ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 57-60
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 57 มองการณ์ไกล
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป
หลินหันเยียนคลายแววตาอันมุ่งมั่นลง นางคิดถึงใบหน้าของหวงฝู่อวี้ แล้วยิ้มพลางหลับตา และนอนหลับไปอย่างสบายใจ
“คุณหนูหลินเหนื่อยแล้ว ให้นางพักผ่อนเถอะ พวกท่านพยายามอย่าเข้าไปรบกวนนางเลยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกนอกห้องไป พูดกับครอบครัวหลินในลานบ้าน
ทุกคนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้หลินฉงเหวิน “ยาเม็ดนี้ดีต่อแผลของท่าน ท่านทานลงไปแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถิด”
หลินฉงเหวินไม่ได้รับไว้ “ขอบคุณซื่อจื่อเฟย แต่ข้าไม่ต้องการ”
ฮูหยินหลินกลับเดินขึ้นหน้า รับไว้ให้แทน แล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณซื่อจื่อเฟย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เสด็จพ่อ อี้เซวียน เรากลับกันเถอะ”
อ๋องฉีหันหลังเดินออกไป หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังไป
หลังจากกลับถึงเรือนของตนพวกเขาก็นั่งลง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าสถานการณ์ของหลินหันเยียนให้ทั้งสองฟัง
อ๋องฉีไม่พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นเดินไปข้างโต๊ะแล้วเริ่มฝนหมึก
เมื่อเขียนเสร็จ กำลังจะเรียกโจวอันส่งคนให้ส่งจดหมายไปที่เมืองหลวง ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาถูกตนส่งไปตรวจสอบเรื่องเจ้าของเบื้องหลังหอนางโลมชิงเฟิงแล้ว ส่วนองครักษ์ลับก็ถูกส่งตัวกลับไปเมืองหลวงตั้งแต่ก่อนจะพบหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว
“ส่งทางศาลาพักม้าเถอะ ส่งเร่งด่วนแปดร้อยลี้” เมิ่งเชี่ยนโยวเสนอ
“ไม่ได้ ศาลาพักม้าเป็นสถานที่ที่ไว้ส่งสาส์นสำคัญของการทหาร เรื่องส่วนตัวเช่นนี้จะใช้เป็นเรื่องเร่งด่วนแปดร้อยลี้ได้อย่างไร” อ๋องฉีคัดค้าน
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่เห็นด้วย หากมีหนึ่งย่อมมีสอง หากต่อไปผู้อื่นมีเรื่องส่วนตัวก็จะทำเช่นนี้ด้วย จะทำเอาวุ่นวายและลำบากกันไปหมด เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นว่า “ส่งไปที่ร้านบะหมี่มันฝรั่งเถอะ ให้เถ้าแก่คิดหาวิธีส่งจดหมายกลับเมืองหลวงให้ได้ภายในสามวัน”
เสี่ยวเอ้อร์ในร้านบะหมี่มันฝรั่งเป็นคนสามัญชนทั้งนั้น ไม่สามารถเร่งการเดินทางอย่างไม่รู้วันรู้คืนอย่างองครักษ์ลับ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงนำจดหมายสอดเข้าไปในอ้อมอกของตนอย่างไม่มีทางเลือก “เมืองชิงหยางไม่ไกลนัก ข้าไปเองได้ จะรีบกลับมาก่อนค่ำเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่วางใจ “ข้าไปกับเจ้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “มิต้องหรอก พวกเจ้าพักผ่อนเถอะ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ต้องเจอศึกหนักอีก ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
หลังจากที่เกิดเรื่องการลักลอบเข้าพรมแดนของท่าป๋าหั่นมู่ จนหวงฝู่เย่าเย่ว์เกือบถูกลักพาตัวไปอีกครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่สามารถวางใจลงได้อยู่ดี เขาจึงยืนกรานจะไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ตอบตกลง
ทั้งสองจูงม้าออกจากกองบัญชาการ มุ่งไปทางเมืองชิงหยาง
เมืองชิงหยางอยู่กึ่งกลางระหว่างชายแดนและตำบลชิงหยาง ระยะทางประมาณห้าสิบลี้ ไม่ห่างกันมากเกินไป ตอนนั้นเถ้าแก่เมืองชิงหยางไปสมัครงานที่เมืองหลวง เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตั้งใจจะเปิดร้านในแดนไกลแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ค่าใช้จ่ายที่เหวินเปียวต้องส่งมันฝรั่งมา ก็พอๆ กับรายได้ห้าสิบในร้อยของร้านบะหมี่มันฝรั่งแล้ว หักค่าเช่าร้านและค่าจ้างของเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์อีก รวมๆ แล้วหนึ่งปีก็แทบจะไม่ได้กำไร แต่หวงฝู่อี้เซวียนโน้มน้าวนางไว้ “เมืองชิงหยางใกล้กับชายแดนมาก เมืองชายแดนก็เปิดตลาดกับรัฐข้างเคียงแล้ว ไม่แน่ว่าบะหมี่มันฝรั่งนี้จะแพร่หลายไปที่รัฐอื่นก็ได้ ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะได้กำไรมหาศาลเลยล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยอมตกลง และไม่คิดว่าวันนี้จะได้ใช้ประโยชน์จากร้านนี้ด้วย
เถ้าแก่ร้านบะหมี่มันฝรั่งของเมืองชิงหยางแซ่เฉิง ตอนนั้นที่เข้าเมืองหลวง เขาก็แค่คิดในใจว่าจะลองดู ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากมาย แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายกลับสำเร็จ เมื่อตนได้เป็นเถ้าแก่ก็เป็นมาสิบกว่าปี นอกจากเงินเดือนที่สูงและมั่นคงแล้ว ซื่อจื่อเฟยก็ไม่เคยแข็งกร้าวกับเสี่ยวเอ้อร์ เขาจึงได้ทำงานอย่างสบายใจและมีแรงกายที่ดี มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าทุกวัน
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมาถึง ก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว ผ่านพ้นเวลาเที่ยงช่วงเวลาที่คนหนาแน่นมากที่สุดไปแล้ว มื้อเย็นก็ยังไม่ถึงเวลา ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเถ้าแก่หรือว่าเสี่ยวเอ้อร์ต่างก็นั่งพักผ่อนอยู่ในร้าน
ทั้งสองหยุดม้าไว้หน้าร้านบะหมี่มันฝรั่ง เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์คิดว่ามาเป็นลูกค้าที่มากินบะหมี่มันฝรั่ง พลันมีแรงขึ้นมาทันที เถ้าแก่รับเดินไปหลังโต๊ะเก็บเงิน ส่วนเสี่ยวเอ้อร์ก็วิ่งเหยาะออกมา ยิ้มต้อนรับ “เรียนเชิญทั้งสองขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปข้างในพลางถามว่า “เถ้าแก่ของพวกเจ้าล่ะ”
เสี่ยวเอ้อร์ชะงักเล็กน้อย ตะโกนเข้าไปในร้าน “เถ้าแก่ มีคนมาหาขอรับ”
เถ้าแก่เงยหน้า ยิ้มถามว่า “ลูกค้าหาข้ามีธุระ…” แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบเดินออกมาจากข้างหลังโต๊ะรับเงิน ถามอย่างประหลาดใจว่า “นายหญิง เหตุใดจึงมาขอรับ”
เถ้าแก่ร้านบะหมี่มันฝรั่งทุกคนจะต้องเข้าเมืองหลวงปีละครั้งก่อนถึงวันขึ้นปีใหม่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า นางถามขึ้นทันทีว่า “ในร้านมีเสี่ยวเอ้อร์ที่ร่างกายกำยำแข็งแรงไหม”
เถ้าแก่ชะงัก ถามหยั่งเชิงว่า “นายหญิง ท่านหมายถึง…”
“ช่วยข้าส่งจดหมายไปเมืองหลวง ระยะทางกว่าพันลี้ ต้องส่งให้ถึงภายในสามวัน ร่างกายต้องแข็งแรงพอ”
เถ้าแก่เข้าใจทันที รีบสั่งเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่ง “ไป เข้าไปเรียกจู้จื่อมา”
เสี่ยวเอ้อร์รีบวิ่งไปข้างหลัง ผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำก็เดินตามเขาออกมา
เถ้าแก่แนะนำ “นายหญิง นี่คือจู้จื่อขอรับ เป็นหลานของข้า ตอนเด็กเคยฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้าง ร่างกายก็แข็งแรง ให้เขาไปภายในสามวันรับรองว่าส่งให้ท่านได้แน่นอนขอรับ”
หลังจากสำรวจดูจู้จื่อครู่หนึ่ง เห็นว่าเขาร่างสูงใหญ่และแข็งแรงดี เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้า “ได้ เขาเลยแล้วกัน ให้เขานำเศษเงินตำลึงและตั๋วเงินเล็กน้อยติดตัวไปด้วย หลังจากเก็บของเสร็จแล้วออกมาพบข้า”
เถ้าแก่ขานรับ นำจู้จื่อไปหลังเรือน ขณะที่เก็บของจำเป็นให้เขาไป ก็พูดกำชับเรื่องที่เขาต้องทำไปด้วย “นายหญิงมาด้วยตัวเองแบบนี้ แสดงว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแน่ จำที่ข้าพูดไว้ เจ้าต้องทำให้ดี”
จู้จื่อพยักหน้า ขานรับเสียงทุ้มใหญ่ว่า “ขอรับ ท่านลุง ข้ารู้แล้ว ข้าจะส่งจดหมายให้ถึงมือ ไม่ทำให้ท่านขายหน้าขอรับ”
หลังจากทั้งสองเก็บของเสร็จแล้วเดินออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นจดหมายไปให้จู้จื่อ
จู้จื่อรับมา ค่อยๆ สอดเข้าในอ้อมอก
จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นป้ายแขวนเอวให้เขา “หลังจากเจ้าเข้าเมืองแล้ว ให้ไปจวนอ๋องทันที แล้วแสดงป้ายหยกชิ้นนี้ให้คนเฝ้าประตู บอกว่ามาหาคุณชายรอง เขาจะนำเจ้าเข้าไปเอง”
จู้จื่อขานรับอย่างนอบน้อม
“อีกอย่าง จำไว้ว่าอย่าไปทางลัด เมื่อรู้สึกว่าม้าไปต่อไม่ไหวแล้ว ก็รีบซื้อใหม่อีกตัว ไม่ต้องเสียดายเงิน ให้รีบส่งจดหมายให้ถึงมือเร็วที่สุดจะเป็นการดี”
“ขอรับ นายหญิง ข้าเข้าใจแล้ว”
“หลังจากส่งจดหมายแล้ว เจ้าพักผ่อนในเมืองหลวงก่อนสองสามวันค่อยกลับมาก็ได้ หากอยากเดินเล่นในเมืองหลวงก็ย่อมได้ คนจวนอ๋องจะช่วยจัดแจงให้เจ้าเอง”
นัยน์ตาจู้จื่อพลันมีแสงประกายวาววับ โตมาขนาดนี้ อย่าว่าแต่ไปเมืองหลวงเลย แม้แต่เมืองชายแดนที่อยู่ใกล้เมืองชิงหยางเขาก็ยังไม่เคยไปเลย ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะได้ไปเมืองหลวง ยังได้ไปเที่ยวเล่นที่นั่นด้วย นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยแม้แต่จะฝัน เขาจึงดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น แล้วรีบกล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณนายหญิง ขอบคุณนายหญิงขอรับ”
“ไปเถอะ ข้างนอกมีม้าอยู่” จู้จื่อขานรับ วิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วปานสายลม ถือบังเ**ยนแล้วขึ้นควบม้า ขี่ม้าจากไป
เสี่ยวเอ้อร์ในร้านมองเขาด้วยความอิจฉา
“นายหญิงเชิญนั่งขอรับ ข้าจะสั่งคนไปยกชามาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ก็ตั้งสติได้ รีบไปต้มน้ำที่หลังร้าน ในร้านจึงว่างเปล่าอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวมีเรื่องอยากคุยด้วยพอดี จึงนั่งลงกับหวงฝู่อี้เซวียน หลังจากกวาดตามองในร้าน เห็นว่าสะอาดสะอ้านไปทั่ว ไม่มีแม้แต่ฝุ่น ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากพายุในทะเลทรายจนทำให้ร้านสกปรกเละเทะเลย นางจึงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเอ่ยปากชม “ร้านสะอาดมาก ดีกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย ลำบากเถ้าแก่เฉิงมาแล้ว”
เถ้าแก่ได้รับคำชมเชยอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ เขารีบตอบกลับทันที “นายหญิง ท่านก็พูดไปขอรับ ร้านนี้ข้าก็มีส่วน แม้จะไม่ทำเพื่อท่าน แต่ทำเพื่อข้าเอง ก็ต้องดูแลให้ดีขอรับ”
เมื่อครั้นรับสมัครงานก็บอกไว้แล้วว่าจะแบ่งกำไรให้กับเถ้าแก่ทุกๆ ร้าน เถ้าแก่ทุกคนจึงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง
“เถ้าแก่เฉิงพูดเช่นนี้ข้ายินดีนัก แต่วันนี้ที่มากะทันหันเช่นนี้ นอกจากจะให้ช่วยส่งจดหมายไปเมืองหลวงแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่อยากถามเจ้า”
“นายหญิงเชิญถามขอรับ”
เถ้าแก่มีท่าทีนอบน้อม ยืนโค้งลำตัวให้
“เจ้านั่งเถอะ ไม่ต้องวางตัวนอบน้อมขนาดนั้นหรอ” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
หลังจากเถ้าแก่กล่าวขอบคุณแล้ว ครึ่งหนึ่งของก้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ของเสี่ยวเอ้อร์
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมอง พูดว่า “เจ้าเป็นเถ้าแก่ในเมืองชิงหยางมาสิบกว่าปีแล้ว ตามที่เจ้ารู้ หากเราขยับขยายร้านไปที่รัฐอื่น จะมีความเป็นไปได้แค่ไหน”
เถ้าแก่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ถามอย่างประหลาดใจ “นายหญิง คิดได้แล้วหรือว่าอยากจะเปิดร้านในรัฐอื่น”
“เถ้าแก่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือเจ้ามีความคิดเช่นนี้มานานแล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เถ้าแก่ก็เกิดความสนอกสนใจทันที เขาไม่วางตัวนอบน้อมอีกแล้ว และนำเรื่องที่ตนได้สำรวจมาตลอดหลายปีมานี้ รวมถึงคนต่างรัฐที่มาทานบะหมี่มันฝรั่งกันเล่าให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังอย่างตั้งใจ คอยพยักหน้าเป็นพักๆ
เถ้าแก่ได้รับกำลังใจเหลือล้น ชั่วขณะที่ดีใจนั้น ก็นำแผนการที่ตนเคยคิดไว้เมื่อครั้นไม่มีอะไรทำพูดออกมาว่า “นายหญิง ข้าคิดว่าการไปเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งในรัฐอื่นนั้นมีความเสี่ยงสูงนัก ท่านหาวิธีอื่นเสียน่าจะดีกว่าขอรับ นั่นก็คือหาพ่อค้าที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงในรัฐอื่นไว้ ให้พวกเขาไปเปิดร้านของตนเอง ส่วนพวกเรา ก็แค่ให้สูตรและบะหมี่มันฝรั่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เถ้าแก่เฉิง เจ้ามีความตั้งใจมาก นี่เป็นวิธีที่ดี ข้าจะกลับไปคิดดู”
เมื่อได้รับคำชม เถ้าแก่ก็ดีใจมาก
จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามถึงวัฒนธรรมของเมืองชายแดนและรัฐใกล้เคียงอีกเล็กน้อย เสร็จแล้วเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์จึงส่งพวกเขากลับไปด้วยความนอบน้อม นางขึ้นควบม้าตัวเดียวกันกับหวงฝู่อี้เซวียนกลับไป
จดหมายถูกส่งออกไปแล้ว ทั้งสองจึงกลับไปอย่างไม่เร่งรีบ นั่งคุยกันบนม้า
“วิธีที่เถ้าแก่เฉิงเสนอมาก็ดี หากเจ้าอยากให้ร้านบะหมี่มันฝรั่งเป็นที่รู้จักของคนใต้หล้า เจ้าทำเช่นนี้ก็ดีนะ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “ข้าต้องการให้มีชื่อเสียงไปทั่วรัฐข้างเคียง ไม่ใช่เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ ที่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นในรัฐอื่น แม้แต่ที่หลบภัยยังไม่มี”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก รีบพูดทันที “เรื่องของเย่ว์เอ๋อร์นั้นเป็นข้อยกเว้น ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
เมื่อคิดถึงสายตาที่ไท่จื่อรัฐหมิงมองหวงฝู่สือเมิ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางใจลงไม่ได้ นางถอนหายใจยาว “ใครจะไปรู้ล่ะ เรื่องในอนาคตมีใครจะคาดเดาได้งั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดถึงเรื่องนี้ เขาสะบัดบังเ**ยนทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองกลับเข้ามาในเมืองชายแดน ค่อยๆ เดินทางกลับกองบัญชาการ ยังไม่ทันถึงประตู ก็เห็นหลินจ้งเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูอย่างกระวนกระวายแล้ว
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 58 ยอมจำนนและอยู่...
ทั้งสองขี่ม้าขึ้นไปข้างหน้า
เมื่อหลินจ้งเห็น ก็รีบเดินไปหา “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟยท่านแม่ทัพฉู่สั่งคนส่งข่าวกลับมา บอกว่ารัฐอิงยอมจำนนและยอมอยู่ใต้การปกครองของเราแล้วขอรับ”
“เสนอเงื่อนไขอะไรหรือไม่” หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดลงจากม้า แล้วถามขึ้น จากนั้นก็ยื่นมือไปรับเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา
หลินจ้งส่ายศีรษะ “ไม่มีขอรับ ไม่ได้เสนอเงื่อนไขใดๆ เลยขอรับ” พูดจบ แล้วนึกอะไรขึ้นได้ รีบพูดแก้ว่า “บอกว่าให้พวกเราส่งคืนศีรษะของท่าป๋าหั่นมู่ มีเพียงเรื่องนี้ขอรับ”
“ท่านแม่ทัพฉู่ว่าอย่างไรบ้าง”
“ท่านแม่ทัพฉู่คิดว่าน่าสงสัย เพราะรู้สึกง่ายดายเกินไป จึงส่งทหารมาเชิญท่านและท่านอ๋องไปที่ค่ายทหารขอรับ”
“เสด็จพ่อของข้าล่ะ”
“รออยู่ในจวนขอรับ”
“เจ้าไปเชิญท่านอ๋องมา ข้าจะรออยู่หน้าประตูจวนรอเขา”
หลินจ้งขานรับ วิ่งเหยาะๆ เข้าไป
“เจ้ารอในจวนนะ ดูแลลูกๆ และคุณหนูหลิน ข้าจะไปที่นั่นกับเสด็จพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
อ๋องฉีเดินออกมา พร้อมทหารนายหนึ่งจูงม้าออกมา
พ่อลูกทั้งสองขึ้นควบม้าพร้อมกัน แล้วสะบัดบังเ**ยนไปที่ค่ายทหาร
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูพวกเขาจากไปไกล จึงมองกลับมา หันหลังกลับเข้าไปในจวน
“ซื่อจื่อเฟยขอรบกวนเวลาสักครู่ขอรับ”
หลินจ้งเรียกนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน หันศีรษะกลับมา
หลินจ้งยืนอยู่ข้างหน้าที่ห่างจากนางหนึ่งฟุต ถามเสียงทุ้มต่ำว่า “ขอถามซื่อจื่อเฟยขอรับ น้องสาวข้าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร มองไปที่เขา
หลินจ้งสูดหายใจเข้าลึกแล้วพ่นออกมา “ซื่อจื่อเฟยได้โปรดพูดตามความจริงเถอะขอรับ ข้ารับได้”
“ข้าพยายามสุดความสามารถแล้ว”
เพียงประโยคเดียวก็บอกทุกสิ่งแล้ว
แม้ตอนนั้นที่เจอหลินหันเยียน จะทำใจไว้บ้างแล้ว แต่ตัวของหลินจ้งยังคงอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาอยู่พักหนึ่ง เขาหลับตาลง “ยังเหลืออีกกี่วันขอรับ”
“ข้าส่งจดหมายให้อวี้เอ๋อร์ไปแล้ว เขาจะมาถึงภายในสิบวัน นี่เป็นความปรารถนาสุดท้ายของหลินหันเยียน นางอาจจะรอถึงวันนั้นได้”
หลินจ้งเผยสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมา ปริปากอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาประสานมือ ขอบคุณ “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ”
“ที่คุณหนูหลินบาดเจ็บสาหัส ก็เป็นเพราะพวกเรา ที่ข้าทำเช่นนี้ โปรดถือเสียว่าช่วยให้นางได้สมความปรารถนา หวังว่าผู้บัญชาการหลินจะไม่ถือโทษ”
“ซื่อจื่อเฟยพูดเกินไปแล้วขอรับ น้องเล็กคอยเฝ้าคะนึงหาถึงคุณชายรองมาสิบกว่าปี หากได้พบกันอีกครั้ง คงหลับตาไปพร้อมรอยยิ้มขอรับ” เมื่อหลินจ้งพูดถึงตรงนี้ ขอบตาก็แดงขึ้นมา น้ำเสียงก็สะอื้นเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป อยากจะตบไหล่ปลอบใจเขา แต่คิดถึงสถานะของตนไม่เหมาะสม จึงดึงมือกลับ แล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้าขอโทษ”
พูดจบ ก็หันหลังเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
หลินจ้งยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผ่านไปนานกว่าจะเคลื่อนฝีเท้าอันหนักอึ้งของตนกลับเข้าไปในจวน
หลังจากที่อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนไปถึงค่ายทหาร และได้ตั้งสมมติฐานและการคาดเดากับฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งชิงอยู่นาน ก็เดาไม่ออกว่าฮ่องเต้ของรัฐอิงมีอะไรในกอไผ่กันแน่ เหตุใดจึงยอมจำนนง่ายเช่นนี้ แต่ว่าเมื่อไม่มีศึกสงคราม เหล่าทหารก็ไม่ต้องเจ็บตัวอีกแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกดีใจมากอยู่ดี จึงเขียนจดหมายส่งไปเมืองหลวงเร่งด่วนแปดร้อยลี้ เพื่อสอบถามความประสงค์ของหวงฝู่ซวิ่น ในระหว่างนั้นก็คืนศีรษะของท่าป๋าหั่นมู่ให้รัฐอิงก่อน และเมตตาให้พวกเขาจัดงานศพแล้วค่อยมาเจรจาเรื่องหลังจากนั้นต่อ
หลังจากผ่านไปสี่วัน เวลาเที่ยงคืน ประตูเมืองเพิ่งเปิดไม่นาน
จู้จื่อที่เสื้อผ้าถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นจนมองไม่ออกว่าสวมใส่ชุดอะไรก็มาถึงหน้าจวนอ๋องฉี ลำตัวที่ซวนเซไปมาล้มลงมาจากม้า พลุบ ร่วงหล่นบนพื้น
นายประตูกำลังกวาดพื้นอยู่หน้าประตูจวนตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเห็นดังนั้น ก็เดินเข้ามา เขาก้มหน้าลง ถามคนที่อยู่ต่ำกว่าตนว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
จู้จื่อล้มจนหน้ามืดตามัว เขาสะบัดศีรษะครู่หนึ่ง เมื่อเห็นนายประตูชัดเจนแล้ว ก็ถามขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้งดั่งฆ้องแตกว่า “เจ้าคือนายประตูจวนอ๋องฉีหรือไม่”
นายประตูมองสำรวจเขาอย่างสงสัย ตอบว่า “ใช่ เจ้าคือ…”
จู้จื่อควานหาป้ายแขวนเอวออกมา แต่ไม่มีแรงยกขึ้นมา เขาจึงวางลงบนหน้าอกตน เพื่อแสดงให้นายประตูเห็นชัดเจน แล้วเสียงแหบแห้งของเขาก็ดังขึ้น “พาข้าไปหาคุณชายรองหน่อย นายหญิงมีจดหมายให้ข้ามาส่งให้เขา”
เมื่อนายประตูเห็นป้ายหยก และได้ยินสิ่งที่เขาพูดชัดเจนแล้ว ก็รีบทิ้งไม้กวาดในมือลงทันที เขาโค้งลำตัวลง ใช้แรงประคองจู้จื่อขึ้นมาเดินเข้าไปในจวน
บ่าวรับใช้ในจวนตื่นกันหมดแล้ว ต่างทยอยกันออกมาเดินผ่านหน้าเขาและใช้สายตามองจู้จื่อด้วยความประหลาดใจ
จู้จื่อฝืนตัวเองตามนายประตูเข้ามาจนถึงด้านหน้าเรือนของหวงฝู่อวี้ แต่ถูกเฮ่ออีดักไว้
“องครักษ์เฮ่อ คนนี้คือคนที่ซื่อจื่อเฟยส่งมาขอรับ บอกว่ามีจดหมายส่งให้คุณชายรองขอรับ” นายประตูพูดกับเขาอย่างนอบน้อม
เฮ่ออีพยักหน้า ยื่นมือออกมา
จู้จื่อยังไม่ทันตั้งสติได้
นายประตูรีบพูดเตือน “รีบนำจดหมายออกมาให้องครักษ์เฮ่อสิ ให้เขาส่งให้คุณชายรอง”
จู้จื่อเพิ่งตั้งสติได้ แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่นิดเดียวแล้วจริงๆ เขาหอบหายใจพูดว่า “อยู่ในอกข้า รบกวนท่านหยิบออกมาเองเถอะขอรับ”
เมื่อเฮ่ออีเห็นสภาพของเขา ก็รู้ว่าร่างกายเขาคงถึงขีดสุดแล้ว จึงยื่นมือสอดเข้าไปในอกหยิบจดหมายออกมา แล้วเดินถือเข้าไปในเรือนทันที
หวงฝู่อวี้และเจียงจิ่นเพิ่งตื่นไม่นาน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว กำลังจะไปทักทายและทานอาหารเช้ากับพระชายาฉี
เมื่อได้ยินเฮ่ออีรายงาน ก็สั่งให้เขาเข้ามา
เฮ่ออีส่งจดหมายในมือให้อวงฝู่อวี้อย่างนอบน้อม “คุณชายรอง นี่เป็นจดหมายที่ซื่อจื่อเฟยสั่งให้คนเร่งม้าส่งให้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนส่งมา หวงฝู่อวี้เริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดี เขารีบรับไว้และเปิดออกทันที ในจดหมายเมิ่งเชี่ยนโยวนำเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบและเรื่องที่หลินหันเยียนบาดเจ็บเพราะช่วยลูกๆ ไว้ รวมถึงเรื่องที่ตัวนางไม่สามารถช่วยหลินหันเยียนได้เล่าให้เขาฟัง และยังบอกเขาว่า อาการของหลินหันเยียนสาหัสมาก หากเขาอยากเจอนางเป็นครั้งสุดท้าย ให้รีบมาเมืองชายแดนให้เร็วที่สุด แต่หากไม่อยากเจอ จะไม่ต้องมาก็ได้
เมื่อหวงฝู่อวี้อ่านจบ ก็ล้มนั่งลงบนเก้าอี้
เจียงจิ่นเห็นสีหน้าเขาผิดปกติไป นางเดินขึ้นหน้า ถามเสียงเบาว่า “ท่านพี่ เป็นอะไรไป”
หวงฝู่อวี้นำจดหมายในมือให้นาง
เรื่องของหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนครานั้น เป็นข่าวครึกโครมไปทั่ว คนในเมืองหลวงรู้กันทั้งหมด เจียงจิ่นก็เช่นกัน หลังจากแต่งงาน หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้ปิดบังนาง เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง เจียงจิ่นรู้ว่าในใจของหวงฝู่อวี้ยังคงอาลัยหลินหันเยียนอยู่ลึกๆ เมื่อนางอ่านจดหมายเสร็จ ก็ไม่ได้พูดอะไร นางเดินไปข้าง**บเสื้อผ้า แล้วเปิด**บนำเสื้อผ้าสองสามตัวออกมา จากนั้นก็เปิด**บเล็กออกเพื่อนำตั๋วเงินสองสามใบใส่ไว้ในสัมภาระ เมื่อห่อเสร็จ ก็เดินไปข้างหน้าหวงฝู่อวี้ ส่งให้เขา “ท่านพี่ ไปเถอะเจ้าค่ะ อำลาความรักของพวกเจ้าและขอบคุณคุณหนูหลินที่สละชีวิตช่วยลูกของเราไว้ด้วย”
หวงฝู่อวี้เงยหน้ามองนาง ปากสั่นเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา
“ไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าอยู่ในจวนเป็นเพื่อนเสด็จแม่เอง ข้าจะรอท่านกลับมานะ” เจียงจิ่นยัดสัมภาระให้เขา พูดโน้มน้าวเขาเสียงเบา
มือของหวงฝู่อวี้กำสัมภาระไว้แน่น น้ำตาคลอเบ้า แล้วก็ลุกพรวด เดินสาวท้าวออกไปทันที โดยไม่พูดจาสักคำ
“เฮ่ออี เราไปชายแดนกัน”
เฮ่ออีขานรับ ไปโรงม้าหลังเรือนเพื่อจูงม้ามา
หวงฝู่อวี้สาวเท้าเดินมาหน้าประตูจวน กระโดดควบม้า แล้วทะยานตัวออกไป เฮ่ออีนำองครักษ์เงาสองสามนายตามหลังไปติดๆ
เจียงจิ่นตามไปจนออกจากเรือน แล้วหยุดฝีเท้าลง เมื่อเห็นแผ่นหลังของหวงฝู่อวี้ที่ไม่มีวี่แววว่าจะหันหลังกลับ ก็ถอนหายใจยาว
“ฮูหยิน เขา…”
นายประตูที่ประคองจู้จื่อไว้อยู่ก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
เจียงจิ่นเพิ่งเห็นว่าจู้จื่อแทบจะค้ำจุนร่างตัวเองไว้ไม่ไหวแล้ว จึงรีบสั่งบ่าวรับใช้ในเรือน “รีบประคองเขาไปให้นอนดีๆ สักงีบก่อน เมื่อตื่นแล้วค่อยเตรียมซักล้างเสื้อผ้าและอาหารให้เขา”
บ่าวรับใช้สองคนขานรับ แล้วขึ้นมาประคองจู้จื่อไปเรือนรับรอง
นายประตูกลับไปที่หน้าประตูจวน หยิบไม้กวาดที่ตนทิ้งไว้ขึ้นมากวาดพื้นต่อไป
หลังจากจู้จื่อมาถึงไม่นาน มีม้าเร็วตัวหนึ่งก็วิ่งเข้าเมืองหลวง เพียงเวลาไม่นาน จดหมายเร่งด่วนแปดร้อยลี้ก็ถูกวางไว้บนโต๊ะของหวงฝู่ซวิ่นแล้ว
หวงฝู่ซวิ่นเปิดออก หลังจากอ่านละเอียดแล้ว ก็ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้พู่กันเขียนจดหมายตอบกลับ สั่งให้รีบส่งไปชายแดนให้ฉู่เหวินเจี๋ยโดยด่วน
หวงฝู่อวี้ออกจากเมืองหลวงไป เขาควบม้าตะบึงไปตลอดทาง ในหัวมีแต่ภาพของตนและหลินหันเยียนที่เกี้ยวพาราสีกันเมื่อครั้นหนุ่มสาว น้ำตาที่กลั้นมานานในที่สุดก็ไหลลงมา ปีมานี้ไม่รู้ว่าชีวิตนางอยู่สุขสบายหรือไม่ สาวน้อยที่บอบบางราวกับดอกไม้ในตอนนั้น ไปอยู่เมืองชายแดนที่เต็มไปด้วยพายุทะเลทราย ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ พอมีข่าวคราวนางมาบ้าง กลับกลายเป็นว่าถึงเวลาที่ต้องตายจากกันไป เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเจอกันในวันแบบนี้ เขายอมให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ แม้นางจะไม่สวยงามดังเดิม แม้จะถูกพายุทะเลทรายโบกพัดจนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยก็ตาม หรือ หรือแม้แต่ หรือแม้แต่นางจะเสียแขนไปข้าง ขาไปข้างก็ดี เขาก็หวังว่านางยังมีชีวิตอยู่ต่อจากใจจริง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ไปแล้ว นางกำลังจะตาย ผู้หญิงที่เรียกเขาว่าพี่อวี้และในสายตามีเพียงเขาคนเดียวมาตลอดกำลังจะตายแล้ว
น้ำตาทำเอาสายตาเขาพร่ามัวไปหมด เสียงลมหนาวที่โหยหวนกลบเกลื่อนเสียงสะอึกสะอื้นของเขา แต่ความเศร้าเสียใจข้างในกลับซัดกระทบกันไปมาดั่งน้ำที่ไหลหลากในแม่น้ำ ปั่นป่วนจนเขารู้สึกเจ็บปวดไปหมด
สามวันสามคืน วิ่งจนม้าดีตายไปสามตัว เช้าวันที่สี่ เมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้น หวงฝู่อวี้ที่มีสีหน้าทรุดโทรม ดวงตาบวมแดง ร่างกายโซซัดโซเซก็มาถึงเมืองชายแดน
หากเขาจะมา ต้องมาภายในวันสองวันนี้แน่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงส่งหวงฝู่เฮ่าไปรอหน้าประตูเมืองมาสองวันแล้ว
คนทั้งขบวนถูกฝุ่นปกคลุมไปทั้งตัวราวกับเพิ่งถูกขุดออกมาจากใต้ดิน คนที่เดินผ่านไปมาต่างมองพวกเขาด้วยความประหลาดใจ
หวงฝู่เฮ่าก็เห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน จึงเดินขึ้นไปหา ขานเรียกอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อ”
“นำทาง!” หวงฝู่อวี้แทบจะไม่มีเสียงให้เค้นออกมา
“ขอรับ ท่านพ่อ” หวงฝู่เฮ่ากระโดดขึ้นควบม้า เดินนำข้างหน้า
หวงฝู่อวี้เดินตามข้างหลังจนมาถึงกองบัญชาการ
ขาทั้งสองข้างของเขาแข็งทื่อไปหมด หลังจากที่ขี่ม้าต่อเนื่องมาหลายวัน จนเขาแทบจะลงจากม้าไม่ได้
เฮ่ออีและองครักษ์เงาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเขา พวกเขาทยอยกลิ้งตัวลงจากม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากจวนพอดี จึงรีบสั่งให้ทหารที่เฝ้าประตูช่วยกันประคองหวงฝู่อวี้ลงมาจากม้า
“พี่สะใภ้ใหญ่!” หวงฝู่อวี้ขานเรียก
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไปห้องของเฮ่าเอ๋อร์อาบน้ำแต่งตัวหน่อยเถอะ คุณหนูหลินทนรอเจ้ามาได้ตั้งนาน คงไม่อยากเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 59 พานพบ
“นาง…” หวงฝู่อวี้ปริปาก น้ำเสียงแหบแห้ง แต่หลังจากพูดไปคำเดียว ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะถามต่อไป
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ “เจ้าไปดูเองเถอะ”
ขอบตาหวงฝู่อวี้แดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปในจวน
หวงฝู่เฮ่าเดินตามข้างๆ นำทางเขาไปห้องของตน
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจยาวอีกครั้ง แล้วสั่งทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่า “ประคองพวกเขาเข้ามาและจัดแจงให้เรียบร้อย”
เหล่าทหารขานรับ เดินหน้าไปประคองเฮ่ออีและคนอื่นๆ เข้ามาในจวน
หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นำมาเสร็จ ก็แต่งตัวจนเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ดื่มน้ำไปสองแก้วให้คอที่แหบแห้งทรมานของตนชุ่มชื้น เมื่อรู้สึกว่าเสียงที่เปล่งออกมาของตนไม่แหบแห้งแล้ว หวงฝู่อวี้ก็สั่งหวงฝู่เฮ่า “ไปเถอะ พาข้าไปหานาง”
หวงฝู่เฮ่าเดินนำหน้า หวงฝู่อวี้ตามหลัง ทั้งสองมาถึงเรือนของหลินหันเยียน
หลินจ้งปิดบังสถานการณ์ของหลินหันเยียนกับฮูหยินหลิน ก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่เขาปริปากอยากบอกนาง แต่เมื่อเห็นผมขาวหงอกและใบหน้าที่หยาบกระด้างของนางแล้ว คำพูดที่ถึงปากแล้วก็กลืนกลับไปอีกครั้ง ในใจแอบตั้งความหวังอยู่ลึกๆ ว่าเผื่อโชคจะเข้าข้าง ไม่แน่ว่าหลังจากหวงฝู่อวี้มาเจอหลินหันเยียนแล้วนางจะดีใจ แล้วอาการบาดเจ็บจะหายไป
วันนี้ราวกับว่าฟ้าได้ยินสิ่งที่เขาคิด หลินหันเยียนลืมตาแต่เช้าตรู่ ดูสดใสกว่าปกติ นางไม่เพียงแต่กินข้าวต้มไปหนึ่งถ้วยเล็ก ยังมีแรงพูดคุยกับครอบครัวอยู่ครู่หนึ่ง
หลินจ้งดีใจมาก ฮูหยินหลินดีใจยิ่งกว่าเขา ถึงขั้นถามหลินหันเยียนไว้แล้วว่าหลังจากหายแล้วอยากทานอะไร นางจะได้ให้คนตระเตรียมของไว้เลย รอเมื่ออาการนางดีแล้ว จะทำให้นางกินทุกวัน
สองสามีภรรยาหลินจ้งก็เออออตามด้วย
หลินหันเยียนยิ้มน้อยๆ ครั้นกำลังจะพูดอะไรขึ้น สาวใช้ก็เปิดม่านประตูเข้ามา หลังจากคารวะทุกคนแล้ว ก็พูดกับฮูหยินหลินว่า “ฮูหยินหลิน คุณชายรองจวนอ๋องฉีขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินไม่เชื่อ ถามอย่างไม่มั่นใจอีกครั้ง “ใครนะ?”
“คุณชายรองของจวนอ๋องฉีเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบอีกครั้ง
ฮูหยินหลินลุกพรวดทันที ถามเสียงแหลม “เขามาทำอะไร”
“ไม่ ไม่ทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้ตกใจจนถอยหลัง ตอบอย่างหวาดกลัว
“ไม่พบ” ฮูหยินหลินปฏิเสธอย่างแน่วแน่ แต่น้ำเสียงราบเรียบมาก เรื่องราวทั้งหมดเมื่อตอนนั้นผ่านไปหลายปีแล้ว นางปล่อยวางได้นานแล้ว
แต่ตอนนี้เขามีภรรยาและลูก แล้วหมายความว่าอย่างไรกันที่มาเยี่ยมเยียนเอ๋อร์ หากเพียงเพราะว่าช่วยลูกชายเขาไว้ ก็ละไว้เถอะ เยียนเอ๋อร์ไม่ต้องการ ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ต้องการ
เยียนเอ๋อร์กลับปรากฏสีหน้าตื่นเต้น สิบกว่าปีแล้ว ในที่สุดจะได้เจอพี่อวี้แล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะหน้าตาเปลี่ยนไปเหมือนที่ตนเป็นหรือไม่
หลินจ้งกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง เขาลุกขึ้น พูดโน้มน้าวว่า “ท่านแม่ ข้าเองที่ส่งจดหมายให้คุณชายรองมาหาเยียนเอ๋อร์ เรื่องที่ผ่านไปแล้วท่านอย่านำมาคิดอีกเลยนะขอรับ ให้เยียนเอ๋อร์…”
“เจ้ามันยุ่งไม่เข้าเรื่อง เยียนเอ๋อร์และเขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ตั้งแต่ที่เรามาชายแดนกันแล้ว”
หลินจ้งปริปากจะพูด แต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“ท่านแม่!” หลินหันเยียนเรียกนาง
ฮูหยินหลินหันศีรษะกลับ
สายตาหลินหันเยียนเต็มไปด้วยความหวัง นางพูดวิงวอน “ข้าอยากพบเขาเจ้าค่ะ”
“เจ้า…” ครั้นหลินหันเยียนกำลังจะตำหนินางว่าลำบากเพื่อผู้ชายคนนั้นยังไม่พออีกหรือ แต่เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของนาง ก็กลืนคำพูดกลับไป นางยื่นมือไปปัดผมที่ปรกอยู่ข้างหน้าไปข้างหลัง ถอนหายใจยาว แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เพื่อสิ่งใดกันเล่าลูก”
หลินหันเยียนยื่นมือไปจับปกเสื้อฮูหยินหลินไว้ น้ำตาเอ่อ “ท่านแม่ เขาเป็นเพียงหนึ่งเดียวของชีวิตข้านะเจ้าคะ”
ผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวที่เคยรัก ผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวที่นางอยากจะอยู่ด้วยตลอดชีวิต ผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวที่นางคอยเฝ้าคะนึงหามาตลอดสิบกว่าปีและไม่มีวันลืมได้ลง
“ลูกโง่” ฮูหยินหลินเข้าใจคำพูดของนาง น้ำตาเริ่มคลอเบ้า หลังจากว่านางไปคำเดียวก็ลุกขึ้น ไปอ่างล้างหน้าชุบผ้าให้เปียกหมาด แล้วเช็ดหน้าให้หลินหันเยียนอีกครั้ง และหวีผมให้เพื่อให้นางดูสดใสขึ้นกว่าเดิม แล้วจึงถอนหายใจยาว “เพื่อสิ่งใดกันเล่าลูก ได้เจอกันครั้งหนึ่งแล้ว ต่อไปเจ้า…”
ฮูหยินหลินไม่ได้พูดประโยคถัดมา หลินหันเยียนก็เข้าใจว่านางคงกลัวว่าหลังจากตนพบหวงฝู่อวี้แล้ว จะปล่อยวางเขาไปไม่ได้ตลอดชีวิต แต่นางไม่รู้ว่าตนเองเหลือชีวิตอีกเพียงไม่กี่วันแล้ว การได้พบกับพี่อวี้อีกครั้ง เป็นความปรารถนาสุดท้ายก่อนตายของนาง
หลินจ้งรู้ดี ขอบตาเขาแดงก่ำ
ฮูหยินของหลินจ้งก็รู้ นางเกือบจะปล่อยโฮ จึงรีบหันศีรษะไป ไม่ให้ฮูหยินหลินเห็นสีหน้าอารมณ์ของตนเอง
“ให้คุณชายรองเข้ามาเถอะ” ฮูหยินหลินตบมือหลินหันเยียนเบาๆ แล้วหันศีรษะไปสั่ง
สาวใช้ขานรับ เดินออกไป หลังจากรายงานกลับอย่างนอบน้อมแล้ว สาวใช้ก็ยืนอยู่ข้างประตู เปิดม่านประตูให้
หวงฝู่อวี้เดินเข้ามา
ทุกคนมองไป ไม่ได้พานพบมาหลายปี หวงฝู่อวี้แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เขายังคงเหมือนเดิม เพียงแต่รอบตัวมีรังสีแห่งความหนักแน่นและเฉลียวฉลาดมากขึ้น
เมื่อเข้าประตู สายตาของหวงฝู่อวี้ก็มองไปที่หลินหันเยียนทันที
หลินหันเยียนก็มองไปที่เขาอย่างซึ้งใจ นางขยับตัวคล้ายพยายามจะลุกขึ้นนั่ง
หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ คิดจะห้ามปรามนาง
ฮูหยินหลินไอกระแอมขึ้นมา
หวงฝู่อวี้ตั้งสติได้ มองกลับมา คารวะอย่างนอบน้อม “คารวะฮูหยินขอรับ”
ฮูหยินหลินเบี่ยงตัวหลบ พูดจาเหน็บแนม “มิบังอาจเจ้าค่ะ สามัญชนอย่างข้า มิสมควรให้คุณชายรองคารวะหรอกเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ยืดตัวตั้งตรง เขาเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร
สองสามีภรรยาหลินจ้งคารวะ “คารวะคุณชายรองขอรับ/เจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ยื่นมือไปแตะประคองเบาๆ “ทั้งสองไม่ต้องเกรงใจกันเช่นนี้หรอก”
“ท่านแม่ เราออกไปกันเถอะ ให้น้องเล็กและคุณชายรองคุยกันสองคนสักครู่เถอะขอรับ” หลินจ้งพูดกับฮูหยินหลิน
ฮูหยินหลินไม่ยอม “ไม่ได้ คุณชายรองมีลูกมีภรรยาข้าไม่สนใจ แต่เยียนเอ๋อร์ของเรายังไม่แต่งงาน หากพวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง จะถูกคนอื่นนินทาเอา”
คำพูดของฮูหยินหลินเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงใจของหวงฝู่อวี้ เขาเจ็บจนลำตัวแทบจะหักงอลง
“ท่านแม่ คุณชายรองและน้องเล็กไม่ได้เจอกันหลายปี มีเรื่องเล่าจะคุยกันมากมาย เราออกไปกันเถอะเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลินจ้งเค้นรอยยิ้มออกมา พูดโน้มน้าวฮูหยินหลิน และเดินไปกอดแขนของนางไว้ กึ่งลากกึ่งดึงนางพลางพูดโน้มน้าวนางออกไปข้างนอก
หลินหันเยียนเป็นลูกสาวของตนเอง ฮูหยินหลินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสิบกว่าปีมานี้นางคิดอะไรอยู่ นางก็แค่ปากร้ายไปอย่างนั้น จริงๆ แล้วนางก็ดีใจที่หวงฝู่อวี้มาหา นางจึงไม่ได้คัดค้านและเดินตามออกไปแต่โดยดี
หลินจ้งสั่งคนใช้ที่อยู่ในห้อง “พวกเจ้าก็ออกไปเถอะ”
สาวใช้ในห้องออกไป หลินจ้งรั้งอยู่ท้ายสุด แล้วปิดประตูให้อย่างเบามือ
ในห้องเหลือเพียงหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนสองคน
ทั้งสองจ้องตากัน หลินหันเยียนน้ำตาไหลพราก ส่วนหวงฝู่อวี้ขอบตาแดงก่ำ
หลินหันเยียนยื่นมือออกไป เรียกเสียงเบาว่า “พี่อวี้”
หวงฝู่อวี้เดินขึ้นหน้าสองสามก้าว จนถึงข้างหน้านาง กุมมือนางไว้แน่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เยียนเอ๋อร์”
ความคะนึงหาสิบกว่าปี กว่าจะได้มาพานพบกันในวันนี้ หลินหันเยียนน้ำตาไหลพรากราวกับเขื่อนที่พังทลาย จนผมข้างใบหูเปียกชุ่มไปหมด และกำลังแผดเผาดวงใจของหวงฝู่อวี้
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้นหนุ่มสาว แต่ยิ่งเช็ดน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม
“พี่…อวี้…” เสียงของหลินหันเยียนสั่นเครือ
หวงฝู่อวี้พยักหน้า เปล่งเสียงสะอึกว่า “พี่อยู่นี่”
หลินหันเยียนเผยรอยยิ้มจากใจจริง พูดทั้งน้ำตาว่า “พี่มาหาข้าได้ ดีจัง! ข้าตายตาหลับแล้วล่ะ!”
มือของหวงฝู่อวี้สั่นระริกจนแทบจะจับผ้าเช็ดหน้าไว้ไม่อยู่ น้ำตาเม็ดโตไหลหยดลงมา ริมฝีปากก็สั่นเทา พูดอะไรไม่ออกสักคำ
หลินหันเยียนกลับยิ้มปลอบใจเขา “พี่อวี้ พี่ไม่ต้องเสียใจเจ้าค่ะ ข้าดีใจมากเลยที่ได้ช่วยคุณชายใหญ่ไว้ ถือว่าตอบแทนความรักที่พี่เคยมีให้เมื่อหลายปีก่อน แม้จะตาย ข้าก็ไปสู่สุคติแล้วเจ้าค่ะ”
ในที่สุดหวงฝู่อวี้ก็เปล่งเสียงขึ้น แต่เสียงสะอึกสะอื้นไปหมด “เยียนเอ๋อร์ แม้เจ้าจะโกรธพี่ แค้นพี่ พี่ก็อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ถึงแม้ ถึงแม้ผมเจ้าจะขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย พี่ก็อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ดังนั้น เจ้าสัญญากับพี่นะ อดทนไว้ มีชีวิตอยู่ต่อไป”
หลินหันเยียนยิ้มพลางส่ายศีรษะ “พี่อวี้ ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่เคยโกรธแค้นพี่เลย…”
“เยียนเอ๋อร์ ขอร้องล่ะ โกรธพี่ แค้นพี่เถอะนะ สาปแช่งให้พี่ตายทุกวันก็ได้” หวงฝู่อวี้รีบพูดขัดนาง “พี่ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”
หลินหันเยียนน้ำตาเอ่อล้นจนตาพร่ามัวอีกครั้ง จนนางมองคนที่อยู่ข้างหน้าไม่ชัดเจน น้ำเสียงก็ค่อยๆ แผ่วเบาลง “พี่อวี้ เพียงได้ฟังที่พี่พูดมาทั้งหมด ข้าก็ตายตาหลับแล้วเจ้าค่ะ”
“เยียนเอ๋อร์!” หวงฝู่อวี้ร้องเสียงหลงอย่างเจ็บปวด
หลังจากฮูหยินหลินออกไป นางก็ยืนอยู่หน้าเรือนตลอด เมื่อได้ยินเสียงหวงฝู่อวี้ผิดปกติไป ก็รีบผลักประตูบุกเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นสภาพตรงหน้า ก็รู้สึกถึงลางร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น นางรีบเดินสาวเท้าไปข้างเตียง ผลักหวงฝู่อวี้ออก เรียกเสียงตกใจว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
สองสามีภรรยาฮูหยินหลินก็เดินตามเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่เฮ่าเดินตามหลังสุด
หลินหันเยียนรู้สึกว่าลำตัวของตนเริ่มหนาวเย็นขึ้น ก็รู้ว่าตัวเองจะไม่ไหวแล้ว นางเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนแรงให้ พูดว่า “ท่านแม่ ข้าเหนื่อยมากแล้ว อยากพักผ่อนแล้วล่ะ”
“ไม่ได้!” ฮูหยินหลินกรีดร้องอย่างแตกตื่น “เยียนเอ๋อร์ เจ้าฟังแม่นะ หากเจ้าทิ้งแม่และพ่อไป เจ้าเป็นลูกอกตัญ…”
หลินจ้งก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ เขามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างกระวนกระวาย พูดขอร้อง “ซื่อจื่อเฟย…”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เดินสาวเท้าไปข้างเตียง จับมือหลินหันเยียนขึ้นมา ตรวจชีพจร แม้จะเตรียมใจไว้เนิ่นนานแล้ว แต่ในใจก็ยังรู้สึกหนักอึ้งมากอยู่ดี นางปล่อยมือลงเบาๆ แล้วส่ายศีรษะ
ลำตัวฮูหยินหลินโซเซไปมา ส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อ และรีบจับมือเมิ่งเชี่ยนโยว “ไม่นะ ไม่ เมื่อครู่เยียนเอ๋อร์ยังดีๆ อยู่เลย ทำไมถึง…” พูดจบ ก็คุกเข่าลงไป ขอร้องวิงวอนอย่างร้อนรนว่า “ขอร้องล่ะ ซื่อจื่อเฟย ความโกรธแค้นที่ผ่านมาเป็นความผิดของเราเอง ท่านอย่าถือโทษคนต่ำต้อยเลย ช่วยเยียนเอ๋อร์ด้วยเถิด”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 60 ตายตาหลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งนางไว้ และดึงให้นางลุกขึ้นมา “ฮูหยินหลิน ไม่ใช่ข้าไม่ยอมช่วย แต่ร่างกายคุณหนูหลินถึงขีดสุดแล้วจริงๆ แม้จะใช้ยาที่วิเศษที่สุดก็ไม่สามารถช่วยได้แล้ว”
“ข้าไม่เชื่อ!” ฮูหยินหลินกรีดร้องใส่นาง “เมื่อครู่เยียนเอ๋อร์ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดผ่านไปเพียงครู่เดียวก็ไม่ไหวแล้วล่ะ เจ้าโกหกข้า เจ้าโกหกข้า!”
“นางแค่สดใสขึ้นเหมือนแสงสายันณ์ตะวันรอน ข้าบอกอาการของคุณหนูหลินให้ผู้บัญชาการหลินนานแล้ว ที่นางอดทนได้จนถึงวันนี้ เพียงเพราะอยากเจออวี้เอ๋อร์” เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ดัง แต่เป็นประโยคบอกเล่าที่ห้ามไม่ให้มีข้อโต้แย้งใดๆ
ฮูหยินหลินมองลูกชายของตน เมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขา ก็รู้ว่าเขารู้นานแล้ว นางจึงเชื่อที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด นางเจ็บแปลบในใจ ฟุบลงข้างเตียงแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น “เยียนเอ๋อร์ ลูก เจ้ายังไม่ได้แต่งงานเลยนะ เจ้ายอมทิ้งแม่ไปแบบนี้ได้อย่างไร…”
แม้ม่านตาหลินหันเยียนจะถูกบดบังไปด้วยน้ำตา นางก็ยังปรากฏรอยยิ้ม ยื่นมือออกไปจับมือของฮูหยินหลินไว้ ปลอบประโลมนางว่า “ท่านแม่ ลูกโตมาได้ขนาดนี้ ทำท่านเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย หลังจากลูกไปแล้ว ท่านอย่าจมปลักกับความเศร้านัก ดูแลตัวเองดีๆ และใช้ชีวิตบั้นปลายกับท่านพ่ออย่างสุขสงบนะเจ้าคะ”
ฮูหยินหลินร้องไห้พลางส่ายศีรษะ “เยียนเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของแม่ เอาชีวิตของแม่ไปแทนเถอะ”
หลินหันเยียนใช้ความพยายามยื่นแขนเสื้อไปเช็ดน้ำตาให้ฮูหยินหลิน “ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้เลย สิ่งที่ลูกปรารถนามาหลายปี วันนี้ลูกได้สมปรารถนาแล้วล่ะ ลูกจากไปด้วยรอยยิ้ม ท่านอย่าเสียใจเกินไปเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออก
หลินจ้งต่อยหมัดลงบนโต๊ะอย่างแรง น้ำตาฮูหยินหลินจ้งหยดลงบนพื้น
หวงฝู่อวี้หยุดร้องไห้ หลังจากค่อยๆ ลุกยืนตัวตั้งตรงแล้ว ก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าฮูหยินหลิน เสียงสะอึกสะอื้น แต่กลับแจ่มชัดและมีน้ำหนัก “วันนี้หวงฝู่อวี้ คุณชายรองจวนอ๋องฉีขอตบแต่งคุณหนูหลินเป็นผิงชีต่อหน้าฮูหยินหลิน ท่านได้โปรดอนุญาตด้วยขอรับ”
ทุกคนในห้องตกตะลึง
ฮูหยินหลินหยุดร้องไห้ มองเขาอย่างตะลึงงัน
หลินหันเยียนกลับมีสติมากที่สุดในเวลานี้ นางรีบห้ามปราม “พี่อวี้ ท่านทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันเจ้าคะ หลังจากข้าตายไป ศพก็อยู่ที่นี่ บนทะเลทรายผืนกว้างใหญ่ พายุทรายตลบไปทั่ว ฝังทุกอย่างไว้ จบสิ้นชีวิตชาตินี้ ไม่มีสิ่งใดให้อาวรณ์ นี่เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนามาตลอด”
หวงฝู่อวี้ไม่สนใจนาง เขาโขกหัวลงบนพื้นให้ฮูหยินหลิน ขอร้องอีกครั้ง “ขอท่านได้โปรดอนุญาตขอรับ”
ฮูหยินหลินปากอ้าๆ หุบๆ พูดอะไรไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเงียบๆ
หลินจ้งก็เข้าใจเจตนาของหวงฝู่อวี้ เขาอดห้ามปรามไม่ได้ “คุณชายรอง…”
หวงฝู่อวี้ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาพูดกับฮูหยินหลินว่า “ในเมื่อท่านไม่คัดค้าน ย่อมแปลว่าเห็นด้วยแล้วนะขอรับ” พูดจบ ก็หันไปขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยว “พี่สะใภ้ใหญ่ รบกวนท่านช่วยเตรียมให้พวกเราด้วยขอรับ ข้าและเยียนเอ๋อร์จะไหว้ฟ้าดินเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ก้าวเท้าเดินออกไป
“เฮ่าเอ๋อร์ เจ้ามานี่” หวงฝู่อวี้เรียกหวงฝู่เฮ่า
หวงฝู่เฮ่าเดินขึ้นมา
“คุกเข่า คารวะแม่ของเจ้า”
ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว หวงฝู่เฮ่าก็คุกเข่าลงข้างเตียงแล้ว เขาโขกหัวแรงๆ ลงบนพื้น “ลูกขอคารวะท่านแม่ขอรับ”
หลินหันเยียนยื่นมือออกมาอย่างยากลำบาก นางโบกมือให้หวงฝู่เฮ่า เพื่อส่งสัญญาณให้เขาเดินขึ้นมา
หวงฝู่เฮ่าคุกเข่าเดินไปข้างเตียงอย่างรู้สัมมาคารวะ
มือของหลินหันเยียนแตะลงลนศีรษะของเขา ลูบอย่างเบามือ น้ำตาแห่งความสุขและความพึงพอใจไหลลงมา “เด็กดี ข้าดีใจมากที่ช่วยเจ้าไว้ได้ แค่คำว่า ‘แม่’ จากปากลูก ก็เติมเต็มความฝันของข้าแล้ว ข้าตายตาหลับแล้วล่ะ”
“ลูกขอบคุณแม่ที่ช่วยชีวิตลูกไว้ ต่อไปลูกคือลูกชายโดยแท้ของท่าน ขอให้ท่านเห็นแก่ลูก พยายามและอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อให้ลูกได้มีโอกาสตอบแทนท่านขอรับ”
มือขอหลินหันเยียนเลื่อนลงมาบนหน้าของหวงฝู่เฮ่า พูดพึมพำว่า “หลังจากเจ้ากลับเมืองหลวงไปแล้ว ช่วยพูดคำขอโทษให้แม่เจ้าแทนข้าด้วย ต่อไปป้ายวิญญาณของข้าจะอยู่ในจวนอ๋องฉี กลายเป็นผิงชีของพี่อวี้ คงทำให้แม่เจ้าลำบากใจไม่น้อย นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเรียกร้อง แต่ก็เป็นความใฝ่ฝันของข้ามาเสมอ ข้าต้องขอโทษนางจากใจจริงด้วย”
ทุกคนในห้องน้ำตาไหล ฮูหยินหลินร้องจนเกือบเป็นลมไปหลายครั้ง
หวงฝู่เฮ่าขอบตาแดง “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกล่าวขอโทษหรอกขอรับ แม่เจียงจิ่นไม่ถือโทษท่านหรอก”
หลินหันเยียนพยักหน้าเบาๆ ช้าๆ “ข้ารู้ แม่ของเจ้าเป็นคนดี แต่คำขอโทษเป็นสิ่งที่ข้าติดค้างนางไว้ ไม่เพียงเรื่องในวันนี้ แต่รวมถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วย”
หวงฝู่เฮ่าขานรับสะอึกสะอื้น “ลูกรู้แล้วขอรับ ลูกจะช่วยบอกต่อนางขอรับ”
หลินหันเยียนเผยรอยยิ้มดีใจ ราวกับยกภูเขาออกจากอก แล้วนางก็รู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป นางค่อยๆ ปิดตาลงช้าๆ
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าฟังแม่นะ…” ฮูหยินหลินรีบกระโจนเข้าไปที่นาง “หลายปีมานี้เจ้าคิดรอคอยที่จะตบแต่งกับคุณชายรองไม่ใช่หรือ เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะแต่งงานไหว้ฟ้าดินกันแล้ว เจ้าต้องอดทนไว้ อย่าหลับตาลงนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินหันเยียนก็กลับมามีสติอีกครั้ง นางฝืนลืมตาขึ้น พึมพำกับตนเองว่า “ใช่ ข้ากำลังจะแต่งงานกับพี่อวี้แล้ว ข้าจะตายตอนนี้ไม่ได้ ข้าต้องอดทนไว้”
ฮูหยินหลินจ้งทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกัดมือตัวเองไว้เพื่อไม่ให้เสียงร้องไห้ของตนดังออกมา
หลินหันเยียนมองไปที่นาง “พี่สะใภ้ใหญ่”
ฮูหยินหลินจ้งปล่อยมือลง เดินขึ้นมาข้างหน้า ขานรับเสียงสะอื้น “น้องเล็ก”
“พี่สะใภ้ช่วยแต่งหน้าให้ข้าหน่อย ข้าอยากแต่งกับพี่อวี้ด้วยหน้าตาที่สะสวย”
ฮูหยินหลินจ้งร้องไห้จนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนมองไปที่หลินจ้ง แล้วเรียกเขา
หลินจ้งผู้ชายคนหนึ่งร้องห่มร้องไห้จนกลายเป็นคนเจ้าน้ำตา เขาเดินโซเซจนมาถึงหน้าเตียง “น้องเล็ก”
“พี่ช่วยประคองข้าขึ้นมาเถอะ”
“อื้ม ได้!” หลินจ้งออกเสียงได้เพียงคำนี้คำเดียว
แล้วหลินหันเยียนก็หันไปมองหวงฝู่เฮ่าที่ยังคงคุกเข่าอยู่หน้าเตียง “เด็กดี ลุกขึ้นเถอะ ช่วยท่านลุงของเจ้าประคองข้าขึ้นมานะ”
หวงฝู่เฮ่าลุกขึ้น โค้งตัวลงพร้อมกับหลินจ้ง ค่อยๆ ประคองหลินหันเยียนลุกนั่งขึ้น
หลินหันเยียนหอบหายใจครู่หนึ่ง
ฮูหยินหลินจ้งนำผ้าชุบน้ำหมาดมาเช็ดหน้าให้นางก่อนที่จะค่อยๆ สางผมและม้วนผมให้สวยงามอย่างเบามือและอ่อนโยน นางหยิบเครื่องประทินโฉมมาแต่งหน้าให้นางด้วยมือที่สั่นเทาและสายตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตา
“พี่สะใภ้ใหญ่” หลินหันเยียนยิ้มเรียกนาง น้ำเสียงหยอกเล่นว่า “ในชีวิตนี้ข้ามีโอกาสเพียงวันนี้วันเดียวที่ได้แต่งงานไหว้ฟ้าดิน พี่สะใภ้แน่ใจหรือว่ามือพี่สั่นแบบนี้ จะไม่แต่งให้หน้าอันงดงามดั่งดอกไม้ของข้ากลายเป็นคนน่าเกลียด?”
มือของฮูหยินหลินจ้งหยุดสั่น มองหลินหันเยียนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากสั่นระริกไปมา ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา
“พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้เป็นวันมงคลของข้า พี่สะใภ้ต้องดีใจสิ พี่สะใภ้ร้องไห้แบบนี้คนนอกเห็นเข้า จะคิดว่าพี่สะใภ้ไม่อยากให้น้องคนนี้ออกเรือน จะได้อยู่ในจวนกับพี่สะใภ้ต่อไปเสียนะเจ้าคะ” หลินหันเยียนยังคงยิ้มพูดเสียงเบา เมื่อพูดจบ ก็หอบหายใจครู่หนึ่ง
ฮูหยินหลินไม่ได้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แต่นางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาตน นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มพลางสะอื้นพูดว่า “เจ้าพูดถูก พี่สะใภ้ไม่อยากให้เจ้าออกเรือน ในจวนขาดเจ้าไป คงไม่มีใครช่วยหนุนหลังข้าแล้ว”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่กลับนำเครื่องประทินโฉมแต่งลงบนใบหน้าของหลินหันเยียนอย่างประณีต
เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ก็กินกำลังของของหลินกันเยียนไปมากแล้ว ตอนนี้นางไม่มีแรงปริปากพูดอีก จึงหลับตาลง ปล่อยให้ฮูหยินหลินจ้งประทินโฉมให้นางต่อไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินหลินจ้งแต่งหน้าให้หลินหันเยียนเสร็จ สาวใช้ก็เดินย่องเข้ามารายงาน “ฮูหยินหลิน คุณชายใหญ่ ซื่อจื่อเฟยบอกว่าเตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อหลินหันเยียนได้ยินดังนั้น ก็ฝืนตนเองไว้ “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้หยิบกระจกให้หน่อยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินจ้งรู้ว่านางคิดจะทำอะไร จึงยกกระจกให้นางส่อง
ในกระจก ปรากฏหญิงงามผู้หนึ่ง ยกเว้นสีหน้าที่ขาวซีดไปหน่อยแล้ว ตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้กลับไม่ได้ทิ้งร่องรอยแห่งกาลเวลาใดๆ บนใบหน้านางเลย นางยังคงงดงาม โดดเด่น และน่าเอ็นดู
ร่างกายของหลินหันเยียนถึงขีดสุดแล้ว นางใช้แรงกำลังที่เหลือเฮือกสุดท้าย เงยหน้าขึ้น ยิ้มมองหวงฝู่อวี้ น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “พี่อวี้ วันนี้ข้าสวยไหมเจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้เดินขึ้นมาข้างหน้า จ้องมองตานาง พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “สวย เจ้าสวยมาก”
พูดจบ ก็ย่อตัวลง นำมือทั้งสองข้างของนางคล้องไว้ที่ลำคอของตนเอง แล้วโค้งตัวลงอุ้มนางขึ้นมา เดินออกไป
ฮูหยินหลินจ้งประคองฮูหยินหลินตามหลังไป
หลินจ้งอยู่ข้างหลังพวกเขา หวงฝู่เฮ่าอยู่ท้ายสุด
คนทั้งขบวนมาถึงเรือนขนาดเล็กที่สวยงามที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนของหลินหันเยียน หน้าประตูเรือน โคมไฟสีแดงใหญ่ที่ถูกแขวนพริ้วไหวไปตามสายลม ในเรือนติดอักษรมงคลแผ่นใหญ่ไปทั่ว
ในห้องก็ถูกตกแต่งด้วยผ้าไหมสีแดง บรรยากาศน่าปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด
หลินฉงเหวินนั่งที่นั่งประธาน เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้อุ้มหลินหันเยียนเข้ามา ร่างกายก็ขยับเล็กน้อย เขากำมือแน่น ใช้ความพยายามอดกลั้นไม่ให้ตนลุกยืนขึ้น
ฮูหยินหลินร้องไห้พลางไปนั่งที่นั่งประธาน
ส่วนคนที่เหลือยืนอยู่ข้างหลังหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียน
ข้างหน้าทั้งสองคนมีหญิงชราคนหนึ่งที่แต่งเป็นสี่ผอยืนอยู่ เมื่อนางเห็นภาพตรงหน้า ขอบตาก็แดงระเรื่อ แล้วพูดเสียงดังว่า “หนึ่ง คำนับฟ้าดิน!”
หวงฝู่อวี้อุ้มหลินหันเยียนคุกเข่าลง โขกหัว แล้วลุกขึ้น
“สอง คำนับบิดามารดา!”
หวงฝู่อวี้คุกเข่าลงอีกครั้ง โขกหัว แล้วลุกขึ้น
หลินหันเยียนในอ้อมอกยิ้มมองเขา
“สามีภรรยาคำนับกันและกัน!”
หวงฝู่อวี้ก้มศีรษะลง หน้าผากของเขาสัมผัสหน้าผากของหลินหันเยียน แล้วเขาก็พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ สิ้นพิธีแล้ว เจ้าเป็นภรรยาที่ถูกต้องของหวงฝู่อวี้แล้ว”
หลินหันเยียนเผยรอยยิ้มสดใส “ใช่ พี่อวี้ ข้าเป็นภรรยาที่ถูกต้องแล้ว ดีจังเลยเจ้าค่ะ”
พูดจบ ตาก็ค่อยๆ หลับลงช้าๆ มือก็ร่วงหล่นลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เยียนเอ๋อร์!” ฮูหยินหลินกรีดร้องอย่างไร้สติแล้วพุ่งตัวออกมา
หลินฉงเหวินนั่งบนเก้าอี้นิ่ง แต่น้ำตากลับไหลเป็นทาง
สีหน้าหวงฝู่อวี้สงบ น้ำเสียงราบเรียบ “ทุกท่านโปรดหลีกทางหน่อยขอรับ ข้าและเยียนเอ๋อร์ต้องเข้าเรือนหอแล้ว”
พูดจบ ก็อุ้มหลินหันเยียนเดินมุ่งไปทางห้องที่ติดตัวอักษรมงคลสีแดงใหญ่ๆ ไว้
ฮูหยินหลินร้องไห้จนล้มลงกองกับพื้น
ฮูหยินหลินจ้งร้องพลางเรียก “ท่านแม่” อยากจะเข้าไปประคองนาง แต่ตนกลับไร้เรี่ยวแรง ล้มลงกองกับพื้นเช่นกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น