ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 48.2-52.1
ตอนที่ 48-2 ลอบทำร้าย
เฮ่อเหลี่ยนตกตะลึงพรึงเพริด เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างพูดไม่ออก “เจ้า เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตตรวจดูกริชที่ไม่มีรอยเลือดเบาๆ กล่าวถามด้วยรอยยิ้มราวกับบุปผาแรกแย้มว่า “คุณชายใหญ่คราวนี้เชื่อหรือยัง ใครจะตายในน้ำมือของใคร วันนี้ยังไม่แน่นอนเลย”
ท่าทีของเฮ่อเหลี่ยนไม่อาจใช้คำว่าดูไม่ได้มาอธิบายได้ สงบจิตสงบใจได้แล้วจึงร้องอย่างบ้าคลั่งว่า “เจ้าอย่าหยิ่งผยองเกินไปนัก ถึงเจ้าจะมีความสามารถมากเพียงใด วันนี้ก็หนีไม่พ้น ไม่ได้ชีวิตของเจ้าข้าไม่มีวันรามือเด็ดขาด”
แววตาของเมิ่งเชี่ยนโยวฉายแววเ**้ยมเกรียม ทั่วทั้งตัวราวกับว่าจะกลายเป็นมีดที่คมกริบ มีไอสังหารแผ่ออกมารอบตัว ม้าของเฮ่อเหลี่ยนร้องอย่างตื่นตระหนกจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว
เฮ่อเหลี่ยนเกือบจะถูกม้าสะบัดตกลงมา จึงรีบดึงบังเ**ยนไว้ทันที นั่นจึงรักษาสมดุลเอาไว้ได้
เดิมทีชายฉกรรจ์อีกคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าม้าของเฮ่อเหลี่ยนที่หวาดผวาจากกระบวนท่าเพียงท่าเดียวที่ปลิดชีวิตของเพื่อนจนแทบจะทนไม่ไหว ตอนนี้ยังถูกไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของเมิ่งเชี่ยนโยวบีบจนต้องถอยหลังไปอีกก้าว ในใจยิ่งรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง มือที่ถืออาวุธอยู่ก็สั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าได้โอกาสเหมาะก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอให้ชายฉกรรจ์ได้รู้สึกตัว ประกายมันปลาบที่อยู่ในมือก็ทะลุผ่านลำคอของเขาไปแล้ว
ชายฉกรรจ์ไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้ส่งเสียงออกมา ก็ล้มตึงลงไปกับพื้น
เฮ่อเหลี่ยนตกตะลึงโดยไม่ต้องบอกก็รู้ ร้องเสียงแหลมอย่างลนลานว่า “รีบเข้ามาคุ้มครองข้า!”
ยังพูดไม่จบประโยค เมิ่งเชี่ยนโยวก็เตะดาบใบใหญ่ที่อยู่ในมือของชายฉกรรจ์ที่ล้มลงไปขึ้นมา
ดาบใบใหญ่ลอยละลิ่วพุ่งเข้าไปหาเฮ่อเหลี่ยน
เฮ่อเหลี่ยนร้องขึ้นมาอย่างตกใจ แล้วก็กลิ้งตกลงจากม้า ม้าตกใจร้องฮี๊ลากเสียงยาวขึ้นทีหนึ่ง แล้วก็วิ่งถอยออกไปหลายก้าว จนเฮ่อเหลี่ยนเกือบจะโดนเกือกม้าเตะไปที่ตัว
ยังถือว่าเฮ่อเหลี่ยนความรู้สึกไว กลิ้งออกมาหลายตลบถึงจะหลบจากเกือกม้าได้พ้น แต่ก็ตกใจจนนอนเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น
อีกหลายคนที่หมายจะเข้ามาคุ้มครองเฮ่อเหลี่ยน พอเห็นฉากนั้นก็ตกใจจนเหงื่อผุดซึมออกมา แล้วก็รีบกระโจนเข้ามาแล้วอุทานว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เฮ่อเหลี่ยนที่นอนราบอยู่กับพื้นใจหายสติยังไม่กลับมา สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หลายครั้ง แล้วจึงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “อย่าเพิ่งสนใจข้า รีบส่งหญิงต่ำช้าคนนั้นไปพบท่านยมบาลเร็ว”
ชายฉกรรจ์ต่างก็ขานรับคำสั่ง แล้วก็เดินตรงเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว
ตายไปสอง ยังเข้ามาอีกสาม พริบตาเดียวความกดดันของเหวินเปียวและคนอื่นต่างก็บรรเทาลง ไม่รู้สึกเหนื่อยที่ต้องจัดการกับคนไม่กี่คนด้วยมือเปล่า
กัวเฟยนั้นไม่เหมือนกัน เขามีหน้าที่ที่ต้องดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้เห็นชายฉกรรจ์สามคนกำลังโอบล้อมเข้าไป แต่ตัวเองกลับต่อสู้พัวพันอยู่กับอีกสองคน ไปช่วยไม่ได้จึงรู้สึกกระวนกระวายใจ ใจลอยแค่เพียงเสี้ยววินาที เกือบโดนชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งใช้ดาบใหญ่ฟันเฉียดแขน
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างสงบหนักแน่นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ใช้สมาธิต่อสู้กับพวกเขา รีบสู้รีบจบ พวกเราจะได้รีบออกไปโดยเร็ว”
กัวเฟยจึงดึงสติกลับคืนมาได้ แล้วดึงมีดสั้นประจำขององครักษ์ออกมาต่อกรกับชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างตั้งใจ
ในมือของเมิ่งเชี่ยนโยวมีกริชจึงไม่เกรงกลัวทั้งสามคนนั้น ต่อสู้กันไปหลายรอบก็มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งพลาดท่าถูกกริชเฉือนเนื้อที่แขนไปได้ เนื้อถูกเฉือนออกจนเห็นกระดูกสีขาวโผล่ออกมา
ชายฉกรรจ์ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด กุมแขนแล้วนอนกลิ้งลงไปกับพื้น
ส่วนช่ายร่างกำยำอีกสองนายเหม่อลอยไปเพียงเสี้ยววินาที ก็ถูกนางแทงไปที่จุดตายของแต่ละคน
ชายฉกรรจ์ทั้งสามนอนกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับร่ำไห้ไม่หยุด คนที่อาศัยอยู่รอบๆ ได้ยินแล้วก็รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมา ยิ่งไม่กล้าเปิดประตูออกมามุงดู
เสียงโอดครวญร่ำไห้นี้ก็ทำให้ชายฉกรรจ์คนอื่นละความสนใจหันไปมองเช่นกัน มีดสั้นที่อยู่ในมือของกัวเฟยกระทบแสงเป็นมันแปลบ แล้วชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ต่อสู้อยู่กับเขาก็โดนสังหารไป ชายฉกรรจ์อีกคนก็ถอยหลังไปด้วยความตกตะลึง
ชายฉกรรจ์คนที่เหลือก็ถูกเหวินเปียวและคนอื่นจัดการจนเหลือแค่แรงต่อสู้เท่านั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งกริชที่อยู่ในมือเล่น เดินทีละก้าวทีละก้าวไปหาเฮ่อเหลี่ยนที่กำลังถอยหลังอย่างหวาดผวาไม่หยุดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายใหญ่เฮ่อ ท่านว่าข้าจะเอาชีวิตของท่าน หรือว่าจะไม่เอาชีวิตของท่านดี”
เฮ่อเหลี่ยนถอยหลังอย่างหวาดกลัว แล้วกล่าวราวกับมีผู้สนับสนุนว่า “เจ้ากล้าหรือ ข้าเป็นถึงขุนนางของราชสำนัก ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรข้า ฮ่องเต้จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิดนัก เพื่อลดความวุ่นวายข้าจะไม่เอาชีวิตเจ้าแล้ว เหลือไว้ให้เจ้าแค่แขนข้างหนึ่งกับขาอีกข้างหนึ่งดีหรือไม่”
เฮ่อเหลี่ยนยิ่งรู้สึกหวาดกลัว ร้องตะโกนขึ้นอย่างสุดชีวิตว่า “ช่วยข้าด้วย!”
ชายฉกรรจ์ที่เหลือต่างก็ติดพันอยู่กับเหวินเปียวและคนอื่น จะแยกร่างออกไปช่วยเขาได้อย่างไร
เฮ่อเหลี่ยนหวาดกลัวอย่างที่สุด เขาถอยหลังไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวยกกริชขึ้นมาหมายจะลงมือ ทว่าได้ยินเสียงเกือกม้าดังเข้ามาก่อน ต่อมาก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งที่ดูจะมีอำนาจดังขึ้นมาว่า “ผู้ใดกันที่ตีกันกลางถนนในตอนกลางวันแสกๆ”
เสียงมาถึงคนก็มาถึงเช่นกัน ด้านหลังยังมีทหารที่แต่งกายอย่างครบถ้วนบริบูรณ์มาอีกหนึ่งกอง
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกริชลงไป
คนที่เหลือต่างก็หยุดการต่อสู้เช่นกัน
พอเห็นคนที่อยู่บนหลังม้า เฮ่อเหลี่ยนก็แสดงท่าทางราวกับว่าเห็นเทวดามาโปรด ทั้งกลิ้งทั้งคลานจนมาถึงข้างหน้าม้า ร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่นว่า “ผู้บัญชาการโต้วช่วยข้าด้วย”
ผู้บัญชาการโต้วเห็นคนที่อยู่ใต้ม้ามีเศษดินเต็มตัวไปหมด รู้สึกเวทนาไม่น้อย น้ำเสียงก็ฟังดูคุ้นเคย พอพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ต้องตกใจ จากนั้นก็รีบกระโดดลงมาจากม้าแล้วลนลานถามขึ้นว่า “คุณชายใหญ่ ทำไมท่านมีสภาพเช่นนี้ได้”
เฮ่อเหลี่ยนไม่มีเวลามาสนใจสภาพของตัวเองแล้ว มือข้างหนึ่งกำชายเสื้อของผู้บัญชาการโต้วไว้ แล้วกล่าวอย่างหวาดผวาว่า “ผู้บัญชาการโต้ว ท่านต้องช่วยข้านะ มีคนจะฆ่าข้า”
ผู้บัญชาการโต้วได้ยินดังนั้นก็กวดตามองไปรอบๆ เห็นบนพื้นมีศพคนตายอยู่หลายศพ ยังมีชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด แล้วก็ขมวดคิ้ว ในแววตาเกิดความรู้สึกประหลาดใจ จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน กล้าทำร้ายคนที่กลางถนนเลยหรือ ไม่เห็นข้ากองกำลังปัญจทิศรักษานครอยู่ในสายตาเลยหรือ”
กัวเฟยเคยอยู่ในกองกำลังทหารของเมืองหลวง เคยได้ยินว่าเขาเป็นคนของกองกำลังปัญจทิศรักษานคร ในใจก็ลอบร้องขึ้นอย่างขมขื่น รู้แล้วว่าวันนี้ต้องวุ่นวายอีกเป็นแน่ จึงยกสองมือขึ้นคำนับพร้อมกับกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “พวกข้าต่างก็มาทำการค้าขาย แล้วผ่านมาทางนี้ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดถึงถูกคนเหล่านี้ตามฆ่าได้ ถูกสถานการณ์บังคับจึงต้องสู้กลับขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนที่สติยังไม่กลับคืนมาดี ก็ฝืนลุกขึ้นจากพื้น หายใจหอบสักพักแล้วกล่าวว่า “ผู้บัญชาการโต้ว พวกเขากำลังพูดปด พวกเขาไม่สนใจคำสั่งห้ามของราชสำนัก ลอบเข้าไปในจวนที่ถูกอายัดไว้ เผอิญข้าเห็นเข้าพอดี จึงคิดจะจับพวกเขาไปส่งที่คุกหลวง แต่พวกเขากลับขัดขืน สังหารคนของข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเย็นชา กล่าวถากถางว่า “คุณชายใหญ่ช่างน่าเกรงขามจริงๆ ออกจากบ้านก็ต้องพาคนที่ถืออาวุธครบมือออกมาด้วย ไม่ทราบว่านี่ผิดกฎหมายของเมืองหลวงหรือไม่เจ้าคะ”
—————————-
* หุบเขาห้านิ้ว(五指山)หุบเขาที่กักขังซุนหงอคงไว้ห้าร้อยปีเพื่อรอพระถังซัมจั๋งมาปลดปล่อย เปรียบเปรยว่าถูกกักขังจนขยับไม่ได้
ตอนที่ 49-1 แผนวางยาพิษ
ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน เฮ่อเหลี่ยนถูกนางยอกย้อนเสียจนพูดไม่ออก
ผู้บัญชาการโต้วมองกลุ่มชายร่างกำยำที่ถืออาวุธครบมือแล้วก็ขมวดคิ้ว ถามเสียงดังว่า “คุณชายใหญ่ นี่พวกท่านจะไปที่ใดกันหรือ”
เห็นชัดว่านี่กำลังช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เขา มีหรือที่คุณชายใหญ่จะไม่เข้าใจ แล้วตอบกลับทันทีว่า “ข้ากำลังจะออกไปทำธุระนอกเมือง ด้วยเกรงว่าในระหว่างที่เดินทางอยู่อาจจะไม่ปลอดภัย จึงให้ลูกน้องพกอาวุธติดตัวออกมาด้วย ถ้าหากไม่เห็นพวกเขาแล้วต้องการจะจับตัว ก็คงจะไม่แสดงอาวุธออกมาให้ชาวบ้านแตกตื่นกันหรอก” พูดจบก็หันไปตำหนิช่ายร่างกำยำที่เหลือว่า “ผู้บัญชาการโต้วอยู่ที่นี่ ยังไม่เก็บอาวุธกันอีก กลับไปอยากโดนลงโทษใช่ไหม”
ชายฉกรรจ์ต่างก็วางอาวุธไว้ข้างหลัง
ผู้บัญชาการโต้วก็หันมาถามกัวเฟยเสียงดังว่า “ยอมรับความจริงมา พวกเจ้าเป็นใคร”
กัวเฟยกำลังจะตอบ ทว่าเฮ่อเหลี่ยนกลับรีบร้อนชี้หน้าเหวินเปียวและคนอื่นว่า “คนผู้นั้นก็คือนายน้อยแห่งสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนหยวน มิใช่คนผ่านทางอย่างที่พวกเขาพูด พวกเขามาที่แห่งนี้ในวันนี้ก็เพื่อกลับมาเยี่ยมสำนักคุ้มภัย เผอิญว่าพวกเขากระโดดออกมาจากข้างในพอดี ข้าจึงสังเกตเห็นเข้า หากผู้บัญชาการโต้วไม่เชื่อก็สามารถส่งคนเข้าไปตรวจสอบได้ ในเรือนไร้ผู้อาศัยมานาน จะต้องเหลือรอยเท้าของพวกเขาไว้บ้าง”
ผู้บัญชาการโต้วถามทุกคน “ที่คุณชายใหญ่พูดเป็นความจริงหรือไม่”
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว คิดจะปฏิเสธก็คงไม่ได้ แต่ถ้าสามารถรอดพ้นได้คนหนึ่งก็ดีกว่าไม่มีใครรอดเลย เหวินเปียวก้าวออกมาข้างหน้า ยอมรับตรงๆ ว่า “ใช่ขอรับ พวกเราสามคนพี่น้องก็คือนายน้อยแห่งสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนหยวนจริง เมื่อห้าปีก่อนถูกตัดสินให้เป็นทาสหลวง ส่งไปยังที่ต่างๆ วันนี้มีธุระที่ต้องติดตามนายหญิงมายังเมืองหลวง เกิดยับยั้งความคิดไว้ไม่ได้ นึกอยากจะกลับมาเยี่ยมดูที่จวน แล้วก็เกิดระงับความคิดไว้ไม่ได้อีก จึงได้กระโดดเข้าไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายหญิงเลย ถ้าหากใต้เท้าต้องการสำเร็จโทษประหารชีวิตของพวกเราพวกเราก็ยินยอม แต่ได้โปรดอย่าทำให้นายหญิงของเราต้องเดือดร้อนไปด้วยเลยขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนจึงได้สติกลับคืนมา แล้วกล่าวอย่างถือดีว่า “เป็นไปไม่ได้ เจ้าคิดว่าข้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางตามพวกเจ้าเข้าไปด้วย ตามกฎหมายของเรา ถึงอย่างไรนางก็หนีความผิดไม่พ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้แก้ตัว กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ถ้าเช่นนั้นคนรับใช้คนนี้ของข้าล่ะ เขามิได้ตามเข้าไปด้วย เช่นนั้นก็ปล่อยเขาได้ใช่ไหม”
กัวเฟยปฏิบัติตามคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน ตบหน้าเฮ่อเหลี่ยนถึงสองครั้งต่อหน้าผู้คนมากมาย เฮ่อเหลี่ยนรู้สึกไม่พอใจจากเรื่องนี้มาโดยตลอด วันนี้อุตส่าห์ได้โอกาสทั้งที มีหรือเขาจะยอมปล่อยไปง่ายๆ พูดเสียงหึขึ้นจมูกแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าเข้าไปในสำนักคุ้มภัย เป็นความผิดของเจ้านาย เขาคอยเฝ้าระวังส่งข่าวให้พวกเจ้าอยู่ข้างนอก ก็ถือเป็นความผิด ปล่อยไปไม่ได้เช่นเดียวกัน”
ผู้บัญชาการโต้วกระแอมไอเบาๆ หนึ่งที
เฮ่อเหลี่ยนจึงรู้ตัวว่าตัวเองนั้นออกนอกหน้าเกินไป จึงรีบหันมาถามอย่างประจบประแจงว่า “ผู้บัญชาการโต้ว ท่านว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่”
เฮ่อเหลี่ยนเป็นคุณชายใหญ่แห่งจวนเสนาบดี ถึงแม้ตัวเองนั้นจะไม่มีความสามารถอะไร แต่เสนาบดีมีตำแหน่งใหญ่โต อีกทั้งยังมีน้องสาวที่เป็นพระชายารองของจวนอ๋อง แม้ว่าผู้บัญชาการโต้วจะดูแคลนเขามากเพียงใด แต่ก็ต้องไว้หน้าเขาถึงสามส่วน จึงพยักหน้าเห็นด้วย “คุณชายใหญ่กล่าวไว้ไม่มีผิด เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
เฮ่อเหลี่ยนมองทุกคนอย่างลำพอง แววตาราวกับจะบอกว่าพวกเจ้าต้องตายแน่ๆ
ผู้บัญชาการโต้วถามเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นเสียงดังลั่นว่า “พวกเจ้ามีอะไรจะพูดอีก”
สิ่งที่สมควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ผู้บัญชาการโต้วเป็นคนของกองกำลังปัญจทิศรักษานคร กินข้าวในคลังหลวง มีตำแหน่งเป็นขุนนาง หากทุกคนทำอะไรโดยพลการแล้วละก็ อาจจะถูกเขาจับจุดอ่อนก็เป็นได้ จนถึงขั้นกลายเป็นโทษที่ร้ายแรง จะแก้ต่างอะไรไม่ได้อีก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงตอบกลับไปว่า “ไม่มีสิ่งใดต้องพูดอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” ผู้บัญชาการโต้วโบกมือ สั่งทหารที่อยู่ข้างหลังว่า “คุมตัวพวกเขาไปขังคุก รอเวลาค่อยตรวจสอบและตัดสิน”
ทหารหลายนายเดินเข้ามา ตะคอกให้พวกเขาเดินตามไป
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้กัวเฟยที่คิดจะขัดขืนว่าอย่าวู่วามทำสิ่งใด
กัวเฟยไร้ทางเลือก จึงเลิกคิดที่จะต่อสู้จนตัวตายเพื่อช่วยให้เมิ่งเชี่ยนโยวหนีไป เดินมาป้องกันเมิ่งเชี่ยนโยวอีกด้านแล้วเดินตามทหารที่เดินนำออกไปก่อน
ผู้บัญชาการโต้วกระโดดขึ้นม้า ถามเฮ่อเหลี่ยนว่า “คุณชายใหญ่ จะออกนอกเมืองไปต่อหรือจะกลับจวน”
“วันนี้โชคร้าย ออกจากบ้านมาก็เจอกับเรื่องเช่นนี้จึงไม่คิดออกไปนอกเมืองแล้ว ข้าจะพาคนรับใช้ที่จงรักภักดีเหล่านี้กลับจวน จัดการศพให้พวกเขาอย่างดีที่สุด” เฮ่อเหลี่ยนตอบอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย
ผู้บัญชาการโต้วพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นโต้วโหม่วต้องขอตัวก่อน วันหน้าในตอนที่ตรวจสอบคดีต้องการให้คุณชายใหญ่มาเป็นพยาน ขอคุณชายใหญ่อย่าได้ปฏิเสธ”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” เฮ่อเหลี่ยนกล่าวอย่างประจบสอพลอหน้าไม่อายว่า “เพียงผู้บัญชาการโต้วต้องการเฮ่อเหลี่ยนให้ช่วยยามใด เฮ่อเหลี่ยนจะมาถึงทันทีที่เรียกหา”
ผู้บัญชาการโต้วพยักหน้า กล่าวอย่างเกรงใจอีกหนึ่งประโยคแล้วก็ควบม้าตามหลังขบวนไป
ในตอนที่เหวินเปียวเดินผ่านหน้าประตูบ้านของพี่หลี่นั้น จู่ๆ ก็หยุดชะงัก แล้วหันกลับไปถามด้วยน้ำเสียงที่จงใจพูดให้ดังขึ้นว่า “นายท่าน ม้าของพวกเราไม่มีความผิดใช่หรือไม่ ขอให้ท่านช่วยส่งกลับร้านบะหมี่มันฝรั่งที่อยู่ตรงข้ามเหลาจวี้เสียนด้วยเถิดขอรับ”
ทหารที่คุมตัวเขาผลักเขาทีหนึ่ง แล้วตะคอกขึ้นว่า “ชีวิตของพวกเจ้ายังไม่รู้ว่าจะรักษาไว้ได้หรือไม่ ยังมีหน้าไปเป็นห่วงม้าอีก รีบเดินเร็วเข้า!”
เหวินเปียวหมุนร่างมองเข้าไปในบ้านของพี่หลี่แวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินตามเหล่าทหารไป
เฮ่อเหลี่ยนหรี่ตามองผู้บัญชาการโต้วที่คุมตัวพวกเขาออกไปไกลแล้ว สั่งชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ว่า “ไปดูหน่อยสิ พวกเขาถูกคุมตัวไปที่ใด แล้วรีบกลับมารายงานข้า”
ชายฉกรรจ์รับคำสั่งแล้วก็รีบวิ่งตามไป
เฮ่อเหลี่ยนหันกลับไปมองชายฉกรรจ์ทั้งที่ตายไปแล้วและทั้งที่ยังร้องโอดครวญด้วยสายตารังเกียจ แล้วสั่งคนที่เหลือว่า “โยนพวกเขาทิ้งไว้ที่สุสานอนาถา จะเป็นหรือตายแล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิต”
ชายฉกรรจ์ที่เหลือต่างก็ตกตะลึง คนหนึ่งชี้ไปที่ชายฉกรรจ์หลายคนที่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่ แล้วกล่าวหยั่งเชิงว่า “คุณชายใหญ่ขอรับ บาดแผลของพวกเขายังไม่ถือว่าสาหัส หาหมอมารักษาให้พวกเขา ไม่นานก็หายดีแล้ว”
เฮ่อเหลี่ยนลืมท่าทางอันน่าสมเพชของตัวเองไปจนสิ้นแล้ว ส่งเสียงหึขึ้นจมูกแล้วกล่าวว่า “เศษสวะไร้ประโยชน์ แค่หญิงชั้นต่ำคนเดียวก็ต่อกรไม่ได้ เก็บพวกเขาไว้จะมีประโยชน์อะไร” พูดจบก็โบกมือด้วยความรังเกียจ “รีบเอาไปโดยเร็ว ข้าจะรำคาญใจเสียก่อน”
ชายฉกรรจ์มองหน้ากันไปมา ต่างก็มองเห็นความขมขื่นในสายตาของกันและกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่เดินเข้าไป มีคนเอารถม้าเข้ามา แล้วก็ขนคนเข้าไปไว้ในรถม้า แล้วก็เดินออกไปยังสุสานอนาถาด้วยความรู้สึกที่หดหู่
เฮ่อเหลี่ยนไม่ได้สังเกตเห็นอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขา แล้วสั่งคนที่เหลือว่า “ไป พวกเรากลับไปรอฟังข่าวที่จวน”
รอจนกระทั่งทุกคนไปกันหมดแล้ว พี่หลี่ถึงกล้าเดินออกมาจากบ้าน กวาดตามองไปรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีคนแล้วก็รีบวิ่งไปยังทิศทิศทางของเหลาจวี้เสียนทันที
ผู้บัญชาการโต้วจับเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นคุมขังไว้ในคุก กล่าวกับผู้ดูแลที่คุมขังว่า “คนเหล่านี้กล้าละเลยกฎหมาย ลักลอบเข้าไปในจวนที่ถูกอายัดไว้ อีกทั้งยังเข่นฆ่าและทำร้ายร่างกายคนของคุณชายใหญ่บุตรของใต้เท้า พวกเจ้าเอาพวกเขาไปขังไว้ในคุกก่อน รอสักระยะค่อยสืบสวนอีกครั้ง”
พอได้ยินว่าฆ่าคนของเฮ่อเหลี่ยน ผู้ดูแลที่คุมขังก็รู้ดีว่าทุกคนต้องมีจุดจบที่ไม่ดีเป็นแน่ หลังจากที่รับคำสั่งอย่างนอบน้อมแล้วก็หันมาตะโกนขับไล่ทุกคนให้เข้าไปในคุก “พวกเจ้านี่ก็ช่างไม่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร กล้าฆ่าคนของคุณชายใหญ่ รอรับโทษไปเถอะ”
ทุกคนไม่ได้พูดอะไร
ผู้ดูแลที่คุมขังแยกทุกคนไปขังไว้ในห้องขังสองห้อง ห้องหนึ่งด้านซ้าย อีกห้องอยู่ด้านขวา พอปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็บ่นพึมพำอีกหลายคำ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ตอนที่ 49-2 แผนวางยาพิษ
เหวินเปียวอยู่ติดประตูคุก กล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรู้สึกผิดว่า “แม่นางขอรับ พวกเราทำให้ท่านต้องเดือดร้อนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงอีกด้านของคุก ตั้งเข่าชันขึ้นนั่งลงบนกองฟางอย่างสบายๆ ยิ้มอย่างไม่ยี่หระแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าต่างก็เคยถูกขังอยู่ในคุกแล้ว มีข้าคนเดียวที่ยังไม่เคยมา พอดีวันนี้มาหาประสบการณ์สักครั้ง ดูสิว่าจะมีรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
กัวเฟยกลัวว่าทุกคนจะรู้สึกเสียใจ จึงยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “แม่นางพูดถูกแล้ว ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นถึงได้เดินตามพวกเขามา ไม่เช่นนั้นด้วยวิทยายุทธ์ของข้า ทหารพวกนั้นทั้งหมดก็ยั้งไว้ไม่อยู่”
เหวินเปียวและคนอื่นรู้ว่าเขากำลังทำให้ตัวเองสบายใจอยู่ จึงตบไหล่เขาเบาๆ ใบหน้าแสดงออกว่ารู้สึกผิดอยู่เต็มเปี่ยม “เพื่อนกัว ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”
กัวเฟยกล่าวอย่าเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า “พวกเราเป็นเพื่อนรักกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน พูดเช่นนั้นก็เห็นข้าเป็นคนนอกแล้ว”
เหวินเป้าโทษตัวเองยิ่งกว่า “พี่ใหญ่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าที่ทำให้พวกท่านเดือดร้อน”
เหวินเปียวตบไหล่เขาไม่ได้พูดอะไร แล้วก็นั่งลงบนกองฟางที่พื้น
เหวินหู่ก็เดินมาตบบ่าเขาเช่นกัน แล้วเดินตามไปนั่งกับเหวินเปียว
เหวินจงเดินตามไปนั่งเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา
เหวินเป้าทุบกำแพงห้องขังอย่างรู้สึกเสียใจ แล้วก็นั่งลงโดยมีสีหน้าที่โทษตัวเอง
กัวเฟยเหลือบมองทุกคนปราดเดียว แล้วก็ไปนั่งข้างๆ อย่างเงียบเชียบ
ชายฉกรรจ์ที่เฮ่อเหลี่ยนส่งมาได้ติดตามทหารอยู่เบื้องหลัง พอเห็นพวกเขาจับเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นไปขังไว้ในคุก ก็รีบวิ่งกลับไปรายงาน
เฮ่อเหลี่ยนพักอยู่ที่จวนในเมืองตงเฉิง ซึ่งในเวลาทั่วไปจวนนี้เป็นที่พักของคนเหล่านี้ที่เลี้ยงดูไว้เอง พอได้ยินสิ่งที่ชายฉกรรจ์ที่กลับมารายงาน เฮ่อเหลี่ยนก็พลันผุดลุกขึ้นทันที แล้วส่งเสียงหัวเราะเย็นชา “ในที่สุดวันนี้ก็ถึงวันที่ข้าได้แก้แค้นแล้ว ข้าจะต้องให้พวกมันทุกคนร้องขอชีวิตก็มิได้ ร้องขอความตายก็ไม่ได้”
พูดจบก็ไม่สนใจชายฉกรรจ์ที่อยู่ภายในเรือน แล้วเดินก้าวอาดๆ ออกจากเรือนไป ขี่ม้ารีบไปยังคุกขังเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว แล้วก็พลิกกายลงจากหลังมา สั่งทหารที่เฝ้าคุกว่า “ไปเรียกผู้ดูแลที่คุมขังของพวกเจ้ามาพบข้า”
พัศดีจำเขาได้ จึงรีบไปตามผู้ดูแลที่คุมขังทันที
พอผู้ดูแลที่คุมขังได้ยินทหารรายงานก็รีบเดินออกมารับที่หน้าประตูอย่างร้อนรน แล้วโน้มตัวลงประสานมือคารวะเฮ่อเหลี่ยนอย่างเต็มที่ จากนั้นก็กล่าวถามอย่างประจบสอพลอว่า “คุณชายใหญ่หาข้าน้อยมีเรื่องสำคัญอันใดหรือขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนวางท่าแล้วเอ่ยถามเสียงดังว่า “เมื่อครู่นี้ผู้บัญชาการโต้วส่งคนมาขังไว้ที่แห่งนี้ใช่หรือไม่”
ผู้ดูแลที่คุมขังพยักหน้าอย่างนอบน้อม แล้วกล่าวอย่างประจบประแจงว่า “เรียนคุณชายใหญ่ขอรับ คุมขังอยู่ที่แห่งนี้จริงขอรับ มิทราบว่าท่านต้องการให้ทำสิ่งใดหรือ”
“ยื่นหูเข้ามาใกล้ๆ ข้าจะบอกเจ้าเอง”
ผู้ดูแลที่คุมขังเดินก้าวเข้ามาหยุดที่ข้างหน้าของเขา
เฮ่อเหลี่ยนกระซิบกระซาบอยู่ที่ข้างหูของเขา
ผู้ดูแลที่คุมขังทำตาโต นานหลายอึดใจถึงกล่าวด้วยความรู้สึกลำบากใจว่า “คุณชายใหญ่ พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาในคุกเองขอรับ ยังมิได้ตรวจสอบความผิด หากตอนนี้ลงโทษพวกเขา ข้าเกรงว่าจะอธิบายต่อเบื้องบนได้ยาก”
“กลัวอะไรกัน” เฮ่อเหลี่ยนตำหนิเขา “หากเกิดเรื่องขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง”
คนที่เป็นขุนนางเหล่านี้ตอนพูดก็พูดน่าฟังอยู่หรอก หากเกิดเรื่องขึ้นจริง แล้วเบื้องบนมีโทษลงมา พวกเขาก็จะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาทันที ผู้ดูแลที่คุมขังรู้ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของพวกเขา จึงค่อนข้างลังเลตัดสินใจไม่ได้
เฮ่อเหลี่ยนคาดเดาสิ่งที่อยู่ในใจของเขาได้ จึงกล่าวล่อใจเขาว่า “เดิมทีคนเหล่านี้ถูกตัดสินให้เป็นทาสหลวงอยู่แล้ว โชคดีที่หลายปีก่อนพวกเขาสามารถหลุดพ้นออกมาได้ บัดนี้ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง ถึงเจ้าจะไม่ทำเช่นนี้พวกเขาก็ได้รับโทษอยู่ดี อีกอย่างถ้าเจ้าทำเรื่องนี้ได้ดี ข้าจะมีรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”
พูดจบแล้วก็ล้วงตั๋วเงินใบหนึ่งที่อยู่ในอกออกมาวางลงบนมือของผู้ดูแลที่คุมขัง
“ขอบพระคุณคุณชายใหญ่ ขอบคุณคุณชายใหญ่มากขอรับ” ผู้ดูแลที่คุมขังก้มหน้ากล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม แล้วก็ถือโอกาสก้มลงมองตั๋วเงินที่อยู่ในมือ พอเห็นว่าเป็นเงินห้าสิบตำลึงก็ตกใจจนแทบจะเป็นลม แล้วตกปากรับคำว่า “คุณชายใหญ่โปรดวางใจขอรับ เรื่องนี้ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการอย่างดีที่สุดขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนพยักหน้า “ได้อย่างนั้นก็ดีที่สุดแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะมาใหม่อีกครั้ง”
ผู้ดูแลที่คุมขังรู้ว่าเขาจะต้องมาตรวจสอบว่าตัวเองได้ลงมือจริงหรือไม่ จึงกล่าวรับประกันว่า “คุณชายใหญ่วางใจได้ขอรับ ข้าน้อยจะไม่ยั้งมือต่อคนพวกนั้นเด็ดขาด เพียงแต่แม่นางผู้นั้น หากโดนทำลายไปด้วยก็ช่างน่าเสียดาย”
เฮ่อเหลี่ยนกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าอยู่กับนักโทษพวกนั้นทั้งวัน มีการใส่ร้ายสิ่งใดบ้างที่เจ้าไม่เคยเจอ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เห็นใจหญิงชั้นต่ำบ้านป่าเอาได้”
พอผู้ดูแลที่คุมขังได้ยินก็ถามอีกครั้งให้แน่ใจว่า “คุณชายใหญ่หมายความว่าแม่นางคนนั้นมาจากชนบทหรือขอรับ”
“ก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ส่วนฐานะของคนอื่นๆ ข้าก็ทราบดีทีเดียว เจ้าไม่ต้องกังวล ลงมือทำได้เลย จะไม่มีสิ่งใดผิดพลาดเป็นอันขาด”
ผู้ดูแลที่คุมขังพอได้ยินดังนั้นก็สบายใจขึ้น กล่าวรับประกันอย่างประจบสอพลอว่า “ถ้าเช่นนี้ข้าก็วางใจได้แล้ว ข้าจะสั่งให้คนลงมือเดี๋ยวนี้ คุณชายใหญ่รอฟังข่าวได้เลยขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนพยักหน้า มองผู้ดูแลที่คุมขังอย่างวางท่าแล้วหลังจากนั้นก็ขี่ม้าควบออกไป
ผู้ดูแลที่คุมขังก้มศีรษะโค้งคำนับลาอย่างนอบน้อม จนกระทั่งเฮ่อเหลี่ยนจากไปไกลแล้วถึงยืดกายตั้งตรง แล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทหารที่เฝ้าคุกทั้งสองนาย โบกตั๋วเงินในมือไปมาแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่คุณชายใหญ่มอบหมายให้ทำห้ามปล่อยให้รั่วไหลเด็ดขาด ไว้ข้าไปแลกเป็นตำลึงมาจะแบ่งให้พวกเจ้าด้วย”
การเฝ้าคุกเป็นงานหนัก พอพัศดีทั้งสองนายเห็นก็ดีใจยิ่งนัก กล่าวรับรองไม่ขาดปากว่า “ใต้เท้าโปรดวางใจเถิดขอรับ พวกข้าจะไม่ทำให้รั่วไหลออกไปเด็ดขาด”
ผู้ดูแลที่คุมขังพยักหน้าอย่างพึงพอใจ สองมือไพล่หลัง ผิวปากเป็นเพลงอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินกลับไปในเรือนจำเพื่อวางแผนว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี
เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น นั่งในคุกรอให้หวงฝู่อี้เซวียนมาช่วยเหลืออย่างสงบ
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ภายในเรือนจำจุดตะเกียงน้ำมันที่มีแสงริบหรี่เพียงสองตะเกียงเท่านั้น พัศดีสองนายที่มาส่งอาหารถือถังใบหนึ่งกับตะกร้าใบหนึ่งเดินเข้ามา ถือกระบวยไว้ในมือพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ได้เวลากินข้าวแล้ว!”
ทุกคนที่อยู่ในห้องขังต่างก็ลุกขึ้นมา เบียดเสียดแย่งกันมาอยู่ที่หน้าประตู รอให้พัศดีส่งข้าวให้
ดูเหมือนว่าพัศดีจะทำงานนี้มานานมากแล้ว ใช้กระบวยทั้งเคาะทั้งกระแทกที่ผนังคุกแล้วดุด่าเอ็ดตะโรเสียงดังว่า “บัดซบ จะเบียดอะไรกันนัก ประเดี๋ยวข้าโมโหจะเอาข้าวนี้ไปให้สุนัขกินให้หมด”
ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ในคุกจะได้ยินเขาพูดเช่นนี้จนชินชาแล้ว จึงเบียดเสียดกันอยู่เช่นเดิม
ถึงแม้พัศดีจะเอ็ดตะโรเช่นเดิม แต่ก็ยังเอาข้าวให้ทุกคนอยู่ดี
จนกระทั่งมาถึงห้องที่ขังพวกกัวเฟยไว้ กวาดสายตามองหน้าของทุกคนแวบหนึ่ง จากนั้นหยิบชามออกมาจากตะกร้า แล้วตักข้าวต้มวางไว้ที่หน้าประตูห้องขัง กล่าวว่า “ถูกตัดสินให้เป็นทาสหลวงยังไม่รู้จักเจียมตัวอีก ยังกล้าลอบเข้าไปในจวนที่ถูกอายัดอีก ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตแล้ว”
เหวินเปียวและคนอื่นต่างก็ไม่ได้พูดอะไร
พัศดีก็ไม่ได้สนใจพวกเขาอีก แล้วถือถังกับตะกร้าเดินไปที่หน้าประตูห้องขังที่ขังเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ แล้วก็เอาชามออกมาจากตะกร้าเช่นเดียวกัน ตักข้าวต้มวางไว้ที่หน้าห้องขัง “กินสิ กินคำหนึ่งจะได้มีแรงขึ้น ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ยังต้องเจอสิ่งใดอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น
พัศดีไม่ได้พูดอะไรอีก ถือถังกับตะกร้าไปส่งข้าวที่ห้องขังห้องอื่นต่อ
มองดูชามข้าวต้มที่สะท้อนภาพตนออกมาได้ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินไปหยิบชามข้าวต้มมาจากหน้าห้องขัง ส่งสัญญาณบอกให้กัวเฟยและคนอื่นๆ ก็กินไปด้วย
ไม่รู้ว่าต้องถูกขังนานเท่าไหร่หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะตามหาพวกเขาเจอ หากไม่กินอะไร ไม่เก็บแรงเอาไว้บ้าง ถ้าหากมีคนลงมือทำเรื่องเลวร้ายขึ้นมาเกรงว่าพวกเขาทุกคนคงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พอนึกได้เช่นนี้กัวเฟยก็ลุกขึ้นมาหยิบชามข้าวต้มไป
เหวินเปียวเองก็เข้าใจหลักการข้อนี้ดี จึงลุกขึ้นมาเช่นกัน
เหวินหู่กับเหวินเป้ารวมถึงเหวินจงพอเห็นเหวินเปียวแล้วก็ทำตามทันที เดินไปเอาชามข้าวต้มมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยกชามข้าวต้มจรดริมฝีปาก ยังไม่ได้กลืนลงไป นางคุ้นเคยกับการที่ต้องใช้ลิ้นแตะทดสอบเสียก่อน ทันใดนั้นก็ตะโกนบอกทุกคนทันทีว่า “อย่ากิน ในข้าวต้มมียาพิษ”
แต่ทว่าช้าเกินไปแล้ว ทุกคนกินข้าวต้มจนเกือบจะเกลี้ยงชามแล้ว
กัวเฟยและคนอื่นต่างก็รู้สึกสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกอะไรขึ้นได้ จึงเม้มริมฝีปากแน่น
ไม่นานกัวเฟยและคนอื่นก็ฝืนทนไม่ไหว ต่างก็ล้มลงไปตามๆ กัน
พัศดีที่ส่งอาหารเดินกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเทข้าวต้มที่อยู่ในชามออกไปบ้าง แล้วก็เลียนแบบท่าทางของกัวเฟยและคนอื่น นอนราบไปกับพื้นอ่อนด้วยท่าทางปวกเปียก
พัศดีเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องขังของนาง มองนางที่นอนอย่างอ่อนปวกเปียกแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า กล่าวอย่างนึกเสียดายว่า “ช่างน่าเสียดาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ความคิด
พัศดีเดินออกไปจากห้องขัง
กลางดึกคนที่อยู่ในคุกต่างก็นอนหลับกันหมดแล้ว จู่ๆ ก็มีแสงตะเกียงสว่างขึ้นในคุก ผู้ดูแลที่คุมขังพาคนเดินเข้ามา แล้วกล่าวเสียงดังวางอำนาจว่า “เอาคนใจกล้าบ้าบิ่นทั้งหมดที่มาในวันนี้ออกไปขึ้นศาล”
พัศดีขานรับคำสั่ง เดินมาถึงห้องขังที่คุมขังพวกกัวเฟยไว้ เปิดประตูออกแล้วลากคนที่นอนตัวอ่อนปวกเปียกในนั้นออกมา
คนที่อยู่ในห้องขังต่างก็เห็นจนชินชาแล้ว จึงไม่มีใครสนใจ แล้วก็นอนหลับในที่ของตัวเองเช่นเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวเกร็งประสาททุกส่วนไว้
ทว่าผู้ดูแลที่คุมขังมิได้สนใจนาง ตะโกนบอกให้คนลากกัวเฟยกับคนอื่นเสร็จแล้วจึงเดินออกไป
ภายในห้องจึงตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น ในตอนนั้นเองรู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหวบางอย่างขยับอยู่รอบตัว
ผ่านไปประมาณสิบห้านาที ประตูใหญ่ของเรือนจำก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนอยู่บนพื้น ไม่ขยับเขยื้อน
เสียงฝีเท้าหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องขังที่ขังนางไว้ เสียงปลดกุญแจดังขึ้น จากนั้นมีเงาของคนสามคนเดินแสยะยิ้มตรงเข้ามาหานางอย่างหื่นกระหาย
ตอนที่ 50 ปล้นคน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลิ้งหลบไปบนพื้น แล้วกระโดดลุกขึ้นมา
ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนตกตะลึง จ้องมองนางดวงตาที่เบิกกว้าง ถามขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาว่า “เจ้าไม่ได้สลบไปหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มเย็นชา ไม่ได้ตอบคำถาม แต่ยกเท้าข้างหนึ่งเตะไปที่จุดสำคัญตรงกลางระหว่างตัวของขายคนที่ถามแทน
ชายคนนั้นร้องอย่างเจ็บปวด เอามือกุมจุดสำคัญนั้นไว้แล้วร้องโอดโอย
นักโทษทุกคนตกใจตื่นจากเสียงหวีดร้อง ต่างก็ตื่นขึ้นมีสติครบถ้วน แล้วพากันลุกขึ้นมาเกาะลูกกรงที่หน้าห้องขังเหม่อมองมาทางด้านนี้
ชายที่เหลืออีกสองคนตกใจนิ่งไปจนลืมวิ่งหนี
พัศดีกลับมีความรู้สึกไว เดินถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง แล้วล็อกประตูห้องขังเสียงดัง “คลิก”
ชายสองคนนั้นจึงรู้สึกตัว หมุนตัวกลับไปด้วยความตื่นตระหนก เขย่าประตูห้องขังแล้วร้องอย่างตกใจว่า “ปล่อยเราออกไป!”
พัศดีแกว่งลูกกุญแจที่อยู่ในมือ กล่าวกับสองคนนั้นอย่างไม่สนใจว่า “ผู้ดูแลที่คุมขังสั่งให้พวกเจ้าทำธุระให้เสร็จในคืนนี้”
“แต่ แต่ว่า แต่ว่านาง…” ชายคนหนึ่งชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูดจาอึกๆ อักๆ
“กลัวอะไร นางเป็นเพียงหญิงบ้านป่าเท่านั้น เมื่อครู่นี้จางลิ่วไม่รู้จักระวัง จนเข้าทางของนางเท่านั้น พวกเจ้าเป็นชายร่างใหญ่โตถึงสองคนจะต่อกรกับนางไม่ไหวเชียวหรือ” พัศดีกล่าวยุยงเสี้ยมสอน
ผู้ชายสองคนนั้นกลืนก้อนเหนียวๆ ลงคอ ค่อนข้างลังเลอยู่บ้าง
พัศดีกล่าวตำหนิขึ้น “ถ้าไม่กลัวว่าเบื้องบนจะกล่าวโทษลงมา พวกเรารับผิดชอบไม่ไหว เรื่องดีเช่นนี้จะมาถึงมือพวกเจ้าได้หรือ เร็วๆ เข้า ข้ายังต้องกลับไปรายงานอีก”
เหล่านักโทษพอได้ยินแล้วก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็รู้สึกเสียใจแทนเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่รู้ว่าแม่นางผู้นี้ไปล่วงเกินใต้เท้าท่านใดมา ถึงต้องมามีสภาพเช่นนี้ เห็นท่าทางของชายทั้งสองคนนั้นแล้วก็รู้ว่าจะต้องลงมือได้สำเร็จแน่นอน แม่นางผู้นี้ต้องโดนทำลายแล้ว
เมื่อชายทั้งสองได้ยินคำพูดของพัศดีก็มองหน้าปลุกใจกัน แล้วก็หันมาเผชิญหน้ากับเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ยิ้มเบาๆ พร้อมกับถามขึ้นว่า “พวกเจ้าจะเข้ามาพร้อมกัน หรือว่าจะเข้ามาทีละคน”
พัศดียิ้มลามกหยาบโลน “ที่แท้ก็เป็นพวกสัปดน ปากดีนี่ พวกเจ้าไม่ต้องเกรงใจแล้ว เข้าไปพร้อมกันเลย…” ยังพูดไม่จบก็มีโลหะที่สะท้อนแสงมันปลาบพุ่งเฉียดลำคอของเขาไป ก็คือกริชเล่มหนึ่งที่ปักลงบนผนังคุกด้านตรงข้ามนั่นเอง
พัศดีตกใจจนล้มนั่งบนพื้น รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่อุ่นๆ ไหลออกมา พอเอามือไปลูบดู กลับกลายเป็นเลือดสดๆ ตกใจจนแทบจะหมดสติลงไป
นักโทษที่มองดูอยู่ก็ตกใจเช่นกัน ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นปรบมือแล้วส่งเสียงโห่ร้องว่าดีๆ กันมากมาย
ชายสองคนที่อยู่ในห้องขังก็ตกใจแทบแย่ สองขาสั่นระริก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาด้วยสายตาดูถูก เดินก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง
สองคนนั้นตกใจเดินถอยหลังสองก้าว กำเสื้อผ้าของตัวเองแน่น ถามอย่างระแวดระวังว่า “เจ้า เจ้าจะทำอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเย็นชา ถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
“พวกเราไม่เกี่ยว” ชายคนหนึ่งรีบโบกไม้โบกมือพูดขึ้นอย่างลนลาน “พวกเขาให้พวกเรามา”
เมิ่งเชี่ยนโยวลากเสียงคำว่า “อ๋อ” ให้ยาวขึ้น
ชายสองคนนั้นถอนหายใจโล่งอก
จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะคอกถามเสียงดังว่า “ถ้าหากวันนี้ไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นแม่นางคนอื่น เรื่องนี้จะเกี่ยวกับพวกเจ้าแล้วใช่ไหม”
“เอ่อ เอ่อ เอ่อ…” ชายสองคนนั้นกะพริบตาถี่ๆ กระอึกกระอักพูดไม่เป็นคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงเหอะอย่างเย็นชา
ชายสองคนนั้นตกใจจนแทบจะทรุดกายลงคุกเข่าขอร้อง
นักโทษในบริเวณนั้นต่างก็ส่งเสียงคำรามดังขึ้นมาว่า “พวกนั้นที่เทียบไม่ได้แม้แต่กับหมูและหมาปล่อยไปไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินบีบเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง “ได้ยินแล้วใช่ไหม ที่ทุกคนบอกข้าว่าห้ามปล่อยพวกเจ้าไป”
ชายสองคนนั้นถอยจนไม่มีที่ให้ถอยแล้ว อยู่ๆ ก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น มองหน้ากันแล้วพุ่งเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
เมิ่งเชี่ยนโยวระวังไว้แต่แรกแล้ว นางหลบออกอย่างรวดเร็ว แล้วถีบไปที่ตัวของทั้งคู่ที่กำลังเสียหลัก
ชายทั้งสองคนศีรษะโขกกำแพง แล้วกระเด็นกลับมา ล้มลงบนพื้น ดวงตาทั้งดูกลอกไปมา แล้วหมดสติไปพร้อมกัน
พัศดีชี้นางด้วยความหวาดผวา “เจ้า เจ้า…”
จู่ๆ ก็มีแสงสว่างขึ้นภายในเรือนจำอีกครั้ง น้ำเสียงร้อนรนกระวนกระวายของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าอยู่ไหน”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับเสียงใส “ข้าอยู่นี่!”
หวงฝู่อี้เซวียนและคนอีกหลายคนรีบเดินเข้ามาถึงหน้าห้องขัง แล้วใช้แรงดึงกุญแจห้องขังออก
กุญแจห้องขังถูกเขาดึงออก
แล้วเดินก้าวอาดๆ เข้ามาในห้องขัง หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างร้อนรนว่า “โยวเอ๋อร์ เป็นอะไรไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบางๆ พร้อมกับสั่นศีรษะ “ไม่เป็นอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนสำรวจตรวจตรานางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด พอเห็นนางดูไม่เหมือนคนที่เกิดเรื่องจริงๆ ใบหน้าที่ซีดขาวของเขาก็มีสีเลือดเช่นเดิม “ข้าตกใจแทบแย่ โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเบาๆ กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นอะไร แต่ว่ามีคนเกิดเรื่องขึ้น”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหน้าไปมองเป็นเชิงบอกใบ้
หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้มองเห็นคนสามคนที่นอนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “พวกเขา…” จู่ ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ บรรยากาศรอบตัวก็เต็มไปด้วยความดุดันขึ้นทันที “พวกเขากล้า…”
ผู้ดูแลที่คุมขังตกใจจนจำไม่ได้ว่าบิดามารดาของตนนั้นเป็นใครแล้ว “ตึง” เสียงคุกเข่าลงกับพื้น “ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยไม่ทราบว่าแม่นางผู้นี้เป็นคนของท่าน ถ้าหากทราบแล้วล่ะก็ ถึงข้ามีความบังอาจมากสักเท่าใดก็มิกล้าทำเช่นนี้ต่อนาง”
หวงฝู่อี้เซวียนประคองเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากห้องขัง แล้วเตะไปที่ตัวของผู้ดูแลที่คุมขังด้วยความโมโห “สมควรตาย ใครใช้ให้เจ้าทำเช่นนี้”
แรงเตะด้วยความโมโหของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นจะหนักมากเพียงใดไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ผู้ดูแลที่คุมขังถูกเตะจนกลิ้งกับพื้นไปหลายตลบ แต่ก็รีบลุกขึ้นมาคุกเข่าเรียบร้อย ตอบความจริงด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาว่า “เป็นคุณชายใหญ่เฮ่อขอรับ มอบตั๋วเงินให้ข้าน้อยห้าสิบตำลึง ให้ข้าน้อยพาคนมาทำลายนาง” พูดจบแล้วก็รีบก้มหน้าขอร้องอย่างลนลาน “ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วยขอรับ คุณชายใหญ่บอกว่านางเป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ข้าน้อยเกิดความโลภจึงได้ทำเช่นนั้น”
หวงฝู่อี้เซวียนโมโหแล้วเตะเข้าไปอีกที คราวนี้ผู้ดูแลที่คุมขังกระเสือกกระสนอยู่นานแต่ก็ลุกไม่ขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนโอบตัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะพานางออกไปข้างนอก
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งเขาไว้ ชี้ไปที่กริชที่ติดอยู่ผนังห้องขังแล้วกล่าวว่า “กริชของข้ายังอยู่ในนั้น”
หวงฝู่อี้เซวียนตะคอกใส่ผู้ดูแลที่คุมขังว่า “ยังไม่กลิ้งไปเอาออกมาอีก!”
ผู้ดูแลที่คุมขังทั้งกลิ้งทั้งคลานไปจนถึงพัศดีที่บาดเจ็บอยู่ แล้วเอาลูกกุญแจที่อยู่บนตัวเขาออกมาด้วยอาการสั่นสะท้าน พยายามลุกขึ้นยืน เปิดประตูห้องขัง แล้วดึงกริชที่ปักบนผนังลงมา แล้วส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยอาการตัวสั่นงันงก
“ขอบใจ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ แล้วรับมาด้วยรอยยิ้มบางๆ
ทว่าผู้ดูแลที่คุมขังกลับทำเหมือนว่าได้ยินเสียงเรียกเอาชีวิต เขาตกใจหงายเงิบลงบนพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองเขากับพัศดีที่บาดเจ็บแวบหนึ่ง แล้วถามขึ้นว่า “พวกคนที่เข้ามาพร้อมกับข้าล่ะ”
น้ำเสียงของผู้ดูแลที่คุมขังสั่นสะท้านจบแทบพูดไม่เป็นคำ “อยู่ อยู่ในห้องไต่สวนข้างๆ”
“พาพวกข้าไป!” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวเสียงด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
ผู้ดูแลที่คุมขังกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก คิดจะลุกขึ้นยืน แต่ทว่าสองขาอ่อนเปลี้ยไปหมด ลุกขึ้นไม่ได้เลย
หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองคนที่แต่งตัวเหมือนผู้ติดตามคนหนึ่ง
ผู้ติดตามเข้าใจความนัย จึงเดินขึ้นมาหิ้วผู้ดูแลที่คุมขังอย่างง่ายดาย แล้วพาเดินไปห้องไต่สวนยังทิศทางที่เขาชี้บอก
พัศดีพอเห็นเงาของทุกคนเดินออกไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่ก็เหลือกขึ้น ตกใจจนหมดสติไปจนสิ้น
ทุกคนที่อยู่ในคุกต่างก็ตกตะลึงจากฉากนี้ เงียบสนิทไม่มีเสียงใดลอดออกมา จนกระทั่งมองไม่เห็นร่างของคนเหล่านั้นแล้ว จึงส่งเสียงถกกันขึ้นราวกับหม้อที่เดือดปุดๆ “โอ้เทวดาฟ้าดิน นั่นเป็นถึงผู้หญิงของซื่อจื่อ คราวนี้ผู้ดูแลที่คุมขังซวยแน่แล้ว”
“มิใช่แค่ผู้ดูแลที่คุมขัง คุณชายใหญ่คนนั้นก็ไม่รอด เจ้าคอยดูเถอะ ครั้งนี้ถ้าเขาไม่ตายก็ต้องโดนถลกหนัง”
หวงฝู่อี้เซวียนกับคนอื่นไม่ได้ยินเสียงถกเถียงกันของเหล่านักโทษ เดินจนมาถึงห้องไต่สววน
พอเห็นสภาพภายในนั้น หัวใจเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกลงไปที่ตาตุ่ม
กัวเฟยและคนอื่นถูกโบยจนเนื้อหลุด นอนอยู่บนพื้นที่มีคราบเลือดและเศษชิ้นเนื้อเปรอะเปื้อน ไม่ขยับเขยื้อน
หวงฝู่อี้เซวียนเกรี้ยวกราด ไอสังหารแผ่ออกมารอบตัว ผู้ดูแลที่คุมขังครองสติไว้ไม่อยู่หมดสติลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปหลายก้าว นั่งยองๆ ลงข้างกัวเฟย ใช้มือไปอังที่จมูกลองตรวจดูลมหายใจของเขาดู รู้สึกว่าเขายังมีลมหายใจอยู่อย่างเบาบาง กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เขายังหายใจอยู่”
พูดจบก็ลองตรวจลมหายใจของทุกคนตามลำดับ พอรู้ว่ายังไม่ตายจึงพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เร็วเข้า ส่งพวกเขาไปที่ร้านยาเต๋อเหริน ไปหาเหวินซื่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ ออกคำสั่งว่า “รีบส่งไปยังร้านยาเต๋อเหรินเร็ว”
เบื้องหลังมีคนรูปร่างแข็งแรงที่แต่งกายเหมือนผู้ติดตามเดินออกมาหลายคน แล้วเคลื่อนย้ายทุกคนออกไปด้านนอกด้วยความระมัดระวัง
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งคนติดตามที่หิ้วคอผู้ดูแลที่คุมขังคนนั้นว่า “ดึกแล้ว เถ้าแก่ของร้านยาเต๋อเหรินต้องไม่อยู่ที่นั่นเป็นแน่ เจ้าไปตามเขาที่จวนบอกว่าให้รีบไปโดยเร็ว ข้ากับโยวเอ๋อร์จะตามไปอีกที”
ผู้ติดตามขานรับคำสั่งแล้วก็รีบออกไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูแผ่นหลังของผู้ติดตามที่กำลังเดินออกไปแล้วหรี่ดวงตา
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นท่าทางของนางแล้วจึงกล่าวว่า “พวกเขาเป็นคนที่เสด็จแม่มอบให้ข้า ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งคนที่อยู่ด้านหลังอีกคนว่า “ทำให้ผู้ดูแลที่คุมขังตื่น”
คนผู้นั้นขานรับคำสั่ง หันมองซ้ายมองขวา พอเห็นในห้องไต่สวนมีถังน้ำวางอยู่ใบหนึ่งก็เดินเข้าไปยกถังน้ำมา แล้วสาดไปที่ใบหน้าของผู้ดูแลที่คุมขังจนหมด
ผู้ดูแลที่คุมขังได้สติเพราะน้ำที่เย็นเฉียบ พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ถลึงตามองเขาด้วยความโกรธ ก็ตกใจจนต้องรีบลุกขึ้นมาคลานเข่าขอร้องอ้อนวอน “ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิตด้วย ซื่อจื่อได้โปดไว้ชีวิตด้วยขอรับ”
“คุมตัวเขาไปที่จวนอ๋อง เอาไปขังไว้” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียม
คนผู้นั้นขานรับคำสั่ง ดึงตัวผู้ดูแลที่คุมขังที่กำลังจะหมดสติลงไปอีกครั้งพาเดินออกไปข้างนอก
แววตาของหวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกผิด กล่าวโทษตัวเองต่อเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ ขอโทษนะ ข้ามาช้าไป…”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวค่อนข้างเคร่งขรึม ยกมือขึ้นยับยั้งไม่ให้เขาพูดต่อ “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย พวกเรารีบตามไปดูพวกกัวเฟยที่ร้านยาเต๋อเหรินก่อน”
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องไต่สวน
หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เหล่าพัศดีที่อยู่เวรเฝ้าคุกคืนนี้ต่างก็ตกใจกันไปหมดแล้ว ต่างก็คุกเข่าบนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แม้แต่หายใจแรงยังไม่กล้า ได้แต่ฟังเสียงย่ำเท้าของพวกเขาที่เดินห่างออกไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน
ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินออกจากประตูใหญ่ของเรือนจำไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีเสียงเกือกเท้าม้าดังขึ้นมา ข้างหลังยังมีขบวนทหารวิ่งตามมาอีก
คนที่ขี่ม้ามาถึงตรงหน้าของทั้งสองแล้วกุมบังเ**ยนไว้ถามขึ้นเสียงดังว่า “ใครกันที่บังอาจเช่นนี้ กล้ามาปล้นคนในคุกกลางดึก”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาบังเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ ตอบด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “เป็นข้า!”
คนที่อยู่บนม้าก็คือผู้บัญชาการโต้วที่เป็นคนจับเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นตอนกลางวันนั่นเอง คืนนี้เป็นเวรเฝ้าของเขา กำลังพาทหารออกลาดตระเวนอยู่ภายในเมืองพอดี พอได้ยินพัศดีมารายงานว่ามีคนปล้นคุกก็รีบพาทหารบึ่งมาที่นี่ทันที เผอิญเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาต่อหน้าต่อตาจึงตะโกนถามขึ้น พอได้ยินว่าเป็นเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนที่เป็นคนตอบก็ชะงัก จากนั้นก็ประเมินท่าทีของเขาอย่างละเอียด
หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่อยู่ในราชสำนัก ดังนั้นพวกขุนนางที่รู้จักเขาจึงมีไม่มาก แต่ว่าใบหน้าของเขานั้นคล้ายคลึงกับอ๋องฉีมาก ผู้บัญชาการโต้วมองดูอย่างละเอียด แล้วก็สะดุ้ง ถามหยั่งเชิงว่า “ซื่อ ซื่อจื่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงหึขึ้นจมูกเบาๆ
ผู้บัญชาการโต้วรีบลงจากม้าทันที แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ข้าน้อยผู้บัญชาการโต้วแห่งกองกำลังปัญจทิศรักษานครอันเลื่องชื่อเข้าพบซื่อจื่อขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สั่งให้เขาลุกขึ้น แต่กลับถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ผู้บัญชาการโต้ว ช่างบังอาจจริงๆ แม้แต่คนของข้ายังกล้าจับเชียวหรือ”
ผู้บัญชาการโต้วหวาดหวั่นในใจมากขึ้น ถามขึ้นอย่างลนลานว่า “ซื่อจื่อหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ”
“เงยหน้าขึ้นมา ดูว่านางเป็นใคร”
ผู้บัญชาการโต้วเงยหน้าขึ้น ในตอนที่เห็นชัดว่าแม่นางที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือเมิ่งเชี่ยนโยว เกิดความรู้สึกปั่นป่วนขึ้นในอก ยั่งไม่ได้พูดออกไปในทันที ผ่านไปนานหลายอึดใจจึงเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบากว่า “นาง นาง…”
“นางเป็นหญิงในดวงใจของข้า เจ้ายังไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด แต่กลับฟังคำพูดปลุกปั่นของเฮ่อเหลี่ยน จับนางเขาคุกโดยพลการ อีกทั้งยังเห็นชอบให้คนทำร้ายนาง เจ้าคิดว่า เจ้าควรรับโทษเช่นไร”
ในใจของนางกองโต้วนั้นประหวั่นพรั่นพรึงโดยไม่ต้องบอกก็รู้ เบิกตากว้างขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อสายตา อยู่ๆ ก็นึกถึงข่าวคราวจากเมืองหลวง ที่บอกว่าซื่อจื่อทำอย่างไรบ้างเพื่อหญิงชาวบ้านที่มาจากชนบทคนหนึ่ง หรือว่า
พอนึกถึงตรงนี้ก็มีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของนางกองโต้ว รู้สึกเสียววาบที่ลำคอของตน ยกมือขึ้นมาลูบลำคอของตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วพูดแก้ต่างว่า “เรียนซื่อจื่อขอรับ ข้าน้อยไม่ทราบว่านางเป็นนางในดวงใจของท่าน นางทำผิดกฎหมาย ข้าน้อยก็จับนางตามกฎหมาย มิได้ทำผิดที่ใด”
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงหึขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ถามว่า “เช่นนั้นหรือ”
ในน้ำเสียงนั้นเจือความกดดันและเย็นเฉียบ ทำให้ผู้บัญชาการโต้วรู้สึกเสียวสันหลังจนเหงื่อไหลออกมา รีบตอบกลับอย่างหวาดหวั่นทันทีว่า “ถ้อยคำที่ข้าน้อยกล่าวเป็นความจริงทุกคำ ไม่มีสิ่งใดปิดบังแม้แต่น้อย”
“เด็กๆ!” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งคนที่อยู่ข้างหลัง “พาผู้บัญชาการโต้วไปดูในเรือนจำ!”
คนที่อยู่ข้างหลังขานรับคำสั่ง บอกเป็นนัยให้ผู้บัญชาการโต้วตามเข้าไป
ผู้บัญชาการโต้วไม่เข้าใจ หันไปมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความสงสัย
บนใบหน้าอันเคร่งขรึมของหวงฝู่อี้เซวียนนอกจากมีความโกรธแล้ว ยังมีสีหน้าราวกับต้องการฆ่าคนก็ไม่ปาน
ผู้บัญชาการโต้วจึงไม่กล้าเอ่ยถาม ก้มหน้าก้มตาเดินตามคนผู้นั้นเข้าไปยังเรือนจำ ในตอนที่เห็นสภาพภายในนั้นก็รู้สึกโมโห จนมีความคิดที่จะฆ่าผู้ดูแลที่คุมขังที่ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด ใครกันที่ให้ความกล้าเช่นนั้นแก่เขา กล้าทำเรื่องแบบนั้นขึ้นมาได้ เป็นเช่นนี้แล้วแม้แต่เข้าก็ไม่สามารถอธิบายได้
เดินตามคนผู้คนออกมาด้วยอาการตื่นตระหนก แม้แต่ข้อแก้ตัวผู้บัญชาการโต้วยังไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
หวงฝู่อี้เซวียนถามเขาเสียงเย็นว่า “ผู้บัญชาการโต้ว เจ้าปล่อยให้ลูกน้อยกระทำการอุกอาจเช่นนี้ เจ้าว่าถ้าหากเสด็จลุงทรงทราบเรื่องนี้ จะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
ตอนที่ 51-1 ทุบตีคนอย่างโจ่งแจ้ง
เหงื่อบนใบหน้าของผู้บัญชาการโต้วหยดแหมะลงมาเป็นทาง เขาแก้ตัวออกไปว่า “ซื่อจื่อ ทั้งหมดนี้หาใช่ความคิดของข้าน้อยไม่ ข้าน้อยเพียงมีคำสั่งลงไปให้จับคนมากักขังไว้รอการพิจารณาคดีเท่านั้น ไม่ได้สั่งให้ทำอะไรแบบนี้จริงๆ”
“เจ้าเก็บคำพูดนี้ไว้อธิบายกับเสด็จลุงเองเถิด” หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างเย็นชา
หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้เข้า น่ากลัวว่าตำแหน่งทางการทหารของเขาคงจะรักษาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ผู้บัญชาการโต้วรู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนักที่ไปฟังคำยุยงของเฮ่อเหลี่ยนจับคนมาโดยไม่ไต่ถามหรือสืบเสาะถึงสถานะอีกฝ่ายก่อน แต่เดิมโทษของการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานนั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร สามารถปิดตาข้างหนึ่งแล้วมองผ่านมันไปได้ ไม่คิดว่ามันจะก่อให้เกิดหายนะใหญ่หลวงเพียงนี้
ใจของผู้บัญชาการโต้วกู่ร้องด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุด กระนั้นก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความผิดไม่กล้าโต้แย้งกลับไปแม้เพียงครึ่งคำ
หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้แต่จะชายตามองเขา กระโดดขึ้นหลังม้าไปพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งคู่ควบม้าตัวเดียวกันมุ่งหน้าไปทางร้านยาเต๋อเหริน คนที่อยู่ข้างหลังตามพวกเขาไปติดๆ
ผู้บัญชาการโต้วมองตามพวกเขาที่จากไปไกลแล้วด้วยสภาพเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ก้นกระแทกลงกับพื้นดังตุบอย่างแรง
“ผู้บัญชาการ!” เหล่าทหารพร้อมใจกันตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียว ก้าวขึ้นไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา
ผู้บัญชาการโต้วปัดมือทิ้ง ก่อนจะกัดฟันแล้วพูดออกไปว่า “ไปลากตัวไอ้หัวหน้าผู้คุมสวะนั่นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะถามมันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ทหารนายหนึ่งขานรับ จากนั้นก็วิ่งไปทางเรือนจำอย่างรวดเร็ว เขาควานหาตัวอีกฝ่ายอยู่รอบหนึ่ง พอไม่พบตัวจึงได้ลากตัวผู้คุมคนหนึ่งมาแก้ขัดแทน
ทันทีที่ผู้คุมคนนั้นได้ยินคำถามของผู้บัญชาการโต้วก็ให้ตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นว่า “หัวหน้าผู้คุมถูกซื่อจื่อจับไปที่จวนอ๋องฉีแล้วขอรับ”
ผู้บัญชาการโต้วตวาดลั่น “ใครสั่งให้มันทำแบบนี้”
ผู้คุมโชคร้ายถูกท่าทีที่เหมือนกับจะสังหารคนให้ได้ของอีกฝ่ายทำเอาหวาดกลัวจนหัวหดแล้ว ได้แต่นั่งทื่ออยู่บนพื้นราวกับเป็นอัมพาต ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ขอรับ ได้ยินเพียงแต่หัวหน้าผู้คุมสั่งให้ลากตัวคนสองสามคนนั้นเข้าไปในห้องสอบสวน สั่งว่าให้ลงทัณฑ์พวกเขาให้หนักเหลือไว้เพียงลมหายใจสุดท้ายก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ล้วนเป็นหวังอู่ที่ลงมือทั้งนั้นขอรับ”
“หวังอู่คือผู้ใด ไปลากคอมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ผู้บัญชาการโต้วตวาดกร้าว
ผู้คุมยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หวังอู่เป็นญาติของหัวหน้าผู้คุมขอรับ ปกติหากมีเรื่องอะไรหัวหน้าผู้คุมก็มักจะสั่งเขาให้ไปทำแทน ตั้งแต่ที่เขาพาสามคนนั้นเข้าไปในห้องขังของแม่นางผู้นั้นก็ไม่เห็นเขากลับออกมาอีกเลย”
ผู้บัญชาการโต้วสั่งทหารนายหนึ่งลงไป “เจ้าพาคนไปเอาตัวมันมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเค้นความออกจากปากของไอ้เวรนั่นให้ได้”
นายทหารผู้นั้นขานรับ จากนั้นก็ลากตัวผู้คุมคนดังกล่าวออกไปด้วยสภาพทั้งที่มือเท้ายังคงอ่อนแรงอยู่ ทันทีที่กลับเข้ามาในเรือนจำ พวกเขาก็ตรงไปยังห้องขังของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไม่รอช้า
ผู้คุมเห็นหวังอู่นอนหมดสติคล้ายกับหมดลมหายใจไปแล้วอยู่บนพื้น เขาก็รีบชี้ไปที่อีกฝ่ายทันทีแล้วพูดกับทหารนายนั้นไปว่า “เขาก็คือหวังอู่”
นายทหารผู้นั้นก้าวขึ้นไป ลากคอหวังอู่ขึ้นมาจากนั้นก็โยนอีกฝ่ายลงไปตรงหน้าผู้บัญชาการโต้วอย่างแรง ทิ้งร่างเขาลงพื้นราวกับขยะ
ผู้บัญชาการโต้วเห็นลำคออีกฝ่ายมีรอยเลือดเป็นทางยาว ดวงตาทั้งคู่ปิดแน่น ก็เดาได้ว่าน่าจะหวาดกลัวจนเป็นลมหมดสติไป จึงสั่งทหารลงไปว่า “ปลุกมันขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
นายทหารขานรับอีกครั้งแล้วตรงไปยังบ่อน้ำที่อยู่ตรงหัวมุมของเรือนจำตักน้ำเย็นใส่ถังจนเต็ม ก่อนจะเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วสาดน้ำถังนั้นใส่ร่างหวังอู่อย่างแรง!
หวังอู่ถูกปลุกให้ตื่นทันที เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าผู้บัญชาการโต้วจ้องมาด้วยแววตากินเลือดกินเนื้อก็ให้สะท้านไปจนถึงจิตวิญญาณ แต่แล้วเพียงพริบตาเดียวเขาก็คลานเข้าไปร้องขอความเมตตาอย่างมีไหวพริบว่า “ท่านผู้บัญชาการไว้ชีวิตด้วย ท่านผู้บัญชาการไว้ชีวิตด้วย”
“เล่ามาว่าวันนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พวกเจ้ารับคำสั่งของใคร เหตุใดจึงอาจหาญทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้” ผู้บัญชาการโต้วถามด้วยเสียงเ**้ยม
หวังอู่ยังคงโขกหัวไม่หยุด ตอบไปด้วยเสียงสั่นว่า “เป็นคุณชายใหญ่ขอรับ”
ผู้บัญชาการโต้วขมวดคิ้วแน่น “เฮ่อเหลี่ยน”
“เป็นเขาขอรับ หลังจากที่ท่านผู้บัญชาการพาคนมา เขาก็เข้ามาแล้วโยนเงินห้าสิบตำลึงเงินให้กับหัวหน้าผู้คุม สั่งเขาไปว่าให้จัดการคนพวกนั้นให้ดี หัวหน้าผู้คุมตอนแรกยังไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่พอเขาพูดว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเขาจะรับผิดชอบแทนเอง หัวหน้าผู้คุมจึงได้มีความกล้ารับเรื่องนั้นลงมา ผสมยาลงในอาหารของพวกนั้นให้พวกมันไม่อาจเคลื่อนไหวได้ จะได้ลงทัณฑ์ได้สะดวกขอรับ”
“พวกเจ้าประสบความสำเร็จหรือไม่” ผู้บัญชาการโต้วรีบถามกลับไป
นึกย้อนถึงกริชของเมิ่งเชี่ยนโยวที่จ่ออยู่บนลำคอของเขาหวังอู่ก็ให้หวาดกลัวไม่หาย ตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นว่า “คนที่เหลือประสบความสำเร็จแล้วขอรับ ถูกลากไปลงทัณฑ์ในห้องสอบสวนโดยผู้คุม ส่วนแม่นางผู้นั้น ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงไม่ได้รับผลจากยาเลย กลายเป็นว่าสามคนที่ถูกส่งตัวเข้าไปถูกนางตีจนสลบแทน”
ช่วงนี้ข่าวลือต่างๆ ในเมืองหลวงมีมาให้ได้ยินไม่หยุด หากว่าแม่นางผู้นั้นเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่คุณชายใหญ่เกรงว่าคงถูกซื่อจื่อจับละเลงเลือดไปด้วย พอได้ยินจากปากผู้คุมว่านางไม่เป็นไร ผู้บัญชาการโต้วก็ให้พ่นลมหายใจออกยาวด้วยความโล่งอก นี่ถึงเพิ่งมีแรงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ตวาดสั่งทหารลงไปว่า “วันนี้ไม่ต้องไปลาดตระเวนแล้ว พวกเจ้าคุมเรือนจำให้ดี ไปลากตัวไอ้พวกสมควรตายที่มันนอนอยู่ในคุกพวกนั้นออกมาแล้วเฝ้าอย่าให้คลาดสายตา พรุ่งนี้ข้าจะพาตัวพวกมันไปส่งให้ซื่อจื่อเพื่อรายงานผล” กล่าวจบ ก็ปรายตามองไปทางหวังอู่แวบหนึ่ง พูดต่อด้วยน้ำเสียงคับแค้นว่า “ไอ้สวะนี่ก็ด้วย เฝ้ามันให้ดี”
ทหารรับคำ จากนั้นก็ลากตัวหวังอู่ออกไปแล้วโยนเขาเข้าไปขังไว้ในคุกร่วมกับคนอื่นๆ
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวควบม้ามาหยุดอยู่หน้าทางเข้าร้านยาเต๋อเหริน
เหวินซื่อได้รับรายงานจากองครักษ์ก่อนแล้วจึงได้รีบห้อม้ามาอย่างลุกลน
ทันทีที่พลิกตัวลงจากหลังม้า น้ำเสียงกังวลของเหวินซื่อก็ดังขึ้นตามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“เหวินเปียวกับอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อี้เซวียนกลัวว่าร้านยาเต๋อเหรินจะไม่เปิดประตูให้จึงได้ส่งคนไปเรียกตัวท่านมา” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบขณะเดินเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน
หวงฝู่อี้เซวียนและเหวินซื่อเดินตามนางเข้าไป
เนื่องจากว่าร้านยาเต๋อเหรินในขณะนี้สว่างมาก เพียงพริบตาเดียวเหวินซื่อจึงได้เห็นคนในสภาพเลือดอาบเต็มตัว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยเนื้อตัวเย็นเฉียบ ถามออกไปอย่างตกใจว่า “สาหัสถึงเพียงนี้เชียว”
“เรื่องนี้ไว้ข้าค่อยคุยกับท่านทีหลัง ท่านรีบตรวจดูอาการทำความสะอาดบาดแผลของพวกเขาตามที่ข้าบอกก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
เหวินซื่อพยักหน้า
จากนั้นพนักงานทั้งหมดของร้านยาเต๋อเหรินก็ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงเคาะประตูดังลั่นกลางดึก พวกเขาตื่นขึ้นมาด้วยสภาพงัวเงีย แต่แล้วพอได้เห็นใครบางคนกำลังแบกร่างหลายร่างในสภาพโชกเลือดเข้ามาก็ให้ตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า เท้าถูกตรึงอยู่กับที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ไปชั่วคราว ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหนก่อนดี
แต่เมื่อเห็นว่าเหวินซื่อก็อยู่ด้วย ใจก็คล้ายหาที่เกาะที่พึ่งพิงเจอ เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงว่า “เถ้าแก่!”
เหวินซื่อรู้ว่าพวกเขาไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ย่อมรู้สึกกลัวเป็นธรรมดา จึงได้เอ่ยปลอบพวกเขาไปว่า “อย่าได้ลนลานไป ทำตามคำสั่งของแม่นางเมิ่งก็พอ”
เพียงพริบตาใจของเหล่าพนักงานก็สงบลง พร้อมฟังคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาใช้น้ำสะอาดเช็ดทำความสะอาดร่างกายของทุกคนก่อน
แต่ละคนถูกโบยจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ เสื้อผ้ากับเลือดและเนื้อติดรวมกัน พวกพนักงานไม่มีทางเลือกจึงต้องหากรรไกรมาค่อยๆ เลาะตัดเสื้อผ้าออกจากตัวของพวกเขาอย่างระมัดระวัง
สภาพของพวกเขาเหล่านั้นค่อนข้างน่าเวทนา จนเหวินซื่อแทบจะทนดูต่อไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก พยายามหักห้ามใจควบคุมอารมณ์ที่อยากฆ่าคนของตัวเองไว้
หวงฝู่อี้เซวียนก็มีใบหน้าเคร่งขรึม ร่างกายแผ่กลิ่นอายที่ทำให้คนรู้สึกหวาดผวาออกมา
ทุกคนต่างก็เป็นผู้ชาย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่สามารถเฝ้ามองพวกพนักงานที่เช็ดร่างกายของพวกเขาจนเสร็จได้ หันมาถามเหวินซื่อว่า “ยาสมานแผลยังมีอยู่ไหม”
เหวินซื่อมองหน้าพนักงานคนหนึ่ง
พนักงานจึงตอบว่า “ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยขอรับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่พอให้พวกเขาใช้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยาเสร็จแล้วก็ส่งให้พนักงาน “รีบไปเอายาพวกนี้มาให้ครบ”
พนักงานมองไปที่เหวินซื่อ
เหวินซื่อพยักหน้า
พนักงานจึงรีบถือใบสั่งยาไปเอาตัวยา
“ห้องปรุงยาอยู่ที่ไหนหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเหวินซื่อ
“อยู่หลังเรือน ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนอีกว่า “ให้คนของเจ้าตามข้าไปห้องปรุงยา ข้าต้องรีบปรุงยารักษาบาดแผลภายนอกให้พวกเขาโดยเร็วที่สุด”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แล้วเดินไปพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินตามเหวินซื่อไปยังห้องปรุงยาที่อยู่หลังเรือน คนเหล่านั้นที่เขาพามาด้วยก็เดินตามมาเช่นเดียวกัน
พนักงานไปเอาตัวยาที่อยู่ในใบสั่งยามาจนครบ
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ทุกคนบดยาให้เป็นผง ขนาดหวงฝู่อี้เซวียนกับเหวินซื่อยังลงมือทำด้วย
คนเยอะทำอะไรได้เร็ว ไม่นานทุกคนก็ช่วยกันบดยาจนเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวปรุงยาในสัดส่วนที่แตกต่างกัน แล้วส่งให้ทหารอารักขาคนหนึ่ง “เอาไปให้พนักงาน ให้พวกเขาเอาใส่แผลของทุกคนทุกบาดแผลนะ ห้ามเว้นที่ใดที่หนึ่งไป”
ทหารอารักขารับคำสั่ง แล้วก็เอายาไปส่งให้พนักงาน
พวกพนักงานเช็ดทำความสะอาดร่างกายของทุกคนเสร็จแล้ว พอได้ยินคำสั่งก็รับเอายามาใส่แผลให้ทุกคนอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กันที่อยู่บนโต๊ะในห้องปรุงยาขึ้น เขียนใบสั่งยาอีก แล้วก็ส่งให้ทหารอารักขา “นี่เป็นยาลดไข้ พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ อีกสักพักต้องตัวร้อนเป็นไข้แน่ เจ้าให้พนักงานไปต้มยาเตรียมไว้ให้พวกเขา ยามใดที่พวกเขาตัวร้อนก็รีบป้อนยาให้ทันที”
ทหารอารักขารับคำสั่ง จากนั้นเดินกลับไปยังห้องโถงใหญ่ เอาใบสั่งยาที่อยู่ในมือให้พนักงาน แล้วพูดตามคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวอีกรอบ
พนักงานพยักหน้า รีบไปเอาตัวยาทันที แล้วรีบไปต้มยาที่เรือนด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ใส่ยาให้พวกกัวเฟยและพันผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็เดินมารายงาน
เหวินซื่อสั่งให้พนักงานพาทุกคนย้ายเข้าไปในห้องรักษา แล้วเฝ้าดูแลพวกเขาอย่างดี หากพบว่ามีสิ่งใดผิดปกติก็ให้รีบมารายงาน
พนักงานรับคำสั่ง แล้วทำตามคำสั่งของเขา
ตอนที่ 51-2 ทุบตีคนอย่างโจ่งแจ้ง
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหวินซื่อก็พาเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นไปชั้นบน สั่งพนักงานให้ชงชามา แล้วจึงกล่าวถามขึ้นว่า “ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเล่าเรื่องที่เหวินเปียวและพี่น้องอยากเข้าไปดูในสำนักคุ้มภัย แล้วนางก็อยากตามเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต่อมาทุกคนก็อดใจไม่ไหวกระโดดเข้าไปดูภายในเรือน จากนั้นก็ถูกคนของเฮ่อเหลี่ยนที่สั่งให้คนจับตาดูไว้ก่อนแล้วเข้ามาโอบล้อม และในตอนที่นางกำลังจะฆ่า เฮ่อเหลี่ยนนั้น คนของกองกำลังปัญจทิศรักษานครก็เข้ามาเห็นเข้าพอดีจึงจับพวกเขาไป รวมถึงเรื่องที่ เฮ่อเหลี่ยนซื้อตัวผู้ดูแลที่คุมขังเพื่อให้เขาทำร้ายพวกเขาก็เล่าออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ
พอเหวินซื่อฟังจบก็ลุกยืนอย่างตกใจ
ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกลับโมโหจนแทบจะตบโต๊ะที่อยู่ข้างๆ ให้พัง
เหวินซื่อตกใจไม่น้อยจากท่าทางเกรี้ยวกราดของเขา ทว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับนั่งข้างๆ ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
พนักงานที่ยกน้ำชาเข้ามาบริการก็ตกใจจนกาน้ำชาที่อยู่มือเกือบจะคว่ำลงพื้น จากนั้นพยายามทำใจให้สงบ เทชาใส่ถ้วยแล้ววางไว้ด้านหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างระมัดระวัง แต่อาจเป็นเพราะว่ามือสั่น จึงทำให้ถ้ายชากับฝาน้ำชากระทบกันจนเกิดเสียงดัง
เหวินซื่อโบกมือ พนักงานที่ยกน้ำชามาบริการก็รีบถอยออกไปทันที
เหวินซื่อก็ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แล้วกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตำหนิว่า “หลายปีก่อนข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เหวินเปียวกับคนอื่นนั้นเคยล่วงเกินผู้มีอำนาจ อย่าให้พวกเขาโผล่หน้าในเมืองหลวง แต่ดูเจ้าสิ เห็นคำพูดของข้าเป็นลมที่พัดผ่านหูเท่านั้น โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ของเจ้าก็คงจบสิ้นแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับหัวเราะแล้วต่อปากต่อคำว่า “หุบปากอีกาของเจ้าไป ฝีมือแค่นั้นจะทำอะไรข้าได้ ข้าแค่นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะลงมือกับพวกกัวเฟยหนักหนาปานนั้น”
“เฮ่อเหลี่ยนผู้นั้นเลื่องชื่อในเรื่องจิตใจคับแคบโหดร้าย ทุกคนในเมืองหลวงไม่ว่าขุนนางหรือคนทั่วไปเมื่อเจอเขาก็ต้องเดินอ้อมหลีกทางให้ ด้วยเกรงว่าจะล่วงเกินเขา แล้วโดนเขาฉวยโอกาสแก้แค้น แต่เจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งสามครั้งสี่ยังไปตบหน้าเขาอีก ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสนี้แก้แค้นพวกเจ้าก็แปลกแล้ว” เหวินซื่อกล่าว
“มันจะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
เหวินซื่อหันไปมองหน้าเขาแล้วบ่นขึ้นว่า “เจ้ายังจะมาพูดอีก เจ้าเป็นถึงซื่อจื่อ แต่เด็กคนหนึ่งโดนจับไปก็ยังช่วยออกมาได้ไม่ทันเวลา หากนางเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าว่าต่อไปเจ้าจะมองหน้านางอย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนแสดงสีหน้าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองเต็มประดา
เมิ่งเชี่ยนโยวดุเหวินซื่อ “เงียบไปเลย ตอนที่พวกเราถูกจับนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำ จะไปช่วยพวกเราได้ทันที่ไหน”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก อธิบายเสียงแผ่วเบาว่า “มีคนมาส่งข่าวที่ร้านบะหมี่มันฝรั่ง บอกว่าพวกเจ้าถูกทหารจับตัวไป พี่เมิ่งอี้จึงรีบส่งองครักษ์ไปรายงานให้ข้าทราบ ข้าตกใจมาก จากนั้นก็พาคนที่เสด็จแม่มอบให้พาออกไปด้วย ข้าตามหาพวกเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง แต่คุกในเมืองหลวงนั้นมีมากเกินไป พวกเราต้องค้นหาอยู่หลายที่ถึงหาพวกเจ้าเจอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ล่าช้าไป จนเกือบเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “โชคดีที่ตอนนั้นเหวินเปียวไหวพริบดี ส่งสัญญาณให้เพื่อนบ้านเก่าแก่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องรอให้ถึงตอนเย็น ที่พี่เมิ่งอี้พบว่าพวกเรายังไม่ได้กลับไปถึงอาจจะไปหาเจ้า บางทีถ้าถึงตอนนั้นพวกกัวเฟยอาจไม่รอดชีวิตแล้ว”
ฟังออกว่านางไม่ได้กล่าวโทษเลย ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็สบายขึ้นบ้าง กล่าวว่า “เจ้าวางใจ หากใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ข้าจะไม่ปล่อยพวกเขาไปแม้แต่คนเดียว”
“ควรต้องลงโทษพวกเขาบ้าง ให้พวกเขาหลาบจำไปชั่วชีวิต” เหวินซื่อพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นพูดขึ้นอีกว่า “แต่ว่าคนที่ชั่วร้ายที่สุดก็คือเฮ่อเหลี่ยน คราวนี้ต้องจัดการเขาให้สาสมสักครั้ง ทำให้เขาไม่กล้าพูดถึงพวกเจ้าตลอดไป”
หวงฝู่อี้เซวียนรับรองอีกครั้ง “พวกเจ้าวางใจ ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยเขาไปแน่นอน ไม่ปล่อยให้เขาได้อยู่รอดปลอดภัย”
เหวินซื่อทำตาโตทันที เดินมาหยุดข้างหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดได้แล้วใช่ไหมว่าจะจัดการเขาอย่างไรดี พูดให้ข้าฟังหน่อย ดูว่ามีตรงไหนที่ข้าพอจะช่วยได้บ้าง”
ท่าทางที่ดูเหมือนกลัวว่าโลกจะสงบ ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวที่เห็นแล้วหัวเราะขึ้น เอ่ยเตือนเขาว่า “เจ้าจำบทเรียนครั้งก่อนไม่ได้หรือ เห็นว่าปีนั้นข้าทำให้เจ้าเดือดร้อนไม่พอหรือ”
พอพูดถึงปีนั้นก็นึกถึงการตายของหมอชรา รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเหวินซื่อก็จางลง
ขณะเดียวกันเมิ่งเชี่ยนโยวก็นึกถึงหมอชราเช่นกัน แอบเสียใจที่ตัวเองพูดอะไรโดยไม่ยั้งคิด
ดูเหมือนว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่รับรู้เรื่องนี้จึงพูด “อืม” เบาๆ คำหนึ่ง “ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าจริงๆ”
เหวินซื่อทิ้งความเสียใจไว้สมองส่วนท้ายทันที ถามขึ้นอย่างคาดหวังว่า “ต้องการให้ข้าทำอะไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก มองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง แล้วบอกใบ้ให้เหวินซื่อย่อตัวลง
เหวินซื่อย่อตัวลง หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขาประโยคหนึ่ง
หวินซื่อตกใจ หลุดปากถามขึ้นว่า “เจ้าจะเอายาปลุกกำหนัดไปทำอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนหน้าแดงเถือง ถลึงตามองเขาพักหนึ่ง
เหวินซื่อก็ตกใจที่ตัวเองพูดหลุดปากไป รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ทันควัน
“ไม่ต้องปิดแล้ว ข้าได้ยินหมดแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวยิ้มๆ
เหวินซื่อกลอกตาลอกแลก เอามือลง แล้วพูดประจบหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ข้าจะไปเอามาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนกระแอมไปทีหนึ่ง “ยังไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าเตรียมไว้ให้ข้าก่อน ไว้ข้าต้องการใช้จะให้ทหารอารักขามาเอาไป”
เหวินซื่องงงวย “วันพรุ่งเจ้าจะไม่จัดการเขาหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ
เหวินซื่อร้อนใจ “อืมของเจ้าหมายความว่าอะไร จะจัดการหรือว่าไม่จัดการเขา”
“จัดการเขาสิ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับสั้นๆ
เหวินซื่อร้อนใจมากขึ้น “สักพักเจ้าก็บอกว่าจะเอายาปลุกกำหนัด สักพักก็บอกว่าจะจัดการเขาพรุ่งนี้ เจ้าคิดจะทำอย่างไรกันแน่ เจ้าบอกข้ามาสิ”
หวงฝู่อี้เซวียนหันไปมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เหวินซื่อร้อนใจจนแทบจะกระทืบเท้า “เจ้ามองหน้าเด็กคนนี้ทำไม เจ้าเป็นคนลงมือมิใช่นางเสียหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหึๆ
หวงฝู่อี้เซวียนจนปัญญา กวักมือเรียกให้เขาเข้ามา แล้วกระซิบที่ข้างหูเขาบอกแผนการของตัวเองทั้งหมด
สีหน้าของเหวินซื่อค่อนข้างตื่นเต้น สักพักก็พยักหน้าพูดว่า “อืม” สักก็พูดขึ้นว่า “อา” ตลอดจนกระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนพูดจบ เขากลับพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “น่าสนุก ข้าก็จะไปด้วย”
“คนของข้าต่างก็เป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง กังฟูแมวสามขาอย่างเจ้าถ้าถูกคนจับได้จะทำอย่างไร” หวงฝู่อี้เซวียนเลิกคิ้วถามอย่างจงใจล้อเลียนเขา
เหวินซื่อโบกมือขึ้นมาทันควัน “ไม่หรอก ไม่หรอก ถ้าไม่ได้จริงๆ ข้าจะแอบมองอยู่ในมุมมืด”
หวงฝู่อี้เซวียนยังปฏิเสธเหมือนเดิม “ไม่ได้ เฮ่อเหลี่ยนรู้จักเจ้า ถ้าหากเขาเห็นเข้าแล้วล่ะก็ ต่อไปเจ้าจะเดือดร้อนตลอด”
เหวินซื่อมีสีหน้าห่อเ**่ยวลง ต่อมาก็พูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายว่า “ไม่เป็นไร เด็กคนนี้แปลงโฉมได้ ให้นางแปลงโฉมให้ข้าก็ได้แล้ว” พูดจบก็ตัดสินใจเองโดยไม่รอให้หวงฝู่อี้เซวียนเห็นด้วย “เอาตามนี้ก็แล้วกัน ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าไปด้วย ข้าจะไม่เตรียมยาปลุกกำหนัดไว้ให้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งพูดขึ้นอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “ไม่ต้องใช้เรื่องนี้มาข่มขู่อี้เซวียน ก็แค่ยาปลุกกำหนัดเองมิใช่หรือ ปรุงได้ง่ายๆ เจ้าไม่เตรียมไว้ให้ ข้าก็ปรุงขึ้นมาเองเท่านั้น รับรองว่าดีกว่ายาในหอการค้าของเจ้าอีก”
เหวินซื่อได้ยินแล้วก็กระวนกระวายใจ จนถึงขั้นข่มขู่เมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้ากล้าหรือ ข้าจะบอกให้ ถ้าเจ้ากล้าปรุงยาให้เขา ข้าจะตัดความสัมพันธ์กับเจ้า”
“ถ้าเช่นนั้นก็ลองดู ข้าจะดูสิว่าเถ้าแก่ใหญ่เหวินจะตัดความสัมพันธ์กับข้าอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างสบายๆ
“เจ้า…” เหวินซื่อถูกยอกย้อนจนพูดไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นท่าทางของเขาแล้วก็รู้สึกขำ หัวเราะพรืดออกมาเสียงดัง
เหวินซื่อชี้หน้าของทั้งสองคนอย่างโมโห “ดีดีดี พวก พวกเจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเหวินซื่อโกรธจนหน้าแดง จึงรับปากเขาว่า “ถึงตอนนั้นข้าจะส่งคนมาบอกเจ้า ถ้าเจ้าอยากไปก็ตามไปเถอะ แต่ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจากเหตุนี้ เจ้าอย่ามาโทษข้าล่ะ”
เหวินซื่อค่อยรู้ตัวว่าถูกทั้งสองคนแกล้งเอา จึงกล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้าพวกใจดำทั้งสองคน ขนาดข้ายังแกล้งได้ ถือว่าข้ามองพวกเจ้าผิดไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งหัวเราะเสียงดังลั่น
ผ่านเรื่องราววุ่นวายไปไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นแล้ว จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็นึกถึงอะไรขึ้นได้ พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างร้อนรนว่า “ข้าลืมอะไรไปเรื่องหนึ่ง ข้าไม่กลับบ้านทั้งคืน พี่เมิ่งต้องเป็นห่วงแย่แล้ว เจ้ารีบส่งคนไปบอกให้พวกเขารู้ก่อน บอกว่าพวกเราไม่เป็นอะไร อีกอย่างพวกเขาคงยังไม่ได้พักผ่อนดี วันนี้ก็ปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งให้พวกเขาพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ตะโกนเรียกทหารอารักขาให้เข้ามา แล้วให้ไปส่งข่าวที่เมืองหนานเฉิง
เหวินซื่อพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ลำบากมาทั้งคืนแล้ว เจ้าเองก็เหน็ดเหนื่อย เรือนด้านหลังยังมีห้องว่างอยู่ ข้าจะสั่งให้พนักงานไปเก็บกวาด เจ้าจะได้พักผ่อนก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ถ้าพวกเขาไม่เป็นอะไรแล้วล่ะก็ ข้าก็จะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน”
ยังพูดไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงวิ่งตึงตังดังเข้ามา จากนั้นพนักงานก็พูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า “เถ้าแก่ แย่แล้วขอรับ พวกเขาตัวร้อนขึ้นพร้อมกันเลย ป้อนยาลดไข้ให้กินจนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้วยังไม่ดีขึ้นเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกระเด้งตัวยืนขึ้นทันที บอกพนักงานว่า “พาข้าไปเดี๋ยวนี้”
พนักงานเดินนำทางอยู่ข้างหน้า ทุกคนก็เดินมาถึงห้องรักษาที่อยู่เรือนด้านหลัง เห็นแต่ละหลับตาแน่น ใบหน้าเป็นสีแดงระเรื่อ ท่าทางราวกับว่าเจ็บปวดอย่างมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น เดินไปข้างๆ กัวเฟยแล้วดึงมือเขาออกมาตรวจชีพจร ถามพนักงานเสียงดังว่า “ได้ป้อนยาลดไข้ตามที่ข้าบอกไว้ไหม”
พนักงานตอบกลับทันทีว่า “ต้มยาตามที่แม่นางบอก แล้วป้อนยาให้พวกเขาทุกคนขอรับ”
“ไปเตรียมน้ำเย็นกับผ้าขนหนูมา ประคบเย็นให้พวกเขาสักพัก” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งอีกครั้ง
พนักงานขานรับคำสั่ง คนหนึ่งไปเอาน้ำเย็นมา อีกคนก็ไปหยิบผ้าขนหนูมา ไม่นานก็ได้ของทุกอย่างครบ
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นจนหมาดแล้วเอามาวางไว้บนหน้าผากของกัวเฟย แล้วสั่งให้พวกพนักงานทำตามวิธีของนาง
นี่ก็คือวิธีลดไข้ที่เป็นพื้นฐานที่สุด พวกพนักงานต่างก็ทำเป็น แต่ละคนเฝ้าดูแลคนหนึ่งไว้ หมุนเวียนเอาผ้าชุบน้ำหมาดๆ วางไว้บนหน้าผากของพวกเขาไม่หยุด
ทำเช่นนี้จนกินเวลาไปถึงครึ่งชั่วยาม อาการเป็นไข้ตัวร้อนจนหน้าแดงของพวกกัวเฟยถึงค่อยดีขึ้นบ้าง
ตอนที่ 51-3 ทุบตีคนอย่างโจ่งแจ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงโล่งอกได้บ้าง กล่าวกับพวกพนักงานว่า “พวกเขาดีขึ้นมากแล้ว พวกเจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ”
พนักงานหลายคนเองก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว พอได้ยินเช่นนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ โต๊ะ หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยาอีกครั้ง แล้วส่งให้เหวินซื่อ “อาการบาดเจ็บของพวกเขาหนักหนาสาหัสมาก อาจจะเกิดการติดเชื้อขึ้นได้ เจ้าให้คนเอายาต้านการอักเสบนี้ไปต้มไว้เพื่อเตรียมใช้ อีกสักครู่ก็ป้อนให้พวกเขากินพร้อมกับยาลดไข้เลย”
เหวินซื่อรับใบสั่งยามา สั่งให้พนักงานอีกคนไปทำ
แล้วเวลาก็ล่วงเลยไปประมาณหนึ่งก้านธูปไหม้ พนักงานคนหนึ่งก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “เถ้าแก่ขอรับ ดูเหมือนว่าอาการตัวร้อนของพวกเขาจะลดลงแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองกัวเฟยแวบหนึ่ง เห็นเม็ดเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผากของเขาแล้วก็ถอนหายใจได้อย่างโล่งอกจริงๆ เสียที “น่าจะเป็นฤทธิ์ของยาลดไข้ รอดูอีกสักประเดี๋ยว”
แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกสักพัก บนหน้าผากของแต่ละคนก็มีเหงื่อเม็ดโตผุดซึมออกมา
ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็สบายใจ ลุกขึ้นแล้วสั่งพนักงานว่า “รออีกหนึ่งชั่วยาม ไม่ว่าจะตัวร้อนหรือไม่ก็ตาม พวกเจ้าก็ต้องเอายาลดไข้กับยาต้านการอักเสบป้อนพวกเขาด้วย จำไว้ว่าวันนี้ทั้งวันต้องป้อนยาทุกๆ สองชั่วยาม ห้ามข้ามไปเป็นอันขาด”
พนักงานขานรับคำสั่งอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอาการของแต่ละคนอีกครั้ง รู้สึกว่าอาการของพวกเขาน่าจะอยู่ตัวแล้ว ก็เดินออกจากห้องรักษาพร้อมกับเหวินซื่อและหวงฝู่อี้เซวียนกลับไปยังชั้นบน
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว พนักงานก็ไม่ได้ขึ้นมาส่งข่าว ในที่สุดทุกคนก็สบายใจได้
เหวินซื่อมองท้องฟ้าข้างนอกแวบหนึ่ง คิดว่าได้เวลาแล้ว ก็เดินยิ้มกริ่มไปหยุดอยู่ข้างหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ซื่อจื่อ น่าจะได้เวลาที่พวกเขาไปที่ท้องพระโรงแล้ว พวกเราควรจะเริ่มเดินทางได้แล้วใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา แต่หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ ข้าจะส่งเจ้ากลับนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางส่ายหน้า “เรื่องน่าสนุกเช่นนี้จะขาดข้าไปได้อย่างไร รอทำอะไรเสร็จแล้วค่อยกลับก็ไม่สาย”
หวงฝู่อี้เซวียนเป็นกังวลอยู่บ้าง “แต่ว่าเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน ร่างกายจะไหวหรือ”
“ไม่ต้องพูดถึงคืนเดียว ขนาดไม่ได้นอนสามวันสามคืนข้าก็ยังไหว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า นี่ก็สายแล้ว ได้เวลาทำธุระของพวกเราแล้ว ถ้าช้าไปจะไม่มีโอกาสเหมือนวันนี้นะ”
“ใช่ใช่ใช่” เหวินซื่อพูดคล้อยตามหลายคำ “เด็กคนนี้ร่างกายแข็งแรงดีจะตาย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนาง ทำธุระสำคัญดีกว่า”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ พวกเราไปจัดการกับเขาก่อน ไว้จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่อยกลับจวนอ๋องกับข้า พวกเราจะได้พักผ่อนให้สบาย”
พูดจบก็สั่งทหารอารักขาว่า “เตรียมม้า”
ทหารอารักขาออกไปเตรียมม้าไว้ให้
เหวินซื่อเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ได้แปลงโฉมให้ตัวเอง รีบพูดขึ้นว่า “เจ้าเด็กนี่ยังไม่ได้แปลงโฉมให้ข้าเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวชายตามองเขาแวบหนึ่ง
เหวินซื่อรู้สึกถึงลางไม่ได้ เดินถอยไปก้าวหนึ่ง พูดอึกอักว่า “เจ้า เจ้ารับปากข้าแล้ว เจ้ากลับคำไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหน้ามากระซิบกับหวงฝู่อี้เซวียนเบาๆ
หวงฝู่อี้เซวียนฟังจบแล้วก็มองนางอย่างแปลกใจ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มรู้ใจออกมา
เหวินซื่อยิ่งรู้สึกถึงลางไม่ดีมากขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาข้างนอก แล้วสั่งทหารอารักขาประโยคหนึ่ง
ทหารอารักขารับคำสั่งแล้วก็วิ่งลงไปชั้นล่างทันที
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาด้วยมุมปากที่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ไม่นานทหารอารักขาก็เอาอะไรบางอย่างสีดำๆ อยู่ในชามออกมา แล้วส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างนอบน้อม
เหวินซื่อเดินถอยหลังก้าวหนึ่ง ถามขึ้นว่า “นี่คืออะไร เจ้าเอามันมาใช้ทำอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้เขา ยกชามที่อยู่ในมือออกมาให้เขามองชัดๆ “นี่ก็คือเขม่าจากก้นหม้ออย่างไรล่ะ ไม่ใช่ว่าเจ้าจะแปลงโฉมหรือ ตอนนี้เวลากระชั้นชิดมากแล้ว ไปซื้อของแต่งตัวมาไม่ทันแล้ว ใช้มันไปก่อนก็แล้วกันนะ”
เหวินซื่อหลบฉากออกไปอีกด้าน ร้องตาลีตาเหลือกขึ้นว่า “เด็กบ้า เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับแกว่งเขม่าจากก้นหม้อที่อยู่ในชามไปมา “ตอนนี้มีแค่สิ่งนี้แล้ว ถ้าเจ้าไม่ยอมใช้ วันนี้ก็อย่าตามไปเลย”
เหวินซื่อมองเขม่าดำมะเมื่อมที่อยู่ก้นหม้อ ลังเลนานหลายอึดใจ ตัดสินใจไม่ได้เสียที
เมิ่งเชี่ยนโยวรำคาญแล้ว “เจ้าจะใช้หรือไม่ใช้ รีบตัดสินใจเร็วเข้า เหลือเวลาไม่มากแล้ว พวกเราไม่มีเวลาให้รอช้าอีก”
เหวินซื่อมองดูเขม่าจากก้นหม้ออีกครั้ง สุดท้ายก็กัดฟันตัดสินใจได้ กล่าวว่า “ก็ได้ ใช้มันเถอะ แต่ว่าคราวหน้าเจ้าอย่าใช้มันอีกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบหัวเราะอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่แสดงสีหน้าออกมา กล่าวขึ้นว่า “ครั้งหน้าค่อยว่ากันใหม่ เจ้ารีบเข้ามาเร็วๆ”
เหวินซื่อเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นยิ้ม ใช้มือจุ่มเขม่าดำที่อยู่ในชามมาป้ายบนใบหน้าของเขา
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มตาหยี ยืนมองดูใบหน้าของเหวินซื่อที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปอยู่ข้างๆ จากคุณชายผู้สง่างามราวกับหยกต้องกลายมาเป็นชายชาวบ้านที่มีใบหน้าดำมอมแมม
ถึงการใช้เขม่าจากก้นหม้อจะต้องการกลั่นแกล้งบ้าง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลัวว่าเหวินซื่อจะถูกเฮ่อเหลี่ยนจำได้ แล้วทำให้เดือดร้อนอย่างไม่จำเป็นเหมือนที่แล้วมา ดังนั้นตอนที่ละเลงลงไปก็ตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ แม้แต่ลำคอด้านหน้ายังทาลงไปด้วย จนทำให้เขาเหมือนคนที่มีผิวดำมาตั้งแต่กำเนิด
ใช้เวลาสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงทาจนเสร็จ มองผลงานชิ้นเอกของตนแล้วจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เสร็จแล้ว เจ้าลองไปส่องกระจกดูเอง ดูสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ชั้นบนเป็นที่ที่เหวินซื่อใช้ทำงานปกติ จะมีกระจกที่ไหนกัน เหวินซื่อเดินทื่อๆ ไปที่อ่างน้ำข้างๆ มองเงาที่สะท้อนในน้ำ มองเห็นภาพที่สะท้อนขึ้นมาเป็นชายที่มีใบหน้าดำมะเมื่อมก็ตกใจ กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมน่าเกลียดเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาล้างมือที่อ่างน้ำ กล่าวว่า “ข้าคิดว่าดีเสียอีก หน้าตาเช่นนี้ของเจ้า คิดว่าถ้าเกิดตรวจสอบขึ้นมาก็คงไม่มีใครจำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฮ่อเหลี่ยนเลย”
เหวินซื่อก้มมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง แต่ถูกนางเอามือจุ่มลงไปล้างมือมำให้น้ำเป็นคลื่นมองไม่เห็น จึงปล่อยเลยตามเลย กล่าวอย่างอดใจรอไม่ไหวว่า “พวกเราไปกันเถอะ สายมากแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ล้างมือเสร็จก็เดินลงไปข้างล่างพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน
นอกเหนือจากพนักงานที่ดูพวกกัวเฟยอยู่ คนที่เหลือก็กำลังเช็ดโต๊ะเก้าอี้ในห้องโถงใหญ่อยู่ เตรียมจะเปิดร้าน พอเห็นว่ามีกลุ่มคนเดินลงมาจากชั้นบน ทุกคนก็ยืนทักทายอยู่อย่างนอบน้อม จนกระทั่งชายตัวดำเมี่ยมเดินตามหลังพวกเขามา ต่างก็หันมามองหน้ากัน เกิดความสงสัย ไม่รู้ว่าชายคนนี้ขึ้นไปชั้นบนตั้งแต่ตอนไหน
ชายตัวดำเมี่ยมจึงพูดขึ้นว่า “ดูแลผู้ป่วยทุกท่านที่อยู่เรือนด้านหลังให้ดี ข้าไปประเดี๋ยวก็จะกลับมา”
พอได้ยินว่าเป็นเสียงของเถ้าแก่พวกพนักงานก็ตกใจ เบิกตากว้างมองดูเหวินซื่อ ไม่รู้ว่าเขามีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
พอเห็นท่าทีของพวกเหวินซื่อก็รู้ว่าพวกเขานั้นจำตัวเองไม่ได้ ในใจแอบรู้สึกลำพองใจอยู่บ้าง เริ่มรู้สึกชอบที่เมิ่งเชี่ยนโยวแปลงโฉมให้แล้ว
ทุกคนเดินออกจากประตู ทหารอารักขาได้เตรียมม้าไว้เรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขึ้นม้าตัวเดียวกัน ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ขี่ม้ากันคนละตัว
หวงฝู่อี้เซวียนพาทุกคนมายังทางที่เฮ่อเหลี่ยนต้องผ่านทุกวันเวลาออกจากบ้าน แล้วลงจากม้า ยืนรออยู่ข้างทาง คนที่เหลือก็ลงจากม้าเช่นเดียวกัน แล้วยืนอยู่ข้างหลังเขา
เหวินซื่อเห็นสองคนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหลบเลี่ยง ยืนอยู่อย่างโจ่งแจ้ง จึงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “พวกเจ้ายืนอยู่เช่นนั้นไม่ดีกระมัง รอตีคนไม่ถึงสิบห้านาทีเรื่องก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว”
“ที่ต้องการก็คือกระทำอย่างโจ่งแจ้ง ข้าจะทำให้เขาพูดไม่ได้” หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบก็สั่งพวหทหารอารักขาว่า “หนึ่งอย่าตีใบหน้า สองอย่างให้ร่างกายมีบาดแผล ส่วนจะทำอย่างไรนั้นพวกเจ้าก็ทราบอยู่แล้ว ห้ามทำร้ายจนคนตาย”
ทหารอารักขารับคำสั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหึๆ
เหวินซื่ออ้าปากค้างพูดไม่ออก
เมื่อวานนี้หลังจากที่เฮ่อเหลี่ยนสั่งผู้ดูแลที่คุมขังเสร็จแล้วก็กลับจวนไป พอนึกถึงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมีจุดจบอย่างไรก็ดีใจยิ่งนัก แล้วดื่มไปหลายจอก ไม่คิดว่าจะนอนหลับยาวจนถึงยามเช้า พอลืมตาขึ้นเห็นท้องฟ้าสว่างแล้ว ยังรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย เสียดายที่คืนวานไม่ได้ไปดูจุดจบอันน่าเวทนาของแต่ละคนให้เห็นกับตาตัวเอง
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาอย่างรีบร้อน พอกินมื้อเช้าเสร็จ ก็ขึ้นเกี้ยวที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไปลงชื่อเข้าท้องพระโรงด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ
จนใกล้จะถึงที่ทำงานแล้วจู่ ๆ เกี้ยวก็หยุดลง
เฮ่อเหลี่ยนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวก็ถามอย่างสบายอกสบายใจว่า “เหตุใดถึงหยุดหรือ ”
“คะ คุณชายใหญ่ มะ มีคนมาขวางเกี้ยวขอรับ” คนแบกเกี้ยวตอบกระอึกกระอัก
เฮ่อเหลี่ยนเปิดผ้าม่านของเกี้ยวออก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนักว่า “ใครกันที่ไม่รู้จักลืมหูลืมตา กล้ามาขวางเกี้ยวข้า…” ยังพูดไม่จบ ในตอนที่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนขวางอยู่หน้าเกี้ยวนั้น ก็ถามขึ้นอย่างตกอกตกใจว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบางๆ ตอบกล้วยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ข้ามารอคุณชายใหญ่เฮ่อที่นี่อย่างไรเล่า เมื่อวานนี้เจ้ามอบของขวัญใหญ่ที่ดีที่สุดให้กับข้า ถ้าวันนี้ข้าไม่เอากลับคืนให้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะนะ”
ตอนที่ 52-1 มอบองครักษ์เงาให้
เฮ่อเหลี่ยนตกตะลึงพรึงเพริด รู้สึกหวั่นใจ รีบร้อนดุด่าคนแบกเกี้ยวเสียงดังลั่นว่า “เร็ว รีบหันกลับ!”
บรรดาคนแบกเกี้ยวคิดหันเกี้ยวเลี้ยวกลับกันฉุกละหุก ไม่คิดว่าจะถูกกลุ่มคนที่แต่งกายคล้ายกับทหารอารักขามากดเกี้ยวเอาไว้ ทำให้ขยับเกี้ยวไม่ได้
เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน เขาโถมตัวไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอันตราย นั่นทำให้หล่นลงมาจากเกี้ยว หลังจากที่กลิ้งไปบนพื้นหลายตลบก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นหมายจะวิ่งหนีไป
ทุกคนต่างก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเช่นนี้ ต่างก็ตะลึงไปสักพักหนึ่ง
เหวินซื่อที่สังเกตทุกการกระทำของเขาตลอดเวลา พอเห็นเขากระโจนเข้ามาที่ด้านข้างของตัวเองก็ยกมุมปากขึ้นฉีกยิ้ม ใช้มือข้างหนึ่งจับเสื้อผ้าของเขาไว้
เฮ่อเหลี่ยนสะดุ้งตกใจพยายามสะบัดให้หลุดพ้น
พอเห็นท่าทางกระเสือกกระสนหนีตายของเขา เหวินซื่อก็รู้สึกตลก ส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
เฮ่อเหลี่ยนดิ้นไม่หลุด จึงหันกลับไปดู พอเห็นว่าเป็นชายร่างใหญ่ตัวดำเมี่ยมที่กำลังอ้าปากหัวเราะจนเห็นฟันสีขาวทุกซี่ก็ยิ่งตกใจมากขึ้น รู้สึกหมดหวังจึงถอดเสื้อของตัวเองออก แล้วผลุนผลันวิ่งออกไปเลย
มองเสื้อผ้าที่อยู่ในมือแล้วเหวินซื่อก็หยุดหัวเราะ กล่าวอย่างโมโหว่า “มารดามันเถอะ ทำไมเสื้อตัวนี้ถึงรั้งไว้ไม่อยู่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะไม่ไหวส่งเสียง “คิกคัก” ดังออกมา
เหวินซื่อถลึงตามองนางแวบหนึ่ง แล้วพุ่งออกไปหมายจะตามไปจับเฮ่อเหลี่ยนมา
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาไว้
มีทหารอารักขากระโดดตามไปก่อนแล้ว กระโดดไปไม่กี่ครั้งก็ตามเฮ่อเหลี่ยนทัน แล้วหิ้วเฮ่อเหลี่ยน กลับมาเหมือนลูกไก่ แล้วโยนไว้ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เฮ่อเหลี่ยนกลัวมากยิ่งขึ้น ดุด่าคนแบกเกี้ยวว่า “เจ้าพวกสวะไร้ประโยชน์ ยังไม่รีบเข้ามาช่วยข้าอีก?”
คนแบกเกี้ยวหลายคนที่ยืนโง่งมอยู่จึงได้สติขึ้นมา วางเกี้ยวลงอย่างรีบร้อน คิดจะเข้ามาช่วยเฮ่อเหลี่ยน
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ก็รอตรงนั้นแต่โดยดี” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
พวกคนแบกเกี้ยวตกใจกลัวจากน้ำเสียงอันเยือกเย็นของเขา ชะงักฝีเท้าพลัน คนแบกเกี้ยวหนึ่งในนั้นกลอกตาไปมา หันหน้าหมายจะวิ่งกลับไป ทหารองครักษ์คนหนึ่งตาไวเห็นเข้าจึงเข้ามาขวางทางเขาไว้ กล่าวเสียงต่ำว่า “ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ก็รอแต่โดยดี”
คนแบกเกี้ยวจึงไม่กล้าขยับอีก
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเหล่าทหารอารักขาว่า “ลงมือได้!”
ทหารอารักขาเดินเข้ามา แล้วลงมือทั้งชกทั้งเตะเฮ่อเหลี่ยน
เหวินซื่อคันไม้คันมืออดใจไม่ไหวคิดจะเข้ามาผสมโรงด้วย แต่ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวมาขวางไว้ “การทำร้ายคนของพวกเขานั้นมีวิธีพิเศษ ดูผิวเผินภายนอกไม่อาจมองเห็นร่องรอยบอบช้ำได้ เจ้าทำไม่ได้หรอก”
เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้กลับได้แต่ดู ทำอะไรไม่ได้เลย เหวินซื่อรู้สึกอึดอัดใจ แล้วเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ที่เดิมด้วยความกระวนกระวายใจ
เฮ่อเหลี่ยนรู้สึกว่าทุกครั้งที่ทหารอารักขาทุบตีตัวเองนั้นทำให้อวัยวะภายในเคลื่อนย้ายไปอยู่ผิดที่ผิดทาง นอนร่ำไห้ร้องครวญครางไม่หยุด
คนที่เดินผ่านเห็นคนที่ทุบตีกับคนที่โดนทุบตีต่างก็แต่งกายไม่ธรรมดา กลัวว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนมาถึงตน จึงไม่ได้เข้ามายุ่ง เพียงแต่มองดูจากที่ไกลๆ เท่านั้น
เสียงร้องครวญครางของเฮ่อเหลี่ยนค่อยๆ เบาลง ร่างกายไม่มีแรงหลบอีก หวงฝู่อี้เซวียนจึงกล่าวขึ้นว่า “พอแล้ว”
เหล่าทหารอารักขาต่างก็หยุด แล้วเดินกลับไปอยู่ข้างหลังเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง ยิ้มตาหยีถามเฮ่อเหลี่ยนที่เจ็บปวดเจียนตายว่า “คุณชายใหญ่ รสชาติที่ถูกทุบตีเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฮ่อเหลี่ยนไร้เรี่ยวแรงไม่มีแม้แต่แรงด่า ได้แต่ใช้สายตาจ้องมองนางอย่างเคียดแค้น
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้สนใจ บอกเขาด้วยรอยยิ้มละไมว่า “คุณชายใหญ่ คราวนี้ถือว่าทุบตีแทนกัวเฟย วันพรุ่งนี้เป็นเหวินเปียว วันถัดไปเป็นเหวินหู่ ยังมีวันถัดถัดไปอีก วันถัดถัดถัดไปก็ยังมีอีก เจ้าต้องอดทนไว้นะ อย่าตายง่ายๆ ไม่เช่นนั้นแค้นของพวกเขาข้าก็คงจะชำระให้พวกเขาไม่หมด เสียแรงที่เป็นนายหญิงของพวกเขากันพอดี”
นางพูดอย่างสบายๆ แต่คนข้างๆ ที่พอได้ยินแล้วกลับขนลุกขนชัน โดยเฉพาะคนแบกเกี้ยวพวกนั้น รู้สึกว่าเมื่องเชี่ยนโยวบ้าไปแล้ว มีใครกันที่บอกก่อนจะทุบตีคน วันนี้คุณชายใหญ่ของพวกเขาไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน จึงเสียท่าให้พวกเขาอย่างง่ายดาย พอนางพูดเช่นนี้ ต่อไปเวลาจะออกจากบ้านก็ต้องพาคนติดตามไปมากมาย ถึงตอนนั้นใครจะทำร้ายใครก็ยังไม่แน่เลย
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบก็ลุกขึ้นยืน กำชับทหารอารักขาอย่างใจดีว่า “พวกเจ้าไปช่วยคุณชายใหญ่เฮ่อขึ้นบนเกี้ยว ร่างกายของเขามีค่ามาก พวกเจ้าระวังอย่าทำให้เขาเจ็บล่ะ”
ทำร้ายคนจวนเจียนจะตายอยู่แล้ว ยังมาเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดีอีก เฮ่อเหลี่ยนแทบจะกระอักเลือดออกมา
ทหารอารักขาตอบรับคำสั่งด้วยความเคารพ แล้วเข้าไปช่วยยกเฮ่อเหลี่ยนขึ้นไปบนเกี้ยวจริงๆ เพียงแต่การกระทำที่หยาบคายเช่นนั้นทำให้เฮ่อเหลี่ยนเจ็บจนแทบหมดสติไป
พอเห็นพวกทหารอารักขาโยนเฮ่อเหลี่ยนขึ้นไปบนเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับคนแบกเกี้ยวที่ยังตกตะลึงอยู่ว่า “ไม่มีอะไรแล้ว พาเจ้านายของพวกเจ้ากลับไปเถอะ”
พวกคนแบกเกี้ยวจึงได้สติ ต่างก็ตะลีตะลานเดินกลับมาที่เกี้ยว ยกเกี้ยวขึ้นแบกอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วก็เดินโยกเยกกลับไป
เดิมทีเฮ่อเหลี่ยนรู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนไฟแผดเผาไปทั้งตัว ตอนนี้ยังถูกพวกเขาโยกไปโยกมาเช่นนี้อีกก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดขึ้นอีกหลายเท่า ตะคอกด่าอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เศษสวะไร้ประโยชน์ พวกเจ้ากำลังโยกให้ข้าตายหรืออย่างไร?”
พวกคนแบกเกี้ยวต่างก็ตื่นตระหนก คิดแต่ว่าจะพาเฮ่อเหลี่ยนกลับจวนให้เร็วที่สุด พอได้ยินเขาตะคอกด่าก็เดินช้าลงทันที ปรับท่วงท่าให้เป็นปกติ แล้วพาเขาเดินกลับไปอย่างมั่นคงและเชื่องช้า
เฮ่อเหลี่ยนไม่พอใจอีก ตะคอกด่าอย่างเกรี้ยวกราดเช่นเดิมว่า “พวกเจ้าชักช้าลีลาอยู่นี่ คิดจะรอให้ข้าเจ็บปวดจนตายไปก่อนหรือ?”
พวกคนแบกเกี้ยวยิ่งไม่รู้ว่าจะแบกอย่างไรดี คนนี้ก็ใช้แรงมากเกินไป คนนี้ก็เดินเร็วมากเกินไป อีกคนก็ชักช้า อยู่ๆ เกี้ยวก็คว่ำลงไป แล้วเฮ่อเหลี่ยนก็ถูกเทออกมา
เฮ่อเหลี่ยนที่เจ็บปวดจนหมดแรงดิ้นรนแล้ว หลังจากที่กลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบ ก็นอนแผ่หลาเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างน่าสมเพช
คนที่มุงดูพอเห็นพวกคนแบกเกี้ยวไปแบกเฮ่อเหลี่ยนออกไปแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดู กำลังจะแยกย้ายกันไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายกันจ้าละหวั่น พอหันไปมองก็เห็นเฮ่อเหลี่ยนที่กำลังตกจากเกี้ยวลงมาพอดี ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจ ต่างก็วิ่งเบียดกันเข้าไปดูเรื่องสนุก
เรื่องที่สนุกเช่นนี้เหวินซื่อเองก็อยากจะไปดูเช่นกัน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวมาห้ามเขาไว้ก่อน “พอแล้ว ควรกลับไปแล้ว”
เหวินซื่อเหลือบมองไปทางนั้นอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ละสายตากลับมาด้วยความคับแค้นใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขาว่า “เจ้ากลับไปสั่งให้คนดูแลพวกกัวเฟยไว้ให้ดีนะ ข้าจะกลับไปพักผ่อนก่อนสักพัก ยามบ่ายข้าค่อยไปดู ถ้าพวกเขาเป็นอะไรก็ส่งคนมาแจ้งข่าวกับข้า บ้านของข้าอยู่ที่…”
“ไปหานางที่จวนอ๋องฉีก็พอ” หวงฝู่อี้เซวียนขัดจังหวะนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้คัดค้าน แล้วพยักหน้ากับเหวินซื่อ
เหวินซื่อลูบคาง ใช้สายตาแบบที่ตรวจสอบมาพิจารณาทั้งสองคน
“ไม่ต้องลูบแล้ว ถ้ายังลูบอีกก็ถูกคนจำได้พอดี” เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนเขา
เหวินซื่อจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นใช้เขม่าจากก้นหม้อมาแปลงโฉมอยู่ รีบดึงมือลงทันควัน แล้วตอบว่า “ข้ารู้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขาอีกว่า “เจากลับจวนไปแล้วห้ามบอกใครนะว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าเผื่อว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องแล้วเรื่องเกิดแพร่ออกไปจะเดือดร้อนเจ้าได้”
“รู้แล้ว ทำไมเจ้าเด็กคนนี้ขี้บ่นขนาดนี้” เหวินซื่อกล่าวอย่างรำคาญ
เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งยิ้มทั้งโมโห กล่าวขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับแล้วนะ”
เหวินซื่อโบกไม้โบกมือ “รีบไป รีบไป”
มีหรือที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เข้าใจความคิดของเขา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปก่อน จ้ำแล้วพวกเราถึงจะไป”
แผนของเหวินซื่อถูกมองทะลุแล้ว บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ จึงขึ้นขี่ม้าแล้วควบม้าไปยังร้านยาเต๋อเหริน
รอจนกระทั่งเขาไปจนมองไม่เห็นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนจึงขึ้นมาแล้วพาทุกคนกลับจวนอ๋องฉี
เมื่อวานหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินองครักษ์รายงานแล้วก็รีบพาเหล่าทหารอารักขาออกไป กลัวว่าจะเกิดอันตราย จึงไม่ให้หวงฝู่อี้ตามไปด้วย
หวงฝู่อี้รออยู่ในเรือนอย่างกระสับกระส่ายทั้งคืน ก็ไม่เห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะกลับมาเสียที จนถึงตอนเช้าอดทนไม่ได้อีก จึงไปรายงายพระชายาฉี
พอพระชายาฉีได้ยินก็เป็นห่วงแทบแย่ จึงสั่งให้องครักษ์ประจำจวนแยกย้ายกันออกไปหาข่าวคราว แล้วก็สั่งคนรับใช้ว่าถ้าหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาแล้วก็ให้มารายงานนาง
ดังนั้นพอหวงฝู่อี้เววียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าประตูมาก็มีคนไปรายงานให้นางทราบทันที
หลังจากพระชายาฉีได้ยินแล้วก็ให้สาวใช้มาส่งข่าว บอกให้พวกเขาทั้งสองคนไปหานางก่อน
หวงฝู่อี้เซวียนปฏิเสธสาวใช้คนนั้น “บอกเสด็จแม่ว่าโยวเอ๋อร์ยังไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ให้นางพักผ่อนก่อน รอตื่นแล้วพวกเราค่อยไปพบนาง”
สาวใช้รับคำ แล้วก็กลับไปบอกพระชายาฉีตามคำที่เขาบอก
พระชายาฉีคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวน่าจะไม่เป็นอะไรก็สบายใจขึ้น สั่งคนใช้ทุกคนในจวนว่าถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าไปรบกวนพวกเขา ให้พวกเขาพักผ่อนกันให้สบาย แล้วก็ส่งคนไปกำชับหวงฝู่อี้ ให้เขาเฝ้าประตูดีๆ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน
หลังจากที่หวงฝู่อี้ได้ยินคำสั่งที่สาวใช้ถ่ายทอดมา ก็ยกตั่งเล็กๆ มาตั้งไว้และนั่งอยู่ที่หน้าประตูเรือน ถึงจะเป็นคนรับใช้ที่เดินผ่านมาก็บอกให้พวกเขาเดินเบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เหน็ดเหนื่อยจริงๆ ล้างหน้าเสร็จแล้วก็ขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องด้านในทั้งชุดเดิม แล้วก็หลับตาลง
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา แตะนางเบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงลืมตาขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนฉุดนางให้ลุกขึ้น ช่วยนางถอดเสื้อคลุมด้านนอกอย่างอ่อนโยน ประคองนางลงนอนบนเตียง เอาผ้ามาห่มให้นาง ทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเลย
หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอดเสื้อคลุมด้านนอกของตัวเองออกเช่นกัน แล้วก็ล้มตัวนอนบนเตียง ดึงผ้าอีกมุมมาห่มบนตัวของตัวเอง จากนั้นก็เอื้อมมือไปโอบกอดนางไว้
รับรู้ได้ว่ามือของเขากำลังเคลื่อนไหวเบาๆ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนซุกศีรษะที่ลำคอของนางโดยไม่พูดไม่จา
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆ มาซุกอยู่ที่ลำคอของตัวเอง
สักพักหวงฝู่อี้เซวียนก็พูดขึ้นด้วยเสียงขึ้นจมูกหนักๆ ว่า “คืนวาน ตามหาเจ้าไปหลายเรือนจำก็ไม่พบเจ้า พอคิดว่าเจ้าจะต้องเจอกับอะไรที่ไม่ดีต่างๆ นานา ข้าก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น ข้าสาบานว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะตัดแขนตัดขาแล้วก็ตัดคอคนที่จับเจ้าไป จากนั้นค่อยตายตามเจ้าไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมาตบหลังเขาอย่างปลอบโยน
หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้าที่ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา แล้วจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา “โยวเอ๋อร์ เจ้าคือชีวิตของข้า รับปากกับข้า ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องปกป้องตัวเองให้ดี เชื่อใจข้า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคยิ่งใหญ่เพียงใดข้าก็จะตามหาเจ้าจนเจอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกซาบซึ้งใจ พยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วกล่าวรับรองว่า “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ละทิ้งตัวเองไปง่ายๆ และไม่ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในที่ที่อันตรายเด็ดขาด”
พอได้รับการรับรองจากนาง หวงฝู่อี้เซวียนก็สงบลงมาก เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มมาห่ม “นอนเถอะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับตา ไม่นานก็หลับสนิทไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น