ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 53-56

 ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 53 บีบบังคับ

 

“มีแผนจะจัดการเขาอย่างไร” ทั้งสองเดินเคียงคู่กันบนถนน เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากถาม  


 


 


“ไม่ตายไม่เลิกรา” หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่านางถามถึงองค์ชายใหญ่ ก็ตอบสั้นๆ เช่นนี้  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่พาหวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปในจวนของตน เรื่องนี้เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่เขาไม่สมควรทำคือการเกิดความคิดที่ไม่สมควรมีต่อหวงฝู่อี้เซวียน เมื่อครั้นตอนที่ตนและคนอื่นๆ เข้าไปช่วยเย่ว์เอ๋อร์ นี่ถือเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ จะโทษใครมิได้ 


 


 


“ท่าป๋าหั่นมู่เจ็บตัวแล้ว วันนี้ก็ละทิ้งเมืองชายแดนไป ความฮึกเหิมตกต่ำ หากพรุ่งนี้ท่านน้าตามไล่ล่า มุ่งตรงเข้าไปอีกห้าสิบลี้คงไม่เป็นปัญหา ถึงตอนนั้นเหล่าราชวงศ์รัฐอิงคงแตกตื่น สิ่งที่เขาเผชิญนั้นจะยากลำบาก เราต้องห้ามเขาไม่ให้ทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นสุนัขจนตรอกนะ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “รู้แล้วล่ะ เดี๋ยวข้าจะไปคุยกับท่านน้า วันนี้มืดค่ำแล้ว เจ้าอยู่ในค่ายทหารนั้นไม่เหมาะสม กลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้รอข่าวจากพวกเรา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า จากนั้นก็พูดกำชับหวงฝู่อี้เซวียนครู่หนึ่ง แล้วขี่ม้าออกจากเมืองตรงกลับไปที่เมืองชายแดนของรัฐอิง  


 


 


วันต่อมา เป็นตามที่หวงฝู่อี้เซวียนพูด ฉู่เหวินเจี๋ยนำเหล่าทหารมุ่งขึ้นหน้าไปอีกห้าสิบลี้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย  


 


 


ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารเพิ่มพูนมากขึ้น  


 


 


ราชวงศ์ของรัฐอิงตื่นตระหนกกลัวจนวุ่นวายไปทั่ว หากยังเดินตามแผนการบุกรุกเช่นนี้ อีกไม่กี่วัน ฉู่เหวินเจี๋ยก็สามารถนำทัพตีเมืองหลวงได้แล้ว  


 


 


ฮวงเต้รัฐอิงเริ่มนั่งไม่อยู่กับที่ เขาส่งพระราชโองการให้ท่าป๋าหั่นมู่เจรจาสงบศึก  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ตั้งใจวางแผนมานานหลายปี แต่กลับถูกตีจนแพ้อย่างย่อยยับภายในไม่กี่วัน จนต้องขอไกล่เกลี่ยยุติการสู้รบ ความโกรธและความเจ็บใจของเขานั้นคงมิต้องกล่าวถึง เมื่อได้รับราชโองการ สีหน้าที่ดำคร่ำเครียดอยู่แล้วตอนนี้ก็ดำกว่าเมฆครึ้มบนฟ้าเสียอีก เขาหรี่ตาทอดสายตาออกไปที่เมืองชายแดน พลางคิดอะไรในใจ  


 


 


คนส่งสาสน์รับรู้ได้ถึงความโกรธและความแค้นของเขา จึงได้แต่ก้มศีรษะไม่กล้าพูดอะไร  


 


 


องค์ชายใหญ่พ่ายแพ้ อารมณ์ไม่ดี ตอนนี้ตนไม่ควรพูดอะไรมากเป็นอันดีสุด จะได้ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง  


 


 


ผ่านไปนาน ท่าป๋าหั่นมู่มองกลับมา เขายื่นมือออกไปรับราชโองการ พูดอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ว่า “กลับไปรายงานเสด็จพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปเจรจา” 


 


 


คนส่งสาสน์ก้มศีรษะ พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ฝ่าบาทหมายถึงให้องค์ชายใหญ่ไปเจรจาด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เมื่อเขาพูดจบ สายตาอันแหลมคมก็สาดไปที่เขา สายตาที่แฝงไปด้วยความดุร้ายนั้นทำเอาเขาอึดอัดจนไม่กล้าหายใจ  


 


 


เขายังคงโค้งลำตัว เหงื่อซึมไปทั่วร่าง ขาก็เริ่มสั่นระริกเพราะความกลัว  


 


 


ผ่านไปนาน ท่าป๋าหั่นมู่มองกลับมา น้ำเสียงเย็นชากว่าเดิม “กลับไปรายงานเสด็จพ่อ บอกว่าข้ารู้แล้ว” 


 


 


คนวังที่ส่งสาสน์ขานรับ และหันหลังกลับด้วยอาการสั่นเทา ฝีเท้าเดินไปถึงข้างม้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน ใช้กำลังอยู่พักหนึ่งกว่าจะขึ้นควบม้าได้ จากนั้นก็ขี่ม้าจากไป  


 


 


วันต่อมา ยังไม่ทันรอให้ฉู่เหวินเจี๋ยนำทหารเข้าบุกต่อไป ท่าป๋าหั่นมู่ก็ส่งคนมาเจรจาสงบศึก เงื่อนไขคือยอมละทิ้งคูเมืองห้าเมืองให้กับรัฐอู่  


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยไม่ยินยอม หากรัฐอู่พ่ายแพ้ ต้องยอมสละสิบคูเมืองให้เขา แต่ตอนนี้รัฐอิงพ่ายแพ้ กลับให้แค่ห้าคูเมือง ฝันไปเสียเถอะ เขาโบกมือ ส่งสัญญาณให้ลูกน้องไล่เขาออกไป “กลับไปบอกท่าป๋าหั่นมู่ว่า การสู้รบเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ข้าก็เมตตาพวกเขา ไว้ชีวิตเขาไว้ และทำสัญญากันไว้แล้วว่าทั้งสองรัฐจะไม่ก้าวก่ายลุกล้ำกันอีก แต่ตอนนี้เขากลับพูดอย่างทำอย่าง เข้ามารุกล้ำเขตแดนของข้าหลายครา ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ เช่นนี้ ให้เขาเลือกระหว่างมอบยี่สิบคูเมืองให้ หรือแลกด้วยชีวิตของเขาเอง” 


 


 


เมื่อฉู่เหวินเจี๋ยพูดจบ คนเจรจาก็ร้องทุกข์ในใจ เดิมทีอาณาเขตรัฐอิงก็เล็กอยู่แล้ว ไม่ได้มีคูเมืองมากมาย เมืองหลวงและชายแดนก็ห่างกันแค่กี่สิบคูเมือง หากให้ยี่สิบคูเมืองแก่รัฐอู่ ก็เท่ากับว่ามอบเมืองหลวงให้รัฐอู่ พวกเขาอยากตีเมื่อใด ก็เข้าตีได้เมื่อนั้น  


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็กลับไปรายงานท่าป๋าหั่นมู่  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่โกรธจนถีบโต๊ะข้างหน้าหงายลงบนพื้น พูดอย่างโมโหว่า “ชักจะมากไปแล้ว” 


 


 


ทุกคนตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่มองดูลูกน้องทุกคนที่ก้มหน้าก้มตา ไร้ซึ่งจิตวิญญาณการต่อสู้ ความคิดที่วางแผนมานานภายในใจของเขาก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น เขากัดฟันสั่งว่า “ทหารถอยทัพสามสิบลี้ ตั้งค่ายที่นั่นและห้ามทำการอันใดเด็ดขาด” 


 


 


ทุกคนเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าช่วงเวลาการเจรจาที่สำคัญในตอนนี้ เหตุใดจึงออกคำสั่งเช่นนี้มา  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่เงยหน้า มองไปที่ชายแดนของรัฐอู่และหัวเราะอย่างเย็นชา  


 


 


วันต่อมา รัฐอิงไม่ได้ส่งทูตเข้ามา  


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยและคนอื่นก็ไม่ได้คิดมาก คูเมืองยี่สิบเมืองไม่ใช่น้อยๆ ให้พวกเขากลับไปคิดสักวันสองวันก็ได้  


 


 


แต่พวกเขาไม่รู้ว่าท่าป๋าหั่นมู่ออกจากค่ายทหารไปแล้ว และปลอมตัวเป็นคนสามัญชนของรัฐอิง พาองครักษ์สองนายที่ช่ำชองการต่อสู้ติดตามไปด้วย พวกเขาออกจากรัฐอิงจนมาถึงในเขตแดนของรัฐอู่ โดยใช้เส้นทางลับที่พวกเขามักใช้เมื่อไปหอนางโลมชิงเฟิง 


 


 


เขามีนิสัยที่ไม่เหมือนใคร เขาไม่กล้าทำตามอำเภอใจในรัฐอิง จึงไปสืบสาวได้ว่าในรัฐอู่มีหอนางโลมชิงเฟิง แต่หากเขาต้องเข้าออกรัฐอู่ผ่านทางชายแดน เมื่อเวลาผ่านไปนานอาจทำให้คนอื่นสงสัยได้ และกลายเป็นข้ออ้างอันดีให้แก่พี่น้องที่ต้องการแย่งชิงบัลลังก์ ดังนั้น เขาจึงสั่งคนไปบุกเบิกเส้นทางอย่างลับๆ เพื่อให้ตนเข้าออกรัฐอู่ได้อย่างสะดวก เขาไม่คิดว่าจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในเวลานี้ เมื่อท่าป๋าหั่นมู่คิดถึงสิ่งที่ตนกำลังจะทำต่อไป ก็ลอบยิ้มในใจอย่างชั่วร้าย ฉู่เหวินเจี๋ยต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ที่ตนเองในตอนนี้จะกล้าลักลอบเข้ามาในรัฐอู่ อีกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งของลูกสาวเมิ่งเชี่ยนโยว ขอแค่จับเป็นได้สักคนหนึ่ง สถานการณ์ก็จะพลิกเปลี่ยนได้ทันที  


 


 


เมื่อมาถึงหมู่บ้านที่หอนางโลมชิงเฟิงตั้งอยู่ เขาก็นำผู้ติดตามมาถึงหอนางโลมชิงเฟิง แต่กลับเห็นประตูถูกใส่กุญแจไว้แน่น หอนางโลมชิงเฟิงเงียบสงัดไปทั่วทั้งบริเวณ  


 


 


เขาส่งคนไปดักถามคนที่เดินผ่านไปมา จึงรู้มาว่าหอนางโลมชิงเฟิงถูกสั่งปิดไปเมื่อหลายวันก่อน ส่วนสาเหตุนั้น เขาก็ไม่ทราบ รู้เพียงว่าแม่เล้าและลูกน้องในนั้นถูกนำตัวไปหมดแล้ว  


 


 


เมื่อได้ยินวันเวลาดังกล่าว ท่าป๋าหั่นมู่ก็หรี่ตา นั่นน่าจะเป็นวันที่ตนพาหวงฝู่เย่าเย่ว์จากหอนางโลมชิงเฟิงไปเพียงไม่กี่วัน 


 


 


ดูท่าจะเป็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่นำคนมาจัดการหอนางโลมชิงเฟิง ท่าป๋าหั่นมู่ยิ้มชั่วร้ายในใจ เขาส่งคนมาสืบตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าของหอนางโลมชิงเฟิงคือใคร ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้ามาที่นี่อย่างไม่ละอายใจเช่นนี้ และยังไม่กลัวคนพบเข้าด้วย  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ทอดสายตามองไปที่เมืองชายแดนที่ไกลออกไป เขาเผยรอยยิ้มเย็นชา ละทิ้งรถม้า แล้วเปลี่ยนมาขี่ม้าแทน จากนั้นก็ควบม้าเร็วนำผู้ติดตามทั้งสองมาถึงเมืองชายแดน  


 


 


เมื่อชนะศึก กองทัพทหารรัฐอู่ก็บุกขึ้นหน้าต่อไป ผู้คนในเมืองชายแดนจึงตกอยู่ในห้วงแห่งความสุข ไม่มีใครสังเกตท่าป๋าหั่นมู่ที่ปลอมตัวเข้ามาในเมืองชายแดน  


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวทานข้าวเช้าและกำชับเด็กๆ อย่างที่ทำเป็นประจำแล้ว ก็ไปเดินดูบนกำแพงเมือง  


 


 


ทหารที่เฝ้ากำแพงเมืองเริ่มหละหลวม จับกลุ่มกันพูดคุยเรื่องที่กองทัพชนะศึกมาอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมา ก็รีบกลับไปประจำที่ของตนอย่างรู้สึกผิด  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น ก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขา เหล่ากองทัพอยู่ข้างหน้า ที่นี่จึงต้องปลอดภัยเป็นธรรมดา อารมณ์ที่ตึงเครียดของเหล่าทหารสองสามวันนี้ได้ผ่อนคลายลงบ้างก็ดีเหมือนกัน  


 


 


ในกองบัญชาการ หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวไป หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่าก็ตระเตรียมของเสร็จ ออกจากประตูมาถึงเรือนหน้า หลินหันเยียนรออยู่ที่เรือนหน้าแล้ว เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินมา ก็ยิ้มพูดว่า “ไปเถอะ ข้าพาพวกเจ้าไปเดินดูตลาดที่ชายแดนกัน” 


 


 


ตั้งแต่ที่กองทัพออกรบ ทั้งสามก็อยู่แต่ในกองบัญชาการไม่ได้ออกไปไหนเลย จนพวกเขาอัดอั้นตันใจแทบแย่แล้ว เมื่อวานได้ยินหลินหันเยียนบอกว่าวันนี้ชายแดนจะมีตลาด พวกเขาจึงขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาไปเดินดู  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าไม่เป็นอะไร จึงอนุญาตพวกเขาไป และกำชับพวกเขาต้องไปพร้อมกับหลินหันเยียน รีบไปรีบกลับ  


 


 


ทั้งสามดีใจมาก รีบตอบตกลงทันที  


 


 


ตลาดอยู่ไม่ไกลนัก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทั้งสี่คนจึงไม่ได้นั่งรถม้าไป พวกเขาเดินเล่นอย่างสบายใจ เดินไปพลางชมทิวทัศน์ไปพลาง เดินมุ่งไปตลาดอย่างเนิบช้า  


 


 


เมื่อท่าป๋าหั่นมู่ถึงเมืองชายแดน ก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี คนที่เดินไปมาบนถนนก็ค่อนข้างน้อย ทั้งสามซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด คอยสังเกตการณ์ในกองบัญชาการ 


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวคอยตรวจตระเวนบนกำแพงเมืองแล้ว ก็ลงจากกำแพงเมือง ควบขึ้นม้า และมุ่งไปทางที่พำนักของกองทัพที่อยู่ข้างหน้า  


 


 


หลินหันเยียนพาทั้งสามคนเดินดูตลาดเสร็จ เห็นพวกเขาได้ซื้อของเล่นที่ตนชอบแล้ว ก็เดินกลับ พูดคุยและหัวเราะกันตลอดทาง  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ได้ยินเสียงหัวเราะของหวงฝู่เย่าเย่ว์ นัยน์ตาพลันมีแสงประกายวับผ่าน เขาโบกมือส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามทั้งสองเตรียมตัว ส่วนตนเองก็เตรียมพละกำลังไว้ เพื่อจู่โจมให้สำเร็จในคราเดียว  


 


 


ทั้งสี่ไม่รู้ถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาเลย ยังคงเดินพูดพลางหยอกเล่น จนใกล้กองบัญชาการ ขึ้นเรื่อยๆ หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ยังเล่นของเล่นในมือหยอกเล่นกันเป็นพักๆ เด็กๆ ในตอนนี้ดูไร้เดียงสายิ่งนัก 


 


 


ห่างจากกองบัญชาการอีกเพียงหนึ่งร้อยก้าว หลินหันเยียนก็รู้สึกถึงภัยอันตราย นางขมวดคิ้ว หันมองทั้งสี่ทิศอย่างเงียบๆ ไม่พบบุคคลน่าสงสัย แต่ความรู้สึกที่ถูกคนจ้องมองนั้นคืออะไรกันแน่  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่เห็นการเคลื่อนไหวของนาง ก็ยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยาม วันนั้นที่ตนอยู่ในจวน เขาก็รู้ว่ากำลังของหลินหันเยียนนั้นน้อยนิด ซึ่งนั่นก็หมายความว่าวิชาการต่อสู้ของนางนั้นก็ไม่ได้เก่งกาจอันใด ด้วยกำลังของตนเอง จะให้ตนสู้กับคนแปดคน สิบคนอย่างนางคงไม่เป็นปัญหา  


 


 


ลางสังหรณ์ใจยิ่งอยู่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น แต่นางกลับไม่เห็นใคร หลินหันเยียนเริ่มร้อนใจ แต่ไม่แสดงอาการทางสีหน้า นางเพียงพูดเร่งทั้งสามคน “ท่านหญิงน้อย คุณชายใหญ่ นี่ก็เที่ยงแล้ว เราเดินเร็วหน่อยเถอะ จะได้รีบกลับไปทานข้าว” 


 


 


เดินดูของมาทั้งเช้า ทั้งสามก็รู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ พวกเขาจึงพยักหน้า เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น  


 


 


หลินหันเยียนเดินตามหลังทั้งสามอย่างใกล้ชิด คอยเฝ้ามองรอบด้านอย่างระมัดระวัง  


 


 


สามก้าว สองก้าว หนึ่งก้าว… ถึงตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการลงมือ ท่าป๋าหั่นมู่กระโดดพุ่งเข้าหาหวงฝู่เย่าเย่ว์ทันที ผู้ติดตามสองคนตามหลังมา เป้าหมายนั้นชัดเจนมาก คือหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่านั่นเอง  


 


 


หลินหันเยียนรู้สึกถึงความผิดปกติ มือของนางจึงจับดาบสั้นที่อยู่ในเอวไว้นานแล้ว เมื่อเห็นมีคนกระโดดออกมา ก็ตะโกนว่า “ท่านหญิงน้อย คุณชายใหญ่ ระวัง!” แล้วชักดาบออกมาวิ่งไปทางนั้น  

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 54

 

หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ และหวงฝู่เฮ่าตั้งสติได้ ก็รีบทิ้งของเล่นในมือทันที พวกเขาถอยหลังเพื่อหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ไม่สามารถจัดการให้สำเร็จได้ในคราเดียว เพราะถูกหลินหันเยียนทำเสียแผน เขาเจ็บใจนัก ฝ่ามือของเขาก็พุ่งตรงมาที่หลินหันเยียนด้วยความรวดเร็วและรุนแรง 


 


 


หลินหันเยียนต้านไม่ไหว ตัวกระเด็นไปข้างหลัง แล้วกระอักเลือดลอยกลางอากาศ  


 


 


“คุณหนูใหญ่!” 


 


 


ทหารที่เฝ้าในกองบัญชาการเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็ตกใจจนร้องเรียก ต่างชักมีดยาวจากเอวออกมาและจู่โจมเข้าไป  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ และหวงฝู่เฮ่าก็โจมตีเข้าไปเช่นกัน  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่แสยะยิ้ม ยื่นมือไปทางหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างมีเป้าหมายชัดเจน  


 


 


แม้เขาจะปลอมตัวเข้ามา แต่ดวงตาดั่งเหยี่ยวของเขานั้นไม่สามารถปกปิดไว้ได้ หวงฝู่เย่าเย่ว์จำเขาได้ ตกใจร้องตะโกนขึ้นมาทันที “เจ้าคือท่าป๋าหั่นมู่!” 


 


 


เมื่อนางพูดจบ หลินหันเยียนก็ตกใจ แกว่งดาบวิ่งขึ้นไปหา ในขณะที่ทยานตัวเข้าไปหาท่าป๋าหั่นมู่ ก็สั่งว่า “ไปเรียกซื่อจื่อเฟยกลับมา!” 


 


 


ฝีมือท่าป๋าหั่นมู่นั้นเก่งกาจนัก แค่พวกเขาและเหล่าทหารที่มีอยู่ไม่สามารถสู้เขาได้  


 


 


ทหารนายหนึ่งขานรับ แล้ววิ่งไปที่กำแพงเมืองทันที  


 


 


แม้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีกำลังภายใน แต่นางมีวิธีการต่อสู้ที่แปลกประหลาด ตามราวีได้ยาก ท่าป๋าหั่นมู่เคยประลองฝีมือด้วย เมื่อได้ยินหลินหันเยียนพูด ก็สั่งผู้ติดตามทั้งสองว่า “จับตัวคนเดียวไปก็พอ” 


 


 


ได้ยินมาว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมีลูกสามคน คงเป็นเด็กทั้งสามคนตรงหน้านี้ไม่ผิดแน่ ไม่ว่าจับได้คนไหน แค่ใช้เขาเป็นเหยื่อบีบบังคับหวงฝู่อี้เซวียนก็เพียงพอแล้วล่ะ  


 


 


ผู้ติดตามสองคนขานรับ เร่งการโจมตีให้เร็วขึ้น  


 


 


แม้การต่อสู้ของหวงฝู่สือเมิ่งจะดีแค่ไหน แต่นางยังเป็นเด็ก ย่อมเสียเปรียบเรื่องแรงกำลัง ผ่านไปเพียงไม่กี่กระบวนท่า ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว  


 


 


หน้าประตูกองบัญชาการเกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ หลินฉงเหวินได้ยินคำรายงานของบ่าวรับใช้ ก็ลุกพรวด หยิบมีดเล่มใหญ่ที่ตนไม่ได้ใช้มานาน สั่งฮูหยินหลินว่า “เจ้าอยู่ในจวนเถอะ อย่าไปไหน ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย” 


 


 


ฮูหยินหลินรู้ว่าตนต่อสู้ไม่เป็น หากออกไปก็มีแต่จะเป็นภาระ นางจึงพยักหน้า แล้วพูดกำชับอย่างร้อนรนใจ “ท่านระวังหน่อยนะเจ้าคะ” 


 


 


หลินฉงเหวินถือมีดเล่มใหญ่เดินออกไป  


 


 


เมื่อถึงหน้าประตูจวน หลังจากมองดูสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้ว ก็ชูดาบขึ้นบุกเข้าไปอย่างไม่ลังเล  


 


 


“ท่านพ่อ เขาคือท่าป๋าหั่นมู่ ท่านส่งคนมาหน่อยเจ้าค่ะ อย่าให้เขาหนีไปได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ” หลินหันเยียนหอบพลางสู้กับหนึ่งในผู้ติดตาม และพูดตะโกนกับหลินฉงเหวิน  


 


 


“เยียนเอ๋อร์ เจ้าไปเถอะ พ่อจะจัดการเขาเอง” หลินฉงเหวินเห็นรอยเลือดตรงมุมปากของหลินหันเยียน ก็พูดขึ้นอย่างปวดใจ ดาบใหญ่ในมือก็โจมตีใส่หนึ่งในกลุ่มคนนั้นอย่างไม่ลังเล  


 


 


เขาไม่เคยไปรัฐอิง จึงไม่รู้จักท่าป๋าหั่นมู่ แต่กำจัดได้คนหนึ่งเท่ากับคนหนึ่ง 


 


 


เมื่อมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ท่าป๋าหั่นมู่เริ่มใจร้อน หากยังพัวพันไม่เลิกแบบนี้ เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา อย่าว่าแต่พวกเขาจะจับเด็กสักคนไปได้เลย แม้แต่หนีก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว  


 


 


ทหารส่งข่าววิ่งหอบขึ้นไปบนกำแพงเมืองเพื่อหาเมิ่งเชี่ยนโยว แต่กลับทราบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่พักของกองทัพแล้ว จึงรีบอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองให้ทหารที่เฝ้ากำแพงเมืองอย่างสั้นๆ เพื่อให้เขาส่งคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือ จากนั้นเขาก็จูงม้ามาตัวหนึ่งแล้วขึ้นควบม้ามุ่งไปทางชายแดนเพื่อรายงานหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว  


 


 


เมื่อทหารเฝ้ากำแพงเมืองได้ยินว่าท่าป๋าหั่นมู่เข้าเมืองมา ก็ตกใจเบิกตาโต รีบรวบรวมทหารสิบกว่านายและนำพวกเขาเข้าไปในเมืองทันที และยังกำชับคนเฝ้าประตูเมืองให้คอยระวังท่าป๋าหั่นมู่ลอบหนีออกไปทางนี้  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงที่พักในกองทัพ ทราบข่าวว่าวันนี้กองทัพไม่ได้เดินหน้าต่อ เพราะว่ารอท่าป๋าหั่นมู่ส่งทูตมาเจรจาเงื่อนไข  


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวพบกับหวงฝู่อี้เซวียน ก็ช่วยปัดฝุ่นบนเสื้อเขา ยิ้มพูดว่า “ท่าป๋าถึงทางตันแล้ว คงไม่สามารถคิดพลิกแพลงแผนการอะไรได้อีก วันนี้เจ้าและเสด็จพ่อกลับเมืองพร้อมข้าดีไหม จะได้อาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว และกลับมาจัดการกับเขาด้วยกำลังเต็มเปี่ยม” 


 


 


อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนไม่ใช่คนในกองทัพ จึงสามารถไปมาได้อย่างอิสระ เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้า หลังจากหาอ๋องฉีเจอแล้ว ก็บอกให้เขากลับเมืองพร้อมกัน  


 


 


อ๋องฉีอยู่ในค่ายทหารติดต่อมาหลายวัน เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายตัว จึงพยักหน้าเห็นด้วย  


 


 


จากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนก็ไปบอกฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งชิง ทั้งสามจึงขี่ม้าออกจากค่ายไป และกลับไปชายแดนของรัฐอู่  


 


 


เพิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นว่าด้านหน้ามีม้าวิ่งมาด้วยความรวดเร็วจนฝุ่นตลบไปหมด  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตา มองข้างหน้าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เมื่อเห็นว่าเป็นทหารเฝ้ากองบัญชาการ ก็เร่งม้าขึ้นไป ถามเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


เมื่อทหารเห็นว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียน ก็ดึงบังเ**ยนหยุดม้า และกลิ้งลงมาคุกเข่าลงบนพื้น รายงานว่า “ซื่อจื่อ ท่าป๋าหั่นมู่ลักลอบเข้าเมือง กำลังจะจับตัวท่านหญิงน้อยและคุณชายใหญ่ไปขอรับ!” 


 


 


“เจ้าพูดอีกรอบซิ!” อ๋องฉีเร่งม้าตามขึ้นมา เมื่อได้ยินคำรายงานของทหาร ก็ถามอย่างไม่เชื่อหูตนเอง  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวสบตากันครู่หนึ่ง แล้วรีบเร่งม้ามุ่งไปในเมืองอย่างไม่ลังเลทันที  


 


 


เมื่ออ๋องฉีเห็น จึงรีบเร่งม้าตามไป  


 


 


เมื่อทหารลุกยืน และขึ้นควบม้าแล้ว ทั้งสามคนก็หายไปในมวลฝุ่นแล้ว  


 


 


 


 


 


ในเมือง  


 


 


เวลาผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย ท่าป๋าหั่นมู่ยังไม่สามารถจับใครไว้ได้ เขาใจร้อนขึ้น จึงลงมือรุนแรงกว่าเดิม หากเป็นเมื่อก่อน อย่าว่าแต่หลินฉงเหวินและหลินหันเยียนสองคนนี้เลย แม้แต่คนสิบคนอย่างพวกเขา ก็คงไม่อยู่ในสายตา แต่โชคร้ายที่ไม่กี่วันก่อนถูกฝ่ามือของหวงฝู่อี้เซวียนไปจนบาดเจ็บหนัก ตอนนี้จึงไม่สามารถใช้กำลังภายในได้เลย การโจมตีก็อ่อนแรงลง ก็เลยถูกคนไม่อยู่ในสายตาเหล่านี้โลดแล่นไปมาอยู่นาน ยิ่งคิดความเดือดดาลในใจก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เขาปล่อยกำลังภายในที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกมาพร้อมเสียงพลัง สั่นสะเทือนจนหลินฉงเหวินกระเด็นออกไป  


 


 


“ท่านพ่อ!” เมื่อเห็นหลินฉงเหวินถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปล้มลงบนพื้น หลินหันเยียนตกใจ และในขณะที่นางเสียสมาธิอยู่นั้น ก็ถูกฝ่ามือของผู้ติดตามนายหนึ่งกระทุ้งเข้าไปจนกระเด็นลอยออกไป 


 


 


เหลือเพียงหวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ และหวงฝู่เฮ่าสามคนที่กำลังหอบหนัก  


 


 


โอกาสมาถึงแล้ว สายตาดั่งเหยี่ยวของท่าป๋าหั่นมู่ปรากฏแสงแห่งความหวัง เขายื่นมือเข้าไปหาหวงฝู่เย่าเย่ว์  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเข้ากันไว้ด้านหน้านาง ดาบในมือนางพุ่งมาราวกับสายลมวิ่งผ่านถึงหน้าเขา อีกเพียงนิดเดียวก็จะตัดมือเขาขาดแล้ว  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่รีบชักมือกลับ ยิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วบุกเข้าไปอีกครั้ง  


 


 


ผู้ติดตามทั้งสองก็โจมตีใส่ทั้งสองคนพร้อมกัน  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์รีบกันไว้ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงตอบโต้ 


 


 


หวงฝู่เฮ่าเข้ามาช่วย กลับถูกผู้ติดตามนายหนึ่งกันไว้  


 


 


หลินฉงเหวินและหลินหันเยียนกัดฟัน ลุกขึ้นยืน มือกำอาวุธไว้แน่นแล้ววิ่งบุกเข้ามา แต่โชคร้ายที่ทั้งสองบาดเจ็บ การเคลื่อนไหวจึงช้าลงมาก พวกเขามีใจสู้แต่กำลังกายไปต่อไม่ไหว และเนื่องจากพื้นที่ต่อสู้มีขนาดเล็ก ตำแหน่งการผลัดเปลี่ยนจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารที่ยืนอยู่ฟากหนึ่งจึงไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้เลย 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ทั้งสองคนเหนื่อยจนเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว และหอบหายใจหนัก  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่รู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว ก็ดีใจ เล็งไปที่ช่องว่างหนึ่ง เหาะเหินตัวขึ้น จับตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ไว้อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ 


 


 


“น้องเล็ก!” 


 


 


“พี่รอง!” 


 


 


ทั้งสองตกใจตะโกน  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าทั้งสองคนอยากจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่ถูกผู้ติดตามสองนายตามตอแยไม่ปล่อย จึงไม่สามารถผละตัวออกมาช่วยได้  


 


 


เมื่อท่าป๋าหั่นมู่จับคนได้แล้ว ก็ออกคำสั่งว่า “ถอย!” 


 


 


ผู้ติดตามสองนายขานรับ เก็บกระบวนท่า 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งได้โอกาส กระโดดหมับเข้าหาท่าป๋าหั่นมู่อย่างไม่ลังเล “เจ้าปล่อยน้องเล็กของข้านะ!” 


 


 


นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีกระโดดเข้าใส่ด้วยความรวกเร็ว เร็วจนท่าป๋าหั่นมู่ไม่ทันตั้งตัว จึงถูกนางเกาะขาไว้แน่น ขยับตัวไม่ได้เลย  


 


 


“ตัดแขนนางทิ้งซะ!” ท่าป๋าอั่นมู่จับตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ไว้ และสั่งอย่างเย็นชา  


 


 


ผู้ติดตามทั้งสองเดินขึ้นหน้า ครั้นดาบคมในมือกำลังจะตะหวัดลงไปที่มือของหวงฝู่สือเมิ่ง  


 


 


“พี่ใหญ่ ปล่อยมือนะ!” หวงฝู่เย่าเย่ว์กรีดร้องอย่างตกใจ  


 


 


“พี่ใหญ่!” หวงฝู่เฮ่าก็ตกใจจนร้องเรียก เขาโยนดาบคมในมือออกไป แล้วกระโดดออกไป ทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนหลังของหวงฝู่สือเมิ่ง  


 


 


“คุณชายใหญ่!” เสียงสูงแหลมของหลินหันเยียนตกใจ แล้วก็กระโดดตามไปทับลงบนลำตัวของหวงฝู่เฮ่าอย่างไม่รีรอ  


 


 


ฉึบ! ดาบคมแทงเข้าไป ได้ยินเสียงดังขึ้น  


 


 


ดาบในมือของผู้ติดตามแทงเข้าไปในตัวของหลินหันเยียน  


 


 


“เยียนเอ๋อร์!” หลินฉงเหวินผู้เห็นทุกอย่างกับตาตนเอง ก็เจ็บปวดรวดร้าว มีดใหญ่ในมือแกว่งเข้าหาผู้ติดตามอย่างเดือดดาล 


 


 


ผู้ติดตามรีบชักดาบออกมาจากตัวหลินหันเยียน แล้วหันมารับดาบของเขาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว สีเลือดแดงที่ติดดาบมาทำเอาเหล่าทหารตรงนั้นโกรธจนเลือดขึ้นตา กระตุ้นจิตประสาทของหลินฉงเหวิน ทำให้เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่ง ปากตะโกนว่า “คืนชีวิตลูกสาวข้ามา” ดาบใหญ่ในมือตวัดไปที่จุดสำคัญของผู้ติดตามอย่างไม่หยุดยั้ง  


 


 


ผู้ติดตามเอาเขาไม่อยู่  


 


 


เหล่าทหารรอบด้านที่ไม่สามรถเข้าช่วยเหลือได้ก็แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งบุกเข้าหาท่าป๋าหั่นมู่ ส่วนอีกกลุ่มบุกเข้าหาผู้ติดตาม  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่มือหนึ่งคอยจับตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ไว้ อีกมือคอยกันการโจมตีจากเหล่าทหาร  


 


 


หวงฝู่เฮ่าไม่คิดว่าหลินหันเยียนจะเข้ามาช่วยตนรับดาบนี้ไว้ เขานิ่งชะงักไป  


 


 


“น้องเฮ่า ข้ากอดเขาไว้ เจ้าหาวิธีช่วยเย่ว์เอ๋อร์นะ” จนถึงบัดนี้ หวงฝู่สือเมิ่งมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือห้ามให้ท่าป๋าหั่นมู่จับตัวเย่ว์เอ๋อร์ไปได้อีกครั้ง 


 


 


หวงฝู่เฮ่าตั้งสติได้ ขานรับ ขยับตัวให้ตัวของหลินหันเยียนออกจากตน แล้วหยิบดาบในมือนางขึ้นมา แทงไปที่ท่าป๋าหั่นมู่อย่างไม่ลังเล  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ไม่มีทางเลี่ยง จึงนำตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์กันไว้ข้างหน้าตน เพื่อกันการโจมตีจากหวงฝู่เฮ่า ในขณะเดียวกันก็รวบรวมกำลังบริเวณเท้าทั้งหมด สะบัดหวงฝู่สือเมิ่งออกไป  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกระอักเลือดออกมา นางยังคงไม่ปล่อยมือ และจับเขาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม  


 


 


เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนทั้งสามคนมาถึง ก็เห็นภาพเบื้องหน้าเช่นนี้  


 


 


ลูกสาวสองคน คนหนึ่งถูกจับยึดไว้ อีกคนนอนอยู่บนพื้น กอดขาของท่าป๋าหั่นมู่ไว้แน่น ส่วนหลินหันเยียนนอนหลับตาอยู่บนพื้นอีกฝั่งหนึ่ง  


 


 


ทั้งสองสามีภรรยากระโดดลงมาจากหลังม้า บุกเข้าหาท่าป๋าหั่นมู่ในทันที  


 


 


อ๋องฉีก็เห็นภาพเบื้องหน้า เขากระโดดเข้าหาท่าป๋าหั่นมู่ ฝ่ามือที่มาพร้อมเสียงลมมุ่งไปหาท่าป๋าหั่นมู่  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ถูกโจมตีจากสามฝั่ง เขาตั้งตัวได้ทัน ในขณะที่ยกตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นเหนือศีรษะ ก็ถีบหวงฝู่สือเมิ่งกระเด็นออกไป  


 


 


อ๋องฉีรีบถอนตัว แล้วยื่นมือไปรับหวงฝู่สือเมิ่งไว้ 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ถอนท่าคืนนั้นเช่นกัน เพราะกลัวว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะโดนลูกหลง  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่จับหวงฝู่เย่าเย่ว์ไว้แน่น หัวเราะไปที่ทั้งสองคน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟยแห่งตระกูลหวงฝู่ พวกเจ้าคงคิดไม่ถึงล่ะสิ ว่าข้ากล้าลักลอบเข้ามาจับลูกสาวของพวกเจ้า ตอนนี้เราจะเจรจาเงื่อนไขสงบศึกกันดีๆ ได้หรือยัง” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 55

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมุมปาก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและดูถูก “คนอ่อนหัดเช่นเจ้ารึ จะมาเจรจาเงื่อนไขกับเราสองคน” 


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ชะงักเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะตอบเช่นนี้  


 


 


“ปล่อยลูกสาวข้า ข้าจะเก็บศพทั้งตัวของเจ้าไว้!” ทั้งแค้นเก่าและแค้นใหม่ หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีทีท่าว่าจะไว้ชีวิตเขา บอกจุดจบของเขาทันที  


 


 


ท่าป่าหั่นมู่ตั้งสติได้ หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “คนอ่อนหัด? นี่ก็พูดโอ้อวดเกินไป…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ชูหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้น “หากข้าอยากออกจากเมืองชายแดนนี้ไป คงไม่เปลืองแรงข้าหรอก” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พล่ามกับเขาต่อ เขาไม่สนใจหวงฝู่เย่าเย่ว์ในมือเขา และโจมตีเข้าไปทันที  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ลังเล รีบตามขึ้นไปทันที  


 


 


อ๋องฉีรับหวงฝู่สือเมิ่งไว้ หลังจากวางนางลงเสร็จ เห็นมุมปากนางมีเลือดไหลออกมา ก็ใช้แขนเสื้อตนเช็ดปากนางด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ เขาถามด้วยเสียงเบาว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งฝืนต้านความเจ็บปวดไว้ และเผยรอยยิ้มออกมา “ท่านปู่ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ช่วยน้องสำคัญกว่าเจ้าค่ะ” 


 


 


อ๋องฉีเงยหน้า มองไปที่ทหารที่ต่อสู้อยู่เบื้องหน้า เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความอาฆาต “เซวียนเอ๋อร์ ไม่ต้องออมมือ คนจวนอ๋องฉีของข้าไม่เคยเกรงกลัวคำขู่เข็ญใดๆ แม้จะช่วยชีวิตเย่ว์เอ๋อร์ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” 


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ได้ยินที่เขาพูดเต็มสองหู เขารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันใด และเริ่มสงสัยว่าข่าวที่ตนแอบสืบมานั้นเป็นเรื่องเท็จแน่ๆ ไม่ใช่ว่าอ๋องฉีรักหลานสาวดั่งชีวิตตน และไม่ยอมให้พวกนางตกอยู่ในความลำบากใดๆ เลยหรอกหรือ เหตุใดวันนี้จึงยอมสละชีวิตของหวงฝู่เย่าเย่ว์ล่ะ 


 


 


เขาคิดไม่ตก หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าใจดี กระบวนท่ายิ่งดุดันมากขึ้น  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่หลบซ้ายกันขวาอย่างทุลักทุเล ความหนักแน่นมั่นคงเมื่อครู่พลันหายไป  


 


 


หลินหันเยียนนอนอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่ารอดหรือเสียชีวิตแล้ว หลินฉงเหวินเจ็บปวดจนสติหลุด มีดเล่มใหญ๋ในมือกวัดแกว่งอย่างบ้าคลั่ง ไร้ซึ่งทิศทาง สภาพความบ้าคลั่งนั้นมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือกำจัดผู้ติดตามนั้นให้สิ้นซากเสีย 


 


 


ผู้ติดตามกลับลุกลี้ลุกลน ไม่รู้ว่าต้องตอบโต้อย่างไร จึงได้แต่ถอยหลัง  


 


 


หวงฝู่เฮ่าก็เม้มปากน้อยๆ ของตน ใบหน้าตึงเครียด แทงดาบคมในมือลงไปอย่างไม่หยุดยั้งปานจะเอาชีวิตเสีย  


 


 


เมื่ออ๋องฉีเห็นดังนั้น ก็กระโดดเข้าไปช่วยเหลือ  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งวิ่งไป ค่อยๆ ยกลำตัวท่อนบนของหลินหันเยียนขึ้น ยื่นนิ้วไปสัมผัสลมหายใจของนาง เมื่อสัมผัสถึงลมหายใจอันแผ่วเบาของนาง ก็ดีใจ สั่งทหารว่า “เรียกสาวใช้ออกมา ช่วยข้าประคองแม่นางหลินเข้าไป” 


 


 


ทหารวิ่งไปเรียกสาวใช้อย่างรีบร้อน  


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินหลินก็วิ่งล้มลุกคลุกคลานออกมาจากในจวน เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของหลินหันเยียนก็ตกใจร้องเสียงดัง “เยียนเอ๋อร์!” แล้วกระโจนเข้าใส่ ครั้นอยากจะยื่นมือไปกอดหลินหันเยียนไว้ ก็เห็นเลือดที่ชุ่มไปทั้งตัวบนตัวนางก็ไม่กล้ากอด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลและความกลัวอย่างปิดบังไว้ไม่อยู่ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“ฮูหยินหลิน ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ คุณหนูหลินยังมีลมหายใจ เรายกนางเข้าไปในจวนเพื่อรักษาก่อน” ขอบตาหวงฝู่สือเมิ่งก็แดง แต่กลับพูดปลอบอย่างใจเย็น  


 


 


“ได้ๆ” ฮูหยินหลินขานตอบ หลีกทางให้ และสั่งสาวใช้ที่ตามมาว่า “เร็วเข้า พวกเจ้าช่วยกันยกคุณหนูเข้าไปหน่อย” 


 


 


สาวใช้สองสามคนช่วยกันยกหลินหันเยียนเข้าไปในจวน เลือดก็หยดไปตามทาง  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งถือชายกระโปรง รีบวิ่งเข้าไปในห้องของตนในจวน หยิบยาห้ามเลือดในสัมภาระของตนออกมา แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องของหลินหันเยียน  


 


 


หลินหันเยียนถูกยกวางคว่ำลงบนเตียง ผ่านไปเพียงไม่นาน ผ้าปูเตียงก็ซึมไปด้วยเลือด น้ำตาของฮูหยินหลินไหลลงมาราวกับสร้อยลูกปัดที่ถูกตัดขาดจนไหลลงมาไม่ขาดสาย “เยียนเอ๋อร์ เจ้าตื่นสิ ลืมตามองแม่หน่อย” 


 


 


หลินหันเยียนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ สีหน้าก็ซีดเผือกขึ้นเรื่อยๆ  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งฉีกเสื้อด้านหลังของหลินหันเยียนออก แล้วรีบน้ำยาห้ามเลือดมาราดลงบนหลังของนาง เลือดก็หยุดไหลในทันที แต่หลินหันเยียนยังคงไม่ขยับ  


 


 


หวงฝู่สือมิ่งเม้มปาก จับมือหลินหันเยียนขึ้นมา แล้วยื่นมือไปจับชีพจรของนาง หลังจากตรวจอย่างตั้งใจแล้ว ก็สั่งคนนำกระดาษและพู่กันมา จดรายการยาลงไป และสั่งให้เขาไปซื้อยากลับมาทันที 


 


 


 


 


 


ด้านนอกกองบัญชาการ  


 


 


หลังจากต่อสู้กันจนผ่านไปนาน ท่าป๋าหั่นมู่ก็รู้สึกถึงแรงเจตนาฆ่าอย่างไร้ความปรานีของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคน พลันรู้สึกเย็นวูบวาบขึ้นมาจริงๆ ความตั้งใจเดิมทีที่ต้องการนำตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ไปข่มขู่พวกเขาเพื่อปล่อยให้ตนจากไปก็พลันหายไป ท่วงท่าก็สับสนร้อนรนไปหมด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้โอกาสนี้เล็งที่ไปเขา ลำตัวไหลลงผ่านข้างเท้าของท่าป๋าหั่นมู่ กริชในมือสะท้อนแสงเงาวับ มุ่งเฉือนผ่านข้อเท้าของเขา 


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่รู้สึกถึงอันตราย ครั้นอยากจะหลบ หวงฝู่อี้เซวียนก็โจมตีเข้ามาดั่งภูเขาไท่ซานที่กดทับลงมา ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ เขาจึงโยนหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกไปหาหวงฝู่อี้เซวียน และใช้โอกาสตอนที่เขารับนางไว้ กระโดดเหินออกด้านข้าง จึงหลบกริชของเมิ่งเชี่ยนโยวได้อย่างหวุดหวิด  


 


 


เมื่อปลายเท้าเพิ่งสัมผัสพื้น ครั้นกำลังจะถอนหายใจอย่างโล่งอก เมิ่งเชี่ยนโยวกลับตามมาติดๆ กริชในมือก็ตามมาอย่างไม่ลังเล เป้าหมายนั้นชัดเจนมาก ก็คือตัดเท้าเขาทิ้งนั่นเอง  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่สบถในใจ รีบกระโดดขึ้นสูง ในขณะเดียวกันก็ตะโกนสั่งผู้ติดตามทั้งสองคน “ถอย!” 


 


 


การเคลื่อนไหวของเขาไม่ช้า แต่การเคลื่อนไหวของหวงฝู่อี้เซวียนเร็วกว่า เมื่อรับหวงฝู่เย่าเย่ว์ไว้ได้ก็รีบวางนางลง และกระโดดข้ามไปโจมตีท่าป๋าหั่นมู่  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ถูกบีบบังคับให้กลับไปที่เดิม เขายังไม่ทันได้ตั้งสติ กริชในมือของเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ข้างขาของเขาแล้ว เพียงแสงแล่นผ่านแวบหนึ่ง เลือดก็พุ่งไหลออกมา  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ชะงัก ก้มศีรษะลง มองเท้าข้างหนึ่งของตนที่ถูกตัดขาดอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับตัวที่เดิม กริชในมืออีกเล่มหนึ่งก็กวัดแกว่งออกมา 


 


 


เลือดพุ่งไหลออกมาอีกครั้ง ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด โอ้ย… ทันใดนั้น ร่างสูงใหญ่ของท่าป๋าหั่นมู่ก็หงายหลังลงไปนอนกองกับพื้น เสียงลำตัวของเขาที่กระทบลงพื้นดังทุ้มขึ้น ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว  


 


 


ผู้ติดตามสองคนตกใจร้องเสียงหลงจนเสียสมาธิไป คนหนึ่งจึงถูกแรวฝ่ามือของอ๋องฉีจนร่างลอยกระเด็นออกไป ส่วนอีกคนหนึ่งถูกมีดใหญ่ของหลินฉงเหวินตวัดใส่ และเสียชีวิตลงในทันที  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่นอนอยู่บนพื้น ตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปตรงหน้าเขา หลุบตามองต่ำ สายตาเย็นชา แรงเจตนาฆ่านั้นชัดเจนนัก  


 


 


“เจ้า เจ้า เจ้าต้องคิดให้ดี หากเจ้าฆ่าข้าไปแล้ว เสด็จพ่อของข้าจะไม่ยอมง่ายๆ แน่ ท่านจะต้องนำทัพมาต่อสู้กับรัฐของเจ้าจนตกตายไปทั้งสองฝั่ง” เมื่อเท้าบาดเจ็บ ไม่มีแรงหนุนใดๆ ท่าป๋าหั่นมู่ก็เริ่มเกิดความหวาดกลัว เสียงที่สั่นเครือนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและการข่มขู่  


 


 


“เฮ่าเอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนเรียก  


 


 


หวงฝู่เฮ่าเม้มปากเดินขึ้นหน้า นำดาบในมือยื่นไปให้เขา  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ ชูขึ้น  


 


 


ท่าป๋าหั่นมู่ตกใจจนตาเบิกโพลง “บังอาจ!” 


 


 


ดาบในมือของหวงฝู่อี้เซวียนตวัดลง เลือดสีแดงสาดกระเซ็นไปทั่ว แล้วศีรษะก็หลุดออกจากร่างของท่าป๋าหั่นมู่ทันที  


 


 


“องค์ชายใหญ่!” ผู้ติดตามร้องเรียก ล้มลุกคลุกคลานไปหาศพของท่าป๋าหั่นมู่ 


 


 


“เก็บศีรษะไว้ ส่วนร่างเจ้านำกลับไป บอกฮ่องเต้ของพวกเจ้า จะยอมจำนนอย่างว่าง่าย และยอมเป็นรัฐที่ขึ้นตรงกับรัฐอู่ หรือจะให้ข้าตีเมืองหลวงพวกเจ้าให้แตกภายในสองเดือน แล้วจากนี้ไปรัฐอิงจะสูญสิ้นสลาย” หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก น้ำเสียงแจ่มชัด เย็นชา  


 


 


ผู้ติดตามไม่กล้าร้องวิงวอน อุ้มร่างที่ไร้ศีรษะของท่าป๋าหั่นมู่ด้วยตัวที่สั่นระริกไว้ แล้วเดินกะเผลกไปที่ที่ตนคล้องม้าไว้ นำร่างของท่าป่าหั่นมู่ยกขึ้นวางบนตัวม้า จากนั้นตนก็ใช้ความพยายามอยู่หลายครั้ง จึงควบขึ้นม้าได้ จากนั้นก็กระทุ้งม้าเดินมุ่งไปทางประตูเมืองออกไปด้วยลำตัวโซซัดโซเซ  


 


 


“ทหาร นำศีรษะส่งไปให้แม่ทัพฉู่ และนำความที่ข้าพูดไปเมื่อครู่แจ้งแก่เขา” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกริช เดินสาวเท้าเข้าไปในจวน จนมาถึงห้องของหลินหันเยียน เลือดสีแดงฉาดที่แตะตานาง ทำเอานางคร่ำเครียด  


 


 


เมื่อเห็นนางเข้ามา หวงฝู่สือเมิ่งก็เอ่ยปาก “ท่านแม่ ข้าตรวจชีพจรแล้ว และให้คนไปซื้อยาแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินไปข้างเตียง จับมือหลินหันเยียนขึ้นมา ตั้งใจจับชีพจรของนางขึ้นมา เงยหน้าขึ้น ครั้นกำลังจะเอ่ยปากถามหวงฝู่สือเมิ่งว่าเปิดรายการยาอะไรให้บ้าง ฮูหยินหลินก็ พลุ่บ คุกเข่าลงหน้านางทันที แล้วจับชายเสื้อนาง เว้าวอนอย่างใจร้อน “ซื่อจื่อเฟย ขอร้องล่ะ ช่วยเยียนเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบปล่อยมือหลินหันเยียนลงทันที แล้วเข้าไปโค้งลำตัวลงประคองนางไว้ “ฮูหยินหลิน ลุกก่อนเถอะ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะช่วยคุณหนูหลินอย่างสุดความสามารถ” 


 


 


“ไม่ๆ ๆ ซื่อจื่อเฟย ท่านต้องสัญญากับข้า ว่าท่านจะช่วยเยียนเอ๋อร์ให้รอดได้” ฮูหยินหลินไม่ขยับ ยังคงคุกเข่าขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยว  


 


 


“ฮูหยินหลิน อาการบาดเจ็บของคุณหนูหลินนั้นสาหัสมากนัก ข้าก็ไม่มั่นใจเช่นกัน ท่านลุกก่อนเถอะ” 


 


 


ฮูหยินหลินได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัวราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง มองดูลูกสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ก็ขอร้องอย่างร้อนรนมากขึ้น “ซื่อจื่อเฟย ฝีมือการแพทย์ของท่านนั้นเก่งกาจนัก ขอร้องท่านล่ะ ช่วยเยียนเอ๋อร์ให้รอดด้วยเถอะ ต้องช่วยเยียนเอ๋อร์ให้รอดนะเจ้าคะ” พูดจบ ดึงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวออก กำลังจะโขกศีรษะลงกับพื้นให้นาง  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบห้ามปราม แล้วประคองนางขึ้นมา “ฮูหยินหลิน ท่านวางใจเถิด ข้าจะพยายามให้สุดความสามารถ ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย หากคุณหนูหลินได้ยิน คงเจ็บปวดใจนะเจ้าคะ” 


 


 


ฮูหยินหลินลุกขึ้น กระโจนเข้าไปข้างเตียง ร้องเรียกเสียงเบา “เยียนเอ๋อร์ เยียนเอ๋อร์ เจ้าตื่นสิ ตื่นหน่อยนะ” 


 


 


หลินฉงเหวินที่เดินตามเข้ามาได้ยินเสียงของฮูหยินหลิน ก็คิดว่าหลินหันเยียนเสียชีวิตไปแล้ว ความเจ็บปวดในใจนั้นทำเอาเขากระอักเลือดออกมา ลำตัวโซเซจวนจะล้มลงกับพื้น  


 


 


หวงฝู่เฮ่าเดินเข้าไปประคองเขาไว้ และประคองเขาเดินเข้าไปในห้อง  


 


 


อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่นอกห้อง  


 


 


เสียงฝีเท้าที่ร้อนรนดังมาแต่ไกล ฮูหยินหลินจ้งบุกเข้าไปในเรือน เห็นหวงฝู่อี้เซวียนและอ๋องฉีก็ชะงัก เมื่อตั้งสติได้ ก็รีบคารวะ “คารวะท่านอ๋อง คารวะซื่อจื่อเจ้าค่ะ” 


 


 


เมื่อพูดจบ ไม่ทันรอให้ทั้งสองขานรับ ก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที เมื่อเห็นสภาพของหลินหันเยียนแล้ว ก็หน้ามืด ร้องเรียกเสียงสั่นเครือ “น้องเล็ก!” วันนี้ นางไปตลาดทำธุระแต่เช้า จนเพิ่งกลับมาในจวนเมื่อครู่นี้ เพิ่งลงจากรถม้าก็ได้ยินข่าวร้ายนี้ทันที  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินกลับไปที่ห้องของตน นำยาเม็ดที่ทำจากดอกบัวแดงที่เก็บไว้ใช้เมื่อตอนที่ตนคลอดลูกออกมา จากนั้นก็รีบกลับมา ค่อยๆ อ้าปากหลินหันเยียน แล้วใส่ยาเม็ดลงไป  


 


 


แต่หลินหันเยียนสูญเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง นางกลืนลงไปเองไม่ได้ ยาเม็ดจึงไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ทันที เมิ่งเชี่ยนโยวก็ประคองหลินหันเยียนขึ้นมา ตบบริเวณหลังที่ไม่ได้บาดเจ็บของนางแรงๆ คอของหลินหันเยียนเคลื่อนไหวเล็กน้อย ยาในปากจึงถูกกลืนลงไป  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอก ค่อยๆ วางหลินหันเยียนลงอย่างระมัดระวัง  


 


 


หลินฉงเหวินเห็นดังนั้น รู้ว่าหลินหันเยียนยังไม่ตาย ก็วางใจลง นั่งลงบนเก้าอี้ทันที และหอบหายใจหนัก  


 


 


ฮูหยินหลินหันศีรษะไป เห็นรอยเลือดมุมปากเขาก็ตกใจ รีบเดินไปหน้าเขา ถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านพี่ ได้รับบาดเจ็บหรือเจ้าคะ” 


 


 


หลินฉงเหวินโบกมือ “ข้าไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถอะ” 


 


 


ฮูหยินหลินกวาดตามองร่างกายเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีร่องรอยบาดเจ็บจริงๆ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อคิดถึงสภาพของหลินหันเยียน น้ำตาก็เอ่อขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงจะร้องไห้ว่า “ท่านพี่ เยียนเอ๋อร์นาง…” 


 


 


“ฮูหยินอย่าร้อนใจไปเลย มีซื่อจื่อเฟยอยู่ เยียนเอ๋อร์ต้องไม่เป็นอะไรแน่” หลินฉงเหวินปลอบนาง  


 


 


แต่ไม่คิดว่าน้ำตาฮูหยินหลินจะไหลมากกว่าเดิม นางพูดสะอึกสะอื้นว่า “ซื่อจื่อเฟยก็รับรองไม่ได้ว่าจะช่วยเยียนเอ๋อร์ได้เจ้าค่ะ” 


 


 


หลินฉงเหวินชะงัก ปากอ้าๆ หุบๆ เหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่มีเสียงใดเปล่งออกมา  


 


 


สาวใช้ซื้อยากลับมา รีบนำไปตุ๋น ยกเข้ามาในห้อง  


 


 


ฮูหยินหลินรับไว้ ป้อนหลินหันเยียนทานยาลงไปทีละช้อนทีละช้อนอย่างระมัดระวัง  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากห้อง ส่ายศีรษะต่อหน้าอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียน  


 


 


สีหน้าทั้งสองคร่ำเครียด ไม่ได้พูดอะไร  


 


 


ทหารนำศีรษะของท่าป๋าหั่นมู่ส่งไปที่ค่ายทหาร และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามความจริงทั้งหมดให้ฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งชิงฟัง รวมถึงหลินจ้ง  


 


 


ทั้งสามตกใจ  


 


 


หลินจ้งลุกพรวดขึ้นมาถามว่า “น้องข้าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


ทหารส่ายหน้า “ตอนที่ข้าน้อยมา ท่านหญิงน้อยสั่งคนยกคุณหนูเข้าไปในจวน หลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ” 


 


 


“ท่านแม่ทัพ!” หลินจ้งมองไปที่ฉู่เหวินเจี๋ย แล้วขานเรียกเขา ต้องการสื่อว่าจะขอกลับไปดูหลินหันเยียนโดยไม่ปริปากพูดออกมา  


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือ “ไปเถอะ บอกซื่อจื่อด้วยว่าข้าทราบเรื่องแล้ว วันนี้จะแขวนศีรษะของท่าป๋าหั่นมู่ไว้ หากรัฐอิงไม่มีปฏิกิริยาอันใด พรุ่งนี้จะเคลื่อนกองทัพมุ่งไปทางเมืองหลวงของพวกเขา” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 56 ความเจ็บปวดแห่...

 

หลินจ้งขานรับ ขี่ม้าเร็วทะยานกลับไปในเมือง เมื่อตรงมาถึงกองบัญชาการ หลังจากลงจากม้าก็รีบวิ่งตรงมาถึงเรือนของหลินหันเยียนทันที เมื่อเห็นอ๋องฉี หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังยืนอยู่ในลานบ้าน เขาพลันรู้สึกเย็นวาบ รีบสาวเท้าเข้าไปหา และถามหยั่งเชิงขึ้นมาทันทีโดยไม่ได้คารวะก่อนว่า “ซื่อจื่อเฟย เยียนเอ๋อร์นาง…” 


 


 


“คุณหนูหลินมีอาการบาดเจ็บสาหัส ทานยาไปแล้วแต่ยังไม่ฟื้น” 


 


 


ยังไม่ฟื้น ไม่ได้หมายความว่าช่วยไม่ได้แล้ว หลินจ้งคิดได้ดังนั้นก็โล่งใจ จากนั้นจึงคารวะอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียน “คารวะท่านอ๋อง คารวะซื่อจื่อขอรับ ตอนที่ข้ามาท่านแม่ทัพบอกแล้วว่าหากวันนี้ราชวงศ์ของรัฐอิงไม่ได้ส่งจดหมายตอบกลับมา พรุ่งนี้เขาจะนำทัพเคลื่อนหน้าต่อไปขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “รู้แล้ว เจ้าเข้าไปดูน้องก่อนเถอะ มีอะไรประเดี๋ยวค่อยคุยกัน” 


 


 


หลินจ้งขานรับ เดินสาวเท้าเข้าไป เมื่อเห็นสภาพของหลินหันเยียน พลันรู้สึกหนักอึ้ง สองสามวันที่ผ่านมานี้เขาเห็นคนตายในสนามรบมามากมาย สภาพของหลินหันเยียนตอนนี้ดูก็รู้ว่าไม่เป็นใจนัก โอกาสรอดนั้นมีเพียงน้อยนิด  


 


 


ฮูหยินหลินเห็นเขาเข้ามา ก็รู้สึกราวกับเห็นที่พึ่งทางใจ นางเบิกตาที่ร้องไห้จนบวมแดงมองไปที่เขา “จ้งเอ๋อร์ เจ้ากลับมาเสียทีนะ เยียนเอ๋อร์นาง…” 


 


 


หลินจ้งปกปิดความไม่สบายใจไว้ เดินขึ้นไปประคองฮูหยินหลินแล้วปลอบว่า “แม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ น้องเล็กเป็นคนดี ฟ้าย่อมคุ้มครอง นางจะไม่เป็นอะไรขอรับ” 


 


 


“จริงหรือ” ฮูหยินหลินถูกปลอบโยนจริงๆ นางถามย้ำอีกครั้ง 


 


 


หลินจ้งพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจนัก  


 


 


ฮูหยินหลินเชื่อตามนั้น มองไปที่หลินหันเยียนที่ยังคงนอนหลับตาและไม่มีสติ นางพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าได้ยินพี่เจ้าพูดไหม เจ้าจะไม่เป็นอะไร เหตุใดไม่ลืมตามองแม่อีกเล่า” 


 


 


หลินจ้งขอบตาแดง ฮูหยินหลินจ้งเห็นดังนั้นก็แอบถือแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดดวงตา  


 


 


บรรยากาศในห้องเศร้าโศกยิ่งนัก  


 


 


นอกห้อง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหน้าดำคร่ำเครียด 


 


 


 


 


 


ณ เมืองหลวง รัฐอิง  


 


 


ผู้ติดตามนำร่างของท่าป๋าหั่นมู่กลับไปในค่ายทหาร เหล่าทหารในค่ายต่างตะลึงงัน พวกเขาจับปกคอเสื้อของผู้ติดตามอย่างไม่เชื่อ ถามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าคือศพขององค์ชายใหญ่จริงๆ หรือ 


 


 


ผู้ติดตามนั่งกองบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เขากอดศพของท่าป๋าหั่นมู่ไว้และร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ  


 


 


ทหารนายหนึ่งที่เกรี้ยวกราดเห็นดังนั้นก็พุ่งเข้าไปถีบเขาทีหนึ่ง จนเขาล้มหงายหลังลงบนพื้น “ร้องหาพระแสงอะไร นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” 


 


 


ผู้ติดตามที่นอนอยู่บนพื้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พวกเขาฟัง  


 


 


เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งได้ยินดังนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถลกแขนเสื้อขึ้น พร้อมออกคำสั่งให้นำกองทัพโจมตีกลับไป “สู้กับรัฐอู่ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย มากสุดก็แค่ล้มตายกันไปทั้งสองรัฐ อย่าคิดจะได้ความสงบสุขอีกเลย” 


 


 


เหล่าทหารอีกลุ่มหนึ่งที่มีสติก็รีบห้ามปรามขึ้นว่า “องค์ชายใหญ่ประสบภัย แม้แต่ศีรษะยังถูกตัดไป เรื่องนี้รีบไปกราบทูลฮ่องเต้ก่อนเถิด” 


 


 


ผู้ติดตามเพิ่งนึกคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนได้ ก็ลุกขึ้นพลางร้องไห้อย่างเจ็บปวด เขากอดร่างของท่าป๋าหั่นมู่เดินโซซัดโซเซกลับไปบนม้า ขี่ม้าไปเมืองหลวง  


 


 


องครักษ์เฝ้าเมืองได้ยินว่าร่างที่เขากอดอยู่คือร่างของท่าป๋าหั่นมู่ สีหน้าก็ซีดเผือดทันที แล้วรีบวิ่งเข้าในวังอย่างรวดเร็วปานสายลมเพื่อทูลฮ่องเต้  


 


 


ฮ่องเต้กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องบรรทม เมื่อได้ยินดังนั้น ก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งทันที ตะคอกถามว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ” 


 


 


องครักษ์ทูลกล่าวอีกครั้งอย่างกล้าๆ กลัวๆ  


 


 


“ไร้สาระ!” ฮ่องเต้ไม่เชื่อ เขาโมโห เปิดผ้าห่มออก แล้วลงจากเตียงไปถีบองครักษ์ที่เข้ามารายงาน พูดหอบอย่างเกรี้ยวกราดว่า “กล้าดีอย่างไรมาสาปแช่งองค์ชายใหญ่ ข้าจะลงโทษเจ้าทั้งบ้าน” 


 


 


องครักษ์ตกใจจนล้ม พลุบ คุกเข่าลงบนพื้น เขาก้มศีรษะลง ไม่กล้าพูดอะไรอีก  


 


 


ฮ่องเต้หอบหายใจหนัก ออกคำสั่งว่า “ทหาร นำตัวคนกระพือข่าวเข้ามา เราอยากเห็นเหลือเกิน ว่าใครบังอาจสร้างความเท็จเช่นนี้” 


 


 


องครักษ์ขานรับ คุกเข่าถอยออกไป แล้วขานเรียกผู้ติดตามเข้ามา  


 


 


จากเมืองชายแดนของรัฐอู่จนถึงเมืองหลวงของรัฐอิง ตลอดทางนี้ตัวก็กระแทกไปมาบนม้า เลือดในตัวของท่าป๋าหั่นมู่ก็ไหลจนหมดตัวไปนานแล้ว บัดนี้ผู้ติดตามกอดศพที่แห้งกรังเข้ามา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ องครักษ์ที่ขานเรียกก็จำเขาได้ทันที เขาตกใจจนขาอ่อน เสียงก็สั่นไปหมด พูดกับผู้ติดตามว่า “ฮ่อง ฮ่องเต้สั่งให้เจ้าเข้าไป” 


 


 


ผู้ติดตามอุ้มศพของท่าป๋าหั่นมู่เข้าไป จนถึงห้องบรรทมของฮ่องเต้ เมื่อเข้าไปถึงก็ล้ม พลุบ คุกเข่าลงบนพื้น แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น “ทูลฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ องค์ องค์ชาย องค์ชายใหญ่…” 


 


 


ฮ่องเต้จะจำลูกชายที่ตนเองรักใคร่เอ็นดูมากที่สุดไม่ได้ได้อย่างไร ทันใดนั้นเขาก็หน้ามืด ลำตัวอ่อนเปลี้ย ล้มหงายหลังลงไป  


 


 


องครักษ์ในห้องบรรทมวุ่นวายไปทั่ว แม้เห็นร่างของท่าป๋าหั่นมู่ที่ไร้ศีรษะก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวใดๆ แล้ว  


 


 


ผู้ติดตามตกใจจนเบิกตาโต มองดูฮ่องเต้ที่หมดสติไปจนลืมร้องไห้  


 


 


หลังจากความวุ่นวายผ่านไป ฮ่องเต้ที่ถูกยกไปบนเตียงมังกรแล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ร้องเรียกเสียงดังว่า “ท่าป๋าหั่นมู่ โถ่ ลูกข้า!” เขารู้สึกเจ็บปวดเกินคำบรรยาย น้ำตาไหลพราก  


 


 


องครักษ์ไม่กล้าเข้าไปปลอบ ต่างคุกเข่าหมอบตัวลงข้างเตียง  


 


 


ฮ่องเต้ค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยลำตัวโซซัดโซเซ องครักษ์ขึ้นไปประคองจนมาถึงข้างศพของท่าป๋าหั่นมู่ ฮ่องเต้คุกเข่าลงบนพื้น ยื่นมือไปลูบตัวของเขาเบาๆ ด้วยมือที่สั่นระริก  


 


 


ในห้องบรรทมนั้นเงียบสงัด องครักษ์ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ  


 


 


ฮ่องเต้ร้องไห้น้ำตานองหน้า เสียงสะอึกสะอื้นดังไปทั่ว  


 


 


หนุ่มน้อยคนหนึ่งอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองขวบวิ่งเข้ามาจากนอกห้องบรรทม “เสด็จพ่อ พวกเขาบอกว่าพี่ใหญ่…” ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เห็นศพบนพื้น จึงตกใจรีบกระโจนเข้าไป ขานเรียกเสียงดังอย่างเจ็บปวดใจว่า “เสด็จพี่!” 


 


 


ฮ่องเต้หยุดร้องไห้ ลุกขึ้นยืนซวนเซไปมา สภาพของเขากลับมาน่าเกรงขามอีกครั้ง ถามผู้ติดตามว่า “เจ้าว่ามาซิ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” 


 


 


ผู้ติดตามเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ  


 


 


ฮ่องเต้ฟังจบ ก็เงียบไม่พูดอะไร  


 


 


หนุ่มน้อยทนเก็บความเดือดดาลไว้ไม่อยู่ “เสด็จพ่อ ห้ามยอมพวกเขาเด็ดขาดนะขอรับ เราต้องแก้แค้นให้เสด็จพี่ด้วยกำลังทั้งหมดที่รัฐเรามี” 


 


 


ฮ่องเต้มองดูหนุ่มน้อยตรงหน้า เงียบไม่พูดอะไร  


 


 


 


 


 


ในเมืองชายแดน 


 


 


หลังจากที่หลินหันเยียนหมดสติไปหนึ่งชั่วยาม ท้ายที่สุดก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้น เมื่อนางลืมตาที่หนักอึ้งทั้งสองข้าง ก็เห็นแม่ของตนที่ดวงตาบวมแดงมองนางด้วยสายตาร้อนรนอยู่ข้างเตียง  


 


 


“เยียนเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ” เมื่อเห็นนางตื่น ฮูหยินหลินก็ดีใจมาก นางถามพลางยิ้มทั้งน้ำตา  


 


 


หลินหันเยียนผืนยิ้มให้ “ท่านแม่ ทำให้ท่านเป็นห่วงแย่เลยเจ้าค่ะ” 


 


 


“ฟื้นก็ดีแล้ว ฟื้นก็ดีแล้วล่ะ” ฮูหยินหลินพูดซ้ำไปมา  


 


 


หลินฉงเหวินก็ลุกขึ้นยืน เดินสาวเท้าเข้าไปไปข้างเตียง มองดูหลินหันเยียน  


 


 


“ท่านพ่อ” หลินหันเยียนเรียก  


 


 


หลินฉงเหวินพยักหน้า  


 


 


สายตาหลินหันเยียนหันไปมอง “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่” 


 


 


สองสามีภรรยาหลินจ้งพยักหน้า  


 


 


“น้องเล็ก เจ้าเพิ่งตื่น อย่าเพิ่งพูดเยอะเลย ข้าจะไปเชิญซื่อจื่อเฟยเข้ามาดูอาการเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ” เมื่อหลินจ้งพูดจบ ก็หันหลังกำลังจะออกไปเรียกเมิ่งเชี่ยนโยว  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขาแล้ว นางเปิดม่านลูกปัดเข้ามา เดินไปข้างเตียง มองใบหน้าที่ซีดเผือดไร้ซึ่งเลือดหล่อเลี้ยงตรงหน้า นางฝืนยิ้มให้ทีหนึ่ง “คุณหนูหลิน ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” 


 


 


“หนาวเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนตอบตามตรง  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหนักอึ้งทันที แต่ยังคงสีหน้าเดิมไว้ “เจ้าเสียเลือดไปมาก เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกหนาวไปทั้งตัว รักษาตัวสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ” หลินหันเยียนยิ้มพลางถามเสียงเบา  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าไม่ลง ได้แต่ก้มศีรษะจับมือนางขึ้นมาตรวจชีพจรให้ 


 


 


ชีพจรแผ่วเบาเป็นไปตามคาด จนแทบจะตรวจจับไม่ได้  


 


 


ทุกคนในห้องมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรอคอย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก วางมือของหลินหันเยียนกลับไปในผ้าห่ม “อาการคงที่แล้ว พักผ่อนเยอะๆ อย่าพูดอะไรเยอะ” 


 


 


“ใช่ๆๆ อย่าพูดเยอะ อย่าพูดเยอะ พักผ่อนเยอะๆ” ฮูหยินหลินพูดสำทับ แล้วช่วยสอดมุมผ้าห่มเข้าไปให้หลินหันเยียน  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น  


 


 


หลินหันเยียนยื่นมือออกมาจับมือนางไว้  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองนาง  


 


 


หลินหันเยียนถอนหายใจยาว พูดกับฮูหยินหลินว่า “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับซื่อจื่อเฟย พวกท่านออกไปก่อนได้ไหมเจ้าคะ” 


 


 


ฮูหยินหลินตะลึง มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อเห็นนางไม่ได้คัดค้านอันใด ก็หันไปมองสีหน้าซีดเผือดของหลินหันเยียน “ได้ๆ พวกเจ้าคุยกัน แม่จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” 


 


 


พูดจบ ก็พูดกับหลินฉงเหวินว่า “นายท่าน เราออกไปกันเถอะเจ้าค่ะ” 


 


 


หลินฉงเหวินพยักหน้า หันหลังเดินออกไป ฮูหยินหลินเดินตามหลังไป สองสามีภรรยาหลินจ้งก็ตามข้างหลังไป  


 


 


ทุกคนออกจากห้องไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียน  


 


 


หลินหันเยียนถอนหายใจยาว เอ่ยปากด้วยเสียงอ่อนแรงว่า “ซื่อจื่อเฟย ใกล้จะหมดเวลาของแล้วใช่ไหมเจ้าคะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร มองไปที่นาง  


 


 


หลินหันเยียนหัวเราะเบาๆ ปล่อยมือนางออก “ท่านไม่ต้องตกใจหรอก ข้ารู้ร่างกายข้าดี ว่าอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว” 


 


 


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้นว่า “เจ้ามีความปรารถนาอะไรหรือไม่” 


 


 


นัยน์ตาหลินหันเยียนมีแสงประกายแวบผ่าน จากนั้นก็ดับวูบไป นางค่อยๆ ส่ายศีรษะ “หลายปีมานี้ที่ข้ามาอยู่ชายแดนก็คิดได้ตั้งนานแล้ว และปล่อยวางได้แล้ว หากข้าเป็นอะไรไป สิ่งเดียวที่ข้ารู้สึกผิดด้วยก็คือท่านพ่อท่านแม่ พวกเขาเลี้ยงข้าจนเติบใหญ่ ยังไม่ทันรอให้ข้าได้ตอบแทน พวกเขาก็ต้องส่งคนผมดำไปก่อนเสียแล้ว” 


 


 


“ข้าขอโทษ ข้าเองก็มีส่วนที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้า…” 


 


 


“ซื่อจื่อเฟยอย่าพูดเช่นนั้นเลย…” หลินหันเยียนรีบพูดตัดบท อาจจะเป็นเพราะนางพูดเร็วเกินไป จึงไอขึ้นสองที จนมุมปากมีเลือดไหลออกมา  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ก้มศีรษะลง เช็ดเลือดให้นางอย่างเบามือ  


 


 


“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลังจากหลินหันเยียนกล่าวขอบคุณอย่างอ่อนแรงแล้ว ก็ยิ้มพูดว่า “ซื่อจื่อเฟยอย่าโทษตนเองเลย ทั้งหมดนี้ข้าเต็มใจทำ โบราณเขาว่า โชคชะตาฟ้าลิขิต อาจจะเป็นเพราะฟ้าคิดว่าข้าเคยทำผิดมามากพอแล้ว บัดนี้ถึงเวลานำชีวิตข้ากลับคืนแล้ว ไม่เกี่ยวกับพวกท่านหรอก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก พูดว่า “หากเจ้าอยากเจออวี้เอ๋อร์ ข้าส่งคนส่งจดหมายให้เขาได้ แต่ว่าระยะทางจากชายแดนถึงเมืองหลวงห่างกันพันลี้ แม้จะขี่ม้าเร็วก็ต้องใช้เวลาประมาณสิบวัน” 


 


 


หลินหันเยียนปรากฏแววตาแห่งความสุข นางไม่ปฏิเสธพูดว่า “ข้าจะรอ ข้ารอ ข้าจะรอจนกว่าได้เจอเขาอีกครั้งเจ้าค่ะ” 


 


 


“ได้ เจ้าพูดแล้วห้ามคืนคำนะ เจ้าจะต้องอดทนไว้ ข้าจะส่งคนส่งสาส์นไปให้เขาเดี๋ยวนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวขอบตาเริ่มแดง นางพูดพลางอดกลั้นความเสียใจไว้ 


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้าช้าๆ เผยรอยยิ้มบนใบหน้า “ท่านวางใจเถอะ ข้าจะอดทนรอจนกว่าพี่อวี้จะมาเจ้าค่ะ” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)