ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 57-64.1

ตอนที่ 57 เมิ่งฉีมาเมืองหลวง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา ดีดใส่หน้าผากเขาเต็มแรง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนร้องเจ็บ กุมหน้าผากมองนางอย่างคับข้องใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขา “ได้สติแล้วหรือไม่ ต่อให้เจ้าแกล้งตาย หนีการแต่งงานกับธิดาราชเลขาพ้น ข้าเล่า ข้าก็แกล้งตาย ให้ฮ่องเต้สั่งประหารสกุลเมิ่งเก้าชั่วโคตรหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังดังนั้นถอดใจเฮือกใหญ่ รบเร้าถาม “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ข้าคิดได้แล้ว”


 


 


“รถมาถึงเขาย่อมมีทาง ตอนนี้สมรสพระราชทานยังไม่ลงมา เรื่องทุกอย่างยังมีทางออก เจ้าอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปก่อนเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบใจเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่สบายใจ “ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ เมื่อเสด็จลุงตรัสเช่นนี้แล้ว จักต้องไม่เปลี่ยนแปลง จะยังเหลือทางออกใดได้อีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบเขา กลับวกไปพูดเรื่องอื่น “เรื่องที่เจ้าเข้าวังไปจัดการในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเล่าถึงการจัดการปัญหาของฮ่องเต้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ดูท่าฮ่องเต้จะพิโรธหนักจริงๆ แม้แต่เฮ่อจางยังถูกปรับเบี้ยหวัดหนึ่งปี รอให้เฮ่อเหลี่ยนฟื้นขึ้นมา เฮ่อจางรู้ว่าเป็นพวกเราลงมือ จะต้องโมโหจนกระอักเลือด ช่วงเวลานี้เจ้าออกไปไหนจงระวังตัวด้วย ให้องครักษ์ตามเจ้าไปมากหน่อย”


 


 


“อือ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับเสียงแผ่ว แล้วสั่งกำชับนางเช่นกัน “เจ้าก็เหมือนกัน ประเดี๋ยวข้าจะไปโยกย้ายองครักษ์หลวงเข้ามา ต่อไปให้มาคอยติดตามเจ้า”


 


 


กัวเฟยและเหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ ชิงหลวนและจูหลีแม้จะมีวรยุทธ์สูง แต่เพราะใช้ชีวิตแยกจากโลกภายนอกมานาน ไม่คุ้นชินกับงานจุกจิกในชีวิตประจำวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกว่าพวกเขาทำแล้วเปลืองแรง จึงพยักหน้า ไม่คัดค้าน


 


 


พอถูกนางขัดจังหวะ หวงฝู่อี้เซวียนที่กลัดกลุ้มใจก็ให้สงบลงได้ไม่น้อย ไม่เอ่ยถึงเรื่องสมรสพระราชทานอีก หลังจากกินอาหารกลางวันกับเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ไปเหลาจวี้เสียน สั่งหลงจู๊เหลาจวี้เสียนให้เรียกระดมพลองครักษ์หลวงสิบนายไปประจำที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


หลังจากเขาไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ในห้องตลอดทั้งบ่าย ขบคิดเรื่องราวที่จะกระทำต่อจากนี้ ทั้งคิดว่า ด้วยกัวเฟยได้รับบาดเจ็บ ตนเองและหวงฝู่อี้เซวียนก็วุ่นวายกับการต่อกรกับเฮ่อเหลี่ยน ลืมเขียนจดหมายส่งให้ทางบ้าน จึงร้องบอกสาวใช้ให้เตรียมกระดาษพู่กัน ลงมือเขียนจดหมายถึงทางบ้านทันที


 


 


ในจดหมายยังคงบอกว่าตนเองสุขสบายดี ร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งก็โด่งดัง บอกให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง ยังบอกว่าแป้งมันฝรั่งเหลือไม่มากแล้ว อยากให้ทางบ้านให้คนส่งมาให้ เขียนมาถึงตรงนี้ถึงพบว่า พวกเหวินเปียวต่างก็อยู่ที่นี่ ในบ้านไม่มีคนให้ใช้สอยได้อีก หากให้องครักษ์หลวงส่งสินค้ามาให้ กำลังคนที่บ้านก็จะลดน้อยลง จึงวางพู่กัน นั่งครุ่นคิดครู่ใหญ่ คิดว่าการต้องให้คนทางบ้านคอยส่งสินค้าไม่เป็นการดีในระยะยาว แม้เส้นทางถึงเมืองหลวงจะใช้เวลาเพียงสองสามวัน แต่ตามทางก็มีโจรภูเขาชุกชุม หากวันใดเจอเข้ากับขบวนส่งสินค้า จะมีคนต้องได้รับบาดเจ็บอีก ว่าแล้วก็ฉีกจดหมายที่เพิ่งเขียนทิ้ง แล้วจรดพู่กันเขียนใหม่ บอกความคิดของตัวเองกับคนทางบ้าน บอกพวกเขาว่า ตนเองคิดจะเปิดโรงงานแป้งมันฝรั่งสักแห่งในเมืองหลวง จะได้ไม่ต้องคอยรบกวนทางบ้านส่งแป้งมันฝรั่งเข้ามาอีก


 


 


เขียนจดหมายเสร็จ ให้คนส่งไป เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปุ๊บทำปั๊บ เดินไปหาเหวินเปียวที่เรือนบ่าว ซักถามเขาว่าหากต้องการเปิดโรงงานแป้งมันฝรั่ง ควรเลือกทำเลที่ตั้งใดถึงจะเหมาะที่สุด


 


 


เมืองหลวงราคาที่ดินเป็นเงินเป็นทอง ราคาบ้านฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ยิ่งแพงหูฉี่ ส่วนฝั่งตะวันตกและฝั่งเหนือยังพอรับได้บ้าง แต่ฝั่งตะวันตกเป็นแหล่งรวมของคนไร้บ้านและคนที่หนีความลำบากเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ผู้คนวุ่นวายไม่ปลอดภัย ฝั่งเหนือค่อนข้างดี ล้วนเป็นคนที่เกิดและโตในเมืองหลวง เทียบกันแล้วมีความปลอดภัยกว่ามาก อีกทั้งด้วยความที่ฝั่งเหนืออัตคัดฝืดเคือง ราคาข้าวของรวมถึงบ้านเรือนและคนงานจึงค่อนข้างถูก


 


 


ฟังคำพูดเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้า สั่งพวกเขาให้พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วพาชิงหลวนและจูหลีออกไปฝั่งเหนือ


 


 


หลังการพักฟื้นสิบกว่าวัน พวกกัวเฟยร่างกายฟื้นคืนไม่น้อยแล้ว กัวเฟยกลัวนางจะมีอันตราย ตะเกียกตะกายลุกขึ้น คิดจะไปฝั่งเหนือกับนางด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “ด้วยร่างกายของเจ้าในตอนนี้ อย่าว่าแต่คุ้มครองข้า แค่เจ้าออกไปเดินสักรอบยังลำบากเลย ชิงหลวนและจูหลีมีวรยุทธ์ไม่ด้อย ข้าจะพาพวกนางไปเจ้าวางใจเถอะ”


 


 


ต่างเป็นคนมีวรยุทธ์ กัวเฟยย่อมดูออกว่าพวกนางมีฝีมือไม่ธรรมดา ไม่เป็นรองตนเอง จึงไม่ยืนหยัดอีก กำชับชิงหลวนและจูหลี “แม้ความเป็นอยู่ทางฝั่งเหนือจะดีกว่า แต่ก็ย่อมมีคนที่คิดไม่ซื่อ พวกเจ้าจะต้องเฝ้าคุ้มกันแม่นางให้ดี อย่าให้เกิดความผิดพลาดได้”


 


 


ตลอดหลายวันที่ชิงหลวนและจูหลีมาอยู่ที่นี่ ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวชี้แนะ คลุกคลีกับคนในเรือนจนสนิทสนม ทั้งรู้เรื่องในอดีตของพวกเขาอย่างละเอียด รู้ว่ากัวเฟยและพวกเหวินเปียวติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาเป็นเวลานาน จึงเชื่อฟังคำสั่งของพวกเขาเป็นอย่างดี พยักหน้าจดจำขึ้นใจ


 


 


กัวเฟยยังไม่วางใจ ให้องครักษ์หลวงอีกสองคนตามพวกเขาไป


 


 


หลายวันหลังจากนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวพาพวกเขาเดินดูจนทั่วทั้งฝั่งเหนือ หาทำเลที่เหมาะสมกับการตั้งโรงงาน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคงใช้ชีวิตปกติ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่ตนเองจะเปิดโรงงานแก่เขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ดี ทั้งแนะนำนาง “เช่นนั้นเจ้าก็ซื้อที่ดินแถบฝั่งเหนือเพิ่ม ไว้เป็นที่เพาะปลูกมันฝรั่งขนาดใหญ่ ต่อไปแม้แต่มันฝรั่งก็จะได้ไม่ต้องส่งเข้ามาอีก”


 


 


การขนส่งมันฝรั่งยุ่งยากยิ่งกว่าแป้งมันฝรั่ง เดิมเมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดเอาไว้แล้ว พูดว่า “ข้าจะรอฤดูใบไม้ผลิปีหน้าค่อยออกไปเดินดูรอบฝั่งเหนือ ดูว่ามีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ที่เหมาะสมหรือไม่ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยซื้อไว้”


 


 


“เจ้าไม่ต้องไปแล้ว ข้าจะให้คนไปถามดู หากมีที่เหมาะสม พวกเราค่อยเข้าไปดู” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เมิ่งอี้ได้ยินเช่นนั้นก็เห็นพ้องด้วย “แป้งมันฝรั่งแห้งกับแป้งมันฝรั่งสดที่ต้มออกมาย่อมให้รสชาติต่างกัน พวกเราสามารถเปิดโรงงานแป้งมันฝรั่งในเมืองหลวงได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีมาก รอให้โรงงานเปิดแล้ว พวกเราใช้โอกาสนี้ขยายร้านก๋วยเตี๋ยวในเมืองหลวงเพิ่มอีกหลายสาขา อีกอย่าง ไม่เพียงโรงงานแป้งมันฝรั่ง แม้แต่โรงงานกุนเชียงและโรงงานเนื้อรมควันก็เปิดได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุก หลายปีมานี้นางให้กุนเชียงกับเซี่ยเจียงเฟิงมาขายต่อในเมืองหลวง การขนส่งกุนเชียงเข้ามาในเมืองหลวงก็มีค่ารถที่ต้องจ่ายไม่น้อย หากตนเองเปิดโรงงานกุนเชียงในเมืองหลวง เช่นนั้นทั้งเขาและนางก็จะประหยัดไปได้มากโข ยังมีโรงงานเนื้อรมควัน ต้นทุนไม่สูง ราคาขายก็ไม่สูง พวกชาวบ้านยากจนก็สามารถซื้อหาได้


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ เมิ่งเชี่ยนโยวดีอกดีใจยกใหญ่ กลับเข้าห้องไปหยิบกระดาษพู่กัน ทำการวิเคราะห์ผลได้ผลเสียของการเปิดโรงงานในเมืองหลวงอย่างขะมักเขม้น


 


 


ตอนเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากบ้านบอกว่าจะส่งจดหมายเข้ามาทุกสิบวัน ครั้งแรกก็ตรงเวลาดี แต่ฉบับที่สองกลับผ่านไปหลายวันก็ยังไม่มา เมิ่งชื่อรู้สึกกระวนกระวายใจ หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “พ่อเอ๊ย โยวเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กที่ขี้หลงขี้ลืม ตอนนี้ผ่านมาหลายวันแล้วจดหมายกลับยังไม่ถึง คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นดอกนะ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ประหลาดใจ เมืองหลวงอยู่ไม่ไกลจากตำบลชิงซี ต่อให้เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนจดหมายส่งกลับมาในวันที่สิบ ไปรษณีย์ก็น่าจะส่งจดหมายมาถึงแล้ว พวกเขากลับยังไม่ได้รับ จะต้องเป็นเพราะเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ได้ส่งจดหมายมา ทั้งตอนที่เหวินเป้าและเหวินจงไปเมืองหลวงก็บอกว่า อย่างมากเจ็ดวันอย่างน้อยห้าวัน พวกเขาก็จะกลับมา แต่ตอนนี้ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว แม้แต่เงาพวกเขาก็ไม่เห็น จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แต่ด้วยกลัวเมิ่งชื่อจะร้อนใจ เมิ่งเอ้ออิ๋นจึงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เพิ่งจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวได้ไม่นาน โยวเอ๋อร์งานยุ่ง อาจจะหลงลืมไปบ้าง รออีกสองสามวันเถอะ หากจดหมายยังไม่มา พวกเราค่อยส่งคนไปเมืองหลวง”


 


 


เมิ่งชื่อคิดว่าที่เขาพูดก็มีเหตุผล จึงอดทนรออีกสองสามวัน และก็ได้รับจดหมายจากเมิ่งเชี่ยนโยวจริงๆ เมิ่งชื่อถอนหายใจยาว ความกลัดกลุ้มกังวลมลายหายไปสิ้น ร้องเรียกเมิ่งเสียน ให้เขามาอ่านจดหมายให้ฟัง


 


 


เมิ่งเสียนอ่านจดหมายโดยไม่ตกหล่นสักคำ เมิ่งชื่อขมวดคิ้วมุ่น ถามอย่างเป็นห่วง “เมืองหลวงไม่เหมือนบ้านนอก หากเปิดโรงงานที่นั่น จะต้องมีค่าใช้จ่ายสูง เงินที่นางนำไปจะพอหรือไม่”


 


 


เมิ่งเสียนพูดว่า “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล นี่เป็นเพียงการคาดการณ์เบื้องต้นของนาง ยังไม่ได้บทสรุป อีกอย่าง ก็ยังมีข้าและน้องรอง มีพวกเราอยู่ จักไม่ยอมให้น้องสาวต้องลำบากเรื่องเงินอย่างแน่นอน”


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า แต่ก็ยังไม่วางใจ ตกค่ำพอเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับเข้ามา ก็พูดกับเขาว่า “ข้าเอาแต่รู้สึกว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับโยวเอ๋อร์ นางกลัวพวกเราเป็นห่วง ไม่บอกพวกเราในจดหมาย พวกเราให้ฉีเอ๋อร์เข้าไปดูนาง จะได้ส่งสิ่งของที่นางต้องการไปให้ด้วย อีกทั้งหากโยวเอ๋อร์ต้องการเปิดโรงงาน ฉีเอ๋อร์จะได้อยู่ช่วยพวกนางได้อีกแรง”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นครุ่นคิด พยักหน้าเห็นชอบ “เช่นนี้ก็ดี โรงงานที่นี่ให้เสียนเอ๋อร์กับสะใภ้ดูแลก็ได้แล้ว ฉีเอ๋อร์จะได้เข้าไปช่วยเหลือ แต่ภรรยาฉีเอ๋อร์เพิ่งจะออกจากอยู่เดือน หากเขาไปแล้ว ใครจะดูแลพวกนาง”


 


 


“เรื่องนี้ไม่ยาก เราก็ไปรับตัวพวกนางแม่ลูกมาอยู่กับพวกเราที่นี่ก็ได้แล้ว โยวเอ๋อร์ไม่อยู่บ้าน ห้องหับปล่อยว่าง ให้พวกเขามาอยู่ห้องนั้น ข้าและเชี่ยนเอ๋อร์จะได้ดูแลนางด้วย”


 


 


นับว่าเป็นวิธีที่ดีมาก เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าเห็นชอบ เตรียมตัวไปหาเมิ่งฉีในเช้าวันรุ่งขึ้น


 


 


สุดท้าย กลายเป็นเมิ่งฉีที่เข้ามาเองแต่เช้าตรู่ พ้นประตูเข้ามาก็พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าได้ยินพี่ใหญ่บอกว่าน้องสาวจะเปิดโรงงานในเมืองหลวง เมื่อวานข้ากลับไปหารือกับครอบครัว ตัดสินใจว่าวันนี้จะเข้าเมืองไปช่วยนางทำโรงงาน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อย่อมรับปากอย่างยินดี ทั้งบอกเรื่องที่ตระเตรียมให้สะใภ้เมิ่งฉี


 


 


เมิ่งฉีโบกมือ “เรื่องนี้พวกเราก็หารือกันแล้ว ในบ้านมีสาวใช้แม่นมคอยดูแล ไม่ต้องเป็นห่วง หากท่านแม่ไม่วางใจ เข้าไปหานางทุกวันก็ได้”


 


 


เมื่อพวกเขาตกลงกันดีแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่ทัดทานอีก


 


 


เมิ่งฉีได้รับความเห็นชอบจากพวกเขาแล้ว ก็มายังโรงงาน บอกพวกอู๋ต้าเตรียมบรรทุกของขึ้นรถม้า ให้พวกเขาตามตนเองไปเมืองหลวง


 


 


เมืองหลวงเชียวนะ นั่นเป็นสถานที่ใต้ฝ่าพระบาท ได้ยินว่ามีแต่เงินทองหล่นเกลื่อนกลาด พวกอู๋ต้าคิดอยากจะไปใจจะขาดมานานแล้ว พอได้ยินเมิ่งฉีบอก ตื่นเต้นจนเลือดในกายเดือดพล่าน เตรียมรถม้าหลายคันเสร็จด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากปกติหนึ่งเท่า


 


 


เมิ่งฉีกลับมาบ้านหยิบตั๋วเงินจำนวนหนึ่ง บอกลาภรรยาและลูกน้อย แล้วกลับมาโรงงาน เห็นพวกอู๋ต้าเตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากบอกลาเมิ่งเสียน ก็สั่งให้ออกเดินทางทันที


 


 


เมื่อก่อนเวลาไปส่งสินค้า จะเตรียมรถม้าเสร็จแต่เช้าตรู่ ฟ้าเพิ่งสางก็ออกเดินทาง วันนี้เตรียมรถม้ากะทันหัน ทำให้เสียเวลา ตอนที่ขบวนรถม้าออกเดินทางก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ด้วยกลัวจะพลาดที่พักดีๆ ระหว่างทาง คนทั้งหมดไม่รอช้า ตวัดแส้เร่งความเร็วเดินทาง เข้ามาถึงเมืองหลวงในช่วงเช้าของอีกสองวันต่อมา


 


 


หลายปีมานี้สถานที่ไกลที่สุดที่พวกอู๋ต้าได้ไปก็คืออำเภอชิงเหอ ตอนนี้ได้มาถึงเมืองหลวง ดวงตาแทบไม่พอใช้ บังคับรถม้าไปพลางสอดส่ายสายตามองไปโดยรอบพลาง มองได้ครู่หนึ่ง อู๋ต้าก็ขมวดคิ้วถาม “คุณชายรองขอรับ ว่ากันว่าเมืองหลวงมีเงินทองเกลื่อนพื้นมิใช่หรือขอรับ อยู่ที่ไหนเล่า”


 


 


เมิ่งฉีหลุดหัวเราะ “คำว่าเงินทองเกลื่อนพื้นเป็นคำเปรียบเปรย เมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง มีเศรษฐีมีเงินมาก สำหรับพวกพ่อค้าแล้ว สามารถหาเงินทำกำไรได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นคนถึงพูดกันว่าเมืองหลวงนั้นมีเงินทองเกลื่อนพื้น”


 


 


อู๋ต้าเข้าใจพลัน พูดว่า “ที่แท้นี่เป็นคำพูดหลอกคน เอาไว้ข้ากลับไป จะต้องบอกกับคนในครอบครัวใหม่”


 


 


เมิ่งฉีหัวเราะส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนจดหมายฉบับแรกให้ทางบ้าน ได้ลงที่อยู่เรือนไว้ คนทั้งหมดจึงสอบถามมาเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงหาเรือนเจอ


 


 


คนเฝ้าหน้าประตู เห็นขบวนรถม้าเข้ามา บรรทุกสิ่งของเหมือนเมื่อก่อน รีบเข้าไปต้อนรับ ถามความ “พวกท่านมาส่งสินค้าหรือขอรับ”


 


 


อู๋ต้าบังคับรถม้าตรงเข้ามา ได้ยินคำถามคนเฝ้าประตู ก็ถามกลับ “ใช่สิ พวกเรามาจากตำบลชิงซี รบกวนเจ้าไปบอกนายของพวกเจ้า บอกว่าคุณชายรองเข้ามาส่งสินค้าด้วยตัวเอง”


 


 


คนเฝ้าประตูได้ฟัง รีบวิ่งเข้าไปรายงาน


 


 


หลายวันก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวได้เดินดูจนทั่วฝั่งเหนือแล้ว สองสามวันนี้จึงอยู่แต่ในบ้าน นั่งวิเคราะห์ทำเลที่ดีที่สุด ที่เหมาะแก่การเปิดโรงงาน ได้ยินรายงานจากคนเฝ้าประตู โยนพู่กันในมือทิ้งทันที วิ่งเหยาะๆ ออกมาจากในเรือน


 


 


ชิงหลวนและจูหลีไม่เคยเห็นนางลุกลนเช่นนี้มาก่อน นึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น ต่างตามนางออกมาติดๆ


 


 


เมิ่งฉีลงมายืนรออยู่ข้างรถม้าแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งพ้นประตูออกมาก็เห็นเขาทันที วิ่งเข้าหาด้วยความดีใจ “พี่รอง!”


 


 


เมิ่งฉีส่งยิ้มให้นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งมาหยุดตรงหน้าเขา


 


 


เมิ่งฉีอยากกอดนาง แต่คิดว่าไม่เหมาะสม จึงเปลี่ยนมาใช้มือขยี้หัวนาง พูดอย่างเอ็นดู “โตป่านนี้แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กไม่รักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นแหย่เย้า “ก็ข้าได้ยินว่าพี่รองมา ถึงได้ดีใจเช่นนี้อย่างไรเล่า”


 


 


เมิ่งฉีเห็นนางสดใสร่าเริงดี ไม่เหมือนคนที่ประสบปัญหา ให้โล่งใจลง “หลังจากได้รับจดหมายจากเจ้า ข้าปรึกษากับท่านพ่อท่านแม่ ตัดสินใจเข้ามาช่วยทำโรงงานแป้งมันฝรั่ง”


 


 


“เช่นนั้น ช่วงเวลานี้ท่านจะยังไม่กลับไป” เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจถาม


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า


 


 


พวกอู๋ต้าเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจมาก ทยอยกันเข้ามาทักทาย “นายหญิง พวกเราก็มาแล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้พวกเขา รับคำแล้วพูดว่า “คิดอยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องมา ข้าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เดี๋ยวขนสินค้าเสร็จ พวกเจ้าพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อน แล้วข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปเดินเล่นในเมืองหลวง” แล้วพูดแหย่เย้า “เช่นนี้พอกลับไป พวกเจ้าจะได้มีเรื่องไปคุยโม้ได้เต็มคราบเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ความคิดพวกอู๋ต้าอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำเอาพวกเขาได้แต่หัวเราะแหะๆ มือลูบหัวแก้เก้อ


 


 


จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับคนเฝ้าประตู “เจ้าพาพวกเขาไปลานเรือน ช่วยกันขนถ่ายสินค้าลงมา”


 


 


คนเฝ้าประตูรับคำ ส่งสายตาให้พวกอู๋ต้าบังคับรถม้าตามเขามาหลังเรือน หลังจากขนถ่ายสินค้าลงเสร็จ


 


 


เมิ่งฉีก็ตามเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้องนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสาวใช้ไปชงชา ยกยิ้มถามเขา “ครั้งก่อนพี่ใหญ่เขียนจดหมายมาบอกว่า ท่านแม่เห็นพี่สะใภ้รองคลอดหลานอีกคนแล้ว ให้ผิดหวังยิ่งนัก รบเร้าพี่สะใภ้ใหญ่ทุกวัน ทำเอาพี่สะใภ้ใหญ่เข้าหน้าท่านแม่ไม่ติด ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือไม่”


 


 


คิดถึงภาพซุนเชี่ยนที่แม้จะอยู่ในโรงงาน พอได้ยินเสียงเมิ่งชื่อก็ตกใจรีบหนีไปหลบ เมิ่งฉีก็หลุดขำ “ตอนนี้เหมือนว่าจะหนักหนายิ่งกว่าเดิม ทำเอาพี่สะใภ้ใหญ่อยากจะย้ายไปอยู่แต่ในโรงงานแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็นึกภาพนั้นออก หัวเราะร่วนไม่หยุด พูดอย่างเห็นใจ “พี่สะใภ้ผู้น่าสงสาร”


 


 


เมิ่งฉีพูดต่อ “พี่สะใภ้รองก็พูดเช่นนี้ ยังดีใจที่ตัวเองเพิ่งจะคลอดบุตร ไม่เช่นนั้นถูกท่านแม่คอยรบเร้าเช่นนั้น นางคงได้กลับไปหลบที่บ้านแม่ระยะหนึ่งเป็นแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวร่องอหาย


 


 


สองพี่น้องพูดไปหัวเราะไป เสียงหัวเราะดังออกมาจากในห้องไม่ขาดสาย


 


 


ชิงหลวนและจูหลีไม่เคยได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเช่นนี้มาก่อน อดหันหน้าสบตากันไม่ได้


 


 


ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมาหนึ่งเดือนกว่านี้ เมิ่งเชี่ยนโยวต้องประสบพบเจอเรื่องมากมาย ตอนนี้ได้ยินเมิ่งฉีเล่าเรื่องในบ้านให้ฟัง ให้รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละซีกโลก รู้สึกแปลกใหม่ไม่คุ้นเคย


 


 


ราวกับเมิ่งฉีจะรู้ความคิดนาง บอกเล่าเรื่องภายในบ้านทั้งน้อยใหญ่ให้นางฟังทั้งหมด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังอย่างละโมบ ใบหน้าคะนึงหา


 


 


เมิ่งฉีเห็นท่าทีของนาง หยุดพูดถามขึ้น “น้องสาว เกิดเรื่องกับพวกเจ้าที่เมืองหลวงใช่หรือไม่”

 

 

 


ตอนที่ 58 ขายเครื่องแต่งงานทิ้ง

 

พวกเหวินเปียวยังต้องพักฟื้นร่างกาย อย่างไรก็ปิดไม่มิด เมิ่งเชี่ยนโยวจึงบอกเรื่องที่คนทั้งหมดลอบบุกเข้าไปสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน แล้วถูกจับเข้าคุก แต่เล่าข้ามเรื่องที่ตนเองถูกผู้คุมใส่ยากำหนัด ยิ้มพูดว่า “ข้าเองก็ถูกจับเข้าไป แต่เพราะข้าเป็นผู้หญิง ไม่ต้องถูกทรมานร่างกาย แต่พวกเขาไม่รอด ถูกตีจนได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่อี้เซวียนช่วยพวกเราออกมาได้ทันเวลา จึงไม่เป็นอะไรมาก”


 


 


เมิ่งฉีฟังแล้ว พินิจมองนางอย่างละเอียดอีกครั้ง เห็นนางไม่เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บ จึงวางใจพูดว่า “เหวินเป้าและเหวินซงไม่ยอมกลับไปเสียที ท่านพ่อท่านแม่เดาว่าจะต้องเกิดเรื่องกับพวกเขา เป็นจริงดังว่า พวกเขาคาดไว้ไม่ผิดจริงๆ”


 


 


ด้วยกลัวเมิ่งฉีจะเป็นห่วง เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มหวาน พูดอย่างใจเย็น “ไม่มีใครเป็นอะไรหนัก พวกเขาล้วนเป็นชายชาตรี กำยำบึกบึน โดนลงทัณฑ์เล็กน้อยหาเป็นอะไรไม่”


 


 


เมิ่งฉีพูดด้วยน้ำเสียงเจือตำหนิ “เจ้าพูดง่ายดายนัก หากไม่เพราะอี้เซวียนช่วยพวกเจ้าออกมาได้ทัน แม้แต่เจ้าก็คงเอาตัวไม่รอด ครั้งนี้เจ้าคงได้รับบทเรียนแล้วสินะ ดูสิว่าต่อไปยังจะกล้าทำเรื่องอันตรายเช่นนี้อีกหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก แสร้งทำหน้าเป็นพูดว่า “พี่รอง ทำไมตั้งแต่ท่านแต่งงาน ก็ขี้บ่นเหมือนท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้เล่า ท่านน่ะโตกว่าข้าแค่สองปีเท่านั้นนะ”


 


 


เมิ่งฉีถูกแหย่เย้า “นั่นก็เป็นเพราะเจ้าชอบสร้างปัญหาอย่างไร หากเจ้าได้แต่งงานกับอี้เซวียนเร็ววัน มีเขาคอยควบคุมดูแล ข้าจะได้ไม่ต้องห่วงกังวลเช่นนี้อีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นปลิ้นตา “พวกเขาพักฟื้นอยู่ในห้องบ่าว ข้าจะพาท่านไปหาพวกเขาเอง”


 


 


คนเหล่านี้ติดตามครอบครัวตนเองมาหลายปี เสมือนคนในครอบครัวแล้ว เมิ่งฉีย่อมต้องเป็นห่วงอาการของพวกเขา พยักหน้าลุกขึ้น


 


 


สองพี่น้องเดินมาถึงห้องบ่าว


 


 


ใกล้เที่ยงแล้ว อากาศอบอุ่น เหล่าคนบาดจับกำลังเดินช้าๆ ไปมาในลานเรือน เพื่อให้อาการบาดเจ็บหายเร็วขึ้น


 


 


ทั้งสองเดินเข้ามา พวกเหวินเปียวที่พอเห็นว่าเป็นเมิ่งฉี ก็ร้องเรียกด้วยความดีใจ “คุณชายรอง ท่านมาแล้ว”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า ซักถามพวกเขา “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


กัวเฟยตอบกลับ “เคลื่อนไหวได้คล่องตัว เกือบจะหายดีแล้วขอรับ เพียงแต่แม่นางกลัวจะเกิดโรคภายหลัง จึงให้พวกเราพักผ่อนอีกสักระยะก่อน”


 


 


เมิ่งฉีเห็นพวกเขายังเดินได้เชื่องช้า รู้ว่าพวกเขาเพียงพูดปลอบใจตนเอง “เส้นเอ็นกระดูกพักฟื้นร้อยวัน ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ พักฟื้นเถอะ”


 


 


เหวินเป้าให้ละอายใจยิ่งนัก “คุณชายรอง ครั้งนี้ข้าทำให้แม่นางต้องลำบากไปด้วย ทำให้แม่นาง…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกระแอมสองครั้ง ยิ้มพูดว่า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หาใช่เรื่องลำบากอะไรไม่”


 


 


เมิ่งฉีชำเลืองมองนางอย่างเคลือบแคลงแวบหนึ่ง รู้สึกว่านางมีอะไรปิดบังตนเองอยู่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบจมูกร้อนตัว


 


 


เห็นปฏิกิริยาของเมิ่งเชี่ยนโยว เหวินเป้ารู้ทันทีว่าตนเองพูดพล่อย ตกใจไม่กล้าปริปากอีก


 


 


เหวินเปียวรีบเบี่ยงเบนเรื่องพูด “คุณชายรอง ที่บ้านเรียบร้อยดีนะขอรับ”


 


 


“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ทุกคนยังอยู่กันเหมือนเดิม ควรทำอะไรก็ทำอย่างนั้น แต่เพราะเหวินเป้าและเหวินซงไม่ได้กลับบ้านเสียที คนในครอบครัวจึงเป็นห่วงมาก”


 


 


“พวกเราไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก พวกเราจะกลับไปพร้อมคุณชายรองก็ได้ขอรับ” เหวินเป้ารีบพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “ด้วยสภาพของพวกเจ้า หากกลับบ้านไปตอนนี้เท่ากับไปบอกคนที่บ้านว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเจ้า คุณชายรองจะอยู่ที่นี่ช่วยข้าเปิดโรงงานสักระยะหนึ่ง พวกเจ้าทำตัวดีๆ อยู่ที่นี่ไปก่อน หายดีเมื่อไหร่ ถึงจะกลับบ้านได้”


 


 


คนทั้งหมดย่อมไม่กล้ามีความเห็นต่าง


 


 


เมิ่งฉีกำชับพวกเขาอีกครั้ง จึงเดินกลับเรื่อนมาพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้อง สั่งสาวใช้เตรียมห้องหับให้เมิ่งฉี เตรียมตัวเข้าครัว “พี่รอง ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะไปทำอาหารจานถนัดมาต้อนรับท่าน”


 


 


เมิ่งฉีห้ามนาง “ข้าหาใช่คนอื่นใด ต้อนรับอะไรกัน เจ้าให้สาวใช้ทำมาให้ก็พอ เจ้าเข้ามาให้ข้าถามความก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาจะถามอะไร หลีกเลี่ยงให้ถึงที่สุด พูดว่า “ไม่ใช่เพียงต้อนรับท่านเท่านั้น ประเดี๋ยวอี้เซวียนก็จะเข้ามากินอาหารเที่ยงด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งฉีขมวดคิ้ว “อี้เซวียนเข้ามาทุกวันหรือ”


 


 


“อือ หากไม่มีเรื่องอะไร ทุกเที่ยงจะเข้ามากินข้าว ก่อนอาหารค่ำถึงกลับจวนอ๋องไปเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งฉีมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ถามว่า “พวกเจ้ากำหนดงานแต่งงานแล้วหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำมือเหมือนเด็ดผัก แล้วกลับสู่สภาวะปกติ ยิ้มพูดว่า “ยังเลยเจ้าค่ะ เขายังไม่ได้ถอนหมั้นกับธิดาราชเลขา การแต่งงานของเราไม่อาจกำหนดได้ในเร็ววันนี้”


 


 


เมิ่งฉีชักสีหน้าขรึมทันที “เขากลับมาสี่ปีแล้ว ยังไม่ได้ถอนหมั้น หรือเขาคิดจะเสพสุขหลายภรรยา ข้าจะบอกให้นะ แม้เราจะเป็นคนบ้านนอก ก็ห้ามเป็นอนุใครเด็ดขาด”


 


 


“พี่รองคิดไปถึงไหนแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “น้องสาวท่านจะยอมเป็นอนุของใครหรือเจ้าคะ ท่านวางใจเถอะ ขอเวลาอีกไม่นานเขาจะต้องถอนการหมั้นหมายนั้นได้”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี ไม่เช่นนั้นพี่รองจะพาเจ้ากลับบ้าน” เมิ่งฉีพูด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพ้นประตูเข้ามาได้ยินวาจาของเมิ่งฉีพอดี เม้มริมฝีปาก ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “พี่รอง!”


 


 


เมิ่งฉีหันหลังไป เห็นเขาสูงศักดิ์องอาจ รูปงามสะโอดสะอง สีหน้าอ่อนน้อม ความขุ่นมัวที่มีต่อเขาเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น พยักหน้ายิ้มพูด “อี้เซวียน ไม่เจอกันนานนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตื้นตันใจ เดินขึ้นหน้าไปหยุดเบื้องหน้าเขา “พี่รอง ไม่เจอกันนาน ทางบ้านสบายดีนะขอรับ”


 


 


เมิ่งฉีถึงได้พบว่าเขาสูงกว่าตนเองเสียอีก ยื่นมือออกไปแตะบ่าเขา “ทางบ้านเรียบร้อยดี ท่านพ่อท่านแม่สุขสบายใจ ท่านปู่ท่านย่าสุขภาพแข็งแรงดี เอาไว้เจ้ามีเวลาว่าง ก็กลับไปเยี่ยมได้ พวกเขาต่างก็คิดถึงเจ้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่บ้านเมิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความคิดถึง พยักหน้าร้อง “อือ”


 


 


“พอดีเลย เจ้าอยู่คุยกับพี่รองก่อน ข้าจะไปทำอาหารสองสามอย่างมาต้อนรับพี่รอง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


“พี่รองไม่ใช่คนอื่น ข้าไปช่วยเจ้าติดไฟดีกว่า กินข้าวเสร็จข้าค่อยมานั่งคุยกับพี่รองก็ได้”


 


 


ได้ยินว่าเขาจะไปช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวติดไฟ เมิ่งฉีก็ให้ดีอกดีใจ “ข้ายังอยู่ที่นี่อีกนาน มีเวลาให้พูดคุยอีกมาก ให้อี้เซวียนไปช่วยเจ้าเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเมิ่งฉีเป็นห่วงตนเอง พูดว่า “ก็ได้ ประเดี๋ยวพอทำอาหารเสร็จ ข้าจะให้สาวใช้เตรียมสุราดีไว้ให้พวกท่าน ให้พวกท่านกินไปดื่มไปให้สบายอุรา”


 


 


ทั้งสองรับคำ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในห้อง เปลี่ยนชุดที่ปกติจะเอาไว้ใช้ใส่ทำงาน แล้วเดินออกมา เริ่มลงมือติดไฟเตรียมกระทะตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก


 


 


เมิ่งฉียืนหน้าประตูมองดูภาพผัวร้องเมียตาม ด้วยความพึงพอใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำอาหารสี่ซุปหนึ่ง พวกเขายกอาหารเข้ามาในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกชิงหลวนไปนำสุรามา


 


 


ชิงหลวนทำงานไว พวกเขาเพิ่งจะจัดชามตะเกียบเสร็จ นางก็นำเข้ามาแล้ว หลังจากวางไหสุราไว้ในห้อง ก็ถอยออกไป


 


 


เมิ่งฉีเห็นนางเดินไม่มีเสียง เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้สายตาถามว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “พวกเหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ ข้าไม่มีคนไว้ใช้สอยข้างกาย พระชายาเอกจึงประทานองครักษ์เงาหญิงสองนางมาให้ข้า พวกนางมีวรยุทธ์สูงกว่ากัวเฟยอีกนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งฉีไม่คิดว่าจะยังมีเรื่องเช่นนี้อีก หันมองอี้เซวียนแวบหนึ่ง หยั่งเชิงถาม “พระชายาเอกดีกับเจ้าหรือไม่”


 


 


“ดีกว่าที่ปฏิบัติต่อข้าอีกเล่า” หวงฝู่อี้เซวียนพูด “สองสามวันก่อนให้สาวใช้ไปซื้อผ้าแพรชั้นเลิศ บอกว่าจะตัดชุดให้นาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องนี้ ตกตะลึงเล็กน้อย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อว่า “หลายวันก่อนพระมารดาสลบไม่ได้สติ หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงหลายคนต่างไร้ทางเยียวยา หลังจากโยวเอ๋อร์เข้าไป ไม่นานก็ช่วยพระมารดาให้ฟื้นได้ ทั้งเขียนใบสั่งยาฟื้นฟูร่างกายให้พระมารดา ตอนนี้สุขภาพของพระมารดาดีวันดีคืน ดังนั้นตอนนี้จึงเอ็นดูนางยิ่งกว่าใครแล้ว แทบอยากจะให้พวกเราได้ครองคู่กันโดยไวทีเดียว ข้าไม่ปิดบังพี่รอง ตอนนี้พระมารดากำลังเฟ้นหาผ้าสำหรับทำชุดแต่งงานอีกด้วย”


 


 


ฟังเขาพูดจบ แม้เมิ่งฉีจะดีใจมาก แต่ก็ยังขมวดคิ้วพูดว่า “ข้าได้ยินน้องสาวบอกว่า เจ้ายังมิได้ถอนหมั้น พระมารดาเจ้าเฟ้นหาผ้าทำชุดแต่งงานเร็วเช่นนี้หมายความว่าอะไร หรือจะให้เมิ่งเชี่ยนโยวแต่งเข้าไปเป็นอนุ”


 


 


“พี่รอง” หวงฝู่อี้เซวียนวางตะเกียบในมือลง พูดอย่างขึงขัง “ชีวิตนี้ข้าจะแต่งโยวเอ๋อร์เป็นภรรยาเท่านั้น สำหรับการหมั้นหมายกับธิดาราชเลขานั้น อีกไม่นานจะต้องถูกยกเลิกไป”


 


 


หลายปีมานี้เมิ่งฉีออกไปทำการค้าขยายสาขาให้ครอบครัว เดินทางไปในหลายพื้นที่ ได้ยินเรื่องราวมากมาย พอจะเคยได้ยินเรื่องความเกี่ยวดองของเหล่าขุนนางสูงศักดิ์ รู้ว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะใช้การแต่งงานประคับประคองซึ่งกันและกัน การถอนหมั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ จึงวางตะเกียบลง หันไปพูดกับอี้เซวียนด้วยสีหน้าจริงจัง “อี้เซวียน พวกเราเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าเจ้าประสบเรื่องใหญ่แค่ไหน ขอเพียงเจ้าส่งคนมาบอกพวกเรา ท่านพ่อท่านแม่พี่ใหญ่และพี่รองจะต้องช่วยเจ้าอย่างไม่ลังเล ต่อให้ต้องใช้ทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวพวกเราก็ไม่ปวดใจ แต่ว่า การแต่งงานของเจ้ากับโยวเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน พี่รองขอพูดตรงนี้ หากเจ้าจะแต่งกับโยวเอ๋อร์ ก็ต้องตบแต่งอย่างถูกต้องตามประเพณี สามหนังสือหกพิธีการห้ามขาดแม้แต่ข้อเดียว พวกเราไม่ละโมบทรัพย์สมบัติของเจ้า แต่ก็ไม่คิดว่าตนเองต้อยต่ำ ขอเพียงเจ้าปฏิบัติตามระเบียบทั่วไปก็พอ แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ถอนหมั้นในเมืองหลวงนี้ไม่ได้ ไม่อาจให้สถานะอย่างสมศักดิ์ศรีกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้ อย่าว่าแต่ขอน้องสาวข้าแต่งงาน ชีวิตนี้ต่อให้เจ้าอยากพบนางสักครั้ง พี่รองก็ไม่มีวันยินยอม”


 


 


คำพูดของเมิ่งฉีกระตุ้นเร้าหัวใจเมิ่งเชี่ยนโยว เกิดความรู้สึกประหลาดทะลักเอ่อ ดวงตาร้อนผ่าวจนต้องรีบก้มหน้าแสร้งทำเป็นกินข้าว พยายามสกัดกั้นความรู้สึกที่กำลังจะเอ่อล้นออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับประกันหนักแน่น “พี่รองวางใจเถิด เรื่องที่พวกท่านเป็นห่วงจะไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด ข้าจะต้องให้โยวเอ๋อร์ได้สวมมงกุฎหงส์แต่งกับข้าอย่างสมเกียรติ”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี พี่รองรู้ว่าเจ้าเป็นคนกลางลำบากใจที่สุด จะไม่เร่งเร้าเจ้า แต่เจ้าก็อย่าได้ปล่อยให้นานเกินไป น้องสาวอายุสิบแปดปีแล้ว รอต่อไปไม่ได้อีก”


 


 


“ข้าทราบแล้ว ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อถอนหมั้นครั้งนี้ ถึงตอนนั้นข้าจะให้พระมารดาไปสู่ขอกับท่านพ่อท่านแม่ด้วยตัวเอง”


 


 


เมิ่งฉีรับคำ “ดี ก่อนหน้านั้นข้าจะเขียนจดหมายบอกท่านพ่อท่านแม่แต่เนิ่นๆ ให้พวกเขาได้เตรียมตัว” ว่าแล้วก็พูดต่อว่า “ยังมีอีกเรื่อง เรื่องการแพทย์ของน้องสาวห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด เลี่ยงไม่ให้นำพาความยุ่งยากเข้ามา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว พระบิดาสั่งกำชับไว้แล้ว จะไม่มีใครกล้าปริปาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปรับอารมณ์กลับมาได้แล้ว เงยหน้าขึ้น กลืนอาหารในปาก ยิ้มพูดว่า “อย่าเพิ่งร้อนใจเรื่องงานแต่งเลย ไม่ช้าจะต้องหาวิธีแก้ปัญหาได้ สิ่งสำคัญตอนนี้คือหาสถานที่เหมาะสม เปิดโรงงานในเร็ววัน ยังมีเรื่องซื้อที่ดิน เจ้าสอบถามไปถึงไหนแล้ว”


 


 


“ยังอยู่ในระหว่างสอบถาม อย่างไรก็ต้องรอหลังปีใหม่ถึงจะปลูกมันฝรั่งได้ ไม่ต้องรีบ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


เมิ่งฉีก็พูดว่า “ครั้งนี้ข้าบรรทุกเส้นแป้งมันฝรั่งจำนวนหนึ่งมาด้วย พอให้พวกเจ้าใช้ไประยะหนึ่ง อย่างไรก็ต้องเปิดโรงงาน แต่ก็ไม่ต้องร้อนรนเกินไป วันพรุ่งเจ้าพาข้าไปดูสถานที่ตั้งโรงงาน พวกเราเลือกสถานที่ก่อนเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เมิ่งฉีและหวงฝู่อี้เซวียนหยิบตะเกียบขึ้นอีกครั้ง คนทั้งหมดกินไปพลางพูดคุยไปพลาง


 


 


หลังกินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งฉีไปพักผ่อนในห้องที่สาวใช้เตรียมไว้ให้ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในห้องของนาง


 


 


เมิ่งฉีขมวดคิ้วพูดว่า “พวกเจ้ายังไม่ได้ตบแต่ง ระวังการวางตัวด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงฝาด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเบะปากหัวเราะร่า


 


 


“พี่รอง ท่านคิดไปถึงไหนแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวตำหนิถาม “พวกเราเพียงจะหารือกันเรื่องซื้อที่ดินปลูกมันฝรั่งก็เท่านั้น”


 


 


“เจ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็พอ หากการแต่งงานยังไม่ถูกกำหนด พวกเจ้าห้ามล้ำเส้นแม้เพียงก้าวเดียว” เมิ่งฉีชักสีหน้า พูดอย่างขึงขังกับพวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งหน้าแดงฝาด ลุกลนพูด “ข้าทราบแล้ว พี่รอง ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ”


 


 


เมิ่งฉีถึงเดินตามสาวใช้ไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้ให้ตนเอง


 


 


ตกค่ำเมิ่งอี้กลับมา เห็นเมิ่งฉีเข้ามา ย่อมดีอกดีใจใหญ่ เฝ้าถามแต่เรื่องทางบ้าน เมิ่งฉีตอบเขาทุกข้อซักถาม แล้วถามว่า “พี่สะใภ้และลูกๆ เล่า เหตุใดถึงไม่อยู่บ้าน”


 


 


“อ่อ” เมิ่งอี้ตอบ “พวกเขาไปอยู่บ้านแม่ ข้าอยู่ที่ร้าน เวลาเข้างานเลิกงานของทุกวันไม่สะดวก จึงไม่ไปอาศัยอยู่ด้วย จะไปพักบ้างชั่วครั้งชั่วคราวสักคืนหนึ่ง”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า ถามต่อ “พี่เมิ่งอี้ ท่านบอกข้ามาตามตรง หลายวันก่อนที่โยวเอ๋อร์ถูกจับเข้าคุก เกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นในคุกแก่เมิ่งอี้ เมิ่งอี้ย่อมไม่รู้เรื่องที่นางเกือบพลั้งพลาดในคุก ตอบกลับไปตามตรงว่า “ไม่มีนะ มีแต่พวกเหวินเปียวที่ถูกลงทัณฑ์ ตอนนี้ยังพักรักษาตัวอยู่ในบ้าน”


 


 


เมิ่งฉีเห็นท่าทีเขาไม่เหมือนคนโกหก ขมวดคิ้วครุ่นคิด หรือตนเองจะคิดมากไปเอง หาได้เกิดเรื่องอันใดกับน้องสาวจริงๆ ทว่าคำพูดของเหวินเป้าส่อว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ดูท่าตนเองจะต้องหาโอกาสซักถามเขาอีกครั้ง


 


 


เมิ่งอี้เห็นเขาขมวดคิ้ว เคลือบแคลงใจถาม “เป็นอะไร หรือว่าน้องโยวเอ๋อร์ประสบเรื่องไม่ดีในคุก แล้วไม่บอกพวกเรา”


 


 


เมิ่งฉีส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้”


 


 


“เช่นนั้นก็แปลว่าไม่มีอะไร ข้าเห็นนางมาตลอด หากเกิดเรื่องกับนางข้าจะมองไม่ออกได้อย่างไร” เมิ่งอี้พูด


 


 


เมิ่งฉีก็คิดเช่นนี้ จึงไม่พูดเรื่องนี้อีก


 


 


วันถัดมา พอกินอาหารเช้าเสร็จ ก็ให้เงินจำนวนหนึ่งกับพวกอู๋ต้า กำชับคนให้พาพวกเขาไปเดินเล่นให้ทั่วเมืองหลวง จึงขึ้นไปนั่งบนรถม้าพร้อมเมิ่งฉี พาชิงหลวนและจูหลีมุ่งหน้าสู่เมืองฝั่งเหนือด้วยกัน


 


 


เพียงแค่ไปตรวจดูสถานที่ ไม่ได้มีเรื่องด่วนอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสั่งคนรถให้ไปช้าๆ จะได้ไม่ชนผู้คนที่เดินตามท้องถนน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังเปิดม่านรถให้เมิ่งฉีดูบ้านเมืองของเมืองหลวง


 


 


เมิ่งฉีแม้จะไปมาหลายที่แล้ว แต่ยังไม่เคยมาเมืองหลวง มองดูบ้านเมืองเจริญผู้คนคับคั่งตรงหน้า ทอดถอนใจพูดว่า “เมืองหลวงไม่เหมือนกับที่อื่นจริงๆ สภาพบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองไปทั่วทุกแห่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “นั่นเป็นเพราะท่านอยู่ในย่านคนรวยของเมืองหลวง ประเดี๋ยวท่านไปถึงเมืองฝั่งเหนือ เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นั่น ท่านก็จะไม่คิดเช่นนี้แล้ว”


 


 


อย่างไรก็เป็นเขตเมืองหลวง จะแย่ไปกว่ากันสักเท่าใดเชียว เมิ่งฉีมิได้ใส่ใจคำพูดของนาง


 


 


แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมากกว่า ทว่าก็ไม่เคยหย่อนใจชมเมืองหลวงเช่นนี้มาก่อน มองดูสิ่งต่างๆ ด้านนอกอย่างสนอกสนใจ เห็นร้านค้าข้างทางร้านหนึ่งติดป้ายขาย และมีสาวใช้นางหนึ่งของพระชายารองอ๋องฉีกำลังเสวนากับชายคนหนึ่งหน้าร้านค้านั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหูไว ได้ยินบทสนทนาของพวกเขารางๆ


 


 


“ราคานี้เหมาะสมมากแล้ว หากไม่เพราะคุณหนูของพวกเรารีบใช้เงิน ร้านค้าดีเช่นนี้ ต่อให้ท่านจุดตะเกียงส่องก็หาไม่ได้”


 


 


“ราคาไม่สูงก็จริง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเงินมากเช่นนั้น ลดอีกสักสองหมื่นตำลึง ข้าจะซื้อทันที”


 


 


สาวใช้เริ่มมีน้ำโห “ท่านจะฉวยโอกาสกดราคานะสิ อย่าคิดว่านอกจากท่านเราจะหาคนซื้อคนอื่นไม่ได้”


 


 


“เจ้าติดป้ายขายมาหลายวันแล้ว ไม่มีใครเข้ามาถามสักคน มีแต่ข้าที่พอจะมีเงินสดมาซื้อได้ คาดว่าคนอื่นแค่ครึ่งราคาก็ไม่มีจ่าย”


 


 


“ชิงหลวน” เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียก


 


 


ชิงหลวนขานรับคำเดินเข้ามา


 


 


“เจ้าเข้าไปสอบถามว่าร้านนี้เป็นของใคร เหตุใดถึงปล่อยขาย”


 


 


ชิงหลวนรับคำ เข้าไปสอบถามจากร้านใกล้เคียง ไม่นานก็เดินกลับมา “นายท่าน ข้อสอบถามได้ความว่า ร้านนี้จะเป็นร้านสินเดิมของพระชายารอง เห็นว่านางรีบใช้เงิน จึงนำมาขายในราคาถูก ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกหลายร้านในละแวกใกล้เคียงนี้ที่กำลังปล่อยขาย” 

 

 


ตอนที่ 59 พบคนรู้จัก

 

 


 


ดูท่าช่วงเวลาที่พระชายารองดูแลเรือนจะยักยอกเงินส่วนกลางไปไม่น้อย ตอนนี้พระชายาเอกจะริบคืนสิทธิ์การดูแล นางกลัวเรื่องจะแดง จึงคิดจะขายร้านค้าสินเดิมก่อนแต่งมาอุดรูรั่วนี้


 


 


คิดได้ดังนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพูดกับเมิ่งฉีว่า “พี่รอง พวกเราเจอโอกาสดีเข้าแล้ว คนที่ขายร้านค้าเป็นสาวใช้คนสนิทของพระชายารอง ก่อนหน้านี้พระชายาเอกร่างกายไม่แข็งแรง พระชายารองจึงเป็นคนดูแลจวนอ๋องฉี นางคงใช้ช่วงเวลานั้นยักย้ายถ่ายเงินไปไม่น้อย ตอนนี้พระชายาเอกจะริบคืนอำนาจการดูแลเรือน นางหาเงินไม่ทัน ถึงคิดจะขายร้านค้าพวกนี้ นำเงินมาอุดรูรั่ว ท่านลงไปแสร้งทำเป็นพ่อค้ามาเจรจาซื้อขาย ท่านจงซื้อร้านค้าที่พระชายารองต้องการขายทั้งหมดมาให้ได้จะเป็นการดีที่สุด”


 


 


ในเมืองหลวงที่ดินเป็นเงินเป็นทอง โดยเฉพาะร้านค้าในแหล่งชุมชน หากมีเงินไม่ถึงหลักแสนไม่มีทางซื้อไว้ได้ หนำซ้ำยังมีหลายร้าน เมิ่งฉีเริ่มเป็นกังวลว่าตั๋วเงินในมือเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เพียงพอ พูดว่า “ที่ข้ามาครั้งนี้ พกตั๋วเงินมาเพียงแสนกว่าตำลึง รวมกับเงินในมือเจ้า ไม่รู้ว่าจะเพียงพอหรือไม่”


 


 


“ตั๋วเงินข้าล้นเหลือ พี่รองวางใจไปซื้อได้เลย จะต้องกดราคาให้ต่ำที่สุด เอาให้นางกระอักเลือดได้ยิ่งดี”


 


 


เมิ่งฉีถึงวางใจ ลงจากรถม้า เดินมาหน้าร้านค้า ถามอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าร้านค้านี้เป็นของใคร จะปล่อยขายหรือ”


 


 


ติดป้ายประกาศขายไว้หลายวันแล้ว กลับไม่มีคนเข้ามาถามราคา เวลาที่จะต้องมอบคืนอำนาจก็ใกล้เข้ามาทุกที สาวใช้ของพระชายารองร้อนรนไม่เป็นสุข วันนี้อุตส่าห์มีเข้ามาคนหนึ่ง กลับเป็นเพียงนายหน้า กดราคาจนต่ำ สาวใช้พระชายารองไม่ยินดีขาย แต่หากไม่ขายก็จะรวบรวมเงินไม่ครบ กำลังต่อรองราคากับนายหน้าคนนี้อย่างกระวนกระวายใจ หวังให้เขาเพิ่มราคาให้


 


 


ชายนายหน้าย่อมไม่ยินยอม


 


 


ขณะที่ทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น ครั้นได้ยินคำถามเมิ่งฉี สาวใช้ก็ราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต รีบร้อนตอบกลับ “ร้านค้าเป็นของคุณหนูของพวกเราเจ้าค่ะ เกิดปัญหาขึ้นในบ้าน ต้องรีบใช้เงิน คุณชายต้องการจะซื้อหรือเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งฉีวางมาดเป็นพ่อค้า ยืดหลังอกแอ่น พินิจมองเล็กน้อย แล้วมองประเมินร้านค้าอย่างถี่ถ้วน ถึงตอบว่า “ข้าเป็นคนต่างถิ่น ปีนี้คิดจะเข้ามาทำการค้าในเมืองหลวง กำลังอยากได้ร้านค้า เห็นติดป้ายขายที่หน้าประตู จึงเข้ามาซักถาม ไม่ทราบว่าแม่นางพอจะให้ข้าเข้าไปดู ว่าจะเหมาะสมกับการค้าของข้าได้หรือไม่”


 


 


สาวใช้พยักหน้าหงึกๆ “ได้ๆๆ เชิญคุณชายด้านในเลยเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งฉียกเท้าหมายจะเดินเข้าไป นายหน้าปรี่เข้ามาขวางหน้าเขา พูดวางอำนาจทันที “ไม่รู้หรือว่าทำการค้าต้องคำนึงถึงมารยาทก่อนหลัง ข้าเห็นร้านนี้ก่อน เจ้ามีสิทธิ์อะไรตัดหน้าข้า”


 


 


เมิ่งฉีช้อนนัยน์ตามองเขา ใบหน้าไม่หวาดหวั่น “พี่ชายท่านนี้ เมื่อร้านติดป้ายขายไว้ ใครก็ย่อมมีสิทธิ์ซื้อ มิใช่ท่านผู้เดียวเสียเมื่อไหร่”


 


 


ชายนายหน้าสะอึกกึก พูดอย่างขุ่นเคือง “ดูท่าเจ้าคงเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง ยังไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เจ้าลองไปสืบถามดู ช่วงที่ผ่านมา ร้านที่ข้าหมายตามีใครหน้าไหนกล้ามาแย่งบ้าง”


 


 


ร้านค้าเป็นเครื่องแต่งงานของพระชายารอง ตามหลักแล้วไม่มีใครกล้าก่อกวนเช่นนี้ แต่พระชายารองกลัวหากป่าวประกาศออกไปอ๋องฉีจะทราบเรื่อง ถึงตอนนั้นเรื่องที่นางยักยอกเงินส่วนกลางก็จะถูกเปิดโปง จึงกำชับสาวใช้ ห้ามบอกสถานะตนเอง ให้บอกว่าเป็นของคุณหนูก็พอ นายหน้าไม่รู้สถานะนาง ถึงกล้ากดราคาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้


 


 


สาวใช้พระชายารองถูกเขากดราคาจนไม่พอใจแล้ว ได้ยินเขาข่มขู่เมิ่งฉี ชักสีหน้าขุ่นมัว “คุณหนูของพวกเราเป็นคนมีอำนาจในเมืองหลวง หากท่านยังกล้าก่อเรื่องอาละวาดหน้าร้านพวกเราอีก ข้าจะกลับไปรายงานคุณหนู จับท่านเข้าซังเต”


 


 


“ไม่ต้องมาขู่ข้า” ชายนายหน้าไม่แยแส “หากคุณหนูของเจ้ามีอำนาจมากเช่นนั้นจริง จะขายทอดร้านค้าทิ้งทำไม”


 


 


สาวใช้เห็นเขาก่อกวนรังควาน หมายจะทำลายการค้าในครั้งนี้ของตนเองให้ได้ จึงร้องตะโกนเข้าไปในร้านทันที “พวกเจ้าออกมาสิ”


 


 


หลงจู๊และเสี่ยวเอ้อร์ในร้านเดินออกมา


 


 


สาวใช้ชี้ชายนายหน้า แล้วสั่งพวกเขา “เขามาก่อกวนปลุกปั่นไม่เลิก ตีเขาไล่ออกไปที่อื่น”


 


 


หลงจู๊ทราบสถานะของพระชายารอง ขานรับคำ ส่งสายตาให้เสี่ยวเอ้อร์ลงมือ


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ได้รับสัญญาณ เดินขึ้นหน้าโดยไม่ลังเล


 


 


ชายนายหน้าเห็นพวกเขากล้าลงมือ ตกใจถอยกรูด ร้องพูดข่มขวัญ “ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะไปเรียกคนมา” ว่าแล้ว ก็หันหลังแผ่นแนบออกไป


 


 


สาวใช้หันไปพูดกับเมิ่งฉีอย่างสุภาพ “คุณชาย เชิญด้านในเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งฉียกเท้าเดินเข้ามาในร้าน


 


 


นี่เป็นร้านผ้าแพรพรรณ ภายในโอ่อ่าใหญ่โต ตกแต่งสวยงาม ชั้นจัดวางพับผ้าก็ดูดีมีรสนิยมกว่าร้านอื่น


 


 


เมิ่งฉีเดินวนดูภายในร้านรอบหนึ่ง พยักหน้าพึงพอใจ “ร้านนี้เหมาะสมตามความต้องการการทำธุรกิจของข้า ไม่ทราบว่าราคา…”


 


 


สาวใช้ร้อนรนพูดว่า “คุณชาย นี่เป็นย่านที่ดีที่สุดของเมืองหลวง จะบอกว่าทุกคืบทุกศอกเป็นเงินเป็นทองก็ไม่เกินไป หากไม่เพราะคุณหนูของข้ารีบร้อนใช้เงิน ต่อให้เจ้ามีเงินก็ซื้อไม่ได้”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้าเห็นพ้อง “แม่นางพูดถูกต้อง ข้ามาเมืองหลวงหลายวันแล้ว ไปดูมาหลายที่ ร้านของเจ้าอยู่ในทำเลที่ดีมากจริงๆ แม่นางพูดราคามาเถอะ หากเหมาะสมข้าก็จะซื้อ”


 


 


สาวใช้เห็นเขาพออกพอใจ ดีใจเป็นอย่างมาก “ร้านค้านี้ราคาขั้นต่ำห้าแสนตำลึง แต่ตอนนี้พวกเรารีบร้อนใช้เงิน จึงขายเพียงสามแสนตำลึง”


 


 


เมิ่งฉีขมวดิคิ้ว ทำหน้าลำบากใจพูดว่า “สูงกว่าที่ข้าคาดคิดไว้”


 


 


สาวใช้เริ่มร้อนใจ “ไม่สูงเจ้าค่ะ ไม่สูงแล้วจริงๆ ท่านลองไปถามร้านในละแวกนี้ได้ว่า มีใครยินดีจะขายในราคาสามแสนตำลึงหรือไม่”


 


 


เมิ่งฉีปัดมือ “ข้าไม่ได้บอกว่าร้านค้าของเจ้าราคาสูง ข้าบอกว่าสูงกว่าเงินที่ข้าคำนวณไว้ เดิมข้าคิดจะซื้อหลายร้าน หากร้านเดียวก็ราคาสูงเช่นนี้ ข้าคงไม่มีปัญญาซื้อร้านอื่นแล้ว”


 


 


สาวใช้ดีใจออกหน้าออกตา “คุณชายหมายความว่ายังต้องการซื้อร้านอื่นด้วยหรือเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า “ใช่สิ ข้ามีธุรกิจหลายอย่างที่บ้านเกิด ข้าคิดจะย้ายพวกเขาทั้งหมดมาอยู่ที่นี่”


 


 


“คุณหนูของพวกเรายังมีอีกหลายร้านที่ติดป้ายขาย คุณชายยินดีจะตามข้าไปดูหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้หยั่งเชิงถามด้วยความดีใจ


 


 


เมิ่งฉีได้ฟังก็ยิ้มยินดี “เช่นนั้นก็ดีเลย หากว่าเหมาะสม จะได้เบาแรงข้าไปไม่น้อย เชิญแม่นางนำทางพาข้าไปดูหน่อยเถิด”


 


 


สาวใช้ยิ้มรับคำ หมุนตัวเดินออกมาจากร้าน มุ่งหน้าไปยังถนนอีกสาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งฉีเดินตามสาวใช้เข้าไป แล้วเดินตามนางออกไป รู้ว่าเขาจะไปดูอีกร้านหนึ่ง สั่งการชิงหลวน “เจ้าตามไปคุ้มครองพี่รองข้า ระวังอย่าให้คนอื่นเห็นเข้า”


 


 


ชิงหลวนรับคำ “นายท่านวางใจเถอะ ตอนอยู่จวนอ๋องฉีพวกเราไม่เคยเปิดเผยใบหน้า ต่อให้สาวใช้เห็นก็ไม่รู้จักข้า ข้าตามไปอย่างเปิดเผยก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


ชิงหลวนเร่งฝีเท้า เดินอาดๆ ตามหลังพวกเขาสองคนไป


 


 


ร้านค้าอีกสองสามร้านอยู่ไม่ไกลจากร้านนี้ ไม่นานสาวใช้ก็พาเมิ่งฉีมาถึง คงเพราะตัดสินใจขายกะทันหัน ภายในร้านยังค้าขายตามปกติ


 


 


เมิ่งฉีเดินชมโดยรอบร้านทั้งสองสามร้านนั้น แสดงว่าพึงพอใจมาก พูดว่า “แม่นาง ข้าพึงใจร้านทั้งหมดนี้ เจ้าบอกราคาด้วยความจริงใจมาเถอะ ดูว่าข้าจะซื้อไหวหรือไม่”


 


 


หลายวันมานี้ไม่มีคนเข้ามาซักถามเลย อยู่ๆ ก็มีคนจะซื้อร้านทั้งหมดในคราเดียว สาวใช้ดีใจตัวสั่น พูดขึ้นพลัน “ร้านทั้งหมดรวมแล้วมีราคาสามล้านตำลึง เมื่อคุณชายจะซื้อทั้งหมด ข้าจะกัดฟันขายให้ท่านในราคาพิเศษ คิดเพียงสองล้านแปดแสนตำลึงก็พอ”


 


 


เมิ่งฉีออกอาการตกตะลึงอย่างชัดแจ้ง “แพงเช่นนี้เลยรึ”


 


 


สาวใช้เห็นปฏิกิริยาของเขา หัวใจกระตุกวูบ ลุกลนพูดว่า “คุณชาย ไม่แพงแล้วเจ้าค่ะ ปกติต้องจ่ายมากกว่าห้าล้านตำลึงนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งฉียิ่งให้แสดงอาการลำบากใจ ให้สาวใช้รู้สึกว่าเขาอยากซื้อ แต่ไม่มีเงินมากเช่นนั้น จะไม่ซื้อก็เสียดายร้านค้าที่ดีเช่นนี้


 


 


สาวใช้กัดฟังพูดว่า “ลดราคาให้นายท่านอีกหน่อยก็ได้เจ้าค่ะ สองล้านเจ็ดแสนตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว ตอนที่นายท่านของพวกเราซื้อให้คุณหนูจ่ายเงินไปมากกว่านี้ ทั้งยังเป็นอดีตที่ผ่านมาหลายปีด้วยนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งฉีพูดว่า “ข้ารู้ว่าแม่นางให้ราคาไม่สูง แต่นอกจากซื้อร้านค้าทั้งหมดนี้แล้ว ข้ายังต้องย้ายการค้าทั้งหมดของครอบครัวมาที่นี่ หากจ่ายเงินที่มีไปกับร้านค้าทั้งหมดนี้ เงินที่เหลือของข้าก็คงขาดสภาพคล่อง”


 


 


สาวใช้กัดฟันส่งเสียงลอดไรฟันออกมา “เช่นนั้นคุณชายคิดจะให้เท่าใด”


 


 


เมิ่งฉีพูดทันควัน “สองล้านตำลึง หากให้สองล้านตำลึงข้าจะซื้อไว้ทั้งหมด”


 


 


“เท่าใดนะ” สาวใช้หวีดเสียงสูงถาม


 


 


เมิ่งฉีตกใจ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว


 


 


สาวใช้เค้นเสียงลอดผ่านไรฟัน “คุณชายไม่ได้ล้อข้าเล่นดอกนะ ร้านค้าชั้นดีทั้งหมดนี้ท่านให้ราคาสองล้านตำลึง”


 


 


เมิ่งฉีทำหน้าละอาย “ข้ารู้ว่าให้เจ้าน้อยไปหน่อย แต่ข้าจ่ายมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะไปลองถามที่อื่นดู แม่นางให้คนอื่นมาดูต่อเถอะ” ว่าแล้วก็หันหลังจะเดินจากไป


 


 


“ช้าก่อน!” สาวใช้ร้องห้ามเขา


 


 


เมิ่งฉีหยุดฝีเท้าหันกลับมา


 


 


“อย่างต่ำที่สุดสองล้านหกแสนตำลึง น้อยกว่านี้แม้อีแปะเดียวก็ไม่ได้แล้ว” สาวใช้ขบฟันพูด


 


 


เมิ่งฉีโบกมือ “แม่นางให้คนอื่นมาดูเถอะ ข้าซื้อไม่ไหวจริงๆ”


 


 


ว่าแล้ว ก็เดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับ


 


 


สาวใช้ผลุนผลันยกชายกระโปรงวิ่งออกไปขวางหน้าเขา “ท่านเป็นคนอย่างไรกันแน่ ซื้อของก็ต้องต่อรองราคากัน ท่านจะยื่นคำขาดให้ราคาเดียวได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งฉีประสานมือ พูดอย่างมีมารยาท “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ทำให้แม่นางเสียเวลาแล้ว แต่ข้าให้ได้เพียงสองล้านตำลึงเท่านั้น มากกว่านั้นอีแปะเดียวข้าก็ให้ไม่ได้แล้ว”


 


 


สาวใช้สูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ถึงฝืนสงบสติอารมณ์ลงได้ “ราคาที่ท่านให้น้อยเกินไป ข้าตัดสินใจไม่ได้ ข้าขอกลับไปรายงานคุณหนู ให้นางเป็นคนตัดสินใจ ท่านพักโรงเตี๊ยมใด เมื่อคุณหนูของเราตัดสินใจได้แล้ว ข้าจะให้คนไปแจ้งข่าวท่าน”


 


 


“ข้าอาศัยอยู่บ้านญาติในเมืองหลวง ไม่สะดวกจะบอกที่อยู่ของพวกเขา เอาอย่างนี้เถอะ วันพรุ่งโมงยามนี้ ข้าจะนำตั๋วเงินมาหาแม่นาง หากคุณหนูของพวกเจ้าตกลง ก็นำโฉนดที่ดินมาด้วย จะได้ไปดำเนินการที่ศาลาว่าการ ข้าก็จะได้มอบตั๋วเงินให้เจ้า พวกเราต่างจะได้มีความสุขทั้งสองฝ่าย หากคุณหนูของแม่นางไม่ยินยอม ก็เป็นข้าเองที่ไร้วาสนาต่อร้านค้าเหล่านี้ วันหน้าเมื่อมีเงินพอค่อยว่ากันอีกที” เมิ่งฉีพูด


 


 


สาวใช้พยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ ข้าขอบอกท่านก่อน ท่านจะต้องพูดจริงทำจริง วันพรุ่งจะต้องเข้ามา หากท่านกล้าหลอกข้า ภายหน้าข้าจะทำให้ท่านหากินในเมืองหลวงไม่ได้”


 


 


เมิ่งฉีลนลานพูด “แม่นางพูดไปไหนแล้ว ข้าเป็นพ่อค้าซื่อสัตย์สุจริต การซื้อร้านค้าในราคาถูกเช่นนี้ได้ มีแต่จะดีใจจนสะดุ้งตื่นมานั่งหัวเราะกลางดึกเสียไม่ว่า จะผิดคำพูดได้อย่างไร”


 


 


สาวใช้เชื่อคำพูดเขา นัดเวลากับเขาเสร็จ ก็หันหลังขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ข้างทาง กลับไปรายงานพระชายารองที่จวนอ๋องฉี


 


 


เห็นนางจากไปไกล เมิ่งฉีหันไปผงกศีรษะให้ชิงหลวน จากนั้นกลับมาหาเมิ่งเชี่ยนโยวที่รออยู่บนรถม้า


 


 


เขาเพิ่งจะขึ้นมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามอย่างอดใจรอไม่ไหว “พี่รอง เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ร้านค้าห้าร้าน นอกจากร้านค่อนข้างเล็กที่เจ้าเห็นนี้ ร้านที่เหลือใหญ่โตโอ่อ่านัก ทั้งหมดราคาสองล้านตำลึง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจออกนอกหน้า “พี่รอง นี่ยิ่งกว่าเก็บเงินตกพื้นได้อีกนะ หากเป็นในอดีต ทั้งห้าร้านนี้ต่อให้มีเงินห้าล้านก็ไม่แน่ว่าจะซื้อได้”


 


 


“เจ้าอย่าเพิ่งด่วนดีใจไป นางบอกเพียงต้องกลับไปรายงาน ให้คุณหนูของพวกนางตัดสินใจก่อน จะขายหรือไม่ก็ยังไม่แน่เล่า” เมิ่งฉีพูดปั่นทอนนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปัดมือไม่ใส่ใจ “วางใจเถอะพี่รอง นางจะต้องขาย พวกนางรอเงินไปอุดรูรั่ว ต่อให้ท่านกดราคาลงต่ำกว่านี้ พวกนางก็ต้องขาย ต้องรู้ว่าการจะเจอคนที่ซื้อร้านค้าทั้งหมดนั้นไม่ง่าย ไม่เช่นนั้นร้านค้าเหล่านี้คงไม่ติดป้ายขายมาหลายวันก็ยังไม่มีคนมาถามไถ่เช่นนี้ดอก”


 


 


เมิ่งฉีเห็นนางดีอกดีใจ ราวกับได้ร้านค้ามาครองแล้ว ยกยิ้มส่ายหน้า


 


 


เพิ่งจะออกมาก็ได้ของราคาถูกเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวยินดีปรีดายิ่ง สั่งคนรถให้มุ่งหน้าไปเมืองฝั่งเหนือต่อ จากนั้นพูดว่า “ร้านค้าห้าร้าน พี่ใหญ่หนึ่งร้าน ท่านหนึ่งร้าน ข้าหนึ่งร้าน เมิ่งเจี๋ยหนึ่งร้าน และให้ชิงเอ๋อร์อีกร้านพอดีเลย”


 


 


เมิ่งฉีถลึงตาใส่นาง พูดว่า “เจ้าจะซื้อร้านค้าให้พวกเราทำไม เก็บไว้เป็นเครื่องแต่งงานของเจ้าเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกระเถิบเข้าหาเขา พูดเสียงเบา “วันแรกที่ข้ามาถึงเมืองหลวง อี้เซวียนก็ให้เงินที่เขาเก็บสะสมมาหลายปีนี้ให้ข้าแล้ว มีมากมายหลายสิบล้าน ข้าใช้ไปทั้งชีวิตก็ไม่หมด ข้ายังจะต้องการร้านพวกนั้นไปอีกทำไม”


 


 


“นั่นเป็นเงินของเขา ไม่เกี่ยวกับสกุลเรา ตอนเจ้าจากไปข้าหารือกับพี่ใหญ่แล้ว พอเจ้าแต่งงาน จะซื้อร้านค้าสักสองสามแห่งในเมืองหลวงไว้เป็นเครื่องแต่งงานให้เจ้า ครั้งนี้ได้โอกาสพอดี เจ้าจงสำรองจ่ายเงินซื้อร้านไปก่อน ข้าจะเขียนจดหมายบอกพี่ใหญ่ ให้เขาส่งตั๋วเงินมา ร้านค้าทั้งห้าแห่งนี้ถือว่าเป็นเครื่องแต่งงานที่ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่และข้ามอบให้เจ้า” เมิ่งฉีพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าพวกเขาจะมีความคิดเช่นนี้ ยิ้มพูดว่า “เงินของข้ามีมากโข แค่เงินขายฉั่งฉิกก็ใช้ไม่หมดแล้ว นี่ยังไม่พูดถึงยารักษาแผลเป็นที่ขายให้ร้านยาเต๋อเหริน แต่ละปีก็ได้อีกหลายแสนตำลึง ข้ายังจะเอาร้านค้าไปทำอะไรเล่า แบ่งให้พวกท่านดีแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งฉีกล่าวคำไม่ให้นางโต้แย้งได้อีก “หากเจ้าแต่งงานกับอี้เซวียน เจ้าก็จะเป็นพระชายาซื่อจื่อ หากในมือไม่มีทรัพย์สมบัติจะถูกคนหัวเราะเยาะได้ เชื่อพี่รอง เรื่องนี้ตกลงตามนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีเด็ดเดี่ยวของเขา จำต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปก่อน


 


 


เดินทางมาได้ครึ่งชั่วยามกว่า รถม้าก็มาถึงเมืองฝั่งเหนือ เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนรถไปยังสถานที่ที่เคยมาดูไว้แล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงเปิดม่านรถออก ให้เมิ่งฉีได้ชมบ้านเมืองภายนอก


 


 


เมิ่งฉียื่นศีรษะออกมาดู ความรู้สึกก็คือเมืองฝั่งเหนือนั้นรกร้างเงียบเหงา ไม่คึกคักเหมือนใจกลางเมือง เสียงตะโกนร้องค้าขายก็น้อย อีกทั้งสองฝั่งถนน ก็เต็มไปด้วยชายนั่งหน้าอมทุกข์รองานทำ ด้วยใบหน้าอิดโรยร่างกายซูบผอม ไร้ชีวิตชีวา


 


 


รถม้าเคลื่อนไปได้อีกระยะหนึ่ง สองข้างทางก็มีเด็กจำนวนหนึ่งเสียบดอกหญ้าบนศีรษะ เป็นแหล่งค้าเด็ก คนที่นี่ค่อนข้างหนาตา ส่วนใหญ่แต่งกายร่ำรวย มาเพื่อซื้อหาสาวใช้บริวาร


 


 


เห็นสภาพเช่นนี้ เมิ่งฉีเกิดความรู้สึกอัดแน่นพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ตอนแรกที่มาเมืองฝั่งเหนือเพียงหาซื้อที่ ข้าเห็นสภาพเช่นนี้ก็เจ็บปวดใจ ลงรถเข้าไปซักถามคนที่นำเด็กมาขาย เหตุใดถึงทำใจขายเด็กที่เลี้ยงมาเองกับมือได้ลงคอ”


 


 


พวกเขาต่างทอดถอนใจ คำตอบยิ่งทำให้ข้ายิ่งเจ็บปวดใจ พวกเขาบอกว่า “ที่บ้านยากจน เลี้ยงเด็กมากเช่นนี้ไม่ไหวแล้ว เก็บพวกเขาไว้ก็มีแต่จะต้องอดตาย สู้ขายไปอยู่กับครอบครัวดีๆ ยังพอจะมีทางรอดบ้าง”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็หยุด แล้วพูดต่อว่า “ดังนั้น พี่รอง พวกเขาทำเช่นนี้จึงไม่ใช่ความผิด”


 


 


เมิ่งฉีนิ่งเงียบ


 


 


คนรถวิ่งวนรถมากับเมิ่งเชี่ยนโยวหลายครั้ง รู้สถานที่ที่นางหมายตาไว้ บังคับรถม้ามาถึงยังสถานที่แรกก่อน


 


 


ทั้งสองลงจากรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวชี้เรือนที่ปลูกเป็นแนวตรงหน้าพูดว่า “ว่ากันว่าที่นี่เคยเป็นโรงงานของขุนนางชั้นสูงในอดีต ในตอนนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาขุนนางท่านนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องโทษ โรงงานจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ ข้าเข้าไปดูมาแล้ว ใหญ่กว่าโรงงานของพวกเรามาก บรรจุผู้ใหญ่หลายร้อนคนได้สบาย สิ่งเดียวที่ไม่ดีก็คือ โฉนดที่ดินนี้อยู่ในมือทางการ ข้ากลัวพอพวกเขาเห็นพวกเราเป็นคนต่างถิ่น จะเรียกร้องมูมมามตะกละตะกลาม”


 


 


สิ้นเสียงนาง มีคนเดินผ่านนางไป พลันเดินถอยหลังกลับมาหยุดยืนเบื้องหน้านาง หยั่งเชิงถามขึ้น “แม่นางเมิ่ง” 

 

 


ตอนที่ 60 ปลาบปลื้ม

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองคนตรงหน้า เป็นชายสูงวัยอายุราวห้าสิบกว่าปี แต่งกายดีกว่าคนเมืองฝั่งเหนือ ยิ้มถามด้วยความสงสัย “ท่านคือ…”


 


 


เห็นนางรับคำ ชายสูงวัยพูดทันควัน “แม่นางไม่รู้จักข้าแล้วหรือ ข้าคือพ่อบ้านของใต้เท้าเปาอย่างไร”


 


 


ใต้เท้าเปาที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้จักมีเพียงครอบครัวเปาชิงเหอเท่านั้น ได้ฟังก็ตกใจถาม “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


“แม่นางคงยังไม่รู้ สี่ปีก่อน ใต้เท้าเปาถูกโยกย้ายมาอยู่เมืองหลวง ให้มาประจำการปกครองฝั่งเมืองของเหนือ นับแต่นั้นก็อยู่ที่นี่มาตลอดขอรับ” ชายสูงวัยตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความยินดี “ท่านหมายความว่าใต้เท้าเปา คุณชายเปาและพี่ฮุ่ยเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่ด้วย”


 


 


ชายสูงวัยมองปฏิกิริยาของนาง หัวเราะร่วนตอบว่า “คุณชายตามแม่ทัพฉู่ไปชายแดน นายท่านฮูหยินและฮูหยินน้อยล้วนอยู่ขอรับ”


 


 


“เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก สี่ปีไม่ได้พบหน้า ข้าคิดถึงพวกเขาจะแย่แล้ว ท่านรีบพาพวกเราไปเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างเบิกบานใจ


 


 


ชายสูงวัยพยักหน้า หันหลังกลับอย่างชื่นบาน เดินนำคนทั้งหมดมายังจวนเปา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีเดินตามหลัง


 


 


คนรถจูงรถม้าเดินรั้งท้าย


 


 


ชายสูงวัยเดินไปพูดไปว่า “วันนี้บ่าวที่มีหน้าที่ซื้อผักไม่สบาย ข้าจึงต้องออกมาแทน ไม่คิดว่าจะบังเอิญได้เจอแม่นางเข้า”


 


 


“บังเอิญยิ่งนัก หลายวันก่อนข้าเข้ามาที่นี่ตั้งหลายวัน กลับไม่เห็นพวกท่านเลย วันนี้เพราะมีเรื่องให้ล่าช้าระหว่างทาง จึงเพิ่งเข้ามาถึง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


พ่อบ้านได้ฟังก็ยิ้มถาม “แม่นางเข้ามาเมืองหลวงเมื่อใด เหตุใดถึงคิดมาเดินเล่นเมืองฝั่งเหนือเช่นนี้”


 


 


“ข้าเข้ามาเมืองหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว ที่มาในวันนี้เป็นเพราะหลายวันก่อนหมายตาโรงงานทิ้งร้างแห่งหนึ่งไว้ คิดจะซื้อไว้ทำประโยชน์อีกครั้ง เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดกับพี่รองว่า กลัวคนของทางการพอได้ยินสำเนียงรู้ว่าเป็นคนต่างถิ่น ก็จะเรียกราคาสูง ครานี้ดีแล้ว เมื่อใต้เท้าเปาเป็นผู้ปกครองเมืองฝั่งเหนือ จะต้องให้ราคาถูกลงกับข้า”


 


 


พ่อบ้านหัวเราะร่า “แม่นางพูดถูกต้องแล้ว นายท่านจักต้องช่วยท่านแน่นอน”


 


 


พูดคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงจวนเปา พ่อบ้านสั่งคนเฝ้าประตู “รีบไปรายงานฮูหยินและฮูหยินน้อย บอกว่ามีแขกคนสำคัญมา”


 


 


คนเฝ้าประตูได้ฟัง ก็วิ่งแนบเข้าไปทันที


 


 


พ่อบ้านพาคนทั้งหมดเดินเข้ามา


 


 


ฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยกำลังนั่งอาบแสงแดดอุ่น มองดูเด็กเล่นซุกซนอยู่ในลานเรือน ได้ยินคำรายงานจากคนเฝ้าประตู ยังให้คลางแคลงใจ นับตั้งแต่ที่พวกเขาย้ายมาอยู่เมืองหลวง ก็ไม่เคยมีใครมาหา เหตุใดวันนี้ถึงมีแขกสำคัญได้ ทว่าก็ลุกขึ้นเดินออกมาต้อนรับ


 


 


พ่อบ้านพาคนทั้งหมดเดินเกือบจะมาถึงเรือนฮูหยินเปาแล้ว พอเห็นพวกเขาแม่สามีลูกสะใภ้เดินออกมา ก็ร้องพูดด้วยความยินดี “ฮูหยิน ฮูหยินน้อย พวกท่านดูเถิดว่าใครมา” ว่าแล้วก็เบี่ยงตัวหลบ เผยให้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่เบื้องหลัง


 


 


“น้องโยวเอ๋อร์!” ซุนฮุ่ยร้องเรียกด้วยความดีใจ ทั้งวิ่งเข้าไปกอดนางแน่น “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


ฮูหยินเปาก็ให้ดีใจมาก เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป “แม่นางเมิ่ง เจ้าทำพวกเราประหลาดใจยิ่งนัก ต่อให้พวกเราหลับฝันก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่เมืองหลวงเช่นนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายฮูหยินเปาอย่างอ่อนโยนสุภาพ แล้วพูดว่า “ข้าเข้ามาเมืองหลวงได้ระยะหนึ่งแล้ว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกท่านก็อยู่ที่นี่ วันนี้มีธุระเข้ามา บังเอิญเจอพ่อบ้าน เขาจำข้าได้ เข้ามาทักข้า ข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้พวกท่านอยู่กันที่เมืองฝั่งเหนือ”


 


 


ซุนฮุ่ยคล้องแขนนางอย่างสนิทสนม พูดว่า “ในตอนนั้นกงกงมีคำสั่งย้ายด่วน พวกเราไม่ทันได้ส่งข่าวบอกเจ้าก็เข้ามาอยู่เมืองหลวงแล้ว สี่ปีมานี้คิดมาตลอดว่า หากได้กลับไปจะไปหาเจ้า แต่หลังจากมาถึง อีฝานก็ต้องตามแม่ทัพฉู่ไปชายแดน ในบ้านไม่มีคนดูแลท่านพ่อสามีแม่สามี หลายปีมานี้แม้แต่บ้านแม่ข้าก็ไม่ได้กลับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปหาเจ้า ครานี้ดีนัก เจ้ามาเมืองหลวงแล้ว ต่อไปพวกเราจะได้พบหน้ากันบ่อยๆ แล้ว”


 


 


ฮูหยินเปาก็ยกยิ้มหน้าบาน “ฮุ่ยเอ๋อร์พูดถูกต้อง ต่อไปพวกเราจะได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว”


 


 


คนทั้งหมดกำลังหัวเราะยินดี เด็กน้อยผิวขาวละออวิ่งออกจากลานเรือนร้องเรียก “ท่านแม่”


 


 


ซุนฮุ่ยกวักมือให้เด็กน้อย


 


 


เด็กน้อยวิ่งเข้ามาตรงหน้านางอย่างเชื่อฟัง เบิกดวงตากลมโตมองนางอย่างใคร่รู้


 


 


“นี่คือม่อเอ๋อร์” ซุนฮุ่ยแนะนำ แล้วหันไปพูดกับเด็กน้อย “ม่อเอ๋อร์ เรียกท่านอาสิ”


 


 


ม่อเอ๋อร์ก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า เปล่งเสียงใสกังวาน “ท่านอา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขานรับ ย่อตัวลง อุ้มเด็กน้อยขึ้น


 


 


เด็กน้อยยังคงจับจ้องนางอย่างประหลาดใจอยู่ในอ้อมกอดนาง


 


 


ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “ตั้งแต่พวกเรามาอยู่เมืองหลวง ก็ไม่เคยมีแขกเหรื่อมาหา เขาคงจะประหลาดใจเป็นอย่างมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงหวานกับเด็กน้อย “อาไม่รู้ว่าวันนี้จะได้เจอม่อเอ๋อร์ ไม่ได้เตรียมของขวัญไว้ เอาไว้ครั้งหน้า อาจะนำมาให้เจ้านะ”


 


 


“ขอบคุณท่านอา” เด็กน้อยเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้เอ็นดูเขา


 


 


ฮูหยินเปาบอกเด็กน้อย “ม่อเอ๋อร์ลงมาเถอะ ให้ท่านอาเข้าไปนั่งในเรือน”


 


 


เด็กน้อยรับคำ ดิ้นรนลงมาจากอ้อมอกเมิ่งเชี่ยนโยว วิ่งไปข้างฮูหยินเปา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงแนะนำกับทั้งสองคน “นี่คือพี่รองข้า เมิ่งฉี”


 


 


เมิ่งฉีแสดงความเคารพฮูหยินเปา “คารวะฮูหยิน”


 


 


ฮูหยินเปาพูดว่า “คุณชายเมิ่งไม่ต้องมากพิธี”


 


 


เมิ่งฉีและซุนฮุ่ยแสดงความเคารพกันและกัน


 


 


ฮูหยินเปาสั่งสาวใช้ “เจ้าไปตามนายท่านกลับมา บอกว่าแม่นางเมิ่งและพี่รองนางมา ให้เขากลับมารับรองแขก”


 


 


สาวใช้รับคำเดินออกไป


 


 


ฮูหยินเปาสั่งการพ่อบ้านต่อ “เจ้าพาคุณชายรองไปนั่งที่ห้องรับแขกสักครู่ ไม่นานนายท่านก็กลับมา”


 


 


พ่อบ้านรับคำ ผายมือเชิญเมิ่งฉี “คุณชายเมิ่ง เชิญขอรับ”


 


 


เมิ่งฉีรู้ว่าพวกนางเพิ่งได้พบกันอีกครั้ง จะต้องมีเรื่องให้ถามไถ่มากมาย พยักหน้า เดินตามพ่อบ้านไปยังห้องรับแขก


 


 


ซุนฮุ่ยคล้องแขนเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรักใคร่อีกครั้ง “ไปเถอะ พวกเราเข้าไปคุยในห้อง ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้ามากโขเทียว”


 


 


ฮูหยินเปาก็พูดว่า “ใช่ๆๆ รีบเข้าไปในห้อง หาที่นั่งคุยกันให้สบายเถอะ” ว่าแล้ว ก็พาม่อเอ๋อร์เดินมุ่งหน้าไปที่ห้องก่อน


 


 


ซุนฮุ่ยและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินคล้อยหลังไป


 


 


คนทั้งหมดเข้ามาในห้อง ฮูหยินเปาสั่งสาวใช้ไปชงชาเข้ามา ถึงหันมายิ้มถาม “หลายปีมานี้ แม่นางเมิ่งและครอบครัวสุขสบายดีหรือ”


 


 


“ขอบพระคุณในความห่วงใยของฮูหยินเจ้าค่ะ ทุกคนในครอบครัวสุขสบายดี สำหรับข้า ฮูหยินก็เห็นเองแล้ว สบายดีมากเจ้าค่ะ”


 


 


ในตอนนั้นหลังจากฮูหยินเปารู้ว่าเด็กที่สกุลเมิ่งเก็บมาเลี้ยงก็คือซื่อจื่ออ๋องฉี ก็ให้ตกอกตกใจ นึกว่าอ๋องฉีจะตกรางวัลพวกเขา ไม่คิดว่าเปาชิงเหอจะบอกนางเรื่องที่ทำให้นางต้องตกใจจนเข่าแทบทรุด ซื่อจื่ออ๋องฉีกลับประกาศต่อหน้าคนมากมายว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็คือว่าที่พระชายาซื่อจื่อในอนาคตของเขา ฮูหยินเปาทั้งตื่นตกใจและตื่นกังวล พูดไม่ออกไปสักพักใหญ่ ตกใจที่ซื่อจื่ออ๋องฉีอายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักวางแผนการ กระทำเรื่องทำลายชื่อเสียงเมิ่งเชี่ยนโยว ที่กังวลก็เพราะสองครอบครัวมีสถานะต่างกันราวฟ้ากับเหว เกรงว่าการแต่งงานนี้จะไม่สำเร็จได้โดยง่าย เป็นดังคาด อยู่เมืองหลวงมาหลายปี แม้นางจะคอยถามไถ่ แต่ก็ไม่เคยได้ยินข่าวที่เกี่ยวกับการแต่งงานของซื่อจื่อเลย นางกำลังกลัดกลุ้มใจ ตอนนี้ได้เจอเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ย่อมต้องซักถามเรื่องการแต่งงานของนาง ได้ยินคำตอบนาง ก็ยิ้มพูดว่า “เจ้าอย่าเฉไฉเลย เจ้าก็รู้ว่าข้าถามเรื่องอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมรู้แก่ใจดี ด้วยเพราะฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยเป็นห่วงตนเอง ไม่อาจหนีคำถามนี้พ้นได้ จึงยิ้มตอบกลับ “ไม่ขอปิดบังฮูหยินเปาและพี่ฮุ่ยเอ๋อร์ ข้ามาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เพื่อบีบการแต่งงาน”


 


 


ฮูหยินเปาตกตะลึง ร้องถามพลัน “บีบการแต่งงาน บีบใครแต่งงาน”


 


 


“ก็การแต่งงานของข้ากับอี้เซวียนอย่างไรเล่า ข้าอายุสิบแปดปีแล้ว อี้เซวียนกลับไม่ส่งข่าวมาสักที ท่านพ่อท่านแม่ต่างกลัดกลุ้มใจ ข้าจึงตัดสินใจ เข้ามาบีบจวนอ๋องฉีให้จัดงานแต่งงาน”


 


 


ฮูหยินเปาถลึงตาโต มองนางอย่างตะลึงค้างครู่หนึ่ง “เจ้านี่ช่าง…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยี “ฮูหยินไม่เคยเห็นสตรีที่กล้ามาบีบให้แต่งงานถึงบ้านเช่นข้าใช่ไหมเจ้าคะ”


 


 


ซุนฮุ่ยได้ฟังเบิ่งตาโตถาม “หลายวันก่อนมีข่าวลือโหมสะพัดไปทั่วเมืองหลวงเกี่ยวกับซื่อจื่ออ๋องฉีและสตรีชนบทนางหนึ่ง อย่าบอกว่าเป็นเจ้าดอกนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปยักคิ้วหลิ่วตา ไม่ตอบแต่ถามกลับแทน “ท่านว่าอย่างไรเล่า พี่ฮุ่ยเอ๋อร์”


 


 


ซุนฮุ่ยก็ให้ตะลึงงันพูดไม่ออก นั่งนิ่งมองนางครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา “สวรรค์ รู้หรือไม่ว่าเจ้าได้สร้างเรื่องเป็นที่โจษจันไปทั่วแล้ว หลายวันก่อนเดินไปตามท้องถนน มีแต่เสียงวิพากษ์เกี่ยวกับเจ้าไปทั่ว คนสมองทึบอย่างข้า ในตอนนั้นยังให้เลื่อมใสสตรีนางนี้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเจ้า ไม่เช่นนั้นข้าคงให้คนไปสืบถามว่าเจ้าพักอยู่ที่ไหนแล้ว” สิ้นเสียงก็ถามขึ้น “เจ้ามีที่พักหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็มาพักกับพวกเราที่จวนเถอะ”


 


 


“ข้าซื้อเรือนไว้ทางฝั่งใต้ของเมือง ตอนนี้อาศัยอยู่ที่นั่น ข้าไม่รบกวนพวกท่านดีกว่า” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


สกุลเปาย้ายเข้ามาเมืองหลวงสี่ปี ย่อมรู้ว่าฝั่งใต้ดีกว่าเมืองฝั่งเหนือ ซุนฮุ่ยจึงไม่ดื้อดึงอีก ถามต่อว่า “เช่นนั้นเหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาเมืองฝั่งเหนือได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่ตนเองจะหาสถานที่เปิดโรงงานที่เมืองฝั่งเหนือ


 


 


ฮูหยินได้ฟังก็ให้ยินดี “เรื่องนี้ไม่ยาก เจ้าพึงใจที่ใด ประเดี๋ยวจงบอกใต้เท้าเปา ให้เขาดำเนินการให้เจ้า เจ้าสามารถเริ่มงานได้ทันที”


 


 


“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ข้าหมายตาโรงงานร้างแห่งหนึ่งไว้ ครั้นพอรู้ว่าอยู่ในครอบครองของทางการ ยังลังเลว่าจะซื้อดีหรือไม่”


 


 


ฮูหยินเปาซักถามถึงที่ตั้งโรงงาน อยู่ไม่ห่างจากจวนของตนเอง ก็ยิ่งให้ยินดี พูดว่าหลังจากเปิดโรงงาน ให้เมิ่งเชี่ยนโยวมากินข้าวที่บ้านตนเองได้ทุกวัน


 


 


คนทั้งหมดพูดคุยสรวลเสเฮฮา เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “ในตอนนั้นข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้รับรู้ข่าวสาร กระทั่งได้รู้ว่าครอบครัวพวกท่านย้ายเข้ามาเมืองหลวง เวลาก็ผ่านมานานแล้ว ทำเอาข้าเสียใจไปหลายวัน ภายหลังข้าถามคุณชายเซี่ยถึงที่อยู่ของพวกท่าน เขาบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ พูดเพียงว่าเมื่อคุณชายเปาลงหลักปักฐานได้แล้วจะเขียนจดหมายมาบอกเอง ไม่คิดว่าสี่ปีมานี้กลับไม่มีข่าวคราวจากพวกท่านเลย”


 


 


ฮูหยินเปายิ้มอธิบาย “ใต้เท้าเปามีผลงานดี เดิมควรจะได้ย้ายออกจากอำเภอชิงเหอนานแล้ว แต่เพื่อช่วยแม่ทัพฉู่ตามหาซื่อจื่ออ๋องฉีถึงอยู่ที่อำเภอชิงเหอต่อ ภายหลังตามหาซื่อจื่อพบ พวกเรานึกว่าต้องรอถึงวาระการแต่งตั้งถึงจะถูกโยกย้าย แต่ไม่รู้ว่าแม่ทัพฉู่ใช้วิธีอะไร เขากลับเมืองหลวงมาไม่ถึงห้าวัน เบื้องบนก็มีคำสั่งโยกย้ายใต้เท้าเปา ให้ใต้เท้าเปาเข้ามารับตำแหน่งในเมืองหลวงภายในสามวัน พวกเราเพียงเก็บข้าวของสำคัญ รีบร้อนเดินทางทันที จึงไม่ทันได้บอกลาญาติสนิทมิตรสหายสักคน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างกังขา “ใต้เท้าเปาอยู่อำเภอชิงเหอมาหลายปี สร้างผลงานไม่น้อย ทั้งมีคุณความชอบช่วยแม่ทัพฉู่ เหตุใดถึงถูกส่งให้มาปกครองเมืองฝั่งเหนือเล่า”


 


 


ฮูหยินเปายิ้มตอบ “ตอนที่อยู่ตำบลชิงซี แม่ทัพฉู่ถามใต้เท้าเปาแล้ว ว่าต้องการงานที่กินเล็กกินน้อยได้หรืองานสบาย ใต้เท้าเปาตอบว่างานสบาย หลังจากแม่ทัพฉู่กลับมาเมืองหลวง พอดีกับที่ขุนนางที่ปกครองเมืองฝั่งเหนือกระทำความผิดถูกกรมขุนนางตรวจพบเข้า แม่ทัพฉู่จึงใช้โอกาสนี้เสนอตัวเขา ใต้เท้าเปาฐานะต่ำต้อย ไม่มีพรรคพวกในราชสำนัก ซ้ำยังเป็นคนของแม่ทัพฉู่ หากทำการกินนอกกินใน จะถูกคนจับจ้องได้ ไม่ช้าจะต้องถูกพวกเขาพบข้อผิดพลาด ที่สำคัญที่สุดก็คือเพราะช่วยแม่ทัพฉู่ตามหาคนล่วงเกินพระชายารองและมหาเสนาบดี ดังนั้นเพื่อหลบลี้ภัยอันตราย การปกครองเมืองฝั่งเหนือจึงดีที่สุด แม้เมืองฝั่งเหนือจะแร้นแค้นกว่าฝั่งตะวันออกและฝั่งใต้ไปบ้าง แต่บ้านเมืองเรียบง่าย ผู้คนก็ดีปกครองไม่ยาก ไม่มีเรื่องมั่วสุมยุ่งเหยิง และไม่ต้องใช้เล่ห์เพทุบายหลอกล่อใคร แต่ละวันผ่านไปอย่างเบาสบาย พวกเราเองก็มีชีวิตที่สุขสำราญมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า พูดว่า “เป็นอย่างนี้เอง ข้ายังนึกว่าหลังจากแม่ทัพฉู่จากไปใต้เท้าเปาก็ถูกคนกีดกันจนต้องมาอยู่เมืองฝั่งเหนือ”


 


 


ฮูหยินเปายิ้มพูด “แม่ทัพฉู่คิดแทนพวกเราอย่างถี่ถ้วน ไม่เพียงจัดแจงตำแหน่งให้ใต้เท้าเปา ยังให้ฝานเอ๋อร์ตามเขาไปชายแดน หลายวันก่อนฝานเอ๋อร์ส่งจดหมายมาบอกว่า ชายแดนสงบดีแล้ว ไม่แน่ว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะได้กลับเมืองหลวง”


 


 


“เช่นนั้นก็ดีมากจริงๆ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยความปลาบปลื้มใจ “อีกไม่นานพวกท่านก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว”


 


 


ฮูหยินเปายิ้มพยักหน้า “นั่นสิ สี่ปีแล้ว ในที่สุดฝานเอ๋อร์ก็จะกลับมาเสียที ลูกคนนี้ตั้งแต่เกิดไม่เคยห่างกายข้า ปีแรกที่เขาจากไป ข้าไม่เคยข่มตาหลับได้เลยสักคืน กลัวเขาจะเป็นอะไรกลางสนามรบ หลายปีต่อมา จากจดหมายที่เขาส่งมา บอกว่าเขาปรับตัวกับชีวิตในกองทัพได้แล้ว ทั้งทำคุณความชอบหลายครั้ง จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพ ข้าดีใจเป็นอย่างมาก ถึงหลับได้สนิทขึ้น หวังว่าครั้งนี้แม่ทัพฉู่จะทำพวกเขาเข็ดขยาด ไม่กล้ามาหาเรื่องก่อกวน ฝานเอ๋อร์ก็จะได้ไม่ต้องจากพวกเราไปอีก”


 


 


พูดจบก็มองไปที่ซุนฮุ่ย “หลายปีมานี้ก็ลำบากฮุ่ยเอ๋อร์แล้ว”


 


 


“ท่านแม่!” ซุนฮุ่ยเปล่งน้ำเสียงกระเง้ากระงอด แสดงท่าทีเยี่ยงลูกสาวในไส้ “มีท่านและท่านพ่อสามีรักเอ็นดูข้า ฮุ่ยเอ๋อร์ไม่ลำบากสักนิด อีกอย่าง อีฝานก็กำลังจะกลับมาแล้ว พวกเราครอบครัวไม่นานก็จะได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินเปาแย้มยิ้มพยักหน้า “นั่นสินะ ไม่นานก็จะได้อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว”


 


 


ซุนฮุ่ยกลัวจะสะกิดต่อมเศร้าของฮูหยินเปา รีบเปลี่ยนเรื่องพูด หันไปถามเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องโยวเอ๋อร์ ไม่นานมานี้เมืองหลวงมีร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งชื่อดังเพิ่มขึ้นอีกร้าน เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเป็นคนเปิดเอง ครั้งนี้ก็เพื่อเปิดโรงงานทำเส้นแป้งมันฝรั่งถึงได้มาหาสถานที่ดีๆ ทางเมืองฝั่งเหนือ”


 


 


“น้องโยวเอ๋อร์ช่างมีความสามารถนัก ไปอยู่ที่ไหนก็โดดเด่น ร้านก๋วยเตี๋ยวของเจ้า เป็นที่โจษจันในเมืองหลวงไม่น้อย ไม่ยินว่าเหล่าเศรษฐีมีเงินต่างตั้งใจเพื่อมากินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งสักชาม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวพวกเขาจะเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงานของหวงฝู่อี้เซวียนและหลินหานเยียน รีบพูดขึ้นว่า “เพราะเป็นร้านแห่งแรก ผู้คนต่างรู้สึกแปลกใหม่ อยากลองลิ้มชิมรส พอเวลาผ่านไป ก็คงจะไม่เลื่องลือเช่นนี้แล้ว”


 


 


ซุนฮุ่ยส่ายหน้า “อีฝานเคยพูดกับข้าว่า เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นคนทำการค้า ขอเพียงเป็นการค้าในมือเจ้า ไม่มีทางไม่โด่งดังรุ่งเรือง ข้าคิดว่า ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ร้านก๋วยเตี๋ยวของเจ้าก็ยังจะขายดิบขายดีเช่นนี้”


 


 


“เช่นนั้นก็ขอให้สมพรปากพี่ฮุ่ยเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด


 


 


ฮูหยินเปาก็พยักหน้าเห็นพ้อง พูดว่านางทำการค้าเก่ง


 


 


ทั้งสามคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ม่อเอ๋อร์ก็ไม่ร้องงอแง เอาแต่ถลึงดวงตาโตสุกสกาวจับจ้องนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้ถูกใจ กำลังจะแหย่เย้าเขา พ่อบ้านก็เข้ามารายงาน “ฮูหยิน นายท่านกลับมาแล้วขอรับ พอได้ยินว่าแม่นางเมิ่งและคุณชายเมิ่งจะเปิดโรงงานที่เมืองฝั่งเหนือก็ให้ปีติยินดี บอกให้แม่นางเมิ่งไปพบเขาเพื่อหารือเรื่องนี้ก่อน”


 


 


“รู้แล้ว กลับไปรายงานนายท่านว่าแม่นางเมิ่งจะเข้าไปเดี๋ยวนี้” ฮูหยินเปาตอบกลับ


 


 


พ่อบ้านรับคำ เดินออกไป


 


 


ฮูหยินเปาพูดว่า “ใต้เท้าเปาปกครองเมืองฝั่งเหนือมาหลายปี ปวดหัวกับความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของผู้คนที่นี่เป็นที่สุด แทบจะทุกครัวเรือนที่ต้องนำลูกหลานออกขาย ใต้เท้าเปาคิดหาหนทางแก้มากมาย แต่ก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ตอนนี้ได้ยินว่าเจ้าจะมาเปิดโรงงานที่นี่ ถึงได้ดีใจยกใหญ่ รีบร้อนเรียกเจ้าไปพบโดยด่วนเช่นนี้”


 


 


ว่าแล้วก็ลุกขึ้น พูดกับซุนฮุ่ย “ฮุ่ยเอ่อร์ เจ้าพาแม่นางเมิ่งไปห้องรับแขกแล้วกลับมา พวกเรามาเตรียมอาหารเที่ยงไว้ให้แม่นางเมิ่งกัน”


 


 


ซุนฮุ่ยรับคำ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่บอกปฏิเสธ ลุกขึ้นยืน หลังจากกล่าวของคุณฮูหยินเปา ก็เดินตามซุนฮุ่ยมายังห้องรับแขก


 


 


ยังไม่ทันเข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะสำราญใจของเปาชิงเหอดังลอยออกมา “หากพวกเจ้าต้องการคนงานจำนวนมากเช่นนั้นจริง เท่ากับช่วยข้าได้มากโขเทียว” 

 

 


ตอนที่ 61 ขายในราคาต่ำ

 

พ่อบ้านยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เห็นทั้งสองเดินเข้ามา กล่าวอย่างนอบน้อม “นายท่าน แม่นางเมิ่งมาแล้วขอรับ”


 


 


“รีบเชิญนางเข้ามา” น้ำเสียงเบิกบานยินดีของเปาชิงเหอดังลอยออกมา


 


 


ซุนฮุ่ยปล่อยมือที่คล้องแขนเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะกลับไปทำอาหาร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขก กำลังจะทำความเคารพเปาชิงเหอ


 


 


เปาชิงเหอกลับลุกขึ้น เข้ามาประคองรับ ยกยิ้มพูดด้วยใบหน้าชื่นบาน “แม่นางเมิ่งไยต้องเกรงใจเล่า เชิญนั่งเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเมิ่งฉี มองประเมินเปาชิงเหอแวบหนึ่ง เห็นเขากระปรี้กระเปร่ากว่าเมื่อสี่ปีก่อนมาก ยกยิ้มพูดว่า “ดูท่าความเป็นอยู่และอาหารการกินของเมืองหลวงจะดีต่อสุขภาพท่านมากนะเจ้าคะ ใต้เท้าเปาดูอ่อนเยาว์ลงกว่าเมื่อสี่ปีก่อนอีกเจ้าค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอหัวเราะร่วน “ไม่เจอกันสี่ปี แม่นางเมิ่งพูดเก่งขึ้นไม่น้อยเทียว ไม่ใช่ความเป็นอยู่ในเมืองหลวงที่ดีต่อร่างกายข้าดอก แต่เพราะงานที่แม่ทัพฉู่จัดแจงให้ข้าเบาสบายเกินไป แต่ละวันไม่มีเรื่องให้ต้องกลัดกลุ้มกังวล ทำงานอย่างสบายอกสบายใจ จึงทำให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นพ้อง “แม่ทัพฉู่จัดเตรียมงานให้ท่านได้ดียิ่ง รอบคอบถี่ถ้วนเป็นอย่างมาก”


 


 


“ทว่า ชีวิตของผู้คนเมืองฝั่งเหนือก็ยังคงแร้นแค้น ข้าไม่สบายใจมาตลอด เมื่อครู่ได้ยินคุณชายเมิ่งบอกว่าพวกเจ้าจะมาเปิดโรงงานที่เมืองฝั่งเหนือ ก็ดีใจมาก จะได้แก้ปัญหาความเป็นอยู่ของผู้คนไปได้ส่วนหนึ่ง พวกเจ้าพูดมาเถอะ ต้องการให้ข้าทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขใด ขอเพียงข้าทำได้ ข้าจะสนับสนุนพวกเจ้าเต็มที่” เปาชิงเหอพูดอย่างเบิกบานใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ้อมค้อม พูดตามตรงว่า “พวกเราหมายตาโรงงานร้างแห่งหนึ่งไม่ไกลจากจวนของท่าน พวกเราเข้าไปสำรวจภายในแล้ว พบว่าสถานที่ใหญ่โต สอดคล้องความต้องการใช้ทำเป็นโรงงานของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงอยากซื้อเปิดเป็นโรงงานอีกครั้ง”


 


 


เปาชิงเหอขบคิด พลันพูดว่า “เจ้าหมายถึงโรงงานร้างของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกตรวจสอบวินัยแห่งนั้นนั่นเอง เรื่องนี้ไม่ยาก ข้าจะให้คนไปจัดการโอนโฉนดให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ยิ้มพูด “ใต้เท้าเปา ท่านทำข้าตกใจแล้ว นี่ท่านจะให้เปล่าโรงงานนั้นแก่พวกเราหรือ”


 


 


เปาชิงเหอชะงักอึ้ง แล้วหัวเราะร่วน “ข้าใจร้อนไปหน่อย ลืมบอกราคาค่างวดกับพวกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ


 


 


เปาชิงเหอพูดว่า “โรงงานร้างแห่งนี้มีคดีติดอยู่ในทางการ จะให้เปล่าแก่พวกเจ้าไม่ได้ แต่มีข้าอยู่ ข้าสามารถเรียกรับเงินในราคาต่ำจากพวกเจ้าได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าทราบ วันก่อนข้าเพียงได้เดินดูภายนอกคร่าวๆ วันนี้พวกเราอยากขอเข้าไปดูสภาพภายใน ให้พวกเราได้วางแผนโดยประมาณในใจก่อน”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้า “ไม่ยากเลย ข้าจะสั่งคนไปเอากุญแจ แล้วตามไปพร้อมกับพวกเจ้า”


 


 


ว่าแล้วก็สั่งการออกไปด้านนอก “พ่อบ้าน สั่งบ่าวที่ว่องไวออกไปศาลาว่าการ บอกว่าข้าให้เขามาเอากุญแจโรงงานเศรษฐี เมื่อได้มาแล้วให้ตรงมาที่หน้าโรงงานทันที”


 


 


พ่อบ้านรับคำ ออกไปสั่งบ่าวอีกทอด


 


 


เปาชิงเหอลุกขึ้น “ไปเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีลุกขึ้น เดินตามเขาออกไป


 


 


ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาเห็นเปาชิงเหอแต่งกายชุดขุนนางเต็มยศ เดินนำคนสองคนไปตามทาง ให้นึกประหลาดใจ ต่างเหลียวหลังมองเป็นตาเดียว


 


 


เปาชิงเหอก็ไม่ได้สนใจ พาทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าประตูโรงงาน


 


 


บ่าวถือกุญแจวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพอดี


 


 


เปาชิงเหอส่งสายตาให้เขาเปิดประตู


 


 


บ่าวเดินขึ้นหน้า เปิดประตูใหญ่ออก


 


 


ทั้งสามเดินเข้าไป


 


 


เหล่าชายฉกรรจ์ที่นั่งรองานสองฝั่งถนนเห็นประตูโรงงานถูกเปิดออก ดวงตาเปล่งประกายวิบวับ ต่างวิ่งกรูเข้ามาโดยไม่นัดหมาย ยืนออหน้าประตูชะเง้อมองเข้าไปในโรงงาน


 


 


โรงงานแห่งนี้ใหญ่โตมาก ใหญ่กว่าโรงงานที่ตนเองสร้างหลายเท่าตัว อีกทั้งตัวอาคารล้วนใช้อิฐแดงสร้าง ต่อให้ไม่ได้ใช้งานนาน แต่ละตัวอาคารก็ไม่ผุพัง มีเพียงหลังคาที่รั่วชำรุดไปบ้าง ซ่อมแซมเล็กน้อยก็ใช้การได้แล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนับคำนวณ มีโรงงานเดี่ยวแยกกันทั้งหมดสิบแปดอาคาร หากตนเองย้ายโรงงานที่บ้านมาก็ยังมีที่ว่างเหลือเฟือ


 


 


เมิ่งฉีสำรวจโดยรอบ ก็ให้พอใจเป็นอย่างมาก มีสถานที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมเข้าดำเนินการ ทำให้ประหยัดเวลาและคนงานไปได้มาก


 


 


หลังการสำรวจ เมิ่งเชี่ยนโยวพอเข้าใจสภาพโดยรวมของโรงงานแล้ว หันไปถามเปาชิงเหอ “ใต้เท้าเปา ไม่ทราบว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงจะซื้อโรงงานแห่งนี้ได้”


 


 


เปาชิงเหอเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา รู้ว่าพวกเขาถูกใจสถานที่แห่งนี้ ทั้งตนเองก็มีตัวเลขในใจแล้ว ได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวถาม ก็ตอบกลับทันที “หนึ่งหมื่นตำลึง เป็นอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโพลง เป็นครั้งแรกที่ร้องลั่นอย่างเสียอาการ “ท่านว่ากระไรนะ”


 


 


เปาชิงเหอตกใจสะดุ้ง ขมวดคิ้วถาม “ราคานี้สูงเกินไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียอาการไป ลนลานโบกมือ “ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ ใต้เท้าเปาไม่ได้ล้อข้าเล่นดอกนะ โรงงานใหญ่โตเช่นนี้ท่านจะคิดข้าเพียงหนึ่งหมื่นตำลึง”


 


 


พอได้ยินว่านางไม่ได้คิดว่าแพง เปาชิงเหอก็เบาใจลง พูดอย่างเบิกบาน “หาได้ล้อเล่นไม่ หนึ่งหมื่นตำลึงจริงๆ”


 


 


“จะเป็นไปได้อย่างไร ต่อให้ราคาสิ่งปลูกสร้างเมืองฝั่งเหนือจะถูกเพียงไร ก็ไม่มีทางจะเป็นราคานี้ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


“กับคนอื่นไม่เหมือนกัน สำหรับแม่นางแล้ว ข้ายังพอมีอำนาจคิดราคาอาคารในราคาต่ำให้เจ้าได้ อีกทั้ง หลังจากเจ้าเปิดโรงงาน จะรับสมัครคนงานจำนวนมาก ช่วยข้าแก้ปัญหาปากท้องคนได้ส่วนหนึ่ง ทำให้เมืองฝั่งเหนือสงบน่าอยู่มากขึ้น” เปาชิงเหอพูด


 


 


“แต่ว่า ใต้เท้าเปาให้ราคาต่ำเช่นนี้ จะมีคนกล่าวหาว่าท่านปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ให้คนอื่นจับผิดท่าน ทำเรื่องร้องเรียนรายงาน ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นความผิดมหันต์ที่ข้าได้กระทำต่อท่าน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างเป็นห่วง


 


 


เปาชิงเหอส่ายหน้า “แม่นางเมิ่งวางใจเถอะ เมืองฝั่งเหนือเป็นพื้นที่ยากแค้น ไม่มีเงินทองให้หาประโยชน์ พวกขุนนางไม่มีใครอยากมาอยู่ กรมขุนนางรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงไม่สืบความเรื่องนี้ อีกทั้งข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าเปล่า ข้าได้เก็บเงินตามความเหมาะสมแล้ว” เปาชิงเหอตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปสบตาเมิ่งฉี ต่างเห็นความปลาบปลื้มยินดีในแววตากันและกัน


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดทันควัน “เมื่อใต้เท้าเปากล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจอีก ข้าตัดสินใจซื้อโรงงานนี้เจ้าค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอผงกศีรษะ “ข้าจะให้คนไปดำเนินเรื่องโอนโฉนด ไม่ทราบว่าจะให้เขียนเป็นชื่อใคร”


 


 


“ชื่อพี่รองข้า”


 


 


“ชื่อน้องสาว”


 


 


เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นพร้อมกัน


 


 


เปาชิงเหอมองพวกเขาอย่างประหลาดใจ


 


 


เมิ่งฉีพูดว่า “เขียนชื่อน้องสาวขอรับ ภายหน้าจะให้เป็นเครื่องแต่งงานของนาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พี่รอง พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ โรงงานเป็นของท่านและพี่ใหญ่ ร้านก๋วยเตี๋ยวและฉั่งฉิกเป็นของข้า ตอนนี้ท่านจะให้โรงงานข้ามาอีกทำไม”


 


 


“ต่อไปเจ้าจะต้องมาใช้ชีวิตถาวรในเมืองหลวง มีเครื่องแต่งงานมากหน่อยย่อมดีกว่า” เมิ่งฉีพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวข่มขู่เขา “หากท่านมอบโรงงานนี้ให้ข้า ร้านค้าที่จะซื้อพรุ่งนี้จะให้พวกเขาคนละร้าน”


 


 


เปาชิงเหอได้ยินบทสนทนาของสองพี่น้องก็หัวเราะครืน “เด็กๆ บ้านอื่นพอมีทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่เช่นนี้ มีแต่จะคิดหาวิธีแย่งมาครอบครอง พวกเจ้าสองพี่น้องนี่อย่างไร กลับผลักไสให้กันและกัน ข้าว่าที่คุณชายเมิ่งพูดก็มีเหตุผล ภายหน้าแม่นางเมิ่งจะอาศัยอยู่เมืองหลวงระยะยาว มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก มีเครื่องแต่งงานติดตัวไว้มากหน่อยย่อมดีกว่า”


 


 


เมิ่งฉีเห็นเปาชิงเหอยืนข้างตนเอง รีบพูดพลัน “เห็นไหม ใต้เท้าเปายังว่าเช่นนี้เลย เจ้าไม่ต้องโต้แย้งกับข้าแล้ว โรงงานนี้ให้เป็นของเจ้า หากเจ้าไม่ว่าง ข้าจะมาช่วยจัดการให้แทนก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นด้วย หลังจากเปิดใช้โรงงานนี้ สินค้าที่เมืองหลวงต้องการก็จะถูกส่งออกไปจากที่นี่ จะต้องส่งผลกระทบต่อการค้าของครอบครัว คิดได้ดังนี้ก็พูดว่า “ทรัพย์สินในมือข้าก็มากพอแล้ว ไม่ต้องการโรงงานเพิ่มอีก หากท่านไม่ยินยอม ก็ช่างเถอะ พวกเราไม่ทำโรงงานนี้แล้วก็ได้”


 


 


เปาชิงเหอฟังน้ำเสียงนางไม่เหมือนคนล้อเล่น ว้าวุ่นใจฉับพลัน น้ำเสียงเร่งเร้า คำพูดโน้มเอียงไปอีกด้าน “คุณชายเมิ่ง ที่แม่นางเมิ่งพูดก็ถูก แม้ต่อไปนางจะต้องอยู่เมืองหลวงถาวร แต่นางไม่ได้แต่งงานกับคนธรรมดา เงินทองในจวนไม่มีวันขาดเหลือ ส่วนพวกเจ้าอยู่ชนบท เลี่ยงไม่ได้ที่ชีวิตอาจจะฝืดเคืองบ้าง ข้าคิดว่า โรงงานนี้ให้เป็นชื่อเจ้าน่าจะดีที่สุด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังแอบขำในใจ เดิมนางแค่ต้องการพูดขู่เมิ่งฉี ไม่คิดว่าว่าใต้เท้าเปาจะตกใจแทน


 


 


เมิ่งฉีได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดก็ชะงักอึ้งเล็กน้อย แล้วคิดถึงนิสัยของนาง รู้ว่าหากตนเองยืนหยัดจะเขียนชื่อนาง นางอาจจะไม่ซื้อโรงงานนี้จริงๆ ก็ได้ ต้องรู้ว่า โรงงานใหญ่โตนี้ไม่มีทางซื้อได้ด้วยเงินเพียงหนึ่งหมื่นตำลึง ต่อให้จุดตะเกียงหาก็ไม่มีวันเจอเรื่องดีเช่นนี้


 


 


เมิ่งฉีจ้องเมิ่งเชี่ยนโยวครู่หนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องกลับอย่างไม่โอนอ่อนให้ สีหน้าเด็ดเดี่ยวขึงขัง


 


 


เมิ่งฉีไม่มีทางเลือก จำต้องถอยหนึ่งก้าว “ก็ได้ ไม่เขียนเป็นชื่อเจ้า แต่ก็ไม่เขียนชื่อข้า เขียนชื่อท่านพ่อก็แล้วกัน”


 


 


สิ่งที่เมิ่งฉีคิดก็คือ ใส่ชื่อเมิ่งเอ้ออิ๋นไว้ชั่วคราว กระทั่งตอนเมิ่งเชี่ยนโยวแต่งงาน ค่อยยกให้นางเป็นเครื่องแต่งงาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับคิดไปอีกทาง นึกว่าเขียนเป็นชื่อเมิ่งเอ้ออิ๋น ภายหน้าเมิ่งฉีและเมิ่งเสียนจะได้แบ่งครึ่งกัน เห็นดีเห็นงามด้วยทันที “ดี งั้นก็เขียนเป็นชื่อท่านพ่อเถอะ”


 


 


เปาชิงเหอเห็นสองพี่น้องมีความคิดเห็นตรงกันแล้ว ก็โล่งใจ รีบสั่งการบ่าว “เจ้าจงไปศาลาว่าการ บอกว่าโรงงานนี้มีคนซื้อแล้ว ให้พวกเขาเตรียมเอกสารให้พร้อม ข้าจะพาคนไปดำเนินการเดี๋ยวนี้”


 


 


บ่าวรับคำ วิ่งไปแจ้งข่าวโดยด่วน


 


 


เปาชิงเหอพาทั้งสองคนออกมาจากโรงงาน


 


 


เมิ่งฉีหันหลังไปลงกลอนประตู ทั้งเก็บกุญแจไว้กับตัวเอง


 


 


ชายฉกรรจ์ที่รองานทำเข้ามามุงล้อม คนที่มีความกล้าเปล่งเสียงหยั่งเชิงถามเปาชิงเหอ “ใต้เท้าเปา โรงงานนี้กำลังจะเปิดอีกครั้งหรือขอรับ”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้า “ถูกต้อง สองท่านนี้ก็คือนายท่านคนต่อไปของโรงงานนี้”


 


 


มีคนถามขึ้นพลัน “แล้วจะรับคนงานหรือไม่ขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “จะเปิดรับสมัครคนงานด้วย”


 


 


กลุ่มคนแตกตื่น ต่างกรูกันเข้ามา ล้อมพวกเขาไว้ตรงกลาง ส่งเสียงซักถามยกใหญ่ “ท่านว่าข้าพอใช้ได้หรือไม่” “อย่างข้าได้หรือไม่” สถานการณ์เริ่มโกลาหล


 


 


ทั้งสามคนถูกเบียดจนแทบไม่มีที่ยืนแล้ว เปาชิงเหอกลัวจะเบียดไปโดนเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉี เปล่งเสียงเกรงขามขึ้นพลัน “ถอนออกไปให้หมด ใครกล้าเบียดขึ้นหน้ามาอีก ในวันสมัครงานจะไม่ได้รับเลือกเป็นคนแรก”


 


 


คนแถวหน้าที่อยู่ใกล้ที่สุด ได้ยินดังนั้นตกใจรีบถอยหนี คนด้านหลังได้ยินไม่ถนัด พยายามเบียดเข้ามา สถานการณ์วุ่นวายอลหม่าน ทว่า ก็ยังเหลือที่ว่างให้ทั้งสามคน


 


 


เปาชิงเหอกระแอมเสียงดังสองครั้ง ความโกลาหลสงบลงทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำ คนเหล่านี้ต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองไว เจ้าหน้าที่ทางการกระแอมก็รู้ทันทีว่าพวกเขามีเรื่องจะพูด


 


 


เป็นดังว่า เปาชิงเหอขยับลูกคอ เปล่งเสียงพูดกับชาวบ้าน “วันนี้พวกเขาเพียงเข้ามาดูสถานที่ จะเปิดรับสมัครเมื่อไหร่นั้น พวกเราจะติดป้ายประกาศไว้ทางนั้น ถึงตอนนั้นให้พวกเจ้าเข้ามาดูเอง”


 


 


ยังไม่รู้ว่าจะเปิดโรงงานเมื่อใด ชาวบ้านต่างมีสีหน้าผิดหวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนดูไม่ได้ พูดเสียงกังวาน “วันนี้พอพวกเราดำเนินเรื่องเสร็จ พรุ่งนี้จะมารับสมัครคนซ่อมแซมอาคาร คนที่มีฝีมือซ่อมอาคารให้มารายงานตัวในวันพรุ่งนี้ได้ ส่วนจะเปิดโรงงานได้เมื่อใดนั้น คาดว่าจะต้องรออีกครึ่งเดือน เพราะพวกเรายังเตรียมวัตถุดิบไม่พร้อม”


 


 


ในกลุ่มคนมีคนยกมือขึ้นทันที “นายหญิง พวกเราทำได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “วันพรุ่งหากพวกท่านยังหางานทำไม่ได้ ก็ให้มาลงชื่อในเวลานี้ได้”


 


 


ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้ว เดิมก็หางานยากอยู่แล้ว อีกทั้งทำงานที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากบ้าน คนทั้งหมดต่างดีใจพูดว่า “พวกเราไม่ไปทำงานที่อื่นแล้ว จะรองานในวันพรุ่งอยู่ที่นี่”


 


 


คนที่เหลือมองพวกเขาอย่างอิจฉา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองพวกเขา “ข้าจำพวกท่านได้แล้ว วันพรุ่งไม่ต้องรีบมารอ เข้ามาช่วงเวลานี้ก็พอ”


 


 


“ขอรับ” คนทั้งหมดขานรับคำ


 


 


คนที่เหลือเห็นว่าไม่มีงานให้ตนเอง ต่างแยกย้ายไปอย่างผิดหวัง พวกเขาทั้งสามก็ได้เดินจากไป


 


 


เจ้าหน้าที่เอกสารได้ยินคำแจ้งจากบ่าว เข้าไปหยิบโฉนดและเอกสารซื้อขายออกมาเตรียมไว้อย่างชื่นบาน


 


 


เปาชิงเหอพาทั้งสองคนเดินเข้ามา เจ้าหน้าที่เอกสารพูดขึ้นด้วยความยินดี “ใต้เท้าเปา ผู้น้อยเตรียมไว้หมดแล้ว ทั้งสองท่านเพียงประทับลายนิ้วมือก็ได้แล้วขอรับ”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้า นำโฉนดและเอกสารมาให้เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉี ให้พวกเขาได้ตรวจดู


 


 


ตัวโฉนดไม่มีปัญหา ส่วนเอกสารซื้อขายก็เป็นรูปแบบเดิม เมิ่งเชี่ยนโยวเคยซื้อเรือนและร้านค้ามาแล้ว จึงมองผ่านๆ แล้วส่งให้เมิ่งฉี


 


 


เมิ่งฉีดูอย่างละเอียด ดูเสร็จก็พยักหน้า “ไม่มีปัญหา”


 


 


“ถ้าไม่มีปัญหาก็ประทับลายนิ้วมือเถอะ” เจ้าหน้าที่เอกสารพูดอย่างหน้าตาชื่นบาน


 


 


เมิ่งฉีประทับลายนิ้วมือ ล้วงตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงออกมาจากอกเสื้อมอบให้เจ้าที่


 


 


เจ้าหน้าที่เปิดดู ถึงกับชะงัก หันไปมองเปาชิงเหอ


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้าเล็กน้อย


 


 


เจ้าหน้าที่เข้าใจทันที ยกยิ้มแล้วเก็บเงินขึ้น มอบโฉนดให้เมิ่งฉี “คุณชาย ท่านรับโฉนดนี้ไป ต่อไปโรงงานนี้ก็เป็นของท่านแล้ว”


 


 


เมิ่งฉีรับมา พับอย่างระวังแล้วเก็บไว้ในอก


 


 


เปาชิงเหอลุกขึ้น พูดว่า “ไป กลับไปกินข้าว คาดว่าฮูหยินจะเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว”


 


 


เจ้าหน้าที่เอกสารเข้าใจพลัน ไม่แปลกที่ขายโรงงานในราคาถูกเช่นนี้ ที่แท้ก็เพราะเป็นญาติของใต้เท้านี่เอง


 


 


เดิมพ่อบ้านจะออกไปซื้อผัก ระหว่างทางเจอเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉี พาพวกเขาย้อนกลับมาบ้าน ลืมเรื่องซื้อผักไปเสียสนิท กระทั่งฮูหยินเปาจะลงครัวเอง เห็นว่าไม่มีวัตถุดิบ พ่อบ้านถึงนึกออก รีบสั่งบ่าวอีกคนออกไปซื้อกับข้าวด้วยกัน


 


 


เมืองฝั่งเหนือแร้นแค้น ไม่มีผักสดดีๆ ปกติพวกเขาก็กินไปตามที่มี แต่เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นแขก ฮูหยินเปาคว้าแขนบ่าวไว้ ให้เขาออกจากเมืองฝั่งเหนือ ไปตลาดสดย่านคึกคักในเมือง ซื้อผักและเนื้อสดใหม่กลับมา


 


 


ต่อให้บ่าววิ่งเร็วปานใด ไปกลับก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ดังนั้นตอนที่พวกเปาชิงเหอกลับมา อาหารจึงยังทำไม่เสร็จ


 


 


เปาชิงเหอจึงพาทั้งสองคนกลับมาห้องรับแขก สั่งบ่าวไปเปลี่ยนน้ำชามาใหม่ ทั้งสามดื่มไปคุยไป ถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเตรียมจะเปิดโรงงานกี่แห่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็บอกแผนการคร่าวๆ ของตัวเองออกมา


 


 


เปาชิงเหอได้ยินว่านางจะเปิดโรงงานหลายอาคาร ก็ตื่นเต้นมือสั่นจนน้ำชาในถ้วยกระเด็นออกมา “แม่นางเมิ่ง เจ้าช่วยข้าได้มากเทียว โรงงานที่จะเปิดนี้ต้องการคนงานไม่น้อยเลยสินะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไม่น้อยเจ้าค่ะ ข้าจะทยอยย้ายการค้าของครอบครัวมาอยู่เมืองหลวงด้วย ดังนั้นยังต้องให้ใต้เท้าเปาช่วยอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอลนลานพูด “แม่นางเมิ่งพูดมาได้เลย ขอเพียงข้าช่วยได้ จะช่วยให้ถึงที่สุด”


 


 


“ข้าอยากให้ท่านช่วยรับสมัครคนงาน เงื่อนไขธรรมดามาก ขอเป็นชายรูปร่างกำยำและหญิงขยันขันแข็ง อายุราวสิบห้าถึงสามสิบห้าปีเจ้าค่ะ”


 


 


“ผู้หญิงก็ได้หรือ” เปาชิงเหอตกใจถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอผู้หญิงที่ทำงานคล่องแคล่ว กรอกกุนเชียงได้เร็ว”


 


 


เปาชิงเหอรับคำเต็มปากเต็มคำ “ไม่มีปัญหาเลย ข้าจะให้พวกเขาไปติดประกาศ ประเดี๋ยวก็มีคนเข้ามาสมัครทำงานเอง”


 


 


“ไม่ทราบว่าจะต้องคิดค่าแรงคนงานอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก


 


 


“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ ตอนบ่ายข้าจะให้คนออกไปสอบถามให้ วันพรุ่งพวกเจ้าค่อยเข้ามาฟังคำตอบ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


คนทั้งหมดพูดคุยอีกครู่หนึ่ง พ่อบ้านก็เปล่งเสียงอย่างนอบน้อมหน้าประตู “นายท่านขอรับ ฮูหยินบอกว่าอาหารเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านพาแม่นางเมิ่งและคุณชายเมิ่งเข้าไปได้ขอรับ”


 


 


คนทั้งหมดลุกขึ้น เดินมายังห้องอาหาร


 


 


ฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยเตรียมอาหารไว้หลากหลายมากมาย ทั้งหมดสิบสองจาน


 


 


คนทั้งหมดกินอาหารเที่ยงอย่างสุขสำราญใจ เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีนั่งต่ออีกครู่หนึ่ง จึงลุกขึ้นขอตัวลา


 


 


เปาชิงเหอและฮูหยินเปารวมถึงซุนฮุ่ยที่อุ้มม่อเอ๋อร์ ออกมาส่งพวกเขาถึงหน้าประตู มองดูทั้งสองขึ้นรถม้าจากไปไกล ถึงกลับเข้าไปในบ้านอย่างอิ่มเอม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีก็ไม่ได้ไปที่อื่นต่อ สั่งคนรถให้บังคับรถม้ากลับเมืองฝั่งใต้ทันที


 


 


คนรถคุ้นชินเส้นทางแล้ว บังคับรถม้าด้วยความรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามกว่าก็มาถึงหน้าบ้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีลงจากรถม้า เตรียมจะเข้าไปด้านใน สาวใช้ที่แต่งกายเยี่ยงสาวใช้เดินออกมาจากข้างรถม้าที่จอดรออยู่ แสดงความเคารพทั้งสองคน ถามอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่า นายท่านแห่งสำนักคุ้มภัยอาศัยอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”

 

 

 


ตอนที่ 62 ผู้มีคุณ

 

 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า ไม่ตอบความแต่หรี่ตามองกลับ ถามเสียงเข้ม “เจ้าคือ…”


 


 


“ข้าเป็นสาวใช้ของสกุลฮั้วเมืองฝั่งตะวันออก หอเหวินเซียงเป็นทรัพย์สินของนายท่านของพวกเราเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ


 


 


มาอยู่ที่นี่ได้สักพักใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวพอจะรู้จักกิจการร้านค้าที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง หอเหวินเซียงเป็นร้านเครื่องประทินโฉมชื่อดังของเมืองหลวง เครื่องประทินโฉมที่ผลิตออกมาไม่เพียงเป็นที่แก่งแย่งในหมู่คุณหนูฮูหยินขุนนางชั้นสูง แม้แต่เหนียงเหนียงพระสนมในวังหลวงก็สั่งให้คนออกมาซื้อหา นอกจากเครื่องประทินโฉมที่จะผลิตออกมาใหม่ทุกปี โดยแต่ละปีก็ยังผลิตสูตรใหม่ในปริมาณจำกัดออกมา ยิ่งทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งยังไม่รับการจอง ดังนั้นหอเหวินเซียงจึงมีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก


 


 


ได้ยินนางบอกสกุลต้นสังกัด เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งไม่เข้าใจ “ไม่ทราบว่าแม่นางมาหาเหวินเปียวทำไม”


 


 


ได้ยินนางเอ่ยชื่อเหวินเปียว สาวใช้ก็รู้ทันทีว่าตนเองมาถูกที่แล้ว และไม่ได้ตอบคำถามนาง สาวเท้าเดินกลับไปข้างรถม้า พูดกับคนด้านใน “คุณหนูเจ้าคะ นายน้อยอยู่ที่นี่จริงๆ เจ้าค่ะ”


 


 


ม่านรถถูกเปิดออก หญิงสาวรูปลักษณ์หมดจดพริ้มเพรานางหนึ่งยื่นศีรษะออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยปีติยินดี “จริงหรือ รีบประคองข้าลงไป!”


 


 


สาวใช้หยิบเก้าอี้เตี้ยที่วางบนคานด้านหน้ามาวางข้างรถม้า ประคองคุณหนูลงจากรถม้าอย่างระวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูคุณหนูอายุราวสิบแปดสิบเก้าปี ใบหน้าสะสวย แต่งกายเรียบร้อยหมดจด ทุกท่วงท่ากิริยาแสดงถึงความเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ให้ขมวดคิ้วมุ่น


 


 


สาวใช้ประคองคุณหนูเดินมาถึงเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว คุณหนูย่อตัวคำนับทั้งสองคน พูดอย่างสง่าผึ่งผาย “ข้าคือฮั้วเซียงหลิง นายน้อยสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนเป็นผู้มีคุณช่วยชีวิตข้า หลายวันก่อนข้าได้ยินว่าเกิดเรื่องกับเขา จึงรู้ว่าเขากลับเมืองหลวงมาแล้ว หลังจากสืบเสาะถาม ถึงได้รู้ที่แห่งนี้ หากท่านสะดวกขอข้าพบหน้าเขาสักครั้งได้หรือไม่”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงกล่าวด้วยวาจาราบเรียบ ทว่าสีหน้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น ในความคาดหวังเจือแววกระสับกระส่าย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดถึงความหมายแฝงในคำพูดนาง ไม่ตอบรับทันที แต่พูดบอกปัดว่า “หลายวันก่อนเหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ ค่อนข้างสาหัส เกรงจะมาพบคุณหนูไม่ได้ หากมีสิ่งใดก็พูดกับข้าเถอะ ข้าเป็นนายหญิงของเขา จะนำความไปบอกเขาเอง”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงได้ฟังใบหน้ายิ่งแสดงอาการว้าวุ่นใจ “เพราะข้าได้ยินว่าผู้มีคุณได้รับบาดเจ็บ ถึงร้อนรนสืบถามความตรงมาที่นี่ ข้ายังนำสมุนไพรชั้นดีจำนวนมากมาด้วย” ว่าแล้วก็สะบัดมือไปข้างรถม้า


 


 


บ่าวที่รออยู่ข้างรถม้ารีบหยิบกล่องห้าหกใบออกมาจากในรถม้า เดินเข้ามา


 


 


“นี่เป็นสมุนไพรบำรุงร่างกายชั้นดีที่นำมามอบให้ผู้มีคุณ แม่นางพอจะให้ข้าพบเขาสักครั้งได้หรือไม่” ฮั้วเซียงหลิงชี้กล่องใบงามหลายกล่องในอ้อมกอดบ่าว พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างร้อนใจ


 


 


ต่อให้มีบุญคุณช่วยชีวิต การที่คุณหนูสูงศักดิ์มาขอพบบุรุษอย่างเปิดเผยเอิกเกริกเช่นนี้อย่างไรก็ไม่เหมาะสม อีกทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เคยได้ยินเหวินเปียวเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ยิ่งเพิ่มความระแวดระวัง พูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยินดีให้ท่านเข้าไป แต่ตอนนี้เหวินเปียวได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจพบคนนอกได้ รบกวนคุณหนูค่อยมาใหม่ภายหลังเถอะ”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงที่ดูเหมือนบอบบางอ่อนแอ กลับมีนิสัยดื้อรั้นหัวแข็งมาก แสดงท่าทีหากวันนี้ไม่ได้พบเหวินเปียวก็จะไม่ยอมเลิกรา พูดว่า “ข้ารู้ว่าผู้มีคุณได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าจะไม่พูดอะไรมาก หลังจากกล่าวขอบคุณที่เคยช่วยชีวิตข้า ก็จะรีบไปทันที”


 


 


พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หากเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ตกลงก็ดูจะแล้งน้ำใจเกินไป จำต้องสั่งการคนเฝ้าประตู “เจ้าจงไปบอกเหวินเปียว ว่าคุณหนูฮั้วเข้ามาขอบคุณที่ช่วยชีวิต ถามเขาว่าต้องการพบหน้าหรือไม่”


 


 


คนเฝ้าประตูรับคำ หันหลังหมายจะเข้าไปรายงาน


 


 


ฮั้วเซียงหลิงก็พูดขึ้นทันควัน “ผู้มีคุณไม่ทราบว่าข้าเป็นคุณหนูสกุลฮั้ว เจ้าบอกเขาว่าเป็นสตรีสองนางที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้กลางดึกเมื่อห้าปีก่อน”


 


 


คนเฝ้าประตูรับคำอีกครั้ง แล้ววิ่งแนบเข้าไป ไม่นานก็วิ่งกลับมา พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “นายท่าน เหวินเปียวบอกว่า นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ให้แม่นางท่านนี้ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ตอนนี้เขายังบาดเจ็บ ไม่ขอพบหน้าใคร ส่วนสมุนไพรก็ให้นำกลับไปขอรับ”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงได้ฟังให้ร้อนรุ่มใจ พูดพรวดว่า “จะเป็นเรื่องเล็กได้อย่างไร หากไม่เพราะนายน้อยยื่นมือเข้าช่วย พวกเรานายบ่าวคงได้ป่นปี้อยู่ในเงื้อมมือของเดรัจฉานเฮ่อเหลี่ยนไปแล้ว”


 


 


ได้ยินนางเอ่ยถึงเฮ่อเหลี่ยน สะกิดใจเมิ่งเชี่ยนโยว เกิดความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในสมอง กลับคำพูดทันควัน “เมื่อคุณหนูฮั้วเข้ามาขอบคุณด้วยใจจริง เหวินเปียวไม่มีเหตุผลที่จะไม่พบท่าน เจ้าไปบอกเขาก่อน ให้เขาจัดการตัวเองแล้วไปเจอกันที่ห้องรับแขก ข้าและแม่นางฮั้วจะรอเขาอยู่ที่นั่น”


 


 


คนเฝ้าประตูรับวิ่งแนบเข้าไป


 


 


ฮั้วเซียงหลิงเห็นนางยินยอมแล้ว ดีอกดีใจ กล่าวขอบคุณไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “แม่นางฮั้ว เชิญข้างในเถอะ”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงพยักหน้า เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไป สาวใช้เดินตามหลัง บ่าวที่หอบกล่องสมุนไพรเดินรั้งท้ายตามเข้าไป


 


 


เมิ่งฉีไม่รู้ว่าเหตุใดเมิ่งเชี่ยนโยวถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหัน ยอมให้ฮั้วเซียงหลิงเข้าไป ครั้นคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง พอเข้ามาในจวนก็บอกลาเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วเดินกลับไปยังเรือนของตนเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพาฮั้วเซียงหลิงเข้ามานั่งในห้องรับแขก สั่งสาวใช้ในเรือนไปชงชาเข้ามา เหวินเปียวที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วเดินสวนเข้ามา กำลังจะแสดงความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยว ฮั้วเซียงหลิงกลับยกชายกระโปรงขึ้นคุกเข่าให้เขาเสียงดัง “พลั่ก” สาวใช้ก็คุกเข่าตามไปด้วย


 


 


เหวินเปียวตกใจสะดุ้งโหยง คิดจะเข้าไปประคองพวกนางลุกขึ้น กลับได้สติว่าไม่เหมาะสม รีบพูดเสียงหลง “คุณหนู ทำอะไรของท่าน รีบลุกขึ้นเถอะ!”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงยังคงคุกเข่า เงยหน้าขึ้น ให้เหวินเปียวได้เห็นใบหน้าชัดเจน ถามเสียงกระเส่า “ผู้มีคุณ ท่านจำข้าได้หรือไม่”


 


 


เหวินเปียวไฉนเลยจะมีอารมณ์พินิจมอง รีบร้อนพูด “แม่นางลุกขึ้นก่อนเถิด มีเรื่องอะไรค่อยว่ากัน”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงดื้อรั้นไม่ยอมขยับ พูดว่า “ข้าไม่มีหน้าลุกขึ้น ผู้มีคุณต้องไปอยู่ชนบท ล้วนเป็นเพราะข้าทำให้ท่านต้องเดือดร้อน”


 


 


เหวินเปียวนิ่งค้าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง รู้ว่าตนเองเดาถูกต้องแล้ว


 


 


เหวินเปียวกลับงุนงง ถามอย่างไม่เชื่อ “เรื่องสำนักคุ้มภัยของพวกเราจะเกี่ยวข้องกับแม่นางได้อย่างไร”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงพูดว่า “ผู้มีคุณยังจำเรื่องเมื่อห้าปีก่อนได้หรือไม่”


 


 


เหวินเปียวพยักหน้า “จำได้ กลางดึกคืนหนึ่ง เพราะว่ามีผู้คุ้มกันในสำนักไข้ขึ้นกลางดึกเฉียบพลัน ข้าจึงออกไปซื้อยาให้เขา ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของสตรีสองนาง จึงตรงเข้าไปดู พบคนจำนวนหนึ่งกำลังล้อมกระทำการบัดสีสตรีสองนางนั้น ข้าจึงเข้าไปจัดการพวกเขาหนีไป”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงแหงนหน้าถาม “ผู้มีคุณทราบหรือไม่ว่ากลุ่มคนที่ล้อมพวกเราไว้วันนั้นเป็นคนของใคร”


 


 


เหวินเปียวส่ายหน้า “ไม่ทราบ”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงกัดฟันตอบความ “เป็นคนของเดรัจฉานเฮ่อเหลี่ยนส่งมา หากวันนั้นไม่ได้ผู้มีคุณยื่นมือเข้าช่วย บางทีตอนนี้ข้าอาจจะตายเป็นผีเร่ร่อนไปแล้วก็ได้”


 


 


เหวินเปียวไม่เข้าใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “แม่นางฮั้ว มีอะไรค่อยพูดค่อยจาเถอะ”


 


 


เหวินเปียวก็ได้สติกลับมาแล้ว รีบร้อนพูด “ใช่ๆๆ แม่นางลุกขึ้นก่อนเถอะ”


 


 


สาวใช้เป็นห่วงฮั้วเซียงหลิง ได้ยินทั้งสองพูดเช่นนี้ รีบเข้าไปประคองนางขึ้น


 


 


สาวใช้ประคองฮั้วเซียงหลิงมานั่งบนเก้าอี้ ฮั้วเซียงหลิงกำลังจะพูดต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นว่า “แม่นางฮั้ว ดื่มชาปรับสภาพจิตใจ ค่อยพูดเถอะ”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงที่พอเห็นว่าเหวินเปียว คิดย้อนถึงเรื่องที่สำนักคุ้มภัยทั้งสำนักต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง ตอนที่นายท่านสำนักคุ้มภัยได้รู้ว่าสำนักคุ้มภัยต้องมีจุดจบเช่นนี้ ก็โมโหจนกระอักเลือดตาย ส่วนเหวินเปียวนายน้อยสำนักคุ้มภัยรวมถึงพี่น้องครอบครัวต่างถูกตัดสินให้เป็นทาสหลวง ขับไล่ไปอยู่ชนบท ตอนที่นางได้รับทราบข่าวบอกบิดา ให้เขาหาทางส่งคนไปช่วยนั้น คนทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าถูกคุมตัวไปแห่งหนใดแล้ว โชคดีที่บิดาของนางรู้จักคนในราชสำนัก จ่ายเงินไปจำนวนไม่น้อย ซื้อตัวเหล่าผู้คุ้มภัยที่ถูกส่งตัวไปยังที่ทุรกันดารกลับมาได้ ทั้งจัดหาบ้านเรือนแห่งหนึ่งในเมืองหลวงให้พวกเขา บัดนี้เห็นเหวินเปียวปลอดภัยครบสามสิบสอง ยิ่งให้ตื้นตันใจจนพูดไม่ออก


 


 


ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว มือสั่นระริกของฮั้วเซียงหลิงยกถ้วยน้ำชาขึ้น จิบหนึ่งคำ ผ่อนคลายความรู้สึกลงถึงพูดต่อ “ตอนนั้นข้าอายุสิบสามปี มีวันหนึ่งข้าติดตามบิดาไปตรวจหอเหวินเซียง เจ้าเดรัจฉานเฮ่อเหลี่ยนพาฮูหยินมาซื้อเครื่องประทินโฉมเช่นกัน พอเขาเห็นข้าก็จับจ้องไม่วางตา ข้ารู้สึกแล้วว่าไม่ดี จึงหลบไปหลังร้าน เขาสอบถามสถานะของข้าจากพนักงานในร้าน แล้วส่งคนมาสู่ขอข้า บอกว่าจะแต่งข้าไปเป็นอนุภายในสามวัน บิดามีข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ย่อมไม่ยินดีให้ข้าแต่งไปเป็นอนุ จึงปฏิเสธอย่างรักษาน้ำใจไป เขารู้ว่าบิดาข้ารู้จักขุนนางชนชั้นสูงไม่น้อย จึงไม่กล้าบังคับขู่เข็ญ พวกเราต่างนึกว่าเรื่องจะจบเพียงเท่านี้ ไม่คิดว่า เขาจะคอยส่งคนมาเฝ้าดูทุกการกระทำของข้า กระทั่งวันนั้นข้าไปบ้านท่านป้า ด้วยท่านป้ารบเร้าให้ข้าต้องกินอาหารค่ำก่อนถึงกลับบ้านได้ ดังนั้นข้าถึงได้ปรากฏตัวอยู่บนถนนในเวลานั้น ความจริงมิได้มีแค่พวกเรานายบ่าวสองคน แต่ยังมีคนรถและคนคุ้มกัน แต่ทว่าถูกพวกเขาฆ่าตายหมด ตอนนั้นข้าและสาวใช้ฉวยโอกาสที่คนคุ้มกันขวางไว้ วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงออกมา แต่ก็ถูกพวกมันตามมาทัน พวกเราจึงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ นายน้อยผ่านมาช่วยพวกเราไว้ได้พอดี เฮ่อเหลี่ยนที่ลงมือไม่สำเร็จ คับแค้นใจ จึงวางแผนทำลายสำนักคุ้มภัย”


 


 


สิ้นเสียงนาง ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้องรับแขก


 


 


เหวินเปียวไม่คิดเลยว่าเพราะการเป็นผู้กล้าเพียงครั้งเดียวของตนเอง จะทำให้สำนักคุ้มภัยต้องล่มสลาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับขมวดคิ้วถาม “คุณหนูฮั้วทราบได้อย่างไรว่าสำนักคุ้มภัยถูกสั่งปิดเพราะเหวินเปียวเข้าช่วยเจ้า”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงกัดฟันพูดว่า “เพราะเขาเคยพูดกับบิดาข้า ขอเพียงเป็นหญิงที่เขาต้องการไม่มีวันจะไม่ได้มาครอบครอง หากมีใครกล้ามาขวาง เขาจะทำให้คนผู้นั้นบ้านแตกสาแหรกขาด ตายไม่มีดินกลบหน้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่ยังสงบนิ่ง พูดว่า “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของแม่นางฮั้วเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับสำนักคุ้มภัยมีสาเหตุมาจากท่านจริงๆ”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงโบกมือพัลวัน “ไม่ๆๆ เป็นเพราะข้าจริงๆ พวกท่านยังไม่รู้จักคนอย่างเฮ่อเหลี่ยน บิดาข้าบอกว่าเขาเป็นคนต่ำช้าจิตใจคับแคบ ทั้งเจ้าคิดเจ้าแค้น นายน้อยเข้ามาขวางทางเขา เขาจะไม่แก้แค้นได้อย่างไร”


 


 


เหวินเปียวราวกับยังตกอยู่ในภวังค์ ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา


 


 


ฮั้วเซียงหลิงละอายใจอย่างสุดซึ้ง “นายน้อย ขอโทษนะเจ้าค่ะ ข้าทำให้สำนักคุ้มภัยต้องเดือดร้อน ทำให้พวกท่านถูกเฮ่อเหลี่ยนเล่นงาน สำนักคุ้มภัยต้องมีจุดจบอย่างน่าอนาถ ทว่า ในตอนนั้นบิดาข้าได้ฝากฝังคนให้แอบช่วยเหล่าผู้คุ้มภัยที่ถูกเนรเทศไปอยู่ดินแดนทุรกันดารกลับมา ทั้งจัดหาที่อยู่ให้พวกเขาไปเป็นชาวนาอยู่นอกเมืองหลวง หากนายน้อยคิดถึงพวกเขา ข้าจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้”


 


 


เหวินเปียวพลันเงยหน้ามองนาง นัยน์ตาฉายแววยินดีระคนไม่อยากเชื่อ ริมฝีปากสั่นระริกเป็นนาน ถึงถามด้วยความปลื้มปริ่ม “ที่แม่นางพูดมาเป็นความจริง พี่น้องของข้ายังมีชีวิตอยู่”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงพยักหน้า “ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เป็นชาวนาอยู่นอกเมือง”


 


 


เหวินเปียวยิ่งให้ปริ่มเปรมใจ ชายกำยำอกสามศอกกลับหลั่งน้ำตาแห่งความอิ่มเอม พูดงึมงำ “มีชีวิตอยู่ก็ดี มีชีวิตอยู่ก็ดี”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงรู้ว่าเขาก็คิดถึงเหล่าผู้คุ้มกันมาก ถามขึ้น “หากผู้มีคุณต้องการไปหาพวกเขา ข้าสามารถพาท่านไปตอนนี้ได้เลย”


 


 


เหวินเปียวกำลังจะพูด กลับถูกเมิ่งเชี่ยนโยวชิงพูดเตือนขึ้น “ครั้งนี้เฮ่อเหลี่ยนโดนเอาคืนหนัก จะต้องไม่ยอมยุติโดยง่าย หากเจ้าไปหาพวกเขาตอนนี้ อาจจะถูกเขาจับจุดอ่อน ถึงขั้นเกิดอันตรายถึงชีวิตพวกเขาก็เป็นได้ เมื่อรู้ว่าพวกเขาต่างสุขสบายดี ไยต้องด่วนพบหน้าตอนนี้เล่า”


 


 


ได้ฟังคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว เหวินเปียวค่อยผ่อนคลายอารมณ์ทุรนทุรายใจลง สมองเริ่มมีสติมากขึ้น พูดว่า “แม่นางกล่าวถูกต้อง ตอนนี้ข้ายังไม่เหมาะไปพบพวกเขาจริงๆ” ว่าแล้วก็หันไปกำชับฮั้วเซียงหลิง “ขอแม่นางฮั้วก็อย่าบอกพวกเขาว่าข้ากลับมาเมืองหลวงแล้ว เลี่ยงไม่ให้พวกเขาอดใจไม่ไหวเข้ามาหาข้า กลายเป็นความเดือดร้อนที่คาดไม่ถึง”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงพยักหน้า “เช่นนั้นผู้มีคุณอยากไปพบพวกเขาเมื่อใดก็แจ้งข่าวบอกข้า ข้าจะเข้ามาพาท่านไปด้วยตัวเอง”


 


 


เหวินเปียวส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ขอบคุณในความปรารถนาดีของแม่นางฮั้ว บางทีชีวิตนี้พวกเราอาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงเผยอปาก ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดว่า “ก็ไม่แน่ดอก จะต้องมีสักวันที่ความจริงปรากฏ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะได้ล้างมลทิน คนทั้งสำนักคุ้มภัยก็จะได้พบหน้ากัน”


 


 


เหวินเปียวทอดถอนใจสิ้นหวัง “หากมหาเสนาบดียังมีชีวิตอยู่ พวกเราก็คงไม่ได้มีวันนั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด


 


 


ฮั้วเซียงหลิงยิ่งตำหนิตัวเอง “นายน้อย ข้าขออภัยท่านจริงๆ เพราะข้าทำให้สำนักคุ้มภัยต้องเดือดร้อน”


 


 


เหวินเปียวโบกมือ “ทุกสิ่งฟ้ากำหนด ไม่เกี่ยวกับท่านดอก แม่นางฮั้วไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเองแล้ว”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงยิ่งให้ละอายใจ พูดว่า “เช่นนั้นตอนนี้นายน้อยมีสิ่งใดจะให้ข้าช่วยหรือไม่ ขอเพียงท่านพูดออกมา ข้าจะต้องทำให้จงได้”


 


 


เหวินเปียวส่ายหน้า “ขอบคุณแม่นางฮั้ว ข้าไม่มีอะไรต้องให้คุณหนูช่วย”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง รบเร้าถาม “อยากให้ข้าช่วยไถ่ตัวพวกท่านหรือไม่”


 


 


เหวินเปียวเงยหน้าอย่างตกตะลึง


 


 


ฮั้วเซียงหลิงนึกว่าเขาต้องการจะเป็นอิสระ ไม่รอให้เขาตอบ ก็รีบหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าต้องการไถ่ตัวนายน้อยรวมถึงคนในครอบครัวเขา จะคิดเงินเท่าใดก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร


 


 


เหวินเปียวกลับเปล่งเสียงดังลั่น ร้อนรนพูด “แม่นางฮั้ว ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้ต้องการให้ท่านมาไถ่ตัวข้า แม่นางของพวกเราดีต่อพวกเรามาก นับแต่ที่นางซื้อพวกเราทั้งครอบครัวไว้ข้าก็สาบานว่า จะติดตามนางผู้เดียวไปทั้งชีวิต”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ น้ำเสียงกระวนกระวาย “ไม่ว่านางจะดีกับพวกท่านเพียงใด สถานะของพวกท่านก็จะต้องเป็นทาสตลอดไป”


 


 


“แม่นางฮั้ว!” เหวินเปียวปรับเสียงสูง “ในสายตาแม่นางของพวกเรา พวกเราไม่ใช่ทาส แต่เป็นคนในครอบครัว”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงที่เกิดมาในครอบครัวชั้นสูง มีระบบธรรมเนียมเคร่งครัด นายก็คือนาย บ่าวก็คือบ่าว ไม่เข้าใจในคำพูดของเหวินเปียว ตะลึงค้างมองเขาและเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้น จิบอย่างเอื่อยเฉื่อยคำหนึ่ง ถึงพูดว่า “แม่นางฮั้วคงยังไม่ทราบ ข้าเกิดในชนบท ในสายตาข้าทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครสูงส่งกว่าใคร”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงยังไม่เข้าใจ เบิกตาโตถาม “อะไรคือเท่าเทียม”


 


 


สองมือที่ประคองถ้วยชาสั่นไหวเล็กน้อย แล้วกลับคืนสภาพเดิมโดยไวยิ้มพูดว่า “ก็คือทุกคนมีสถานะเหมือนกัน ไม่มีการแบ่งแยกว่านายหรือบ่าว”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงเข้าใจพลัน ถามอย่างไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้อย่างไร บ่าวก็คือบ่าว นายก็คือนาย จะไม่แบ่งแยกได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อาจอธิบายให้นางเข้าใจได้ จำต้องเบี่ยงเบนเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้แม่นางฮั้วมาเยี่ยมเหวินเปียว โดยแอบมาลำพัง หรือได้บอกกับคนที่บ้านไว้”


 


 


“ข้าบอกท่านพ่อไว้ เดิมเขาก็คิดจะตามมาด้วย แต่เกิดเรื่องที่โรงงานเครื่องหอมกะทันหัน เขาปลีกตัวมาไม่ได้ ข้าทนรอจะมากล่าวขอบคุณนายน้อยไม่ไหว จึงเข้ามาโดยลำพัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดแฝงความนัย “คุณหนูฮั้วสถานะสูงส่ง การที่ท่านมาด้วยตนเองเช่นนี้ เห็นได้ถึงใจจริงในคำขอบคุณของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ สมุนไพรที่ท่านนำมาให้ข้ารับไว้แทนเหวินเปียวเอง แต่ภายหน้า ขอคุณหนูฮั้วอย่าได้มาที่นี่อีก เมื่อครู่ท่านพูดเองว่าที่ตอนนี้สำนักคุ้มภัยต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านนำความเดือดร้อนมาให้ เช่นนั้นหากตอนนี้มีคนเฝ้าดูพฤติกรรมของเหวินเปียว จะต้องเห็นท่านด้วย หากเขานำความไปบอกเฮ่อเหลี่ยน เกรงว่าต่อไปพวกเราคงไม่ได้อยู่เป็นสุขเป็นแน่”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงเข้าใจความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยว พยักหน้าพูดทันควัน “ได้ ข้าทราบแล้ว ข้าจะเชื่อแม่นาง ต่อไปจะไม่เข้ามาอีก ข้าจะทิ้งที่อยู่ของข้าไว้ให้พวกเจ้า หากวันหน้ามีอะไรต้องการให้ข้าช่วย ให้คนแจ้งข่าวมาก็พอ” 

 

 


ตอนที่ 63 ขายฉางมิ่งสั่ว

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสาวใช้ไปหยิบพู่กันกระดาษมา


 


 


ฮั้วเซียงหลิงเขียนที่อยู่ลงไป ทั้งชี้สาวใช้ข้างกายบอกพวกเขาว่า “นางคือเซียงผิง เป็นสาวใช้ข้างกายที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่เด็ก หากพวกท่านต้องการพบข้า ให้บอกคนเฝ้าประตูว่ามาหานางก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


ฮั้วเซียงหลิงส่งสายตาให้บ่าววางกล่องสมุนไพรลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืน แสดงความคำนับเหวินเปียวอีกครั้ง “นายน้อย เซียงหลิงพูดคำไหนคำนั้น หากวันใดท่านต้องการไถ่ถอนตัว ให้รีบส่งข่าวมาบอกข้า บิดาข้าบอกไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใด พวกเราก็จะช่วยไถ่ถอนพวกท่านเอง”


 


 


เหวินเปียวพยักหน้ากล่าวขอบคุณ “ขอบคุณแม่นางฮั้วแล้ว ข้าไม่มีวันไถ่ถอนตัวเอง”


 


 


ฮั้วเซียงหลิงไม่พูดมากความอีก หลังจากกล่าวลาเมิ่งเชี่ยนโยวก็ออกไปจากห้องรับแขกพร้อมสาวใช้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ กำชับชิงหลวนให้ออกไปส่งพวกเขานายบ่าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองแผ่นหลังฮั้วเซียงหลิง คิดถึงคำพูดนาง ยกคิ้วขมวดมุ่น


 


 


เหวินเปียวยังคงรับความจริงนี้ไม่ได้ นั่งเหม่อลอยบนเก้าอี้ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ส่งเสียง นั่งอยู่กับเขาเงียบๆ


 


 


ครู่ใหญ่เหวินเปียวถึงส่งเสียงเคร่งขรึมถามขึ้น “แม่นาง ท่านว่าในตอนนั้นข้าทำผิดไปหรือไม่ ข้าไม่ควรยื่นมือเข้าช่วยแม่นางฮั้ว เช่นนั้นบิดาข้าก็จะไม่ต้องกระอักเลือดตาย พวกเราพี่น้องก็ไม่ต้องถูกตัดสินเป็นทาสหลวง ส่วนพี่น้องในสำนักคุ้มภัยก็ไม่ต้องพบหน้าใครไม่ได้เหมือนเช่นตอนนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่งตำหนิไปก่อน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของแม่นางฮั้ว จะเป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้สำนักคุ้มภัยต้องเดือดร้อนหรือไม่นั้น พวกเราต้องคิดหาวิธีเค้นความจริงจากปากเฮ่อเหลี่ยนก่อนค่อยว่ากัน สำหรับพรรคพวกของเจ้า เมื่อเจ้ารู้ว่าพวกเขาปลอดภัยดี เจ้าก็ไม่ต้องคิดคำนึงให้มากเกินไปอีก ข้าขอรับประกัน สักวันพวกเจ้าจะต้องได้พบหน้ากัน”


 


 


คนในสำนักคุ้มภัยยังอยู่รอดปลอดภัย นี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดของเหวินเปียวแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถึงพวกเขา ทำให้สีหน้าทุกข์ตรมของเหวินเปียวผ่อนคลายลงไม่น้อย “นั่นสิ คิดไม่ถึงเลยว่า พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เช่นนี้ต่อไปข้าจะได้ไม่ต้องนอนฝันร้าย ฝันเห็นพวกเขาตายอย่างน่าสังเวชในดินแดนทุรกันดารแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มละไม “ดูท่าเถ้าแก่ฮั้วก็เป็นคนจิตใจดี รอให้พวกเจ้าล้างมลทินหมดสิ้น เจ้าจะต้องขอบคุณเขาให้ดีเทียว”


 


 


เหวินเปียวเข้าใจนัยแฝงของนาง รีบร้อนโบกมือ “แม่นาง ตอนนี้ข้ามีเรื่องให้ทำมากพอแล้ว อย่าหาเรื่องมาให้พวกเรากลัดกลุ้มใจอีกเลย นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พวกเราปล่อยวางสำนักคุ้มภัยไปนานแล้ว ขอเพียงพวกเขายังอยู่รอดปลอดภัยดี จะได้รื้อการตัดสินหรือไม่ ไม่สำคัญอีกแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจี้ใจเขาอย่างไม่ไว้หน้า “เมื่อพวกเจ้าปล่อยวางแล้ว เหตุใดวันนั้นถึงอยากกลับไปดูสำนักคุ้มภัยอีก”


 


 


เหวินเปียวตอบไม่ได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “วางใจเถอะ การวางเพลิงในคุกครั้งนั้นให้บทเรียนแก่พวกเราแล้ว เรื่องนี้ข้าจะค่อยๆ วางแผนการ จะไม่บุ่มบ่ามเลินเล่ออีก พวกเจ้าก็ไม่ต้องใจร้อน ทำใจรอให้สบาย สักวันหนึ่ง ข้าจะให้พวกเจ้าได้เปิดสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนขึ้นอีกครั้ง”


 


 


เหวินเปียวติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาหลายปี รู้ว่านางเป็นคนพูดจริงทำจริง พูดแล้วไม่คืนคำ พยักหน้าอย่างตื้นตัน “ข้าเชื่อแม่นาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองเขา


 


 


กระทั่งเหวินเปียวปรับอารมณ์เป็นปกติแล้ว ถึงกำชับเขา “เรื่องในวันนี้ นอกจากเจ้ารู้ ข้ารู้แล้ว ห้ามบอกคนอื่นเป็นอันขาด ต่อให้เป็นเหวินหู่หรือเหวินเป้าก็ไม่ได้”


 


 


เหวินเปียวก็เป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายของนางทั้งพยักหน้าทันที “ทราบแล้วแม่นาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ลุกขึ้นเดินมาข้างโต๊ะ เปิดกล่องบรรจุสมุนไพรทุกใบออก มองดูสมุนไพรในกล่อง เลือกออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วมอบสมุนไพรพร้อมทั้งกล่องให้เขา พูดว่า “สมุนไพรพวกนี้มีประโยชน์ช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของพวกเจ้า เจ้านำกลับไป ให้พ่อครัวต้มให้ดื่ม ส่วนที่ข้าหยิบออกมานี้ไม่มีประโยชน์ เก็บเอาไว้ที่ข้าก่อน หากพวกเขาถามความ เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนให้ก็พอ”


 


 


เหวินเปียวรับคำ หยิบกล่องเดินออกไปจากห้องรับแขก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งจูหลีนำสมุนไพรที่เหลือไปเก็บไว้ในห้องตนเอง


 


 


ชิงหลวนส่งฮั้วเซียงหลิงและบ่าวออกไปแล้วกลับเข้ามารายงาน “นายท่าน แม่นางฮั้วนั่งรถม้าจากไปแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รู้แล้ว พวกเจ้าก็ออกไปเถอะ”


 


 


ชิงหลวนและจูหลีรับคำ โน้มตัวถอยออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่า วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เข้ามา ให้นึกกังขา เปล่งเสียงพูดไปด้านนอก “ชิงหลวน เจ้าไปถามคนในเรือนสิว่า วันนี้ซื่อจื่อเข้ามาหรือไม่”


 


 


ชิงหลวนรับคำ เดินออกไปถาม ไม่นานก็กลับเข้ามา “นายท่าน วันนี้ซื่อจื่อไม่ได้เข้ามาเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าเขาคงมีเรื่องติดขัด จึงไม่ได้ใส่ใจ บอกชิงหลวนนำสมุนไพรจำนวนหนึ่งออกมา นางจะสอนจำแนกตัวยาให้


 


 


หนึ่งวันผ่านไป


 


 


กระทั่งวันรุ่งขึ้น กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วเงินสองล้านตำลึงออกมาจาก**บมอบให้เมิ่งฉี


 


 


เมิ่งฉีพับเก็บใส่อกเสื้ออย่างระวัง


 


 


สองพี่น้องขึ้นบนรถม้า พาชิงหลวงและจูหลีมายังสถานที่หนึ่งใกล้กับร้านที่พระชายารองติดประกาศขาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนรถให้หยุดรถม้า


 


 


เมิ่งฉีลงจากรถม้าไปโดยลำพัง มุ่งหน้าเดินมายังร้านค้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้ชิงหลวนตามหลังไป


 


 


สาวใช้ของพระชายารองก็มารอที่หน้าร้านแล้ว เห็นเมิ่งฉีไม่มา กำลังเดินงุ่นง่านไม่เป็นสุขอยู่หน้าร้าน สายตาคอยสอดส่องไปทั่ว


 


 


กระทั่งเห็นเมิ่งฉีเดินเข้ามา ก็อดตำหนิบ่นขึ้นไม่ได้ “คุณชายท่านนี้ ทำไมถึงมาช้าแบบนี้นะ ข้ารอท่านมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว”


 


 


เมิ่งฉีแหงนหน้ามองท้องฟ้า พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ไม่ช้านะ วันนี้ข้าตั้งใจมาเร็วกว่าเวลานัดเมื่อวานเล็กน้อยด้วย”


 


 


พระชายารองไม่เคยคิดว่าสักวันจะต้องมอบสิทธิ์ดูแลบ้านคืน ดังนั้นช่วงที่เป็นคนดูแล จึงเชื่อคำแนะนำเฮ่อเหลี่ยน นำเงินส่วนกลางจำนวนไม่น้อยไปปล่อยกู้ ตอนนี้กลับถูกริบสิทธิ์คืนกะทันหัน นางรีบส่งคนไปบอกเฮ่อเหลี่ยน ให้เขาเก็บเงินที่นำไปปล่อยกู้กลับคืนมา แต่ยังไม่ครบกำหนด คนที่มากู้ยืมเงินไม่มีเงินคืนให้ เฮ่อเหลี่ยนก็ดันมาเกิดเรื่องขึ้นอีก พระชายารองไม่กล้ากลับไปคร่ำครวญ จำต้องแอบขายเครื่องแต่งงานของตัวเอง วันที่จะต้องคืนสิทธิ์การดูแลบ้านก็ใกล้เข้ามาทุกที กลับไม่มีใครถามไถ่สักคน พระชายารองกลัวเรื่องจะแดง ร้อนใจเหลือจะเอ่ย พอเมื่อวานสาวใช้กลับมาบอกความ พระชายารองโมโหจนแทบกระอักเลือด ในเวลาเดียวกันก็ยังดีใจที่อย่างน้อยก็มีคนยอมซื้อร้านค้าทั้งหมดในคราเดียว แม้เงินจะน้อยไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็พออุดรูรั่วได้บ้าง ส่วนที่เหลือนั้น นางค่อยคิดหาวิธีขายทรัพย์สินอย่างอื่น ดังนั้นวันนี้จึงให้สาวใช้มารอหน้าร้านแต่หัววัน


 


 


สาวใช้ก็กระวนกระวายใจ ทั้งกลัวเมิ่งฉีจะเปลี่ยนใจ พอเห็นเมิ่งฉีถึงได้พลั้งปากตำหนิไป


 


 


ได้ยินเมิ่งฉีตอบความ สาวใช้ถึงได้สติกลับมา เป็นตัวเองที่ใจร้อนไปเอง รีบผ่อนคลายน้ำเสียง ยกยิ้มพูดว่า “คุณชายอย่าถือสา ข้าที่ใจร้อนมาเร็วเอง”


 


 


เมิ่งฉีโบกมือไม่ใส่ใจ พูดอย่างมีมารยาท “หากข้ารู้ว่าแม่นางจะมาแต่เช้า ข้าคงจะมาเร็วกว่านี้ ลำบากแม่นางต้องรอนาน ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”


 


 


สาวใช้โบกมือเป็นพัลวัน แก้คำพูดใหม่ “ไม่ๆๆ คุณชายมาได้ถูกโมงยามแล้ว หากมาเร็วไป ทางการยังไม่เปิดประตู พวกเราก็ดำเนินเรื่องไม่ได้อยู่ดี”


 


 


เมิ่งฉีได้ฟัง แสดงสีหน้าประหลาดใจระคนยินดี “แม่นางหมายความว่า คุณหนูของเจ้ายินยอมจะขายให้ข้าในราคานี้แล้ว”


 


 


สาวใช้พยักหน้า “คุณหนูของพวกเราบอกว่า ราคาที่ท่านให้น้อยไปบ้างก็จริง แต่ท่านซื้อร้านทั้งหมดในคราเดียว สมควรต้องให้ส่วนลดพิเศษกับท่าน”


 


 


เมิ่งฉีเปล่งน้ำเสียงปลื้มปริ่ม ทั้งเอ่ยคำยกยอพระชายารอง “ต้องขอบคุณคุณหนูของพวกเจ้าแล้ว ข้าเข้ามาทำการค้าในเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ก็ได้เจอคนดีเช่นคุณหนูพวกเจ้า ภายหน้าการค้าของข้าจะต้องเจริญรุ่งเรือง ต่อไปหากคุณหนูของพวกเจ้าต้องการสิ่งของใดในร้านค้า ให้มาได้ทุกเมื่อ ข้าจะขายให้พวกเจ้าในราคาทุนเลย”


 


 


เดิมสาวใช้เห็นพระชายารองยอมขายร้านค้าในราคาต่ำเช่นนี้ ก็ให้ปวดใจยิ่งนัก ทั้งนึกเคียดแค้นชิงชังเมิ่งฉี คิดว่าเขาฉวยโอกาสกดราคาจนต่ำ ตอนนี้ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ความรู้สึกขุ่นมัวในใจสลายไปทันที พยักหน้ายินดี “เช่นนั้นก็ดี ถึงตอนนั้นท่านอย่ากลับคำพูดเล่า”


 


 


เมิ่งฉีพูดรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ


 


 


สาวใช้พูดขึ้นอีกว่า “ทั้งห้าร้านมีสินค้าค่อนข้างมาก ต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันถึงจะย้ายออกหมด ไม่ทราบว่าคุณชายพอจะผ่อนปรนเวลาสักระยะหนึ่งได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งฉีพูดอย่างเบิกบาน “ได้อยู่แล้ว สินค้าของข้ากว่าจะลำเลียงมาจากบ้านเกิดก็ต้องใช้เวลา ข้าจะให้เวลาแม่นางห้าวันก็แล้วกัน”


 


 


สาวใช้กล่าวขอบคุณด้วยความยินดี


 


 


ทั้งสองถึงเดินไปศาลาว่าการด้วยกัน


 


 


ชิงหลวนเว้นระยะตามหลังพวกเขาไป


 


 


ทั้งสองตกลงกันเรียบร้อย ไม่นานก็ดำเนินการโอนย้ายเสร็จ ต่างฝ่ายต่างประทับลายนิ้วมือลงในเอกสาร ร้านค้าทั้งห้าแห่งก็กลายเป็นของเมิ่งฉีอย่างสมบูรณ์


 


 


เมิ่งฉีล้วงตั๋วเงินออกมาจากอกเสื้ออย่างระวัง มอบให้สาวใช้


 


 


สาวใช้นับอย่างถี่ถ้วน แล้วแย้มยิ้มพูดว่า “ไม่มากไม่น้อย สองล้านตำลึงพอดี”


 


 


เมิ่งฉีพับโฉนดเป็นอย่างดี ใส่ไว้ในอกเสื้อ พูดอย่างห่วงใย “แม่นางถือตั๋วเงินจำนวนมากนี้คนเดียวเกรงจะไม่ปลอดภัย ให้ข้าไปส่งเจ้าเถอะ”


 


 


สาวใช้โบกมือ ยิ้มพูดว่า “ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ รถม้าของที่บ้านอยู่ไม่ไกลออกไป ข้าเพียงกวักมือ คนรถก็จะรีบเข้ามาแล้ว”


 


 


เมิ่งฉีพยักหน้า


 


 


ทั้งสองเดินออกมาจากศาลาว่าการ ไม่ไกลออกไปมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่จริงๆ สาวใช้กวักมือเรียก คนรถก็บังคับรถม้าเข้ามา สาวใช้ขึ้นบนรถม้า กล่าวอำลาเมิ่งฉี แล้วเร่งเร้าให้คนรถรีบกลับจวน


 


 


เมิ่งฉีรอจนรถม้าจากไปไกล ถึงหุบยิ้มลง พยักหน้าให้ชิงหลวนที่อยู่ไม่ไกล เดินกลับไปตามทางเดิม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านรถรอพวกเขานานแล้ว เห็นเมิ่งฉีกลับมา ใช้แววตาถามอย่างอดใจรอไม่ไหว


 


 


เมิ่งฉีส่งยิ้มเฉิดจรัสให้นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ทันทีว่าเรื่องสำเร็จแล้ว ให้ดีอกดีใจใหญ่


 


 


เมิ่งฉีขึ้นไปบนรถม้า ล้วงโฉนดห้าแผ่นออกมายื่นไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา มองดูอย่างถี่ถ้วน พบว่าล้วนแต่เป็นชื่อตนเอง ลอบขบคิด เอาไว้พอมีเวลา ค่อยเข้าไปเปลี่ยนชื่อที่ศาลาว่าการ ใส่ชื่อพี่น้องร้านละชื่อดีที่สุด


 


 


เมิ่งฉีไม่รู้ความคิดนาง เห็นนางไม่คัดค้าน ยังแอบลอบดีใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดูเสร็จ ก็ยื่นโฉนดคืนให้เมิ่งฉี


 


 


เมิ่งฉีรับมา พับอย่างดีแล้วเก็บใส่อกเสื้อ


 


 


หลังจากเมิ่งฉีขึ้นมาบนรถม้า คนรถก็บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปเมืองฝั่งเหนือ เมิ่งเชี่ยนโยวพลันนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง สั่งการคนรถ “เจ้าไปช้าๆ หาร้านเครื่องประดับสักร้าน ข้าจะซื้อฉางมิ่งสั่วให้ม่อเอ๋อร์”


 


 


คนรถรับคำ ผ่อนความเร็วลง คอยมองหาร้านค้าข้างทางว่ามีร้านเครื่องประดับหรือไม่


 


 


เดินทางมาได้ระยะหนึ่งถึงหาเจอ คนรถจอดรถม้าหน้าร้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า ส่งสายตาให้ชิงหลวนและจูหลีรออยู่ด้านนอก จึงเดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับพร้อมเมิ่งฉี


 


 


พนักงานในร้านออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ถามด้วยความอ่อนน้อม “ทั้งสองท่านต้องการซื้อเครื่องประดับเช่นไรขอรับ”


 


 


“ข้าต้องการซื้อฉางมิ่งสั่วให้หลาน ไม่ทราบว่าร้านพวกท่านมีหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


พนักงานตอบกลับอย่างกระตือรือร้น “มีๆๆ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการซื้อแบบใด ทองคำหรือเงินแท้ขอรับ”


 


 


“เอาออกมาให้ข้าดูว่าจะชอบแบบใด”


 


 


“ได้ขอรับ” พนักงานรับคำด้วยความยินดี “ทั้งสองท่านนั่งรอที่เก้าอี้ก่อนนะขอรับ ข้าจะไปเอาทั้งหมดออกมาให้เดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีนั่งบนเก้าอี้ที่ทางร้านเตรียมไว้รองรับลูกค้า พนักงานอีกคนก็รีบยกชาสองถ้วยเข้ามา วางไว้ตรงหน้าพวกเขาคนละถ้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำชาขึ้น จิบหนึ่งคำ พนักงานวางฉางมิ่งสั่วทั้งหมดไว้บนถาด นำออกมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าคนทั้งสอง “ฉางมิ่งสั่วทั้งหมดของร้านเราอยู่ตรงนี้แล้ว ทั้งสองท่านค่อยๆ ดูนะขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาในมือลง ดูฉางมิ่งสั่วไปทีละชิ้น สุดท้ายก็หยิบฉางมิ่งสั่วทองคำลวดลายประณีตชิ้นหนึ่งขึ้นมา ถามขึ้น “ข้าเอาชิ้นนี้ ราคาเท่าใด”


 


 


พนักงานเห็นนางเลือกฉางมิ่งสั่วชิ้นที่แพงที่สุดในร้าน พูดด้วยน้ำเสียงเจือแววปีติ “นี่เป็นแบบใหม่ล่าสุดที่พวกเราเพิ่งทำออกมา ใช้วัตถุดิบบริสุทธิ์ ฝีมือก็ประณีต ราคาแปดพันตำลึงขอรับ”


 


 


เป็นราคาที่เมิ่งเชี่ยนโยวคาดคิดไว้ ทว่านางก็ยังต่อรองออกไปว่า “ของกระจุ๋มกระจิ๋มสำหรับเด็กชิ้นหนึ่ง ราคาแปดพันตำลึงแพงเกินไป บอกราคาต่ำที่สุดมา หากเหมาะสมพวกเราก็จะซื้อ ถ้าไม่ได้พวกเราก็จะไปดูร้านอื่นต่อ”


 


 


พนักงานแสดงสีหน้าลำบากใจ พูดว่า “แม่นางก็เห็นแล้ว ฉางมิ่งสั่วชิ้นนี้ใช้ทองคำบริสุทธิ์ แค่ต้นทุนวัตถุดิบก็หลายพันตำลึงแล้ว บวกกับค่าแรงช่างฝีมือ พวกเราไม่ได้คิดเอากำไรเกินควรเลยขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางฉางมิ่งสั่วในมือลง ลุกขึ้นหันไปพูดกับเมิ่งฉีอย่างไม่แยแส “พี่รอง พวกเราไปดูเครื่องประดับร้านอื่นเถอะ”


 


 


เมิ่งฉีกำลังจะลุกขึ้น พนักงานก็เข้ามาขวางพวกเขา “อย่าๆๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน แม่นางพอจะให้ได้เท่าไรขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งไม่ขยับ พูดว่า “หกพันห้าร้อยตำลึง หากพวกท่านตกลง พวกเราจะจ่ายเงินให้ทันที”


 


 


พนักงานเริ่มกระสับกระส่าย ส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง พูดว่า “ไม่ได้ขอรับ หกพันห้าร้อยตำลึงไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


“เช่นนั้นท่านบอกราคาที่ให้ได้มา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


พนักงานยื่นมือออกไปทำเป็นตัวเลข “เจ็ดพันห้าร้อยตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ขาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งมองท้องฟ้าด้านนอกแวบหนึ่ง พูดว่า “พวกเรายังมีธุระด่วนต้องไปจัดการ ข้าจะเพิ่มให้พวกท่านอีกหน่อย หกพันแปดร้อยตำลึง หากได้ พวกเราก็จะเอาไปด้วย หากไม่ได้ก็ช่างเถอะ ท่านจะว่าอย่างไร”


 


 


พยักหน้าเห็นนางยืนกรานเด็ดขาด เหมือนมีธุระด่วนจริงๆ ไม่กล้ายืนหยัดราคาเดิมของตัวเอง “ราคานี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ พวกท่านรอสักครู่ ข้าจะไปถามหลงจู๊ก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ทำท่าทำทางรีบร้อน “รีบไปเถอะ พวกเราจะรอ”


 


 


พนักงานวิ่งแนบเข้าไปหลังร้าน ครู่ใหญ่ถึงวิ่งย้อนกลับออกมา พูดว่า “หลงจู๊บอกให้ขายให้พวกท่านขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจ ส่งสายตาให้เมิ่งฉีล้วงเงินออกมา


 


 


เมิ่งฉีล้วงตั๋วเงินออกมามอบให้พนักงาน พนักงานนับอย่างถี่ถ้วน แล้วบรรจุฉางมิ่งสั่วลงในกล่องงดงามใบหนึ่งต่อหน้าพวกเขา บรรจงมอบให้พวกเขา “แม่นาง พวกเราไม่ได้กำไรจากฉางมิ่งสั่วชิ้นนี้จากพวกท่านเลย ครั้งหน้าหากต้องการสิ่งใดจะต้องมาซื้อที่ร้านพวกเรานะขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เครื่องประดับร้านพวกท่านเนื้องานประณีต เอาไว้ข้ามีเวลา จะมาเลือกกลับไปอีกสองสามชิ้น”


 


 


พนักงานได้ยินคำพูดตอบกลับของนาง ก็ให้ดีใจยกใหญ่ ออกมาส่งทั้งสองคนถึงหน้าประตู มองดูพวกเขาขึ้นรถม้าจากไปไกล ถึงหันหลังเดินกลับเข้าร้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งในรถม้า เปิดกล่องออกดูอย่างอดใจไม่ได้ ทั้งหยิบฉางมิ่งสั่วออกมาพินิจดูไม่วางตา


 


 


เมิ่งฉีเห็นนางชื่นชอบมาก พูดหยอกเย้านาง “เมื่อวานพวกเราเพิ่งจะซื้อโรงงานได้ในราคาต่ำ วันนี้เจ้ากลับจ่ายเงินจำนวนมากนี้เพื่อซื้อฉางมิ่งสั่ว ใต้เท้าเปาคงไม่คิดว่าพวกเราติดสินบนเขาดอกนะ”


 


 


“ไม่ดอกเจ้าค่ะ ใต้เท้าเปารู้ว่าข้ามีนิสัยเช่นไร เรื่องแบบนั้นข้าไม่เคยคิดจะทำ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบหนักแน่น


 


 


เมิ่งฉีเพียงคิดจะแหย่เย้านาง เห็นท่าทีแน่วแน่ จึงไม่พูดอะไรอีก หยิบฉางมิ่งสั่วในมือนางมาพินิจดู เป็นฉางมิ่งสั่วที่ประณีตมากจริงๆ จนอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ไม่รู้ว่าร้านพวกเขารับสั่งทำหรือไม่ เอาไว้ตอนข้ากลับไปจะสั่งทำให้ฮวนเอ๋อร์สักชิ้น”


 


 


เขาเพิ่งจะพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดสวนทันควัน “เรื่องนี้ข้าคิดไว้แล้ว อีกไม่กี่วันพอมีเวลาว่าง ข้าจะวาดแบบร่าง แล้วหาร้านเครื่องประดับสั่งทำให้ฮวนเอ๋อร์สักชุด ไม่เพียงมีฉางมิ่งสั่ว แต่จะทำกำไลข้อมือให้ด้วย”


 


 


ตอนที่เมิ่งเส้าเกิด เมิ่งเชี่ยนโยวก็วาดแบบร่าง ให้ร้านเครื่องประดับในตำบลทำตามแบบ บัดนี้ทั้งตำบลชิงซีไม่มีแบบใหม่แล้ว เมิ่งฉีได้ยินแบบนั้นก็ให้ปลื้มปริ่มใจ พูดด้วยความปีติ “เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้าแทนฮวนเอ๋อร์แล้ว”


 


 


ระหว่างที่พูดคุยก็มาถึงเมืองฝั่งเหนือ คนรถร้องถาม “นายหญิงขอรับ พวกเราจะไปโรงงานหรือไปบ้านใต้เท้าเปาก่อนขอรับ”


 


 


“ไปบ้านใต้เท้าเปาก่อนเถอะ ข้าจะไปถามถึงราคาค่าแรงของคนงานค่อยไปโรงงาน”


 


 


คนรถรับคำ บังคับรถม้าตรงมาจวนเปา


 


 


พ่อบ้านรออยู่หน้าประตูแล้ว เห็นพวกเขาเข้ามา ก็ยกยิ้มเดินเข้ามาพูดทันทีว่า “ใต้เท้าบอกว่าแม่นางเมิ่งและคุณชายเมิ่งจะเข้ามา ให้ข้ามารอรับพวกท่านหน้าประตูขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีพยักหน้าให้พ่อบ้าน จากนั้นเดินตามเขาเข้าไปในจวน จนมาถึงห้องรับแขก


 


 


ฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยพาม่อเอ๋อร์เข้ามารออยู่แล้ว เห็นทั้งสองเข้ามา ซุนฮุ่ยแย้มยิ้มถาม “เหตุใดถึงมาสายเช่นนี้ ข้านึกว่าพอเจ้ากินข้าวเช้าเสร็จก็น่าจะเข้ามาเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “มีเรื่องต้องทำระหว่างทาง ทำให้มาช้า” ว่าแล้วก็ย่อตัวลงกวักมือเรียกม่อเอ๋อร์


 


 


ม่อเอ๋อร์วิ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวคนแปลกหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดกล่องในมือออก นำฉางมิ่งสั่วคล้องไว้ที่คอเขา แล้วยิ้มถาม “นี่เป็นของขวัญที่อาซื้อให้ม่อเอ๋อร์ ม่อเอ๋อร์ชอบหรือไม่”


 


 


ม่อเอ๋อร์ยังไม่ทันได้พูด เสียงตกใจของฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยก็ดังขึ้นพร้อมกัน “รับไว้ไม่ได้นะ ของขวัญนี้สูงค่าเกินไป”

 

 

 


ตอนที่ 64-1 เปาชิงเหอดีใจหน้าบาน

 

ว่าแล้ว ซุนฮุ่ยก็รีบเดินเข้ามา หมายจะถอดฉางมิ่งสั่วที่คล้องคอม่อเอ๋อร์ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบยื่นมือเข้าไปขวางนาง รอยยิ้มบนใบหน้าจางหาย ถามอย่างไม่ยินดี “พี่ฮุ่ยเอ๋อร์จะไม่ไว้หน้าข้าหรือ”


 


 


ซุนฮุ่ยลนลานโบกมือ น้ำเสียงร้อนรน “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าอย่าเข้าใจผิด แต่ของขวัญของเจ้าสูงค่าเกินไป พวกเราไม่เหมาะจะรับไว้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชักน้ำเสียงเข้ม “ข้าเป็นอาของม่อเอ๋อร์ ซื้อของขวัญให้เขาก็สมควรแล้ว พี่ฮุ่ยเอ๋อร์บอกข้าหน่อยว่ามีตรงไหนไม่เหมาะสม”


 


 


ซุนฮุ่ยเริ่มพูดละล่ำละลัก “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าซื้อของขวัญให้ม่อเอ๋อร์ไม่เหมาะสม แต่การที่เจ้าซื้อของขวัญสูงค่าให้เขาเช่นนี้ต่างหากที่ไม่เหมาะสม”


 


 


“สูงค่าหรือ ข้าไม่เห็นรู้สึกเลย แค่รู้สึกว่าสวยดีก็เลยซื้อมา” ว่าแล้วก็เข้าไปดึงม่อเอ๋อร์เข้ามา ให้เขาอิงแอบอยู่ในอ้อมอกตนเอง ถามด้วยน้ำเสียงละมุนอีกครั้ง “ม่อเอ๋อร์ชอบของขวัญที่อาให้หรือไม่”


 


 


ม่อเอ๋อร์ใช้มือกระจิริดกำฉางมิ่งสั่วไว้แน่น แหงนหน้ามองซุนฮุ่ยไม่ตอบอะไรอย่างรู้ความ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตัดพ้อซุนฮุ่ย “เจ้าดูเถิด ทำเด็กตกใจหมดแล้ว” ว่าแล้วก็อุ้มม่อเอ๋อร์ ลุกขึ้นเดินไปนั่งบนเก้าอี้


 


 


ซุนฮุ่ยคิดจะพูดอีก เปาชิงเหอก็ชิงพูดขึ้นก่อน “แม่นางเมิ่งไม่ใช่คนอื่น เมื่อนางซื้อของให้ม่อเอ๋อร์ก็รับไว้เถอะ”


 


 


พูดจบ ก็หันไปส่งสายตาให้ฮูหยินเปา


 


 


ฮูหยินเปาเข้าใจพลัน รู้ว่าเขามีความคิดจะคืนน้ำใจนี้กลับไป จึงยิ้มพูดว่า “นั่นสิ ฮุ่ยเอ๋อร์ นี่เป็นน้ำใจจากแม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าปฏิเสธอีกเลย”


 


 


ซุนฮุ่ยเห็นฮูหยินเปาที่อยู่ๆ ก็เห็นดีเห็นงามด้วย มองนางด้วยความกังขา


 


 


ฮูหยินเปากะพริบตาให้นาง ซุนฮุ่ยแม้จะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร กลับเอ่ยปากพูดกับม่อเอ๋อร์อย่างจนใจ “ม่อเอ๋อร์ รีบขอบคุณท่านอา”


 


 


ม่อเอ๋อร์เห็นว่ามารดายอมตกลงแล้ว มือน้อยยิ่งกำฉางมิ่งสั่วแน่นขึ้น ใบหน้าขาวลออเผยรอยยิ้มเจิดจ้า เอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงใสกังวาน “ขอบคุณท่านอา”


 


 


ตนเองในอดีตชาติเมื่ออายุได้ห้าขวบ ก็ถูกองค์กรจับตัวไป เริ่มต้นการฝึกซ้อมอย่างเ**้ยมโหดต่างๆ นานา ไม่เคยได้มีความสุขในช่วงเยาว์วัย ดังนั้นในชาตินี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงมีความรู้สึกกับเด็กเป็นพิเศษ เห็นม่อเอ๋อร์น่ารักรู้ความ หากไม่เพราะไม่ถูกกาลเทศะ นางคงจับเขากอดหอมสักฟอดไปแล้ว แต่ทำได้เพียงก้มหน้าพูดอย่างอ่อนโยน “เด็กดี ไม่ต้องขอบใจดอก”


 


 


ฮูหยินเปากวักมือเรียกม่อเอ๋อร์ “มาหาย่านี่เร็ว”


 


 


ม่อเอ๋อร์ขยับตัวออกจากอ้อมอกเมิ่งเชี่ยนโยว วิ่งเข้าไปหาฮูหยินเปา


 


 


ฮูหยินเปาลุกขึ้น จูงมือม่อเอ๋อร์ ยิ้มพูดว่า “พวกเจ้ามีเรื่องสำคัญต้องพูดคุย ข้าและฮุ่ยเอ๋อร์จะพาเขาออกไปเดินเล่น”


 


 


เปาชิงเหอเห็นพวกเขาสามคนออกไปแล้ว พูดว่า “เมื่อวานข้าให้คนสืบถามมาแล้ว เงินค่าแรงของคนงานที่นี่คือวันละแปดสิบอีแปะ ตอนเที่ยงพวกเขาจะพกอาหารแห้งมาเอง พวกเราเพียงเตรียมน้ำร้อนไว้ให้พวกเขาก็พอ”


 


 


คนงานที่บ้านนอกยังวันละห้าสิบอีแปะ เมืองที่ค่าครองชีพสูงอย่างเมืองหลวง แปดสิบอีแปะถือว่าไม่สูงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ค่าแรงไม่สูงมาก แต่ตอนเที่ยงได้กินเพียงอาหารแห้ง ตอนบ่ายจะมีแรงได้อย่างไร เอาอย่างนี้เถอะ พวกเราจะหาแม่ครัวสักคน ให้มาทำอาหารเที่ยงให้พวกเขา ค่าแรงของแม่ครัวจะให้ครึ่งเดียว ก็คือสี่สิบอีแปะก็พอเจ้าค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอไม่มีความรู้เรื่องการค้า เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ จะต้องใคร่ครวญมาแล้ว จึงพูดว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าจัดการก็พอ เจ้ายังมีอะไรต้องการให้ข้าช่วยอีกหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มี ข้ากับพี่รองจะไปโรงงาน รวบรวมคนงาน ซ่อมแซมหลังคาที่รั่วให้เรียบร้อยก่อน ค่อยว่ากันเจ้าค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอลุกขึ้น “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย เลี่ยงไม่ให้เกิดการแย่งชิงการทำงาน พวกเจ้าจะบาดเจ็บเอาได้”


 


 


เมื่อวานภาพที่พวกเขาถูกล้อมไว้ตรงกลางก็เห็นๆ อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ปฏิเสธ ลุกขึ้นพร้อมเมิ่งฉี แล้วมุ่งหน้าไปโรงงานด้วยกัน


 


 


กลุ่มคนเมื่อวานมารอหน้าประตูโรงงานแล้ว พอเห็นพวกเขาสามคนเข้ามา ก็รีบโค้งตัวพยักหน้า ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “ใต้เท้า นายหญิง”


 


 


เปาชิงเหอผงกศีรษะ


 


 


คนทั้งหมดเปิดทางออก เมิ่งฉีหยิบกุญแจออกมาไขประตูโรงงาน เปิดให้คนทั้งหมดเข้าไปด้านใน


 


 


เมิ่งฉีนำคนทั้งหมดเดินวนรอบโรงงานหนึ่งรอบ ชี้บริเวณที่รั่วซึมถามพวกเขาว่าจะซ่อมอย่างไร ต้องใช้อะไรบ้าง


 


 


คนงานตรวจดูอย่างละเอียด เห็นว่ามีเพียงหลังคาที่มีการรั่วซึม จึงประเมินแล้วพูดว่า “นายท่าน รูรั่วบนหลังคาไม่ถือว่ารุนแรง วิธีที่ประหยัดที่สุดก็คือใช้ฟางข้าวมาปูทับเป็นชั้นๆ ก็ได้แล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งฉีส่ายหน้า “ใช้ฟางข้าวไม่ได้ หากหิมะตกในฤดูหนาว น้ำหิมะจะไหลเข้ามาได้ ถึงตอนนั้นจะส่งผลกระทบต่อคนงานที่ทำงานภายใน”


 


 


คนงานคนหนึ่งลองเอ่ยปากพูดว่า “หากจะไม่ให้มีน้ำฝนไหลซึม ก็พอกดินเลนหนาๆ บนฟางข้าวอีกชั้นก็ได้ขอรับ”


 


 


ไม่แปลกที่คนงานจะคิดวิธีนี้ได้ เพราะบ้านพวกเขาเองก็สร้างขึ้นมาเช่นนี้ ทั้งประหยัดเวลาและประหยัดเงิน


 


 


เมิ่งฉียังคงส่ายหน้า พูดกับคนงาน “พวกเจ้าลองขึ้นไปดูว่า วัสดุดั้งเดิมของหลังคาคืออะไร ตอนนี้ใช้วัสดุชนิดไหน”


 


 


คนงานไม่ต้องขึ้นไปดูก็รู้ว่าใช้กระเบื้อง แต่นายท่านสั่งการแล้ว คนงานจึงต้องไปหาบันไดมาปีนขึ้นไป ตรวจดูบริเวณที่รั่วซึมอย่างระมัดระวัง แล้วตะโกนบอกเมิ่งฉีจากด้านบน “นายท่าน หากยังจะใช้กระเบื้อง จะต้องใช้จำนวนมากอยู่ขอรับ”


 


 


เมิ่งฉีแหงนหน้า เปล่งเสียงตอบกลับ “พวกเจ้าตรวจดูรอยรั่วทั้งหมด แล้วคำนวณคร่าวๆ ว่าต้องใช้กระเบื้องเท่าใด ข้าจะให้คนไปซื้อ”


 


 


เปาชิงเหอยืนอยู่อีกด้านข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว ได้ยินพวกเขาพูดกัน จึงพูดว่า “แม่นางเมิ่งเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ยังไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวงดี ให้ข้าสั่งบ่าวที่คล่องแคล่วช่วยพวกเจ้าเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็คิดถึงปัญหาข้อนี้ อยู่ๆ เปาชิงเหอก็หยิบยื่นให้ ดีใจกล่าวขอบคุณ “ข้ากำลังกลัดกลุ้มใจเพราะเรื่องนี้อยู่พอดี ใต้เท้าเปาคิดแทนข้าแล้ว ขอบคุณท่านจริงๆ”


 


 


เปาชิงเหอโบกมือ “ไยต้องเกรงใจ เจ้าเปิดโรงงานได้เร็วขึ้นหนึ่งวัน คนที่รอทำงานก็จะหาเงินได้เร็วขึ้นหนึ่งวัน บางทีอาจจะไม่ต้องขายลูกกินแล้ว”


 


 


“เมืองฝั่งเหนือมีขุนนางดีเช่นท่านปกครองดูแล ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เปาชิงเหอถอนใจส่ายหน้า “สตรีไร้ข้าวสารไม่อาจหุงข้าวได้ ข้าก็แค่มีใจแต่ไร้กำลัง สี่ปีมานี้ ข้าคิดหาวิธีนับไม่ถ้วน ก็ไม่อาจแก้ปัญหาความยากแค้นของชาวเมืองได้ บัดนี้ เจ้าจะมาเปิดโรงงาน ต่อให้รับสมัครคนงานแค่หนึ่งหรือสองร้อยคน ก็คือว่าได้ขจัดปัญหาใหญ่ไปได้ อีกทั้งมีหนึ่งย่อมมีสอง บางทีเพราะการขับเคลื่อนของเจ้า ภายหน้าก็อาจจะมีคนไม่น้อยเข้ามาเปิดโรงงานในเมืองฝั่งเหนือก็เป็นได้ ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นชาวเมืองฝั่งเมืองจะได้มีงานทำทุกคน ไม่ต้องอดยากอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหงึก “ขอเพียงใต้เท้าเปายังอยู่เมืองฝั่งเหนือนี้ จะต้องมีวันนั้นแน่ๆ เจ้าค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอได้ยินวาจานางให้นึกครึ้มใจ หัวเราะร่วนพูดว่า “แม่นางเมิ่งช่างจำนรรจานัก หวังให้วันนั้นมาถึงโดยไวเถอะ” ว่าแล้วก็พูดขึ้นว่า “เจ้าส่งคนของเจ้ากลับไปบอกพ่อบ้าน ให้เขาส่งบ่าวที่คล่องแคล่วเข้ามา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวน “เข้ากลับไปหาพ่อบ้าน นำคำของใต้เท้าเปาแจ้งแก่เขา”


 


 


ชิงหลวนรับคำ หมุนตัวเร่งฝีเท้าเดินออกไป


 


 


ไม่นานก็นำบ่าวนายหนึ่งกลับมา


 


 


บ่าวเดินมาตรงหน้าเปาชิงเหอ ขานเรียกอย่างพินอบพิเทา “ท่านใต้เท้า!”


 


 


เปาชิงเหอสั่งการเขา “ช่วงสองสามวันนี้ ให้เจ้าคอยอยู่โรงงาน ดูว่าแม่นางเมิ่งต้องการสิ่งใด เจ้าจงไปจัดการเรื่องแทนนาง”


 


 


บ่าวขานรับคำ หันไปทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ช่วงเวลานี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”


 


 


บ่าวรีบร้อนโบกมือ “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว การได้ช่วยแม่นางเมิ่ง เป็นเกียรติของผู้น้อยแล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาพูดจาเรียบร้อย มีความคล่องแคล่วกระตือรือร้น พยักหน้าพึงพอใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)