ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 5-10
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 5 โยนลงไปในทะเลสาบ
ในขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น ก็เห็นศีรษะของทั้งสองคนโผล่ขึ้นมา หวงฝู่สือเมิ่งโล่งใจ รีบชี้ไปบริเวณที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ลอยขี้นมา และตะโกนขึ้นว่า “เย่ว์เอ๋อร์อยู่ตรงนั้น”
ฉู่เหยาและหวงฝู่เฮ่าสูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่งแล้วดำลงไปในน้ำและว่ายไปทางที่นางชี้
ผิวน้ำเงียบสงบอีกครั้ง
คนที่อยู่บนเรือลำอื่นตกตะลึงกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ ต่างสั่งให้เรือทุกลำหยุด และมองดูไปทางนั้น แต่กลับไม่มีใครยื่นมือช่วยเหลือเลย
หวงฝู่สือเมิ่งใจลุ่มๆ ดอนๆ อีกครั้ง นางอยากจะกระโดดลงไปช่วยเองเสียเหลือเกิน แต่นางเองก็ว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนหวงฝู่เย่าเย่ว์
หวงฝู่รุ่ยเม้มปากแน่น ความเย็นยะเยือกในใจหนาวเย็นกว่าก้นทะเลสาบเสียอีก
เสียงน้ำดัง ‘ฉู่’ ศีรษะทั้งสามคนปรากฏเหนือน้ำพร้อมกัน ซึ่งก็คือพวกเขาทั้งสามคนนั่นเอง
น้ำตาหวงฝู่สือเมิ่งพลันไหลพราก นางพูดด้วยน้ำสียงสั่นเครือว่า “ท่านอา น้องเฮ่า รีบขึ้นมาเร็วเข้า”
ฉู่เหยาและหวงฝู่เฮ่าออกแรงลากหวงฝู่เย่าเย่ว์จนถึงข้างเรือ หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่รุ่ยยื่นมือออกไปดึงนางขึ้นมา
สีหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์ม่วงคล้ำ นางคงสำลักน้ำเข้าไปไม่น้อย
หวงฝู่สือเมิ่งรีบวางมือบนหน้าอกนางทันที แล้วออกแรงกดไปที่หัวใจนาง
หลังจากกดไปพักหนึ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็สำลักน้ำออกมาสองสามที แล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“น้องเล็ก!” “พี่รอง!” “เย่ว์เอ๋อร์” ทุกคนดีใจจนร้องเรียกขึ้นพร้อมกัน
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มอย่างอ่อนเพลีย “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
หลังจากตกลงน้ำเสื้อผ้าบางสำหรับหน้าร้อนที่นางใส่ก็เปียกโชกไปหมด เมื่อครู่นี้ทุกคนต่างวุ่นกับการช่วยนาง จึงไม่มีใครสนใจ แต่ตอนนี้นางตื่นแล้ว หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงและเสื้อผ้าที่แนบติดลำตัวนั้น เผยให้เห็นสรีระงดงามของหญิงสาว สายตาฉู่เหยาหลบวูบ รีบหันหน้าไปทางอื่น ครั้นอยากจะถอดเสื้อผ้าของตนให้นางใส่ มือสัมผัสโดนเสื้อผ้า ก็นึกขึ้นได้ว่าเสื้อของตนก็เปียกใช้ไม่ได้เช่นกัน เขาหัวเสีย ไม่กล้ามองกลับไป เอาแต่กุมขมับ
หวงฝู่รุ่ยเองก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน เขาจึงรีบถอดเสื้อนอกของตนแล้วห่มบนตัวของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จากนั้นเขาและหวงฝู่สือเมิ่งก็โค้งตัวลงไปประคองนางขึ้นมา เดินเข้าไปในห้องคนโดยสารในเรือ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไอขึ้นอีกสองสามครั้ง
หวงฝู่รุ่ยเก็บสีหน้าเกรี้ยวโกรธของตนไว้ แล้วช่วยตบหลังนางเบาๆ สองสามที คอยเหลือบมองเรือที่หลังจากชนแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่รอง มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่ขอรับ”
แม้จะอยู่ในหน้าร้อนที่แสนจะร้อนอบอ้าวเช่นนี้ แต่จมอยู่ในทะเลสาบนานขนาดนี้ เนื้อตัวก็เปียกชุ่ม หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความหนาว แต่นางกลับส่ายหน้าพูดกับทุกคนว่า “ไม่เป็นไร พักเสียหน่อยก็ดีแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ หรือขอรับ” หวงฝู่รุ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยื่นมือออกไป ลูบศีรษะเขา แล้วพูดฝืนยิ้มว่า “น้องเล็กอย่ากังวลไปเลย พี่รองไม่เป็นอะไรจริงๆ”
นัยน์ตาหวงฝู่รุ่ยพลันมีประกายแวบผ่าน “หากพี่รองไม่เป็นอะไรจริงๆ ข้าอยากรออีกสักพักค่อยกลับจวนขอรับ เราจะปล่อยให้พี่ตกน้ำเสียเปล่าแบบนี้ไม่ได้”
เมื่อเขาพูดออกมา ทุกคนก็เพิ่งนึกถึงคนร้ายที่ชนพวกเขาได้ เมื่อทอดสายตาออกไป ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเรือลำนั้นแล้ว
“ข้าจำได้!” หวงฝู่รุ่ยเห็นสีหน้ากลัดกลุ้มของทุกคนก็พูดขึ้น
สายตาทุกคนลุกวาว หวงฝู่สือเมิ่งพูดด้วยความโมโหว่า “แม้พวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เห็นน้องรองตกลงน้ำแบบนี้ก็ควรออกมาช่วย ไม่ใช่หายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้”
“ตั้งใจหรือไม่ เราแค่พิสูจน์ดูก็รู้แล้ว พี่ใหญ่ เราสั่งคนเรือตามขึ้นไปดีไหมขอรับ”
“ได้ แล้วแต่เจ้าเลย”
หวงฝู่รุ่ยตบห้องบังคับเรือชั้นล่างเบาๆ คนเรือนายหนึ่งรีบออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
หวงฝู่รุ่ยเอ่ยปาก “เรื่องวันนี้โทษพวกเจ้าไม่ได้ เราไม่เอาเรื่องพวกเจ้าหรอก”
สีหน้าตื่นตระหนกของคนเรือหายไป แล้วก็แสดงความขอบคุณ “ขอบคุณคุณชายขอรับ ขอบคุณคุณชายขอรับ”
“คำขอบคุณเก็บไว้เถอะ เห็นเรือที่ชนพวกเราสักครู่นี้ไหม”
คนเรือลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
“ดี รีบตามขึ้นไป จะมีรางวัลให้”
เมื่อได้ยินว่ามีรางวัล คนเรือก็ดีใจ กลับไปที่ห้องบังคับเรือ สั่งคนพายเรือให้เร็วขึ้นเพื่อไล่ตามเรือลำใหญ่เมื่อครู่นี้
เป็นเรือที่อยู่กับทะเลสาบมานานทั้งนั้น มองก็รู้ทันทีว่าเป็นของบ้านไหน ทุกคนพายเรือกันอย่างขยันขันแข็ง เรือก็พุ่งไปข้างหน้าเพื่อไล่ตามเรือใหญ่ลำนั้นอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงไม่นาน ก็เห็นเรือใหญ่ลำนั้นแล้ว
คนบนเรืออีกลำนั่งคุยเล่นและดื่มสุราอย่างสบายใจ โดยที่ไม่คิดว่าเรือลำนั้นจะตามพวกเขาทัน พวกเขาตกใจอย่างเห็นได้ชัด ตบตีห้องบังคับเรืออย่างร้อนรน สั่งให้คนเรือเร่งพายเรือให้เร็วขึ้น
หลังจากคนเรือได้รับคำสั่งก็ตะโกนบอกให้ทุกคนรีบพายเรือ
คนอื่นมองไปเห็นเพียงเรือสองลำที่ไล่ตามกันเหมือนเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น
มีเพียงคนบนเรือเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลำหนึ่งกำลังวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย อีกลำวิ่งไล่ตามอย่างเกรี้ยวกราด
ระยะห่างของเรือทั้งสองลำใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หวงฝู่สือเมิ่งและคนอื่นๆ บนเรือมองเห็นคนบนเรือลำนั้นชัดเจน พลันบันดาลโทสะ
หวงฝู่สือเมิ่งเดินไปหัวเรือ พูดพลางมองไปที่เรือลำนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หลิวเทา เจ้าบังอาจมาก กล้าดีอย่างไรมาคิดจะเอาชีวิตน้องข้าไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
เมื่อถูกจับได้ หลิวเทาก็ไม่รู้สึกเกรงกลัวอีก ตอบกลับอย่างแค้นเคืองว่า “ถือว่านางบุญหนา หากมีครั้งต่อไปอีก ข้าจะชนจนนางตกลงไปใต้ท้องทะเลสาบให้เป็นอาหารปลาเสีย”
ฉู่เหยาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทำท่าจะเหาะเหินไปจัดการหลิวเทาบนเรือฝั่งตรงข้าม
หวงฝู่รุ่ยห้ามเขาไว้ สีหน้าหมองหม่น สั่งคนเรือว่า “ชนเข้าไปเลย!”
คนเรือได้ยินคำสั่งเขา แต่กลับนิ่งไม่ขยับ
หวงฝู่รุ่ยเดินขึ้นหน้า หยิบกระเป๋าสตางค์บนเอวของหวงฝู่สือเมิ่งมาแล้วโยนลงไปห้องชั้นล่าง เสียงไม่ดังมากนัก แต่คนเรือทุกนายกลับได้ยินอย่างชัดเจน “นี่คือเงินรางวัล หากชนแล้วเรือเสียหาย ข้าจะชดใช้ให้เจ้าสามเท่า”
เมื่อเห็นเงินทองที่เทกระจายออกมาจากกระเป๋า ในนั้นยังมีทองแท่งเล็กๆ ด้วย คนเรือทุกคนกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง รวมทรัพย์สินทั้งหมดแล้วอย่างน้อยก็หลายสิบตำลึง เพียงพอต่อรายได้พายเรือหนึ่งเดือนของพวกเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากชนจนเรือเสียหาย คุณชายท่านนี้จะชดใช้ให้อีกสามเท่า ทุกคนเงยหน้าขึ้น มองไปที่คนกำกับหัวเรือด้วยสายตาเป็นประกาย
เมื่อคนกำกับหัวเรือเห็นเงินทองมากมายส่องแสงระยิบระยับ เขาก็หวั่นไหว แล้วฮึดสู้ขึ้น เขาโค้งลำตัวลงเก็บเงินและทองที่กระเด็นออกมากลับเข้าไปในกระเป๋าสตางค์ แล้วเหน็บไว้ที่เอวตนเอง โบกมือสั่งทุกคน “ตามขึ้นไป ชนให้แรง ชนจนกว่าคุณชายจะพอใจ”
“ได้เลย!” ทุกคนขานรับ ออกแรงมากกว่าเดิม
เรือใหญ่ตามเรือข้างหน้าทันได้อย่างรวดเร็ว แล้วชนเข้าอย่างจัง
เสียงดัง ‘ตู้มมม!’ เรือทั้งสองลำชนกัน แล้วสั่นไหวขึ้นพร้อมกัน
เสียงตกใจของหญิงสาวเล็ดลอดออกมาจากเรือฝั่งตรงข้าม
หวงฝู่เฮ่าหูไว แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นเสียงของอวี้เอ๋อร์ ความเดือดดาลในใจพลันลุกโชน เขากำหมัดแน่นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ความหวาดกลัวของเรือฝั่งตรงข้ามไม่กระทบกับทางนี้เลย ทุกคนจ้องมองผู้คนบนเรือที่ตื่นตระหนกไปทั่วอย่างไม่ละสายตา
หวงฝู่รุ่ยไม่ได้สั่งให้หยุด คนกำกับหัวเรือก็ไม่กล้าหยุด คอยกำกับทุกคนให้ชนเรือตรงข้ามต่อไป
เรือถูกชนจนซวนเซไปมา จนเกือบจะคว่ำ ผู้คนบนเรือตรงข้ามยิ่งตกใจใหญ่
ในขณะที่เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดสายนั้น หวงฝู่รุ่ยก็ปริปาก “หยุด!”
เรือใหญ่หยุดการชนปะทะลง
ผู้คนบนเรือยังไม่ทันได้ถอนหายใจ เสียงของหวงฝู่สือเมิ่งก็ดังขึ้น “ท่านอา! เฮ่าเอ๋อร์”
เงาของทั้งสองคนพลันเหาะเหินไปบนเรือของอีกฝั่ง ในขณะที่หลิวอวี้เอ๋อร์และหลิวเทายังไม่ทันตั้งตัวได้นั้น ทั้งสองก็จับอวี้เอ๋อร์ขึ้นพร้อมกัน และโยนนางลงไปในทะเลสาบ จากนั้นก็กระโดดกลับเรือของตน
กรี้ดด! หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจร้องเสียงหลงดังไปทั่วทั้งทะเลสาบ
“อวี้เอ๋อร์!” เสียงของหลิวเทาตกใจมากกว่านาง เขาเกาะบนหัวเรือตะโกนเสียงดัง
หลิวอวี้เอ๋อร์จมลงไป สำลักน้ำหลายอึก กระเสือกกระสนตนเองให้พ้นจากผิวน้ำ “พี่ใหญ่ ช่วย…ข้า” ยังไม่ทันพูดจบ ก็จมลงไปอีกครั้ง
หลิวเทาว่ายน้ำไม่เป็น เขาหันหลังกลับ สั่งบ่าวรับใช้ที่ตามพวกเขามา “ยืนนิ่งอยู่ทำไมกัน รีบลงไปช่วยสิ”
สาวใช้มองดูกันไปมา ไม่มีใครขยับตัว บ่าวรับใช้ก็มองกันไปมองกันมา สีหน้าพวกเขาหวาดกลัว เพราะว่ายน้ำไม่เป็น ทะเลสาบลึกขนาดนี้ ลงไปก็มีแต่ตายเท่านั้น
หลิวเทากลับไม่สนใจ หันหลังกลับแล้วถีบพวกเขาไปทีหนึ่ง ก่นด่าว่า “รีบลงไปช่วยเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นกลับไปข้าไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าแน่”
บ่าวรับใช้สองสามนายกัดฟัน หลับตาปี๋ จ๋อม จ๋อม กระโดดลงไปในน้ำ เมื่อสัมผัสโดนน้ำ พวกเขาก็ดิ้นลนลาน ออกแรงตบตีผิวน้ำ พยายามไม่ให้ตัวเองจมลงไป ไม่มีกะจิตกะใจช่วยใครอีก
สีหน้าหลิวเทาซีดเผือด รีบกวักน้ำตบตีห้องชั้นล่าง “ช่วยคนสิ! รีบไปช่วย ใครช่วยน้องสาวข้าไว้ได้ ข้าจะตบรางวัลห้าร้อยตำลึง”
เมื่อเขาพูดจบ จ๋อม จ๋อม …คนมากมายจากห้องชั้นล่างกระโดดลงน้ำ
เรือรอบข้างต่างเข้ามามุงดู คุยซุบซิบกันให้เซ็งแซ่
ฉู่เหยาและคนอื่นๆ มองทุกอย่างเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา ไม่สนใจแม้แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบด้าน
หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกคนเรือสองนายช่วยขึ้นมา หลิวเทาและสาวใช้สองสามคนยื่นมือไป ดึงหลิวอวี้เอ๋อร์ที่หลับตาขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
ส่วนบ่าวรับใช้ที่ยังอยู่ในน้ำนั้น หลิวเทาก็ไม่ได้สนใจอีก
คนเรือทนมองไม่ไหว จึงกลับลงไป แล้วนำตัวของพวกเขาขึ้นไปบนเรือ
เมื่อเห็นสภาพของหลิวอวี้เอ๋อร์ มือไม้หลิวเทาก็ลนลาน เขย่าตัวนางไม่หยุด “อวี้เอ๋อร์ ตื่นสิ ตื่น”
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่มีปฏิกิริยาอะไร
หลิวเทาตกใจแทบตาย รีบตบแก้มนาง
คนเรือนายหนึ่งทนดูไม่ไหว พูดหยั่งเชิงว่า “คุณชายท่านนี้ขอรับ คุณหนูท่านนี้น่าจะสำลักน้ำ ท่านต้องช่วยกดหน้าอกเพื่อไล่น้ำที่นางสำลักเข้าไปออกมาขอรับ”
หลิวเทาได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าทันที มองเขาด้วยใบหน้าดุดันเหมือนกับว่าคนเรือคนนี้เป็นคนโยนอวี้เอ๋อร์ลงไปอย่างไรอย่างนั้น “ต้องกดอย่างไร”
คนเรือตกใจกลัวจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทำท่าทางมือให้ดู “แบบนี้ขอรับ”
“เจ้ามาทำ!” หลิวเทาตกใจจนเสียสติไปแล้ว เขายังดูท่าทางของคนเรือไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แล้วสั่งเขา
เขาเหลือบมองร่างกายที่เผยสรีระหญิงสาวของหลิวอวี้เอ๋อร์แวบหนึ่ง คนเรือปฏิเสธ ชี้ไปที่สาวใช้สองสามคน “ข้าทำไม่เหมาะสมขอรับ ให้พวกนางช่วยเถอะขอรับ”
พูดจบก็หันหลังกลับ แล้วเดินกลับลงไปในห้องชั้นล่าง คนเรืออีกคนก็รีบตามลงไปเช่นกัน
หลิวเทาหันหลังกลับ ตะคอกใส่สาวใช้ด้วยความโมโหว่า “ยืนโง่อยู่ทำไมเล่า ยังไม่รีบช่วยอีก”
สาวใช้สองสามนางนั้นก็ยังไม่ทันเข้าใจท่าทางของคนเรือ แต่ก็รีบคุกเข่าลงอย่างลนลาน ทุบตีหลิวอวี้เอ๋อร์อย่างทุลักทุเล แล้วจู่ๆ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็สำลักน้ำออกมาสองสามอึก นางลืมตาขึ้น
“คุณหนูตื่นแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้สองสามคนดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า เรียกร้องอย่างดีใจ
หลิวเทาเดินขึ้นไป ผลักพวกนางออกไป มองหลิวอวี้เอ๋อร์ที่สีหน้าซีดเผือด แล้วถามขึ้นว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง”
หลิวอวี้เอ๋อร์ส่ายหน้าช้าๆ ยกมือตนเองขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วชี้ไปที่หน้าอกของตน “พี่ใหญ่ ตรงนี้อึดอัดจังเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้ารอก่อนนะ พี่จะพาเจ้ากลับจวนให้หมอมารักษาเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดจบ ก็โค้งตัวลงทำท่าจะอุ้มนางขึ้นมา แล้วเพิ่งพบว่านางเปียกชุ่มไปทั้งตัว จนเกือบจะเห็นเนื้อหนังบริเวณท้องของนาง
เขาหันหลังกลับ ตะโกนใส่สาวใช่นางหนึ่งว่า “ถอดเสื้อของเจ้าออกมาให้คุณหนูใส่ซะ”
หน้าร้อนนั้นอากาศร้อนมาก สาวใช้ทุกคนจึงใส่เสื้อนอกเพียงตัวเดียว หากถอดออก ก็จะเห็นเรือนร่างของพวกนาง หากทุกคนที่มุงดูอยู่เห็นกันหมด พวกนางคงอยากจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
สาวใช้ส่ายหน้าเดินถอยหลัง หลิวเทาโกรธจัด ลุกขึ้นยืน คว้าเสื้อของสาวใช้คนหนึ่งไว้ ออกแรงฉีกเสื้อของนาง ในขณะที่สาวใช้ต่างตกใจอยู่นั้น ก็ฉีกเสื้อนอกของนางจนขาด แล้วเดินหันหลังโดยไม่มองสาวใช้คนนั้นอีก จากนั้นก็นำเสื้อไปห่มร่างของหลิวอวี้เอ๋อร์ไว้ สั่งคนเรือด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ขึ้นฝั่ง!”
เรือแล่นอีกครั้ง
หลิวเทาจ้องฉู่เหยาที่โกรธอยู่เช่นกัน พูดเสียงเย็นชาว่า “รอก่อนเถอะ ถ้าอวี้เอ๋อร์เป็นอะไรไป จวนอู่โหวของเราและจวนอ๋องฉีของพวกเจ้าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้อีก”
หวงฝู่รุ่ยแสยะยิ้ม ตอบโต้กลับไปอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าก็รอก่อนเถอะ หากพี่รองข้าเป็นอะไร เราจะกำราบจวนอู่โหวของเจ้าแน่”
เพียงประโยคเดียวก็รู้ว่าใครอยู่เหนือกว่า
หลิวเทาพูดอะไรไม่ออก
เสียงรอบด้านพลันดังขึ้น ทุกคนเพิ่งรู้ว่าเหตุใดคนกล่มนี้จึงกล้าจับคนโยนลงทะเลสาบอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นคนในจวนอ๋องฉีนี่เอง
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 6 ป่วย
เรือสองลำจอดเทียบท่า หลิวเทาอุ้มหลิวอวี้เอ๋อร์เดินสาวเท้าลงจากเรือ บ่าวรับใช้ที่ตัวเปียกชุ่มเดินตามหลัง ส่วนสาวใช้ที่ถูกฉีกเสื้อผ้าจนขาดวิ่นก็ยกมือขึ้นบังหน้าอกตัวเองไว้ สาวใช้ที่เหลืออยู่ล้อมรอบนางช่วยบังนางไว้ พวกนางทั้งหมดเดินลงจากเรือไปเช่นกัน
หวงฝู่เย่าเย่ว์พอมีเรี่ยวแรงขึ้นบ้าง
หวงฝู่สือเมิ่งเดินขึ้นไปประคองนาง “น้องเล็ก เดินไหวไหม”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มปลอบใจ “พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
“เรากลับจวนกันเถอะ” ฉู่เหยาพูด
ทุกคนพยักหน้า
คนเรือที่อยู่ห้องชั้นล่างได้ยินเสียงพวกเขา ครั้นจะปริปากพูด นึกถึงสถานะของพวกเขาแล้วก็กลืนคำพูดลงไปอีกครั้ง เขาถอนหายใจอย่างไร้ความหวัง ช่างเถอะ อย่ามีเรื่องกับคนของจวนอ๋องดีกว่า ดีที่มีเงินสิบตำลึงนั้น เรือลำนี้ชนจนเสียหายยังพอเอาไปซ่อมกลับมาใช้ได้
เสียงของหวงฝู่รุ่ยดังขึ้นเหนือศีรษะเขา “ใครเป็นผู้ดูแล เดี๋ยวไปรับเงินที่จวนอ๋องได้เลย”
คนกำกับหัวเรือได้ยินชัดเจนแล้วก็ดีใจมาก พูดขอบคุณไม่หยุดปาก
“ไม่ต้องหรอก เราทำให้เรือเจ้าเสียหาย ก็ต้องชดใช้ให้เจ้าอยู่แล้ว” เสียงของหวงฝู่รุ่ยไม่ได้ดังมาก แต่ทุกคนได้ยินกันหมด
คนเรือที่อยู่บนเรืออีกลำได้ยินคำพูดของเขา หันกลับมามองเรือที่ถูกชนจนเสียหายของตนเอง เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ
หลังจากลงจากเรือ บ่าวรับใช้ที่นั่งพักอยู่ในที่ร่มก็รีบนำรถม้ามา หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่รุ่ยขึ้นรถม้าไป ส่วนหวงฝู่เทาและฉู่เหยาขี่ม้ากลับจวนไป
ทุกคนเดินตรงไปที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว
ออกไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็กลับมาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขา ในใจพลันกังวล เดินออกไปรับ เมื่อเดินถึงประตู ก็ได้ยินเสียงตกใจของชิงหลวนร้องขึ้นว่า “ท่านหญิงน้อย เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านออกทันที เห็นใบหน้าซีดเผือดและลำตัวที่เปียกโชกของหวงฝู่เย่าเย่ว์ ก็รู้ทันทีว่านางตกน้ำมา รีบถามอย่างร้อนรนว่า “สำลักน้ำหรอไม่”
“น้องสำลักน้ำไปเยอะเลยเจ้าค่ะ โชคดีที่แม่สอนวิธีช่วยไว้” หวงฝู่สือเมิ่งตอบด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
“ประคองนางขึ้นไปนอนบนเตียง!”
ทุกคนพยุงนางไป หวงฝู่เย่าเย่ว์นอนลงบนเตียงอย่างว่าง่าย ยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไร ท่านอย่ากังวลเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง จับมือนางขึ้นมาแล้วแตะนิ้วลงไปบนชีพจรของนาง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ลุกขึ้นยืน เดินไปที่โต๊ะตัวเล็กที่อยู่ข้างตั่ง หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนรายการยาลงไป จากนั้นก็เรียกชิงหลวนเข้ามา “เจ้ารีบไปซื้อยาตามรายการนี้มา”
ชิงหลวนขานรับ ถือรายการยานั้นไว้แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งนิ่งบนตั่ง กวาดตามองพวกเขา ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
หวงฝู่สือเมิ่งเม้มปาก เล่าเรื่องตั้งแต่แรกให้นางฟัง
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวคร่ำเครียดเล็กน้อย นางลุกขึ้นแล้วเปิด**บออก หยิบเสื้อตัวหนึ่งของหวงฝู่อี้เซวียนยื่นให้ฉู่เหยา “เหยาเอ๋อร์ เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องรุ่ยเอ๋อร์เสีย เฮ่าเอ๋อร์ เจ้าก็กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เย่ว์เอ๋อร์ไม่เป็นอะไร ให้นางพักผ่อนแล้วจะดีขึ้นเองนะ”
ทั้งสามขานรับแล้วเดินออกไป
หวงฝู่สือเมิ่งมองสีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว เรียกด้วยความระมัดระวัง “ท่านแม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือมาลูบศีรษะนาง ถามเสียงอ่อนโยนว่า “ตกใจแย่เลยสินะ”
ดวงตาหวงฝู่สือเมิ่งแดงก่ำขึ้นมาทันที โผเข้าไปในอกของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกอดนางไว้แน่น ลำตัวน้อยๆ ของนางสั่นเทาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่
ดวงตาหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็แดงก่ำ วินาทีที่นางตกลงไปในน้ำ นางรู้สึกหวาดกลัวมากจริงๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวเอื้อมมือไปกอดหวงฝู่สือเมิ่งไว้แน่น ลูบศีรษะนางแล้วปลอบประโลมนางอย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าทำได้ดีมากเลย เจออุบัติเหตุแล้วไม่ตื่นตระหนกตกใจ เย่ว์เอ๋อร์ไม่เป็นอะไร ทานยาสักหน่อยก็ดีแล้วล่ะ”
หวงฝู่สือเมิ่งมุดศีรษะลงไปในอกของนาง พยักหน้าเบาๆ น้ำตารินไหลจนหยดลงไปบนเสื้อผ้าของเมิ่งเชี่ยนโยว และแผดเผาใจของนาง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็พูดสะอึกสะอื้นขึ้นว่า “ท่านแม่” แล้วยื่นมือไปหานาง
หวงฝู่สือเมิ่งเช็ดน้ำตา ผละออกจากนาง “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านไปดูน้องเถอะ วันนี้นางตกใจแย่”
เมิ่งเชี่ยนโยวโอบนางเดินมาข้างเตียง ยิ้มพลางลูบศีรษะนางเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน “เย่ว์เอ๋อร์ของเรากล้าหาญที่สุดเลย ใช่ไหมล่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า ตอบ “อืม” เบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยนางเช็ดน้ำตา แล้วพูดเสียงอ่อนโยนกับหวงฝู่สือเมิ่งว่า “เมิ่งเอ๋อร์ ไปเอาเสื้อผ้าให้เย่ว์เอ่อร์หน่อย เราช่วยเปลี่ยนเสื้อให้นางกันเถอะ”
หวงฝู่สือเมิ่งขานรับ หันหลังเดินออกไป ม่านยังไม่ทันถูกเปิด เสียงของเจียงจิ่นก็ดังขึ้นจากในลานบ้าน “พี่สะใภ้ใหญ่ เย่ว์เอ๋อร์ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ”
พูดจบ ก็เดินถึงประตูพอดี
“ท่านอาสะใภ้” หวงฝู่สือเมิ่งเปิดม่านขึ้น แล้วขานเรียก
เจียงจิ่นคว้ามือนางไว้ กวาดตามองนางรอบหนึ่งแล้วถามอย่างห่วงใยว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หวงฝู่สือเมิ่งตอบ “เย่ว์เอ๋อร์ตกน้ำเจ้าค่ะ”
“เจ้าคนสารเลวจวนอู่โหว ไม่รู้ว่าสั่งสอนลูกหลานอย่างไรกัน อายุน้อยขนาดนี้ก็เลวทรามถึงเพียงนี้แล้ว” เจียงจิ่นผู้ซึ่งแต่งเข้าจวนอ๋องมาสิบกว่าปีและไม่เคยด่าใครสักครั้ง บัดนี้กำลังก่นด่าด้วยความโมโห
“ท่านอาสะใภ้เข้าไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาเสื้อให้เย่ว์เอ๋อร์เปลี่ยน”
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวเย่ว์เอ๋อร์จะไม่สบายเอา”
หวงฝู่สือเมิ่งไปห้องของตนเอง
เจียงจิ่นเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำ และความไร้เรี่ยวแรงของหวงฝู่เย่าเย่ว์ ดวงตานางก็แดงขึ้นมาทันที นางโค้งตัวลง ลูบศีรษะและปลอบนาง “เย่ว์เอ๋อร์ไม่กลัวนะ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“ท่านอาสะใภ้” หวงฝู่เย่าเย่ว์ขานเรียก
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พักผ่อนเถอะนะ” น้ำเสียงเจียงจิ่นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย
เจียงจิ่นไปห้องครัวเล็ก รินน้ำอุ่นมา หลังจากช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวประคองหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นมาแล้ว ก็ถอดเสื้อของนางออก เช็ดตัวให้นางจนแห้งและสะอาดแล้วก็ใส่เสื้อที่หวงฝู่สือเมิ่งเอามาให้ แล้วประคองนางลงนอนอีกครั้ง พูดขึ้นว่า “หลับตานอนสักตื่นเถอะ ตื่นขึ้นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หลับตาลงอย่างว่าง่าย
เจียงจิ่นยกกระโถนน้ำขึ้นมา สาดน้ำออกไปข้างนอก เมื่อเห็นชิงหลวนซื้อยากลับมา ก็รับไว้แล้วไปตุ๋นยาที่ห้องครัวเล็ก
ในห้อง
“เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หวงฝู่สือเมิ่งส่ายหน้า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ข้าเฝ้าเย่ว์เอ๋อร์ได้เจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าความกลัวในใจของนางยังไม่หายไป จึงหันหลังกลับแล้วยกโต๊ะบนตั่งลงมา โบกมือเรียกหวงฝู่สือเมิ่ง “มานี่สิ แม่เฝ้าพวกเจ้าเอง”
หวงฝู่สือเมิ่งเดินไปหา ถอดรองเท้า แล้วนอนลงบนตั่ง ดวงตาจ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยวไม่กะพริบ
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงช้างๆ นาง ตบตัวนางเบาๆ “หลับตานอนสักหน่อยเถอะนะ แม่จะอยู่นี่เอง”
หวงฝู่สือเมิ่งจึงหลับตาลง
หลังจากเจียงจิ่นตุ๋นยาเสร็จและปล่อยให้ยาเย็นลงแล้ว ก็ยกเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ต่อหน้า ดวงตาก็แดงก่ำ จนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา ลูกน้อยสองคนนี้ถูกเลี้ยงดูอย่างดีตั้งแต่เล็ก เคยเจอเหตุการณ์น่าตกใจเช่นนี้เสียเมื่อไหร่กัน
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเรียบ ส่งสัญญาณให้เจียงจิ่นวางยาบนโต๊ะ
เสียงของพ่อบ้านดังขึ้นจากข้างนอก “ชิงหลวน ซื่อจื่อเฟยอยู่ไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินออกไป หยุดยืนหน้าประตูแล้วถามเสียงเบาว่า “มีธุระอะไรหรือ”
พ่อบ้านตอบอย่างนอบน้อม “มีคนเรือคนหนึ่งมาขอเงินขอรับ บอกว่าวันนี้พวกท่านหญิงน้อยออกไปล่องทะเลสาบ เรือชนจนเสียหาย คุณชายสัญญาไว้ว่าจะชดใช้ขอรับ”
“จะเอาเท่าไหร่ก็ให้ไปเท่านั้น”
พ่อบ้านขานรับ หันหลังเดินออกไป”
ฉู่เหยาและหวงฝู่เฮ่าอาบน้ำเสร็จเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาหา เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วชี้ขึ้นมา จุ๊ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขาเบาเสียง “เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์หลับไปแล้ว พวกเจ้าก็ไปพักเถอะ รออาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ข้าจะส่งคนไปเรียกพวกเจ้า”
ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา ขานรับเบาๆ แล้วถอยกลับออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้องตัวเองไป
เจียงจิ่นเฝ้าอยู่ข้างๆ หวงฝู่เย่าเย่ว์ สีหน้าเจ็บปวดใจ
อ่องฉีและพระชายาฉีไปเข้าเฝ้าเหล่าไทเฮา เหล่าไทเฮาให้พวกเขาอยู่เสวยพระกระยาหาร เมื่อคิดได้ว่าเด็กๆ ที่ออกไปเที่ยวเล่นไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ อีกอย่างไม่ได้เสวยพระกระยาหารกับเหล่าไทเฮานานแล้ว จึงไม่ได้ปฏิเสธ และตอบตกลง พวกเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในจวน
หลังจากที่เสวยพระกระยาหารและสนทนากับนางครู่หนึ่งแล้ว ก็เห็นสีหน้าเหนื่อยเพลียของนาง พวกเขาจึงลุกขึ้นกล่าวลา และกลับจวนอ๋องไป
เมื่อลงจากรถม้า อ๋องฉีก็ถามนายประตูว่า “เมิ่งเอ๋อร์พวกนางกลับมาหรือยัง”
“ท่านหญิงน้อยกลับมาตั้งแต่ท่านออกไปไม่นานขอรับ เหมือนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นด้วยขอรับ” นายประตูตอบอย่างนอบน้อม
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง แล้วรีบเดินเข้าไปในจวนทันที เมื่อเดินมาถึงเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็เห็นชิงหลวนเดินวนไปมาอยู่หน้าประตู
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” อ๋องฉีถาม
ชิงหลวนร้อนรนจนลืมคารวะ ตอบว่า “ท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์เป็นไข้เจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” พระชายาฉีรีบถามขึ้น แล้วก็เดินถึงหน้าประตูพอดี
“แม้เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์จะคลอดก่อนกำหนด แต่เราก็เลี้ยงดูอย่างดีมาแต่เล็ก พวกนางจึงไม่ค่อยล้มป่วย เหตุใดครั้งนี้แค่ออกไปล่องทะเลสาบหน่อยเดียว กลับมาก็ป่วยเสียแล้ว”
ชิงหลวนในจร้อนจนกระทืบเท้าทีหนึ่ง พูดว่า “ก็จวนอู่โหวน่ะ…”
“ชิงหลวน…”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงของนางพูดขัดขึ้น
ชิงหลวนไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ก็ร้อนใจจนกระทืบเท้าไปอีกสองสามที
พระชายาฉีเดินเข้าไปในห้องด้วยความกังวล
อ๋องฉีกลับได้ยินสิ่งผิดปกติ หรี่ตาลงแล้วเดินตามเข้าไปในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวและเจียงจิ่นอยู่ข้างเตียง หวงฝู่สือเมิ่ง ฉู่เหยา หวงฝู่เฮ่า และหวงฝู่รุ่ยยืนอยู่อีกด้านด้วยความเป็นห่วง
บนเตียง หวงฝู่เย่าเย่ว์หลับตาแน่น ใบหน้าแดงก่ำ ห่มผ้าห่มสองชั้น เนื้อตัวสั่นระริกไปทั้งตัว
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวและเจียงจิ่นขานเรียก
ลูกๆ ก็ขานเรียกตาม
พระชายาฉีและอ๋องฉีเดินไปข้างเตียงราวกับไม่ได้ยินคำขานเรียก เมื่อเห็นสภาพของหวงฝู่เย่าเย่ว์ พระชายาฉีก็แทบจะร้องไห้ นางยื่นมือออกไป ลูบหน้าผากของหวงฝู่เย่าเย่ว์ ถามอย่างร้อนรนว่า “ทำไมร้อนอย่างนี้ ทานยาหรือยัง”
“ทานแล้วเจ้าค่ะ รอเหงื่อออกก็ดีขึ้นแล้ว เสด็จพ่อ เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ออกไปล่องทะเลสาบอยู่ดีๆ ทำไมกลับมาตัวร้อนได้ล่ะ” พระชายาฉีถาม
ในห้องไม่มีใครพูด
“เฮ่าเอ๋อร์ ว่ามา” อ๋องฉีปริปาก น้ำเสียงปะปนด้วยความโมโห
หวงฝู่เฮ่ามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว ไม่กล้าพูดอะไร
“ในจวนอ๋องข้าก็ยังเป็นคนตัดสินใจอยู่ดี ทำไมรึ คำพูดของข้าไม่มีอำนาจแล้วหรือ” อ๋องฉีพูดด้วยน้ำเสียงโมโหกว่าเดิม จนทำให้ฉู่เหยาสั่นสะท้านด้วยความเกรงกลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เสด็จพ่อ เรื่องนี้พูดไม่จบง่ายๆ รอเย่ว์เอ่อร์ไข้ลดแล้ว ข้าค่อยเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียดเลยได้ไหมเจ้าคะ”
อ๋องฉีเก็บความโกรธ นั่งลงบนเก้าอี้ด้านหนึ่ง
พระชายาฉีกลับนั่งลงข้างๆ หวงฝู่เย่าเย่ว์ ยื่นมือไปแตะหน้าผากนางเป็นพักๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ใบหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ซึมไปด้วยเหงื่อ พระชายาฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาแล้วเช็ดหน้าผากให้นางเบาๆ
เหงื่อยิ่งออกยิ่งเยอะ ร่างกายของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เริ่มกระสับกระส่ายไปมา พยายามเปิดผ้าห่มที่คลุมตัวเองอยู่ออกไป
พระชายาฉีสงสารจับใจ เช็ดเหงื่อให้นางพลาง ปลอบนางพลาง “เย่ว์เอ๋อร์ เชื่อฟังนะ อย่าเปิดผ้าห่ม เหงื่อออกเยอะแล้วเจ้าก็จะหายแล้วล่ะ”
เหมือนว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะไม่ได้ยิน นางยิ่งกระสับกระส่ายหนักกว่าเดิม
พระชายาฉีสงสารมากจริงๆ จึงยื่นมือไปนำผ้าห่มชั้นหนึ่งออก
เมิ่งเชี่ยนโยวปริปากจะพูดอะไร แต่คำพูดห้ามปรามเหล่านั้นก็กลืนกลับลงไปอีกครั้ง
หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกสบายตัวขึ้น จึงกลับมานิ่งชั่วคราว แต่หน้าผากนางกลับมีเหงื่อออกมากขึ้นกว่าเดิม
เจียงจิ่นเดินไปข้างกระโถนล้างหน้า ชุบผ้าเปียกแล้วบิดให้แห้ง จากนั้นก็ยื่นให้พระชายาฉี
พระชายาฉีรับมา แล้วเช็ดให้หวงฝู่เย่าเย่ว์เบาๆ
หวงฝู่เย่าเย่ว์สัมผัสถึงความเย็นสดชื่น ก็หายใจออกอย่างสบายใจ ความทรมานบนใบหน้าก็ลดลงไปมาก
เป็นเช่นนี้ซ้ำอยู่หลายครั้ง สีแดงก่ำบนใบหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลดลง ขนตากระตุกเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น นางมองไปที่ทุกคนด้วยสายตางงงวย ถามขึ้นว่า “นี่ข้าอยู่ที่ไหนกัน”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 7 ตัวต่อตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวมีสีหน้าคร่ำเครียด เดินขึ้นไปข้างหน้า จ้องที่ไปตาของหวงฝู่เย่าเย่ว์ ถามขึ้นว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ข้าคือใคร”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กะพริบตาสองสามที เมื่อได้สติขึ้นก็เรียก “ท่านแม่”
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่ผ่อนคลายลง ถามต่อว่า “ยังจำได้ไหมว่าวันนี้เจ้าไปทำอะไรมา”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ได้หลบสายตา มองไปที่นางแล้วตอบอย่างไม่ลังเลว่า “จำได้เจ้าค่ะ ข้าไปล่องทะเลสาบแล้วตกน้ำ แต่ท่านแม่เจ้าคะ ข้าเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมดเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องนางไม่พูดอะไร
ทุกคนในห้องสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดรอบตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว คิดว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นอะไรไป ทุกคนจึงเฝ้ามองนางด้วยความกังวล
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็รู้สึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวดูผิดปกติไป นางจึงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบนาง และยิงคำถามใส่นางอีกครั้ง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบได้ทันทีอย่างไม่ลังเล
ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ความหวาดกลัวในใจเมื่อครู่นี้ก็หายไป แล้วบรรยากาศก็กลับมาอบอุ่นเป็นปกติอีกครั้ง นางเผยรอยยิ้มปลอบโยน “เจ้าตกน้ำจนขวัญหาย มีไข้ขึ้นสูง แม่และอาสะใภ้ของเจ้าป้อนยาให้เจ้ากินแล้วล่ะ เจ้าไม่ต้องกลัวนะ อีกประเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
สีหน้าหวาดกลัวของหวงฝู่เย่าเย่ว์หายไป ทุกคนที่กังวลอยู่ก็กลับมาเป็นปกติ
พระชายาฉีนำผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากนางอย่างเบามือ สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยและความสงสาร “เย่ว์เอ๋อร์ มีตรงไหนไม่สบายอีกหรือเปล่า บอกแม่เจ้านะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ แค่รู้สึกร้อนไปหน่อย”
“ร้อนน่ะดีแล้ว นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังจะหายดีแล้ว เจ้ารู้ไหมสภาพเมื่อครู่นี้ของเจ้าทำเอาย่าตกใจแทบแย่”
สีหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์เผยความละอายใจ “เย่ว์เอ๋อร์ผิดเองที่ทำให้ท่านย่าเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
“เจ้าเด็กโง่ พูดอะไรเช่นนี้กับย่าเล่า เอาเถอะ พอได้แล้ว หลับตานอนพักผ่อนเสียหน่อยนะ”
“ข้าหิวน้ำจังเลย ข้าอยากดื่มน้ำเจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดเสียงทุ้มต่ำ
หวงฝู่สือเมิ่งรีบไปรินน้ำให้ทันทีและเดินไปที่ข้างเตียง
พระชายาฉีประคองหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นมา ยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำไว้ แล้วยื่นไปข้างหน้าปากนาง ค่อยๆ ป้อนให้นางดื่มลงไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ดื่มน้ำจนหมดแก้ว หายใจออกยาวๆ อย่างสบายใจ พูดขึ้นว่า “สดชื่นจังเลย”
พระชายาฉีหลุดหัวเราะ ประคองนางกลับไปลงนอน แล้วห่มผ้าห่มให้นาง พร้อมเหน็บมุมผ้าห่มเข้าไป ยิ้มพลางพูดกำชับว่า “นอนต่ออีกหน่อยนะ”
วันที่อากาศร้อนเช่นนี้ แม้จะห่มแค่ผ้าบางๆ ก็รู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว หวงฝู่เย่าเย่ว์ยื่นมือออกไป จับมือพระชายาฉีไว้ อ้อนนางว่า “ท่านย่าเจ้าคะ ข้าไม่ห่มผ้าห่มได้ไหมเจ้าคะ”
ครั้งนี้พระชายาฉีไม่ได้ปล่อยตามใจนาง ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ได้”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หน้าหงอยทันที มองพระชายาฉีด้วยสายตาอ้อนวอน
พระชายาฉีไม่ยอม ส่ายหน้าอีกครั้ง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ทำอะไรไม่ได้ จึงนอนห่มผ้าห่มมิดชิด แล้วหลับตาลง
“พวกเจ้าไปเรือนรับรองกับข้า” เมื่อเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เป็นไรแล้ว อ๋องฉีจึงลุกขึ้นยืน สั่งฉู่เหยาและคนอื่นๆ ตามไป
พูดจบ ก็เดินนำออกจากห้องไปที่เรือนรับรองทันที
ฉู่เหยาและคนอื่นๆ ทั้งสี่คนมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจเบาๆ พูดกับพระชายาฉีว่า “เสด็จแม่ ท่านช่วยดูเย่ว์เอ๋อร์สักครู่นะเจ้าคะ ข้าจะไปเรือนรับรองกับเด็กๆ ”
“ไปเถอะ” พระชายาฉีโบกมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินนำข้างหน้า ที่เหลือสี่คนเดินตามหลังออกจากห้องไป จนมาถึงเรือนรับรอง
อ๋องฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานในห้องเรือนรับรองแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา ก็เอ่ยปากถามด้วยเสียงเย็นชาและทุ้มต่ำว่า “เล่ามาซิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ห้ามปิดบังแม้แต่นิดเดียว”
ฉู่เหยามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ฉู่เหยาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามจริงตั้งแต่ต้นจนจบอย่างไม่ปิดบัง
ตอนที่ได้ยินว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์ตกน้ำ ฉู่เหยาและหวงฝูเฮ่ายังหานางไม่เจอ อ๋องฉีก็กำหมัดแน่น อยากจะบีบคอคนสารเลวคนนั้นให้ตายคามือ เมื่อฟังจนจบและรู้ว่าเป็นหลิวอวี้เอ๋อร์และหลิวเทาแห่งจวนอู่โหว ก็ตบโต๊ะลุกพรวดทันที “บ้าบิ่นสิ้นดี กล้าดีเยี่ยงไรมาคิดสังหารหลานสาวข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้อยู่แล้วว่าอ๋องฉีต้องโกรธ จึงตามมาด้วย เมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดไกล่เกลี่ย “เสด็จพ่อ อาจจะเป็นเพราะเด็กสองคนนั้นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเย่ว์เอ่อร์…”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว” หลายปีมานี้ แม้เมื่อก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เข้าตาอ๋องฉีเพียงใด แม้อ๋องฉีจะคัดค้านงานแต่งงานของนางและหวงฝู่อี้เซวียนอย่างไร ก็ไม่เคยดุด่ารุนแรงเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่อ๋องฉีดุนาง “เจ้าคุณชายจวนอู่โหวอายุเท่าไหร่แล้ว เขาจะแยกแยะไม่ออกหรือ ที่เขาทำเช่นนี้มีเจตนาจะฆ่าเย่ว์เอ๋อร์ชัดๆ”
เมื่อโดนดุว่า เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชะงักไปเช่นกัน
อ๋องฉีกวาดตามองทุกคนในห้อง แล้วเดินจ้ำอ้าวออกไป
“เสด็จพ่อ ท่านจะไปไหนเจ้าคะ”
“ไปคิดบัญชีกับอู่โหว อยากจะถามเขาหน่อยว่าสั่งสอนลูกหลานอย่างไร หากเขาสั่งสอนไม่เป็น ข้าจะได้ช่วยเสียหน่อย” อ๋องฉีพูดไปด้วยความโกรธ พูดจบก็เดินถึงนอกเรือนรับรองพอดี
“ท่านลุง ข้าขอไปกับท่านนะขอรับ” ฉู่เหยาพูดขึ้น เดินตามออกไป
“ข้าไปด้วย!” หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เฮ่า และหวงฝู่รุ่ยพูดขึ้นพร้อมกัน และเดินตามออกไป
เสียงของอ๋องฉีดังขึ้นจากที่ไกลๆ “พวกเจ้าไม่ต้องตามมา ข้าคนเดียวจัดการจวนอู่โหวได้”
“เหยาเอ๋อร์ พวกเจ้าตามไป ข้าจะส่งคนไปส่งข่าวให้พี่ใหญ่เจ้า ให้เขาไปช่วยพวกเจ้า” เมื่อเห็นว่าห้ามไว้ไม่อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้แต่กำชับพวกเขา
ทุกคนขานรับและรีบตามไป
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบกลับห้องของตนเอง สั่งชิงหลวนให้ไปหาหวงฝู่อี้เซวียน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง และบอกให้เขารีบไปจวนอู่โหว
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังปรึกษาและพูดคุยเรื่องการละเมิดพรมแดนกับหวงฝู่ซวิ่นในวัง ได้ยินคนมารายงานบอกว่ามีคนใช้ในจวนมาหา
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว สั่งคนวัง “ให้นางเข้ามา”
พูดจบก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องทรงพระอักษร และยืนรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าชิงหลวนเดินตามคนวังเข้ามา ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อชิงหลวนเดินมาใกล้ ก็ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ชิงหลวนมองซ้ายมองขวา เดินขึ้นหน้า เข้าใกล้หวงฝู่อี้เซวียน พูดเสียงเบาว่า “คุณหนูและคุณชายจวนอู่โหวถือโอกาสตอนล่องทะเลสาบ สั่งให้คนชนเรือทำให้ท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์ตกลงในทะเลสาบ จนนางเกือบไม่รอดชีวิต อ๋องฉีได้ยินดังนั้นก็โมโห ลุยไปจวนอู่โหวคนเดียว ซื่อจื่อเฟยกลัวอ๋องฉีจะถูกเอารัดเอาเปรียบ จึงให้ท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์ คุณชายเหยาเอ๋อร์ ท่านหญิงเฮ่า และท่านหญิงรุ่ยตามไป และสั่งให้ข้ามาบอกท่าน ให้ท่านก็รีบตามไปเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นท่านอ๋องจะเสียเปรียบเอาเจ้าค่ะ”
แค่ประโยคเดียวที่ว่า “จนนางเกือบจะไม่รอดชีวิต” สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนก็คร่ำเครียดทันที เขาสะกดอารมณ์อยากจะฆ่าคนไว้ ถามว่า “เย่ว์เอ๋อร์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ไข้สูงตลอดเลยเจ้าค่ะ ตอนที่ข้ามาเพิ่งจะดีขึ้น”
“เจ้ากลับไปบอกโยวเอ่อร์ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ บอกให้นางไม่ต้องเป็นห่วง”
ชิงหลวนขานรับ หันหลังเดินออกจากวังไป
หวงฝู่อี้เซวียนกลับเข้าไปในห้องทรงพระอักษร พูดกับหวงฝู่ซวิ่นว่า “เย่ว์เอ๋อร์ไม่ค่อยสบาย ข้ากลับจวนก่อน เรื่องพรมแดนเราค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้”
“เย่ว์เอ๋อร์ไม่สบาย ข้าส่งหมอหลวงไปดูให้ได้” เมื่อฟังเขาพูดจบ หวงฝู่ซวิ่นก็พูดด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็นไร โยวเอ๋อร์ให้นางทานยาแล้ว ข้าแค่จะกลับไปดู”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไป
ก็แค่เด็กไม่สบาย สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนคงไม่คร่ำเครียดเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นรู้จักเขามานาน ย่อมรู้จักนิสัยของเขาดี เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เรียกขันทีผู้ดูแลวัง “ไปสืบมาหน่อยว่าวันนี้จวนอ๋องเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกจากวังด้วยความรวดเร็ว มองชุดราชสำนักที่ตนสวมอยู่ ก็ขึ้นไปเปลี่ยนเป็นเสื้อลำลองบนรถม้า สั่งโจวอันด้วยเสียงเคร่งเครียดว่า “ส่งคนไปให้ข่าวคุณชายบ้านตระกูลเมิ่ง บอกให้พวกเขารีบไปจวนอู่โหว”
อ๋องฉีนำหน้าไปจนถึงหน้าประตูจวนอู่โหวด้วยความกริ้วโกรธ เขาลงจากรถม้า ยืนอยู่หน้าประตูด้วยรังสีแห่งความเป็นปรปักต์ที่แผ่ซ่านไปทั้งตัว
เมื่อนายประตูของจวนอู่โหวเห็นว่าเป็นอ๋องฉี ก็ตกใจจนขาอ่อน รีบเดินขึ้นไปต้อนรับ คารวะอย่างนอบโม ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านมา…”
“ให้เจ้าหลิวยงไสหัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” เขายังไม่ทันพูดจบ อ๋องฉีก็พูดขัดขึ้นด้วยเสียงดุดัน แม้จะเป็นฤดูร้อนที่แสนจะอบอ้าว แต่เสียงเย็นยะเยือกนั้นก็ทำเอานายประตูสะดุ้งโหยงไปทีหนึ่ง เขาไม่กล้าชักช้า รีบหันหลังกลับวิ่งเซไปมาเข้าไปในจวน
ในจวนอู่โหวก็วุ่นวายไปหมด หลังจากที่หลิวอวี้เอ๋อร์กลับมา ก็สลบไปทันที เชิญหมอหลวงมารักษาอยู่นาน นางก็ยังนอนแน่นิ่งไม่ขยับ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย
นายท่านอู่โหวร้อนใจจนไม่อยู่นิ่งกับที่ นายน้อยอู่โหวร้อนรนจนยืนด่าคนหน้าเรือน ฮูหยินอู่โหวก็ตกใจจนเอาแต่เช็ดน้ำตา เมื่อได้ยินนายประตูมารายงาน นายท่านอู่โหวก็เดือดพล่าน หาที่ระบายได้เสียที เขาเดินออกไปทันทีด้วยความโมโห นายน้อยอู่โหวก็พาคนอื่นตามหลังไป
เมื่อออกจากประตู เห็นว่าอ๋องฉีมาตัวคนเดียว ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็โมโหกว่าเดิม เจ้าหวงฝู่จิ้งไม่เห็นจวนอู่โหวในสายตาเลยหรืออย่างไร กล้าดีอย่างไรมาหาเรื่องด้วยตัวคนเดียว ถ้าวันนี้ไม่สู้จนเขาฟันร่วงหมดปาก ชื่อข้าหลิวยงจะเขียนกลับหลัง
อู่โหวยืนหน้าประตูชี้ไปที่อ๋องฉี ชิงพูดข่มขู่ก่อนว่า “หวงฝู่จิ้ง ข้ายังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับเจ้า เจ้ากลับมาหาข้าเองเสียก่อนแล้ว จงรู้ไว้ว่าวันนี้เจ้าเข้ามาแล้วออกไม่ได้อีกเลย”
“เยี่ยงเจ้า?” อ๋องฉีมองเขาอย่างเหยียดหยามและถามขึ้นอย่างไม่แยแส
สายตาคู่นั้น ท่าทางแบบนั้น น้ำเสียงแบบนั้น ยิ่งทำให้อู่โหวรู้สึกถึงการถูกเหยียดหยาม เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โมโหถึงขีดสุด หน้าวูบไปทีหนึ่งจนเกือบจะสลบไป มือที่ชี้อ๋องฉีอยู่ก็สั่นระริก “หวงฝู่จิ้ง เจ้าอย่ารังแกคนให้มากไปหน่อยเลย”
อ๋องฉีกวาดมองคนในจวนอู่โหว แสยะยิ้มถากถาง ถามเนิบช้าอย่างไม่ใส่ใจว่า “จะหมาหมู่ หรือตัวต่อตัวล่ะ”
“เจ้า…” นายท่านอู่โหวโกรธจนชี้นิ้วไปที่เขาด้วยอาการสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คำรามว่า “ข้าจะสู้ตัวต่อตัวกับเจ้า”
“ท่านปู่” “ท่านพ่อ” เสียงเรียกดังขึ้นทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและไม่เห็นด้วย
อู่โหวโบกมือ ห้ามคำพูดของทุกคนไว้ “ไม่ต้องห่วง แม้หวงฝู่จิ้งนำทัพทหารบุกเข้าวัง ช่วยฮ่องเต้และไทเฮาไว้ ข้าหลิวยงก็ไม่น้อยหน้าหรอก ด้วยความสามารถของตนเอง ข้าอยากจะรู้เหลือเกิน ว่าวันนี้ใครจะล้มลงก่อน”
อู่โหวอารมณ์ฉุนเฉียว สิ่งที่พูดนั้นหนักแน่นและน่าเกรงขาม เมื่อพูดสิ่งใดไปแล้วย่อมไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน ทุกคนจึงนิ่งเงียบ
อู่โหวเดินขึ้นหน้า แสดงฝีไม้ลายมือ กวักมือเรียกอ๋องชี “เข้ามาสิ หวงฝู่จิ้ง วันนี้ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเจ้าเก่งขนาดไหนกันเชียว”
อ๋องฉียืนนิ่งไม่ขยับ ถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า “ก่อนเราจะประลองกัน ควรตั้งกฎก่อนไหม”
อู่โหวยังค้างท่าเดิมไว้ ยิ้มมุมปากทีหนึ่ง ถามว่า “หวงฝู่จิ้ง เรื่องถึงบัดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวน่ะ”
“กลัวรึ ข้าหวงฝู่จิ้งไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด ข้าแค่ไม่อยากให้ฮ่องเต้ต้องเดือดร้อน”
อู่โหวขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัยว่า “เรื่องของเราเกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้รึ”
อ๋องฉีจ้องตาเขา พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยและประชดประชันอย่างราบเรียบว่า “หากช้าทำให้เจ้าแพ้ แล้วเจ้าวิ่งไปร้องโวยวายต่อหน้าฮ่องเต้ข้าจะทำอย่างไรล่ะ คนจวนอู่โหวถนัดเรื่องเช่นนี้นักมิใช่รึ”
นี่มันตบหน้ากันชัดๆ อู่โหวโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา อารมณ์เดือดพล่านทันที พุ่งไปข้างหน้าอ๋องฉี เงื้อมมือต่อยออกไปหนึ่งหมัดอย่างเกรี้ยวกราด
อ๋องฉีขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็หลบได้อย่างสบาย
ท่าแรกไม่โดน อู่โหวก็แสดงกระบวนท่าอีกสองสามท่า ทุกกระบวนท่าพุ่งไปที่จุดสำคัญของอ๋องฉี
อ๋องฉีเก็บท่าทางดูถูก ตั้งใจสู้อย่างจริงจังขึ้นมา
เมื่อฉู่เหยาและคนอื่นๆ มาถึง ก็เห็นภาพที่ อู่โหวและอ๋องฉีต่อสู้กันอยู่หน้าประตูจวนอู่โหว
ทั้งสองต่างมีความอาฆาตแค้นในใจ จึงต่อสู้กันอย่างไม่อ่อนข้อ ราวกับอยากจะสู้จนกว่าอีกฝั่งจะตาย
ฉู่เหยาและคนอื่นๆ ลงจากม้า โยนบังเ**ยนม้าลง หวังจะเข้าไปช่วย
เสียงหอบเล็กน้อยของอ๋องฉีดังขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา วันนี้ข้าจะสู้จนไอ้เฒ่าไม่รู้ที่ต่ำที่สูงนี่เสีย”
ในขณะที่เขาพูด ก็เสียสมาธิไปเล็กน้อย อู่โหวถือโอกาสเล็งไปที่อ๋องฉี แล้วปล่อยหมัดพุ่งตรงไปที่หน้าเขา
อ๋องฉีเคลื่อนไหวช้าไปเล็กน้อย จึงหลบไม่ทัน
เสียง ตุบ ดังขึ้น หมัดของอู่โหวโดนเข้าที่หน้าของเขาอย่างจัง
อ๋องฉีวูบไปเล็กน้อย แล้วก็กระอักเลือดออกมา
“ท่านปู่!”
“เสด็จปู่!”
“ท่านลุงเขย!”
เสียงตกใจหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 8 หมาหมู่
ฮ่าฮ่าฮ่า นายท่านอู่โหวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วลำตัวก็เข้าประชิด โจมตีไปอย่างไม่ยั้ง
อ๋องฉีสายตาพร่ามัว แม้จะพยายามหลบหลีก แต่ก็ยังโดนเข้าหลายที
“ท่านลุงเขย!” ฉู่เหยากระโดดไปหาอย่างทนไม่ได้อีก หวังจะเข้าช่วยเหลือ ทันใดนั้นก็มีเงาคนกระโดดออกมากันเขาไว้จากหน้าประตูจวนอู่โหว
“เหยาเอ๋อร์ ถอยไป!” อ๋องฉีถูกโจมตีจนถอยไปสองสามก้าว และรอดจากเงื้อมมือของอู่โหวได้ เขาส่ายศีรษะที่มึนงงอยู่พักหนึ่ง แล้วสั่งฉู่เหยาอย่างเคร่งครัด
ฉู่เหยารีบตอบโต้ฝั่งตรงข้าม ถือโอกาสเมื่อฝั่งตรงข้ามถอยหลัง ก็กระโดดกลับที่เดิม
เสียงหัวเราะอย่างป่าเถื่อนของอู่โหวดังขึ้นอีกครั้ง “หวงฝู่จิ้ง ยอมแพ้เถอะ เห็นแก่เจ้าที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกับฮ่องเต้องค์ก่อน ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
อ๋องฉียื่นมือออกมา เช็ดเลือดตรงมุมปาก หรี่ตาลงแล้วหัวเราะอย่างปกติสุข “หลิวยง เจ้าคงไม่ได้คิดว่าสู้แค่นี้ก็ทำข้าล้มได้ เจ้าฝันกลางวันอยู่รึ”
รอยยิ้มของอู่โหวเกร็งอยู่บนใบหน้า เขาโกรธจนคิ้วแทบจะตั้งขึ้น “หวงฝู่จิ้ง เจ้ามันก็แค่นี้แหละ หวังจะเอาเปรียบข้ารึ ยังห่างอีกเยอะ”
“เช่นนั้นก็มาดูกัน” อ๋องฉีพูดจบ ก็จู่โจมเข้าก่อนราวกับระเบิดลง
ทั้งสองคนสู้กันไปมาอยู่พักใหญ่ กระบวนท่าเหล่านั้นทำเอาฝุ่นตลบไปทั่ว จนทุกคนในนั้นต้องปิดปากปิดจมูกตนไว้
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนมาถึง ก็เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ตรงหน้า จึงรีบลงจากม้า หรี่ตามองดูทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้กัน เมื่อเห็นชัดแล้วว่ามีบาดแผลบนใบหน้าอ๋องฉี รังสีแห่งความอาฆาตแค้นก็แผ่ซ่านออกมา ทำเอาฉู่เหยาสี่คนตกใจจนใจสั่นระรัว
ฉู่เหยาสี่คนหยุดชะงักครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เดินขึ้นไปขานเรียก
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองทั้งสี่คนทันที เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีร่องรอยบาดเจ็บอะไร ก็พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้สนใจพวกเขาอีก จากนั้นก็หันไปดูทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างตั้งใจ
ทั้งสี่คนไม่กล้าพูดอะไรอีก แล้วหันหน้าไปฝั่งนั้นเช่นกัน
หน้าประตูจวนอู่โหว มีคนเห็นหวงฝู่อี้เซวียนมา ก็กัดฟันดังกรอด สายตาจ้องเขม็งไปที่เขาด้วยความแค้น ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขา
หวงฝู่อี้เซวียนสัมผัสถึงสายตาคู่นั้นที่มองมาจากที่ไกลๆ เมื่อเห็นว่าคือนายน้อยอู่โหว เขาก็ยิ้มให้ด้วยความชิงชัง แล้วหันกลับไป
นายน้อยอู่โหวโกรธจนควันออกหู หากไม่ใช่เพราะสติอันน้อยนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาคงบุกขึ้นไปสู้กับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว
หลังจากโดนหมัดไป ในใจอ๋องฉีก็เดือดดาล ความเร็วในการจู่โจมย่อมเร็วขึ้น
หลังจากสู้กันพักใหญ่ อู่โหวเริ่มไม่ไหว การเคลื่อนไหวจึงเริ่มช้าลง
อ๋องฉีถือโอกาสเล็งเป้า แล้วถีบอู่โหวเต็มแรงไปทีหนึ่งจนเขากระเด็นออกไป
“ท่านพ่อ!”
“นายท่าน!”
“ท่านปู่!”
ในขณะที่เสียงตกใจดังขึ้น ร่างของอู่โหวก็ล้มลงบนพื้นอย่างแรง จนพื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย
จากนั้นอู่โหวก็กระอักเลือด นอนแน่นิ่งกับพื้นไม่ขยับอีกเลย
นายน้อยอู่โหวและหลิวเทารีบวิ่งไปหา และประคองเขาขึ้นมา เรียกอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
ครั้นอู่โหวกำลังจะเอ่ยปาก มุมปากก็มีเลือดไหลออกมาอีก
ทุกคนตกใจ สีหน้าซีดเผือด
อ๋องฉีหยุดการโจมตี มือไพล่หลังยืนอยู่ที่เดิม พูดอย่างราบเรียบว่า “วางใจเถอะ เขาไม่ตายง่ายๆ หรอก มากสุดก็แค่นอนบนเตียงสองเดือน”
นายน้อยอู่โหวหันควับมาด้วยสายตาแค้นเคือง
อ๋องฉีไม่แยแส ยังคงยืนอยู่ที่ไกลออกไป มุมปากแฝงรอยยิ้ม มองพวกเขาอย่างเหยียดหยาม
หวงฝู่อี้เซวียนกลับสังเกตเห็นความผิดปกติ เพราะว่ามือที่ไพล่อยู่ด้านหลังของอ๋องฉีนั้นกำลังสั่นระริกอยู่ เขาจึงรีบเดินขึ้นไป ประคองอ๋องฉีไว้ และเรียกอย่างเป็นห่วง “เสด็จพ่อ”
อ๋องฉีมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร แค่ยื่นมือไปพาดบนไหล่เขา
เมื่อรู้สึกถึงลำตัวที่กำลังสั่นเทาอยู่เช่นกันของเขา หวงฝู่อี้เซวียนก็อดกลั้นความโมโหในใจไว้ ขยับตัวเข้าใกล้เขามากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้อ๋องฉีได้ยืนพิงตนเองเพื่อพักเหนื่อยอย่างแนบเนียน
อู่โหวได้สติคืน ก็หายใจหอบอยู่พักหนึ่ง เขาผลักทุกคนออก ลุกขึ้นยืน กวักมือไปที่อ๋องฉีด้วยลำตัวที่โยกไปมา “หวงฝู่จิ้ง มาอีกสิ วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ามาโดยไม่มีวันได้กลับอีกเลย”
ตัวเขาสั่นจนโยกไปมาแล้ว แต่อ๋องฉีกลับไม่เป็นอะไร หากสู้กันต่อไปพวกเขาเสียเปรียบแน่ นายน้อยอู่โหวจึงรีบพูดไกล่เกลี่ย “พ่ท่านอ งานเล็กไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการใหญ่โต สู้กับพวกเขาไม่ต้องถึงมือท่านหรอก แค่คนในจวนก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากที่โดนถีบเข้าอย่างจังไปทีหนึ่ง อู่โหวก็หมดแรงแล้ว ที่เขาลุกขึ้นยืนพูดท้าทายอีกนั้น เป็นเพราะไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าลูกหลานมากมายตรงนี้ มีแต่เสียศักดิ์ศรี เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถอยไปก้าวหนึ่ง “นั่นน่ะสิ วันนี้พวกเขากล้ามาหาเรื่องข้าถึงที่นี่ แสดงว่าไม่ได้เห็นจวนอู่โหวในสายตา ก็อย่าโทษกันว่าเราใช้วิธีหมาหมู่”
อ๋องฉีได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะ ถามอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “อ๋อ หลิวยง เจ้าอยากจะเล่นหมาหมู่อย่างไรรึ”
“หวงฝู่จิ้ง วันนี้เจ้าเป็นคนหาเรื่องเองนะ แม้วันข้างหน้าข่าวจะไปถึงฮ่องเต้ ข้าก็ไม่กลัวเจ้า…”
“หยุดพล่ามเสียที ข้าถามว่าเจ้าจะเล่นหมาหมู่อย่างไร” อู่โหวยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกอ๋องฉีตัดบทด้วยความรำคาญทันที และจี้ถามเขา
อู่โหวยังไม่ทันพูดอะไร
นายน้อยอู่โหวโบกมือไปทางนอกประตู “ทหาร รวมตัวองครักษ์ประจำจวน หากใครกล้าบ่ายเบี่ยง ฆ่าสถานเดียว!”
เพียงประโยคเดียว ง่ายๆ ได้ใจความ และไร้ซึ่งความปรานี
เสียงคนในประตูดังขึ้น องครักษ์ประจำจวนถืออาวุธวิ่งออกมาเป็นแถวๆ ยืนสองข้างประตูด้วยรังสีอำมหิต
นายน้อยอู่โหวยิ้มเย็นชา มองไปที่อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียน ยื่นนิ้วชี้วางขวางไปที่คอ ส่งสัญญาณว่าตายแน่
อ๋องฉีโมโห ครั้นจะขยับเท้า หวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ข้างหลังก็ดึงเขาไว้อย่างเงียบๆ
อ๋องฉีหันหลังกลับ จ้องเขาด้วยความโมโห
หวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะเอ่ยปากพูด เสียงกีบเท้าม้าก็ดังมาจากที่ไกลออกไป
ทุกคนเงยหน้ามองไป ยังไม่ทันมองเห็นหน้าคนบนม้า ม้าสองสามตัวก็มาถึงข้างหน้าอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียน คนบนม้าลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว โยนบังเ**ยนม้าลง ประสานมือขึ้น “ท่านอ๋อง”
อ๋องฉีพยักหน้า
สองคนนั้นหันไปที่หวงฝู่อี้เซวียน และขานเรียก “พี่เซวียน” “อาเขย”
ทุกคนในจวนอู่โหวเพิ่งจะเห็นชัดว่าคนที่มาคือเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงที่ได้รับรางวัลทั้งบุ๋นและบู๊ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ส่วนคนที่เหลือ ทุกคนไม่ค่อยคุ้นหน้า แต่เท่าที่ฟังจากการขานเรียก น่าจะเป็นคนจากบ้านตระกูลเมิ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า กำลังจะพูด เสียงกีบเท้าม้าก็ดังขึ้นจากแดนไกลมาอีก
ทุกคนมองไปอีกครั้ง มีเพียงคนเดียวลงจากม้า คนบนม้าคือหวงฝู่อวี้
ม้าวิ่งเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ วิ่งผ่านพวกเขาเหมือนกับว่าเขาจะไม่เห็นอ๋องฉีและคนอื่นๆ พุ่งตรงไปที่ทุกคนในจวนอู่โหว จนถึงหน้าอู่โหว อู่โหวตกใจจนถอยหลังไปสองสามก้าว เขาดึงบังเ**ยนตะโกนว่า “ส่งหลิวเทาออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะปราบจวนอู่โหวให้ราบคาบ”
เป็นแค่ลูกอนุคนหนึ่ง ยังกล้ามาร้องตะโกนอย่างไร้มารยาทต่อหน้าอู่โหว อู่โหวโกรธจนควันออกหู ผมปอยตั้งชันขึ้น เอื้อมมือไปหยิบดาบขององครักษ์ประจำจวนนายหนึ่งมา แล้วฟันดาบลงไปที่ม้าของหวงฝู่อวี้
ม้าถูกดาบฟัน เจ็บจนร้องเสียงดัง ยกขาหน้าขึ้นสูง จนทำให้หวงฝู่อวี้ตกลงมาจากหลังอาน
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หวงฝู่อี้เซวียนและคนอื่นๆ ไม่ทันเข้าไปห้ามไว้ ได้แต่มองดูหวงฝู่อวี้ตกลงมาจากม้า
ทุกคนคอยเฝ้าสังเกตอย่างเป็นห่วง
โชคดีที่ฝีมือหวงฝู่อวี้ไม่เลวนัก หลังจากหล่นลงบนพื้นแล้ว เขาก็กลิ้งตัวเพื่อไม่ให้ตนบาดเจ็บ แต่ก็ทำเอาเขาทุลักทุเลพอสมควร
ดาบฟันไม่โดนเขา ความโกรธในใจของอู่โหวยังคงอยู่ เขาชี้ดาบขึ้นพุ่งไปทางหวงฝู่อวี้ สภาพดุร้ายเช่นนั้น หวงฝู่สือเมิ่งตกใจจนร้องเรียก “ท่านอา”
หวงฝู่อวี้เพิ่งลุกยืนขึ้น ยังวางลำตัวไม่นิ่ง ดาบของอู่โหวก็กำลังจะเสียบโดนตัว เมื่อเห็นแล้วว่าหลบไม่ทัน ทันใดนั้นเอง หยกแขวนสี่อันก็ลอยมา จนป้องดาบอันเฉือนคมของอู่โหวไว้ทัน
หวงฝู่อวี้ตกใจจนเหงื่อตก ถอยหลังไปสองสามก้าว
เพล้ง!
เพล้ง
…
หลังจากเสียงเล็กแหลมที่ตกลงบนพื้นดังขึ้น หยกแขวนทั้งสี่อันร่วงลงบนพื้นตามกันไปจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
หวงฝู่อี้เซวียนก็กระโดดมาเป็นกำบังอยู่ข้างหน้าหวงฝู่อวี้แล้วถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “อู่โหว นี่เจ้าคิดจะฆ่าคนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้รึ”
เสียงหยกแขวนที่ตกลงบนพื้นดึงสติของอู่โหวกลับมา เมื่อคิดถึงการกระทำเมื่อครู่ของตนเอง ก็ตกใจจนเหงื่อซึมไปทั้งตัว แต่ก็ยังแสร้งทำเหมือนไม่เป็นอะไร พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ฆ่าเขาแล้วทำไม หรือต้องให้ข้าเข้าแลกด้วยชีวิต”
“อู่โหวพูดผิดแล้วล่ะ” น้ำเสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนเย็นกว่าความหนาวเย็นในฤดูหนาว “หากหวงฝู่อวี้เป็นอะไรไป ไม่เพียงเจ้าที่ต้องแลกชีวิต ทั้งจวนอู่โหวของเจ้า ข้าก็จะไม่ไว้แม้แต่ชีวิตเดียว”
“เจ้า…” อู่โหวกำดาบในมือแน่น แต่ไม่กล้ายกขึ้นมา ด้วยสถานะของหวงฝู่อี้เซวียนที่นอกจากจะมีความสามารถรอบด้านแล้ว ฮ่องเต้ก็ยังหนุนหลังและพึ่งพิงเขามาก อู่โหวจึงไม่กล้าลงมือกับเขา
เมื่อเห็นพ่อของตนอ้ำอึ้ง นายน้อยอู่โหวไม่ยอม เดินขึ้นมาด้วยอารมณ์เดือดพล่าน พูดว่า “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าอย่าได้ใจไปหน่อยเลย บ้านเมืองและครอบครัวต่างก็มีกฎระเบียบวินัยให้ยึดถือปฏิบัติ วันนี้จวนอ๋องของพวกเจ้ามายุแหย่เราก่อน แม้เราจะฆ่าหวงฝู่อวี้เจ้าคนไร้ประโยชน์นี้ไปแล้วจะทำไมรึ”
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาเหมือนดูตัวร้ายในหนังตลก สายตาที่ดูถูกเขาอยู่นั้นทำให้ความโกรธในใจนายน้อยอู่โหวเดือดพล่าน
อู่โหวก็อ่านสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนออก เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากพูดขึ้น ราวกับว่าไม่เห็นสีหน้าของพวกเขา เสียงไม่รีบไม่ร้อนของเขาดังขึ้นเหมือนกับค้อนที่ทุบลงกลางอกของนายน้อยอู่โหว “ถ้าข้าจำไม่ผิด เมื่อครู่นี้นายน้อยอู่โหวพูดว่าจะเล่นหมาหมู่”
นายน้อยอู่โหวกวาดมองคนจวนอ๋องที่ยืนเรียงตัวกันอยู่ข้างอ๋องฉี และคนบ้านตระกูลเมิ่งที่น่าเกรงขาม แล้วกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ไม่กล้าตอบ ตอนนี้คนบ้านตระกูลเมิ่งไม่ต่างจากบ้านตระกูลดีเด่นในเมืองหลวงเลย ลูกศิษย์ทุกคนมีความสามารถ คู่สมรสก็เป็นคนตระกูลชั้นสูงในวัง หากทำพวกเขาเดือดร้อนเข้า ก็เท่ากับสร้างศัตรูกับคนตระกูลชั้นสูงเกือบครึ่งเมืองหลวงเลย นายน้อยอู่โหวเข้าใจดี จึงไม่กล้าตอบอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ยอมปล่อยเขาไม่ง่ายๆ เรื่องตบตีกันของเด็กๆ นั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้น ตอนที่หวงฝู่เย่าเย่ว์มีปัญหากับคนอื่นในกั๋วจื่อเจี้ยน เขาไม่เคยถามและไม่เคยเข้าไปยุ่งเลย เพราะต้องการให้พวกเขาแก้ไขปัญหาเอง แต่วันนี้คนจวนอู่โหวกลับลงจะมือฆ่าคน นี่เป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้ หากไม่สั่งสอนพวกเขา พวกเขาอาจจะคิดการอื่นในภายภาคหน้าก็ได้
ยังไม่ทันรอให้หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก หวงฝู่อวี้ก็โผล่ศีรษะออกมา พูดอย่างโมโหว่า “น้ำเสียงโอ้อวดยิ่งนัก ด้วยน้ำมือองครักษ์ประจำจวนของเจ้าเนี่ยนะ ฝันกลางวันอยู่รึไง”
อู่โหวไม่เคยโกรธเช่นนี้มาก่อน สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำ น่าตื่นตาตื่นใจนัก หลังจากเป่าหนวดเคราของตนสองสามที ก็พูดอย่างเกรี้ดกราดว่า “เราจะหมาหมู่แล้วพวกเจ้าจะกล้าทำอะไร”
“ไม่กล้าทำอะไร” หวงฝู่อี้เซวียนพูดเสียงกังวาน และสะท้อนกลับเข้ามาในหูของทุกคน “ก็แค่จะเหยียบให้จวนอู่โหวแบนราบ”
“เจ้ากล้า?” เสียงโมโหของอู่โหวดังขึ้น ถือดาบขึ้นมา เตรียมท่าจะสู้ “ใครอยากเข้ามา ก็ลองดูว่าดาบของข้าจะยอมหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แสยะยิ้มหนึ่งที พูดว่า “เฮ่าเอ่อร์ รุ่ยเอ๋อร์ แสดงฝีมือพวกเจ้าหน่อยซิ ข้าอยากรู้ว่าไปถึงไหนแล้ว”
เมื่อเขาพูดจบ หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยก็ขานรับพร้อมกัน เดินสาวเข้ามาหน้าประตูจวนอู่โหวอย่างน่าเกรงขาม
ฉู่เหยากลัวพวกเขาจะพลาดท่า จึงตามไปด้านหลัง
คนจวนอู่โหวเห็นดังนั้น ก็เดินขึ้นหน้า ยืนกั้นหน้าประตู
เมิ่งเส้าเก็บอารมณ์ไม่อยู่ เดินตามมาด้วย เมิ่งเซิ่งก็ไม่ยอม เมิ่งหงและเมิ่งเย่ว์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาเดินเร็วกว่าทั้งสองคนเสียอีก
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงยืนเฝ้านิ่งอยู่ข้างอ๋องฉี
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามององครักษ์จวนอู่โหว แล้วสั่งขึ้นว่า “วันนี้เราแค่จะสั่งสอนคนจวนอู่โหว ขอแค่พวกเขาล้มลงก็พอ ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้อง หากกล้าเข้ามา ฆ่าไม่เว้น!”
เสียงขานรับดังขึ้น ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนตัวปะทะกัน
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องอู่โหว
หวงฝู่อวี้ก็เดินออกมาจากข้างหลังเขา จ้องเขม็งไปที่นายน้อยอู่โหว
ไม่มีใครกล้าขยับ บรรยากาศรอบด้านหยุดชะงักลง
เมื่อไม่มีคำสั่งจากหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่สือเมิ่งก็ไม่กล้าเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย เดินไปข้างอ๋องฉี ขานเรียกเบาๆ ว่า “ท่านปู่!”
อ๋องฉียื่นมือไปลูบหัวนาง “ไม่ต้องกลัว ปู่อยู่นี่”
เสียงหัวเราะของอู่โหวดังขึ้น จากนั้นก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่า “ลุยเข้าไป ใครบาดเจ็บหรือพิการ ข้ารับผิดชอบเอง”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 9 สาสมใจ
สิ้นเสียงคำสั่งของอู่โหว องครักษ์ประจำจวนก็เคลื่อนตัว
หวงฝู่อี้เซวียนนิ่งไม่ขยับ กระตุกมุมปาก ปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยาม
ความเดือดพล่านในตัวอู่โหวรุนแรงกว่าเดิม ตะโกนอย่างไร้สติว่า “ลุย จัดการเสียให้สิ้นซาก หากทำพวกเขาบาดเจ็บได้ ตบรางวัลหนึ่งพันตำลึง”
เมื่อได้ยินว่ามีรางวัล องครักษ์ประจำจวนก็มีกำลังขึ้นมาทันที พวกเขาเข้าจู่โจมด้วยความรวดเร็วกว่าเดิม
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องไปที่อู่โหว แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้น ทำสัญญาณมือ
เงาคนจำนวนมากมายกระโดดออกมาจากมุมมืด แล้วจู่โจมไปที่องครักษ์ประจำจวนทันที เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่า ก็ล้มองครักษ์ประจำจวนได้
อู่โหวตกใจ แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนครอบครององครักษ์ลับที่สามารถสู้หนึ่งต่อสิบได้ องครักษ์ประจำจวนของตนก็เป็นเพียงเศษขยะต่อหน้าพวกเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็ปรากฎสายตาเสียใจขึ้นมา เขาหลับตาครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจ เมื่อครู่นี้ตนเห็นเพียงคนจากอ๋องฉีและบ้านตระกูลเมิ่งที่ควบม้าเร็วมา คิดว่าคนเยอะกว่าแล้วจะสามารถโจมตีพวกเขาจนขวัญหนีดีฝ่อได้ และจะไม่กล้ามาหาเรื่องจวนอู่โหวของพวกเขาอีก แต่กลับลืมองครักษ์ลับไปเสีย บัดนี้ อยากจะกลับใจก็ไม่ทันแล้ว ในเมื่อออกคำสั่งไปแล้วอู่โหวและนายน้อยทั้งสองคนยืนมององครักษ์ประจำจวนล้มลงต่อหน้าต่อตาตัวเอง กลับไม่สามารถช่วยอะไรได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากหวงฝู่อี้เซวียนหรือองครักษ์ลับเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว พวกเขาไม่ฆ่าชีวิตใคร แต่ทุกกระบวนท่านั้นก็ทำเอาพวกเขาล้มพิการ
เสียงร้องคร่ำครวญดังไปทั่วทั้งหน้าประตูจวน
เสียงเหล่านั้นทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกขาอ่อนและใจสั่นไปหมด
เกิดการเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตเช่นนี้ ข่าวจึงแพร่สะพัดไปถึงหวงฝู่ซวิ่นอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินว่าหลิวเทาแห่งจวนอู่โหวจงใจทำให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกลงในทะเลสาบ ก็แอบด่าในใจ ไอ้งั่งเอ้ย
ทุกคนรู้ดีว่าเสด็จลุงรักเด็กสองคนนี้ดั่งแก้วตาดวงใจ นึกถึงตอนนั้นที่มือของเขาแค่แตะโดนแก้มพวกนางเบาๆ ก็ถูกเสด็จอาของเขาแกล้งอย่างทรหด แต่ตอนนี้ หลิวเทากลับกล้าถึงกับทำร้ายเย่ว์เอ๋อร์ตกน้ำ ไม่ต่างอะไรจากการกรีดมีดลงบนหัวใจของเสด็จอาเลย นี่มันหาที่ตายกันชัดๆ เรื่องนี้เขาจะไม่เข้าไปยุ่งแน่ หากทำอะไรให้เสด็จอาไม่พอใจ เขาคงลำบากแน่ แม้ตัวเขาจะเป็นถึงฮ่องเต้ แต่กับเสด็จอานั้นเขายังคงให้ความเคารพและเกรงกลัวมาก
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วสั่งว่า “สั่งผู้บังคับบัญชาปัญจทิศของเมืองหลวง ห้ามใครเข้าใกล้ ปล่อยให้พวกเขาสู้กันจนกว่าจะสาสมแก่ใจ”
ขันทีผู้ดูแลวังตกใจ เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น ก็รีบหลบหน้าลง ขันทีขานรับแล้วถอยลงไป เขารู้ดีว่าครั้งนี้จวนอู่โหวคงเกิดการเสียหายครั้งใหญ่ เมื่อครั้นเจ้าเมือง ตีเมืองน้อยใหญ่จนได้รับชัยชนะพร้อมกับบิดาของอู่โหว อู่โหวก็เสียสละตนทำเพื่อวังหลวงมากมาย จวนอู่โหวจึงได้รับการดูแลอย่างดี ไม่เคยขาดตกบกพร่องเลย แต่ลูกหลานของจวนอู่โหวกลับนำเอาบารมีที่มีนี้มาเป็นยันต์ป้องกันตัว วางตนข่มท่าน โดยเฉพาะเมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์เป็นเวลาหลายปี คนจวนอู่โหวก็ไม่เคยทำคุณประโยชน์อันใดเลย หากฮ่องเต้ปัจจุบันไม่ถือโอกาสนี้สั่งสอนพวกเขาก็คงแปลก
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เขาก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น คนของผู้บังคับบัญชาของแต่ละหัวเมืองนั้นทำงานรวดเร็วมาก หากเขาแจ้งช้าไป จนทำให้ฮ่องเต้ต้องเดือดร้อน เขาคงต้องแบกรับผลที่ตามมา
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม องครักษ์ของจวนอู่โหวก็เหลือเพียงไม่กี่นาย คนส่วนใหญ่ล้มลงร้องโอดครวญอยู่บนพื้น
อู่โหวเจ็บปวดใจ องครักษ์ประจำจวนเหล่านี้เขาใช้ความพยายามและใช้เวลาอยู่นานเพื่อหล่อเลี้ยงพวกเขามา องครักษ์ลับกลับใช้เวลาอันน้อยนิดก็กำราบพวกเขาได้แล้ว เขาโกรธจนเลือดลมตีขึ้น ก้อนเลือดที่กลั้นไว้ในลำคอก็เก็บไว้ไม่อยู่อีกต่อไป เขาอ้าปาก แล้วเลือดก็พุ่งออกมา
“ท่านพ่อ!”
นายน้อยอู่โหวที่จ้องหวงฝู่อวี้และไม่กล้าขยับตัวก็ร้องเรียกขึ้นมาอย่างโหยหวน แล้วก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้านายท่านอู่โหวด้วยความรวดเร็ว ประคองลำตัวของเขาที่ชักกระตุก น้ำเสียงร้อนรนแฝงไปด้วยความกังวล “ท่านพ่อ อดทนไว้นะขอรับ”
เมื่อเสียงร้องของเขาดังขึ้น หัวใจของเขาก็สั่นรุนแรงขึ้น มองดูลูกชายตน แล้วดูหวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอย่างสงบ ไม่ลนลาน มั่นคงดั่งขุนเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าใครอยู่เหนือกว่า
นายน้อยอู่โหวยังคงไม่รู้เรื่อง และยังคงถามไถ่อย่างร้อนรน
อู่โหวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด จึงผลักเขาออกไป ในขณะที่เขากำลังตกตะลึงอยู่นั้น อู่โหวก็วิ่งยกดาบชี้ไปทางหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนตั้งรับไว้ก่อนแล้ว เขาเบี่ยงตัวหลบ แล้วยื่นมือไปบีบคอของอู่โหวด้วยความเร็วปานสายฟ้าผ่า พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “นายท่านอู่โหว ท่านชรามากแล้ว”
อู่โหวเบิกตาอย่างไม่น่าเชื่อ จ้องเขม็งไปที่หวงฝู่อี้เซวียน คิดอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าเพียงแค่ท่วงท่าเดียวก็สามารถสกัดตนไว้ได้
“ท่านพ่อ!”
นายน้อยอู่โหวร้องตกใจอีกครั้ง แต่ก็ไม่กล้าขึ้นไป ได้แต่ร้องตะโกนไปที่กลุ่มคนที่กำลังสู้กันอย่างวุ่นวาย “หยุด ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้”
หลังจากกลุ่มคนเหล่านั้นแยกออกจากกัน คนจวนอู่โหวเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็ตกใจจนใจเต้นรัว จากนั้นก็ถูกล้อมไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว
ฉู่เหยานำกองกำลังไปข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน ทุกคนตามหลังไปติดๆ
สายตาสงบราบเรียบของหวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่อู่โหว ปากยิ้ม แต่ตาไม่ได้ยิ้มด้วย สั่งหวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ย “เฮ่าเอ๋อร์ รุ่ยเอ๋อร์ รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร”
หลังจากเขาพูดจบ หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยก็กระโจนขึ้นไปหาหลิวเทาพร้อมกัน
หลิวเทาไม่คิดว่าทั้งสองจะเข้ามาหาตน จึงเดินถอยหลังไปสองสามก้าว หวังจะหลบการโจมตีของทั้งสองคน
หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยตามไม่ปล่อย
หลิวเทาสู้ไม่ไหว ถูกสองคนจับตัวไว้ พวกเขาจับแขนของเขาไว้คนละข้าง แล้วออกแรงโยนไปชนกำแพงสูงของจวนอู่โหว
คนจวนอู่โหวไม่ทันตั้งตัว มองหลิวเทาที่ถูกจับโยนเข้าใส่กำแพงแล้วร่วงลงบนพื้นด้วยสองตา จากนั้นเลือดก็พุ่งออกมา ลำตัวอ่อนไปทั้งร่าง แล้วจึงหมดสติไป
หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยมือ อู่โหวล้มลงกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
คนจวนอู่โหวตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ยืนอึ้งมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้า ผ่านไปนานกว่าจะตั้งสติได้ ในขณะที่ตกใจอยู่นั้น ก็แบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปประคองหลิวเทา อีกหลุ่มประคองนายท่านอู่โหว
“นี่คือผลของการทำร้ายลูกสาวข้า หากวันหน้ากล้าทำอะไรนางอีก ข้าจะเอาชีวิตเขา!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทุกคำทุกประโยคปักลงในใจของคนจวนอู่โหว ทำให้พวกเขาจำไปจนวันตาย
พูดจบ ก็ไม่เหลียวแลคนจวนอู่โหวอีก หันไปสั่ง “ถอนกำลัง”
โจวอันขานรับ โบกมือ องครักษ์ลับทั้งสิบนายก็ถอยกลับไปอย่างเป็นระเบียบ
หวงฝู่อี้เซวียนนำทุกคนกลับไปหาอ๋องฉี
อ๋องฉีเหลือบมองคนจวนอู่โหวที่บ้านแตกสาแหรกขาด ก็หันหลังขึ้นม้าไป ทุกคนตามหลัง ออกจากหน้าประตูจวนอู่โหวอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ทุกคนกลับถึงจวนอ๋อง ลงจากม้า อ๋องฉีเดินนำหน้าเข้าไปในจวน เมื่อเดินเข้าไปถึง ก็ไอออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ แล้วเลือดก็ไหลออกมาทางมุมปาก
หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามเขาอย่างใกล้ชิด เห็นดังนั้นก็ไม่พูดไม่จา หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้อ๋องฉีเงียบๆ
อ๋องฉีรับมา เช็ดมุมปากเป็นพิธี พูดว่า “ตาเฒ่าหลิวยงนี่ฝีมือไม่ธรรมดาเลย”
พูดจบก็พูดต่อว่า “ข้าเหนื่อย จะกลับไปพักผ่อน เจ้าไปจัดแจงพวกเขาหน่อย แล้วก็ถ้าเย่ว์เอ๋อร์ตื่นแล้ว ส่งคนมาบอกข้าด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนขานรับ
อ๋องฉีเดินตรงไปที่เรือนของตนเองทันที
หวงฝู่อี้เซวียนส่งสายตาให้หวงฝู่อวี้ หวงฝู่อวี้เดินตามอ๋องฉีไป
“รุ่ยเอ๋อร์ พาพวกท่านอาของเจ้าไปเรือนรับรอง” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
หวงฝู่รุ่ยขานรับ พาเมิ่งเจี๋ยและคนอื่นๆ ไปเรือนรับรอง
หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาที่ห้องของตน หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังไม่ตื่น
พระชายาฉีนั่งอยู่บนหัวเตียงเฝ้านาง
เจียงจิ่นและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนตั่งด้วยความกังวล
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามา ทั้งสองก็ลุกขึ้นพร้อมกัน
หวงฝู่อี้เซวียนเดินตรงไปข้างหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์ เห็นนางหลับตา สีหน้าแดงระเรื่อ ก็หันหน้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว ถามเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตกใจไปน่ะ มีไข้สูง ไม่หายในเร็ววันหรอก ต้องนอนพักสองสามวัน”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เจี๋ยเอ๋อร์พอได้ยินเรื่องของเย่ว์เอ๋อร์ จึงรีบพากันมาหา ข้าให้พวกเขาไปรอที่เรือนรับรอง เจ้าไปหาพวกเขาหน่อยเถอะ”
เมืองหลวงใหญ่แค่นี้เอง เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างไม่ได้คิดมาก
“เสด็จแม่ ท่านดูแลเย่ว์เอ๋อร์ให้หน่อยนะขอรับ ข้าขอไปหาพวกเขาด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับพระชายาฉี
พระชายาฉีพยักหน้า พยายามพูดด้วยเสียงเบาที่สุดว่า “ไปเถอะ มีข้าและจิ่นเอ๋อร์ช่วยดูแลอยู่”
ทั้งสองเดินออกจากเรือนไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเดินมุ่งไปทางเรือนรับรอง หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เจ้าไปดูกับข้าหน่อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจชะงักครู่หนึ่ง แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ นางเม้มปาก เดินไปกับหวงฝู่อี้เซวียนจนถึงเรือนของอ๋องฉี
หลังจากบ่าวรับใช้รายงานแล้ว ทั้งสองก็เดินเข้าไป
สีหน้าอ๋องฉีบวมแดง นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ หวงฝู่อวี้ยืนอยู่ข้างหนึ่ง
อ๋องฉีเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็รู้เจตนาของทั้งสอง พูดว่า “แค่บาดเจ็บภายนอก ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องตกใจไป”
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าไปสั่งคนต้มไข่มาหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เขาหันหลังเดินออกไปสั่งบ่าวรับใช้
“เสด็จพ่อ ยื่นมือออกมาหน่อยเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นคราบเลือดบริเวณมุมปากของอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวก็พอจะเดาอะไรได้ จึงพูดกับอ๋องฉี
อ๋องฉีมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์มาตลอดชีวิต แต่รอบนี้กลับได้รับบาดเจ็บ เขารู้สึกเสียหน้า จึงปกปิดต่อไป ได้ยินดังนั้นก็ไม่ขยับ พูดว่า “ถูกฝ่ามือของไอ้เฒ่าหลิวยงเข้า ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“เสด็จพ่ออยากให้ข้าไปเรียกเสด็จแม่มาหรือเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเนิบช้า แต่กลับข่มขู่เขาอย่างโจ่งแจ้ง
อ๋องฉีตัวเกร็ง จ้องหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสายตาโมโห สายตาคู่นั้นกำลังติเตียนเขาที่ตบแต่งเมียเช่นนี้เข้าบ้าน ความหมายโดยนัยที่ไม่ต้องพูดก็รู้ได้
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจความหมายของสายตาคู่นั้น ก็พลันอยากหัวเราะขึ้นมา มุมปากเผยอออกเล็กน้อย แต่ก็รีบหุบกลับมา แกล้งไอกระแอมขึ้น แล้วช่วยอ๋องฉีแก้ต่างว่า “เสด็จพ่อ โยวเอ๋อร์เป็นห่วงท่านน่ะขอรับ ท่านยื่นมือมาให้นางตรวจชีพจรหน่อยเถอะขอรับ”
อ๋องฉีจ้องไปที่เขาอีกครั้ง แล้วยื่นมือออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่เต็มใจนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง นิ้วมือแตะไปที่ชีพจรของเขา ใช้เวลาอยู่นาน นางขมวดคิ้ว แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ปล่อยมือออก พูดว่า “ไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวข้าจะเขียนรายการยาให้คนไปซื้อมาต้ม ท่านทานลงไปแล้วก็จะหายดีเจ้าค่ะ”
อ๋องฉีเก็บมือกลับไป พูดปฏิเสธว่า “ดื่มยาขมทำไม แค่นอนพักดีๆ สักงีบ พรุ่งนี้ก็หายแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดข่มขู่อีกครั้ง “อย่างนั้นข้าขอไปขอคำแนะนำจากเสด็จแม่หน่อยนะเจ้าคะ หากเสด็จแม่เห็นด้วยที่ท่านไม่ต้องทานยา ลูกก็จะไม่เขียนรายการยาให้เจ้าค่ะ”
อ๋องฉีโกรธจนตาจ้องเขม็งและพ่นลมออกมา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ สิบกว่าปีมานี้ เขาและพระชายาฉีเป็นคู่ที่รักใคร่ปรองดองกัน ได้หยอกเล่นกับลูกหลาน ครอบครัวมีความสุข เขาไม่อยากถูกพระชายาฉีไล่ออกจากเรือนไปนอนในห้องหนังสืออันหนาวเหน็บเพียงคนเดียวเพราะเรื่องเช่นนี้หรอก
เขาจึงยอมจำนนอย่างว่าง่าย แต่ก็มีเงื่อนไขว่า “ห้ามบอกเสด็จแม่เด็ดขาดว่าข้าบาดเจ็บภายใน บอกแค่ว่าเพื่อให้แผลบนใบหน้าข้าหายเร็วขึ้น”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะเบาๆ ถามว่า “เสด็จพ่อ ท่านคิดว่าเสด็จแม่จะเชื่อหรือขอรับ”
อ๋องฉีกลับตอบไม่แยแสอย่างเด็กน้อยว่า “ข้าไม่สน เรื่องนี้พวกเจ้าไปคิดหาวิธีเอง หากเสด็จแม่ของเจ้ารู้เข้า ดูซิว่าข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร”
แค่นึกถึงภาพที่เขาถือไม้วิ่งไล่ตัวเอง หวงฝู่อี้เซวียนก็พลันยิ้มไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทุกอย่าง เม้มปากแอบยิ้ม
บ่าวรับใช้นำไข่ที่ต้มเสร็จมาให้อย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวปอกเปลือกออกหนึ่งฟอง วางบนแก้มตนเอง สาธิตให้ดู พูดกับอ๋องฉีว่า “เสด็จพ่อ ท่านนำไข่ต้มสุกมาวนบนใบหน้าเช่นนี้นะเจ้าคะ เมื่อเสด็จแม่มา อาการบวมแดงบนใบหน้าของท่านจะดีขึ้นมากเจ้าค่ะ”
“วิธีนี้…ช่วยได้จริงๆ หรือ” อ๋องฉีสงสัย ถามอย่าไม่เชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า น้ำเสียงแฝงไปด้วยอาการกลั้นขำ “อย่างน้อยเสด็จแม่ก็จะไม่ตกใจเมื่อเห็นท่านเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงที่เยาะเย้ยอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำเอาอ๋องฉีโกรธจนอยากจะเอาไข่ปาใส่หน้านาง เสียดายที่นางเป็นลูกสะใภ้ ไม่ใช่ลูกชาย จะตบตีด่าว่าก็ไม่ได้
อ๋องฉีจ้องไข่ต้มที่อยู่ในถ้วยอย่างดุร้ายราวกับเป็นศัตรูตัวฉกาจอยู่พักใหญ่ จึงค่อยๆ ยื่นมือออกไป
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 10 ตั้งรับ
มืออ๋องฉียังไม่ทันสัมผัสไข่ต้ม หวงฝู่อวี้ก็ยื่นมือออกมาจากอีกข้าง หยิบไข่ขึ้นมา ปอกไข่เสร็จด้วยความรวดเร็ว ยื่นให้อ๋องฉีอย่างเอาใจ “เสด็จพ่อ นี่ขอรับ” อ๋องฉีเหลือบมองเขา รับไข่ต้มไว้แล้วนำไข่มาวนบนใบหน้า แม้จะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น “เสด็จพ่อ ข้าไปหาเจี๋ยเอ๋อร์ก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวยาต้มเสร็จแล้วข้าจะส่งคนยกมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร เพราะคิดแค้นในใจที่นางข่มขู่ตนถึงสองครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ ยิ้มแล้วเดินออกไป
อ๋องฉีเงยหน้ามองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจความหมายของสายตาคู่นั้นดี เขารู้ว่าแค้นนี้ถูกจดลงในบัญชีของเขาอีกแล้ว เขาร่ำไห้ในใจ รีบเดินตามออกไป โดยไม่ได้คารวะกล่าวลา “โยวเอ๋อร์ รอข้าด้วย ข้าจะไปกับเจ้า”
อ๋องฉีเลิกจ้องเขา แล้วร้อง หึ อย่างเย็นชา
หวงฝู่อวี้ได้ยินทุกอย่าง ในใจกลัวจนสั่นระรัว เขาหดตัวม้วนเก็บตัวเองแอบข้างหลังอ๋องฉี พยายามทำให้เหมือนตนเป็นอากาศธาตุ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ไปแล้ว เขาจะให้เสด็จพ่อเอาความโกรธมาลงที่ตนเองไม่ได้
หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเรือนของอ๋องฉีแล้ว พวกเขาก็ไปห้องหนังสือก่อน เพื่อเขียนรายการยาและสั่งให้โจวอันไปซื้อยา จากนั้นก็มาที่เรือนรับรอง
เวลาเพียงไม่นานนี้ เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว พวกเขานึกเสียใจที่เมื่อครู่นี้ตนไม่ได้ออกมาสู้กับคนจวนอู่โหว
ส่วนเมิ่งเส้าพวกเขาก็โมโหมาก บ่นอุบอิบว่าต่อไปหากเจอหลิวเทาอีกกี่ครั้งก็จะต่อยเขากี่ครั้ง ต่อยจนกว่าเขาจะไม่กล้าออกจากจวนอู่โหวอีก
เป็นจังหวะเดียวกับที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวสดใสกว่าเดิม สดใสจนเมิ่งเส้าและคนอื่นเห็นแล้วขนลุก พวกเขาขานเรียกอย่างตะกุกตะกักว่า “ท่าน…อา”
“คุณชายตระกูลเมิ่งทั้งหลาย ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ แม้แต่จวนอู่โหวก็ไม่อยู่ในสายตาแล้ว ข้าชื่นชมยิ่งนัก” เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนในห้อง เน้นเสียงหนักไปที่คำว่า ‘เมิ่ง’
ครั้งนี้ไม่เพียงเมิ่งเส้าสี่คนที่สั่นตัวเทา แม้แต่เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเองก็ใจสั่นระรัว หัวใจเต้นเร็วจนลุกพรวดขึ้นมา มองรอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกลืนน้ำลายลงไปสองสามอึก ขานเรียกเสียงเบาอย่างระมัดระวัง “พี่”
หวงฝู่อี้เซวียนลูบจมูกตนเองเบาๆ ไม่กล้าพูดอะไร เดินไปนั่งที่นั่งประธาน
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดมองทุกคนรอบหนึ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วไปนั่งบนที่นั่งของตน
เมิ่งเจี๋ยและคนอื่นๆ ใจเต้นรัวเร็วกว่าฝีเท้าของนาง
ในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ในห้องมีน้ำแข็งวางอยู่เต็มไปหมด จึงทำให้ห้องเย็นสบาย แต่บัดนี้ทุกคนกลับรู้สึกร้อนวูบวาบ ทำเอาเหงื่อซึมออกมาบนหน้าผากพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่ปล่อยพวกเขา หลังจากนั่งลงแล้วก็ยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “คุณชายตระกูลเมิ่งทั้งหลาย พวกเจ้ายังมีแผนอะไรอีก ไหนลองว่ามาให้ข้าฟังบ้างซิ”
ไม่มีใครกล้าพูด แม้แต่หายใจยังไม่กล้า ในเรือนรับรองเงียบจนได้ยินเสียงเข็มตกลงพื้น
หวงฝู่อี้เซวียนแกล้งไอกระแอม เพื่อช่วยทุกคนคลายสถานการณ์ลง “คือว่า โยวเอ๋อร์ ข้าเป็นคนให้คนเรียกเจี๋ยอ๋อร์พวกเขาไปน่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเขา แล้วยิ้มถามขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนสะดุ้งตกใจ จนเขาทำตัวไม่ถูก แต่ก็ฝืนพยักหน้าตอบกลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้าตาม “เป็นความคิดของซื่อจื่อนี่เอง มิน่าล่ะ คุณชายตระกูลเมิ่งถึงอวดดีได้เพียงนี้”
ทั้งน้ำเสียง คำเรียกขาน และสายตาเช่นนี้ ไม่เพียงเมิ่งเจี๋ยพวกเขาเท่านั้น แม้แต่หวงฝู่อี้เซวียนเองก็เริ่มมีเหงื่อซึมออกมาทางหน้าผาก
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปที่เมิ่งเจี๋ย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกถึงความเย็นยะเยือก “คุณชายทุกท่าน หักด้ามพล้าด้วยหัวเข่า รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ”
ทุกคนไม่กล้าพูดอะไร ก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ไม่กล้าช่วยพวกเขาพูด ได้แต่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ
ทั้งห้องเงียบสนิทอีกครั้ง
ผ่านไปนาน นานจนเสื้อเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั่วทั้งแผ่นหลัง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเพิ่งเอ่ยปากพูด “เรื่องวันนี้พอแค่นี้ หากต่อไปพวกเจ้ากล้าหาเรื่องจวนอู่โหวก็รอดูว่าข้าจะลงโทษพวกเจ้าอย่างไร”
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก ความตึงเครียดค่อยผ่อนคลายลง เมิ่งเจี๋ยเงยหน้า รับประกันแทนทุกคนว่า “วางใจเถอะขอรับ พี่โยวเอ๋อร์ เรื่องวันนี้ต่อไปเราจะไม่พูดถึงอีกขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วจึงให้พวกเขานั่งลง นางกวาดตามองทุกคน ถามว่า “บาดเจ็บหรือไม่”
ทุกคนส่ายศีรษะพร้อมกัน “ไม่มีขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปทางเมิ่งเจี๋ย พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งครัดว่า “หลังจากกลับไปแล้ว ห้ามบอกท่านพ่อท่านแม่”
เมิ่งเจี๋ยเกาหัวแกรก ไม่กล้าตบตกลง “พี่โยวเอ๋อร์ เรื่องใหญ่อย่างวันนี้ คงรู้กันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว พี่ใหญ่ พี่รองก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว คงปิดบังท่านพ่อท่านแม่ไว้ไม่ได้หรอกขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตำหนิเขาแวบหนึ่ง
เมิ่งเจี๋ยไม่กล้าพูดต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะพูดต่อ เสียงรายงานของพ่อบ้านดังขึ้น “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย คุณชายใหญ่และคุณชายรองบ้านตระกูลเมิ่งมาแล้วขอรับ”
“รีบให้พี่ใหญ่ พี่รองเข้ามา” หวงฝู่อี้เซวียนพูดพลางลุกขึ้นยืน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืนตาม
เมิ่งเจี๋ยและทุกคนก็ลุกขึ้นเช่นกัน
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีเดินเข้ามาในเรือนรับรองด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ถามเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นทันทีว่า “ข้าได้ยินว่าเย่ว์เอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ เกิดอะไรขึ้น”
“ตกใจจนขวัญหายเล็กน้อยเจ้าค่ะ ไม่เป็นอะไรมาก พี่ใหญ่ พี่รองนั่งลงก่อนเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
ทุกคนนั่งลง
เมิ่งฉีพูดอย่างไม่รีรอ “ข้าได้ยินมาว่า คนจวนอู่โหวจงใจชนเรือให้เย่ว์เอ๋อร์ตกลงทะเลสาบใช่ไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร เมิ่งเซิ่งเอ่ยปากพูดก่อน “ใช่ขอรับ”
เมิ่งเสียนได้ยินดังนั้นก็หันไปทางพวกเขา ถามว่า “ข้าได้ยินว่าวันนี้พวกเจ้าก็ไปจวนอู่โหวเหมือนกัน ได้ต่อสู้กันไหม”
เมิ่งเส้าพยักหน้า “สู้ขอรับ”
“แพ้ราบคาบเลยไหม” เมิ่งเสียนถามต่อ ส่วนเรื่องที่หมายถึงใคร เมิ่งเส้าพวกเขารู้ดีแก่ใจ
เมิ่งเส้าเกาหัวแกรก เหลือบมองเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วตอบอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอาเขยไม่ได้ให้พวกเราจัดการขอรับ เฮ่าเอ๋อร์และรุ่ยเอ๋อร์จับเขาโยนใส่กำแพงขอรับ”
เมิ่งเสียนแสดงอาการไม่พอใจ ร้อง ฮึ เสียงดัง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พี่ใหญ่ คนก็หมดสติไม่ฟื้นแล้ว พี่ยังต้องการอะไรอีกหรือเจ้าคะ”
เมิ่งเสียนก็ไม่ได้ต้องการอะไร แค่รู้สึกความโกรธในใจไม่ถูกระบายออกมา จนอึดอัดไปหมด
เมิ่งฉีก็เช่นกัน พูดอย่างโมโหว่า “ลงมือเบาไปหน่อย รู้สึกโดนเอาเปรียบ” เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์เป็นเด็กที่พวกเขารักและเอ็นดูมาแต่เล็ก ไม่แม้แต่จะยอมให้นางหกล้มสักครั้ง แต่บัดนี้กลับถูกรังแกจนแทบจะไม่มีชีวิตรอด จึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธจนเดือดพล่าน จะอดกลั้นอย่างไรก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนจวนอ๋องหรือคนบ้านตนเอง ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์ พวกเขาก็ไร้สติ ไร้ความนึกคิด คิดอะไรไม่ได้อีกเลย
หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้นอย่างมีแผนการด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องนี้จะไม่จบเช่นนี้แน่นอน ข้าจะทำให้จวนอู่โหวไม่กล้าอวดดีในเมืองหลวงอีกต่อไป”
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีได้ยินดังนั้นก็ถามขึ้นพร้อมกันว่า “ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราหรือไม่” เรื่องอื่นอาจจะยาก แต่ด้วยการพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้คนที่บ้านตระกูลเมิ่งก่อร่างสร้างขึ้นมา เรื่องการทำลายการค้าขายของจวนอู่โหวนั้นก็ไม่เป็นปัญหาเลย
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายศีรษะ “ขอบคุณพี่ใหญ่ พี่รองขอรับ พวกท่านไม่ต้องออกโรงหรอก ข้ามีวิธีของข้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
ชิงหลวนเข้ามารายงาน “นายหญิง ท่านหญิงตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเส้าพวกเขาลุกขึ้นทันที และมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตั้งตารอ
“ไปเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
พูดจบ ทุกคนก็พุ่งอตัวออกจากเรือนรับรองอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็ลุกขึ้นยืน พูดว่า “เราก็ไปดูเย่ว์เอ๋อร์กันเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น เดินนำทุกคนมาถึงห้องของตนเอง
เมิ่งเส้าและคนอื่นๆ ล้อมเตียงหวงฝู่เย่าเย่ว์ ไถ่ถามไม่หยุด บ้างถามว่านางรู้สึกอย่างไรบ้าง บ้างก็ถามว่านางอยากกินอะไร พระชายาฉีออกจากบริเวณหัวเตียง ยืนอยู่ข้างหนึ่ง ยิ้มมองเมิ่งเส้าและคนอื่นๆ ทั้งสี่คน
หลังจากหลับไปอีกตื่นหนึ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็รู้สึกดีขึ้นมาก ยิ้มพูดกับทุกคนว่า “พี่ ข้าไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้ก็ไปเล่นกับพวกพี่ได้แล้วล่ะ”
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ได้ยินประโยคนี้ของนางพอดี จึงยิ้มพูดว่า “เกรงว่าพรุ่งนี้จะยังไม่ได้ จากสภาพร่างกายตอนนี้ อย่างไรก็ต้องนอนพักบนเตียงสักสิบวันหรือครึ่งเดือน”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ร้องโอดครวญจนหน้าบู้บี้ “ท่านแม่เจ้าขา ข้าจะขึ้นราเอานะเจ้าคะ”
ทุกคนหัวเราะนาง
เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอะไร เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีจึงวางใจ
หวงฝู่เย่าเย่ว์เห็นพวกเขา ตาก็พลันลุกเป็นประกายประหนึ่งเจอผู้ช่วยชีวิตไว้ หลังจากขานเรียกทั้งสองแล้ว ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ท่านลุง ข้าคิดถึงตากับยายแล้ว วันนี้ข้ากลับไปหาพวกเขาพร้อมพวกท่านได้ไหมเจ้าคะ”
เมิ่งเสียนจะไม่รู้เจตนาของนางได้อย่างไร เขายิ้มพูดว่า “ข้าไม่ได้บอกตายายของเจ้าที่เจ้าตกน้ำนะ เจ้าแน่ใจว่าจะกลับไปหาพวกเขาพร้อมข้าหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่กล้า หากพวกเขาทั้งสองรู้เข้า พวกเขาต้องตกใจด้วยแน่ แม่ของตนก็คงได้ถลกหนังหัวของตนแน่ๆ เมื่อแผนของตนพัง นางก็ถอดถอนใจ เสียงถอนหายใจดังยาวเหยียด ทำปากมุ่ย แสดงสีหน้าท่าทางน่าสงสาร
ทุกคนหัวเราะนางอีกครั้ง
หลังจากมาดูแล้วเห็นว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็พูดกำชับสองสามคำ เมื่อเห็นเริ่มพลบค่ำแล้ว ก็กลับบ้านไป ก่อนจะไป เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับทั้งสองคนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเล่าเรื่องนี้ให้เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อฟัง จะมีแต่ทำให้พวกเขากังวลใจเอาได้
เมิ่งเสียนพยักหน้า แต่ไม่กล้ารับปาก เพราะรู้ว่าเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ น่าจะยากหากจะปิดบังพวกเขาไว้
หลังจากส่งทุกคนกลับไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับห้องของตนไป ยิ้มพูดกับพระชายาฉีว่า “เสด็จแม่ วันนี้เสด็จพ่อปะทะกับนายท่านอู่โหว พลาดท่าให้เล็กน้อย ท่านกลับไปดูหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ข้าดูแลเย่ว์เอ๋อร์เอง”
พระชายาฉีเบิกตาโต ถามอย่างไม่เชื่อว่า “เสด็จพ่อของเจ้าบาดเจ็บหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบว่า “ไม่เชิงว่าบาดเจ็บ แค่ถูกต่อยเข้าตรงหน้าน่ะเจ้าค่ะ”
“ไอ้หัวเฒ่า เก่งกาจอวดดีในจวนนักหนา แต่พอไปข้างนอกกลับสู้ไม่ไหว” พระชายาฉีบ่นอุบอิบ แต่รู้สึกสงสารจับใจ นางลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์หัวเราะ หยอกพระชายาฉีว่า “ท่านย่า ข้าได้ยินที่ท่านพูดหมดแล้วนะ ข้าจะไปแอบฟ้องท่านปู่แน่”
“ไม่ต้องให้เจ้าไปบอกหรอก เดี๋ยวข้าเจอเขาก็จะพูดเช่นนี้เหมือนกัน” พระชายาฉีเดินต่อไปเรื่อยๆ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหยอกล้อ
หวงฝู่เย่าเย่ว์สะอึก ตกใจจนอ้าปากค้างมองพระชายาฉีจนเดินลับไป
หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาแล้ว เจียงจิ่นก็ไม่ควรอยู่ในห้องอีก นางจึงกำชับหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วเดินจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งนางออกไป เมื่อเห็นเงาของนางหายลับไป ก็สั่งชิงหลวนด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ส่งคนไปส่งข่าวให้สำนักคุ้มภัย บอกว่าวันนี้เจ้าจะกลับไปดึกหน่อย เดี๋ยวไปทำธุระกับข้า”
ชิงหลวนนึกขึ้นได้ทันทีว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะให้ไปทำอะไร นางดีใจจนขานรับเสียงดังใสแจ๋ว “รับทราบเจ้าค่ะ นายหญิง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น