ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 46.1-48.1
ตอนที่ 46-1 หวาดกลัว
“ไม่มี ไม่มีแน่นอน” พระชายารองกรีดร้องสุดเสียง
นางปฏิเสธไวมาก แม้แต่อ๋องฉีก็ยังอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
พระชายารองตกใจกับท่าทางของตนเองเช่นกัน นางชะลอน้ำเสียงลงแล้วพูดออกไปว่า “พี่สาวล้อข้าเล่นแล้ว ข้าดูแลกิจการของจวนอย่างรอบคอบมาโดยตลอด คิดทำเพื่อจวนอ๋องทั้งนั้น ไหนเลยจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นได้ ยิ่งไม่มีทางทำเรื่องทำนองนั้น”
พระชายาฉีพยักหน้า “ข้าเองก็เชื่อว่าน้องสาวจะไม่ทำเรื่องอะไรที่เป็นผลร้ายต่อจวนอ๋อง”
พระชายารองไม่เต็มใจอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ที่นางแต่งเข้าจวนอ๋องมานางก็ดูแลกิจการทุกอย่างของจวนมาโดยตลอด ทุกคนในจวนต่างก็ให้ความเคารพและยำเกรงนาง ทำไมอาศัยเพียงนางพูดประโยคเดียวก็สามารถริบเอาอำนาจทั้งหมดในมือของตนกลับคืนไปได้แล้ว แล้วแบบนี้อีกหน่อยนางจะยังมีที่ยืนอยู่ในจวนอ๋องอีกอย่างนั้นเหรอ ยิ่งคิดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งกัดฟันแน่น ได้แต่ลดศีรษะลงหลบซ่อนแววตาและความคับแค้นใจ กล่าวกับอ๋องฉีไปว่า “ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยส่งมอบอำนาจในการดูแลจวนใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่พี่สาวร่างกายอ่อนแอ เกิดว่าป่วยขึ้นมาอีกเพราะเหนื่อยล้าเกินไปด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เห็นทีจะไม่คุ้มค่า อย่างไรเรื่องลำบากจำต้องให้แรงเหล่านี้ยกให้ข้าน้อยจัดการเถิดเจ้าค่ะ ใครใช้ให้ข้าน้อยเกิดมามีชะตาต้องลำบากเล่าเจ้าคะ”
คำพูดนี้พูดได้น่าฟังเหลือเกิน พระชายาฉีแทบอยากจะปรบมือให้กับวาทศิลป์ของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามวันนี้นางตัดสินใจเข้ายึดอำนาจในจวนแล้ว จะไม่ยอมปล่อยให้พระชายารองประสบความสำเร็จเป็นอันขาด ขณะที่อ๋องฉีกำลังจะเปิดปากเพื่อพูดอะไรออกมา เสียงของนางก็ดังขัดขึ้นก่อน “ถ้าท่านอ๋องไม่เห็นด้วยกับการที่ให้ข้าน้อยดูแลจวน เช่นนั้นข้าน้อยคงต้องเข้าวังไปถามพระมารดาแล้วว่ากฎของจวนอ๋องที่แท้กำหนดไว้ว่าอย่างไรกันแน่”
ไทเฮาเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบเป็นอย่างมาก หากให้พระชายาฉีเข้าวังไปถามจริงๆ ผลที่ได้ไม่เพียงแต่จะต้องยอมส่งมอบอำนาจออกไปแต่โดยดี แต่เขายังจะถูกตำหนิหาว่าลุ่มหลงอนุรังแกภรรยาเอกอีกด้วย แน่นอนว่าพระชายารองเองคงจะไม่มีจุดจบที่ดีเท่าไหร่เหมือนกัน อ๋องฉีครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในที่สุดก็กล่าวออกไปว่า “เรื่องในจวนแต่เดิมก็สมควรยกให้เจ้าดูแลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าป่วยมานาน ตอนนี้เพิ่งจะฟื้นตัวได้ไม่เท่าไหร่ แต่เอาเถอะ ในเมื่อเจ้ามีใจแถมยังตัดสินใจแล้วเช่นนี้ข้าก็จะไม่ขัด ต่อจากนี้เรื่องน้อยใหญ่ในจวนทั้งหลายยกให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน ส่งมอบอำนาจกลับคืนสู่มือเจ้า”
พระชายารองยังคงยืนหยัดดิ้นรนไม่เลิกรา ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงเวทนาไม่ยอมตัดใจว่า “ท่านอ๋อง!”
เสียงของนางนี้ช่างคร่ำครวญเหลือเกิน มันเต็มไปด้วยความอ้อนวอนและร้องขอ แต่เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว อ๋องฉีไม่กล้าลำเอียงเข้าข้างอีกฝ่ายอีก จึงได้แต่ปลอบนางไปว่า “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว ฟังที่ซู่อิงพูดเถิด เจ้าวางมือและพักผ่อนได้แล้ว รอวันไหนร่างกายนางรับไม่ไหวค่อยให้เจ้าเข้ามาดูแลแทนอีกครั้ง”
เมื่ออ๋องฉีพูดแบบนี้แต่เดิมพระชายารองก็สมควรจะพอใจ แต่นางมีชนักติดหลังอยู่ ใจจึงร้อนรนและรู้สึกไม่สงบเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะยอมสละอำนาจในมือออกไปได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้จึงคิดแผนผัดวันประกันพรุ่งขึ้นมา ใช้น้ำเสียงอ่อนน้อมกล่าวกับพระชายาฉีไปว่า “พี่สาวหมดสติไปหลายวัน วันนี้เพิ่งฟื้นขึ้นมาคงไม่เหมาะที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยภายในจวนตอนนี้เลย รอท่านพักผ่อนจนหายดีก่อนค่อยพูดเรื่องนี้อีกทีดีไหมเจ้าคะ”
สิ่งที่นางพูดมาเป็นความจริง อ๋องฉีพยักหน้าเห็นด้วยในทันทีแล้วตัดสินใจลงไปว่า “เอาแบบนี้ ให้ซู่อิงพักผ่อนต่ออีกหนึ่งเดือน รอจนกระทั่งผ่านพ้นหนึ่งเดือนนี้ไปแล้วต่อจากนี้เรื่องทั้งหมดในจวนรวมไปถึงสมุดบัญชีทุกเล่มจะต้องถูกส่งมอบให้แก่นาง”
อ๋องฉีถอยให้ได้มากที่สุดเท่านี้ พระชายาฉีเองก็ไม่สะดวกหากจะบีบคั้นจนเกินไป จึงพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วยแล้วพูดออกไปว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งท่านอ๋อง”
พระชายารองถอนหายใจออกยาวด้วยความโล่งอก สามารถยืดเวลาต่อไปได้อีกหนึ่งเดือน อาศัยเวลานี้อย่างน้อยๆ ช่องโหว่ในบัญชีเหล่านั้นก็ยังสามารถชดเชยกลับมาได้ทันกาล
การเจรจาทั้งหมดจบลงโดยสมบูรณ์ อ๋องฉีมองไปทางพระชายารองด้วยความปวดใจเล็กน้อย ปลอบประโลมไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้ากลับเรือนไปพักผ่อนล้างเนื้อล้างตัวให้สดชื่นหน่อยเถิด”
พระชายารองรับคำ แต่ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะลุกขึ้นยืนนั้นเอง เสียงทุ้มนุ่มของพระชายาฉีกลับดังขัดขึ้นอีกครั้ง “ท่านอ๋อง เวลาหนึ่งชั่วยามที่ข้าสั่งให้น้องสาวคุกเข่าเพื่อเป็นการลงโทษยังไม่ถึงเลย ท่านทำแบบนี้อีกหน่อยข้าจะยืนต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร จะไปมีอำนาจอะไรสั่งการพวกบ่าวรับใช้ทั้งหลาย”
ครึ่งร่างของพระชายารองสั่นสะท้านจนล้มครืนลงไปทันที เข่าทั้งสองข้างกระแทกลงกับพื้นอย่างหนัก เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดดังออกมาอย่างช่วยไม่ได้
พระชายาฉีขมวดคิ้ว ใช้อำนาจกดหัวนางลงไปอีกครั้ง “อยู่ต่อหน้าข้ากับท่านอ๋องยังกล้าตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ไร้มารยาทอย่างแท้จริง เพิ่มบทลงโทษลงไป ให้คุกเข่าเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม”
ยังต้องคุกเข่าต่ออีกหรือ พระชายารองหวาดกลัวจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว นางอ้อนวอนออกไปซ้ำๆ ว่า “พี่สาว น้องสาวไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ขอท่านโปรดอภัยให้กับความผิดของข้าในครั้งนี้ด้วย”
“ไร้ความเคารพ ไร้ซึ่งการให้เกียรติ เพิ่มโทษลงไปอีกหนึ่งกระทง ให้คุกเข่าเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม” พระชายาฉีกล่าวต่อ
คราวนี้พระชายารองกลัวมากจนไม่กล้าพูดต่อแล้ว นางยกมือขึ้นปิดปาก เงยหน้าขึ้นมองอ๋องฉีด้วยหน้าตาน่าสงสารแกมอ้อนวอน
อ๋องฉีกระแอมไอออกมาหนึ่งที พยายามขอร้องแทน “ซู่…”
“ท่านอ๋อง” พระชายาฉีขัดจังหวะเขา “หน้าที่ของท่านก็คือจัดการเรื่องใหญ่ทั้งหลายที่อยู่นอกบ้าน ส่วนเรื่องภายใน ขอท่านอย่าได้สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ประเดี๋ยวจะถูกหัวเราะเยาะเอา”
คำที่อ๋องฉีกำลังจะพูดออกมาถูกปิดกั้นไว้ในปาก เขาแตะไปที่จมูกของตนเองเบาๆ ก่อนจะมองไปทางพระชายารองแล้วหักใจพูดออกไปอย่างโหดร้ายว่า “ยังไม่รีบไปรับโทษอีก”
พระชายารองไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอ๋องฉีจะพูดอะไรแบบนี้ จึงให้นิ่งอึ้งไปโดยสิ้นเชิง จ้องมองอ๋องฉีไปด้วยความงุนงง
อ๋องฉีหลบตานางอย่างรู้สึกผิด
พระชายาฉีขึ้นเสียงดังแล้วตะโกนสั่งคนที่อยู่ข้างนอก “ใครก็ได้เข้ามาหน่อย”
หลิงหลงรับคำก่อนจะเดินเข้ามา “เหนียงเหนียง”
พระชายาฉีสั่งการลงไป “ลากตัวพระชายารองออกไปให้นางคุกเข่ารับโทษ หากไม่ถึงสองชั่วยามห้ามไม่ให้ลุกขึ้นมาเป็นอันขาด”
หลิงหลงยังคงงุนงงอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากที่ได้สติก็ตอบรับอย่างมีความสุขแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพระชายารอง พูดออกไปว่า “พระชายารอง เชิญเจ้าค่ะ”
พระชายารองทรุดตัวอยู่บนพื้น มองไปทางอ๋องฉีด้วยสีหน้าซีดเผือดประหนึ่งคนที่ตายไปแล้ว
อ๋องฉีนิ่งเงียบไม่พูดจา
พระชายาฉีตะโกนออกไปอีกครั้ง “ลากตัวออกไป!”
ทันใดนั้นเองหลิงหลงก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้า ดึงตัวพระชายารองขึ้นจากพื้นแล้วลากตัวออกไป
พระชายารองดูเหมือนจะยังไม่ได้สติกลับมาดีจึงลืมตอบโต้ขัดขืนไปโดยปริยาย ปล่อยให้อีกฝ่ายลากตัวออกไปราวกับท่อนไม้ก็มิปาน
ก่อนหน้านี้ตอนที่ทุกคนในลานบ้านเห็นอ๋องฉีเสด็จมา ก็คิดกันไปเองแล้วว่าท่านอ๋องจะต้องช่วยพูดแทนพระชายารองแน่ๆ แล้วพระชายาฉีจะต้องถูกตำหนิอย่างไม่ต้องสงสัย คิดไม่ถึงว่าใช้เวลาเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว พระชายารองก็ถูกหลิงหลงลากตัวออกมา นางสั่งการลงไปว่า “เหนียงเหนียงมีรับสั่ง ให้พระชายารองคุกเข่าเป็นเวลาสองช่วยยามเพื่อลงโทษ”
ฉับพลันเสียงสูดลมหายใจเข้าลึกก็ดังขึ้นจากทุกคนที่อยู่ในลาน แทบไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลย พระชายาถึงกับสั่งลงโทษให้พระชายารองคุกเข่าเป็นเวลาสองช่วยยาม แถมท่านอ๋องก็ยอมรับแล้ว
พระชายารองไม่ดิ้นรนอีกต่อไป ปล่อยให้หลิงหลงกดตัวเองคุกเข่าลงกับพื้น
ในที่สุดก็ไม่ต้องคอยมองสีหน้าอารมณ์ของพระชายารองเสียที หัวใจของหลิงหลงจึงรู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษ นางเหลือบมองไปทางผู้คนที่ยืนอยู่ในลานบ้านครั้งหนึ่งจากนั้นก็กล่าวออกไปอย่างจริงจังว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเหนียงเหนียงจะเข้ามารับหน้าที่ดูแลจวนแห่งนี้ ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าอย่าได้ทำเกินหน้าที่ของตัวเอง ตนมีหน้าที่อะไรก็จัดการให้ดี หากใครบังอาจเกียจคร้านไม่ฟังตามคำสั่ง จุดจบของพวกเจ้าให้ดูหลันฮวาเป็นตัวอย่าง”
หลันฮวาถูกสั่งโบยยี่สิบไม้ ภาพเลือดและเศษเนื้อขณะที่อีกฝ่ายถูกลากตัวออกไปยังคงติดอยู่ในตาของทุกคนจนถึงบัดนี้ ฉับพลันทุกคนในลานบ้านก็ให้เสียวสันหลังวาบ ตัวสั่นงกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าจะต้องระมัดระวังและใส่ใจให้มากกว่านี้
ตัดกลับมาในห้อง สีหน้าของพระชายาฉีบัดนี้ฉายแววอ่อนเพลียชัดเจน นางพูดกับอ๋องฉีไปว่า “ท่านอ๋อง เมื่อสักครู่ข้าน้อยกำลังจะเข้านอนแต่ก็ถูกปลุกขึ้นโดยเสียงรบกวนของท่าน ตอนนี้จึงให้อ่อนเพลียยิ่งนัก รู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าเอาเสียเลย ข้าต้องการพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย คงไม่อาจอยู่ต่อเป็นเพื่อนท่านอ๋องได้ อย่างไรเชิญท่านอ๋องตามสบายเถิดเจ้าค่ะ”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำสั่งแกมขับไล่ตัวเองออกไป กระนั้นเองหากจะโทษก็ต้องโทษตัวเองที่เมื่อสักครู่เข้าข้างพระชายารองช่วยพูดแทนนาง แม้ตอนนี้อ๋องฉีอยากจะพูดแก้ตัวให้ตัวเองสักสองสามประโยค แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดีแล้ว จึงได้ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย พูดออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าพักผ่อนให้ดี รอตื่นแล้วข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
พระชายาฉีไม่มีร่องรอยความยินดีอยู่ในน้ำเสียงของนางเลย ตอบกลับไปอย่างสงบว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่ทรงเมตตาและไม่ถือสา”
อ๋องฉียกมือขึ้นแตะจมูกเบาๆ สีหน้าดูกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขาลูบจมูกตัวเองไปพลางเดินออกไปทั้งที่คล้ายเก็บงำบางอย่างอยู่ ขณะเดินผ่านพระชายารองที่คุกเข่าอยู่ตรงลานบ้านยังมิวายปรายตามองอีกฝ่ายไปด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะก้าวอาดๆ แล้วกลับเรือนพักของตนเองไป
หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนี้ ความง่วงงุนก็เข้าจู่โจมพระชายาฉีอีกครั้ง เสียงตะโกนดังขึ้นว่า “หลิงหลง!”
หลิงหลงขานรับแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“เซวียนเอ๋อร์กับแม่นางเมิ่งเล่า” พระชายาฉีถามนาง
“เรียนเหนียงเหนียง ซื่อจื่อพาแม่นางเมิ่งกลับไปที่เรือนของเขาแล้วเจ้าค่ะ บอกว่ารอให้ท่านตื่นเมื่อไหร่ค่อยส่งคนไปแจ้งให้ทราบ” หลิงหลงตอบกลับอย่างเคารพ
“รีบส่งคนไปเรียกพวกเขามาเร็ว”
หลิงหลงขานรับแล้วเดินจากไปโดยไว สั่งสาวใช้ที่ยืนรออยู่นอกห้องให้ไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่เขาและพระชายาฉีเข้าวังไปพบไทเฮา รวมถึงเรื่องที่ทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงมาให้หมั้นหมายและเรื่องที่เขาจะสละตำแหน่งซื่อจื่อให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวฟังจนหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางส่ายหน้า แสร้งดุเขาไป “เจ้านี่ก็จริงๆ เลย ในท้องปีศาจอย่างเจ้ามีแต่สีดำหรืออย่างไร ไม่ว่าใครก็กล้าคิดบัญชีด้วย เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าหากไทเฮาทรงตกปากรับคำลงมาจริงๆ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร”
“หากนางตกลงจริงๆ ข้าก็จะพาท่านแม่ของข้ากลับบ้าน นี่ไม่ใช่ว่าเข้าทางข้าพอดีหรอกเหรอ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดออกมาโดยไม่แยแสแม้แต่น้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวหยอกเย้าเขาไปอีกสองสามประโยค หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ ปล่อยให้หญิงสาวหัวเราะเยาะตัวเองตามอำเภอใจ ยังคงดูมีความสุขมาก
กัวเฟยกับหวงฝู่อี้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูมากกว่าที่ทนรับกับน้ำเสียงยินดีปนงี่เง่าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ไหว แอบชำเลืองสบตากันครั้งหนึ่ง ก่อนต่างฝ่ายต่างเงียบไปแล้วถอยห่างออกจากประตูไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
สาวใช้ที่เดินมาส่งข่าวเรื่องของพระชายา เมื่อมาถึงหน้าเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นคนทั้งสองยืนอยู่กลางลานบ้าน แต่นางก็ระงับข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในใจไปโดยเร็ว กระซิบกล่าวออกไปด้วยเสียงเบาว่า “คุณชายอี้ พระชายาตื่นแล้ว บอกให้ซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งไปหาเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้พยักหน้าให้กำลังจะเดินเข้าไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียนในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ด้านในก็ได้ยินเสียงของสาวใช้แล้ว เขาตะโกนออกมาว่า “เจ้ากลับไปรายงานท่านแม่ บอกว่าพวกเราจะไปที่นั่นทันที”
สาวใช้ขานรับจากนั้นก็หมุนตัวกลับไปเพื่อรายงาน
ตอนที่ 46-2 หวาดกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวถามออกไปอย่างฉงนใจว่า “ไฉนจึงนอนไปได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น อย่างน้อยๆ ต้องครึ่งชั่วยามขึ้นไปสิถึงจะถูก”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไปเถอะ ไปดูกัน”
ทั้งสองคนเดินออกมาจากในห้อง เข้ามายังเรือนพักของพระชายาฉี
กัวเฟยกับหวงฝู่อี้เดินตามหลังมาติดๆ
ทันทีที่เดินเข้ามาในลานบ้าน พวกเขาก็เห็นพระชายารองปิดปากแน่นไม่กล้าถกเถียงอย่างไร้ประโยชน์อีก องครักษ์ประจำจวนที่เข้ามาคุกคามเมื่อสักครู่ก็สลายตัวไปแล้ว บัดนี้อีกฝ่ายกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างว่าง่าย หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลงแล้วมองไปทางหลิงหลง
หลิงหลงเข้าใจเจตนาของเขาจึงอธิบายให้ฟังว่า “เหนียงเหนียงสั่งลงโทษพระชายารองให้คุกเข่าอยู่ที่ลานบ้านเป็นเวลาสองชั่วยามเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกงงงวยมากขึ้นกว่าเดิมอีก แต่หลิงหลงก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้ว “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง เชิญเข้าไปข้างในเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีได้ยินเสียงของหลิงหลงก็ผุดยิ้มขึ้นมา พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งก้าวเข้าประตูมาว่า “แม่นางเมิ่ง มาทางนี้ นั่งลงข้างๆ ข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่เตียงของนางอย่างว่าง่าย แต่กลับไม่ได้นั่งลงตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่อย่างใด นางเพียงพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “พระชายายื่นมือออกมาก่อนเจ้าค่ะ ข้าขอตรวจชีพจรให้ท่านหน่อย”
พระชายาฉียื่นมือออกไป
หลังจากจับชีพจรเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดออกไปว่า “ชีพจรของพระชายาตอนนี้เต้นแรงและมีกำลังกว่าเมื่อครู่มาก ขอเพียงท่านดื่มยาตามตำรับที่ข้าสั่งให้ตรงเวลาไม่บิดพลิ้ว ไม่นานนักสุขภาพของท่านจะฟื้นตัวกลับมาได้แน่ๆ และถึงแม้จะไม่สามารถแข็งแรงได้เท่ากับคนปกติ แต่ก็จะไม่ป่วยออดๆ แอดๆ ต้องนอนซมอยู่แต่บนเตียงเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
พระชายาฉีมีความสุขมากและพูดว่า “ได้แบบนั้นดีที่สุดแล้ว ข้าสัญญากับท่านอ๋องไปว่าจะเข้ามาจัดการเรื่องทั้งหลายในจวน ทรงให้เวลาข้าหนึ่งเดือนในการพักฟื้นตัว หากสุขภาพร่างกายยังไม่แข็งแรงเกรงว่าจะไม่ไหว”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินดังกล่าว ในน้ำเสียงของเขาแฝงความไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านพ่อมาที่นี่”
“อืม” พระชายาฉีตอบไปตามตรง “คิดว่ามาเพื่อขอร้องแทนพระชายารอง แต่ก็ถูกข้าตอกหน้ากลับไปแล้วล่ะ แถมยังได้อาศัยจังหวะนี้ริบอำนาจในจวนกลับมาด้วย”
“เพราะเหตุนี้ ท่านแม่ถึงได้ตื่นไวเช่นนี้” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนแม้แผ่วเบาแต่ก็แฝงความกรุ่นโกรธไว้เด่นชัด
พระชายาฉีฟังความไม่พอใจจากในน้ำเสียงของเขาออก จึงได้เอ่ยปลอบไปว่า “พระชายารองได้รับความโปรดปรานจากท่านพ่อของเจ้ามานานปี มาขอร้องแทนนางก็เป็นเรื่องสมควร ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่ได้ทำให้แม่ต้องลำบากใจแต่อย่างใด เซวียนเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องมีโทสะ”
หวงฝู่อี้เซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกสองสามครั้ง ระงับความโกรธที่เกิดขึ้นในใจ
พระชายาฉีกล่าวต่อไปว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแม้ว่าพระชายารองเฮ่อจะกุมอำนาจในจวนรับหน้าที่ดูแลเรื่องน้อยใหญ่ทั้งหมด แต่นางก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับข้ามากเกินไป ยังคงปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพนอบน้อม หากไม่ใช่วันนี้นางจู่ๆ พรวดพราดเข้ามากล่าววาจาไม่ดีต่อแม่นางเมิ่ง ข้าก็คงไม่ลงโทษนางรุนแรงถึงขั้นนี้”
“นั่นเป็นเพราะท่านแม่ไม่ปรารถนาจะแย่งชิงอำนาจความโปรดปรานต่างหาก” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
พระชายาฉีถอนหายใจออกยาว “ร่างกายของข้าอ่อนแอนัก ไม่อยากต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ นานาภายในจวน ประกอบกับก่อนหน้านี้ตามหาเจ้าเท่าไหร่ก็หาไม่พบเสียที จึงยิ่งไม่มีความคิดเช่นนั้นเลย พระชายารองเฮ่อตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เพื่อจัดการกับปัญหาน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นนางลงทุนลงแรงไปมากนัก ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็นับว่ามีความดีความชอบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “หากพระชายาคิดเช่นนี้ อำนาจในการดูแลจวนมีไม่มีก็ไม่ต่างกัน”
พระชายาฉีตบมือนาง “ข้าเข้าใจว่าเจ้าหมายถึงอะไร เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าแค่ทอดถอนใจระบายความรู้สึกออกมาเท่านั้น อีกหน่อยพอเข้ามาดูแลจวนจริงๆ ข้าจะไม่มีวันใจอ่อนเป็นอันขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ขณะกำลังจะพูดต่อ เสียงของหวงฝู่อวี้ก็ดังส่งมาจากกลางลานบ้าน “ท่านแม่ ท่านทำอะไรผิดหรือ เหตุใดพระชายาถึงได้ลงโทษให้ท่านคุกเข่าอยู่ที่นี่”
พระชายารองคล้ายได้สติตื่นขึ้นมาจากความฝัน คลานเข่าเข้าไปจับมือหวงฝู่อวี้ไว้แล้วพูดกับเขาไปว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าไปขอร้องพระชายาแทนแม่ที บอกว่าแม่รู้ความผิดแล้ว อีกหน่อยไม่กล้าอีกแล้ว”
หวงฝู่อวี้หลังจากเลิกเรียนที่กั๋วจื่อเจียนแล้วก็ตามเพื่อนสองสามคนออกไปขี่ม้าเล่นที่นอกเมือง เพิ่งจะกลับถึงจวนเมื่อสักครู่ แต่ขณะที่เขากำลังจะกลับเข้าที่พักไป ก็ถูกสาวใช้ข้างกายของมารดาตนที่มายืนรออยู่ก่อนแล้วรั้งตัวเอาไว้แล้วบอกกับเขาว่าพระชายารองถูกพระชายาลงโทษให้คุกเข่าเป็นเวลาสองช่วยยาม
โดยไม่ทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็รีบบึ่งมายังเรือนพำนักของพระชายาทันที เห็นว่าพระชายารองคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสภาพน่าเวทนา ใจของเขาก็ให้ปวดหนึบไปทั้งดวง
ตอนนี้พอได้ยินพระชายารองขอร้องเขาด้วยความลนลาน หวงฝู่อวี้ก็ยิ่งร้อนใจ ตัดสินใจคุกเข่าลงข้างๆ พระชายารองแล้วตะโกนออกไปด้วยเสียงดังว่า “พระมารดาได้โปรดยกโทษให้ท่านแม่ของข้าด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว
เสียงอ่อนโยนของพระชายาฉีดังมาจากในห้อง “อวี้เอ๋อร์ เข้ามาคุยกันข้างในเถิด”
หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง
พระชายารองที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมองตามหลังเขาไปด้วยแววตาคาดหวัง
เมื่อเดินเข้าไปในห้องหวงฝู่อวี้ก็ได้เห็นว่ายามนี้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็อยู่ที่นี่ด้วย ร่างของเขาผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงแล้วขอร้องแทนพระชายารองอีกครั้ง “พระมารดา โปรดยกโทษให้ท่านแม่ข้าด้วย”
หวงฝู่อวี้กับหวงฝู่อี้เซวียนเกิดไล่เลี่ยกันมาก ช่วงเวลาหลายปีที่ตามหาหวงฝู่อี้เซวียนแต่อย่างไรก็ไม่อาจหาพบ พระชายาฉีคิดถึงลูกมากจนทนไม่ไหวจึงได้มีรับสั่งให้คนไปพาหวงฝู่อวี้มาอยู่เป็นเพื่อนนาง การได้เล่นได้พูดคุยกับเขา ทำให้พระชายาฉีคลายความคิดถึงที่มีต่อบุตรชายไปได้มากทีเดียว นานวันไป ในใจของพระชายาฉีฐานะของหวงฝู่อวี้จึงไม่ต่างอะไรไปจากบุตรแท้ๆ คนหนึ่ง พอได้ยินเขามาขอร้องแทนพระชายารอง จึงไม่ได้ตำหนิเขาออกไป ได้แต่ถามเขาไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านแม่ของเจ้าทำผิดสถานใด”
หวงฝู่อวี้ตอบว่า “ลูกไม่รู้ขอรับ แต่อย่างไรนางก็เป็นท่านแม่แท้ๆ ของลูก เห็นนางถูกลงโทษ ใจลูกไม่อาจรับไหวจริงๆ ดังนั้นหากพระมารดาไม่ยินดีมองข้ามโทษในครั้งนี้ของนาง อวี้เอ๋อร์ขอคุกเข่ารับโทษแทนนางได้หรือไม่”
“ไม่ถามเหตุผลก็หุนหันเข้ามาขอร้องแทน ทำเช่นนี้ตัวเจ้าเองก็สมควรถูกลงโทษด้วยเหมือนกัน ไหนเลยยังต้องขอรับโทษแทนนาง” หวงฝู่อี้เซวียนตวาดใส่เขาอย่างรุนแรง
หวงฝู่อวี้สะดุ้งโหยง ตกใจกับความรุนแรงที่ส่งมาจากน้ำเสียงของเขามาก ร่างกายของเขาฉับพลันสั่นระริก เสียงที่พูดออกมาเบาลงไปหลายส่วน พึมพำกล่าวไปว่า “ข้ารู้ว่าท่านแม่คราวนี้คงทำเรื่องผิดพลาดลงไปครั้งใหญ่ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรีอ่อนแอ ให้คุกเข่าแบบนี้ต่อไปร่างกายของนางจะทนไหวได้อย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนอยากจะด่าเขาแรงๆ อีกสักครั้ง
พระชายาฉีกลับหยุดเขาไว้แล้วพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ลุกขึ้นก่อน ให้หลิงหลงเข้ามาบอกกล่าวถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง หลังจากฟังจบแล้วเจ้าลองพิจารณาดูว่าพระมารดาผู้นี้ทำถูกหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอกขอรับพระมารดา ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดคนผิดต้องเป็นท่านแม่ของข้าอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามลูกก็ยังคงอยากขอให้ท่านปล่อยนางไปในครั้งนี้” หวงฝู่อวี้รีบร้อนอ้อนวอน
พระชายาฉีถอนหายใจ “เดิมทีข้าลงโทษนางให้คุกเข่าเป็นเวลาสองชั่วยาม แต่ตอนนี้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปยังไม่ถึงด้วยซ้ำ หากข้าปล่อยให้นางลุกขึ้นในตอนนี้ แล้วสถานะของข้าเล่า ความเกรงขามของข้าเล่า อีกหน่อยข้าจะสั่งการคนในจวนได้อย่างไร จะให้ผู้อื่นเคารพได้อย่างไร”
หวงฝู่อวี้คุกเข่าลงไปอีกครั้ง “พระมารดา เวลาลงโทษที่เหลือลูกเต็มใจคุกเข่าแทนท่านแม่ขอรับ”
“ผู้ใดทำผู้นั้นก็ต้องแบกรับเอาเอง ครั้งนี้แม่เจ้าทำผิดแต่ให้เจ้ามาคุกเข่าแทน หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปถึงหูคนนอกชื่อเสียงของข้ายังจะรักษาอยู่หรือไม่” พระชายาฉีถามออกไปด้วยเสียงนุ่ม
หวงฝู่อวี้โขกศีรษะลงกับพื้นแรงมาก “ขอพระมารดายกโทษให้ท่านแม่ด้วย”
ภายในห้องเงียบลงไปในพริบตา ใช้เวลานานมากทีเดียวกว่าที่พระชายาฉีจะถอนหายใจออกมาแล้วพูดออกไปอย่างหมดหนทางว่า “เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าจะลงโทษนางสถานเบาแทนก็แล้วกัน แต่ว่าข้าอนุโลมได้เพียงครั้งนี้เท่านั้น ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”
หวงฝู่อวี้โขกศีรษะลงไปอีกครั้งอย่างมีความสุข “ขอบคุณพระมารดา”
พระชายาฉีโบกมือและขึ้นเสียงสั่งการลงไป “เปลี่ยนเวลาลงโทษพระชายารองเฮ่อเป็นคุกเข่าสองก้านธูป”
หลิงหลงรับคำ
พระชายารองเองก็ได้ยินเสียงของพระชายาฉีแล้วด้วยเหมือนกัน นางแอบดีใจอยู่ลึกๆ หลังจากกัดฟันทนผ่านเวลาสองก้านธูปนี้ไป สาวใช้คนสนิทของนางกับหวงฝู่อวี้ก็เข้ามาพยุงนางกลับเรือน และทันทีที่เข้ามาในลานบ้าน นางก็รีบสั่งสาวใช้คนสนิทลงไปทันทีว่า “รีบไปที่จวนเสนาบดี บอกคุณชายใหญ่ไปว่าภายในหนึ่งเดือนนี้ท่านอ๋องสั่งให้ข้าส่งต่ออำนาจในการดูแลจวนออกไป ในช่วงเวลาที่กำหนดให้เขาจัดการเอาเงินมาโปะส่วนที่แหว่งหายไปให้เรียบร้อย”
ภายในห้องของพระชายาฉี เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่คุยกับพระชายาฉีต่ออีกสักพัก แต่พอเงยหน้าขึ้นมองสีของท้องฟ้าทางด้านนอกก็พูดออกไปว่า “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าสมควรกลับได้แล้ว”
พระชายาฉีตัดใจไม่ลง ยังคงลังเลอยู่หน่อยๆ ก่อนจะพูดว่า “วันนี้เย็นมากแล้วจริงๆ ข้าเองก็ไม่ฝืนบังคับให้เจ้าอยู่ต่อ วันหน้าหากมีเวลาเจ้าต้องเข้ามาเยี่ยมข้าที่จวนบ่อยๆ นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะมาตรวจชีพจรให้พระชายาทุกๆ สองถึงสามวัน จะได้เปลี่ยนใบสั่งยาให้ด้วย”
พระชายาฉียิ้มและพยักหน้าตอบนาง ก่อนจะสั่งให้หวงฝู่อี้เซวียนส่งคนกลับไป
หวงฝู่อี้เซวียนไม่อาจตัดใจส่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงแค่หน้าประตูจวนเท่านั้น จึงพูดออกไปว่า “ให้ข้าส่งเจ้ากลับถึงจวนเถิด”
—————————-
ตอนที่ 47-1 จดหมายที่ส่งมาจากทางบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขารอบหนึ่ง “นี่ก็เย็นมากแล้ว เจ้าไปส่งข้าที่จวนก็ต้องกลับมาที่นี่อีก จะให้มากความมากการไปไย อีกอย่างแม่ของเจ้าเพิ่งฟื้นตัวจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด รอแม่เจ้าสุขภาพดีขึ้นก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าอยากจะไปหาข้าทุกวันข้าจะไม่ปริปากบ่นเลย”
สถานการณ์ทางฝั่งของพระชายาฉีหวงฝู่อี้เซวียนเองก็คงพูดได้เพียงแค่นี้ เมื่อเห็นว่านางไม่เห็นด้วยเขาจึงไม่ยืนกรานดื้อรั้นเอาแต่ใจ ได้แต่มองนางและกัวเฟยควบม้าออกไปด้วยแววตาตัดใจไม่ลง ก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังห้องของพระชายาฉีอีกครั้ง
พอเมิ่งเชี่ยนโยวกับกัวเฟยกลับถึงจวน แม่ครัวก็ยกสำรับขึ้นตั้งรอเรียบร้อย หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเริ่มเขียนจดหมายถึงทางบ้านเป็นฉบับที่สอง เนื้อหาในจดหมายบรรยายไปว่าชีวิตในเมืองหลวงของนางทุกอย่างเรียบร้อยดี กิจการร้านบะหมี่มันฝรั่งยามนี้คึกคักและเฟื่องฟูยิ่งนัก ส่วนเรื่องแต่งงานใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วขอให้คนทางบ้านอย่าได้เป็นกังวล จากนั้นก็กำชับต่อว่าให้ทางนั้นรีบส่งแป้งมันฝรั่งมาให้โดยไวทางนี้ต้องการเพิ่มอย่างมาก
หลังจากเขียนเสร็จ นางก็ยื่นมันให้กับกัวเฟยแล้วบอกให้เขานำมันไปส่งที่จุดรับส่งสารในวันพรุ่งนี้
วันสบายๆ ผ่านพ้นไปอีกสองวัน หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ยามเฝ้าประตูก็เข้ามารายงานว่า “นายหญิงขอรับ ขบวนรถม้าจากทางบ้านส่งของมาแล้วครับ”
“เร็วขนาดนั้นเชียว” เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกจวนอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้คนที่นำขบวนรถม้ามาก็คือเหวินเป้าและเหวินซง ทันทีที่พวกเขาเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา เหวินเป้าก็ประสานมือขึ้นโค้งคำนับกล่าวไปด้วยความเคารพว่า “แม่นาง คุณชายใหญ่ให้พวกเรามาส่งของให้ขอรับ”
“ข้าเพิ่งเขียนจดหมายส่งไปให้ทางบ้านเมื่อวันก่อนเอง วันนี้พวกเจ้าก็มาถึงแล้ว คิดว่ายังไม่น่าจะได้รับจดหมายที่ข้าเพิ่งส่งไป พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าของที่ข้าตุนไว้ใกล้หมดแล้ว”
เหวินเป้าหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อของเขา จากนั้นก็ส่งมันให้กับนาง “ฮูหยินน้อยรองคลอดแล้วขอรับ คุณชายใหญ่อยากให้ข้ามาส่งข่าวนี้ให้ท่านได้ทราบ ประจวบเหมาะเลยให้ข้ากับซงเอ๋อร์ส่งของมาให้ท่านด้วยเลย”
“พี่สะใภ้รองคลอดแล้ว เป็นเด็กชายหรือว่าเด็กหญิงกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความยินดียิ่ง
เหวินเป้าตอบ “เป็นเด็กผู้ชายขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก สั่งให้กัวเฟยพาขบวนรถม้าเข้าไปที่กลางลานบ้าน หลังจากจัดการสั่งให้คนขนของลงจากรถม้าเรียบร้อยแล้วหาห้องหับให้เหล่าคนงานได้พักผ่อน นางก็อดใจรอแทบไม่ไหวหยิบจดหมายฉบับนั้นกลับเข้าห้องไป เปิดจดหมายอ่านอย่างละเอียด
เมิ่งเสียนคล้ายจะเข้าใจความคิดของนางเป็นอย่างดี จึงได้บรรยายสถานการณ์ทางนั้นมาให้ฟังอย่างละเอียด กระดาษหลายแผ่นเต็มไปด้วยตัวอักษรอัดแน่น เขาเล่าให้นางฟังว่าภรรยาของเมิ่งฉีได้ให้กำเนิดทารกชายตัวอ้วนใหญ่ ท่านพ่อมีความสุขมาก ตลอดทั้งวันเขาไม่สามารถหุบปากลงได้เลย ท่านแม่เองแม้ว่าจะมีความสุขมากเช่นกัน แต่เนื่องจากทุกวันหลังจากไปเยี่ยมเจ้าตัวเล็กที่บ้านของเมิ่งฉีกลับมาแล้วก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่หยุดว่าเหตุใดถึงไม่เป็นเด็กผู้หญิงกันนะ ทำเอาภรรยาของเขาลำบากไปด้วยเนื่องจากท่านแม่คล้ายจะเปลี่ยนเป้าหมายมาคาดหวังที่นางแทน วันทั้งวันเอาแต่ตามถามว่าเมื่อไหร่จะตั้งครรภ์อีกครั้ง ว่าเส้าเอ๋อร์ควรจะมีน้องชายหรือน้องสาวออกมาเป็นเพื่อนได้แล้ว ถึงขนาดที่ว่าสะใภ้ของตนวันทั้งวันเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในโรงงาน ทั้งที่เป็นเพียงงานชั่วคราวแต่ก็ไม่กล้ากลับบ้านเพราะทนการรบเร้าไม่ไหว สุดท้ายยังถามข้าอีกว่างานแต่งของเจ้ากับเซวียนเอ๋อร์คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว เมื่อไหร่จะตกลงวันได้ ท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่าหากตกลงกันได้เมื่อไหร่จะขนคนทั้งบ้านเดินทางไปเมืองหลวงทันที
หลังจากอ่านจดหมายจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ทั้งตลกแล้วก็เศร้าใจ ที่ตลกก็คือเรื่องที่เมิ่งชื่อเอาแต่ตามรบเร้าให้ซุนเชี่ยนตั้งครรภ์อีกรอบ ส่วนที่เศร้าก็คือเมิ่งชื่อจะต้องคิดถึงนางแล้วแน่ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตตนไม่เคยอยู่ห่างจากนางเลย ครั้งนี้จู่ๆ ก็เดินทางมาเมืองหลวงแถมยังรั้งอยู่ที่นี่หลายวัน ไม่รู้ว่าใจนางจะเป็นกังวลถึงขั้นไหน
กัวเฟยคอยกำชับให้เหล่าคนงานขนของลงจากรถม้า หลังจากเสร็จสิ้นแล้วก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปชำระร่างกายจากนั้นเขาก็เข้ามารายงานว่า “แม่นาง เสร็จเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ ข้าสั่งให้แม่ครัวทำอาหารรับรองพวกเขาแล้ว รอพวกเขาอาบน้ำเสร็จหลังจากกินข้าวก็สามารถพักผ่อนได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับรู้ ตอบกลับไปว่า “เจ้าไปที่ร้านบอกเหวินเปียวกับเหวินหู่ว่าพวกเหวินเป้าอยู่ที่นี่ หากไม่ยุ่งนักก็ให้พวกเขากลับมาเจอครอบครัวสักหน่อย ได้อยู่กันพร้อมหน้าพูดคุยกันสักพักก็ยังดี”
“ข้าทราบแล้วแม่นาง จะไปเดี๋ยวนี้” กัวเฟยตอบก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอ่านอีกครั้ง จากนั้นก็เก็บมันลงกล่องไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เนื่องจากว่าพ้นยามอู่มาแล้ว ที่ร้านถึงไม่ได้ยุ่งวุ่นวายมาก หลังจากฟังคำที่กัวเฟยนำมาบอก เหวินเปียวกับเหวินหู่ก็ขึ้นรถม้ารีบกลับไปที่จวนอย่างรวดเร็ว
เหวินเป้าพอได้เห็นว่าพวกเขามาก็ให้ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย “พี่ใหญ่ พี่รอง”
เหวินซงเองก็ตื่นเต้นมากตะโกนออกไปว่า “ท่านพ่อ ลุงรอง”
ทั้งสองคนพยักหน้าให้
โดยไม่คำนึงถึงการคงอยู่ของคนอื่นๆ เหวินเป้ากระโดดเข้าไปหาทั้งคู่พูดคุยกับทั้งสองด้วยความตื่นเต้นทันที “ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าชีวิตนี้ของข้าจะมีโอกาสได้กลับมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้ง”
เหวินเปียวกับเหวินหู่คล้ายกับจะติดเชื้อความตื่นเต้นจากพวกเขามาด้วย พยักหน้าติดกันซ้ำๆ แล้วถามกลับไปว่า “ทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยดีไหม”
เหวินเป้าตอบไปว่า “ก็ยังเหมือนเดิม พี่สะใภ้พวกนางทั้งสามและเหลียนเอ๋อยังคงไปทำงานที่ร้านในเมืองทุกวัน จงเอ๋อกับคนอื่นๆ เองก็ไปสำนักศึกษา ร่ำเรียนไม่เคยขาดเรียนสักครั้งเดียว เพียงแต่ข้าได้ยินคุณชายใหญ่พูดว่าตอนที่อยู่สำนักศึกษาจงเอ๋อร์แสดงออกได้ไม่เลวเลย ปีหน้าเห็นว่าเขาจะได้ไปสอบถงเซิงกับคุณชายน้อยด้วย”
เหวินหู่รู้สึกดีใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่เหวินเปียวกลับขมวดคิ้วมุ่นพูดขัดไปว่า “พวกเราเป็นเพียงทาส เด็กที่เกิดจากทาสจะเข้าสอบถงเซิงได้อย่างไร”
เห็นได้ชัดว่าเหวินหู่กับเหวินเป้าเพิ่งตระหนักถึงปัญหานี้เป็นครั้งแรก ทันทีที่ได้ยินแบบนี้รอยยิ้มบนใบหน้าจึงหายวับไปในพริบตา ความสุขของพวกเขาเองก็มลายหายไปเช่นกัน
เหวินเปียวยังกล่าวต่อว่า “สถานะทาสของพวกเราถูกตัดสินโดยทางการ หากไม่ใช่แม่นางซื้อตัวพวกเรามา วันนี้เวลานี้ กระดูกของพวกเราไม่แน่ว่าคงถูกกลบฝังลงดินที่ไหนสักแห่งแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นที่ถูกซื้อตัวมาโดยนาง ข้าก็ปฏิญาณสาบานแล้วว่าจะติดตามนางไปตลอดชีวิต ตระกูลเหวินจะคอยรับใช้นางจนกว่าชีวิตจะหาไม่ อีกหน่อยพวกเจ้าอย่าได้มีความคิดเช่นนี้อีก”
เหวินหู่ เหวินเป้ารวมถึงเหวินจงต่างก็ขานรับขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
สามพี่น้องซุบซิบคุยกันเรื่องทั่วไปต่ออีกสักพัก เหวินจงนั่งเงียบๆ อยู่อีกด้านไม่พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก เหวินเป้าก็ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านได้กลับไปเยี่ยมบ้านแล้วหรือยัง”
เหวินเปียวกับเหวินหู่เงียบไป
เห็นการแสดงออกของพวกเขาเป็นแบบนี้ เหวินเป้าก็รู้แล้วว่าพวกเขาไม่ได้กลับไป จึงได้ถามออกไปอย่างระมัดระวังว่า “มะรืนนี้ข้าก็จะกลับไปแล้ว ข้าอยากไปดูที่นั่นหน่อย พี่ใหญ่ พี่รอง ได้หรือเปล่า”
เหวินเปียวเงียบไปนานก่อนจะพูดขึ้น “อย่างไรสถานะของพวกเราก็ไม่อาจฟื้นคืนได้อีก กลับไปรังแต่จะสร้างปัญหาเพิ่ม ไม่สู้ไม่ต้องไปเลยแบบนี้จะดีกว่า”
เหวินเป้าดูเป็นกังวลเล็กน้อย “แต่ว่าพี่ใหญ่ ข้าคิดถึงที่นั่นมาก นับตั้งแต่คุณชายใหญ่บอกให้ข้าอารักขาขบวนรถม้ามาที่เมืองหลวง ข้าก็ตื่นเต้นนอนไม่หลับอยู่ทุกวัน ห้าปีแล้ว ในที่สุดข้าก็จะได้กลับไปดูที่สำนักคุ้มภัยเสียที ต่อให้จะมองจากข้างนอกเพียงแวบๆ ก็ตาม”
เหวินเปียวไม่พูดอะไร
เหวินหู่เองก็อยากไปดูให้เห็นกับตาเหมือนกัน จึงได้ช่วยขอร้องไปอีกแรง “พี่ใหญ่ พวกเรากลับไปดูกันเถอะ”
ตอนที่ 47-2 จดหมายที่ส่งมาจากทางบ้าน
สี่ปีก่อนตอนที่เหวินเปียวนำจดหมายมาส่งให้แม่ทัพฉู่ เขาเคยไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง รู้ดีว่ายิ่งไปดูใจก็ยิ่งเจ็บปวด จึงได้ห้ามปรามพวกเขาไปว่า “นี่มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ไม่แน่ว่าสำนักคุ้มภัยอาจถูกขายทิ้งไปแล้วก็เป็นได้ ดีไม่ดีอาจเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีก แบบนี้ไม่สู้ไม่ต้องไปดู จะได้ไม่ต้องปวดใจ”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านทั้งหมดล้วนยกให้เหวินเปียวเป็นผู้ตัดสิน ขอเพียงแค่เขาตัดสินใจแล้ว เหวินหู่กับเหวินเป้าล้วนไม่กล้าคัดค้านหรือไม่เห็นด้วย เพียงแต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนไม่ได้มีความรู้สึกคิดถึงเหวินเป้าจึงยังไม่ได้รู้สึกอะไร อย่างไรก็ตามตลอดหลายวันมานี้เขาคิดถึงที่นั่นมากเหลือเกิน ยิ่งตอนนี้จุดที่เขายืนอยู่ก็ห่างจากที่นั่นไม่ไกลมาก ความปรารถนาที่อยากจะกลับไปดูสักครั้งก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขาขอร้องออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงลนลานว่า “พี่ใหญ่ นั่นคือบ้านของพวกเรานะ เป็นบ้านที่พวกเราเคยอาศัยอยู่มาหลายปี หากข้าไม่กลับไปดูเลย ให้ข้ากลับบ้านไปทั้งเช่นนี้แล้วข้าจะสบายใจได้อย่างไร ท่านให้พวกข้ากลับไปดูเถอะนะ ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนพวกเราขอเพียงได้ดูสักครั้ง ดูเสร็จก็จะรีบกลับทันที”
เหวินหู่พยักหน้าเห็นด้วย
เหวินจงเองก็มองพวกเขาไปอย่างกดดัน
เหวินเปียวเหลือบมองไปทางคนทั้งสามก่อนจะพยักหน้าให้ในที่สุด “ก็ได้ พวกเราไปบอกให้แม่นางทราบสักคำก่อน อย่างไรก็ตามข้าขอเตือนพวกเจ้า ดูเสร็จให้รีบกลับทันที อย่าได้สร้างปัญหาใดๆ เป็นอันขาด”
หลายคนตอบรับอย่างมีความสุข พยักหน้าขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลายคนมาที่เรือนพักของเมิ่งเชี่ยนโยว ทันทีที่เห็นกัวเฟยยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เหวินเปียวก็ถามออกไปด้วยเสียงต่ำว่า “พวกเรามีธุระอยากจะคุยกับแม่นางสักหน่อย ไม่ทราบว่าสะดวกให้เข้าไปหรือไม่”
หูของคนฝึกวรยุทธ์แต่ไหนแต่ไรมาก็เฉียบคมมากเป็นพิเศษ ตอนที่หลายคนเดินเข้ามาในเรือน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาแล้ว ดังนั้นคำพูดของเหวินเปียวนางจึงได้ยินมันอย่างชัดเจน ตะโกนออกไปว่า “มีอะไรก็เข้ามาพูดคุยกันข้างในเถิด”
เหวินเปียวรับคำ จากนั้นหลายคนก็ทยอยเดินเข้าไปในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วถามไปว่า “มีอะไรเหรอ”
เหวินเปียวตอบกลับว่า “พวกเราอยากกลับไปดูที่สำนักคุ้มภัยสักหน่อยขอรับ ไม่ทราบว่าแม่นางจะอนุญาตหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มแล้วตอบพวกเขาไป “ข้าคิดว่าเจ้ากับเหวินหู่ขอเรื่องนี้กับข้าตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงเสียอีก คิดไม่ถึงว่าป่านนี้แล้วถึงเพิ่งมาขอ”
เหวินเปียวตอบนางไปด้วยความเคารพ “เดิมทีตัวข้าก็ไม่คิดจะกลับไปแล้วขอรับ กลับไปมีแต่จะสร้างปัญหาให้ปวดหัว เพียงแต่น้องสามคิดถึงที่นั่นมากจริงๆ อย่างไรก็อยากกลับไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง พวกเราจึงได้มาขออนุญาตแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นแล้วพูดออกไปว่า “ไปเถอะ ข้าก็จะตามไปดูกับพวกเจ้าด้วย”
“นี่…” เหวินเปียวลังเล “แม่นาง ตอนนั้นสำนักคุ้มภัยเกิดเรื่อง พวกเราก็ถูกทางการตัดสินให้กลายเป็นทาส สำนักคุ้มภัยถูกยึดไปนานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าจะถูกขายทิ้งเปลี่ยนมือไปแล้วหรือเปล่า แม่นางไปกับพวกเราด้วยเกรงว่าจะเสียเวลาเปล่า”
“ไม่เป็นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขณะเดินออกไปข้างนอก “นั่งอยู่เฉยๆ ในบ้านข้าก็ไม่มีอะไรทำ ตามพวกเจ้าออกไปดูสักหน่อย ถือเสียว่าเป็นการเยี่ยมชมเมืองหลวงก็แล้วกัน”
หลายคนไร้คำพูด ได้แต่เดินตามหลังนางออกจากห้องไป
กัวเฟยได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งหมด ไม่ต้องรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวมีคำสั่งลงมา เขาก็จูงรถม้ามาจอดเตรียมรอไว้แล้ว
ยังคงเป็นเหวินเปียวที่ทำหน้าที่เป็นสารถีบังคับรถ กัวเฟยนั่งลงอีกด้าน ส่วนพวกเหวินหู่ก็ขี่ม้าตามหลังรถม้าไป
เหวินเป้าดูจะอาการหนักกว่าเหวินเปียวและเหวินหู่นิดหน่อย ตั้งแต่เขาถูกบังคับให้ออกจากเมืองหลวงนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กลับมา ขณะนั่งอยู่บนม้าสายตาจึงกวาดมองทิวทัศน์ที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยโดยรอบไม่หยุด ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย กระวนกระวายจนกรอบตาขึ้นสีแดงก่ำ เหวินหู่อาการดีกว่าเขาหน่อย แต่พอรถม้ายิ่งขยับเข้าใกล้สำนักคุ้มภัย ความกดดันภายในใจก็ยิ่งหนักหน่วงรุนแรง
รถม้าเลี้ยวเข้าโค้ง ภาพของสำนักคุ้มภัยที่อยู่ห่างออกไปก็ปรากฏสู่สายตา เหวินเป้าอดไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด เขาเร่งม้าให้วิ่งนำรถม้าขึ้นไปข้างหน้า ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าสำนักคุ้มภัย
เหวินเปียวขมวดคิ้วให้กับการกระทำที่ไร้กฎเกณฑ์ของเขา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยดุออกไปเช่นกัน
จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าสำนักคุ้มภัย เหวินเป้าไม่ได้กระโดดลงจากหลังม้าทันที ยังคงนั่งควบอยู่บนหลังม้ามองประตูสำนักคุ้มภัยด้วยดวงตาที่เปียกชื้น ความรู้สึกนับพันนับหมื่นพุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจ
รถม้ามาจอดอยู่ตรงหน้าประตูของสำนักคุ้มภัย เหวินเปียวบังคับให้ม้าหยุดเดิน เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกผ้าม่านขึ้นก่อนจะเดินลงมาจากรถม้า
เหวินเป้าได้สติกลับมาโดยพลัน พลิกตัวลงมาจากหลังม้าด้วยความรวดเร็ว
เหวินหู่กับเหวินจงเองก็กระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกัน หลายคนยืนอยู่หน้าประตู ออกมามองมันอย่างนั้นเงียบๆ
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีใครเข้ามาดูแล ดังนั้นประตูของสำนักคุ้มภัยเวลานี้จึงได้จึงได้มีแต่รอยลอกเต็มไปหมด กระดาษของทางการที่แปะไว้ว่าถูกยึดโดนลมกับฝนซัดสาดจนมองแทบไม่เห็นตัวอักษร เหลือไว้เพียงกระดาษขาวสองแผ่นที่ติดซ้อนกันเป็นรูปกากบาทใหญ่ ให้คนที่เดินผ่านมาผ่านไปได้เห็นว่าสถานที่แห่งนี้ถูกยึดแล้วโดยทางการ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
เหวินเป้าข่มความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในอก เดินขึ้นไปตบวงแหวนที่คล้องติดอยู่บนบานประตูสองสามครั้ง เสียงกระทบกันของทองแดงกับแผ่นไม้ดังส่งมาให้ได้ยิน ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ภาพเก่าๆ ก่อนที่สถานที่แห่งนี้จะถูกยึดไปหวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
เหวินเปียวไม่ขยับเขยื้อนเลย เหวินหู่กลับเดินไปรอบๆ ประตูเล็กทางด้านข้างทั้งสองบานอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเด็กที่กำลังจะกลับถึงบ้านพุ่งทะยานเข้าเต็มออก แต่แล้วแววตาก็ฉายความผิดหวังขึ้นมาเพราะไม่มีใครอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว
เหวินจงยืนอยู่ที่เดิม ปาดน้ำตาทิ้งไปอย่างเงียบๆ
กัวเฟยเคยได้ยินเกี่ยวกับอดีตของพวกเขามาก่อน พอได้เห็นสภาพของหลายคนในตอนนี้ ในใจก็อดไม่ได้รู้สึกเปรี้ยวปร่าขึ้นมา
ขณะที่หลายคนกำลังหวนรำลึกภาพเก่าๆ จมอยู่กับความยินดีและความตื่นเต้น ไม่มีใครสังเกตเลยว่าห่างออกไปไม่ไกลนักเงาร่างสองเงากำลังมองมาทางนี้อย่างมีลับลมคมใน หนึ่งในนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “สมกับที่เป็นคุณชายใหญ่ คาดเดาไว้ไม่ผิดเลย นังเด็กสมควรตายนั่นพาเจ้าพวกขยะนั้นมาที่นี่จริงๆ ด้วย”
อีกคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วสำทับลงไปว่า “คุณชายใหญ่ช่างคาดเดาได้แม่นยำดุจเทพพยากรณ์ คำนวณได้ว่าพวกมันจะมาที่นี่จึงได้ให้พวกเรามาเฝ้าอยู่ตรงนี้ล่วงหน้า ความพยายามของพวกเราไม่สูญเปล่าแล้ว”
คนก่อนหน้านี้ที่เปิดปากพูดออกมาเป็นคนแรก ทางหนึ่งก็กำลังจับตาดูสถานการณ์ของฝั่งตรงข้าม อีกทางก็สั่งเขาลงไปว่า “ข้าจะรออยู่ที่นี่ เจ้ารีบไปรายงานคุณชายใหญ่บอกให้เขารีบส่งคนมาที่นี่โดยไว”
อีกคนพยักหน้ารับคำ จากนั้นร่างของเขาก็หายไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวคล้ายกับจะรู้สึกตัวขึ้นมา ตวัดสายตามองมาทางนี้รอบหนึ่ง
ปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไวดุจสายฟ้าของหญิงสาวทำเอาคนที่ซ่อนตัวอยู่ใจเต้นระทึก รีบหลบไปหลังที่ซ่อน ก่อนจะแอบร้องขึ้นในใจว่า “อันตราย มิน่าล่ะคุณชายใหญ่ถึงได้บอกว่านังเด็กนี่จัดการยาก ที่แท้อีกฝ่ายก็มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ”
เมื่อไม่เห็นว่ามีใครอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวแม้จะเกิดความสงสัยขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก ส่วนพวกเหวินเปียวตอนนี้กำลังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ของตนเอง ตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ จึงไม่ได้สังเกตเห็นถึงสถานการณ์นี้เลย
เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันเมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวด้านนอกจึงเปิดประตูออกมาดูด้วยความฉงนใจ ทันทีที่เขาเห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าสำนักคุ้มภัยจึงถามออกไปว่า “ทุกท่าน ไม่ทราบว่ามาหา…” แต่คำพูดของเขาก็หยุดลงเพียงเท่านี้เมื่อสายตาหันไปเห็นเหวินเปียว เสียงกรีดร้องของเขาก็ดังขึ้น “นายน้อย!”
เหวินเปียวพยักหน้าให้ “พี่หลี่ ไม่ได้เจอกันนานหลายปีเลย”
พี่หลี่ที่ว่าริมฝีปากสั่นระริกไปด้วยความตื่นเต้น นานมากทีเดียวกว่าจะเปิดปากพูดออกไปว่า “นายน้อย เห็นพวกท่านมีชีวิตอยู่เท่านี้ก็ดีมากแล้ว ข้าคิดว่า คิดไปว่า…”
“พวกเราโชคดีได้ผู้สูงศักดิ์ช่วยเหลือจึงได้อยู่อย่างปลอดภัยสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้ คนที่บ้านเองก็สุขสบายมากเช่นกัน ลำบากให้พี่หลี่ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว” เหวินเปียวกล่าว
พี่หลี่ผู้นั้นโบกมือให้ “ปีนั้นพวกเจ้าถูกทางการตัดสินให้กลายเป็นทาส เพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกนี้ทั้งหมดล้วนคิดไปว่าพวกเจ้าจะประสบพบเจอกับเคราะห์กรรมไปแล้ว ในใจหรือก็ให้เป็นกังวลแทนนัก วันนี้พอได้เห็นกับตาว่าพวกเจ้าสุขสบายดี ทุกคนคงได้โล่งใจเสียที” จากนั้นเขาก็ถามต่อว่า “แล้วที่พวกเจ้ามาในวันนี้…”
เหวินเปียวตอบกลับไป “พวกเราติดตามนายหญิงเข้าเมืองหลวง ในใจคิดถึงบ้านมากเหลือเกินจึงได้มาดู อีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว”
ตอนที่ 48-1 ลอบทำร้าย
“นายหญิง” พี่หลี่ตะลึงงัน หันไปมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวก็พอจะเข้าใจอย่างคร่าวๆ แล้วก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ นายน้อยแห่งสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนหยวนที่อดีตเคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงแต่เวลานี้กลับต้องมากลายเป็นคนรับใช้ ทว่าพอลองกลับมานึกย้อนดู คนในบ้านสิบกว่าชีวิตสามารถมีชีวิตรอดได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มประจบประแจงว่า “ดีๆๆ พวกเราเพื่อนบ้านเก่าแก่ก็ยังอยู่ครบ ต่อไปถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลืออย่างใดก็ให้มาบอกได้ พวกเราจะช่วยเจ้าเอง”
เหวินเปียวรู้สึกอบอุ่นหัวใจ กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณพี่หลี่”
พี่หลี่โบกมือ จากนั้นมองดูพวกเขาทั้งกลุ่มแล้วก็กลับบ้านของตัวเองไป
เหวินเป้าที่มีท่าทีตื่นเต้นต้องใช้เวลาสักพักถึงสงบลงได้ ไม่สามารถระงับความคิดในใจได้ หันหน้าไปขอร้องกับเหวินเปียวว่า “พี่ใหญ่ ข้าอยากเข้าไปดูสักหน่อย”
เหวินหู่กับเหวินจงได้ยินดังนั้นก็หันไปมองหน้าเขาราวกับว่าจะถามเช่นเดียวกัน
“เหลวไหล!” เหวินเปียวตำหนิพวกเขา “สำนักคุ้มภัยถูกอายัดไปแล้ว ก่อนจะมีคำสั่งจากราชสำนักว่าให้ถอนอายัดได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามลักลอบเข้าไป เรื่องนี้พวกเจ้าไม่รู้หรือ”
เหวินหู่กับเหวินจงจากใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังก็มีท่าทีสลดลงอย่างผิดหวัง
ทว่าเหวินเป้ากลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “พี่ใหญ่ขอรับ พวกเราไม่เข้าทางประตูหน้า พวกเราจะแอบปีนกำแพงเข้าไป” ในขณะที่พูดอยู่ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมา “ดูแวบเดียวเท่านั้น ข้าขอดูแวบเดียวแล้วก็จะรีบออกมา”
เหวินเปียวหมายจะตำหนิเขาอีก แต่ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวขัดจังหวะ “สำนักคุ้มภัยได้ถูกตรวจสอบและอายัดไว้หลายปี ไม่มีใครสนใจตั้งนานแล้ว พวกเจ้าจะแอบปีนกำแพงเข้าไปก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรอก”
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวช่วยพูดให้ตัวเอง เหวินเป้าก็รู้สึกแปลกใจระคนยินดี แล้วก็ขอร้องเสียงดังว่า “พี่ใหญ่!”
เหวินเปียวมีความต้องการที่จะเข้าไปดูเหนือใคร เพียงแค่ต้องสงบเสงี่ยมไว้ เวลานี้พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเช่นนี้ก็กวาดตามองไปรอบๆ เห็นว่าตอนนี้ผู้คนสัญจรมีไม่มาก ไม่มีใครสนใจจริงๆ แล้วก็กัดฟันตัดสินใจได้ “พวกเราเข้าไปดูสักหน่อย แต่ว่าต้องรีบไปรีบกลับ อย่าให้คนอื่นสงสัยจนทำให้แม่นางต้องเดือดร้อน”
เหวินเป้า เหวินหู่และเหวินจงต่างก็รับคำเสียงดัง
เหวินเปียวยื่นบังเ**ยนที่อยู่ในมือให้กัวเฟย แล้วก็เดินไปถึงข้างๆ ประตูใหญ่ กระโดดทีเดียวก็ขึ้นไปบนกำแพง เหวินหู่กับเหวินเป้ารวมถึงเหวินจงต่างก็กระโดดตามเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ค่อนข้างไกลจากหน้าประตู กระโดดขึ้นไม่กี่ครั้งก็ไต่จากต้นไม้ใหญ่กระโดดขึ้นกำแพงไป สั่งกัวเฟยไว้ว่า “เจ้าดูแลรถม้าให้ดี พวกเราจะรีบออกมา”
กัวเฟยขานรับ แล้วจับบังเ**ยนแน่น
เหวินเปียวและคนอื่นๆ ต่างก็มองด้วยความสงสัย เหวินเปียวถามขึ้นว่า “แม่นาง นี่ท่าน…”
เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดเข้าไปในเรือนก่อน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่าในตอนนั้นสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนหยวนมีชื่อเสียงอย่างไรในเมืองหลวงบ้าง เกิดอยากรู้อยากเห็นก็เลยตามพวกเจ้าเข้ามาดู พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า ทุกคนแยกย้ายไปเดินดูรอบๆ เถอะ ข้าเองก็จะเดินดูไปเรื่อยๆ”
เหวินเปียวและคนอื่นๆ ที่กระโดดข้ามกำแพงเข้ามาแล้ว พอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า แล้วเดินมุ่งไปยังกลางเรือนที่ลานฝึกฝนก่อน
ลานฝึกฝนของสำนักคุ้มภัยใหญ่มาก สามารถจุคนได้ถึงร้อยกว่าคนเลย ในตอนนั้นเหล่าลูกศิษย์ของสำนักคุ้มภัยถูกจับในขณะที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ อาวุธถูกวางทิ้งไว้กระจัดกระจายไปทั่วทั้งลานฝึกฝน อาวุธที่ผ่านสายลมสายฝนกัดกร่อน มีบางด้ามที่เป็นสนิม มีบางด้ามที่ด้ามจับขึ้นราจนผุพังไป เหลือไว้แต่ใบดาบที่นอนอยู่อย่างโดดเดี่ยว
มองดูอาวุธเหล่านี้ที่ไม่หลงเหลือความเป็นอาวุธอยู่เลย ในสมองของเหวินเปียวและคนอื่นต่างก็ปรากฏภาพในตอนนั้นที่กำลังฝึกซ้อมกับลูกศิษย์ของสำนักคุ้มภัยอยู่ที่ลานฝึกฝนนี้ด้วยเสียงอันดังเซ็งแซ่ บัดนี้คนเหล่านั้นที่นอกจากตัวเองกับพี่น้องสามคนและคนในบ้าน ส่วนคนอื่นต่างก็ถูกส่งไปได้รับความลำบากตามที่ต่างๆ เป็นหรือตายมิอาจทราบได้
พอนึกถึงสภาพในตอนนี้ มองดูความพ่ายแพ้ในยามนี้ แต่ละคนต่างก็รู้สึกหน่วงๆ ขึ้นในใจ สีหน้าเงียบขรึมลง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเห็นสีหน้าของพวกเขาตรงนั้นก็เม้มปากไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
เหวินเปียวเก็บความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองแล้วกล่าวว่า “ยังมีอะไรที่อยากเห็นอีก เร็วๆ หน่อย อย่าปล่อยให้เสียเวลามากเกินไป”
เหวินเป้ากับเหวินหู่พยักหน้า แล้วก็เดินไปยังเรือนพักของตัวเอง
เหวินเปียวกับเหวินจงก็ไปยังเรือนของตัวเอง เหลือเมิ่งเชี่ยนโยวคนเดียวที่เดินเล่นอยู่ในสำนักคุ้มภัยคนเดียว
สำนักคุ้มภัยมีแต่ความทรุดโทรมในทุกพื้นที่ บนพื้นมีเศษใบไม้ปกคลุมหนาจนเท้าที่ย่ำลงไปจมมิด เดินเหยียบลงไปมีเสียงดังสวบสาบ ประตูและหน้าต่างของแต่ละเรือนต่างก็ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ มองเข้าไปก็เห็นทุกอย่างที่อยู่ข้างในทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองไปรอบหนึ่งแล้วบ่นพึมพำคนเดียวว่า “พอมาดูจากตรงนี้แล้วสิ่งที่ผู้คนกล่าวขานนั้นเป็นจริงอย่างที่กล่าว ในตอนนั้นสำนักคุมภัยเวยหยวนมีกำลังที่แข็งแกร่งจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินเฮ่อเหลี่ยนเจ้าคนบัดซบนั่นได้อย่างไร จนทำให้โดนตรวจสอบและมีโทษถึงขั้นอายัดเช่นนี้”
ในตอนที่นางกำลังพิจารณาอยู่ ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ แล้วก็นึกถึงที่เมื่อกี้นี้รู้สึกได้ว่ามีคนแอบจ้องมองอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เกิดรู้สึกถึงลางไม่ดี แล้วก็ตะโกนพูดว่า “เหวินเปียว ดูท่าไม่ดีแล้ว พวกเรารีบออกไปเถอะ!”
พอทุกคนได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมาจากเรือนของตัวเอง
ไม่รอให้ใครได้ถาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้แล้วก็กวาดตามอง แต่กลับเห็นกัวเฟยคนเดียวที่จูงรถม้ายืนอยู่ตรงนั้น ม้าที่พวกเหวินหู่ขี่มาก็ล้อมรถม้าอยู่ใกล้ๆ กัน
ขมวดคิ้วมุ่น กระโดดขึ้นบนกำแพง กวาดตามองอย่างถี่ถ้วนก็ไม่พบความผิดปกติใด ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยิ่งหนักขึ้น แล้วตะโกนบอกกับทุกคนว่า “ออกไป!”
เหวินเปียวและคนอื่นต่างก็กระโดดขึ้นบนกำแพงแล้วก็กวาดตามองออกไป ก็ไม่พบสิ่งใดที่น่าสงสัย จึงหันมามองที่เมิ่งเชี่ยนโยวโดยพร้อมเพรียงกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ทุกคนก็กระโดดลงจากกำแพงลงไปพร้อมกัน เดินไปหยุดข้างหน้ากัวเฟย
กัวเฟยพอเห็นทุกคนออกมาแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นกันจากที่ไกลๆ หากไม่ใช่เพราะว่าจูงม้าอยู่ข้าก็คงจะออกไปดูแล้ว…”
เขายังพูดไม่ทันขาดคำ พริบตาเดียวชายร่างกายกำยำหลายสิบคนก็ออกมาจากที่เร้นกายอยู่ข้างๆ แต่ละคนต่างก็ถืออาวุธอยู่ในมือ สายตาดุดัน มองดูก็รู้ว่าต้องการมาจับกุมพวกเขา
เหวินเปียวกับคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจแล้วล้อมรอบให้เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ตรงกลาง ตะโกนถามขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นใคร”
ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลัง เฮ่อเหลี่ยนขี่ม้ามาแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา บังคับให้ม้าเดินเข้าไปหาพวกเขา แล้วกล่าวอย่างผู้ที่อยู่สูงกว่าว่า “หญิงต่ำช้า วันนี้ตกอยู่ในกำมือของข้าแล้วใช่ไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาถามว่า “เจ้าทราบได้อย่างไรว่าพวกเราจะมาวันนี้”
เฮ่อเหลี่ยนหันหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะอย่างลำพองใจว่า “ข้าไม่รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะมาวันนี้ แต่ข้าสั่งให้คนคอยเฝ้าดูมานานแล้ว ข้าคิดว่าจะมีแค่พวกเขาไม่กี่คนที่มา ข้าจะได้จับพวกมันและฆ่าไปพร้อมกัน แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้สิ่งดีที่คาดไม่ถึง หญิงต่ำช้าอย่างเจ้าก็ตามมาด้วย พอดีเลยข้าจะได้ไม่ต้องคิดหาวิธีกำจัดเจ้าในวันหน้า วันนี้จะส่งพวกเจ้าขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกันเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเย็นชาพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่จำเป็น!”
รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของเฮ่อเหลี่ยนก็พลันแข็งค้างในทันที กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หญิงต่ำช้า ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้วยังกล้าพูดจาอวดดีอีก วันนี้ไม่มีเจ้าเด็กระยำคนนั้นคอยช่วย ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือหุบเขาห้านิ้ว*ของข้าได้หรือไม่”
“ดูหมิ่นซื่อจื่อ มีโทษเพิ่มขึ้นอีก ข้าว่าคนที่หาเรื่องตายเป็นเจ้าเองกระมัง” เมิ่งเชี่ยนโยวถากถางเสียงเย็น
“ปากดีนักหรือหญิงต่ำช้า วันนี้ข้าจะดูว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปพบเขาได้หรือไม่” พูดจบก็หันไปพูดกับกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังสิบกว่าคนนั้นว่า “ลงมือ ฆ่าได้ไม่ต้องยั้งมือ”
กลุ่มชายร่างใหญ่ขานรับ แล้วชูอาวุธเดินปรี่เข้ามา
กัวเฟยก็โยนบังเ**ยนที่อยู่ในมือออกไป แล้วเคลื่อนกายขึ้นมาบังเมิ่งเชี่ยนโยวไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ตรงกลาง ไม่สนใจการต่อสู้ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเลยแม้แต่น้อย จ้องมองเฮ่อเหลี่ยนอย่างใจเย็น คำนวณดูว่าระยะห่างเท่านี้ตัวเองจะลากเขาลงมาได้หรือไม่
ดูเหมือนว่าเฮ่อเหลี่ยนจะรู้ถึงความคิดของนาง เขาบังคับม้าให้ถอยไปหลายก้าว มองดูนางแล้วมุมปากกระตุกยิ้มอย่างเยาะเย้ย
คนที่อาศัยอยู่รอบๆ พอได้ยินเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นก็รีบวิ่งออกมามุงดู พอเห็นคนหลายคนถืออาวุธเข้าปะทะกันอย่างอลหม่านก็ตกใจจนต้องถอยกลับเรือนของตนไป
เฮ่อเหลี่ยนที่นั่งอยู่บนม้าตะโกนขู่เสียงดังว่า “หากไม่อยากตายก็รีบกลับห้องตัวเองไปให้ไว”
ทุกคนยิ่งหวาดกลัว แล้วก็รีบกลับห้องของตัวเอง ปิดประตูหน้าต่างทุกบ้านอย่างดี ด้วยเกรงว่าจะมีอันตรายมาถึงตัวเอง เหลือแต่พี่หลี่ที่ยังแอบยืนอยู่หน้าประตู มองออกมาทางนี้
คราวนี้คนที่เฮ่อเหลี่ยนนำมาด้วยมีฝีมือไม่ด้อยจริงๆ เหวินเปียวและคนอื่นบุกเข้าไปหลายครั้งก็ไม่สามารถฝ่าวงล้อมเข้าไปได้
กัวเฟยรู้สึกกระวนกระวายใจ อีกด้านก็ต่อสู้กับชายฉกรรจ์ อีกด้านก็พูดอย่างร้อนใจว่า “แม่นางขอรับ วันนี้พวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดี พวกเราจะกันเอาไว้ แล้วให้ท่านออกไปก่อน”
เฮ่อเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังลั่น “คิดจะหนีหรือ ช้าไปแล้ว วันนี้พวกเจ้าต้องทิ้งชีวิตไว้ทุกคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเย็นชา กล่าวเยาะเย้ยเหน็บแนมขึ้นว่า “พูดจาโอ้อวดยิ่งนัก ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่เฮ่อไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด”
มั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของตน เฮ่อเหลี่ยนจึงกล่าวโดยไม่ปิดบังว่า “พวกนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือที่ข้าเลี้ยงดูไว้เอง ในยามปกติไม่ต้องให้ถึงมือพวกเขา หญิงต่ำช้าอย่างเจ้าถือว่าโชคดีที่มีพวกเขาส่งไปยังปรโลก เจ้าก็ไม่เสียเปรียบแล้ว”
“มันก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวมีท่าทางสงบเยือกเย็น ไม่มีท่าทีที่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลี่ยนเม้มปากเล็กน้อย เหมือนยิ้มทว่าไม่ใช่รอยยิ้ม กล่าวถากถางว่า “ความตายอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ยังกล้าพูดจาโอหังอีก ดูท่าจะถูกเจ้าเด็กระยำนั่นตามใจจนเคยตัว จนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญคุณชายใหญ่เฮ่อลองดู” พูดจบคนก็กระโดดขึ้น แล้วประกายที่เป็นมันปลาบที่อยู่ในมือก็พุ่งโจมตีไปยังเฮ่อเหลี่ยนที่อยู่บนม้า
เฮ่อเหลี่ยนคิดไม่ถึงว่านางจะมีฝีมือสูงส่งถึงเพียงนี้ เขาตกใจจนเหงื่อเย็นชื้นแล้วร้องเสียงหลงขึ้นว่า “คุ้มครองข้า!”
ชายฉกรรจ์สองคนถอยออกมาขนาบข้างเฮ่อเหลี่ยน ยกอาวุธที่อยู่ในมือรอรับมือกับเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพลิกตัวกลางอากาศ กริชที่อยู่ในมือก็พุ่งทะลุผ่านลำคอของชายฉกรรจ์คนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ถืออาวุธค้างยืนแข็งทื่อไม่ไหวติง
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ ลอยลงพื้นอย่างแผ่วเบา
ร่างของชายฉกรรจ์ถึงหงายหลังล้มตึงลงบนพื้น เลือดที่ลำคอทะลักออกมาทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น