ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 53.2-54

ตอนที่ 53-2 เฮ่อเหลี่ยนมีชีวิตอยู่มิส...

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้พนักงานไปต้มข้าวต้มมาให้ทุกคน แล้วก็ป้อนให้พวกเขา อีกทั้งยังกำชับให้พนักงานป้อนยาให้พวกเขาตามเวลา และเปลี่ยนยาที่บาดแผล


 


 


พนักงานจดจำทุกอย่าง


 


 


ท้องฟ้ามืดสนิทลงแล้ว ทุกคนจึงแยกย้ายออกจากร้านยาเต๋อเหริน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไปส่งเมิ่งเชี่ยนโยวกลับจวน แล้วก็พาองครักษ์เงากลับจวนอ๋อง


 


 


เมื่อวานพี่หลี่ไปแจ้งข่าวที่ร้านบะหมี่มันฝรั่ง เมิ่งอี้ได้ยินแล้วก็ตกใจแทบแย่ หลังจากที่ส่งองครักษ์ไปแจ้งข่าวที่จวนอ๋องฉี ก็รอคอยฟังข่าวอยู่ที่จวนอย่างกระสับกระส่าย จนกระทั่งถึงเวลาปิดร้านก็ยังไม่ได้ข่าวคราว ในใจของเมิ่งอี้ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น แล้วก็พาทุกคนกลับจวนด้วยความร้อนใจ แต่ก็พบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่กลับจวน คาดเดาว่าหวงฝู่อี้เซวียนคงจะยังตามหาคนไม่เจอ ก็เป็นห่วงจนไม่ได้นอนทั้งคืน รอจนกระทั่งฟ้าสาง ทหารอารักขามาแจ้งข่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวปลอดภัยแล้ว จิตใจที่กระสับกระส่ายมาทั้งคืนจึงค่อยสงบลงได้ แล้วก็ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก ให้ทุกคนพักผ่อนที่จวนหนึ่งวัน ตอนนี้พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว ก็รีบวิ่งเข้าไปหานาง แล้วมองซ้ายมองขวา ข้างบนข้างล่าง ข้างหน้าข้างหลัง ตรวจสอบนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเห็นนางไม่เป็นอะไร จึงสบายใจได้จริงๆ กล่าวว่า “ข้าตกใจแทบแย่ เจ้าเล่ามาสิว่าพวกเจ้าไปทำอะไรถึงได้โดนทหารจับเอา?”


 


 


คนเยอะ เมิ่งเชี่ยนโยวลำบากใจที่จะอธิบายให้เขาฟัง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องเล็กๆ พี่รองไม่ต้องเป็นห่วง”


 


 


“ถึงขึ้นถูกจับเข้าไปขังในคุกแล้วยังบอกว่าเรื่องเล็กอีก ต้องสูญเสียชีวิตก่อนใช่ไหมถึงเป็นเรื่องใหญ่?”


 


 


เมิ่งอี้ไม่เคยพูดเช่นนี้กับนางมาก่อน อาจจะเป็นเพราะว่าตกใจจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวลูบจมูกไม่กล้าพูดอะไร


 


 


เมิ่งอี้เองก็รู้ตัวว่าตัวเองพูดแรงเกินไป จึงพูดเสียงอ่อนลงว่า “เจ้าคงตกใจไม่น้อย ข้าจะไปบอกให้คนในห้องครัวต้มน้ำร้อนไว้ให้เจ้า อาบน้ำกินข้าวแล้วก็ไปนอนให้สบาย มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วเดินไปที่เรือนของตนเอง องครักษ์เงาหญิงทั้งสองคนเดินอยู่ข้างหลังนางไม่ห่าง


 


 


เมิ่งอี้จะไปห้องครัว เดินไปไม่กี่ก้าวค่อยนึกถึงกัวเฟยและคนอื่น จึงรีบหันกลับไปถามว่า “พวกเขาเหล่านั้นล่ะ ทำไมไม่กลับมาพร้อมกับเจ้า? ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปตอบอย่างคลุมเครือว่า “พวกเขาได้รับบาดเจ็บกัน ข้าจึงจัดแจงให้พวกเขาดูอาการอยุ่ที่ร้านยาเต๋อเหริน วันหน้าก็จะกลับแล้ว”


 


 


เมิ่งอี้คิดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บจากการปกป้องเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ถามอะไรมาก แล้วก็หมุนตัวเดินไปที่ห้องครัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็ยว่าเขาไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอีกก็ลอบถอนหายใจโล่งอก เดินกลับห้องของตัวเองไป


 


 


องครักษ์เงาหญิงเฝ้าซ้ายขวาอยู่ที่หน้าประตู


 


 


เมิ่งเชี่ยนรู้สึกไม่ชินกับการที่ต้องถูกคนเฝ้าดูตลอดเวลาเช่นนี้ ก็เลยเรียกพวกนางเข้าไปหา สอบถามพวกนางว่า “พวกเจ้ามีชื่อไหม ต่อไปข้าจะเรียกพวกเจ้าว่าอย่างไร?”


 


 


องครักษ์เงาคนหนึ่งตอบว่า “พวกเรามีแค่รหัสเจ้าค่ะ ไม่มีชื่อ ถ้านายท่านรู้สึกไม่สะดวกก็ตั้งชื่อให้เราได้เจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดกับองครักษ์เงาที่ตอบกลับว่า “ต่อไปจะเรียกเจ้าว่าชิงหลวน” จากนั้นก็กล่าวกับอีกคนว่า “ส่วนเจ้าก็ชื่อจู๋หลี”


 


 


ทั้งสองคนกล่าวด้วยความเคารพพร้อมกัน “ขอบพระคุณนายท่านที่ตั้งชื่อให้เจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับสองคนนั้นอีกว่า “ข้าไม่ชินที่มีคนติดตามข้าตลอดเวลา ถ้าพวกเจ้าไม่มีอะไรทำก็ไปเดินดูที่จวนได้ ทำความคุ้นเคยกับคนในจวนหน่อย”


 


 


ชิงหลวนกับจู๋หลีมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วชิงหลวนก็ตอบกลับว่า “หน้าที่ของบ่าวก็คือคุ้มครองความปลอดภัยของนายท่านตลอดเวลา ไม่อาจห่างจากนายท่านได้ตามใจ ถ้าหากนายท่านรู้สึกว่าบ่าวทั้งสองรกหูรกตา พวกเราก็จะหาที่เร้นกายได้เจ้าค่ะ”


 


 


นั่นก็ไม่ใช่ว่าเฝ้ามองดูตัวเองตลอดเวลาเหมือนเดิมหรือ เมิ่งเชี่ยนโยวสั่นศีรษะ “ในจวนต่างก็เป็นคนกันเอง ไม่มีอะไรอันตราย พวกเจ้าไม่ต้องเฝ้าติดตามข้าตลอด ไปเดินเล่นกันได้ตามสบาย แล้วก็ถือโอกาสทำความรู้จักคนในจวนด้วย”


 


 


ทั้งสองคนยังยืนยันคำเดิม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพวกนางทั้งสองถูกฝึกฝนเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะให้พวกนางเปลี่ยนก็คงเปลี่ยนไม่ได้ในทันทีทันใด จึงจงใจสั่งเสียงแข็งว่า “นี่เป็นคำสั่ง เจ้าสองคนต้องรู้จักทุกคนที่อยู่ในจวนภายในระยะเวลาสามวันนี้เท่านั้น”


 


 


ทั้งสองคนรีบตอบรับคำสั่งอย่างนอบน้อมทันที “เจ้าค่ะนายท่าน บ่าวจะไปประเดี๋ยวนี้” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถอนหายใจยาว


 


 


ไม่ทันไรสาวใช้ก็เอาน้ำร้อนเข้ามาส่ง เมิ่งเชี่ยนโยวอาบน้ำเสร็จแล้วก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สบายตัว หลังจากที่กินข้าวกับทุกคนเสร็จก็กลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง


 


 


วันต่อมาก็เป็นดั่งที่หวงฝู่อี้เซวียนคาดไว้ไม่มีผิด เฮ่อเหลี่ยนไม่ได้ออกมา


 


 


แล้วก็ผ่านมาอีกหนึ่งวัน วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวรวมถึงเหวินซื่อที่แต่งหน้าแต่งตัวเหมือนตอนนั้นพากัยรออยู่ที่จุดเดิม ผ่านไปไม่นานนักก็เห็นเกี้ยวของเฮ่อเหลี่ยนออกมาจากจวนเสนาบดี


 


 


ครั้งนี้เฮ่อเหลี่ยนเตรียมตัวอย่างดี มีองครักษ์ประจำจวนมากถึงสามสิบคนที่รายล้อมอยู่ทั้งสองข้างของเกี้ยว ตะโกนตลอดทางเดินมาทางนี้


 


 


พวกคนแบกเกี้ยวพอเงยหน้าขึ้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ข้างหน้าก็ตกใจจนขาอ่อน เกี้ยวโยกเยกไปมาหลายครั้ง


 


 


เฮ่อเหลี่ยนเกือบจะตกลงมา พูดอย่างโมโหว่า “เจ้าพวกสุนัข แค่แบกเกี้ยวยังแบกไม่นิ่ง ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ?”


 


 


“คะ คุณชาย” น้ำเสียงของคนแบกเกี้ยวสั่นระริก “พวก พวกเขา พวกเขามาอีกแล้ว”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตกตะลึง เปิดม่านเกี้ยวออกทันควัน พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนอยู่ด้านหน้ากำลังมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มก็หวาดผวา ตกใจร้องเสียงดังว่า “เร็ว รีบมาอารักขาข้า!”


 


 


องครักษ์ประจำจวนยิ่งเข้าใกล้เกี้ยวมากขึ้น มองพวกเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระแวดระวัง


 


 


พวกคนแบกเกี้ยวเมื่อแบกเกี้ยวมาถึงจุดเดิมก็ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ


 


 


ทั้งสองฝ่ายต่างก็คุมเชิงกันอยู่


 


 


คนที่เดินผ่านไปผ่านมารู้สึกว่าบรรยากาศไม่ปกติ เกรงว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย ตกใจจนต้องหนีไปหลบอยู่ที่ไกลๆ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ชูคอขึ้นมองมาทางนี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายเฮ่อเหลี่ยนด้วยรอยยิ้มละไม “คุณชายใหญ่เฮ่อ ไม่เจอกันสองวัน ไม่ทราบว่าบาดแผลของเจ้าดีขึ้นหรือยัง?”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนพอนึกถึงความเจ็บปวดที่อยู่มิสู้ตายเมื่อสองวันก่อนก็รู้สึกเคียดแค้นยิ่งนัก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวขึ้นว่า “เจ้าคนระยำ เจ้าอย่ากำแหงไป วันนี้คิดว่าพวกเจ้าจะมา ข้าก็พาคนมาด้วยโดยเฉพาะ วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสชาติที่อยู่มิสู้ตายเช่นกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กล่าวว่า “คุณชายใหญ่เฮ่อพูดจาฉาดฉานเช่นนี้ ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บคงจะหายดีแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าจะบอกให้พวกเขาให้ยั้งมือไว้บ้าง เห็นทีตอนนี้ไม่ต้องแล้ว”


 


 


พูดจบก็ถามทหารอารักขาข้างหลังด้วยเสียงอันดังว่า “ทราบแล้วใช่ไหมว่าอีกประเดี๋ยวต้องทำอย่างไร?”


 


 


ทหารอารักขาตอบโดยพร้อมเพรียงกันว่า “ทราบแล้วขอรับ”


 


 


“ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามัวรีรอเลย รีบลงมือเถอะ คุณชายเฮ่อยังต้องไปลงชื่ออีก พวกเจ้าอย่างทำให้เขาเสียเวลาล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างสบายอารมณ์


 


 


ถูกนางดูหมิ่นดูแคลนเช่นนี้ เฮ่อเหลี่ยนโมโหจนแทบกระอักเลือด ร้องบอกองครักษ์ประจำจวนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พวกเจ้าลงมือเลย ใครที่จับเจ้าเด็กระยำคนนั้นได้จะมีรางวัลให้หนุ่งพันตำลึง”


 


 


องครักษ์ประจำจวนตอบรับ แล้วก็เดินเข้าอย่างพร้อมเพรียง พลันรอบๆ เกี้ยวก็ว่างเปล่า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งสายตาให้กับทหารอารักขาที่อยู่ข้างกาย


 


 


ทหารอารักขาเข้าใจความนัย กระโดดลอยเค้าไปไม่กี่ครั้งก็ถึงข้างหน้าของเฮ่อเหลี่ยน ไม่รอให้เขาร้องออกมาด้วยความตระหนก ก็หิ้วเขาลงมาทันที


 


 


องครักษ์ประจำจวนเห็นแค่เงาที่พาดผ่านสายตาไป จนตอนที่เห็นอะไรชัดเฮ่อเหลี่ยนก็อยู่ในมือของเขาเสียแล้ว อารามตกใจคิดจะหันกลับไปช่วยเฮ่อเหลี่ยน จู่ๆ ก็มีคนหลายคนกระโดดออกมาขวางหน้าพวกเขาไว้ องครักษ์ประจำจวนเงื้อดาบขึ้น แล้วทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กัน


 


 


เฮ่อเหลี่ยนคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจับตัวเขาลงมาดื้อๆ เช่นนี้ ก็ตกใจจนขลาดเขลาไปแล้ว จนกระทั่งทหารอารักขาโยนเขาไว้ข้างหน้าหวงฝู่อี้เซวียนจึงได้สติกลับมา


 


 


กำลังคิดจะวิ่งหนี หวงฝู่อี้เซวียนก็ตะเบ็งเสียงขึ้นว่า “ลงมือได้!”


 


 


ทันใดนั้นทั้งมือทั้งเท้าก็ระดมมาอยู่บนร่างของเขา


 


 


เฮ่อเหลี่ยนร้องโอดโอยไม่หยุด ทหารประจำจวนหมายจะเข้ามาช่วยเหลือ แต่กลับพัวพันการต่อสู้อยู่ ต่างก็ไม่มีใครหลุดพ้นออกมาได้


 


 


เสียงร้องโอดครวญของเฮ่อเหลี่ยนค่อยๆ เบาลง หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งให้คนหยุด แล้วก็นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าเขา กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายใหญ่เฮ่อ ไว้เราเจอกันใหม่พรุ่งนี้”


 


 


พูดจบก็ลุกขึ้นกล่าวกับทุกคนว่า “พวกเรากลับ!”


 


 


ทหารอารักขาขานรับ แล้วก็กระโดดถอยกลับไป รวดเร็วจนเหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็รู้สึกว่าตัวเองตาฝาดไป เหมือนไม่เคยมีคนต่อสู้กับตัวเองมาก่อน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวและเหวินซื่อต่างก็เดินกลับไปอย่างสง่าผ่าเผย


 


 


เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็รีบวิ่งกรูเข้ามาหาเฮ่อเหลี่ยน พยุงเขาขึ้นมากันอย่างวุ่นวาย


 


 


เฮ่อเหลี่ยนเจ็บปวดจนแทบไม่มีแรงพูด


 


 


เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็บกเขาขึ้นเกี้ยวกันอย่างตะลีตะลาน บอกให้คนแบกเกี้ยวรีบพากลับจวน พาเขาไปรักษา


 


 


เฮ่อเหลี่ยนโบกไม้โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไปลงชื่อก่อน ประเดี๋ยวค่อกลับจวน”


 


 


คนแบกเกี้ยวแบกเกี้ยวไปข้างหน้าอย่างโคลงเคลง เฮ่อเหลี่ยนเจ็บปวดจนไม่มีเรี่ยวแรงต่อว่าพวกเขา


 


 


คนที่มามุงดูต่างก็ประหลาดใจ เวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน ราวกับว่าทั้งสองฝ่ายได้นัดกันมาตีกันอยู่ที่นี่ ไม่สิ จะพูดให้ถูกก็คือมีคนหนึ่งที่ถูกทุบตี มิหนำซ้ำคนคนนี้ยังแต่งกายไม่ธรรมดา เรื่องน่าสนุกเช่นนี้แค่เพียงถามข่าวรอฟังก็รู้แล้วว่าที่แท้คนที่ถูกทุบตีก็คือคุณชายใหญ่ของจวนเสนาบดี ส่วนผู้ที่ทุบตีคนก็คือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี


 


 


ไม่ทันไรชาวบ้านในเมืองหลวงต่างก็แตกตื่นกันยกใหญ่ ไม่ถึงชั่วยามก็โจษจันไปทั่วเมืองหลวง ขนาดคนเล่าเรื่องในโรงน้ำชายังแต่งออกมาเป็นเรื่องเป็นราว เล่าจนน้ำลายแตกฟอง


 


 


ตระกูลของขุนนางไป๋ก็ได้ยินข่าวลือเช่นเดียวกัน นึกสงสัยว่าคุณชายใหญ่แห่งจวนเสนาบดีไปล่วงเกินซื่อจื่ออย่างไรกันแน่ จนทำให้เขาต้องทุบตีคนกลางถนนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้


 


 


คนรับใช้ในจวนอ๋องฉีก็ได้ยินข่าวเช่นเดียวกัน พอกลับมาก็เล่าให้พระชายาฉีฟัง


 


 


พระชายาฉีได้ยินแล้วก็หัวเราะลั่น พูดจาอย่างตรงไปตรงมาว่าเด็กสองคนนี้ช่างทำให้นางมีหน้ามีตาเสียเหลือเกิน


 


 


ส่วนพระชายารองกลับปาข้าวของในจวนที่สามารถเอามาปาได้จนแตกกระจายหมด


 


 


หวงฝู่อวี้ได้ยินแล้วก็ไม่เชื่อ ถึงกับวิ่งไปถามหวงฝู่อี้เซวียนถึงที่เรือน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ปฏิเสธ


 


 


หวงฝู่อวี้ได้ยินแล้วก็เบิ่งตากว้างอย่างตกใจ นานครึ่งค่อนวันถึงจะเค้นเสียงพูดออกมาได้ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าให้คนลงมือหนักเกินไปนัก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นท่านลุงของข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก แล้วก็ส่งเสียง “อืม” ออกมาเบาๆ


 


 


คนรับใช้ของจวนราชเลขาก็กลับไปคุยกันถึงเรื่องนี้ หลินหันเยียนตกใจจนแทบแย่ ร้องตะโกนว่าชีวิตนี้ของตนถึงแม้ต้องตายก็ไม่แต่งกับหวงฝู่อี้เซวียนที่เหมือนปีศาจคนนี้ ทว่ากลับรู้สึกว่าถูกคนตบหน้าอย่างแรง ส่วนหลินจ้งที่คิดหาโอกาสไปสั่งสอนหวงฝู่อี้เซวียนสักครั้ง เมื่อได้ยินแล้วก็ละทิ้งความคิดนั้นไป ตัดสินใจว่าต่อไปจะอยู่ห่างๆ จากหวงฝู่อี้เซวียนให้ไกล จะไม่ไปล่วงเกินให้เขาโกรธเด็ดขาด


 


 


เสนาบดีเฮ่อจางเป็นคนสุดท้ายที่ได้ทราบข่าว โมโหจนแทบเต้นแร้งเต้นกา สั่งให้คนไปตามเฮ่อเหลี่ยนที่เจ็บปวดเจียนตายเข้ามาหา แล้วผรุสวาทถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


 


เฮ่อเหลี่ยนไม่กล้าปิดบัง บอกทุกเรื่องที่ตัวเองทำลงไปจนหมด


 


 


เฮ่อจางโกรธจนเตะเขาไปหนึ่งที “เจ้าคนเลว ข้าเคยเตือนเจ้าไว้แล้วว่าอย่าไปหาเรื่องพวกเขา รอให้พวกเราหาวิธีให้อวี้เอ๋อร์เป็นซื่อจื่อได้ก่อน เจ้าจะทำอะไรกับพวกเขาก็ได้ แต่เจ้ากลับเห็นคำพูดของข้าเป็นแค่ลมพัดผ่านหู ตอนนี้ถูกคนจับจุดอ่อนได้ ไม่ใช่แค่เจ้า เกรงว่าแม้แต่ข้ายังต้องเดือดร้อนไปด้วย”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนนอนนิ่งอบู่บนพื้นไม่กล้าขยับ


 


 


เฮ่อจางเห็นท่าทางที่น่ารังเกียจไม่ได้ดั่งใจแล้วก็ยิ่งโมโห แทบจะอยากเตะเขาจนตายให้จบๆ ไป แต่ว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตัวเอง จึงพยายามสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปช่วยเจ้าแจ้งเรื่องลาให้เจ้า ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปลงชื่อ หลบอยู่ในบ้านไม่ให้เป็นที่สนใจของชาวบ้านสักพัก”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตอบรับ


 


 


นี่ก็คือการตัดสินใจที่หวงฝู่อี้เซวียนและคนอื่นๆ กำลังรอคอยอยู่ แล้วก็ส่งคนไปแจ้งให้เหวินซื่อรู้ บอกให้เขาเตรียมสิ่งของไว้ให้พอ อีกไม่เกินสองสามวันก็จะจัดการให้เฮ่อเหลี่ยนให้มีชีวิตอยู่มิสู้ตาย

 

 

 


ตอนที่ 54 การล้างแค้นของซื่อจื่อ (1)

 

หารู้ไม่ที่หวงฝู่อี้เซวียนรออยู่ก็คือการตัดสินใจนี้ของเขา ส่งคนไปแจ้งเหวินซื่อ บอกเขาให้เตรียมสิ่งของให้พร้อม อีกไม่กี่วันจะกลั่นแกล้งให้เฮ่อเหลียนต้องเจ็บปางตาย


 


 


เฮ่อเหลี่ยนอยู่ในบ้านสิบวันเต็ม เฮ่อจางยังได้เชิญหมอหลวงในวังมารักษาอาการให้เขา


 


 


หมอหลวงจับชีพจรเขา หันมาพูดกับเฮ่อจางอย่างนอบน้อม “อวัยวะภายในของคุณชายใหญ่ได้รับบาดเจ็บขนานเบา ต้องพักฟื้นหลายวัน ข้าจะออกยาบำรุงให้เขากินตรงตามเวลาก็พอขอรับ”


 


 


เฮ่อจางพยักหน้า


 


 


หมอหลวงเขียนใบสั่งให้เขา


 


 


เฮ่อจางกล่าวขอบคุณหมอหลวง สั่งพ่อบ้านพาหมอหลวงไปรับรางวัลที่ห้องบัญชี


 


 


หมอหลวงกล่าวขอบคุณ ยกยิ้มยินดีตามพ่อบ้านไป


 


 


เฮ่อจางสั่งบ่าวไปจัดยาตามใบสั่ง แล้วพูดกับเฮ่อเหลี่ยนเสียงกร้าว “เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นคงกลัวเรื่องจะบานปลาย ไม่กล้าลงมือกับเจ้าถึงตาย นับว่าเจ้าเหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่ จำไว้ให้ดี ต่อไปอย่าได้ไปหาเรื่องพวกเขาอีก”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนกระอ้อมกระแอ้มรับคำ


 


 


ทว่าช่วงเวลาสิบวันนี้ ทุกวันหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจะจงใจพาคน ไปยืนตั้งท่ารับมือรอตามเส้นทางสำคัญ กระทั่งรอได้ห้าวัน รู้ว่าเฮ่อเหลี่ยนไม่ปรากฏตัวแล้ว จึงไม่เข้าไปอีก


 


 


ในช่วงแรกคนในเมืองหลวงต่างเฮโลกันมาในช่วงเวลานี้ทุกเช้า เบิกตากว้างคอยดูเรื่องสนุก ทว่าสามวันผ่านไปเฮ่อเหลี่ยนกลับไม่ยอมปรากฏตัว จึงไร้อารมณ์มารออีก


 


 


ส่วนเจ้าใหญ่นายโตผู้สูงศักดิ์ต่างๆ ก็แอบส่งคนมาดูลาดเลา พอเห็นว่าไร้ความเคลื่อนไหวใด จึงล้มเลิกความคิดไป


 


 


เฮ่อเหลี่ยนไม่ได้ออกจากบ้านสิบวัน ทั้งอุดอู้อึดอัด กระทั่งยามค่ำมหาเสนาบดีเฮ่อจางอยู่ในบ้าน จึงพูดอย่างระวังว่า “ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บข้าหายดีแล้ว พวกบ่าวก็บอกว่าพวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวอีก ท่านว่าวันพรุ่งข้าควรจะไปขานชื่อทำงานแล้วหรือไม่”


 


 


หลายวันมานี้เฮ่อจางก็ได้ส่งคนไปจับตาดูการเคลื่อนไหวของหวงฝู่อี้เซวียน คาดคะเนว่าพวกเขาก็คงจะรามือแล้ว จึงพยักหน้าเห็นชอบ ทั้งกำชับว่า “เพื่อป้องกันไว้ก่อน วันพรุ่งพาองครักษ์เงาตามออกไปด้วย”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนรับคำ


 


 


วันรุ่งขึ้น เฮ่อเหลี่ยนนั่งในเกี้ยว พาทหารยามในจวนไปด้วยยี่สิบนาย องครักษ์เงาสามสิบนาย เดินยกโขยงกันออกไป คนแบกเกี้ยวเดินขวัญผวาไปตลอดทาง คอยระแวดระวัง กระทั่งใกล้จะถึงบริเวณที่เฮ่อเหลี่ยนถูกทำร้ายวันนั้น ต่างลดความเร็วลงโดยไม่นัดหมาย คนแบกเกี้ยวข้างหน้าคอยื่นคอยาวพยายามมองไปข้างหน้า คนแบกเกี้ยวด้านหลังก็รอคำตอบจากเขาด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ


 


 


คนแบกเกี้ยวมองสำรวจไปโดยรอบ พบว่าไม่มีใครจริงๆ ตื่นเต้นดีใจ รีบร้องบอกเฮ่อเหลี่ยน “คุณ คุณชายใหญ่…”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนได้ยินคำเรียกขาน เส้นกระตุกปฏิกิริยาตอบสนองฉับพลัน ร้องโวยวายลั่น “คุ้มกันข้าเร็ว!”


 


 


ทหารยามและองครักษ์เงาได้ฟังเข้าล้อมเกี้ยวโดยพร้อมเพรียง


 


 


คนแบกเกี้ยวตกใจตัวโยน กลืนน้ำลายลนลานพูดว่า “คุณชายใหญ่ วันนี้พวกเขาไม่ได้มาขอรับ”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนอารมณ์พลุ่งพล่าน แทบอยากจะจับคนแบกเกี้ยวมาอัดให้สาใจ คนไม่มาเจ้าจะร้องอึกๆ อักๆ ทำไม เปิดม่านออก ยื่นศีรษะออกไปมองไปโดยรอบ บนถนนไร้เงาของพวกเขาจริงๆ กระทั่งคนที่เดินผ่านไปมาก็ไม่มีใครสนใจพวกเขา


 


 


เฮ่อเหลี่ยนถอนใจโล่งอก เข้ายืดตัวตรง สั่งทหารยามและองครักษ์เงา “ตื่นระวังให้มาก”


 


 


ทหารยามและองครักษ์เงาเดินขนาบข้างเกี้ยวทั้งสองฝั่งไปติดๆ กระทั่งมาถึงที่ทำงานเฮ่อเหลี่ยน


 


 


ได้เห็นสถานที่ทำงาน และยังไม่มีใครตามมา เฮ่อเหลี่ยนจึงยอมวางใจหมดห่วง จัดแจงเสื้อผ้า เดินวางมาดหน้าเชิดเข้าไป


 


 


เพื่อนร่วมงานของเขาเห็นเขาวางท่าวางทางใหญ่โต คิดถึงข่าวลือในเมืองหลวง ต่างก็แอบหัวเราะเยาะเขา


 


 


ตอนเที่ยง หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาจากกั๋วจื่อเจียน เพิ่งจะเดินพ้นประตูวังหลวงออกมาก็ได้ยินรายงานจากองครักษ์เงา พลันแสยะยิ้มพิลึกพิลั่น


 


 


เหมือนเช่นเดิม เขาขี่ม้าตรงมากินข้าวเที่ยงที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงมือผัดผักสองจานน้ำซุปหนึ่งชามที่หวงฝู่อี้เซวียนชอบ เห็นเขาเดินอารมณ์ดีเข้ามา เลิกคิ้วถาม “เฮ่อเหลี่ยนออกมาข้างนอกแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มส่งเสียง “อือ” ล้างมือนั่งลงข้างโต๊ะ พูดว่า “หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ พวกเราจะไปร้านยาเต๋อเหริน คาดว่าเหวินซื่อจะกระวนกระวายใจรอพวกเราแย่แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อาการบาดเจ็บของพวกกัวเฟยก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว พอเสร็จเรื่องนี้จะได้รับพวกเขากลับมาดูแลต่อที่บ้าน บ้านมีคนเยอะ และอยู่สบายกว่า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่คัดค้าน


 


 


ตั้งแต่หวงฝู่อี้เซวียนส่งคนไปแจ้งเหวินซื่อ เขาก็เตรียมยาเอาไว้แต่เนิ่นๆ รอวันนี้อย่างใจจดจ่อ แต่เฮ่อเหลี่ยนกลับไม่ออกจากบ้านติดต่อกันสิบวัน ทำเอาเหวินซื่อโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก่นด่าเฮ่อเหลี่ยนว่าเป็นเศษสวะ ถูกอัดไม่กี่ทีก็กลัวจนไม่กล้าออกจากบ้านแล้ว


 


 


ซึ่งหากเฮ่อเหลี่ยนรู้ความคิดของเหวินซื่อ จะต้องโมโหจนกระอักเป็นเลือดเทียว


 


 


ตอนที่เหวินซื่อกำลังรออย่างว้าวุ่นใจนั้น หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินจับมือกันมาหาเขาที่ชั้นบน


 


 


เหวินซื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เงยหน้ามองประตู พอเห็นทั้งสองคนก็ถลึงตาโต ร้องดีใจถาม “เฮ่อเหลี่ยนออกจากบ้านแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


เหวินซื่อปิดสมุดบัญชี “แม่งเอ๊ย ในที่สุดเจ้าคนขี้ขลาดก็กล้าออกมาซักที ข้ากระวนกระวายรอจนแทบคลั่งแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ


 


 


เหวินซื่อพูดอีกว่า “ข้าบอกพวกเจ้าก่อนนะ เรื่องวันนี้ข้าจะลงมือเอง พวกเจ้าใครก็ห้ามขวางข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหันหน้ามองกัน ไม่พูดอะไร


 


 


“พวกเจ้าไม่พูดหมายความว่ายังไง หรือว่าครั้งนี้ก็จะไม่ให้ข้าลงมืออีก” เหวินซื่อเห็นสีหน้าคนทั้งสอง ร้อนรนถามทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า “พวกเราไม่ได้คิดจะลงมือกับเฮ่อเหลี่ยน ไฉนเลยจะมีโอกาสให้เจ้าลงมือได้”


 


 


เหวินซื่อไม่เข้าใจ “ไม่ใช่ต้องสั่งสอนเขาก่อนเรอะ เหตุใดถึงไม่มีโอกาสให้ข้าลงมือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก พูดแหย่เย้าเขา “นายท่านเหวิน เรื่องตื้นเขินเช่นนี้ท่านยังคิดไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ร้านยาเต๋อเหรินในการดูแลของท่านอยู่รอดมาได้อย่างไร”


 


 


เหวินซื่อยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ ถามความ “เจ้าหมายความว่าอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจไม่พูด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทนดูต่อไปไม่ไหว อธิบายแก่เขา “หากพวกเราอัดเขาก่อน เฒ่าเจ้าเล่ห์เฮ่อจางจะต้องเดาได้ว่าพวกเราเป็นคนทำ นำเรื่องไปฟ้องเสด็จลุง เรื่องก็จะอยู่เหนือการควบคุมของพวกเรา”


 


 


เหวินซื่อเข้าใจพลัน กลับพูดอีกว่า “ไม่สิ ต่อให้พวกเราไม่อัดเขา เฮ่อจางก็ต้องเดาออกว่าพวกเราเป็นคนทำ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพยักหน้า “ถูกต้อง เขาต้องเดาว่าพวกเราเป็นคนทำอย่างแน่นอน แต่ก็แล้วอย่างไร เขาไม่มีหลักฐาน จำต้องยอมทนกล้ำกลืนความเสียเปรียบนี้”


 


 


เหวินซื่อตาโตอ้าปากค้าง มองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนทั้งสอง พูดงึมงำ “พวกเจ้าอำมหิตเกินไปแล้ว เฮ่อเหลี่ยนผู้น่าสงสารต้องมาพ่ายด้วยน้ำมือพวกเจ้าไม่เสียทีแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังไม่ถนัด ยิ้มถาม “เจ้าว่าอะไรนะ”


 


 


เหวินซื่อโบกมือเป็นพัลวัน เอนตัวถอยไปด้านหลังอย่างลืมตัว ลนลานพูดว่า “หากภายหน้าข้าไม่ระวังล่วงเกินพวกเจ้าไป พวกเจ้าจะต้องบอกข้านะ ข้าพร้อมชดใช้ขอขมา อย่าได้กลั่นแกล้งข้าเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับประกัน “วางใจเถอะ เห็นแก่อาซ้อ ข้าจะยอมออมมือให้”


 


 


เหวินซื่อรู้สึกเสียวสันหลัง ตัวสั่นวูบวาบ


 


 


เฮ่อเหลี่ยนไม่ได้ออกจากบ้านสิบวันติดต่อกัน อุดอู้จนแทบคลั่งแล้ว ตกบ่ายหลังเลิกงาน ระหว่างทางนั่งเกี้ยวกลับบ้าน พอมาถึงสถานที่ถูกรุมซ้อมทั้งสองครั้งนั้น เขาได้แหวกม่านออก เห็นด้านหน้าไม่มีคนมายืนรอ ยิ่งวางใจอย่างสนิทใจ ร้องตะโกน “หยุดเกี้ยว!”


 


 


คนแบกเกี้ยวได้ฟังก็หยุดเกี้ยว เฮ่อเหลี่ยนสั่งทหารยามและองครักษ์เงา “ดูท่าวันนี้จะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดกลับไปเถอะ ข้ายังมีธุระ คืนนี้ไม่กลับไปที่บ้านแล้ว หากท่านพ่อถามหา ให้บอกว่าข้าไปดื่มเหล้าที่บ้านเพื่อนร่วมงาน”


 


 


ทหารยามและองครักษ์เงารับคำ ทั้งหมดจากไปโดยไว


 


 


เฮ่อเหลี่ยนสั่งคนแบกเกี้ยว “ไปเรือนนอกเมืองฝั่งตะวันออก ข้าจะผ่อนคลายให้สบายใจหน่อย”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนเป็นพวกหมกมุ่นในกามอารมณ์ ยังมีนิสัยวิตถาร โดยเฉพาะกับเด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปี เวลาผ่านไปนานเข้า ด้วยกลัวเฮ่อจางจะรู้ จึงออกมาซื้อเรือนหลังหนึ่งไว้นอกเมือง ให้พ่อบ้านในจวนนำเด็กสาวที่ซื้อมาตามกำหนด มาอยู่เรือนหลังนี้ ให้เขาได้เสวยสุขตามใจชอบ


 


 


คนแบกเกี้ยวพาเขาไปยังสถานที่ต่างๆ ทุกวัน ย่อมรู้ว่าสถานที่ที่เขาพูดคือที่ไหน หลังจากขานรับคำ ก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังนั้น


 


 


เรือนหลังนี้อยู่ไม่ห่างจากเรือนที่เอาไว้เลี้ยงดูจอมยุทธ์ยอดฝีมือ คนแบกเกี้ยวหามเกี้ยวมาหยุดที่เรือนนอกเมือง เฮ่อเหลี่ยนเดินออกมา มองซ้ายมองขวาไม่มีคน มอบเศษเงินให้คนแบกเกี้ยว แล้วเดินเข้าไปในเรือน


 


 


คนแบกเกี้ยวเห็นเขาเดินเข้าไปแล้ว ก็แบกเกี้ยวไปร้านเหล้าใกล้ๆ แห่งหนึ่ง ดื่มเหล้าไปพลางรอเฮ่อเหลี่ยนไปพลางเหมือนเช่นเคย


 


 


ในเรือนหลังนี้นอกจากเด็กสาวที่ถูกซื้อตัวมา ยังมีแม่บ้านอายุราวสามสิบกว่าปีอีกหนึ่งคน


 


 


แม่บ้านมีหน้าที่คอยเฝ้าดูเด็กสาวพวกนี้ ป้องกันไม่ให้พวกนางหนีออกไป


 


 


พอเห็นเฮ่อเหลี่ยนเข้ามา แม่บ้านรีบเดินเข้าไปทักทายเขา “คุณชายใหญ่มาแล้ว”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนพยักหน้า ถามอย่างหื่นกระหาย “ป้าฮั้ว ไม่กี่วันมานี้พ่อบ้านส่งสินค้าชั้นดีมาแล้วหรือไม่”


 


 


“มีๆๆ” ป้าฮั้วพูดเป็นพรวน “ในจำนวนเด็กที่ถูกส่งมาครั้งนี้ มีสองคนที่โดดเด่น ช่วงหลายวันที่ท่านไม่ได้เข้ามา ข้าได้สอนเคล็ดลับต่างๆ ให้ รับประกันว่าจะต้องเป็นที่ถูกใจของคุณชายแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนบีบคางอวบอิ่มของเขาอย่างมันเขี้ยว ฉีกยิ้มหน้าบานพูดว่า “มีแต่ป้าฮั้วที่เข้าใจข้าเป็นที่สุด หากพวกนางปรนนิบัติข้าได้ถึงใจ ข้าจะมีรางวัลให้เจ้าอย่างงามเทียว”


 


 


“ขอบคุณคุณชายใหญ่ ขอบคุณคุณชายใหญ่!” ป้าฮั้วรีบพูดด้วยความดีใจ


 


 


เฮ่อเหลี่ยนหัวเราะร่าเดินเข้าไปในบ้าน


 


 


ภายในบ้านมีเด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปีสิบกว่าคน มีคนที่เคยถูกเขาทารุณ พอเห็นเขาเข้ามา ก็ตกใจถอยไปหลบหลังคนอื่น ห่อหดร่างกายตัวเอง พยายามลดการมีอยู่ของตัวเองลง บางคนพ่อบ้านเพิ่งจะส่งเข้ามา ยังไม่รู้ชะตากรรม เห็นเขาเข้ามา ดีใจยื่นหน้ายื่นตา หวังจะให้เขาสนใจ


 


 


เฮ่อเหลี่ยนกวาดตามองเด็กสาวในห้อง พริบตาเดียวก็เห็นเด็กสาวสองคนที่ป้าฮั้วพูดถึง เป็นสินค้าชั้นดีกว่าที่เคยซื้อมาในอดีตหลายเท่าตัวจริงๆ ไม่เพียงรูปร่างเจริญพันธุ์เต็มวัย สัดส่วนโค้งเว้าได้รูป ดวงตาคู่นั้นเกิดมาเพื่อกระชากวิญญาณแห่งชายโดยแท้


 


 


เฮ่อเหลี่ยนทนแรงกำหนัดไม่ไหว ตวัดแขนคว้าคนทั้งสองมา เดินกระเ**้ยนกระหือรือเข้าไปในห้อง


 


 


พวกผู้หญิงที่เหลือบางคนถอนใจโล่งอก บางคนเต็มไปด้วยความริษยา


 


 


ป้าฮั้วเดินตามเข้ามา ไล่เด็กสาวที่ไม่ได้รับเลือกให้กลับเข้าไปในห้องตัวเอง ส่วนตัวเองเดินออกไป แล้วงับบานประตูปิดอย่างเบามือ


 


 


เฮ่อเหลี่ยนโอบเด็กสาวทั้งสองเข้ามาในห้อง แล้วเหวี่ยงคนทั้งสองไปที่เตียง หมายจะโถมเข้าใส่ระบายความใคร่เยี่ยงสัตว์ป่า กลับมีปลายมีดเย็นเยียบจอแนบลำคอ น้ำเสียงชวนขนหัวลุกดังขึ้นข้างหูเขา “อย่าขยับ”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตกใจผวา กามตัณหาอัดแน่นมลายหายไปสิ้น


 


 


เด็กสาวสองคนที่ถูกเหวี่ยงลงบนเตียงเห็นพวกเขาจู่ๆ ก็โผล่เข้ามา ตกใจกรีดร้อง ถูกคนที่ปรากฏตัวภายในห้องสับต้นคอไปคนละที สลบคอพับไป


 


 


เรือนนี้มีขึ้นอย่างลับๆ จึงไม่มีทหารยามคอยเฝ้า ต่อให้ตัวเองตะโกนร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่มีทางมีคนอื่นเข้ามาช่วย เฮ่อเหลี่ยนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ ไม่กล้าขยับตัว ร้องถามเสียงสั่น “พวกเจ้าเป็นใคร คิดจะทำอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดึงผ้าปิดหน้าออก เดินมาเบื้องหน้าเฮ่อเหลี่ยน ยิ้มตาหยีพูดว่า “พวกเราคิดจะทำอะไร คุณชายเฮ่อไม่รู้หรือ”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนลูกตาดำขยายใหญ่ ร้องถามเสียงหลง “นังสารเลว เจ้ามาอยู่ในเรือนข้าได้อย่างไร”


 


 


“เพราะข้าจะมาคิดบัญชีกับคุณชายใหญ่ จึงมาโดยไม่รอคำเชิญ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


เฮ่อเหลี่ยนขวัญกระเจิง สมองพร่าเลือน เผยอปากถาม “บัญชีอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “คุณชายใหญ่คิดว่าอย่างไรเล่า”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนถึงได้สติกลับมาว่าพวกเขาจะมาแก้แค้น ให้หวาดผวาสุดขีด ขาสั่นรัวไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนเขาด้วยความหวังดี “คุณชายใหญ่ ยืนให้นิ่งๆ หน่อย มีดในมือเขาไม่มีตา หากพลั้งพลาดบาดถูกท่าน ท่านห้ามโบ้ยความผิดมาที่พวกเรานะ”


 


 


ด้านหน้าเป็นวาจาวิปลาสของเมิ่งเชี่ยนโยว ลำคอเป็นมีดเย็นเยียบ เฮ่อเหลี่ยนตื่นสะดุ้งจนลิ้นพัน “เจ้า เจ้า พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะตบบ่าเขา มือที่ยกขึ้นมากลับถูกอีกมือหนึ่งคว้าไว้ เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่หวงฝู่อี้เซวียน หันกลับมายิ้มพูด “คุณชายใหญ่วางใจ วันนี้พวกเราจะไม่ซ้อมท่าน พวกเราเพียงต้องการทราบว่าท่านให้จอมยุทธ์พวกนั้นพำนักอยู่ที่ไหน”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนต้องลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะซื้อตัวจอมยุทธ์เหล่านั้นมาได้ เพื่อกระทำเรื่องลับที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ย่อมไม่ยินดีบอกกับเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาไม่พูด หันไปส่งสายตาให้คนที่คุมตัวเฮ่อเหลี่ยนอยู่


 


 


ใบมีดเรียวแหลมกดชิดลำคอเฮ่อเหลี่ยนทันที


 


 


ความเย็นซ่านนั้นทำเอาเฮ่อเหลี่ยนตกใจขวัญกระเจิง หวีดร้องเสียงหลงพลัน “ข้าบอกเจ้า! ข้าบอกเจ้าแล้ว!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตา คนผู้นั้นขยับมีดออกเล็กน้อย


 


 


เฮ่อเหลี่ยนพยายามต่อรอง “ข้าบอกที่อยู่พวกเขาก็ได้ แต่เจ้าจะต้องห้ามฆ่าข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับประกัน “แน่นอนอยู่แล้ว ท่านเป็นคุณชายใหญ่บุตรมหาเสนาบดี หากข้าฆ่าท่าน ย่อมจะนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง การค้าที่ไม่คุ้มค่านี้ ข้าไม่มีวันทำ”


 


 


แม้เฮ่อเหลี่ยนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่มีทางเลือก กัดฟันบอกตำแหน่งเรือนอีกแห่งออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อย คนด้านนอกลอยทะยานออกไปทันที


 


 


ไม่นานก็กลับเข้ามารายงาน “นายท่าน หาเจอแล้ว ทั้งหมดสิบกว่าคน ต่างอยู่ในบ้านทั้งหมด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า “คุณชายใหญ่ไม่ได้พูดปดจริงๆ เช่นนั้นพวกเราจะปล่อยท่านไป ทว่าก่อนหน้าจะปล่อย พวกเราจะส่งท่านไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากท่านเสพสุขสมใจแล้ว จะมีคนเข้ามารับท่านเอง”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนหวีดร้อง “พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ไหน ข้าไม่ไป!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “นั่นเป็นที่ที่ดีมาก คุณชายใหญ่แน่ใจว่าไม่ไป”


 


 


เฮ่อเหลี่ยนสั่นผวา คิดจะส่ายหน้า กลับแตะถูกปลายมีดคมกริบ ไม่กล้าขยับอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปรบมือเบาๆ มีคนกระโจนเข้ามาทางหน้าต่าง บีบปากเฮ่อเหลี่ยน กรอกยาจำนวนหนึ่งใส่ปากเขา ปิดปากใช้กำลังให้เขากลืนลงไป


 


 


เฮ่อเหลี่ยนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ “พวกเจ้าให้ข้ากินอะไร”


 


 


ไม่มีใครตอบ


 


 


เฮ่อเหลี่ยนยิ่งให้หวาดผวาสุดขีด ไม่สนใจปลายมีดที่คอแล้ว ออกแรงสะบัดขัดขืน


 


 


องครักษ์เงาที่ข่มขู่เขาใช้มือสับไปที่ต้นคอ เฮ่อเหลี่ยนตัวอ่อนยวบทรุดลงไปกับพื้นพลัน


 


 


“เอาตัวออกไป!อย่าสร้างความแตกตื่นให้คนอื่นในเรือน” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเสียงเบา


 


 


องครักษ์เงาแบกเฮ่อเหลี่ยนขึ้น กระโดดออกไปทางหน้าต่าง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดตาม เร่งฝีเท้าเดินออกไปด้านนอก


 


 


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ ป้าฮั้วที่รอรับรางวัลและบรรดาเด็กสาวที่แยกย้ายไปอยู่ในห้องตัวเองต่างก็ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ


 


 


คนทั้งหมดเดินพ้นประตูออกมา เหวินซื่อที่แต่งหน้าปลอมตัว พาองครักษ์เงาสิบกว่าคนมารอด้านนอกประตูแล้ว


 


 


พอเห็นทั้งสองเดินออกมา เหวินซื่อโวยวายไม่พอใจ “เรื่องน่าสนุกแบบนี้กลับไม่ให้ข้าไปร่วมวงด้วย”


 


 


ทั้งสองไม่สนใจเขา


 


 


เหวินซื่อลูบจมูกตัวเองแก้เก้อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการองครักษ์เงา “แบกตัวเฮ่อเหลี่ยนขึ้น พวกเราจะไปหอคณิกาอี๋หง!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชักสีหน้าขุ่น


 


 


“ช้าก่อน!” เหวินซื่อเข้าห้ามนาง “เจ้าเป็นสาวเป็นแส้จะไปสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไร เรื่องที่เหลือมอบให้ข้าจัดการก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ทันได้เอ่ยปาก หวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้า “รบกวนนายท่านเหวินแล้ว”


 


 


แสดงว่ายินยอมให้ตัวเองไปแล้ว เหวินซื่อดีใจยกใหญ่ มุมปากฉีกกว้างไปถึงใบหนู “วางใจเถอะ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เป็นอย่างดีเทียว”


 


 


ว่าแล้ว ด้วยกริ่งเกรงเมิ่งเชี่ยนโยวจะคัดค้าน รีบร้องบอกองครักษ์เงา “ไป พวกเรานำตัวคุณชายใหญ่เฮ่อส่งไปยังสถานีสุขอารมณ์ ให้เขาได้ปลดปล่อยให้สมใจ”


 


 


องครักษ์เงานำตัวเฮ่อเหลี่ยนขึ้นวางไว้บนหลังม้า จากนั้นกระโดดตามขึ้นไป


 


 


เหวินซื่อก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า ขี่ม้ามุ่งหน้าไปหอคณิกาอี๋หงพร้อมองครักษ์เงาสองนาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)