจ็บ พอได้รับการแก้ไข ฮ่องเต้ดีพระทัยยิ่งนัก เลยพระราชทานของล้ำค่ามากมายให้กับจวนอ๋องฉี แต่เป็นเพราะฤดูหนาว อากาศหนาวเหน็บ พื้นดินเป็นน้ำแข็ง ไม่สามารถทำอะไรได้ เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่ให้เหล่าทหารพวกนั้นไปสร้างบ้านอยู่แถวนั้นก่อน เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิคงย้ายเข้าไปอยู่ได้พอดี
หวงฝู่อวี้ก็กลับมาเป็นปกติแล้ว ดูแลกิจการของจวนอ๋องได้เป็นอย่างดี
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้วก็หวงฝู่เฮ่าไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนตามเดิม แต่ว่า หลังจากที่ผ่านเรื่องของหลินหันเยียนไป หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่สดใสมีชีวิตชีวาก็กลายเป็นคนเงียบขรึม
พระชายาฉีเห็นดังนั้น ก็ทั้งสงสารทั้งปลื้มใจ เอาแต่คิดหาวิธีเอาใจให้นางดีใจ
หลายวันผ่านไป วันนี้อากาศดี แสงพระอาทิตย์ส่องที่อบอุ่นส่องลงมา พระชายาฉีเลยพูดขึ้นมาว่า “วันนี้อากาศดี พวกเราไปแก้บนที่วัดชิงอวิ๋นกันเถอะ”
ปีนั้นท่านอาจารย์เสวียนชิงไม่ได้เปิดโปงเมิ่งเชี่ยนโยวว่านางมาจากอนาคตต่อหน้าฮ่องเต้และชาวบ้าน หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวซาบซึ้งเป็นอย่างมาก จึงหาเวลาไปกราบที่วัดชิงหวิ๋นในทุกปี แล้วทำบุญค่าธูปเทียนเป็นจำนวนมาก นานวันเข้า หลายปีผ่านไป ก็กลายเป็นความเคยชินของจวนนี้ ที่ทุกคนในจวนจะต้องไปกันพร้อมหน้าในทุกๆ ปี
ท่านอ๋องฉีเห็นด้วย หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ต้องพูดถึง หวงฝู่อวี้ก็อยู่จวนพอดี หลังจากที่ทุกคนเตรียมของเสร็จ ต่างก็ขึ้นรถม้าเดินทางมาที่วัดชิงหวิ๋น
วัดชิงอวิ๋นมีธูปเทียนพร้อมสรรพ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งข้าราชการทั้งผู้ดีทั้งหลาย จนถึงชาวบ้านธรรมดา พ่อค้าแม่ขาย ล้วนมากันหมด
บ้างขอโชคลาภ บ้างขอคู่ครอง บ้างขอเรื่องสุขภาพ บ้างก็ขอให้ครอบครัวมีแต่ความสุข อีกทั้งยังมีการขอพรแปลกๆ ต่างๆ นาๆ ล้วนมีหมด
รถม้าเดินทางมาถึงตีนเขา ทุกคนลงจากรถม้า
ท่านอ๋องฉีกับพระชายาเดินนำอยู่ด้านหน้า
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เดินประกบข้างพวกเขา
หวงฝู่รุ่ยกับหวงฝู่เฮ่าเดินอยู่ด้านหลัง
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยว และหวงฝู่อวี้อีกทั้งเจียงจิ่นเดินอยู่หลังสุด
ในวัดเต็มไปด้วยผู้คน หลังจากที่ทุกคนกราบสักการะเรียบร้อย พระสงฆ์ที่อยู่ในวัดก็พาพวกเขาไปที่กุฏิของท่านอาจารย์เสวียนชิง
หวงฝู่อี้เซวียนหยิบตั๋วเงินขึ้นมาหนึ่งปึกวางไว้ตรงหน้าท่านอาจารย์เสวียนชิง
ท่านอาจารย์เสวียนชิงยิ้มแล้วสั่งให้พระสงฆ์รูปนั้นนำไปเก็บ เสร็จแล้วมองไปที่เด็กๆ แต่ละคน แต่เมื่อมองไปที่หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วถามว่า “โยมน้อยทั้งสอง ช่วงที่ผ่านมาเจอเรื่องอันใดมางั้นรึ”
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์นิ่งไม่ได้ตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวเลยถามว่า “เหตุใดท่านอาจารย์ถึงได้พูดเช่นนี้เจ้าคะ”
“โยมน้อยทั้งสองนี้ดาวเทพมงคลเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะโยมน้อยผู้นี้… …” พูดถึงตรงนี้เสร็จก็ชี้ไปที่หวงฝู่สือเมิ่ง “อีกไม่นานจะมีผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่มาสู่ขอ”
จะเอาของๆ คนอื่น ก็ต้องทุ่มเทเป็นธรรมดา จวนท่านอ๋องฉีร่ำรวยเงินทอง ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ท่านหญิงน้อยทั้งสองของจวนอ๋องฉีนี้เป็นที่จับตามองของใครหลายๆ คน มีแต่คนอยากจะมาสู่ขอพวกนาง ท่านอาจารย์เสวียนชิงบอกสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้เตรียมใจเอาไว้ก่อน อีกอย่าง ดูรูปร่างหน้าตาของท่านหญิงน้อยทั้งสองแล้ว ในภายภาคหน้าก็จะได้ดิบได้ดี แต่เสียดายที่คำพูดของเขายังพูดไม่ทันจบก็โดนท่านอ๋องฉีพูดตัดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเสียก่อนว่า “ท่านอาจารย์เสวียนชิง ข้านับถือท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง เลยพาครอบครัวมาทำบุญบริจาคเงิน แต่ไม่ได้พามาเพื่อให้ฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้ หลานข้ายังเล็ก จะมีคนมาสู่ขอได้อย่างไรกัน”
ท่านอาจารย์เสวียนชิงชะงักไปเล็กน้อย จึงยิ้มแล้วพนมมือพูดว่า “อมิตาพุทธ โยม อาตมาพูดมากไปหน่อย”
แล้วท่านอ๋องฉีก็หันหลังเดินออกไปด้วยความไม่พอใจ
ท่านอาจารย์เสวียนชิงยิ้มแล้วส่ายหน้า ที่บอกว่าท่านอ๋องฉีรักและเอ็นดูหลานสาวทั้งสองคนนี้นั้นคงเป็นเรื่องจริงสินะ แต่เรื่องคู่ครองนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นท่านอ๋องหรือเป็นใคร ล้วนไม่อาจกีดกันได้
แต่พระชายาฉีมิได้คิดเช่นนั้น โบราณว่าหญิงสาวผู้มีแต่คนอยากครอบครองนั้นดียิ่งนัก หลานสาวของตนจะมีคนมาสู่ขอตั้งแต่ยังเล็กนั้นเป็นเรื่องดี จึงมีสีหน้ายิ้มแย้ม จึงกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์
เมื่อเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ ท่านอาจารย์เสวียนชิงก็อดไม่ได้ที่จะเตือนว่า “แม้ว่าโยมน้อยทั้งสองจะมีชะตาคู่ครองที่ดี แต่ก็ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้ถึงจะเจอสิ่งที่ดีที่สุด”
แต่พระชายาฉีไม่ได้สนใจ ตอนนั้นหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเจออะไรต่อมิอะไรมากมาย จนหลานสาวของนางได้ถือกำเนิดขึ้นบนกองเงินกองทอง ชะตาคู่ครองของพวกนางจะมีอะไรลำบากยากเย็นไปมากกว่าของพ่อกับแม่พวกนางอีกหรือ คิดได้ดังนั้น จึงยิ้มรับแล้วเดินออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวหนักใจ แต่ไม่ได้แสดงออก ได้แต่ขอบพระคุณแล้วเดินออกมา แล้วท่านอาจารย์เสวียนชิงก็พูดตามหลังมาอีกว่า “ชะตาคู่ครองนั้นสวรรค์ลิขิต อย่าได้ฝืน”
ทั้งสองคนชะงักฝีเท้า แต่ก็ไม่ได้หันกลับมาถาม
หลังจากที่ท่านอ๋องฉีเดินออกมา ก็ไม่ได้ไปไหน บอกกับทุกคนว่า “ข้าจะไปรอพวกเจ้าที่รถม้า”
“ข้ากับพี่ใหญ่ไปกับเสด็จพ่อดีกว่าขอรับ ให้พี่สะใภ้ใหญ่กับเจียงจิ่นอยู่กับเสด็จแม่และเด็กๆ” หวงฝู่อวี้รู้สึกได้ว่าตอนที่เขาไปชายแดนจะต้องเกิดเรื่องอะไรที่ตนยังไม่รู้อย่างแน่นอน จึงอยากจะถามให้คลายสงสัย จึงรีบพูดขึ้นมาก่อน
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 64 ทูต
พระชายาฉีพยักหน้า “ก็ดี เดี๋ยวพวกเรากราบไหว้เสร็จแล้วจะออกมา”
แล้วพ่อลูกสามคนก็เดินออกมานอกวัด
หลังจากที่พระชายาฉีพาทุกคนมากราบไหว้เสร็จแล้ว ก็กลับมาที่รถม้า เห็นสีหน้าของท่านอ๋องฉียังไม่ดีขึ้น เลยขมวดคิ้วสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวเลยออกมายิ้ม พูดว่า “เสด็จแม่ กลับจวนก่อนเถอะเจ้าค่ะ มีเรื่องอันใดพวกเราค่อยว่ากัน”
คำถามของพระชายาฉีก็กลืนลงคอไป ขึ้นรถม้ากลับจวน
นานๆ ทีจะไม่ได้ไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน หลังจากที่กลับมา เด็กๆ ทั้งหลายก็รวมกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
หลังจากที่พระชายาฉีบอกให้ทุกคนไปที่เรือนของนาง สั่งหลิงหลงให้ยกน้ำชามาให้คนละถ้วย พร้อมถามว่า “พวกเจ้ามีเรื่องอันใดปิดบังข้าหรือไม่ พูดมาเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนจิบชาเสร็จ จึงพูดว่า “เป็นเช่นนี้ขอรับ ตอนที่พวกเราช่วยเย่ว์เอ๋อร์ที่รัฐอิง…”
พูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงรายงานจากพ่อบ้านว่า “ขอรายงานท่านอ๋อง พระชายา มีคนจากวังหลวงมาขอรับ บอกว่ารัฐหมิงส่งทูตมาสานสัมพันธไมตรี ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ซื่อจื่อเข้าวังโดยด่วนขอรับ”
ท่านอ๋องฉีได้ยินดังนั้น ก็หรี่ตา นี่ยังไม่ทันขึ้นปีใหม่ รัฐหมิงก็ส่งคนมาสานไมตรีแล้วงั้นหรือ แถมยังมีคำพูดของท่านอาจารย์เสวียนชิงที่ติดอยู่ในใจอีก สีหน้าจึงเคร่งขรึม ยืนขึ้นพูดว่า “ข้าจะเข้าวังไปกับเจ้า”
ทั้งสองคนเข้าวัง แล้วมาที่ห้องทรงพระอักษรโดยทันที
หลังจากที่ทูตของรัฐหมิงมาถึง ก็ให้เข้าพักที่เรือนรับรอง หวงฝู่ซวิ่นยังไม่ได้พบเขา เมื่อเห็นท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนมาด้วยกัน ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหยั่งเชิงถามดูว่า “เสด็จอา ท่านมาด้วยเรื่องอันใด”
เพราะหลายปีมานี้ท่านอ๋องฉีไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวในราชสำนักเลย วันนี้เข้ามาในวัง หวงฝู่ซวิ่นจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“คนของรัฐหมิงล่ะ” ท่านอ๋องฉีถาม
“ข้าสั่งให้คนพาเขาไปพักในเรือนรับรองแล้ว เสด็จอามีเรื่องอันใดหรือ”
ท่านอ๋องฉีไม่ได้ตอบเขา แต่ถามต่อว่า “คนที่มาคือผู้ใด”
“ไท่จื่อแห่งรัฐหมิง เยียลี่ว์อาเป่า
คำพูดของหวงฝู่ซวิ่น ทำเอาท่านอ๋องฉีที่ยังไม่ทันทำความเคารพก็เดินออกไปโดยทันที
“เดี๋ยวก่อนเสด็จอา นี่ท่าน… …” หวงฝู่ซวิ่นไม่เข้าใจในการกระทำของท่านอ๋องฉีเลยแม้แต่น้อย จึงตะโกนเรียกให้เขาหยุดเพื่อถาม แต่ท่านอ๋องฉีก็ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เดินออกไปจากห้องหนังสือโดยทันที
“น้องเซวียน เสด็จอาเขา… …” หวงฝู่ซวิ่นหันไปถามหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนทำความเคารพแล้วบอกว่า “ฝ่าบาท มีเรื่องอันใดเอาไว้คราวหลังพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบ ก็รีบเดินออกไปโดยทันที
หวงฝู่ซวิ่นก็งงเข้าไปใหญ่ จึงออกคำสั่งหัวหน้าขันทีผู้ดูแลว่า “ให้คนไปสืบมา ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”
ท่านอ๋องฉีออกมาจากวัง ก็ขี่ม้ามาที่เรือนรับรองทันที
ขันทีที่ดูแลอยู่ที่เรือนรับรองก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปต้อนรับ “บ่าวขอคารวะ… …”
“คนรัฐหมิงล่ะ” พูดไม่ทันจบ ท่านอ๋องฉีก็ถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
ขันทีชะงักไปครู่หนึ่ง
ท่านอ๋องฉีจ้องไปที่เขาด้วยสายตาอันโกรธเกรี้ยว
ขันทีขนลุกซู่ ราวกับโดนนน้ำเย็นสาดอย่างใดอย่างนั้น เมื่อได้สติจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เอ่อ อยู่ด้านในขอรับ”
แล้วท่านอ๋องฉีก็เข้าไปทันที
ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ขันทีอยากจะห้ามเขา แต่ก็กลัวจนเหงื่อแตกเต็มไปหมด
ศึกระหว่างรัฐอู่กับรัฐอิง ฮ่องเต้รัฐหมิงเห็นว่า รัฐอู่แทบไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ชนะศึกได้อย่างง่ายดาย หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ศักยภาพและกองกำลังของรัฐอู่นั้นทำให้พวกเขาเกิดกลัวขึ้นมานั่นเอง หลังจากที่นอนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายคืน ในที่สุดก็คิดวิธีหนึ่งออกมาได้ ก็คือไปสานสัมพันธไมตรีกับรัฐอู่เสียก่อน เพื่อแสดงตนว่าตนไม่มีความคิดที่จะเปิดศึกกับรัฐอู่เลยแม้แต่น้อย
เยียลี่ว์อาเป่าได้ยินว่าเสด็จพ่อของตนจะส่งคนมารัฐอู่ เขาจึงอาสา
แต่ฮ่องเต้ไม่ยอม เพราะครั้งก่อนที่ออกไปเที่ยวเล่น ก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว ถ้าหากว่าให้เป็นทูตไปรัฐอู่ ยังไม่รู้ว่าจะต้องเจออันตรายอะไรบ้าง เขาเป็นถึงไท่จื่อแห่งรัฐหมิง เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ห้ามเกิดอะไรขึ้นกับเขาเป็นอันขาด
เยียลี่ว์อาเป่าก็จนปัญญา จึงได้เล่าตอนที่ตนโดนลอบฆ่าตอนนั้นให้ฟัง เป็นเพราะคนของรัฐอู่ที่ช่วยชีวิตตนไว้ อีกทั้งยังเป็นชนชั้นสูง ไม่ใช่ตระกูลธรรมดา จะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ของรัฐอู่อย่างแน่นอน ที่เขามา อย่างแรกก็เพื่อที่จะมาขอบคุณคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ อย่างที่สอง เขาจะได้สนิทชิดเชื้อกับพวกเขาเอาไว้ หากว่าเป็นเชื้อพระวงศ์จริงล่ะก็ มีเรื่องอันใดจะได้ง่ายขึ้น
ฮ่องเต้รัฐหมิงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ตอบตกลง ส่งเขามารัฐอู่
ตอนที่ท่านอ๋องฉีมาถึงเรือนรับรอง เยียลี่ว์อาเป่ากำลังนั่งดื่มชาอยู่อย่างเพลิดเพลิน แม้ได้ยินเสียงดังจากด้านนอก ก็ไม่ได้สนใจ
หลังจากที่ท่านอ๋องฉีเดินเข้ามาในเรือนรับรอง ก็มองไปโดยรอบ เห็นทหารองครักษ์ยืนอยู่เต็มไปหมด จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านใน
ยังไม่ทันถึงประตู ก็โดนคนของเยียลี่ว์อาเป่าเอาดาบจี้ถามว่า “หยุด เจ้าคือผู้ใด”
เขาพูดภาษารัฐหมิง ท่านอ๋องฉีฟังไม่ออก แต่เห็นท่าทีที่ห้ามเขา ก็รู้ได้ว่ากำลังบอกเขาว่าอย่าเข้าไป จึงหรี่ตามอง
ขันทีตามมาติดๆ พอเห็นคนของรัฐหมิงกำลังตะคอกเสียงใส่ท่านอ๋องฉี เหงื่อบนหน้าก็ไหลออกมาไม่หยุด เลยรีบขึ้นมาปรามว่า “เก็บอาวุธของเจ้าเดี๋ยวนี้ นี่คือท่านอ๋องของพวกเรา”
เขาพูดภาษารัฐอู่ คนของเยียลี่ว์อาเป่าก็ฟังไม่ออก เลยถลึงตากลับมาที่พวกเขาด้วยความโกรธ
ทั้งสองคนไม่มีใครยอมใคร เยียลี่ว์อาเป่าเห็นว่าสถานการณ์แปลกๆ เลยลุกขึ้นมองออกมา เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียน ก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบเดินออกมาตะคอกใส่คนของเขาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ออกไป!”
คนของเขาตอบรับ เก็บดาบ แล้วถอยออกไป
เยียลี่ว์อาเป่าเดินมาตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้มีพระคุณ พวกเราได้พบกันอีกแล้วนะขอรับ”
ไม่มีผู้แปลภาษา หวงฝู่อี้เซวียนเลยฟังไม่ออกว่าเขาพูดว่าอะไร ได้แต่เพียงตอบ “อืม” แล้วสั่งขันทีว่า “ไปตามผู้แปลภาษามาให้ข้าที”
ขันทีก็หน้าบูด ที่เรือนรับรองนี้ก็มีแต่ขันทีแบบเขาเท่านั้นแหละ บ้านยากจนข้นแค้น เลี้ยงไม่ไหวเลยส่งเข้ามาเป็นขันทีในวังหลวง ไม่รู้จักตัวหนังสือสักตัว จะมีใครไปรู้ภาษารัฐหมิงได้เล่า
เยียลี่ว์อาเป่าถึงนึกขึ้นได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนฟังภาษาตนไม่รู้เรื่อง เลยหันมาออกคำสั่งเบาๆ
ผู้ติดตามก็ตอบรับ แล้วไปที่เรือนๆ หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหน่อย เรียกคนๆ หนึ่งมา
ผู้ที่มาสีหน้าซีดเซียว เดินเซไปเซมา จนมาถึงตรงหน้าทุกคน แล้วทำความเคารพเยียลี่ว์อาเป่า
แล้วเยียลี่ว์อาเป่าพูดกับเขา
คนนั้นมองข้ามท่านอ๋องฉีไป แล้วทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียน พูดภาษารัฐอู่ว่า “นายท่าน ข้าคือทูตผู้ติดตามในครั้งนี้ พูดได้หลายภาษา ในขณะที่เดินทางมาป่วยเป็นไข้หวัด เพิ่งจะได้พักผ่อนเมื่อครู่นี้ เลยไม่ได้ออกมาต้อนรับนายท่านได้ทันเวลา ขอนายท่านโปรดอภัยด้วยขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เยียลี่ว์อาเป่า แต่ไม่ได้พูดอะไร
แล้วขันทีก็รีบแนะนำ “ท่านผู้นี้คือท่านอ๋องฉีผู้สูงส่งของรัฐอู่ และท่านนี้คือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี”
“ขอคารวะท่านอ๋อง ขอคารวะซื่อจื่อ” สีหน้าของทูตของก็ตกใจ ทำความเคารพอย่างไม่ทันตั้งตัว จากนั้นยืนตัวตรง แปลให้เยียลี่ว์อาเป่าฟัง
เยียลี่ว์อาเป่าก็รีบทำความเคารพทั้งสองคนโดยทันที
ทูตเห็นดังนั้น ก็ตกใจเข้าไปใหญ่
สื่อสารไม่เข้าใจ ก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง ท่านอ๋องฉีไม่มีคำถามอะไรแล้ว คนเช่นนี้ อย่าว่าแต่ตนเองเลย ตัวเมิ่งเอ๋อร์เองก็ไม่ยินยอมอย่างแน่นอน แต่พอมองดูดีๆ แล้ว รูปลักษณ์อันงดงาม ดูดีมีราศี ราวกับมีแสงจันทร์สาดส่องลงมาที่ตัวของเขา ทำให้เป็นที่น่ามองจนมิอาจละสายตาได้ ความโกรธในใจก็หายไป คนเช่นนี้ เหมาะสมกับหลานสาวของตน แต่น่าเสียดาย เขาเป็นไท่จื่อแห่งรัฐหมิง จะต้องรับตำแหน่งเป็นฮ่องเต้ในอนาคต ไม่เพียงแต่เขาหรอก คนในจวนก็คงจะไม่มีใครเห็นด้วยที่จะให้เมิ่งเอ๋อร์แต่งออกไปไกลขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะต้องมาแก่งแย่งชิงดีกับเหล่านางสนมอีกไม่รู้กี่คน นี่เป็นสิ่งที่ครอบครัวไม่อยากให้เป็น และมิอาจรับได้ เมิ่งเอ๋อร์ของพวกเขาควรที่จะได้รับความรักแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
สีหน้าไม่พอใจของท่านอ๋องได้หายไป พูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์มีภาระหน้าที่รับผิดชอบใหญ่หลวงนัก มาถึงรัฐอู่ ก็ควรรู้ว่าอะไรควรมิควรทำ หวังว่าท่านจะไม่ทำให้พวกเราไม่พอใจ”
พูดจบ ไม่ทันรอให้ทูตแปลให้เยียลี่ว์อาเป่าฟัง ก็เดินออกจากเรือนรับรองไปทันที
หวงฝู่อี้เซวียนก็เช่นกัน เหลือแต่เพียงขันทีที่ยืนเกาหัวงงๆ กับทูตรัฐหมิงที่ยืนชะงักอยู่ตรงนั้น
เมื่อเยียลี่ว์อาเป่าได้ยินดังนั้น ก็มองไปที่ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วเม้มปากแน่น
หลังจากที่ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนไปแล้ว พระชายาฉีก็ร้อนรน มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่รัฐหมิงให้ทุกคนฟัง
“เจ้าหมายถึง ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงจะใช้โอกาสที่มาสานไมตรีกับเราเพื่อมาสู่ขออย่างนั้นหรือ” พระชายาฉีฟังจบก็ถามขึ้น
“มีความเป็นไปได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้เด็ดขาด!” พระชายาฉีรีบลุกขึ้นปฏิเสธโดยทันที “รัฐหมิงห่างไกลจากบ้านเรานัก เมิ่งเอ๋อร์จะแต่งออกไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลุดหัวเราะออกมา แล้วโน้มน้าวว่า “เสด็จแม่เจ้าคะ นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของพวกเราเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง บางทีรัฐหมิงอาจมาเพื่อสานไมตรีแค่นั้นก็ได้ เช่นนี้พวกเราไม่เป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยหรือเจ้าคะ”
“แม่เชื่อที่เจ้าพูด เจ้าบอกว่าเขามีใจให้กับเมิ่งเอ๋อร์ นั่นก็แสดงว่าเป็นจริงแน่นอน เจ้าเดาไม่ผิดหรอก ไม่ได้การล่ะ แม่จะต้องหาวิธีหยุดเขาให้ได้”
“เสด็จพ่อออกไปแล้วนี่ไงเจ้าคะ คาดว่าน่าจะบอกฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว ต่อให้ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอ ก็คงต้องโดนฮ่องเต้ปฏิเสธก่อน”
“ก็จริง ซวิ่นเอ๋อร์คงเข้าใจพวกเรา และคงไม่ยอมให้เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์แต่งออกไปไกลแน่นอน เขาต้องไม่รับปากอย่างแน่” คิดได้ดังนั้น พระชายาฉีก็ใจชื้น นั่งลงได้
พอออกมาจากเรือนรับรอง ท่านอ๋องฉีก็ขี่ม้ากลับมาจวนอ๋องทันที ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปที่วัง
คนที่หวงฝู่ซวิ่นส่งให้ไปสืบยังไม่ทันกลับมา ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่กำลังครุ่นคิด หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับมา เขาโบกมือให้คนใช้ออกไปให้หมด แล้วเดินตรงดิ่งไปถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเสด็จอาถึงได้โกรธขนาดนั้น”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขา จากนั้นเก็บสายตาแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ฝ่าบาท ถ้าหากว่าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอแต่งงาน ท่านปฏิเสธไปเลยก็พอ”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 65 มาขอเก้อ
เห็นเขาพูดเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นก็ยิ่งสนใจ อยากจะถามให้กระจ่าง
ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอก แต่บอกเขาไม่ได้ต่างหาก ตอนนี้หวงฝู่ซวิ่นเป็นฮ่องเต้แล้ว ใครจะไปรู้ว่าเขาอาจจะฉวยโอกาสนี้ ทำเรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ทำได้เพียงอธิบายอย่างคลุมเครือว่าตอนที่ครอบครัวของตนติดอยู่ที่รัฐหมิง บังเอิญพบกับไท่จื่อแห่งรัฐหมิงเข้าก็เท่านั้น ส่วนเรื่องอะไรนั้น ไม่ได้บอกเขา
เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการ หวงฝู่ซวิ่นก็ร้อนรน ทำทีน่าเกรงขรามวางมาดเป็นฮ่องเต้ ตรัสถามว่า “ข้าขอสั่งเจ้า บอกกับข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ใครจะไปรู้ว่ามันใช้ไม่ได้กับหวงฝู่อี้เซวียน เขาลุกขึ้น ปัดก้นแล้วเดินออกไปหน้าตาเฉย
หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนกระทืบเท้า อยากจะตามเขาออกไปแล้วจับเข้ามาถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
แต่พอดี ขันทีที่เขาส่งไปสืบก็กลับมา แล้วเอาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เรือนรับรองรายงานกับเขา
หวงฝู่ซวิ่นฟังจบ โบกมือสั่งให้ขันทีที่มารายงานออกไป แล้วตนก็ลูบคาง หรี่ตาครุ่นคิด
ท่านอ๋องฉีกลับจวนไป เห็นว่าพระชายารู้เรื่องนี้แล้ว จึงปลอบใจนางว่า “ข้าได้เตือนไท่จื่อแห่งรัฐหมิงเอาไว้แล้ว เขาไม่กล้ามาสู่ขอหรอก”
คำพูดของท่านอาจารย์ชิงเสวียนก็ยังคงวนเวียนในหู พระชายาฉีวางใจไม่ลง รู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายเหมือนกับที่ท่านอ๋องฉีพูด
และแน่นอน วันต่อมา ขุนนางบุ๋นบู๊มาที่ราชสำนักพร้อมหน้าพร้อมตา ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงก็มาเข้าเฝ้า ถวายเครื่องราชบรรณาการล้ำค่ามากมายให้กับฮ่องเต้เพื่อสานสัมพันธไมตรี
หวงฝู่ซวิ่นก็แสดงน้ำใจตอบกลับ สั่งให้คนเก็บของบรรณาการเหล่านั้น แล้วให้สัจจะว่า “เพียงแค่รัฐหมิงของท่านไม่รุกรานประชาชนในแถบชายแดนของข้า ไม่เริ่มเปิดศึกก่อน พวกเรารัฐอู่ก็จะไม่สั่งกองทหารไปโจมตีพวกท่านเช่นกัน”
เยียลี่ว์อาเป่าก็พูดอย่างจริงจังและซื่อสัตย์ว่า “ทั้งสองรัฐเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ไม่มีศึกสงคราม ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข นี่เป็นภาพที่เสด็จพ่อของข้าอยากให้เป็นเช่นเดียวกัน ขอฝ่าบาททรงวางพระทัย ไม่ว่าอย่างไร รัฐหมิงของพวกเราก็จะไม่เปิดศึกอย่างแน่นอน”
นี่เป็นการรับประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยียลี่ว์อาเป่านั้นเป็นไท่จื่อแห่งรัฐหมิง เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป คำพูดของเขาต้องเชื่อถือได้อยู่แล้ว หวงฝู่ซวิ่นดีใจนัก หัวเราะออกมา พูดว่า “ดีๆ ดีมาก”
เยียลี่ว์อาเป่าเห็นหวงฝู่ซวิ่นดีใจ จึงใช้โอกาสนี้โค้งถวายบังคมแล้วเอ่ยปากขอว่า “ฝ่าบาท ตอนที่ข้าอยู่ที่รัฐหมิง เคยได้พบเจอหวงฝู่สือเมิ่งแห่งจวนอ๋องฉี ตอนนั้นข้าประทับใจนางเป็นอย่างมาก มิเคยลืมเลือน ในครานี้ นอกจากมาเพื่อสานสัมพันธไมตรีแล้ว ยังจะขอพระราชานุญาตให้ข้าได้ไปสู่ขอนางด้วยเถิด”
คำพูดของเขาราวกับคลื่นพายุซัด ทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพูดกันไปต่างๆ นาๆ
ทุกคนต่างรู้ว่า หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของท่านอ๋องฉี ไม่ตองพูดถึงเรื่องอายุของท่านหญิงทั้งสองหรอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะแต่งงาน แม้อายุจะถึงแล้วก็เถิด ไม่ต้องให้ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอหรอก เพราะคนที่อยากจะสู่ขอนางทั้งสองนั้นต่อแถวยาวเป็นหางว่าว อีกอย่าง รัฐหมิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงรัฐอู่ตั้งไกลแสนไกล ท่านอ๋องฉียอมสิแปลก
แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่ซวิ่นก็เจื่อนลง อารมณ์ดีเมื่อครู่นี้มลายหายไปในพริบตา มองไปที่เยียลี่ว์อาเป่าที่ยืนหลังตรง หนักแน่น และสายตาที่รอคอยมุ่งมั่นของเขา ก็อยากที่จะตบหน้าอันงดงามของเขาสักทีสองที ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย หลานสาวสองคนนั้นของเขาของ่ายนักหรือไง ไม่ต้องพูดถึงตัวหวงฝู่สือเมิ่งหรอก แค่ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนสองคนนี้ ถ้าหากว่าเขาตอบรับให้สู่ขอได้ล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้นั่งบนบัลลังก์ตัวนี้อย่างสงบสุขเลย แถมยังต้องคิดหาทางหนีอีกต่างหาก ว่าจะทำอย่างไรถึงจะหนียักษ์สองตนนั้นได้พ้น
หลังจากที่ก่นด่าเจ้าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงที่ให้คำถามยากเกินกว่าเขาจะตอบได้ต่อหน้าขุนนางทั้งหลายในใจเสร็จ ใบหน้าที่ยิ้มเจื่อนของหวงฝู่ซวิ่นก็กลับมายิ้มอีกครั้ง แล้วตอบว่า “เรื่องสู่ขอท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉี เป็นเรื่องที่จะต้องให้อ๋องฉีกับซื่อจื่อเป็นคนตัดสินใจ แม้ข้าจะเป็นฮ่องเต้ ก็ไม่ได้มีอำนาจก้าวก่าย หากว่าเจ้าอยากสู่ขอจริงๆ ล่ะก็ ไปสู่ขอที่จวนด้วยตัวเองเถิด”
พูดจบ ก็สะใจยิ่งนัก ไม่บอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ ข้าจะส่งต่อให้จวนอ๋องของเจ้าเลยแล้วกัน ดูสิว่าจะทำอย่างไร
เยียลี่ว์อาเป่าฟังล่ามแปลจบ ก็ตกใจเงยหน้าขึ้น มองไปที่หวงฝู่ซวิ่น เพราะที่รัฐหมิง เรื่องแต่งงานของหญิงเชื้อพระวงศ์ล้วนแล้วแต่มีฮ่องเต้ตัดสินใจทั้งนั้น แล้วเหตุใดรัฐอู่ถึงไม่เป็นเช่นนั้นเล่า
เขาในตอนนี้ไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพราะระเบียบไม่เหมือนกัน แต่เพราะคนที่เขาจะไปขอนั้นพิเศษเกินไป ขนาดหวงฝู่ซวิ่นที่เป็นฮ่องเต้ยังไม่อาจตัดสินใจได้เชียวหรือ
หลังจากที่ประชุมเสร็จ เรื่องที่ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอท่านหญิงน้อยแห่งจวนอ๋องฉีต่อหน้าขุนนางน้อยใหญ่ ก็ลือกันไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุ ไม่นานก็ลือไปทั่วเมืองหลวง จนไปถึงหูของจวนอ๋องและจวนตระกูลเมิ่งที่เป่ยเฉิง
ท่านอ๋องฉีโกรธเป็นอย่างมาก อยากไปคิดบัญชีที่เรือนรับรองเดี๋ยวนี้เลย แต่ได้พระชายาฉีมาห้ามเอาไว้ “ท่านพี่ อีกไม่นานเมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์ก็อายุครบสิบสามปีเต็มแล้ว การที่มีคนมาสู่ขอนั้นเป็นเรื่องดี ถ้าท่านไปมีเรื่องกับเขาล่ะก็ จะมีใครกล้ามาขอพวกนางอีกเล่าเจ้าคะ”
“ไม่มีใครขอ ก็อยู่ที่นี่ไปนั่นแหละ จวนอ๋องฉีแห่งนี้จะเลี้ยงพวกนางไปตลอดชีวิตไม่ได้งั้นรึ” ท่านอ๋องฉีเกี้ยวกราด
“ท่านพี่ ท่านอย่าพูดด้วยความโกรธสิเจ้าคะ เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์จะอยู่ที่จวนแห่งนี้ตลอดไปได้อย่างไรกัน… …” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เจื่อนลง “พวกนางเป็นหญิงสาว อย่างไรเสียก็ต้องแต่งออกไป”
ท่านอ๋องฉีไม่อยากจะคิดถึงตอนนั้น แล้วก็ไม่กล้าคิด ได้แต่หลับตาลง พอลืมตาขึ้น ความโกรธในแววตาก็หายไป แต่สีหน้าดันทำให้น่าตกใจยิ่งกว่า
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงภาพนี้ไว้ตั้งนานแล้ว จึงไม่ได้ร้อนรนมากนัก หลังจากที่หวงฝู่สือเมิ่งกลับมาจากกั๋วจื่อเจี้ยน ก็เรียกนางมาหา แล้วเล่าเรื่องที่ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงสู่ขอนางต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย
หวงฝู่สือเมิ่งก็ตกใจจนตาถลน “ท่านพ่อ ท่านแม่ เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้อย่างไร ข้า ข้าไม่เคยคุยกับเขาเลยสักนิดนะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนไม่ได้คิดอะไร ทั้งสองคนก็โล่งอก วางใจลงได้
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วลูบหัวของหวงฝู่สือเมิ่ง แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาใส่ใจหรอก แต่ว่าหลายวันนี้ข้างนอกต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันมาก เพราะฉะนั้นเจ้ายังไม่ต้องไปกั๋วจื่อเจี้ยน อยู่ที่จวนไปก่อน รอให้พายุลูกนี้ผ่านไปก่อนค่อยว่ากัน”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
คนในใจวนไม่ได้มีทีท่าใดๆ ต่างทำหน้าที่ของตนปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงทำให้คนที่คอยจ้องจะดูอะไรน่าสนุกๆ ต่างผิดหวังไปตามๆ กัน แล้วคิดว่า ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ดูจากทรงท่านอ๋องฉีแล้ว น่าจะไปคิดบัญชีถึงที่ จัดหนักให้กับไท่จื่อแห่งรัฐหมิงนั่นต่างหาก แล้วเหตุใดจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ
ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดไปต่างๆ นาๆ แล้วเรื่องก็เกิด
เยียลี่ว์อาเป่าฟังคำของหวงฝู่ซวิ่น พอกลับไปที่เรือนรับรองก็สั่งให้คนไปสืบมาว่าถ้าจะไปสู่ขอต้องทำอย่างไรบ้าง
หลังจากที่ทูตถามผู้คนมามากมาย ก็กลับมารายงาน
เยียลี่ว์อาเป่าฟังจบก็สั่งให้คนของตนจัดเตรียมของให้พร้อมเสร็จในวันเดียว
วันต่อมา เยียลี่ว์อาเป่าก็ขี่ม้างาม สั่งให้คนยกของขวัญ เชิญแม่สื่อมา มีเครื่องดนตรี จัดขบวนอย่างยิ่งใหญ่ ยิ้มแย้มแจ่มใสเดินทางมาสู่ขอที่จวนท่านอ๋องฉี
ใบหน้าฟ้าประทานของเขา และอีกไม่นานก็จะได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ตนเองรักใคร่ เขาจึงอารมณ์ดีเป็นที่สุด เลยยิ่งทำให้เขามีสง่าราศีมากกว่าปกติ นับตั้งแต่ออกจากเรือนรับรองมาระหว่างทางก่อนถึงจวนอ๋องฉี ต่างก็ตกสาวโสดไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
นายประตูของจวนอ๋องก็ทำหน้าที่ปกติ ยืนอยู่ที่หน้าประตู ชะเง้อออกไปดูว่าคึกครื้นอะไรกัน แล้วสังเกตได้ว่ามันแปลกๆ ขบวนนั้นกำลังมุ่งหน้ามาที่จวนอ๋องฉีนี่นา จึงตกใจเป็นอย่างมาก ขนลุกซู่ไปทั้งตัว รีบวิ่งเข้าไปข้างในโดยทันที
พอหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับรายงานแล้ว ก็ขมวดคิ้วขมวดเป็นปอม มองตากันแล้วลุกขึ้น เดินไปที่หน้าประตูจวนโดยทันที
ท่านอ๋องฉีกับพระชายาก็ได้รับรายงานแล้วเช่นเดียวกัน จึงรีบตามออกมา
ยังไม่ทันถึงหน้าประตู เยียลี่ว์อาเป่าก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนสองสามีภรรยายืนอยู่ที่หน้าประตูจากไกลๆ จึงรีบลงจากม้า เอาเชือกส่งให้กับผู้ติดตาม เดินไปหาทั้งสองอย่างรวดเร็ว “เยียลี่ว์ขอคารวะซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ”
เขาเป็นไท่จื่อแห่งรัฐหมิง ฐานะสูงกว่าทั้งสองคน แต่กลับมาคารวะทั้งสอง เมิ่งเชี่ยนโยวเลยได้แต่พยักหน้าด้วยความพอใจ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับถามกลับไปด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ไท่จื่อเยียลี่ว์เล่นใหญ่ถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุอันใดกัน”
“เยียลี่ว์รู้สึกประทับใจท่านหญิงน้อยหวงฝู่สือเมิ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ จึงมาสู่ขอ ข้าไปสืบมาแล้ว ว่านี่เป็นประเพณีของรัฐอู่ ท่านพอใจหรือไม่” เยียลี่ว์อาเป่าดีใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับพูดด้วยความนอบน้อม
แต่คิดไม่ถึงว่าพอเขาพูดจบ กลับรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของหวงฝู่อี้เซวียน ในใจนึกสงสัย เลยแอบหันไปมองขบวนสู่ขอที่ตนจัดมา ไม่รู้ว่าผิดพลาดประการใด จึงทำให้หวงฝู่อี้เซวียนโกรธถึงเพียงนี้
ท่านอ๋องฉีกับพระชายาก็มาถึง เห็นคนที่แห่มาดูซ้อนกันไปมานับไม่ถ้วน ท่านอ๋องฉีอยากจะฆ่าเยียลี่ว์อาเป่าเสียให้ตายๆ ไปเลย
เมื่อเยียลี่ว์อาเป่าเห็นพวกเขา ก็โค้งคารวะอย่างนอบน้อม แต่โดนท่านอ๋องฉีพูดปฏิเสธอย่างเลือดเย็นว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ฐานะสูงส่ง มาคารวะพวกเราแบบนี้ไม่ถูกต้องนัก หรือนี่ท่านต้องการกดดันพวกเราต่อหน้าคนมากมายอย่างนั้นหรือ”
เยียลี่ว์อาเป่ากำลังจะโค้งคารวะก็หยุดชะงักลง เงยหน้าขึ้น มองไปที่ท่านอ๋องฉี รู้สึกได้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ได้ยินเสียงกลองที่ดังแสบหู ท่านอ๋องฉีได้แต่กำหมัดซ่อนไว้อยู่ด้านหลัง พยายามฝืนกำปั้นของตนเองไม่ให้ต่อยลงไปที่ใบหน้าฟ้าประทานของเจ้าเยียลี่ว์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ช่างจริงใจยิ่งนัก เดินทางจากรัฐหมิงเป็นพันๆ ลี้เพื่อมาสู่ขอแต่งงาน แต่เกรงวันนี้ท่านคงไม่สมปรารถนา”
พอล่ามแปลจบ เยียลี่ว์อาเป่าก็ชะงักไป ถามด้วยความสงสัยว่า “เพราะเหตุใด”
“เป็นเพราะด้วยฐานะที่สูงส่งของท่าน พวกเราจวนอ๋องไม่คู่ควรหรอก”
เยียลี่ว์อาเป่าชะงักไป ไม่นาน ก็ตอบกลับมาอย่างตะกุกตะกักว่า “ข้า ข้าไม่สน”
นี่มันสีซอให้ควายฟังชัดๆ ท่านอ๋องฉีเกรี้ยวกราดทันที จึงพูดด้วยน้ำเสียงดุดันจนทำให้เยียลี่ว์อาเป่าคอหดไปอย่างไม่รู้ตัวว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ไม่สนใจ แต่จวนอ๋องฉีของเราสน ขออภัยที่ไม่สามารถตอบรับ อย่างไรเสียขอเชิญท่านมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถิด”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 66 ความดีความชอบท...
คำพูดของเขาทำให้ผู้คนที่มายืนดูเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ
บ้างก็แปลกใจ บ้างก็เสียดาย บ้างก็ไม่เข้าใจ เยียลี่ว์อาเป่าเป็นถึงไท่จื่อแห่งรัฐหมิง ขนาดฐานะสูงศักดิ์เช่นนี้ยังเข้าจวนแห่งนี้ไม่ได้เลย
เยียลี่ว์อาเป่าได้ยินคำพูดของท่านอ๋องฉีแล้ว ก็มึนไปตามๆ กัน ได้แต่มองท่านอ๋องฉีอย่างพูดไม่ออก
ท่านอ๋องฉีมองไปที่เหล่าผู้คนที่มาดู แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่รับแขก!”
พูดจบ ก็หันหลังเดินกลับไป
แต่พอพระชายาฉีได้เห็นหน้าตาของเยียลี่ว์อาเป่าแล้ว ดันพอใจเป็นอย่างมาก แต่เสียดายที่รัฐหมิงห่างจากที่นี่ไกลแสนไกล ต่อให้จะมีใบหน้าฟ้าประทานที่งดงามเสียเพียงใด จวนอ๋องฉีแห่งนี้ก็ไม่มีทางเห็นด้วยที่จะให้เมิ่งเอ๋อร์แต่งงานกับเขาแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เวลาพูดยังต้องมีผู้แปลภาษามาคอยแปล ยุ่งยากเหลือเกิน เวลาจะพูดอะไร พอคิดถึงตอนที่จะต้องให้คนมาคอยแปลให้ ก็ไม่อยากพูดแล้ว เลยหันหลังเดินกลับไปกับท่านอ๋องฉี
เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ได้ต้อนรับเขาเหมือนอย่างที่คิดไว้ เยียลี่ว์อาเป่าก็ร้อนใจ หลุดพูดออกมาว่า “ข้าอยากเจอท่านหญิงน้อย อยากถามความเห็นของนางก่อนขอรับ”
ท่านอ๋องฉีเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ได้ยินดังนั้นก็หันกลับมาถามด้วยความโกรธว่า “ท่านอยากเจอเมิ่งเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”
เยียลี่ว์อาเป่าพยักหน้าอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าอยากถามความเห็นของนางด้วยตนเอง ว่านาง… …”
แล้วก็มีมือเข้ามาจับที่คอเสื้อของเขา ดึงเขาเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นว่า “ปิดประตู!”
ทุกคนตกใจ ชะงักไปตามๆ กัน
ส่วนนายประตูได้ยินคำพูดของท่านอ๋องฉีแล้ว ก็รีบปิดประตูโดยทันที
เมื่อเห็นท่านอ๋องฉีโกรธขนาดนี้ พระชายาฉีก็ใจไม่ดี อย่างไรเสียเจ้าเยียลี่ว์อาเป่าคนนี้ก็เป็นถึงทูตมาสานไมตรีกับรัฐอู่ของเรา ถ้าหากว่าโดนท่านอ๋องฉีต่อยกลับไป จะทำให้สองรัฐนี้บาดหมางกันอย่างแน่นอน
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ในใจคิดเข้าข้างท่านอ๋องฉี ตอนเขาอยู่รัฐหมิง ก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับเจ้านี่อยู่แล้ว แต่ติดตรงฐานะ เลยมิอาจทำอะไรเขาได้ ตอนนี้พอดีเลย มีคนจัดการแทนแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ไม่ได้ต่อต้านแต่ก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้นัก แต่เห็นว่าท่านอ๋องฉีโมโหถึงเพียงนี้ ก็กลัวว่าเขาจะทำร้ายเยียลี่ว์อาเป่า แล้วจะทำให้ฮ่องเต้ขายหน้าต่อรัฐหมิง จึงเดินตามกลับเข้าไปในจวนด้วยอีกคน
แต่หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือมาห้ามนางเอาไว้ “เสด็จพ่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่จำเป็นที่จะต้องให้พวกเราเข้าไปยุ่งหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น เห็นริมฝีปากที่ยกขึ้นของเขา ก็เข้าใจโดยทันที จึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เยียลี่ว์เป็น… …”
“ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในฐานะนี้ล่ะก็ เจ้าคิดว่าเขาจะรอดกลับไปหรือไม่เล่า พวกเราช่วยเขาไว้ เขาไม่รู้จักจะสำนึกบุญคุณ แล้วยังจะบังอาจเอื้อมมาแตะต้องลูกสาวของพวกเราอีก ก็สมควร” ตอนที่พูดสองคำสุดท้าย เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนจะได้ยินเสียงกัดฟันของเขา
ประตูใหญ่ปิดลง นอกจากท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีและเยียลี่ว์อาเป่า คนที่เหลือก็โดนกันเอาไว้ด้านนอกหมด
เรื่องราวเกิดขึ้นเร็วมาก กว่าคนของเยียลี่ว์อาเป่าจะรู้สึกตัว เยียอี่ว์อาเป่าก็โดนท่านอ๋องฉีกระชากเข้าไปแล้ว ทุกคนก็ตกใจ วางของในมือลง จะบุกเข้าไปในจวนอ๋องฉีเดี๋ยวนั้น
แต่หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาขวาง “พวกเจ้ากำลังจะบุกเข้าไปอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ ไม่ใช่ขอรับ ซื่อจื่อ พวกเรา ไท่จื่อของพวกเรา เขา… …” ทูตก็หน้าซีด ชี้ไปที่ประตู พูดออกมาไม่เป็นภาษา
“ไม่ต้องห่วง เสด็จพ่อของข้าเพียงแต่จะพูดคุยกับเขาเท่านั้น ไม่ทำอะไรเขาหรอก” หวงฝู่อี้เซวียนพูดน้ำเสียงปกติ
เขาก็พูดไปเรื่อย เพราะว่าทูตคนนั้นได้ยินเสียงร้องออกมาจากในจวนต่างหากเล่า อีกทั้งยังมีเสียงของพระชายาฉีที่ไม่รู้จะห้ามความโกรธของท่านอ๋องฉีได้อย่างไร “ท่านพี่ ท่านอย่าต่อยหน้าเขาเลย ถ้าใครเห็นเข้า จะหาว่าท่านไม่รู้มารยาททำร้ายเขาผู้มีศักดิ์สูงกว่านะเจ้าคะ”
ทูตก็ได้แต่ถอนหายใจ เหงื่อไหลจนเปียกชุ่มหน้าผาก ไท่จื่อเยียลี่ว์เป็นบุตรของฮองเฮา เป็นไท่จื่อโดยชอบธรรม ฉลาดหลักแหลม รูปโฉมงดงาม นิสัยอบอุ่น ไม่หยิ่งผยอง ไม่เคยเอาฐานะไท่จื่อของตนข่มเหงผู้อื่น จึงเป็นที่รักยิ่งของฮ่องเต้ ถ้าหากว่าโดนท่านอ๋องฉีทำร้ายบาดเจ็บกลับไปล่ะก็ เขาต้องโดนฮ่องเต้รัฐหมิงตัดคอเป็นแน่
คิดได้เช่นนั้น ก็ขนหัวลุก จึงโบกมือ ออกคำสั่ง “บุกเข้าไป ช่วยไท่จื่อ!”
ทุกคนตอบรับ แล้วกรูกันบุกเข้ามา
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจโดยทันทีว่าพวกเขาจะทำอะไร ก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วโบกมือให้โจวอันเอาคนมากันหน้าไว้
“จัดการพวกเขา ใครที่กล้าเข้ามา ตีให้สลบแล้วโยนทิ้งไปเสีย!”
โจวอันตอบรับ
ทูตตกใจเป็นอย่างมาก อยากจะห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว คนของตนบุกเข้าไปแล้ว
ผู้คนที่มาดูก็งงไปตามๆ กัน ไม่คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงเพียงนี้ ในชั่วพริบตาเดียว ผู้คนที่มายืนมุงดู ก็ชะงักไปตามๆ กัน
คนของรัฐหมิงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ใจคิดแต่จะช่วยคนของเขาออกมา จึงบุกเข้าไปสุดกำลัง โจวอันก็นำทหารองครักษ์มากันเอาไว้ ไม่ทันไร ก็เกิดการต่อสู้กัน
หวงฝู่อี้เซวียนกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวโดนลูกหลง เลยดึงนางมาหลบด้านหลังของตนเอา แล้วยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สา
คนที่จะมาติดตามเยียลี่ว์อาเป่าได้ ก็ต้องมีฝีมือไม่ธรรมดาเช่นกัน ใจที่คิดแต่จะช่วยเจ้านายนั้น เลยทำให้ต่อสู้กับพวกของโจวอันอย่างไม่ออมมือเหมือนกัน
โจวอันกับทหารองครักษ์เห็นดังนั้นก็ไม่ออมมือเช่นเดียวกัน
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตามอง
นอกประตูเป็นเสียงสู้กัน แต่ด้านในกลับเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว
หลังจากที่ท่านอ๋องฉีกระชากตัวเยียลี่ว์อาเป่าเข้ามา ก็ลากเขามาที่ลานกว้างของจวน ปล่อยออกแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าหาว่าข้ารังแกเจ้า เรามาสู้กัน เจ้ามีเท่าไรเอาออกมาให้หมด ถ้าหากเจ้าชนะ ค่อยว่ากัน”
เยียลี่ว์ผู้น่าสงสาร ไม่มีคนแปลให้ฟัง ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ ได้แต่มองเขาด้วยดวงตาใสซื่อ เลยลองใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับเขา
ท่าทางของเขา ทำให้ท่านอ๋องฉีโกรธถึงขีดสุดอย่างสมบูรณ์ ขนาดภาษารัฐอู่ยังพูดไม่ได้เลยสักนิด ยังมีหน้ามาสู่ขออีก ไม่รู้จักเจียมเอาเสียเลย ก็ไม่พูดมาก เลยกำหมัดชกเข้าที่หน้าของเจ้าเยียลี่ว์อาเป่าหมัดแรกเป็นการทักทาย
เยียลี่ว์อาเป่ารู้สึกได้ถึงอันตราย กำลังจะหลบ แต่น่าเสียดาย สายไปเสียแล้ว กำปั้นนั้นประทับลงที่หน้าของเขาเสียแล้ว
เสียงร้องเรียกของพระชายาฉีก็ดังตามมาติดๆ นางรู้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องกำลังโมโหถึงขีดสุด จะห้ามให้เขาหยุดนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่โบราณว่าเวลาต่อยกันห้ามต่อยหน้า เขาทักทายเยียลี่ว์เช่นนี้ ก็เหมือนกำลังจะบอกกับคนทั่วหล้าว่า เขาผู้เป็นท่านอ๋องได้ชกหน้าคนที่มาสู่ขอหลานสาวของเขาไปแล้ว แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าแพร่ออกไปไม่ดีแน่ เลยมีเสียงที่ทูตคนนั้นได้ยินดังขึ้นมา ว่านางกำลังโน้มน้าวท่านอ๋องฉีว่า ท่านชกที่อื่นเถิด
แต่เยียลี่ว์อาเป่าผู้น่าสงสาร มาสู่ขอคู่ครองอย่างเบิกบานใจ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะโดนชกเช่นนี้ และที่น่าสงสารที่สุด แม้จะโดนชกจนเขียวช้ำไปทั้งตัว ก็ยังไม่รู้ว่าโดนชกเพราะอะไร
เยียลี่ว์อาเป่าไม่กล้าสู้กลับ สภาพเลยเป็นเช่นนี้นั่นเอง
ชกจนล้มกองกับพื้น ท่านอ๋องฉีค่อยอารมณ์ดีหน่อย บอกให้บ่าวรับใช้เปิดประตูออก แล้วลากเยียลี่ว์อาเป่าออกมาอีกครั้ง วางไว้ตรงหน้าประตูแล้วบอกว่า “หยุด!”
พวกโจวอันถึงได้ถอยกลับ
คนของเยียลี่ว์อาเป่าถึงได้หยุด ล้อมเข้ามา เห็นหน้าของเขาช้ำไปแถบหนึ่ง ก็ตกใจเป็นอย่างมาก ร้อนรนเกิดคำถามกันขึ้นมาทันที
“เมื่อครู่นี้ข้าได้คุยกับไท่จื่อของพวกเจ้าแล้วเรียบร้อย เขารู้ตัวว่าเขาทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมนัก จะไม่มาสู่ขออีก ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าจะบุกรุกเข้าจวนอ๋องในวันนี้ ข้าจะไม่เอาโทษ พาคนและเก็บของๆ พวกเจ้าแล้วรีบกลับไปเดี๋ยวนี้” ท่านอ๋องฉีพูดโกหกออกมาหน้าตาเฉย
ทูตก็แปลคำพูดของเขาให้กับเยียลี่ว์อาเป่าฟัง
เยียลี่ว์อาเป่าอ้าปาก อยากจะเถียงกลับ แต่พอท่านอ๋องฉีมองเขามาด้วยสายตาดุดัน ก็กลืนคำพูดลงคอไป น้อมคารวะแล้วบอกว่า “วันนี้ข้าบุ่มบ่ามเกินไป เสียมารยาท ขอท่านอ๋องฉีอย่าได้ถือสา”
ท่านอ๋องฉีก็โบกมือ “ไม่เป็นไร เพราะธรรมเนียมของเราไม่เหมือนกัน ข้าไม่ถือโทษเจ้า และจะไม่บอกฮ่องเต้ของพวกเราว่าคนของเจ้าบุกจวนของข้า”
นี่มันขู่กันชัดๆ ตนมาจวนอ๋องเพื่อสู่ขอแท้ๆ คนของตนก็ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะความอยากเข้าช่วยนั้น เลยทำให้ทำเรื่องไม่เหมาะสมเช่นนี้ ถ้าหากว่าฮ่องเต้แห่งรัฐอู่ฟังคำของท่านอ๋องฉี แล้วเกิดไม่พอใจล่ะก็ การที่ตนมาสานไมตรีในครั้งนี้ก็ส่งผลตรงข้ามสิ เยียลี่ว์อาเป่าเม้มปาก แล้วพูดขอโทษว่า “ขอบพระคุณท่านอ๋องที่เมตตา กลับไปข้าจะสั่งสอนพวกเขาอย่างแน่นอน”
ไม่ได้โกรธเคืองใดๆ แต่กลับขอโทษออกมาอย่างง่ายดาย มีน้ำใจไมตรีดั่งผู้ดีสูงศักดิ์เช่นนี้ ตอนนี้ท่านอ๋องฉีในใจนึกชื่นชม แต่ความดีความชอบในครั้งนี้ไม่ได้มีผลกับเรื่องที่มาสู่ขอหลานสาวเขาเลยแม้แต่น้อย
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า โบกมือด้วยความเกรงใจ “เดินทางกลับดีๆ ล่ะ!”
หลังจากที่เยียลี่ว์อาเป่าโค้งคารวะอย่างนอบน้อม แล้วนำของและคนของเขากลับไป
ตอนมาก็ดีๆ ตอนกลับต้องกลับแบบน่าอนาถ เมื่อเห็นความอนาถของเยียลี่ว์อาเป่าแล้ว พวกอยากจะมาดองญาติกับจวนอ๋องฉีก็คิดหนักกันเลยทีเดียว ขนาดฐานะสูงส่งของขนาดนี้ บุรุษรูปโฉมงดงามเช่นนี้ ยังไม่อยู่ในสายตาของท่านอ๋องฉี แล้วไอ้ลูกขี้เหร่ไม่ได้เรื่องของตนนั่นล่ะ ยังจะมีโอกาสอยู่อีกหรือ
ไม่ว่าผู้คนในเมืองจะคิดเห็นอย่างไร ท่านอ๋องฉีไม่รู้ เขารู้เพียงแต่ถ้าหากว่าเจ้าหวงฝู่ซวิ่นนั้นไม่พูดอะไรไว้ล่ะก็ เยียลี่ว์อาเป่าคงไม่กล้ามาตีกลองอึกกะทึกสู่ขอหน้าจวนของเขาแบบนี้เป็นแน่ ดังนั้น รอให้เยียลี่ว์อาเป่าไปเสียก่อน แล้วออกคำสั่ง “เก็บกวาดหน้าประตูให้เรียบร้อย อย่าให้เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย” หลังจากนั้น ก็สั่งให้คนไปจูงม้ามาให้เขา จากนั้นมุ่งหน้าสู่วังหลวงทันที
จวนอ๋องเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่นานก็มาถึงหูหวงฝู่ซวิ่น หวงฝู่ซวิ่นก็ชอบใจ ใครใช้ให้หวงฝู่อี้เซวียนไม่บอกเขาล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้เขานึกติดใจเช่นนี้ แบบนี้ก็ดี เอาปัญหาใหญ่ไปเลย ทำให้เขาสบายใจยิ่งนัก แต่เขายิ้มหน้าบานได้ไม่นาน ก็มีเสียงรายงานของหัวหน้าขันทีผู้ดูแลว่า “ฝ่าบาท ท่านอ๋องฉีขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มของหวงฝู่ซวิ่นก็เจื่อนลงทันที กลืนน้ำลายลงอย่างไม่รู้ตัว ถามว่า “เสด็จอามาด้วยเหตุใดกัน”
“กราบทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องไม่ได้บอก แต่ดูท่าจะอารมณ์ดีพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม จบสิ้นแล้ว เสด็จอาอารมณ์ดี ก็เพราะจะมาจัดการเขาแน่น่ะสิ ถึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น