ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 55-56

ตอนที่ 55 การแก้แค้นของซื่อจื่อ(2)

 

หวงฝู่อี้เซวียนเห็นคนทั้งหมดจากไปไกลแล้ว ออกคำสั่งเสียงเ**้ยม “ไป ไปเรือนอีกหลัง”


 


 


องครักษ์เงาขานรับคำ เดินนำหน้ามุ่งไปยังเรือนอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลออกไปของเฮ่อเหลี่ยน


 


 


ภายในเรือนหลังนี้ พวกจอมยุทธ์กำลังดื่มสุรา ปกติเฮ่อเหลี่ยนจะใช้พวกเขาสำหรับภารกิจสำคัญ ดังนั้นจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ไม่ส่งคนนอกเข้ามาควบคุมพวกเขา แม่ครัวที่จ้างไว้จะเข้ามาทำอาหารให้พวกเขาตามเวลาทุกวัน โดยจะทำแต่อาหารชั้นเลิศ ทั้งยังมีสุราดื่มได้ไม่อั้น ดังนั้นนอกจากฝึกยุทธ์แล้ว ในแต่ละวันพวกเขาจะจับกลุ่มกันกินดื่มอย่างเต็มคราบ


 


 


หลายวันก่อนติดตามเฮ่อเหลี่ยนไปหาเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นสหายที่ได้รับบาดเจ็บถูกโยนทิ้งไว้ในกองเนินป่าช้าไร้ญาติทั้งเป็น พวกเขาก็ให้เศร้าระทมไปด้วย ราวกับได้เห็นจุดจบในภายหน้าของตัวเอง เริ่มมีความคิดจะไปจากเฮ่อเหลี่ยน แต่เฮ่อเหลี่ยนเป็นคนจิตใจเ**้ยมโหด หากพวกเขาเอ่ยปาก ไม่แน่ว่าเฮ่อเหลี่ยนจะโมโหสั่งคนมาฆ่าพวกเขาก็ได้ พวกเขาได้แต่กลัดกลุ้มใจ ในแต่ละวันนอกจากดื่มสุราก็ไม่รู้จะทำอะไร


 


 


เดินมาถึงหน้าประตูเรือน ก็ได้ยินเสียงพูดเอะอะมะเทิ่งฟังไม่ได้ศัพท์ของพวกจอมยุทธ์ดังแว่วมา แค่ฟังก็รู้ว่าดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อยแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวยืนหน้าประตูเรือน องครักษ์เงานายหนึ่งกระโดดลอยเข้าไปในเรือน เปิดบานประตูออกอย่างเบามือ


 


 


ทั้งสองเดินเข้าไป องครักษ์เงาที่เหลือก็ตามติดเข้าไป องครักษ์เงาที่เดินรั้งท้ายค่อยๆ ปิดบานประตู


 


 


คนทั้งหมดเดินดาหน้าเข้าไปในเรือน คนในเรือนไม่มีใครได้ยินเสียงจากด้านนอกเลย


 


 


เดินมาถึงหน้าประตู “ปัง” องครักษ์เงาถีบประตูห้องเปิดออก เห็นสภาพโดยรวมภายในห้องทั้งหมด


 


 


พวกจอมยุทธ์ใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชน แม้จะดื่มสุราเข้าไปมาก กลับตอบสนองไวคว้าอาวุธข้างกาย ตวาดถามพลัน “พวกเจ้าเป็นใคร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง


 


 


พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว เหล่าจอมยุทธ์ก็ถลึงตาเบิกกว้าง ชี้หน้านางราวกับเห็นผี ลิ้นพันกันพูดตะกุกตะกัก “เจ้า เจ้าก็คือ…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยิ้มตาหยีตอบกลับ “ถูกต้อง ข้าเอง!”


 


 


เหล่าจอมยุทธ์หวาดผวาสุดขีด คนที่ล่วงเกินคุณชายใหญ่ไม่มีวันได้มีจุดจบที่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ถูกคุณชายใหญ่ส่งเข้าคุก เหตุใดถึงยังมาปรากฏต่อหน้าตนเองได้อย่างครบถ้วนสามสิบสองเช่นนี้


 


 


คล้ายว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าใจความเคลือบแคลงใจของพวกเขา ยกยิ้มพูดว่า “วันนั้นลืมบอกพวกเจ้าไป ข้าเป็นนายหญิงร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง”


 


 


นายหญิงก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง ก็คือผู้หญิงของซื่อจื่อจวนอ๋องฉี เหล่าจอมยุทธ์ตกใจถลึงตาโพลง ต่างเสียววาบไปทั้งลำคอ อาวุธในมือสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว “เจ้า เจ้า…”


 


 


ไม่รอให้พวกเขาได้สติกลับคืนมา เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนรอยยิ้ม ออกคำสั่งเสียงเ**้ยม “ฆ่า!”


 


 


เหล่าจอมยุทธ์ยังไม่ รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น องครักษ์เงาหลังหวงฝู่อี้เซวียนก็ลงมือทันที


 


 


คนทั้งหมดตวัดลำแสงในมือ ท่วงท่าเตรียมพร้อมของเหล่าจอมยุทธ์ยังไม่เปลี่ยน ก็ยืนไม่ไหวติงไร้ลมหายใจไปแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่แม้แต่จะมองพวกเขาอีก หันหลังเดินออกไป หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปพลางออกคำสั่ง “จัดการให้เรียบร้อย!”


 


 


องครักษ์เงาขานรับเสียงต่ำ


 


 


กระทั่งทั้งสองเดินมาถึงกลางลานเรือน เสียงล้มตึงจากภายในห้องถึงดังลอยออกมา “พลั่ก! พลั่ก!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับ


 


 


เหวินซื่อพาเฮ่อเหลี่ยนที่สลบไสลมาถึงหอคณิกาอี๋หง ลงจากหลังม้าเดินตรงเข้าไปทันที พอพ้นประตูเข้ามาก็ร้องโหวกเหวก “แม่เล้าอยู่ที่ไหน ให้นางออกมาเดี๋ยวนี้!”


 


 


แม่เล้าเดินนวยนาดส่ายสะโพกเข้ามา ส่งสายตามองประเมินเหวินซื่อแวบหนึ่ง เห็นเขารูปร่างสะโอดสะอง คิ้วเรียวตาโตได้รูป มีเครายาวหนาข้างแก้ม แต่งกายเยี่ยงชาวยุทธ์ทั่วไป ให้เกิดความดูหมิ่นดูแคลน เบ้ปากแสร้งพูดเอาใจ “นายท่าน ท่านมาแล้ว ท่านต้องการเด็กสาวเช่นไรก็ขอให้บอก รับประกันจะปรนนิบัติจนท่านพึงพอใจเจ้าค่ะ”


 


 


เหวินซื่อเกือบจะสำลักกลิ่นเครื่องหอมที่พรมทั่วร่างของนางตาย พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไปๆๆ ถอยออกไปไกลๆ กลิ่นเครื่องหอมบนร่างเจ้าเกือบทำข้าสำลักตายแล้ว”


 


 


แม่เล้าได้ฟังก็ชักสีหน้า น้ำเสียงเย็นชาลง “นายท่าน ท่านดมกลิ่นแป้งไม่ได้ยังจะมาหอคณิกาอี๋หง เจตนาจะมาหาเรื่องหรือเจ้าคะ”


 


 


เหวินซื่อทนไม่ไหวจริงๆ ปิดปากปิดจมูก พูดเสียงอู้อี้ “หาเรื่องอะไรกัน คนที่จะมาหอคณิกาอี๋หงของพวกเจ้าคือคุณชายของพวกเรา ไม่ใช่ข้า” พูดจบ ก็โบกมือไปด้านนอก องครักษ์เงาสองนายหามเฮ่อเหลี่ยนเดินเข้ามา


 


 


แม่เล้าทำอาชีพนี้มานาน พบเจอคนมาทุกประเภท เห็นเฮ่อเหลี่ยนแต่งกายไม่ธรรมดา มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นชายสกุลสูงศักดิ์ จึงไม่ถือสาการแสดงออกของเหวินซื่อ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง แล้วโบกสะบัดผ้าเช็ดหน้าเดินเข้ามา “แหม นายท่าน ไยไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ทำเอาข้าเข้าใจท่านผิดไป ข้าต้องขอขมาท่านแล้วเจ้าคะ”


 


 


เหวินซื่อสำลักจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว


 


 


แม่เล้าหันไปยิ้มถามเฮ่อเหลี่ยนที่ยังสลบไสล “ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้ต้องการหญิงสาวเช่นไรเจ้าคะ”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนก้มหน้า ไม่พูดอะไร


 


 


แม่เล้ารู้สึกผิดปกติ คิดจะเข้าไปดูให้แน่ชัด


 


 


เหวินซื่อแสร้งกระแอมหนึ่งครั้ง ปิดปากอุดจมูกเดินเข้าใกล้แม่เล้า พูดเสียงต่ำ “นายน้อยของพวกเรากินสิ่งผิดสำแดงเข้าไป ควบคุมตัวเองไม่ได้ พวกเราจำต้องตีเขาให้สลบไป”


 


 


แม่เล้าเข้าใจความหมายของเขาในทันที แย้มยิ้มจนใบหน้ายับย่น “แหม ไม่ยากเลยเจ้าค่ะ เด็กๆ ของข้าที่นี่ฝีไม้ลายมือไม่เบา รับประกันว่า…”


 


 


ไม่รอให้นางพูดจบ เหวินซื่อชิงพูดตัดบทนาง ส่งเสียงแผ่วเบาพูดต่อว่า “นายน้อยของพวกเรากินเข้าไปมาก เกรงว่าสตรีแค่คนสองคนจะไม่คณามือเขา”


 


 


แม่เล้ากลิ้งกลอกนัยน์ตาวาววับ “ก็ไม่ยากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านยอมจ่าย ต้องการสตรีกี่นางก็ได้เจ้าค่ะ”


 


 


เหวินซื่อพยักหน้า ล้วงตั๋วเงินจากอกเสื้อออกมาหนึ่งใบ ก้มลงมองแล้วมอบให้แม่เล้า “เจ้าดูว่าเงินนี้เพียงพอหรือไม่”


 


 


แม่เล้ารับมาดู เห็นตั๋วเงินห้าร้อยตำลึง ก็พยักหน้าหงึกหงักเหมือนไก่จิกข้าวเปลือกพลัน “พอๆๆ ข้าจะเรียกเด็กๆ เข้ามาต้อนรับเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”


 


 


เหวินซื่อโบกมือ “ไม่ต้อง เจ้าพาพวกเราไปที่ห้อง แล้วให้พวกนางเข้าไปเองก็พอ”


 


 


แม่เล้าย่อมต้องยินยอม ไม่ชักช้านวยนาดแล้ว เดินนำหน้าพาคนทั้งหมดขึ้นชั้นบน เปิดประตูห้องชั้นสองที่อยู่สุดทางเดิน “นี่เป็นห้องที่ดีที่สุดของหอคณิกาอี๋หงของพวกเรา ทั้งโอ่อ่าและกว้างขวาง เหมาะกับคนที่ชอบเล่นโลดโผนอย่างคุณชายของพวกท่านที่สุดเจ้าค่ะ”


 


 


เหวินซื่อส่งสายตาให้องครักษ์เงานำตัวเฮ่อเหลี่ยนไปวางไว้บนเตียง แล้วหันมาพูดกับแม่เล้าว่า “คุณชายของพวกเรากินของผิดสำแดงเข้าไประยะหนึ่งแล้ว เจ้าจงรีบเตรียมสตรีเข้ามา บ่ายวันพรุ่งนี้ พวกเราถึงจะเข้ามารับคุณชาย จำไว้ให้ดี ห้ามพูดเรื่องนี้กับคนอื่นเด็ดขาด”


 


 


แม่เล้าทำอาชีพนี้มาหลายปี พบเจอเรื่องเช่นนี้มาไม่น้อย ย่อมเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ้มพูดรับรอง “ท่านวางใจเถอะ ปากข้าแน่นหนาเป็นที่สุด ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปเด็ดขาดเจ้าค่ะ”


 


 


“เป็นเช่นนั้นก็ดี คุณชายของเราเป็นขุนนางมีหน้ามีตา หากเจ้านำเรื่องนี้โพนทะนาออกไป เขาจะต้องสั่งคนมาปิดหอคณิกาอี๋หงของเจ้าเป็นแน่” เหวินซื่อกล่าว


 


 


แม่เล้าได้ฟัง ยิ่งแสดงอาการพะเน้าพะนอ “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะสั่งพวกเด็กๆ ให้ปิดปากให้สนิท เรื่องนี้จะไม่ถูกแพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน”


 


 


เหวินซื่อพยักหน้า นำองครักษ์เงาสองคนหันหลังเดินลงมา


 


 


แม่เล้าไม่ได้ตามลงไป แต่ส่งเสียงเรียกหญิงคณิกาเข้ามา


 


 


เหวินซื่อก้าวจ้ำๆ ออกมาจากหอคณิกาอี๋หง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดหลายครั้ง ถึงพูดกับองครักษ์เงา “กลับไปเรียนนายของพวกเจ้า จัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว เรื่องที่เหลือก็อยู่ที่พวกเขาแล้ว”


 


 


องครักษ์เงารับคำ ควบม้าออกไปทันที


 


 


เหวินซื่อก็ขึ้นหลังม้า ควบกลับไป ระหว่างทางไม่เห็นมีคน ก็ดึงเคราปลอมที่แปะติดบนใบหน้าตนเองออก ดมร่างกายตัวเองว่าไม่ได้กลิ่นแป้งหอมแล้ว จึงควบม้ามุ่งหน้ากลับบ้าน


 


 


เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนส่งเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่บ้าน ถึงควบม้ากลับจวน เข้ามาภายในห้องตนเอง นั่งบนเก้าอี้รอฟังข่าว


 


 


องครักษ์เงากลับมา นำความจากเหวินซื่อบอกแก่เขา หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า สั่งองครักษ์เงา “พรุ่งนี้เช้า ส่งคนนิรนามไปแจ้งความที่กรมขุนนาง บอกว่ามีขุนนางเริงสวาทกับหญิงคณิกาที่หอคณิกาอี๋หง”


 


 


องครักษ์เงารับคำ ถอยออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองดูท้องฟ้าด้านนอก ถอดเสื้อล้มตัวนอนลงบนเตียง ไม่นานก็หลับสนิทไป


 


 


ค่ำคืนผ่านไป


 


 


เช้าวันถัดมา หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ไปกั๋วจื่อเจียน แต่หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ไปเรือนพระชายาเอก อยู่พูดคุยกับนาง


 


 


พระชายาเอกให้กังขา ถามเขา “เซวียนเอ๋อร์ เหตุใดวันนี้ลูกถึงไม่ไปกั๋วจื่อเจียน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก ตอบว่า “วันนี้ลูกมีเรื่องต้องทำ เมื่อวานได้ทำเรื่องขอลาไว้แล้วขอรับ”


 


 


พระชายาเอกพยักหน้า ไม่ถามความอีก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองดูท้องฟ้า คาดว่าน่าจะเลยเวลาเข้าเฝ้าแล้ว “พระมารดา ลูกต้องไปแล้ว”


 


 


พระชายาเอกสะบัดมือ “ไปเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาถึงนอกเรือน สั่งองครักษ์เงาเสียงเย็น “นำตัวพัศดีมา พวกเราจะเข้าวัง!”


 


 


องครักษ์เงาขานรับคำ นำตัวพัศดีที่ถูกทรมานมาหลายวันจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้วเข้ามา


 


 


และในตอนนี้ ก็เกิดข่าวโหมสะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง


 


 


ที่แท้ก็มีคนไปแจ้งความที่กรมขุนนางแต่เช้าตรู่ บอกว่ามีขุนนางเริงสวาทกับหญิงคณิกาที่หอคณิกาอี๋หง กระทั่งคนอยู่ห้องไหนก็บอกได้อย่างชัดแจ้ง


 


 


ประเทศอู่มีข้อบังคับต่อขุนนางเคร่งครัด ห้ามไม่ให้ขุนนางมีพฤติกรรมเช่นนี้เด็ดขาด ครั้นราชเลขากรมขุนนางได้ยิน ก็สั่งคนไปตรวจสอบที่หอคณิกาอี๋หงทันที


 


 


ผู้ตรวจสอบนำนายทหารบุกไปที่หอคณิกาอี๋หง ฟ้าสว่างแจ้งแล้ว ลูกค้าหอคณิกาอี๋หงทยอยกับเดินลงมา เตรียมจะกลับบ้าน พลันเห็นทหารจำนวนมากบุกเข้ามา ต่างตกใจเสียขวัญ ยืนตัวสั่นไม่กล้าปริปากอยู่อีกด้าน


 


 


แม่เล้าก็ตกใจไม่น้อย ลุกลนเดินเข้ามา คิดจะสอบถาม กลับถูกทหารขวางไว้


 


 


ผู้ตรวจสอบไม่พูดไม่จา นำทหารจำนวนหนึ่งเดินตรงขึ้นไปชั้นสอง มุ่งหน้าไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดิน


 


 


แม่เล้าร้องโวยวาย แต่ก็ขวางพวกเขาไม่ได้ ได้แต่ทนดูทหารขึ้นไปเตะประตูห้องนั้นออก


 


 


กลิ่นอายราคะคลุ้งตลบอบอวลปะทะใบหน้า ผู้ตรวจสอบขมวดคิ้วมุ่น เดินเข้าไป กลับตกใจกับสภาพตรงหน้าจนพูดไม่ออก


 


 


ภายในห้องมีเสื้อผ้าหลากหลายแบบของหญิงสาวโยนกลาดเกลื่อนเต็มห้อง บนเตียงมีสตรีเจ็ดแปดนางและชายหนึ่งคนนอนอยู่ด้วยกัน


 


 


ผู้ตรวจสอบขมวดคิ้วอีกครั้ง ปัดป้องมือไล่กลิ่นยากจะสูดดมนั้น ถึงเดินเข้าไปในห้องอย่างระแวดระวัง ตรวจดูชายที่นอนอยู่บนเตียง ครั้นเห็นชัดว่าเป็นใคร ก็ตกใจสะดุ้ง ถอยกรูดออกไปฉับพลัน สั่งการทหารเฝ้าหน้าประตูให้ดี แล้วตะลีตะลานกลับไปรายงานที่กรมขุนนาง


 


 


หัวหน้าฝ่ายตรวจสอบกรมขุนนางได้ยินวาจาเขา ก็ให้ตกใจไม่น้อย ไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ รอจนกระทั่งราชเลขากรมขุนนางกลับมาจากท้องพระโรง ค่อยรายงานเรื่องนี้แก่เขา ให้เขาตัดสินใจว่าจะสอบสวนคนผู้นี้หรือไม่


 


 


ราชเลขากรมขุนนางก็ไม่กล้าตัดสินใจ รีบสั่งคนไปขวางมหาเสนาบดีเฮ่อจางที่ออกมาจากท้องพระโรงกำลังจะกลับบ้านไว้


 


 


ผู้ที่มาขวางบอกว่าราชเลขากรมขุนนางมีเรื่องอยากให้เฮ่อจางเข้าไปพบ เฮ่อจางฟังแล้วก็ไม่พอใจ ชักสีหน้าพูดว่า “ราชเลขากรมขุนนางช่างยิ่งใหญ่นัก ถึงกับให้ข้าเข้าไปพบเขา”


 


 


เจ้าหน้าที่ที่มาขวางเขาได้ยินเรื่องของเฮ่อเหลี่ยนแล้ว เห็นเขาโมโห จึงเดินขึ้นหน้า เข้าไปกระซิบกระซาบข้างหูเขา


 


 


เฮ่อจางถึงกับหน้าถอดสี ลนลานถาม “อยู่ที่ไหน”


 


 


คนที่มาขวางเขายังตอบเสียงเบา “อยู่หอคณิกาอี๋หงที่มีชื่อที่สุดของเมืองหลวง ได้ยินว่าภาพค่อนข้างอื้อฉาว ท่านใต้เท้าราชเลขาไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร จึงให้ข้าเข้ามาเชิญท่านมหาเสนาบดีเข้าไปขอรับ”


 


 


“รีบไปกรมขุนนางเดี๋ยวนี้!”


 


 


เจ้าหน้าที่รับคำ


 


 


เฮ่อจางเข้าไปนั่งในเกี้ยว ตามเจ้าหน้าที่มาถึงกรมขุนนางด้วยหัวใจร้อนรุ่มดั่งไฟ


 


 


ราชเลขากรมขุนนางออกมารอหน้าประตูเรือนแล้ว เฮ่อจางเพิ่งจะลงจากเกี้ยว ก็รีบเข้าไปน้อมคำนับเขา


 


 


“ไม่ต้องแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เฮ่อจางไม่สนใจว่ากำลังยืนอยู่หน้าประตูกรมขุนนาง ก็รบเร้าถามราชเลขากรมขุนนางทันที


 


 


ราชเลขากรมขุนนางก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว บอกว่าวันนี้มีคนเข้ามาแจ้งความแต่เช้าตรู่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบส่งคนไปดู พบว่าเป็นเฮ่อเหลี่ยน ไม่กล้าตัดสินใจ จึงรีบร้อนกลับเข้ามารายงาน


 


 


เฮ่อจางฟังจบ โมโหก่นด่า “ตัวเสนียดจัญไร กล้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นได้ยังไง”


 


 


ราชเลขากรมขุนนางยืนอย่างนอบน้อม ไม่กล้าพูดอะไร


 


 


เฮ่อจางถึงรู้สึกตัวว่าตรงนี้ไม่เหมาะจะพูดคุย พูดขึ้นฉับพลัน “เจ้าสั่งการลงไป ให้คนนำเจ้าตัวจัญไรนั่นมาที่นี่เดี๋ยวนี้ ข้าจะถามความเขาด้วยตัวเอง”


 


 


ราชเลขากรมขุนนางรับคำ สั่งการเจ้าหน้าที่ตรวจการ


 


 


เจ้าหน้าที่ตรวจการรีบตรงกลับไปหอคณิกาอี๋หง เดินเข้าไปในห้อง ตะโกนร้องปลุกเฮ่อเหลี่ยน แต่ไม่ว่าเขาจะผลักตัวร้องเรียกอย่างไร เฮ่อเหลี่ยนก็เอาแต่หลับตาพริ้ม ไม่ไหวติง


 


 


เจ้าหน้าที่ตรวจการแม้จะประหลาดใจ กลับไม่มีเวลาสงสัยแล้ว โบกมือเรียกทหารเข้ามา สวมเสื้อผ้าให้เฮ่อเหลี่ยนตัวหนึ่งอย่างขอไปที แล้วสั่งพวกเขาให้หามเฮ่อเหลี่ยนออกไป


 


 


แม่เล้าเห็นเฮ่อเหลี่ยนถูกทหารหามออกมาในสภาพสลบไสล ร้องโอดครวญในใจ รีบพูดอธิบาย “นายท่าน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลยนะเจ้าคะ คุณชายท่านนี้กินยากระตุ้นกำหนัด และถูกบ่าวของเขาส่งตัวมาหอคณิกาอี๋หงเอง…”


 


 


เจ้าหน้าที่ตรวจการร้องตวาด “หุบปาก ถ้ายังกล้าพูดเหลวไหล จะสั่งปิดหอคณิกาอี๋หงของเจ้าเดี๋ยวนี้”


 


 


แม่เล้าตกใจปิดปากเงียบพลัน


 


 


เจ้าหน้าที่ตรวจการสั่งทหารหามเฮ่อเหลี่ยนกลับกรมขุนนาง


 


 


เฮ่อจางที่รออยู่ในห้องทำงานราชเลขากรมขุนนาง เห็นเฮ่อเหลี่ยนถูกทหารหามเข้ามา ทะลึ่งตัวลุกพรวด ตกใจร้องถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


 


เจ้าหน้าที่ลนลานตอบ “ผู้น้อยก็ไม่ทราบขอรับ ตอนที่ข้าเห็นคุณชายใหญ่เขาก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว ข้าเขย่าตัวเขาอย่างไรก็ไม่เป็นผล ด้วยความจำใจ จึงต้องให้ทหารหามเขากลับมาขอรับ”


 


 


เฮ่อจางเข้าไปตะโกนเรียกใกล้ๆ “เหลี่ยนเอ๋อร์ เหลี่ยนเอ๋อร์”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนคออ่อนคอพับ ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ราวกับหมดสติไป


 


 


เฮ่อจางตกใจ ร้องสั่งลั่น “รีบไปตามหมอหลวงมา!”


 


 


ราชเลขากรมขุนนางรีบโบกมือ ให้คนวิ่งไปเชิญหมอหลวงที่สำนักหมอหลวงเข้ามาทันที


 


 


เฮ่อจางสั่งให้คนวางตัวเฮ่อเหลี่ยนไว้บนตั่งที่ราชเลขากรมขุนนางใช้สำหรับพักผ่อน พอหมอหลวงเข้ามา ก็ไม่รอช้า รีบย่อตัวลงจับชีพจรให้เฮ่อเหลี่ยนทันที


 


 


เฮ่อจางมองเขาอย่างกระวนกระวายใจ


 


 


หลังจากจับชีพจร สีหน้าของหมอหลวงก็ผันเปลี่ยนไม่หยุด อึดใจใหญ่ถึงลุกยืนขึ้น


 


 


เฮ่อจางรบเร้าถาม “เหลี่ยนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


หมอหลวงมองคนภายในห้อง อึกอักพูดไม่ออก


 


 


ราชเลขากรมขุนนางเข้าใจทันที โบกมือให้ทุกคนออกไป ตนเองก็เดินตามไปด้วย ค่อยๆ ปิดบานประตูลง ยืนเฝ้าหน้าประตู


 


 


หมอหลวงกดเสียงต่ำพูดว่า “คุณชายใหญ่ใช้ยาเกินขนาด เสพกามราคะมากเกินพอดีทำให้มีสภาพเช่นนี้ พักฟื้นสองสามวันก็จะดีขึ้นขอรับ”


 


 


เฮ่อจางถอนใจโล่งอก คลายความกังวลลง ขอเพียงไม่มีอันตรายถึงชีวิตก็พอ


 


 


คล้ายว่าหมอหลวงยังมีบางสิ่งจะพูด เขาพินิจมองท่าทีของเฮ่อจางไม่รู้ว่าสมควรพูดออกมาหรือไม่


 


 


เฮ่อจางสังเกตเห็นอาการของเขา ขมวดคิ้วพูดขึ้น “เราต่างก็คุ้นเคยกันดี ไม่ต้องอึกๆ อักๆ แล้ว มีอะไรก็พูดมาเถอะ”


 


 


หมอหลวงมองไปทางประตูแวบหนึ่ง แล้วยื่นหน้าเข้าใกล้เฮ่อจาง กดเสียงลงต่ำกว่าเดิม “ครั้งนี้คุณชายใหญ่เล่นหนักเกินไป เกิดความเสียหายต่ออวัยวะเพศชาย เกรงว่าต่อไปจะใช้การไม่ได้อีกแล้ว”


 


 


เฮ่อจางราวกับถูกสายฟ้าฟาดกลางศีรษะ ร่างกายโงนเงน


 


 


หมอหลวงเข้าไปประคองเขา


 


 


ครู่ใหญ่ เฮ่อจางถึงถามอย่างมีความหวังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พอจะมีวิธีรักษาหรือไม่”


 


 


หมอหลวงส่ายหน้า “ในเรื่องนี้ผู้น้อยไร้ความสามารถ ท่านลองเชิญหมอหลวงท่านอื่นมาดูอาการเถอะ”


 


 


หมอหลวงตรงหน้าเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวง หากเขายังอับจนปัญญา เช่นนั้นหมอหลวงท่านอื่นยิ่งไม่มีหวัง เฮ่อจางรู้สึกภาพตรงหน้าค่อยๆ พร่าเลือน


 


 


เฮ่อเหลี่ยนอยู่ในวัยฉกรรจ์ ภายหน้ากลับไม่อาจมีเพศสัมพันธ์ได้อีก นี่หมายความว่าอะไร หมอหลวงและเฮ่อจางต่างรู้แก่ใจดี หมอหลวงส่ายหน้า มองเฮ่อจางอย่างเห็นใจสุดซึ้ง แม้แต่คำปลอบใจก็พูดไม่ออก


 


 


อึดใจใหญ่เฮ่อจางถึงผ่อนคลายความรู้สึกลงได้ หันไปพูดกับหมอหลวง “เรื่องนี้ขอท่านเก็บไว้เป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”


 


 


หมอหลวงพยักหน้า “ท่านมหาเสนาบดีวางใจ การรักษาความลับของคนป่วยเป็นหน้าที่ของพวกเรา ข้าไม่มีทางพูดออกไปแม้แต่ครึ่งคำ”


 


 


ขณะที่เฮ่อจางกำลังจะขอร้องเขาให้หาสูตรยามารักษาเฮ่อเหลี่ยน เสียงเล็กแหลมของขันทีก็ดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านมหาเสนาบดีอยู่กรมขุนนางหรือไม่ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าวัง” 

 

 


ตอนที่ 56 มังกรพิโรธ

 

 


 


เฮ่อจางตะลึงค้าง


 


 


เสียงราชเลขากรมขุนนางดังขึ้น “ท่านมหาเสนาบดีอยู่ด้านใน ข้าจะไปเชิญออกมาเดี๋ยวนี้ขอรับ” สิ้นเสียงก็เปิดประตูออก


 


 


เฮ่อจางขยับร่างเร็วรี่ บังตั่งและร่างของเฮ่อเหลี่ยนไว้ด้านหลัง


 


 


ราชเลขากรมขุนนางรับรู้ความคิดเขา และได้ยืนตรงกลางประตู บังสายตาที่มองเข้ามาของขันทีพอดี


 


 


เฮ่อจางมองเขาอย่างชื่นชมแวบหนึ่ง ก้าวเท้าพ้นประตูออกไป แล้วตวัดมือปิดบานประตูทันที


 


 


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ขันทีส่งข่าวไม่ทันได้ช้อนตามองเข้าไปด้านใน ดังนั้นจึงไม่เห็นเฮ่อเหลี่ยนที่กำลังนอนบนตั่งภายในห้อง


 


 


ขันทีส่งข่าวน้อมคำนับเฮ่อจาง ใช้น้ำเสียงเล็กแหลมระเคืองหูพูดขึ้น “ท่านมหาเสนาบดี ข้ากำลังจะไปถ่ายทอดราชโองการที่จวนของท่าน มีคนบอกว่าท่านมากรมขุนนาง ข้าจึงเข้ามาที่นี่ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าวังหลวง”


 


 


เฮ่อจางพยักหน้า เดินตามขันทีออกไป เดินไปพลางหยั่งเชิงถามเสียงเบา “กงกง พอจะทราบหรือไม่ว่าฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าเข้าวังด้วยเรื่องอันใด”


 


 


เฮ่อจางเป็นถึงมหาเสนาบดี อำนาจบารมีสูง ทั้งบุตรสาวยังเป็นกุ้ยเฟย ปกติแล้วเหล่าขันทีต่างประจบเอาใจเขา ได้ฟังเขาถาม ก็มองซ้ายมองขวาตอบกลับเสียงเบา “หลังการว่าราชกิจเสร็จสิ้น ซื่อจื่ออ๋องฉีได้นำตัวพัศดีเรือนจำในสังกัดกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนครเข้าวังเพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อฝ่าบาท บอกว่าคุณชายใหญ่ใช้อำนาจ สมคบหัวหน้าโต้วแห่งกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนคร จับตัวสตรีอันเป็นที่รักของเขาเข้าคุก ทั้งกราบทูลเรื่องระยำต่ำช้าที่พวกเขากระทำโดยสิ้น ทั้งนี้พัศดีก็ยอมรับสารภาพแต่โดยดี ฝ่าบาทโกรธกริ้ว สั่งคนไปตามหัวหน้าโต้วเข้ามา และรับสั่งผู้น้อยให้มาจวนมหาเสนาบดี ตอนนี้ท่านมหาเสนาบดียังไม่เข้าวังหลวง ทางที่ดีส่งคนไปแจ้งข่าวคุณชายใหญ่ก่อน ให้เขาเตรียมตัวรับมือ ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนักจริงๆ หากคุณชายใหญ่ไม่มีคำแก้ต่างที่ดี เกรงว่าจะเลี่ยงโทษมหันต์ครั้งนี้ไปไม่พ้นแล้ว”


 


 


เฮ่อจางร้องคร่ำครวญภายในใจ บัดนี้เฮ่อเหลี่ยนไร้สติสัมปชัญญะ หากฝ่าบาทมีรับสั่งถามหา เช่นนั้นเรื่องบัดสีที่เขาก่อขึ้นเมื่อวานก็จะปิดบังไม่อยู่ คิดได้ดังนี้ ก็หยุดชะงักฝีเท้า พูดอย่างสุภาพ “กงกงโปรดรอสักครู่ ข้ามีเรื่องสำคัญลืมบอกราชเลขากรมขุนนาง ข้าบอกเสร็จค่อยตามกงกงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้”


 


 


มหาเสนาบดีและราชเลขากรมขุนนางล้วนดูแลราชการงานสำคัญ เรื่องสำคัญของพวกเขาจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ขันทีส่งข่าวตอบกลับทันควัน “เรื่องสำคัญต้องมาก่อน ข้ารอท่านมหาเสนาบดีสักครู่ก็ได้”


 


 


เฮ่อจางผงกศีรษะ รีบเดินเข้าไปในห้องราชเลขากรมขุนนาง กำชับหมอหลวงที่ยังไม่จากไป “รบกวนท่านหาวิธีปลุกเหลี่ยนเอ๋อร์ให้ฟื้นด้วย เกรงว่าอีกประเดี๋ยวฝ่าบาทจะต้องมีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า”


 


 


หมอหลวงกำลังจะตอบ เฮ่อจางก็พรวดพราดเดินออกไปแล้ว


 


 


หมอหลวงมองไปที่ราชเลขากรมขุนนาง พูดอย่างลำบากใจ “จะให้ข้าคิดหาวิธีใดเล่า หรือจะให้สาดน้ำเย็นจนกว่าเขาจะฟื้น”


 


 


เฮ่อจางตามขันทีเข้ามาในห้องทรงอักษร หลังจากถวายบังคมฮ่องเต้แล้ว ก็แสร้งเอ่ยถามราวกับไม่รู้เรื่องอะไร “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทรับสั่งหาหม่อมฉันด้วยเรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ชักสีหน้าหม่นมัว ตวาดเสียงกร้าว “เฮ่อจาง บุตรชายที่เจ้าอบรมเลี้ยงดู ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัว กระทำเรื่องผิดกฎหมายบ้านเมือง”


 


 


เฮ่อจางคุกเข่าดัง “พลั่ก” ฟ้องร้องหวงฝู่อี้เซวียนกลับอย่างแนบเนียน “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้สอนสั่งเขาแล้ว และคิดจะให้เขาเข้าไปขอขมาซื่อจื่อและแม่นางท่านนั้น แต่พวกซื่อจื่อลงมือรุนแรง ทำให้เหลี่ยนเอ๋อร์บาดเจ็บ หม่อมฉันจำต้องให้เขาพักรักษาตัวอยู่ที่จวน เลื่อนการขอขมาซื่อจื่อออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนสั่งคนทำร้ายเฮ่อเหลี่ยน ฮ่องเต้ย่อมทราบเรื่องแล้ว เดิมทีนึกว่าเป็นความแค้นส่วนตัวของพวกเขา จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ ยอมปิดตาข้างหนึ่งให้พวกเขาพิพาทกัน ไม่คิดว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนฟังออกว่าเฮ่อจางต้องการปัดปัญหาให้พ้นตัว น้อมพูดว่า “เสด็จลุง เดิมหลานคิดว่าท่านมหาเสนาบดีเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นกำลังสำคัญของพระองค์ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะกระทบต่อเกียรติ และเสื่อมเสียต่อตำแหน่งชื่อเสียงของเขาได้ จึงคิดจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป แต่ก็ทนความคับแค้นใจไม่ไหว จึงคิดวิธีจะเข้าไปซ้อมเฮ่อเหลี่ยนกลางถนน ระบายความแค้นที่มี แล้วให้เรื่องนี้จบกันไป แต่เฮ่อเหลี่ยนกลับไม่ออกจากบ้านสิบกว่าวัน หลานไม่ได้ปลดปล่อยความแค้น จึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมจากเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


วาจานี้เข้าถึงพระกรรณฮ่องเต้ กลับกลายเป็นเรื่องของเด็กที่ถูกเอาเปรียบทำเรื่องไม่ประสาออกไป แอบยกยิ้มในใจ ทั้งชื่นชมยกย่องในความเล่นใหญ่ของเขา


 


 


แต่พอเฮ่อจางได้ยินดังนั้น กลับโมโหเกือบสิ้นสติ ทำร้ายคนโดยภายนอกไร้ร่องรอย แต่อวัยวะภายในกลับบาดเจ็บไปทุกส่วน หากถูกพวกเขาซ้อมอีกครั้งจริงๆ เกรงว่าชีวิตของเฮ่อเหลี่ยนคงจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว ครั้นแล้วน้ำเสียงเริ่มเจือแววโกรธเกรี้ยวหลายส่วน “ซื่อจื่อพูดได้ง่ายดายนัก เหลี่ยนเอ๋อร์ถูกท่านสั่งคนซ้อมเขาจนอวัยวะภายในบอบช้ำ หากถูกเล่นงานอีกครั้ง ผู้น้อยเกรงว่าคงได้เสียบุตรชายไปแล้ว”


 


 


“ไม่มีทาง” หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ “ข้าสั่งคนที่ลงมือแล้ว ไม่ให้ลงมือหนักเกินไป พวกเขาไม่มีทางทำร้ายคุณชายใหญ่เฮ่อจนตาย” แล้วก็พูดขึ้นต่อว่า “ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก เขาทำงานให้ราชสำนัก ข้าจึงให้ซ้อมเขาตัวช้ำหน้าบวมไม่ได้ จำเป็นต้องดำเนินการเช่นนั้น”


 


 


เฮ่อจางสะอึกพูดไม่ออก


 


 


ที่หวงฝู่อี้เซวียนต้องหายสาบสูญไปสิบกว่าปี ล้วนเป็นเพราะในตอนนั้นอ๋องฉีต้องเข้าวังมาช่วยตนเองและเสด็จแม่ ดังนั้นฮ่องเต้จึงรู้สึกติดค้างกับเขามาตลอด ทว่าหวงฝู่อี้เซวียนเองก็มีพรสวรรค์ เก่งกาจสามารถทั้งด้านอักษรและการต่อสู้ ปกติฮ่องเต้ก็โปรดปรานเขาเป็นพิเศษอยู่แล้ว บวกกับเป็นหลานแท้ๆ ของตัวเอง ดังนั้นฮ่องเต้ย่อมมีใจโอนเอียงไปทางเขา หันไปพูดเสียงกร้าวกับเฮ่อจาง “มหาเสนาบดีเฮ่อ เฮ่อเหลี่ยนเป็นถึงข้าราชการ รู้กฎหมายแต่กระทำผิดเอง สมควรได้รับโทษสถานหนัก เซวียนเอ๋อร์เพียงลงโทษเขาเพื่อตักเตือนเท่านั้น ไม่ถือว่าทำเกินไป”


 


 


เฮ่อจางไฉนเลยจะกล้าโต้แย้งฮ่องเต้ ก้มหน้านิ่งเงียบ


 


 


ฮ่องเต้นึกว่าเขาไม่พอใจ ชักสีหน้า หมายจะพูดต่อ เสียงเล็กแหลมของขันทีร้องดังขึ้น “ฝ่าบาท ผู้ตรวจการหลิวมีเรื่องสำคัญจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หน้าที่ของฝ่ายตรวจการก็คือจับผิดและเปิดโปงความผิดของข้าราชการ มีเรื่องเข้าเฝ้าเร่งด่วนเช่นนี้ แสดงว่าจะต้องมีข้าราชการคนไหนกระทำความผิดร้ายแรง ฮ่องเต้พูดทันควัน “ให้เขาเข้ามาได้”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนดวงใจกระตุกวูบ ลางสังหรณ์ร้ายเอ่อล้นขึ้นมา


 


 


ผู้ตรวจการหลิวเดินเข้ามา โขกศีรษะถวายบังคมฮ่องเต้ ไม่แม้แต่จะเหลียวมองเฮ่อจาง ก็กราบทูลฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมขอถวายฎีกาเฮ่อเหลี่ยนบุตรชายของมหาเสนาบดีเฮ่อจางพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


สิ้นเสียงเขา เฮ่อจางก็รู้ว่าครั้งนี้เฮ่อเหลี่ยนจบเห่แล้ว ตำแหน่งที่มีคงจะรักษาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป


 


 


ฮ่องเต้นึกว่าผู้ตรวจการหลิวก็ได้ยินข่าวที่เฮ่อเหลี่ยนลอบทำร้ายเมิ่งเชี่ยนโยว จึงเข้ามาถวายฎีกา เหล่มองเฮ่อจางแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างน่าเกรงขาม “เจ้าจะถวายฎีกาเรื่องใด”


 


 


“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมตรวจสอบพบว่าเมื่อวานเฮ่อเหลี่ยนกระทำเรื่องผิดกฎข้อบังคับ ไปเที่ยวเสพสวาทที่หอคณิกาอี๋หง กระทั่งช่วงเช้าของวันนี้ ถึงถูกคนของกรมขุนนางหามกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ได้ฟัง โกรธเกรี้ยวบันดาลโทสะ ตวาดถามเฮ่อจางพลัน “มีเรื่องเช่นนี้เรอะ”


 


 


เฮ่อจางเหงื่อผุดซึมไปทั่วร่างแล้ว ไม่กล้าเพ็ดทูล ตอบด้วยความสั่นกลัว “มีเรื่องนี้จริงๆ กระหม่อม…”


 


 


ยังพูดไม่ทันจบ ฮ่องเต้ก็ตวาดแทรก “เฮ่อเหลี่ยนบังอาจยิ่งนัก กล้าละเมิดกฎซ้ำแล้วซ้ำเล่า”


 


 


เฮ่อจางโขกศีรษะเสียงดังก้อง “ฝ่าบาทโปรดอภัย”


 


 


“อภัย” คำพูดนี้ของเขา ทำให้ฮ่องเต้ที่กำลังพิโรธหันกลับมายังร่างเขา “เริ่มจากใช้อำนาจหน้าที่ให้ร้ายผู้อื่น เข้าออกสถานที่โสมมโดยไม่สนใจกฎหมาย เจ้าจงบอกข้ามา จะให้ข้าให้อภัยเขาอย่างไร”


 


 


เฮ่อจางเห็นฮ่องเต้เดือดดาลแล้ว ยิ่งให้เหงื่อผุดซึมไปทั่วทั้งใบหน้า โขกศีรษะขอร้องไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วย ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วย”


 


 


ฮ่องเต้ไม่แยแสการโขกศีรษะของเฮ่อจาง สั่งการขันทีเสียงกร้าว “นำตัวเฮ่อเหลี่ยนเข้ามา ข้าจะถามเขาเองว่า ใครกันที่ให้ความกล้าใหญ่หลวงนี่แก่เขา ถึงกล้าละเมิดกฎหมายครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ไยดี”


 


 


ขันทีข้างกายรับคำ นำราชโองการออกไป


 


 


เฮ่อจางไม่รู้ว่าเฮ่อเหลี่ยนฟื้นขึ้นมาหรือยัง ร้อนใจจนเหงื่อซึมไปทั่วหน้าผากแล้ว


 


 


ขันทีตรงมายังกรมขุนนาง เฮ่อเหลี่ยนยังคงหลับใหลไม่ได้สติ จึงไม่อาจรับราชโองการได้ ขันทีก็ไม่อาจกลับไปรายงาน จึงสั่งคนหามเฮ่อเหลี่ยนเข้ามา แล้วสั่งพวกเขาให้รอหน้าห้องทรงอักษร ตัวเองเข้าไปกราบทูลตามจริง “ฝ่าบาท เฮ่อเหลี่ยนเสพสังวาสมากเกินพอดี บัดนี้ยังไม่ได้สติ ตอนนี้คนอยู่ด้านนอกแล้ว จะให้หาบเขาเข้ามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ได้ฟังยิ่งให้โกรธเกรี้ยว ตวาดสั่งเสียงลั่น “ให้คนโยนเขาออกไปจากวัง อย่าให้เป็นเสนียดตาข้า”


 


 


มังกรพิโรธ ขันทีย่อมไม่กล้ารอช้า น้อมขานรับคำ ลุกลนออกไปจากห้องทรงอักษร ถ่ายทอดคำสั่งฮ่องเต้ทันที


 


 


นี่เป็นราชโองการ คนที่หามเฮ่อเหลี่ยนเข้ามาตะลีตะลานหามเฮ่อเหลี่ยนออกไปนอกประตูวัง แล้วโยนออกไปดังว่าจริงๆ


 


 


เฮ่อเหลี่ยนที่ยังไม่ได้สติกลิ้งกลุกๆ นอนร่างแผ่หลาอยู่บนพื้น เสื้อผ้าที่สวมลวกๆ ให้เขา เผยให้เห็นรอยจูบพรมไปทั่วทั้งร่าง


 


 


คนแบกเกี้ยวของเฮ่อจางกำลังรออยู่นอกประตูวัง เห็นคนถูกโยนออกมาจากด้านใน ให้สนใจใคร่รู้ หันหน้าสบตากัน เดินเข้าไปดู กระทั่งเห็นชัดเจนว่าเป็นเฮ่อเหลี่ยน ก็สะดุ้งตกใจ หันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก ครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา รีบปกปิดร่างกายให้เฮ่อเหลี่ยน แล้วช่วยกันหามเขาเข้าไปไว้ในเกี้ยวของเฮ่อจาง


 


 


ฮ่องเต้สั่งคนโยนเฮ่อเหลี่ยนออกไปแล้ว ยังคงขุ่นเคือง มีราชโองการ “เฮ่อเหลี่ยนกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ขับออกจากตำแหน่งข้าราชการ เฮ่อจางเป็นถึงมหาเสนาบดี ไม่เคร่งครัดสั่งสอนบุตร เดิมควรขับออกไปพร้อมกัน เห็นแก่ที่เขาตั้งใจถวายงานเคียงข้างข้ามานานหลายปี จะลงโทษสถานเบา ปรับเบี้ยหวัดหนึ่งปี หากภายหน้ายังตามใจให้เฮ่อเหลี่ยนกระทำเรื่องเหลวแหลกอีก จะริบคืนตำแหน่งมหาเสนาบดี สำหรับพัศดี รับเงินสินบน ใช้อำนาจหน้าที่ลงทัณฑ์ ประหารทันที ส่วนหัวหน้าโต้ว แม้จะจับคนตามกฎหมาย แต่มิได้ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี ให้ลงทัณฑ์เขาไปเฝ้าประตูเมือง ไม่มีคุณความชอบ ห้ามมิให้โยกย้าย”


 


 


จบราชโองการ พัศดีตกใจหมดสติไปทันที


 


 


เฮ่อจางโขกศีรษะซาบซึ้งในพระกรุณา


 


 


ส่วนหัวหน้าโต้วที่เพิ่งลนลานตามขันทีเข้ามา กลับนั่งทรุดลงไปกับพื้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนบรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองแล้ว กล่าวขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วยความปิติยินดี


 


 


ฮ่องเต้มองเขาแวบหนึ่ง “แม้คนพวกนั้นจะเป็นผู้เคราะห์ร้าย แต่เป็นพวกเขาที่กระทำผิดกฎหมายก่อน ตามกฎแล้วต้องถูกนำตัวไปจองจำในคุก เห็นแก่ที่พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ข้าจะมีเมตตา อภัยให้พวกเขา นับแต่นี้ไป ห้ามพวกเขาเหยียบเข้าเรือนที่ถูกสั่งปิดแม้เพียงครึ่งก้าว”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าหวงฝู่อี้เซวียนหดหาย เม้มริมฝีปาก ขานรับคำ


 


 


ฮ่องเต้รับสั่งเสร็จก็โบกมือ “เซวียนเอ๋อร์อยู่ก่อน คนอื่นออกไปได้”


 


 


เฮ่อจางและผู้ตรวจการหลิวกล่าวขอบพระทัย แล้วถอยออกไปจากห้องทรงอักษร


 


 


ฮ่องเต้ชี้ม้านั่งนุ่มให้หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง ถึงเก็บคืนความโกรธกริ้ว ผ่อนคลายน้ำเสียงพูดตามตรง “เรื่องของเจ้าและสตรีชนบทนางนั้น เสด็จย่าเจ้าได้มาหารือกับข้าแล้ว ด้วยสถานะของนางไม่มีแม้คุณสมบัติจะเป็นกุ้ยเชี่ย เห็นแก่ที่ครอบครัวพวกเขาเลี้ยงดูเจ้ามาสิบกว่าปี ทั้งซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้า ข้าจะถอยให้ก้าวหนึ่ง แต่งตั้งนางเป็นพระชายารองให้เป็นกรณีพิเศษ อีกไม่กี่วันสมรสพระราชทานก็จะไปถึงมือนาง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกพรวดแล้วคุกเข่า หมายจะเอื้อนเอ่ยบางสิ่ง กลับถูกฮ่องเต้สกัดไว้ “อย่าได้คิดใช้การถอนตัวจากตำแหน่งซื่อจื่อมาข่มขู่ข้า หากเจ้ากล้าทำเช่นนั้น ข้าจะสั่งประหารนางเก้าชั่วโคตร”


 


 


คำพูดแน่วแน่ของหวงฝู่อี้เซวียนสะอึกค้างอยู่ในลำคอ


 


 


ฮ่องเต้ตรัสอีกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่ยึดมั่นกตัญญู ไม่เคยลืมบุญคุณที่ครอบครัวชาวนาเลี้ยงดูเจ้ามา เจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงเจ้าตั้งใจเป็นซื่อจื่อให้ดี ข้าจะประทานลาภยศสูงสุดให้ครอบครัวพวกเขาเอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร


 


 


ฮ่องเต้รู้ว่าเขาไม่ยินดี แต่เขาไม่มีวันยอมให้หญิงชนบททำลายชีวิตของหวงฝู่อี้เซวียนได้


 


 


เฮ่อจางออกมาจากห้องทรงอักษรก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปประตูวังหลวง เพื่อจะดูว่าเฮ่อเหลี่ยนถูกโยนไปไว้ที่ไหน คนแบกเกี้ยวเห็นเขาออกมา เดินเข้าไปรายงานทันที “นายท่าน คุณชายใหญ่ถูกโยนออกมาจากในวังหลวง บ่าวนำตัวเขาเข้าไปไว้ในเกี้ยวแล้วขอรับ”


 


 


เฮ่อจางวางใจลง สั่งพวกเขา “ข้าจะไปสำนักหมอหลวง พวกเจ้าพาคุณชายใหญ่กลับบ้านไปก่อน แล้วรีบมารับข้าที่สำนักหมอหลวง”


 


 


คนแบกเกี้ยวรับคำ ยกเกี้ยวขึ้นเร่งฝีเท้ากลับจวนมหาเสนาบดี


 


 


เฮ่อจางเดินมาถึงสำนักหมอหลวง หัวหน้าสำนักหมอหลวงรู้ว่าเฮ่อจางจะต้องมา กำลังนั่งรอเขา พอเห็นเขาเข้ามาก็แสดงความเคารพ


 


 


เฮ่อจางเข้าไปประคองรับ พูดเสียงต่ำว่า “ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน ข้ามาเพื่อขอร้องท่าน คิดหาวิธีให้เหลี่ยนเอ๋อร์ฟื้นคืนดังเดิม”


 


 


หัวหน้าสำนักหมอหลวงคาดเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องพูดเช่นนี้ ส่ายหน้าอย่างจนใจ “มิใช้ข้าไม่อยากคิดหาวิธี แต่คุณชายใหญ่บาดเจ็บร้ายแรง ข้าเองก็อับจนปัญญา ท่านมหาเสนาบดีคงต้องไปหายอดฝีมือท่านอื่นแล้ว”


 


 


“ท่านเป็นหัวหน้าสำนักยังอับจนปัญญา ข้าจะไปหาใครได้อีกเล่า”


 


 


หมอหลวงหัวใจกระตุกสั่น คิดถึงตอนที่พระชายาเอกสลบไม่ได้สติ ตนเองนำหมอหลวงหลายคน เข้าไปรักษาอยู่หลายวันก็ไม่เห็นผล หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรพระชายาเอกถึงฟื้นขึ้นมาได้ มีใจคิดอยากให้เขาไปขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ก็คิดถึงคำสั่งตายของอ๋องฉี หากตนเองแพร่งพรายแก่เฮ่อจาง เกรงจะรักษาชีวิตไว้ไม่อยู่ จึงพูดก้ำกึ่งชี้นำเขาว่า “ตอนพระชายาเอกนอนไม่ได้สติอยู่หลายวัน ข้าและเหล่าหมอหลวงทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล แต่เพราะอ๋องฉีเชิญยอดฝีมือเข้ามารักษา พระชายาเอกถึงอยู่รอดปลอดภัยมาได้ ไม่เช่นนั้นท่านมหาเสนาบดีลองไปสอบถามที่จวนอ๋องฉีว่ายอดฝีมือท่านนี้เป็นใคร ขอให้นางมารักษาอาการให้คุณชายใหญ่”


 


 


ได้ยินเช่นนี้ เฮ่อจางดวงตาลุกวาว รบเร้าถาม “ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าหมอเทวดาท่านนั้นเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน ข้าจะส่งคนไปเชิญมาเดี๋ยวนี้”


 


 


หัวหน้าสำนักหมอหลวงถูกห้ามไว้ ให้พูดได้เพียงเท่านี้ เห็นเฮ่อจางเค้นถาม ก็ส่ายหน้าพูดปด “ข้าเองก็ไม่ทราบ และไม่เคยพบเห็นหมอเทวดาท่านนั้น มหาเสนาบดีให้คนไปสืบความเองเถอะ”


 


 


เฮ่อจางพยักหน้า เตรียมกลับจวนแล้วส่งคนฝากเรื่องไปยังบุตรสาวตนเอง ถามนางว่ารู้จักคนที่อ๋องฉีเชิญมาหรือไม่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินหัวใจหนักอึ้งออกมาจากวังหลวง นำองครักษ์ขี่ม้าตรงมาบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังสอนสาวใช้ชิงหลวนและจูหลีจำแนกสมุนไพร เห็นเข้าเดินทำหน้ามุ่ยเข้ามา จึงพูดกับคนอื่นๆ “วันนี้สอนเพียงเท่านี้ พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”


 


 


คนทั้งหมดรับคำ แสดงความเคารพหวงฝู่อี้เซวียน แล้วเดินออกไปพร้อมกัน


 


 


“จัดการเรื่องในวันนี้ไม่ราบรื่นหรือ” เมื่อคนออกไปหมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอ่ยปากถาม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก เดินเข้ามาจ้องหน้านางเขม็ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจสั่นวูบ ยิ้มถาม “อย่าบอกว่าเสด็จลุงเจ้าทำให้เจ้าลำบากใจเรื่องการแต่งงานของเราดอกนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าตนเองเดาถูก ยิ้มแล้วกดเขานั่งลงบนเก้าอี้ รินน้ำชาให้เขา “พวกเราต่างรู้แต่แรกแล้วว่าเขาไม่มีทางยอมรับการแต่งงานนี้โดยง่าย ไยเจ้าต้องกลัดกลุ้มเช่นนี้ด้วยเล่า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังจับจ้องนางเขม็ง “เขาใช้การประหารสกุลเมิ่งเก้าชั่วโคตรมาข่มขู่ข้า บอกว่าหากข้ากล้าคืนตำแหน่งซื่อจื่อ เขาจะสั่งประหารพวกเขา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักอึ้งเล็กน้อย พลันกลับคืนสภาพเดิม “ดังนั้นเล่า เจ้ายอมประนีประนอมแล้ว”


 


 


“เจ้าให้ความสำคัญต่อสายเลือดวงศ์ตระกูลที่สุด หากข้าไม่รับปาก เกรงว่าเสด็จลุงจะพูดจริงทำจริง ถึงตอนนี้หากสกุลเมิ่งไม่เหลืออยู่อีกต่อไป เจ้าจะต้องทนรับไม่ไหว ทว่า ข้าไม่ได้รับปากสมรสพระราชทานของเขา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงแย้มยิ้มไม่เปลี่ยน “เจ้าทำถูกต้องที่สุดแล้ว ข้าทิ้งญาติพี่น้องไม่ได้จริงๆ หากจำเป็นต้องเลือกระหว่างสองสิ่งนี้จริงๆ ข้าคง…”


 


 


“โยวเอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนตัดบทนาง พูดด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าคิดดีแล้ว หากเสด็จลุงประทานสมรสพระราชทานมาให้ บังคับให้ข้าสมรสกับธิดาราชเลขาจริงๆ ข้าจะแกล้งตายแล้วหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวกับเจ้า”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)