ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 43.1-45.2

ตอนที่ 43-1 พวกชอบหาเรื่องมาอีกแล้ว

 

บรรดาหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา


 


 


อ๋องฉีเหลือบมองพวกเขาอีกครั้งก่อนที่จะพูดว่า “ลุกขึ้นมารอเถอะ”


 


 


หลังจากเหล่าหมอหลวงกล่าวขอบคุณแล้ว ขณะที่คิดจะลุกขึ้น ด้วยเพราะคุกเข่ามาเป็นเวลานาน ขาของพวกเขาบัดนี้จึงมีอาการเหน็บชา พยายามลุกขึ้นมาหลายครั้งแต่ก็ไม่อาจลุกได้ จนสุดท้ายต้องอาศัยคนข้างๆ ช่วยกันพยุงขึ้นมาถึงจะลุกขึ้นได้สำเร็จ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ สายตาของพวกเขาก็ทยอยกันมาจับจ้องที่เมิ่งเชี่ยนโยว อยากรู้นักว่านางใช้วิธีไหนทำให้พระชายาฉีฟื้นขึ้นมาได้


 


 


สัมผัสได้ถึงสายตาของคนมากมายที่มองมา เมิ่งเชี่ยนโยวมีหรือจะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่ จึงแอบกล่าวขึ้นในใจว่า สภาพสะบักสะบอมขนาดนี้แล้วยังคิดกันอยู่อีกว่านางใช้วิธีไหนถึงทำให้พระชายาฉีฟื้นขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าชื่อหมอหลวงที่พวกเขาได้รับหาได้ถึงเพียงนามลอยๆ ไปเสียทีเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวแอบครุ่นคิดต่อในใจ หากพวกเขาถามนางถึงวิธีการรักษา นางควรจะบอกพวกเขาไปตามตรงหรือไม่ว่าตัวเองใช้วิธีไหน


 


 


แน่นอนว่าหวงฝู่อี้เซวียนเองก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของสาวใช้เมื่อสักครู่ด้วยเหมือนกัน จึงได้รู้ว่ายามนี้พระชายาฉีฟื้นขึ้นมาแล้ว หัวใจที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศถูกปล่อยลงได้ในที่สุด ทันทีที่เห็นนางเดินออกมา จะได้สาวเท้าเข้าไปหาลนลานถามด้วยเสียงต่ำว่า “ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“โรคเก่ากำเริบ ช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้จะให้กลับมาเป็นเหมือนปกติคงทำไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่อันตรายถึงชีวิตแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขากลับไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถามขึ้นอีกครั้งอย่างกระวนกระวาย “เช่นนั้นท่านแม่ของข้าอีกหน่อยต้องนอนรักษาตัวอยู่แต่บนเตียงหรือไม่”


 


 


อ๋องฉีได้ยินคำถามนี้ก็หันมามองนางเช่นกัน


 


 


สายตาของหมอหลวงหลายท่านพริบตาหันมาจ้องนางด้วยความใจจดใจจ่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ต้อง ร่างกายของพระชายาไม่ได้แย่ถึงขั้นนั้น อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาให้อีกตำรับหนึ่ง ดื่มตามนี้ทุกวัน ร่างกายจะค่อยๆ ดีขึ้นมาเอง”


 


 


ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นประกายระยับ ความยินดีระเบิดออกมาในทันใด ฉับพลันทุกคนที่อยู่ในลานต่างก็พากันเปล่งประกายมีชีวิตชีวาขึ้นตาม


 


 


อ๋องฉีเองก็มีความสุขเป็นอย่างมาก


 


 


สายตาของบรรดาหมอหลวงยังคงจ้องไปที่นางอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความสุข “ขอบคุณเจ้ามาก โยวเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง กล่าวไปว่า “เจ้ากับข้ายังต้องเกรงใจกันอยู่อีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มให้นางอย่างสดใส


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะถูกรอยยิ้มของเขาทำให้ตาบอด นางสาปส่งความเป็นปีศาจของเขาอยู่ในใจแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน


 


 


อ๋องฉีมองปฏิกิริยาตอบโต้ระหว่างพวกเขาในดวงตา ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ


 


 


หมอหลวงหลายท่านของแคว้นยังคงลอบสบตากันเรื่อยๆ ข้ามองเจ้าเจ้ามองข้าอยู่อย่างนั้น ในที่สุดสายตาของทุกคนก็ตกไปอยู่ที่หมอหลวงท่านหนึ่งซึ่งอาวุโสที่สุดในกลุ่ม


 


 


หมอหลวงท่านนั้นถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ประกอบกับไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นที่เกิดขึ้นในใจได้อีก จึงหันไปมองทางอ๋องฉีอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ประคองมือทั้งสองข้างขึ้นทำท่าคารวะ ขอคำแนะนำออกไปอย่างเคารพระคนเจียมเนื้อเจียมตัวว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านสามารถชี้แจงให้พวกเราทราบได้หรือไม่ว่าท่านใช้วิธีการไหนถึงทำให้พระชายาฟื้นขึ้นมาได้ อีกทั้งในอนาคตยังไม่ต้องให้พระชายานอนรักษาตัวอยู่แต่บนเตียงอีก”


 


 


โดยไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวได้พูดขึ้น เสียงเย็นชาของอ๋องฉีก็ดังขัดขึ้นก่อน “อย่างน้อยๆ พวกเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นหมอที่ดีที่สุด เป็นหมอหลวงของราชสำนัก ทักษะทางการแพทย์กระทั่งเด็กที่มาจากบ้านนอกคนหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้ ยังมีหน้ามาถามอีก”


 


 


ร่างของหมอหลวงท่านนั้นสั่นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากที่ได้สติกลับมาจึงได้เอ่ยรับผิดออกไปว่า “ท่านอ๋องตักเตือนได้ถูกต้องแล้ว พวกข้าน้อยทักษะทางการแพทย์เทียบกับแม่นางท่านนี้ไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจึงได้อยากขอคำชี้แนะจากแม่นางสักหนึ่งหรือสองประโยค”


 


 


อ๋องฉีแค่นเสียง “ฮึ” ใส่พวกเขาคำหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก


 


 


หมอหลวงรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาคาดหวัง น้ำเสียงสุภาพถูกใช้ถามออกไปอีกครั้ง “แม่นางไม่ทราบว่าจะชี้แนะพวกข้าสักเล็กน้อยได้ไหม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดิมทีก็สัญญากับอ๋องฉีเอาไว้แล้วว่าอีกเดี๋ยวจะอธิบายให้พวกเขาฟัง เวลานี้พอหมอหลวงเอ่ยถามขึ้นมา นางจึงใช้โอกาสนี้ให้พวกเขาได้ติดหนี้น้ำใจ อธิบายออกไปว่า “ร่างกายของพระชายาแต่เดิมอ่อนแอมาก พอได้รับผลกระทบจากอารมณ์ที่ขึ้นลงไม่แน่นอน จึงไม่อาจทนรับไหวเป็นลมหมดสติไป อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้หนักหนาอันใดเลย พวกท่านแค่เขียนใบสั่งยาสำหรับบำรุงร่างกายให้นางดื่ม พักฟื้นต่ออีกสักหลายวันหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว อย่างไรก็ตามข้อผิดพลาดเล็กน้อยของพวกท่านก็คือใบสั่งยาสำหรับบำรุงร่างกายที่เขียนลงไปนั้น มีฤทธิ์แรงกว่าที่ร่างกายของพระชายาจะรับไหว ส่งผลให้ร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้วของพระชายายิ่งทรุดตัวลงไปอีก จนตกอยู่ในสภาพหมดสติหลับลึกนานถึงหลายวัน หากอิงตามนี้ไปเรื่อยๆ แม้ภายหลังพระชายาจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ แต่ก็จะกลายเป็นคนป่วยไปจริงๆ ต้องนอนอยู่แต่บนเตียงไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก”


 


 


เรื่องที่ว่าดื่มยาบำรุงเกินขนาดจนทำให้เกิดป่วยขึ้นมาจริงๆ บรรดาหมอหลวงก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก มองไปทางนางอย่างไม่อยากจะเชื่อในที


 


 


อ๋องฉีสีหน้ายิ่งมาก็ยิ่งมืดครึ้ม วุ่นวายมาตั้งหลายวัน ที่แท้ที่พระชายาเอาแต่หมดสติไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเสียทีเป็นเพราะหมอหลวงพวกนี้นี่เอง


 


 


หลังคอของบรรดาหมอหลวงฉับพลันเย็นวาบ


 


 


หมอหลวงท่านนั้นถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “นี่ นี่? ยาบำรุงทำให้ป่วยขึ้นได้จริงๆ หรือ”


 


 


ฟังจากคำถามของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ค่อยเชื่อ พวกเขาอยู่ในวังมานาน ตรวจอาการให้กับฮ่องเต้รวมถึงเหนียงเหนียงทั้งหลายมาก็ไม่น้อย ตำรับยาที่จัดให้กับทุกท่านมากที่สุดก็คือยาบำรุงนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ท่านไหน ขอเพียงแค่ร่างกายเกิดไม่สบายเล็กน้อยเป็นต้องจัดยาบำรุงไปส่งให้ทุกทีไป กระนั้นเองยังไม่เคยเห็นใครที่ดื่มยาบำรุงแล้วเกิดป่วยขึ้นมาเลย จะมีก็แต่พระชายาฉีนี่แหละที่เป็นกรณีแรก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังออกถึงความกังขาของเขา จึงได้พูดออกไปว่า “อะไรที่มากไปย่อมไม่ใช่ของดี พวกเราตอนนี้กำลังถกกันถึงเรื่องอาการป่วยของพระชายา พระชายาฉีมีร่างกายที่อ่อนแอมาก นางจะทนกับฤทธิ์ยาที่หนักหน่วงรุนแรงขนาดนั้นได้อย่างไร หากเปลี่ยนเป็นคนปกติธรรมดา แน่นอนย่อมไม่มีปัญหาเช่นนี้”


 


 


อย่างไรก็ตามเหล่าหมอหลวงยังไม่ค่อยเชื่อที่นางพูดมากนัก ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากที่นางมาถึงแล้วพระชายาก็ฟื้นขึ้นมาทันที ดังนั้นต่อให้ไม่เชื่อก็เหมือนกับถูกบังคับให้ต้องเชื่อ พินิจพิจารณาต่ออีกครู่หนึ่ง หมอหลวงท่านนั้นก็ถามออกไปอีกครั้ง “ไม่ทราบแม่นางใช้วิธีการใดให้พระชายาฟื้นขึ้นมา”


 


 


เกี่ยวกับคำตอบของคำถามนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่บอกพวกเขา นางยิ้มแล้วกล่าวออกไปว่า “นี่เป็นทักษะส่วนตัวของข้าเอง ไม่อาจบอกพวกท่านได้จริงๆ ขอพวกท่านอย่าได้ถือสา”


 


 


ในฐานะหมอหลวงทุกคนย่อมมีทักษะส่วนตัวที่ไม่อาจบอกกล่าวหรือให้ใครรู้ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ แม้จะทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังแต่ก็ไม่ได้คาดคั้นดึงดันเอาคำตอบอีก


 


 


เวลาสองเค่อผ่านพ้นไป เมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เห็นว่าพระชายาบัดนี้ลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำแล้ว กำลังให้สาวใช้ปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อยู่ สีหน้าของอีกฝ่ายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก นางไม่กลับไปนอนที่เตียงอีกแต่เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ในห้องแทน


 


 


เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พระชายาฉีก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร กวักมือเรียกนางให้เข้าไปหา “แม่นางเมิ่ง มานี่สิ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง


 


 


พระชายาฉีผายมือเป็นเชิงบอกให้หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ในฝั่งตรงกันข้าม ก่อนจะพูดกับนางไปด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินที่สาวใช้คนสนิทพูดแล้ว วันนี้ต้องขอบคุณทักษะทางการแพทย์ของแม่นางเมิ่งมากข้าถึงตื่นขึ้นมาได้ บุญคุณช่วยชีวิตของแม่นางเมิ่งในครั้งนี้ ข้าจะขอจดจำไม่ลืมเลือน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มและโบกมือให้อีกฝ่าย “พระชายากล่าวหนักเกินไปแล้ว อาการป่วยของท่านแต่เดิมก็ไม่นับว่าหนักหนาอันใด ข้าแค่บังเอิญรักษาได้ถูกจุดก็เท่านั้น”


 


 


พระชายาฉีเห็นนางรู้หนักเบา ไม่ได้หยิ่งผยองเพราะมีความดีความชอบความชื่นชมในตัวของอีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มไปอีกระดับ แล้วยิ่งตอนนี้มีโอกาสได้พิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียด นางก็ยิ่งมายิ่งมีความสุข ยิ่งมายิ่งพึงพอใจในตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพอถูกว่าที่แม่สามีในอนาคตจับจ้องพิจารณาตาไม่กะพริบแบบนี้ นางก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย กระแอมออกไปเบาๆ แล้วพูดว่า “พระชายาโปรดยื่นมือออกมาด้วย ข้าจะจับชีพจรให้ท่านอีกครั้ง”


 


 


พระชายาฉีวางมือลงตรงหน้านางแต่โดยดี ยังคงจ้องนางพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสงบสติตัวเองลง แสร้งทำเป็นไม่สนใจดวงตาที่กำลังพิจารณานางอยู่ ตั้งใจตรวจชีพจรให้อย่างใจจดใจจ่อ


 


 


การตรวจชีพจรครั้งนี้ใช้เวลาสั้นกว่าครั้งก่อนหน้ามาก หลังจากวินิจฉัยอาการเสร็จ นางก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนรายการสมุนไพรลงไปในกระดาษ จากนั้นก็ตรวจสอบดูอีกสองถึงสามครั้ง เห็นว่าไม่มีปัญหาแล้วจึงได้ยื่นมันให้กับสาวใช้คนสนิทแล้วพูดออกไปว่า “หลายวันมานี้พระชายาไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย เดี๋ยวเจ้าสั่งคนให้ไปต้มโจ๊กมาให้ถ้วยหนึ่ง ผสมสมุนไพรพวกนี้ลงไปด้วย จำไว้ให้มั่น ปริมาณของสมุนไพรที่ใส่ลงไปจะต้องอิงตามนี้อย่าให้มีคลาดเคลื่อนเป็นอันขาด น้อยกว่านี้ไม่ได้ มากกว่านี้ก็ไม่ได้”


 


 


สาวใช้คนสนิทนับถือนางจนแทบจะยกอีกฝ่ายขึ้นเป็นเทพเซียนแล้ว ขานรับลงไปทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว รับกระดาษแผ่นนั้นไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินออกไปยังโรงครัวเพื่อสั่งให้คนต้มโจ๊กมาให้

 

 

 


ตอนที่ 43-2 พวกชอบหาเรื่องมาอีกแล้ว

 

พระชายาฉีแม้ภายนอกจะดูมีชีวิตชีวาและมีพละกำลังมากขึ้น แต่เนื่องจากนอนหลับมานานหลายวัน อาหารที่ตกถึงท้องก็มีเพียงของจำพวกน้ำแกงเพียงอย่างเดียว นางในตอนนี้จึงพยุงตัวไม่ค่อยจะไหวเท่าไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นถึงความอ่อนล้าของนาง จึงพูดออกไปว่า “พระชายากลับไปนอนที่เตียงเถิดเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวสาวใช้ยกโจ๊กเข้ามา หลังจากท่านทานเสร็จแล้วก็นอนพักต่ออีกชั่วครู่ ประเดี๋ยวก็จะรู้สึกสบายตัวขึ้นแล้ว”


 


 


พระชายาฉีรู้สึกอ่อนล้ามากจริงๆ แต่เดิมนางคิดว่านางซ่อนมันไว้อย่างดีแล้ว คิดไม่ถึงจะถูกเมิ่งเชี่ยนโยวมองออกในปราดเดียว ประกายความประหลาดใจผุดขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นนางก็ลุกขึ้นแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย กล่าวว่า “ฟังที่แม่นางเมิ่งว่า ข้าจะไปนอนพักที่เตียงเดี่ยวนี้ ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไป”


 


 


สาวใช้อีกคนเดินเข้ามาพยุงนางแล้วพาอีกฝ่ายไปที่เตียง


 


 


สาวใช้คนที่เหลือช่วยกันออกแรงยกอ่างอาบน้ำออกไปข้างนอก


 


 


เมื่อเห็นว่าอ่างอาบน้ำถูกยกออกมาแล้ว เสียงถามของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “โยวเอ๋อร์ ข้าเข้าไปดูท่านแม่ได้หรือยัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปด้วยเสียงใส “เข้ามาเถอะ ในนี้ไม่มีอะไรแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก้าวฉับๆ เข้าไปในห้องทันที


 


 


อ๋องฉีมองดูท่าทีรีบร้อนของเขาก็ให้ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะยกเท้าแล้วเดินตามเข้าไป


 


 


บรรดาหมอหลวงที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังตะโกนตามด้วยเสียงสั่นว่า “ท่าน ท่านอ๋อง”


 


 


ฝีเท้าของอ๋องฉีหยุดชะงัก เขาตวัดสายตากลับไปมองคนกลุ่มนั้นรอบหนึ่ง


 


 


หมอหลวงท่านนั้นที่เรียกหยุดเขาไว้หดคอกลับไปอย่างหวาดกลัว กระนั้นก็ยังคงหน้าหนาฝืนถามออกไปว่า “ไม่ทราบพวกข้าขอเข้าไปดูอาการของพระชายาด้วยได้ไหมขอรับ”


 


 


อ๋องฉีไม่ได้ตอบ แต่ประกายคมกริบในดวงตารุนแรงขึ้นอีกส่วน


 


 


หมอหลวงแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เหงื่อเย็นไหลชุ่มไปทั่วทั้งร่าง น้ำเสียงสั่นเทากล่าวต่อว่า “พวกข้าไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น เพียงแค่อยากเห็นว่าอาการของพระชายายามนี้เป็นเช่นไรเท่านั้น”


 


 


“รอก่อน!” อ๋องฉีพูดออกมาเพียงแค่สองคำ จากนั้นก็สะบัดหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง


 


 


บรรดาหมอหลวงถอนหายใจพร้อมกันอย่างโล่งอก ปาดเหงื่อเม็ดเป้งที่ไหลออกมาจากหน้าผาก สายตาของหมอหลวงหลายคนมองตามแผ่นหลังอ๋องฉีเข้าไปในห้องอย่างรู้อยากเห็น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาที่ข้างเตียง เห็นว่าสีหน้าของมารดาตอนนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อมีชีวิตชีวา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ ความกังวลสุดท้ายในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและยินดีว่า “ท่านแม่ ท่านพื้นแล้ว”


 


 


พระชายาฉียิ้มและพยักหน้ารับ กล่าวว่า “แม่ไม่เป็นไร ทำให้เซวียนเอ๋อร์ต้องเป็นกังวลแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนครู่หนึ่งไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เลย น้ำตาบางส่วนปรากฏขึ้นจากในดวงตาของเขา


 


 


พระชายาฉีเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้ นางก็ชะงักไปชั่วขณะ กรอบตาทั้งสองข้างแดงก่ำขึ้นตาม ดีจริงๆ ดียิ่งนัก ในที่สุดเด็กคนนี้ก็ยอมรับนางแล้ว


 


 


อ๋องฉีเดินตามเข้ามาทีหลัง ทันทีที่เดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงแล้วเห็นว่ากรอบตาของพระชายาฉีแดงก่ำ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนอีกแล้วเหรอ”


 


 


พระชายาฉีส่ายหน้า “ข้าน้อยสบายดีเจ้าค่ะ นี่เป็นเพราะข้าน้อยมีความสุขมาก”


 


 


ด้วยเพราะหวงฝู่อี้เซวียนหันหลังให้กับอ๋องฉี อ๋องฉีจึงไม่เห็นว่ายามนี้สีหน้าของเขาเป็นเช่นไร คิดว่าพระชายาฉีมีความสุขที่ตนเองได้ฟื้นขึ้นมา จึงได้พยักหน้าตามแล้วพูดออกไปว่า “ข้าเองก็มีความสุขที่ได้เห็นเจ้าฟื้นขึ้นมา”


 


 


พระชายาฉีรู้ว่าเขาคิดกันไปคนละเรื่องแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากเตือน เพียงแต่ตามน้ำไปว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่ทรงเป็นห่วง”


 


 


อ๋องฉีฟังออกถึงความสุขจากในน้ำเสียงของนาง ถ้อยคำที่เหมือนกับจะพาคนให้โบยบินขึ้นไปนี้ทำเอาใจเขาบังเกิดความสงสัยขึ้น จึงอดไม่ไหวมองนางซ้ำๆ ไปอีกหลายครั้ง


 


 


พระชายาฉียิ้มแล้วมองตอบเขาไป


 


 


อ๋องฉีหัวใจรู้สึกคันยุบยิบอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกำลังจะหลอมละลายลงไป จึงได้กระแอมไอขึ้นเพื่อปกปิดอารมณ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง ถามออกไปว่า “เจ้าพวกหมอเถื่อนไม่ได้เรื่องพวกนั้นอยากเข้ามาดูอาการของเจ้า เจ้าเห็นว่าอย่างไร”


 


 


พระชายาฉีมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


พระชายาฉีกล่าวว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”


 


 


จากนั้นอ๋องฉีก็พยักหน้าแล้วตะโกนบอกคนที่อยู่ข้างนอก “พวกเจ้าที่อยู่ข้างนอกนั่น ไสหัวเข้ามาได้แล้ว”


 


 


หลังจากคำพูดนี้ของอ๋องฉีตกลงไป บรรดาหมอหลวงก็ทยอยกันเดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่เห็นว่าพระชายาฉีกำลังนั่งพิงไปกับหัวเตียง พวกเขาก็ประหลาดใจกันมาก ไม่ทันคารวะอีกฝ่ายตามพิธีการ ก็รุดเข้าไปหยุดที่ข้างเตียงทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเบี่ยงตัวหลบแล้วถอยออกไปยืนข้างๆ


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่พอใจกับคนกลุ่มนี้มากขึ้นทุกที


 


 


ในสายตาของเหล่าหมอหลวงตอนนี้มีเพียงแค่ร่างกายของพระชายาฉีเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าสีหน้าของอ๋องฉีไม่น่ามองแค่ไหน หมอหลวงซึ่งอาวุโสที่สุดในกลุ่มเปิดปากขอออกไปเป็นคนแรก “เหนียงเหนียง ไม่ทราบข้าน้อยขอตรวจชีพจรให้ท่านได้ไหมขอรับ”


 


 


น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง แม้พระชายาฉีแต่เดิมคิดว่าไม่สมควรอยากจะเพิกเฉยไปแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดถึงว่าก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะฟื้นฟูร่างกายของนางให้กลับมา สุดท้ายจึงพยักหน้าอนุญาตให้เบาๆ


 


 


หมอหลวงที่อาวุโสที่สุดผู้นั้นดีใจมาก กระทั่งเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างเตียงก็ไม่คิดจะลากเข้ามานั่งแล้ว ตรงไปคุกเข่าอยู่หน้าเตียงโดยตรง


 


 


พระชายาฉียื่นมือออกไป สาวใช้ก็หยิบผ้าแพรบางผืนหนึ่งออกมาวางไว้บนข้อมือของนาง หมอหลวงวางนิ้วทับลงไปบนผ้าแพรบางผืนนั้น ลงมือจับชีพจรอย่างละเอียด


 


 


และทันทีที่นิ้วของเขาแตะสัมผัสโดนเส้นชีพจรของพระชายาฉี ดวงตาของหมอหลวงชราก็เป็นอันต้องเบิกกว้าง เขาเงยหน้าขึ้นมองพระชายาฉีอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่พอคิดได้ว่าการกระทำของเขาในตอนนี้เป็นการหมิ่นเกียรติอีกฝ่าย ถือว่าเป็นโทษหนัก ก็ให้รีบก้มหน้าลงโดยไว นิ้วที่แตะเส้นชีพจรอยู่ยกขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความประหลาดใจยิ่งมายิ่งบังเกิด เพียงพริบตาเดียวสีหน้าของเขาก็มีแต่ความอัศจรรย์ใจ


 


 


หมอหลวงคนอื่นๆ เห็นเขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาในใจก็ให้ร้อนรุ่มนัก คิดอยากผลักอีกฝ่ายไปไว้ด้านข้างแล้วแทรกตัวเข้าไปจับชีพจรแทนให้รู้แล้วรู้รอด


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดเสียงสั่นของหมอหลวงท่านนั้นก็ดังขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร”


 


 


หมอหลวงอีกคนที่เยาว์วัยกว่าถามขึ้นด้วยเสียงเบา อย่างไรก็ตามความรีบร้อนในน้ำเสียงไม่อาจปกปิดไว้ได้เลย “ท่านหมอหลวงเจียง ชีพจรของพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง มีตรงไหนผิดปกติหรือไม่ รีบบอกพวกเรามาเร็วเข้า”


 


 


หมอหลวงชราท่านนั้นยกมือออก ลุกขึ้นด้วยความเหนื่อยยาก ปากของเขาพึมพำออกมาอย่างต่อเนื่องว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้”


 


 


หมอหลวงคนอื่นๆ ทนไม่ไหวแล้วในเวลานี้ ไม่คิดจะถามเขาอีก รุดเข้าไปคุกเข่าอยู่หน้าเตียงทยอยกันจับชีพจรให้พระชายาฉี


 


 


สภาพของหมอหลวงแต่ละคนหลังจากที่จับชีพจรแล้วไม่ต่างกันเลย ล้วนมีแต่ความไม่อยากจะเชื่อปรากฏขึ้นบนสีหน้า


 


 


อ๋องฉีคิ้วผูกกันจนเป็นปมแล้ว ตวาดด่าไปว่า “จับกันเสร็จหรือยัง จับเสร็จแล้วก็รีบไสหัวออกไปเสีย!”


 


 


เป็นเสียงสั่นของท่านหมอหลวงเจียงที่ดังตอบกลับมา “ท่านอ๋อง พวกข้าน้อยยังมีอีกหนึ่งคำถามต้องการจะถามแม่นางเมิ่ง ถามเสร็จแล้วจะรีบไสหัวไปทันทีขอรับ”


 


 


สีหน้าของอ๋องฉีไม่น่าดูอย่างเห็นได้ชัด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวขึ้นมาพูดแทนพวกเขา ถามพวกเขาไปพร้อมรอยยิ้มว่า “หลายท่านคงอยากถามเกี่ยวกับชีพจรของพระชายาว่าเหตุใดจึงแตกต่างจากแต่ก่อนยิ่งนัก เหตุใดตอนนี้จึงแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพละกำลังเหมือนกับคนปกติทั่วไป”


 


 


หลายคนพยักหน้าหงึกหงัก


 


 


“นั่นเป็นเพราะข้าขับเอาส่วนที่ตกค้างอยู่ของยาบำรุงในตัวพระชายาออกมา เมื่ออวัยวะภายในทั้งห้าไม่ต้องรับภาระหนักอีก เส้นชีพจรของนางจึงค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น กลับมามีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยพละกำลังเหมือนกับคนปกติ” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย


 


 


พวกหมอหลวงยังฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร หันหน้าไปสบตากันคิดอยากจะถามต่อไปอีก


 


 


แต่แล้วเสียงตวาดของอ๋องฉีก็ดังขึ้นลั่น เขาไม่เต็มใจมาก “ไสหัวออกไป!”


 


 


น้ำเสียงของอ๋องฉีตอนนี้เต็มไปด้วยโทสะเด่นชัด ขืนยังไม่ออกไปอีกแล้วทำให้ท่านอ๋องโกรธขึ้นมาโดยสมบูรณ์ มีหวังได้ถูกอีกฝ่ายสั่งให้คนจับโยนออกไปแน่ ดังนั้นแล้วแม้คำถามที่ติดค้างอยู่ในใจจะยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ก็ไม่กล้าถามออกไปอีก ได้แต่โค้งตัวคารวะให้กับอ๋องฉีและพระชายาตามธรรมเนียม ถอยออกไปด้วยความรีบร้อน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็รู้ว่าพวกเขาหลายคนยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่นางก็ไม่รู้จะอธิบายต่อไปอย่างไรแล้วเหมือนกัน พอเห็นว่าในที่สุดเขาก็ไปได้เสียที หญิงสาวก็แอบโล่งใจเล็กน้อย


 


 


พระชายาฉีมีเรื่องในใจต้องการจะคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเพียงลำพัง จึงยิ้มแล้วหันไปพูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋อง หลายวันมานี้ท่านคงเป็นกังวลแย่แล้ว บัดนี้ร่างกายของข้าน้อยรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ทรงกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”


 


 


อ๋องฉีรู้สึกได้ว่าตัวเองยังมีเรื่องอีกมากมายต้องการจะคุยกับพระชายาฉี แต่ตอนนี้ในห้องยังมีคนอยู่มากมายจึงไม่สะดวกจะพูดออกมา ประกอบกับสองสามวันมานี้เพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของนาง อารมณ์เสียใส่บรรดาหมอหลวงไปก็ไม่น้อย เห็นว่านางตื่นขึ้นมาแล้ว ใจเขาก็ผ่อนคลายลง รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ จึงได้พยักหน้าให้แล้วตอบกลับไปว่า “ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักก่อน ตอนเย็นค่อยมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม


 


 


อ๋องฉีหมุนตัวกลับไปแล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าสัญญากับเซวียนเอ๋อร์ไว้ว่าหากเจ้ารักษาพระชายาได้จะให้รางวัลเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้าอยากได้อะไร”


 


 


“ท่านอ๋อง” เสียงนุ่มนวลของพระชายาฉีดังขัดขึ้นเบาๆ “เรื่องของรางวัลรอท่านพักผ่อนเสร็จแล้วค่อยว่ากันดีไหมเจ้าคะ ตอนนี้ข้ายังอยากจะคุยกับแม่นางเมิ่งต่ออีกสักพัก”


 


 


ได้ยินพระชายาฉีใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลเช่นนี้พูดกับตนเอง อ๋องฉีก็หันหน้ากลับไปมองนางอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ ตอบตกลงไปด้วยเสียงเบาครั้งหนึ่งแล้วเดินออกไปจากห้อง


 


 


พระชายาฉีตบลงที่ตำแหน่งข้างเตียงเบาๆ กวักมือให้เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปหา “แม่นางเมิ่ง เข้ามานั่งข้างๆ ข้าสิ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียงอย่างใจกว้าง


 


 


พระชายารองส่งคนมาคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเรือนหลักอยู่ตลอด ทันทีที่ได้ยินรายงานจากบ่าวรับใช้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนไปเชิญเมิ่งเชี่ยนโยวให้มารักษาอาการป่วยให้กับพระชายาฉี นางก็แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ กล่าวว่า “อาการหนักจนไม่สนอะไรแล้วสินะ ขนาดบรรดาหมอหลวงในวังยังกุมขมับจนปัญญา เด็กบ้านนอกคอกนาอย่างนางจะไปทำอะไรได้” ถึงอย่างนั้นแล้วนางก็ยังแอบดีใจ แบบนี้ดีที่สุด หากว่าพระชายาฉีเป็นอะไรไปภายใต้การรักษาของนังเด็กบ้านนอกนั่น เด็กนั่นคงจบไม่สวยแน่ๆ ดีเลย นางจะใช้โอกาสนี้แหละแก้แค้นอีกฝ่ายที่มาดูถูกอวี้เอ๋อร์ของนาง


 


 


ขณะที่นางกำลังคิดว่าความคิดนี้ไม่เลวเลย บ่าวรับใช้ที่ถูกส่งไปก็วิ่งกลับมารายงานด้วยความลนลานว่า “พระชายารอง พระชายาฟื้นแล้วขอรับ”


 


 


พระชายารองชะงักไป นางผุดลุกขึ้นแล้วถามออกไปอีกครั้งด้วยเสียงแหลม “เจ้าว่าอย่างไรนะ”


 


 


บ่าวรับใช้คนนั้นถูกเสียงของนางทำเอาตกใจจนถอยหลังกรูด รายงานไปด้วยเสียงสั่นว่า “พระ พระชายาฟื้นแล้วขอรับ”


 


 


พระชายารองกรีดร้องเสียงดังลั่น “เป็นไปได้อย่างไร”


 


 


บ่าวรับใช้ตกใจถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก


 


 


พระชายารองโกรธมาก เดินออกจากห้องไป ในที่สุดก็กลั้นโทสะเอาไว้ไม่อยู่ หันไปสั่งสาวใช้คนสนิทว่า “ไปดูกัน”


 


 


สาวใช้ขานรับ พยุงนางมุ่งหน้าไปยังเรือนหลักในทันที และโดยไม่รอให้สาวใช้ของจวนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกขานชื่อ พระชายารองก็บุกเข้าไปในห้องเสียแล้ว เห็นเพียงแต่ว่าพระชายาบัดนี้กำลังนั่งพิงอยู่กับหัวเตียง จับมือพูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสนิทสนม ดวงตาของนางก็ประกายวาบ พูดออกไปพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่สาวช่างสนิทสนมกับคนได้ง่ายเหลือเกิน กระทั่งเด็กสาวบ้านนอกที่มาจากป่าเขาอย่างนางก็ยังปฏิบัติเช่นนี้ด้วยได้”

 

 

 


ตอนที่ 44-1 แสดงอำนาจ

 

 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนมืดครึ้มลง ทั้งตัวของเขาแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบออกมา


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงเป็นปกติ


 


 


พระชายาฉีเองก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า รอยยิ้มไม่รีบไม่ร้อนถูกยกขึ้นก่อนจะถามออกไปว่า “เมื่อไหร่กันที่พระชายารองสามารถเดินเข้าออกห้องของข้าได้ตามอำเภอใจ”


 


 


พระชายารองตะลึงไป จากนั้นก็ฉีกยิ้มจอมปลอมออกมา “ข้าได้ยินว่าพี่สาวฟื้นแล้ว รู้สึกมีความสุขมาก จึงได้ผลีผลามเข้ามาจนลืมกฎไปเลย ขอพี่สาวอย่าได้ตำหนิ”


 


 


แม้จะพูดแบบนี้ แต่สีหน้าของนางกลับไม่มีวี่แววของความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย


 


 


พระชายาฉียังคงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “น้องสาวลืมกฎไม่เป็นไร แต่บ่าวรับใช้ลืมกฎสมควรตาย”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายารองแข็งค้างไปแล้ว


 


 


พระชายาฉีหันไปสั่งสาวใช้คนสนิทอีกคนด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบานนัก “หลิงหลง วันนี้ใครยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู กระทั่งคนมาก็ไม่แจ้งให้ทราบสักคำ ในสายตายังเห็นข้าคนนี้เป็นนายหรือไม่”


 


 


หลิงหลงรีบร้อนตอบว่า “เหนียงเหนียง คนที่เข้าเวรวันนี้คือหลันฮวาเจ้าค่ะ”


 


 


“เรียกนางเข้ามา ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนอบรมสั่งสอนกฎเกณฑ์ให้นาง” พระชายาฉีพูด


 


 


หลิงหลงรับคำ จากนั้นก็เดินออกไปแล้วเรียกหลันฮวาเข้ามา


 


 


หลันฮวาเดินตามหลิงหลงเข้ามาในห้อง รู้สึกได้ว่าบรรยากาศข้างในห้องเวลานี้ไม่ถูกต้องนัก จึงรีบก้มหัวลงแล้วถามออกไปว่า “เหนียงเหนียง มีอะไรอยากจะสั่งบ่าวหรือเจ้าคะ”


 


 


สีหน้าของพระชายาฉีไม่ได้เปลี่ยนแปลง นางถามออกไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ข้าถามเจ้า ใครเป็นคนสั่งสอนกฎระเบียบของจวนให้เจ้า เรือนของข้าไม่ว่าใครก็สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ”


 


 


หลันฮวาได้ยินคำถามก็เงยหน้าขึ้นมองพระชายาด้วยความประหลาดใจ ฉับพลันคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงได้คุกเข่าลงกับพื้นดัง “ตึก” ร้องขอความเมตตาออกไปว่า “พระชายาโปรดไว้ชีวิตด้วย แต่ก่อนตอนที่พระชายารองมาก็ไม่เคยขานชื่อเลยสักครั้ง วันนี้พอบ่าวเห็นนางเข้ามาจึงปล่อยให้เข้ามาในเรือนโดยไม่ได้แจ้งให้พระชายาทราบ บ่าวผิดไปแล้ว ขอพระชายาโปรดยกโทษให้ด้วย”


 


 


พระชายารองรับหน้าที่ดูแลจวนมาหลายปี เรื่องน้อยใหญ่ทั้งหลายรวมถึงกิจการทั้งหมดล้วนเป็นนางที่ตัดสินทั้งนั้น ประกอบกับแต่ก่อนร่างกายของพระชายาฉีอ่อนแอมาก ทั้งยังไม่มีใจสนใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ คนในจวนจึงเดินไปตามที่พระชายารองว่าจนหมด นางอยากไปไหนก็ไปไหน กระทั่งเรือนของพระชายาฉีก็สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ซึ่งในอดีตพระชายาฉีเองก็ไม่เคยตำหนิว่ากล่าว ปล่อยให้นางเข้ามาตามที่นางต้องการ เวลาล่วงนานไป บ่าวรับใช้ในเรือนเลยคุ้นเคยชินไปแล้ว คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นทุกครั้งที่พระชายารองมาจึงไม่เคยเรียกขานชื่อเลย หลันฮวาซึ่งรับหน้าที่เฝ้าประตูในวันนี้จึงไม่ได้แจ้งให้พระชายาที่อยู่ในเรือนทราบ


 


 


พอได้ยินพระชายาตำหนินางเรื่องนี้อย่างกะทันหัน จู่ๆ หลันฮวาก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ จึงรีบร้อนขอความเมตตาออกไป


 


 


พระชายาฉีเพิกเฉยต่อใบหน้าที่น่าเกลียดของพระชายารองโดยสมบูรณ์ พูดออกไปว่า “ปกติข้าเป็นคนง่ายๆ ไม่ใช่คนที่ชอบใช้อารมณ์ในการตัดสิน เห็นว่าพวกเจ้ากว่าจะผ่านไปในแต่ละวันนั้นก็ไม่ง่ายเลย จึงไม่คิดตำหนิหรือต่อว่าให้ลำบากใจ คิดไม่ถึงกลับกลายเป็นว่าทำให้พวกเจ้าเหิมเกริมไม่รู้จักกฎเกณฑ์เสียอย่างนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะขอใช้ประโยชน์จากการที่น้องสาวอยู่ที่นี่แสดงให้พวกเจ้าได้เห็นว่ากฎก็คือกฎ ไม่อาจเพิกเฉยหรือมองข้ามได้ อีกหน่อยพวกเจ้าจะได้ระวังไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ซ้ำอีก”


 


 


หลันฮวาหวั่นวิตกจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว หัวใจเต้นแรงไปด้วยความไม่สบายใจ ร้องขอความเมตตาออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิต เหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิต”


 


 


พระชายาฉีราวกับไม่ได้ยินคำร้องขอของนางอย่างไรอย่างนั้น สั่งหลิงหลงออกไปว่า “หลิงหลง ไปเรียกพ่อบ้านมา”


 


 


หลิงหลงรับคำ จากนั้นก็เดินออกไปหาพ่อบ้าน


 


 


พ่อบ้านคือคนที่รับหน้าที่จัดการดูแลบ่าวรับใช้ในจวนทั้งหมด หากถูกเรียกตัวมา นั่นหมายความว่าสาวใช้จะต้องทำผิดร้ายแรง โทษหนักคือถูกขายออกนอกจวนไป หลันฮวาวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง โขกหัวกับพื้นซ้ำๆ แล้วร้องขอความเมตตาไม่หยุด


 


 


พระชายารองไม่อาจระงับสีหน้าของตัวเองได้อีกต่อไป นางเข้าไปขอร้องแทนหลันฮวาว่า “พี่สาว ไม่ใช่สาวใช้นางนี้ไม่ต้องการรายงาน แต่เป็นข้าที่หยุดนางไว้เอง”


 


 


พระชายาฉีดึงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมา อิริยาบถของนางไม่ได้เปลี่ยนไปเลย นางยิ้มแล้วมองไปทางพระชายารองพลางพูดว่า “เป็นสาวใช้ในเรือนข้าแต่กลับฟังคำสั่งของเจ้า ยิ่งสมควรลงโทษให้หนัก”


 


 


พระชายารองรู้สึกกระอักจนพูดไม่ออก ใจพลันบังเกิดความตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าวันนี้พระชายาฉีเป็นบ้าอะไรอยู่ๆ ถึงมาจับผิดสาวใช้นางหนึ่ง


 


 


พ่อบ้านเดินตามหลิงหลงมาด้วยความรีบร้อน ทันทีที่เข้ามาในห้องเขาก็โค้งคำนับพระชายาฉีและพระชายารอง จากนั้นสายตาก็เหลือบมองไปทางหลันฮวาที่กำลังโขกหัวไม่หยุดครั้งหนึ่ง ก่อนจะถามออกไปด้วยความเคารพว่า “เหนียงเหนียง มีอะไรให้รับใช้หรือขอรับ”


 


 


“พ่อบ้าน ข้าจำได้ว่าสาวใช้ในเรือนของข้าเป็นเจ้าที่อบรมและส่งมา แต่เหตุใดนางถึงไม่รู้กฎเกณฑ์เช่นนี้” พระชายาฉีถามออกไปอย่างใจเย็น


 


 


พ่อบ้านหลังจากที่ถูกเรียกตัวมาโดยหลิงหลงเขาก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น ยังไม่ทันได้สอบถามถึงต้นสายปลายเหตุดี พอยามนี้ถูกพระชายาฉีถามขึ้นมาจึงรีบพูดออกไปด้วยความเคารพว่า “บ่าวชราไม่เข้าใจ เหนียงเหนียงโปรดชี้แนะ”


 


 


“วันนี้ข้ากำลังคุยอยู่กับแขกคนสำคัญ จู่ๆ น้องสาวก็พรวดพราดเข้ามา สาวใช้ที่ยืนอยู่นอกห้องไม่มีใครแจ้งให้ข้าทราบสักนิด ทำเอาแขกของข้าตกใจกับการบุกเข้ามาของน้องสาวไม่น้อย ไหนเจ้าบอกเปิ่นกงข้ามาสิ เจ้าอบรมสั่งสอนสาวใช้พวกนี้อย่างไร”


 


 


เสียงของพระชายาฉีไม่เบาหรือว่าหนักจนเกินไปนัก แต่กลับสามารถสั่นคลอนหัวใจของพ่อบ้านได้อย่างรุนแรง เสียงเต้นตุบๆ ที่เหมือนกับเสียงกลองหนักๆ ดังต่อเนื่องไม่หยุด พ่อบ้านปาดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผาก โค้งตัวตอบกลับไปว่า “บ่าวชราอบรมสั่งสอนพวกบ่าวไพร่ได้ไม่ดี ขอพระชายาโปรดอภัยด้วย”


 


 


น้ำเสียงของพระชายาฉีไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้าอุทิศตัวทำเพื่อจวนอ๋องฉีแห่งนี้มามากมาย ครั้งนี้ข้าจะละเว้นเจ้าสักครั้ง”


 


 


พ่อบ้านรีบกล่าวขอบคุณออกไป “ขอบพระทัยเหนียงเหนียง”


 


 


“ทีนี้รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าสมควรจะทำอะไรต่อ”


 


 


พ่อบ้านตอบอย่างลนลาน “บ่าวชราผู้นี้ทราบแล้วขอรับ ลงโทษโบยยี่สิบไม้ จากนั้นขายนางออกนอกจวนขอรับ”


 


 


หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อบ้าน ดวงวิญญาณของหลันฮวาก็หลุดออกจากร่างไปโดยสมบูรณ์ เสียงร้องขอความเมตตาดังขึ้นกว่าเก่ามาก


 


 


ขณะที่พ่อบ้านกำลังเรียกคนให้เข้ามาลากตัวหลันฮวาออกไปนั้นเอง


 


 


เสียงของพระชายาฉีก็ดังขึ้นอีกครั้ง “พ่อบ้าน อย่างไรนางก็ตามรับใช้ข้ามาหลายปี โทษโบยลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียวก็พอแล้ว แล้วก็สั่งให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดในจวนไปดูการลงโทษครั้งนี้ด้วย”


 


 


“ขอรับ เหนียงเหนียง” พ่อบ้านรับคำ จากนั้นองครักษ์ประจำจวนสองนายก็ถูกเรียกเข้ามา หลันฮวาถูกปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมาอีก จากนั้นก็โดนลากตัวออกไป


 


 


ภายในห้องพริบตากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง


 


 


พระชายารองตอนนี้รู้สึกวางตัวไม่ถูกเป็นอย่างมาก จะยืนก็ไม่ดี จะนั่งก็ไม่ดี


 


 


พระชายาฉีเองก็รู้สึกเมื่อยขึ้นมาบ้างแล้ว จึงเปลี่ยนท่าเป็นพิงไปข้างหลัง ทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน นางถามออกไปว่า “น้องสาวรีบร้อนมาพบข้าเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด”


 


 


พระชายารองยังคงถูกอิทธิพลของเรื่องเมื่อสักครู่ทำให้ตกใจอยู่ จึงฝืนยิ้มขึ้นแล้วตอบกลับไปอย่างมีกฎเกณฑ์ว่า “ได้ยินมาว่าพี่สาวฟื้นแล้ว ข้ารู้สึกดีใจยิ่งนักจึงได้รีบร้อนเข้ามาหา ขอพี่สาวอย่าได้ตำหนิไป”


 


 


“หากเป็นในยามปกติ เจ้าเข้ามาเยี่ยมข้าเช่นนี้พี่สาวอย่างข้าคงรู้สึกดีใจมาก แต่วันนี้ข้ากำลังสนทนากับแขกคนสำคัญอยู่ จู่ๆ เจ้าก็พรวดพราดเข้ามา แบบนี้ออกจะไร้กฎเกณฑ์เกินไปหน่อยหรือไม่” น้ำเสียงของพระชายาฉียังคงฟังดูเป็นปกติทุกอย่าง


 


 


แต่หัวใจของพระชายารองกลับเต้น “ตึกๆ” ดังผิดจังหวะขึ้นมา จู่ๆ ลางสังหรณ์ไม่ดีก็ผุดขึ้นอย่างรุนแรง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ พระชายาฉีพูดต่อว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายไปถึงหูของผู้อื่น เกิดเป็นคำครหาที่ว่าคนในจวนอ๋องฉีไม่รู้จักกฎเกณฑ์ วันนี้คงต้องให้น้องสาวกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมลงไปสักหน่อยแล้ว”


 


 


พระชายารองเบิกตาโพลง จ้องพระชายาฉีกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ โดยไม่ทันให้นางหาปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเองเจอดีแล้วถามอีกฝ่ายไปว่าที่ต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมนั้นจะเกิดขึ้นตอนไหน พระชายาฉีก็ตะโกนออกไปว่า “หลิงหลง!”


 


 


“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ”


 


 


“พาตัวพระชายารองกลับไปที่เรือน ลงโทษคุกเข่าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป”


 


 


นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่หวงฝู่อี้เซวียนหายตัวไป สาวใช้ข้างกายของพระชายาฉีทั้งหมดก็ถูกอ๋องฉีสังหารจนหมดเกลี้ยง หลิงหลงคือสาวใช้ที่แม่ทัพฉู่ส่งมาปรนนิบัติอยู่ข้างกายพระชายาโดยเฉพาะ ติดตามอยู่ข้างกายพระชายาฉีมาโดยตลอดนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น ดังนั้นเรื่องทั้งหมดในจวนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรื่องที่พระชายาไม่เคยแข่งขันหรือแย่งชิงอำนาจความโปรดปรานเลย ปล่อยให้พระชายารองกดหัวตัวเองอยู่เสมอจึงเห็นอยู่ในสายตามาโดยตลอด ซ้ำยังรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนอีกฝ่ายไม่น้อย มาวันนี้เห็นว่าเจ้านายของตัวเองในที่สุดก็แสดงอำนาจในฐานะของพระชายาออกมาเสียที กดข่มความหยิ่งผยองพระชายารองลงไป มีหรือที่นางจะไม่ให้ความร่วมมือ หลิงหลงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพระชายารองด้วยหัวใจที่มีความสุขยิ่ง กล่าวกับอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “พระชายารอง เชิญเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายารองมาตอนนี้ถึงเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน พูดออกไปด้วยความตกใจว่า “พี่สาว ท่าน ท่าน…”


 


 


“มีอะไรหรือ หรือว่าข้าทำอะไรผิดไป” พระชายาฉีถามกลับ


 


 


นางคือพระชายาเอก ส่วนตัวเองเป็นเพียงแค่พระชายารอง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจอย่างไรนางก็ไม่อาจคัดค้านหรือโต้แย้งได้ทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องในครั้งนี้เป็นความผิดของนางจริงๆ พระชายารองจึงได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว


 


 


น้ำเสียงของพระชายาฉีหนักขึ้นไปอีกส่วน ตะโกนออกไปว่า “หลิงหลง!”


 


 


หลิงหลงเข้าใจเจตนาของเจ้านายตนอย่างชัดเจน พูดออกไปด้วยความสุภาพว่า “พระชายารอง ท่านอยากให้บ่าวเรียกคนมาช่วยเชิญท่านออกไปหรือเจ้าคะ”


 


 


“พวกเจ้ากล้าหรือ” ในที่สุดพระชายารองก็เค้นเสียงออกมาได้ ทำท่าทีหยิ่งยโส แล้วกล่าวอย่างถือดีว่า “เวลานี้ในจวนข้ามีสิทธิ์ชี้ขาดทุกอย่าง พวกเจ้ากล้าลงมือหรือ”


 


 


พระชายาฉีเหยียดยิ้ม กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “เช่นนั้นหรือ”


 


 


หลายปีที่ผ่านมาแม้พระชายารองจะวางอำนาจใหญ่โตภายในจวน ต่อหน้ามีท่าทีนอบน้อมต่อชายาอ๋องฉี ถึงแม้ลับหลังจะทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าไว้ไม่น้อย แต่ทว่าพระชายาฉีก็ไม่เคยว่าอะไรนาง จนทำให้นางยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น คิดว่าพระชายาฉีเป็นเพียงคนป่วยที่ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นตนจึงได้ดูแลภายในบ้านมาตั้งหลายปี มาตอนนี้ได้ยินว่าจะลงโทษให้นางต้องคุกเข่า ในใจก็รู้สึกไม่ยอม ท่าทีนอบน้อมที่เสแสร้งแสดงต่อหน้าก็ไม่อาจฝืนทำได้ต่อ เช่นนั้นก็แสดงโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาเลย จึงร้องเอะอะโวยวายต่อหน้าพระชายาฉี 

 

 


ตอนที่ 44-2 แสดงอำนาจ

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว 


 


 


พระชายาฉีสังเกตเห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขานั้นไม่พอใจ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าไปเอาน้ำมาให้แม่ทีเถิด” 


 


 


ในห้องมีสาวใช้ตั้งมากมาย แต่กลับต้องการให้เขาไปเอาน้ำ เห็นชัดว่าไม่ต้องการให้เขาเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากแล้วเดินไปโต๊ะข้างๆ เทน้ำใส่จอก แล้วเอามาวางไว้ตรงหน้าของพระชายาฉี 


 


 


พระชายาฉีรับมา แล้วดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็สั่งหลิงหลงว่า “ไปตามองครักษ์ประจำจวนเข้ามา” 


 


 


หลิงหลงขานรับคำสั่ง จากนั้นก็ร้องเรียกองครักษ์ประจำจวนเข้ามาหลายนาย 


 


 


พระชายาฉีออกคำสั่งกับพวกเขาอย่างนุ่มนวลว่า “พวกเจ้าทั้งหลาย คุมตัวพระชายารองเข้าไปในเรือน หากไม่คุกเข่าเป็นเวลาสองก้านธูปไหม้ห้ามให้ลุกขึ้น” 


 


 


“พวกเจ้ากล้า!” พระชายารองกรีดร้องขึ้นอีกครั้ง 


 


 


องครักษ์ประจำจวนต่างก็ยืนอึ้งอยู่ ไม่มีใครกล้าขยับ 


 


 


พระชายาฉีขมวดคิ้วน้อยๆ น้ำเสียงไม่เกรี้ยวกราดแต่ทว่าดุดัน “ทำไม ไม่เข้าใจคำสั่งของข้าหรือ” 


 


 


เหล่าบรรดาองครักษ์ประจำจวนมองพระชายาฉี แล้วก็หันไปมองพระชายารอง แต่ก็ไม่มีกล้าลงมือกระทำการอันใด 


 


 


แล้วน้ำเสียงอันเยือกเย็นของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นว่า “ดูท่าทางคงต้องถึงเวลาเปลี่ยนคนในจวนแล้ว แม้แต่คำสั่งของเจ้านายก็ยังไม่ยอมเชื่อฟัง” 


 


 


บรรดาองครักษ์ประจำจวนต่างก็หนาวสะท้านกับน้ำเสียงอันเยือกเย็นนี้ จึงตระหนักได้ทันทีว่าอ๋องฉีกับซื่อจื่อนั้นเป็นเจ้านายที่แท้จริง ไม่ว่าใครก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขา พอคิดได้ถึงตรงนี้องครักษ์ประจำจวนสองนายก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เดินขึ้นมาหมายจะลากตัวพระชายารองออกไป 


 


 


มีหรือที่พระชายารองจะยอม นางเดินถอยหลังไปสองก้าวแล้วกรีดร้องเสียงดังว่า “หากพวกเจ้ากล้าทำอะไรข้า ข้าจะไปบอกท่านอ๋อง ให้ตัดมือของพวกเจ้า” 


 


 


องครักษ์ประจำจวนลังเลครู่หนึ่ง 


 


 


พระชายาฉีกล่าวว่า “พวกเจ้ารีบทำตามคำสั่ง ทางด้านอ๋องฉีข้าจะรับผิดชอบเอง” 


 


 


พอเหล่าองครักษ์ประจำจวนได้รับการรับรองเช่นนี้แล้วก็ไม่ลังเลอีก เดินตรงเข้าไปหาพระชายารองที่กรีดร้องโวยวายอยู่ไม่หยุด จับนางกดลงบนพื้นอย่างแรง 


 


 


สาวใช้ข้างกายของพระชายารองก็ไม่กล้าขัดขวาง เดินตามออกจากห้องไป เห็นองครักษ์ประจำจวนพากันกดพระชายารองลงพื้นอย่างแรงเช่นนั้น พริบตาเดียวก็คิดที่จะวิ่งออกไปส่งข่าวที่เรือนอ๋องหลิง 


 


 


มีหรือที่หลิงหลงจะไม่รู้ถึงความคิดของนาง กล่าวยับยั้งนางว่า “การที่เจ้านายทำเรื่องไร้มารยาท เจ้าที่เป็นสาวใช้ข้างกายกลับไม่รู้จักตักเตือน ก็ลงโทษให้คุกเข่าด้วยกันเถอะ” 


 


 


สาวใช้ถูกรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมก็นั่งคุกเข่าลงข้างหลังพระชายารองอย่างจนใจ 


 


 


นับตั้งแต่พระชายารองเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องก็ได้รับการสรรเสริญเยินยอจากทุกคน ไหนเลยจะทนต่อการปฏิบัติเช่นนี้ได้ นางร้องโวยวายด่าทอสาปแช่งไม่หยุด  


 


 


เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็กดตัวนางเอาไว้ ไม่กล้าปล่อยมือ 


 


 


ทั้งสาวใช้กับคนรับใช้ในเรือนต่างก็มองทั้งหมดนี้อย่างอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าเหตุใดพระชายาที่จิตใจดีมีเมตตาถึงได้ทำเรื่องที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้นได้ 


 


 


หลังจากที่พ่อบ้านคุมการโบยหลานฮวาสิบไม้เสร็จเรียบร้อย ก็สั่งให้คนไปเรียกหยาผอ*มา พอทำการซื้อขายตัวหลานฮวาที่มีอาการหนักจวนสิ้นใจเสร็จแล้วก็กลับมารอรับคำสั่งอีก พอเห็นเหล่าองครักษ์ประจำจวนคุมตัวพระชายารองให้นางคุกเข่าลงที่พื้น ดวงตาเป็นประกาย เดินมาถึงหน้าประตูแล้วกล่าวกับคนที่อยู่ในเรือนอย่างนอบน้อมว่า “เหนียงเหนียงพ่ย่ะค่ะ หลานฮวาถูกขายตัวไปเรียบร้อยแล้ว ในจวนของท่านยังต้องการสาวใช้เพิ่มอีกไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เสียงของพระชายาฉีดังออกมาจากในห้องว่า “ไม่ต้องแล้ว เจ้าสั่งการลงไป ตั้งแต่วันนี้หากมีคนที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ของจวนก็ให้ใช้ไม้โบยให้ตาย” 


 


 


หน้าผากของพ่อบ้านอยู่ๆ ก็มีเหงื่อไหลออกมาอีก ตอบรับด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาว่า “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวชราจะสั่งการลงไปประเดี๋ยวนี้” 


 


 


ในห้อง พระชายาฉีตบหลังมือของเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้าดูแลบ้านไม่เข้มงวดพอ ต้องอับอายเจ้าแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มให้น้อยๆ กล่าวว่า “วันนี้เหนียงเหนียงทรงทำดีมากแล้วเพคะ” 


 


 


พระชายาฉียิ้มตามพร้อมกับกล่าวว่า “ในปีนั้นที่ตามหาเซวียนเอ๋อร์ไม่พบ ข้าก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะดูแลบ้าน ต่อมาพอเซวียนเอ๋อร์กลับมาแล้วก็มีความเหินห่างต่อข้า ในแต่ละวันข้าก็เอาแต่คิดว่าต้องทำอย่างไรถึงทำให้เขาใกล้ชิดกับข้าบ้าง ก็เลยมิได้ใส่ใจเรื่องไม่สำคัญเหล่านี้ พอมาถึงวันนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์มีใจต่อกัน ข้าจึงต้องจัดการปัญหาภายในจวนนี้ไว้ให้พวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย 


 


 


พระชายาฉีรู้ว่านางเป็นสตรีในห้องหอ หน้าบางขี้อาย จึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา กล่าวว่า “หลังจากที่เซวียนเอ๋อร์กลับมา ข้าก็เห็นว่าท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าสั่งสอนเลี้ยงดูเขาอย่างดีเช่นนี้ ก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง มีหลายครั้งที่คิดจะไปกล่าวคำขอบคุณถึงที่บ้าน แต่ก็จนใจเพราะสุขภาพร่างกายของข้าไม่ได้ดั่งใจเลย ถึงแม้ไม่มีอาการป่วยรุมเร้าตลอดทั้งปีเช่นเดิมแล้ว แต่ก็ออกจากประตูจวนไม่ไหว เรื่องนี้จึงต้องปล่อยให้ล่าช้าต่อไป แต่ว่าในใจของข้าก็คิดถึงแต่เรื่องนี้ตลอดเวลา เจ้าดูว่าหากยามใดพอจะมีเวลาก็ไปรับท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ามาอยู่ที่เมืองหลวงสักพัก ให้ข้าได้ขอบคุณพวกเขาต่อหน้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าเติบโตที่ชนบท จึงคุ้นเคยกับชีวิตที่นึกอยากทำอะไรก็ทำแล้วเพคะ หากให้พวกท่านมาพักอยู่ที่เมืองหลวงสักระยะ เกรงว่าจะต้องบอกจนเปลืองน้ำลายไปไม่น้อย อีกอย่างหม่อมฉันเพิ่งจะมาอยู่ที่เมืองหลวง ยังไม่มั่นคงพอ รอให้หม่อมฉันเตรียมการอะไรเรียบร้อยแล้วจะไปรับท่านพ่อท่านแม่มาด้วยตัวเองเพคะ” 


 


 


พระชายาฉีตบหลังมือของนางเบาๆ กล่าวว่า “จักต้องเตรียมการสิ่งใดอีก จวนอ๋องก็คือบ้านของพวกเขา เซวียนเอ๋อร์ก็คือลูกของพวกเขา ให้พวกเขามาได้เลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังดังนั้นก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าหากหม่อมฉันกลับบ้านไปพูดเช่นนี้ ท่านพ่อคงจะตกใจจนแทบสิ้นสติเป็นแน่ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มาเมืองหลวงอีกแล้ว” 


 


 


พระชายาฉีอึ้ง แล้วก็พอจะเข้าใจความหมายของนาง จึงยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “บอกท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าว่าไม่จำเป็นต้องเห็นพวกเราเป็นท่านอ๋องกับพระชายาอ๋องที่อยู่สูงส่งหรอก มองเป็นท่านพ่อกับท่านแม่ของอี้เซวียนก็พอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้คงทำให้พวกเขาต้องลำบากใจแล้ว ท่านทราบไหมเพคะ ก่อนที่ท่านอ๋องยังไม่ได้ไปรับตัวอวี้เซวียน คนของทางการที่ท่านพ่อท่านแม่ของหม่อมฉันเคยพบที่มีตำแหน่งสูงที่สุดก็คือผู้นำหมู่บ้าน ขนาดผู้นำของเมืองก็ยังไม่เคยได้พบ” 


 


 


พระชายาฉีทำตาโต แสดงท่าทางราวกับไม่อยากเชื่อ สักพักจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ที่แท้การใช้ชีวิตในชนบทนั้นเรียบง่ายเช่นนี้ รอไว้มีเวลาว่างข้าก็อยากไปพักอยู่ที่ชนบทสักพักเช่นกัน”  


 


 


“ถ้าเช่นนั้นก็ดีสิเพคะ ชีวิตให้ชนบทแสนสุขสบาย ทำสิ่งใดได้ตามใจปรารถนา อีกทั้งยังดีต่ออาการป่วยของท่านอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว 


 


 


พระชายาฉียิ่งหวังว่าจะเป็นไปได้มากขึ้น กล่าวว่า “ถ้าเช่นนี้ก็ตกลงตามนี้ รอให้ข้าแข็งแรงดีก่อนก็จะตามไปเยี่ยมเยือนพวกเจ้าที่ชนบท” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มรีบ 


 


 


พระชายาฉีมองนางอย่างคาดหวัง ถามว่า “เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าพวกเข้าอยู่กันอย่างไรตอนที่อยู่ชนบท” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจดีว่านางต้องการทราบชีวิตความเป็นอยู่ของอี้เซวียนก่อนหน้านี้ เหลือบมองอี้เซวียนแวบหนึ่ง พอเห็นเข้าไม่ได้โต้แย้งก็เล่าเรื่องราวในอดีตให้นางฟังอย่างละเอียด 


 


 


ภายในห้องมีเสียงพระชายาร้องอย่างตกใจและหัวเราะอย่างเบิกบานใจดังขึ้นไม่หยุด กลบเสียงกรีดร้องโวยวายของพระชายารองที่ดังอยู่นอกเรือนได้จนมิด 


 


 


คนรับใช้ทุกคนที่อยู่ภายในเรือนเมื่อเห็นพระชายารองถูกจับกดให้คุกเข่าก็ไม่กล้าขยับทำการสิ่งใด เกิดความหวาดผวาขึ้นในใจ จากนั้นรีบดึงสติคืนมาแล้วรีบลงไม้ลงมือทำงานของตัวเอง ด้วยเกรงว่าจะถูกพระชายากล่าวโทษที่เกียจคร้าน แล้วจะมีจุดจบเช่นเดียวกันกับหลานฮวา 


 


 


ชุ่ยเซียงสาวใช้ข้างกายอีกคนที่ไปสั่งการให้คนปรุงข้าวต้ม พอถือกลับมาเห็นพระชายารองถูกกดให้คุกเข่าลงกับพื้นก็ยืนอึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็รีบถือข้าวต้มเดินเข้ามาในห้องอย่างยินดี แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เหนียงเหนียงเพคะ ข้าวต้มทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว”  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหยุดเรื่องที่คุยค้างอยู่ กล่าวว่า “พระชายาเสวยข้าวต้มก่อนเถิดเพคะ หากท่านอยากฟังเรื่องราวในชนบทอีก หากยามใดที่เรามีเวลาหม่อมฉันจะมาเล่าให้ท่านฟังอีกเพคะ” 


 


 


พระชายาฉีไม่ได้กินอะไรมานานหลายวัน วันนี้ยังอาเจียนออกมาอีก ก็รู้สึกหัวขึ้นมาจริงๆ จึงพยักหน้าแล้วนั่งตัวตรง สั่งให้ชุ่ยเซียงเอาข้าวต้มมาข้างหน้า ไม่ยอมให้นางคอยตักป้อน แล้วตักขึ้นมากินเอง  


 


 


หลังจากกินเสร็จแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่อิ่มจึงสั่งชุ่ยเซียงว่า “เอามาให้ข้าอีกชามหนึ่ง”  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนางเอาไว้ “ท่านไม่ได้เสวยอะไรมาหลายวันแล้ว หากเสวยมากเกินไปในครั้งเดียวจะไม่เป็นผลดีนะเพคะ หากท่านยังอยากเสวยอีกก็รออีกสักหนึ่งชั่วยามก่อนเถิด แล้วค่อยให้สาวใช้ตักมาให้ใหม่” 


 


 


พระชายาฉีพอได้ยินดังนั้นก็วางชามที่อยู่ในมือ 


 


 


ชุ่ยเซียงรีบสั่งให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ไปอุ่นข้าวต้มเอาไว้อีก 


 


 


หลังจากที่กินข้าวต้มเสร็จ พระชายาฉีก็มีง่วงซึม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางรู้สึกง่วงก็ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “พระชายาท่านพักผ่อนสักครู่เถิดเพคะ พอได้หลับแล้วตื่นขึ้นมาจะรู้สึกดีขึ้น” 


 


 


พระชายาฉีก็รู้ตัวว่าตัวเองฝืนต่อไม่ไหวแล้ว พยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ โดยมาสาวใช้มาดูแลพาขึ้นไปนอนบนเตียง กล่าวกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าดูแลแม่นางเมิ่งดีๆ รอแม่ตื่นแล้วค่อยพูดคุยกับนางอีก” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า 


 


 


ไม่นานพระชายาฉีก็หลับไป 


 


 


พอเห็นพระชายาฉีหลับไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็โบกมือ สาวใช้ที่อยู่ในห้องก็ค่อยๆ ถอยออกไปเสรยงเบา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปพร้อมกับเขา 


 


 


พระชายารองคุกเข่าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปไหม้แล้ว ร้องตะโกนจนคอแห้งพระชายาอ๋องฉีก็ไม่ยอมให้คนปล่อยนางไป ในใจยิ่งบังเกิดความไม่พอใจ พอเห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาก็มองออกไปด้วยสายตาเกลียดแค้นชิงชัง แล้วกล่าวยั่วยุด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “พวกเจ้าสองคนแม่ลูกจะรังแกกันเกินไปแล้ว คอยดูเมื่อท่านอ๋องทราบเรื่องนี้แล้วจะลงโทษพวกเจ้าอย่างไร” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองนางอยู่ในสภาพจนตรอก แล้วกล่าวขึ้นอย่างเ**้ยมเกรียมว่า “พระชายารองส่งเสียงรบกวนการพักผ่อนของท่านแม่ ลงโทษให้คุกเข่าเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม” 


 


 


—————————- 


 


 


* หยาผอ(牙婆)คือหญิงอาชีพค้ามนุษย์ จัดหามนุษย์ไม่ว่าหญิงหรือชายมาฝึกอบรมให้เหมาะแก่ลูกค้าที่ต้องการแรงงานทาส หรือใช้เป็นเมียน้อย ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ต้องการหญิงไปเป็นเมียน้อย  

 

 


ตอนที่ 45-1 ยึดอำนาจคืน

 

องครักษ์ประจำจวนขานรับคำสั่ง พระชายารองต่อสู้ขัดขืนอย่างไม่พอใจ หมายจะกรีดร้องตะโกนขึ้น แต่ก็ถูกหลิงหลงที่มือไวตาไวเดินเข้ามาใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนอุดปากของนางไว้ 


 


 


มีหรือที่พระชายารองจะยอมง่ายๆ พยายามร้องเสียงอู้อี้ออกมาอย่างสุดชีวิต เหล่าองครักษ์ประจำจวนจึงต้องกดนางเอาไว้อย่างแรง 


 


 


น้ำเสียงอันเย็นเยือกของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ท่านแม่เพิ่งจะหลับไป หากมีใครกล้ารบกวนนางก็ให้ลงโทษโบยยี่สิบไม้” 


 


 


พระชายารองถูกอุดปากเอาไว้แล้ว ก็ส่งเสียงออกมาไม่ได้อยู่แล้ว คำพูดนี้จึงเป็นการบอกกับเหล่าองครักษ์ประจำจวนนั่นเอง 


 


 


องครักษ์ประจำจวนหนาวสะท้าน ขานรับคำสั่งกันอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


เหล่าองครักษ์ประจำจวนตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองส่งเสียงดังเกินไป ต่างก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเพียงแต่กวาดตามองพวกเขาเท่านั้น ไม่ได้กล่าวโทษสิ่งใด 


 


 


เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็โล่งอก ยิ่งใช้แรงในการกดพระชายารองมากขึ้นไปอีก 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งหลิงหลงว่า “ข้ากับแม่นางเมิ่งจะกลับเรือนข้าก่อน รอให้ท่านแม่ตื่นแล้วค่อยส่งคนไปรายงานข้า” 


 


 


หลิงหลงขานรับด้วยความนอบน้อมเสียงแผ่วเบา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปอย่างไม่เขินอาย เหลือไว้เพียงแต่สาวใช้กับคนรับใช้ที่มองหน้ากันอย่างเขินอาย 


 


 


หวงฝู่อี้กับกัวเฟยมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วก็เดินตามหลังพวกเขาไปห่างๆ อย่างเข้าใจอะไรดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปล่อยให้เขาจูงมือของนางได้ตามสบาย เดินกลับเข้าไปในห้องของเขา 


 


 


สั่งให้หวงฝู่อี้ไปเอาน้ำชาเข้ามา แล้วทั้งสองคนก็นั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขามีอารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป จึงถามขึ้นว่า “หลายวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะอารมณ์ดีมาก” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ปิดบัง เล่าเรื่องตั้งแต่วันที่พระชายาฉีพาเขาเข้าวังไปยับยั้งพระราชเสาวนีย์อย่างรีบร้อน รวมถึงบอกทุกเรื่องที่นางคุยกันกับเขา 


 


 


พอเมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบก็กล่าวอย่างยินดีว่า “พวกเจ้าสองคนแม่ลูกคลายปมในใจได้แล้ว ก็ถือว่าเจ้ามีความโชคดีในความโชคร้ายอยู่บ้าง” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียง “อืม” เบาๆ ในลำคอ “นี่มิใช่สิ่งที่ทำให้ข้าดีใจที่สุด สิ่งที่ข้าดีใจที่สุดก็คือท่านแม่ของข้ายอมรับเจ้าได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเข้าถึงสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ดี จ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับส่งยิ้มสดใสให้นาง 


 


 


เรื่องที่พระชายารองถูกลงโทษให้คุกเข่าได้แพร่ข่าวไปถึงในจวนด้านใน สาวใช้ที่อยู่ในเรือนพระชายารองก็ได้ยินกันแล้วก็พากันวิ่งมาแอบดูที่เรือนพระชายาฉี เห็นพระชายารองเป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริง ถูกองครักษ์ประจำจวนกดให้คุกเข่าลง ก็เกิดอาการหวาดผวา ต่างก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องของคนรับใช้กันอย่างลนลาน แล้วก็รายงานเรื่องนี้ต่อแม่นมที่ติดตามพระชายารอง 


 


 


พอแม่นมที่ติดตามได้ฟังที่สาวใช้รายงานก็ร้องขึ้นเสียงหลง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “เร็ว รีบไปเชิญท่านอ๋องมาช่วยเหนียงเหนียง” 


 


 


สาวใช้พอได้รับคำสั่งก็รีบวิ่งไปยังเรือนของอ๋องหลิงทันที 


 


 


อ๋องหลิงที่เหน็ดเหนื่อยต่อเนื่องกันหลายวัน เพิ่งจะเอนกายลงพักผ่อนได้ไม่นาน มีหรือที่องครักษ์จะกล้าให้สาวใช้เข้าไป แล้วก็ขวางนางให้อยู่นอกเรือน กล่าวว่า “ท่านอ๋องเพิ่งจะพักผ่อน หากรับกวนท่านพวกเราคงต้องถูกลงโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจ้ารอให้ท่านอ๋องตื่นก่อนเถอะ” 


 


 


สาวใช้กระวนกระวายใจ ส่งเสียงแหลมสูงว่า “พระชายารองถูกพระชายาอลงโทษให้คุกเข่านานแล้ว ถ้าหากต้องรอให้ท่านอ๋องตื่น พระชายารองเหนี่ยงเหนียงคงทนไม่ไหว” 


 


 


องครักษ์พอได้ยินนางพูดเสียงแหลมก็เกรงว่าจะไปปลุกให้อ๋องฉีตื่นแล้วมาลงโทษตน จึงรีบลากนางออกไปอีกด้านทันที ทว่าอ๋องฉีถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ส่งเสียงฉุนเฉียวดังออกมาจากในห้องว่า “ผู้ใดกันที่ส่งเสียงดังรบกวนอยู่ด้านนอก อยากตายหรืออย่างไร” 


 


 


องครักษ์ต่างก็ตกใจแทบแย่ กำลังจะกล่าวตอบออกไป แต่สาวใช้ของพระชายารองก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงแหลมสูงว่า “พระชายารองเกิดเรื่องแล้วเพคะ เชิญท่านอ๋องไปช่วยเหนียงเหนียงด้วยเถิด” 


 


 


เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องชั่วอึดใจหนึ่ง ผ่านไปสักพักอ๋องฉีก็ส่งเสียงออกมาว่า “เข้ามาคุยในนี้” 


 


 


สาวใช้ขานรับ บรรดาองครักษ์ก็ปล่อยนางไป สาวใช้รีบก้าวเท้าเข้าไปข้างในทันที 


 


 


อ๋องฉีลุกขึ้นมา นั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทีเคร่งขรึม 


 


 


พอสาวใช้เข้าประตูไปก็คุกเข่าลง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “พระชายารองถูกพระชายาลงโทษให้คุกเข่าเพคะ เชิญท่านอ๋องไปดูสักหน่อยเถิด” 


 


 


อ๋องฉีอึ้ง ถามขึ้นอย่างตกใจว่า “เจ้าลองว่ามาอีกครั้งสิ” 


 


 


สาวใช้พูดซ้ำขึ้นอีกครั้ง 


 


 


อ๋องฉีจึงแน่ใจแล้วว่าตัวเองฟังไม่ผิด แสดงท่าทางราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ ถามว่า “สาเหตุจากเรื่องอันใดหรือ” 


 


 


สาวใช้สั่นศีรษะ “บ่าวไม่ทราบเพคะ พระชายารองได้ยินว่าพระชายาฟื้นแล้วก็รู้สึกดีใจไม่น้อย ตั้งใจเข้าไปเยี่ยม ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าพระชายารองถูกพระชายาลงโทษในเรือน บ่าวไม่เชื่อจึงแอบเข้าไปดู เห็นองครักษ์ประจำจวนต่างก็กดเหนียงเหนียงไว้อย่างแรง บ่าวร้อนรนจึงรีบวิ่งมาขอร้องท่านอ๋องเพคะ” 


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้วมุ่น หรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


สาวใช้พอเห็นว่าเขาไม่ทำอะไรก็รู้สึกร้อนใจยิ่งนัก กล่าวขอร้องอ้อนวอนว่า “ท่าอ๋องเพคะ ท่านไปช่วยพระชายารองเถิด ได้ยินอีกว่าซื่อจื่อจะลงโทษให้นางต้องคุกเข่าอีกหนึ่งชั่วยาม ร่างกายของเหนียงเหนียงสูงศักดิ์ จะทนไหวได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้วมองหน้านาง 


 


 


สาวใช้รู้สึกว่าร่างทั้งร่างเย็นยะเยือกขึ้นทันที ตกใจจนต้องรีบหุบปากลง ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก 


 


 


ผ่านไปสักพักอ๋องฉีก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มาผลัดอาภรณ์ให้ข้า” 


 


 


สาวใช้ที่ดูแลอยู่ในห้องขานรับ แล้วก็เดินมาสวมใส่อาภรณ์ให้กับอ๋องฉี 


 


 


อ๋องฉีเดินก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก 


 


 


สาวใช้กัดริมฝีปากแล้วลุกขึ้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป 


 


 


พอเข้าไปในเรือนของพระชายาก็เห็นพระชายารองถูกกดไว้กับพื้น ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่ตัวเองรักทะนุถนอมมานานหลายปี ในใจก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นทันที ร้องขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “บ่าวไพร่ช่างบังอาจยิ่งนัก ยังไม่ปล่อยอีกหรือ” 


 


 


องครักษ์ประจำจวนต่างก็ตกใจจนปล่อยมือทันที แล้วก็คุกเข่าลงบนพื้นกันอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


คนที่ดูแลภายในจวนต่างก็ตกใจจากความเกรี้ยวกราดของเขา ทุกคนต่างก็คุกเข่าลงกับพื้น แม้แต่จะหายใจเสียงดังยังไม่กล้า 


 


 


พอพระชายารองได้รับอิสระก็ดึงผ้าเช็ดหน้าที่อุดปากออก พริบตาเดียวก็โผมาอยู่ตรงหน้าอ๋องฉี ฟ้องด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอ๋องเพคะ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมต่อหม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันมาเยี่ยมท่านพี่ด้วยความจริงใจแท้ๆ แต่ท่านพี่กลับไม่แยกแยะให้หม่อมฉันต้องคุกเข่าอยู่ในเรือน” 


 


 


หลายปีที่พระชายารองดูแลบ้านก็ปฏิบัติต่อพระชายาอย่างดีมาโดยตลอด ควรจะมีมารยาทก็มีไม่น้อย อ๋องหลิงเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาหมดแล้ว แต่พระชายาก็มิใช่คนที่ชอบหาเรื่องวุ่นวาย หลายปีมานี้ก็ไม่แย่งชิงสิ่งใดเลย ใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย เป็นไปไม่ได้ที่จะลงโษเพียงเพราะว่าพระชายารองมาเยี่ยมนาง อ๋องฉีตัดสินใจอย่างยากลำบาก ทั้งยังรู้สึกรำคาญใจจากการร้องไห้กระซิกกระซิกจากพระชายารองอีก จึงตำหนินางว่า “ลุกขึ้นมาพูดกัน ร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน” 


 


 


พระชายารองหยุดร้องไห้กระซิก คิดจะลุกขึ้นยืน แต่ทว่าคุกเข่านานมากเกินไปจนทำให้ขาเกิดเหน็บชาขึ้น พยายามจะลุกขึ้นอยู่หลายครั้งก็ลุกไม่ขึ้น สาวใช้จึงรีบเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้น 


 


 


พระชายารองยังยกผ้าเช็กหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาตัวเองร้องไห้ไม่ยอมหยุด 


 


 


พระชายาฉีถูกทำให้ตื่นขึ้น ร้องเสียงดังถามคนที่อยู่ข้างนอกว่า “หลิงหลง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” 


 


 


โดยไม่รอให้หลิงหลงตอบ อ๋องฉีก็เดินก้าวอาดๆ เข้าไปในห้อง พระชายารองใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินตามเข้าไป  


 


 


ชายาอ๋องฉียังงัวเงียไม่หายจากอาการง่วง คิดว่าหลิงหลงเดินเข้ามา ก็หลับตาแล้วถามด้วยความง่วงงุนว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดถึงได้เสียงดังเอะอะเช่นนี้”  


 


 


อ๋องฉีหน้าทมึงถึงไม่ได้กล่าวอะไร 


 


 


พระชายาฉีรู้สึกไม่ค่อยดีจึงลืมตาขึ้นอย่างสงสัย เห็นอ๋องฉีเดินเข้ามาถึงข้างเตียงด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีนักก็เกิดความสงสัยขึ้น พอหันไปมองพระชายารองที่เช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจขึ้นทันที 


 


 


อ๋องฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ถามขึ้นอย่างผู้ที่อยู่สูงกว่าว่า “พระชายาบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 


 


 


พระชายาฉีกะพริบตา แล้วส่งเสียงสั่งคนที่อยู่ด้านนอกว่า “หลิงหลง เข้ามาช่วยข้าสวมเสื้อผ้า” 


 


 


หลิงหลงขานรับ แล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้ามา พอเห็นอ๋องหลิงยืนอยู่ข้างเตียงก็ไม่กล้าเข้าไป  

 

 


ตอนที่ 45-2 ยึดอำนาจคืน

 

พระชายาฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋องถอยออกไปก่อนได้ไหมเพคะ ให้สาวใช้ใส่เสื้อคลุมให้หม่อมมฉันก่อนท่านค่อยถาม” 


 


 


อ๋องฉีหน้าแดงเล็กน้อย แล้วก็ถอยไปอีกด้าน 


 


 


หลิงหลงรีบเดินเข้ามา พยุงพระชายาอย่างระมัดระวัง สวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย จัดที่พิงให้นางนั่งพิงอยู่บนเตียง 


 


 


อ๋องฉีนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว พระชายารองยังยืนอยู่ข้างๆ เช่นเดิม 


 


 


พระชายาฉีส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกให้หลิงหลงออกไปเฝ้าหน้าประตู แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋องจะเกรี้ยวกราดเช่นนี้ไปไยเพคะ หม่อมฉันทำสิ่งใดผิดไปหรือเพคะ” 


 


 


อ๋องฉีถามขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิมว่า “ไม่ทราบว่าเหลียนอีทำสิ่งใดผิดไปหรือ เจ้าถึงได้ให้องครักษ์ประจำจวนลงโทษกดให้นางคุกเข่าอยู่เช่นนั้น” 


 


 


พระชายาฉียิ้มบางๆ ถามพระชายารองขึ้นว่า “น้องสาว เจ้าจะบอกเองหรือให้ข้าเป็นคนบอกท่านอ๋องหรือ” 


 


 


พระชายารองกะพริบตาเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวกับอ๋องฉีอย่างตรงไปตรงมาว่า “หม่อมฉันได้ยินข่าวว่าพี่สาวอาการดีขึ้นแล้ว ก็รู้สึกดีใจ จึงเข้ามาถามข่าวคราวกับนาง ทว่าใจร้อนไปบ้าง ไม่รอให้สาวใช้ได้รายงานก็เดินเข้าห้องเลย ท่านพี่เห็นว่าหม่อมฉันไม่รู้จักกฎเกณฑ์ จึงลงโทษให้หม่อมฉันไปคุกเข่าที่กลางเรือนเพคะ” 


 


 


พระชายาฉีหันหน้ามาถามอ๋องฉีด้วยใบหน้ายิ้มละไมว่า “ท่านอ๋องได้ยินชัดแล้วใช่ไหมเพคะ” 


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วแก้ต่างแทนพระชายารองว่า “หลายวันมานี้เหลียนอีคอยแต่วุ่นวายจะดูแลเจ้า จนลืมกฎไป ก็เป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยได้” 


 


 


ชายาอ๋องฉียังยิ้มละไม ถามขึ้นว่า “ท่านอ๋องกำหนดกฎขึ้นมาเช่นนี้หรือเพคะ ไม่ว่าน้องสาวจะเข้ามาในเรือนของหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดก็ตาม ไม่จำเป็นต้องรายงาน สามารถเข้ามาได้เลยเช่นนั้นหรือเพคะ” 


 


 


อ๋องฉีเติบโตขึ้นมาจากในวัง กฎเกณฑ์การสั่งสอนนั้นเข้มงวด ไม่ยอมให้มีการผิดกฎเลยแม้แต่น้อย แล้วยิ่งพระชายารองเข้าไปในจวนของพระชายาโดยไม่รายงานยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่อนุญาตอย่างเด็ดขาด เช่นนี้จึงถูกถามจนอึ้ง นานหลายอึดใจจึงกล่าวด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อยว่า “ปกติมิใช่เช่นนี้หรือ ทำไมวันนี้เจ้าถึงใส่ใจเล่า”  


 


 


“ท่านอ๋องกล่าวได้ดี” พระชายาฉีกล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ในจวนมีเพียงหม่อมฉันกับน้องสาวเพียงสองคนที่ดูแลท่านอ๋องอยู่ และหม่อมฉันก็ร่างกายอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะ น้องสาวจึงต้องลำบากไปบ้าง ดังนั้นเรื่องที่น้องสาวทำเรื่องไม่สมควรหม่อมฉันจึงไม่ได้ใส่ใจนัก แต่วันนี้หม่อมฉันกำลังสนทนาอยู่กับแม่นางเมิ่งอยู่ ที่น้องสาวเข้ามาโดยไม่รายงานก็ไม่ว่าสิ่งใดหรอกเพคะ แต่เข้ามาแล้วยังพูดจาไม่ดี บอกว่าแม่นางเมิ่งเป็นเพียงเด็กสาวบ้านป่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางเป็นนางในดวงใจของเซวียนเอ๋อร์ แค่เรื่องที่นางช่วยชีวิตของหม่อมฉันในวันนี้ก็ไม่อาจปล่อยน้องสาวไปได้ แต่เห็นแก่ที่น้องสาวลำบากในยามปกติหม่อมฉันก็มิได้ว่าสิ่งใดนาง เพียงแต่ให้นางออกไปคุกเข่าที่กลางเรือนเพียงเท่านั้น หรือว่าท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันทำไม่ถูกต้องหรือเพคะ” 


 


 


พระชายาฉีพูดอย่างไม่รีบร้อน ไม่อ่อนไม่แข็ง มีเหตุมีผลทุกคำ ไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย ท่านอ๋องถูกพูดเช่นนี้จนพูดไม่ออก 


 


 


พระชายารองในยามปกติก็เป็นคนที่รู้จักว่าสิ่งใดควรมิควร รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทาง รู้จักเก็บกิริยาวาจา ไม่รู้ว่าวันนี้ถูกพระชายาอ๋องลงโทษจนตื่นตระหนกไปแล้วหรืออย่างไร ยังรู้สึกว่าตัวเองที่เป็นคนดูแลทุกอย่างในบ้านไม่ควรต้องน้อยหน้าแก่พระชายา หลังจากที่ฟังพระชายาพูดจบก็กล่าวด้วยถ้อยคำบาดลึกว่า “ที่หม่อมฉันบอกว่าเป็นเด็กสาวบ้านป่านั้นผิดหรือ นางอายุเพียงเท่านั้นก็สามารถดึงดูดใจซื่อจื่อได้แล้ว ทำให้ซื่อจื่อคิดถึงนางลืมนางไม่ลง อีกทั้งยังจัดการจนอวี้เอ๋อร์ต้องมีสภาพเช่นนั้น ที่หม่อมฉันบอกว่านางเป็นเด็กสาวบ้านป่านั้นยังถือว่าเกรงใจไปแล้ว หากท่านพี่ไม่อยู่หม่อมฉันคงจะลากนางออกไปโบยแล้ว” 


 


 


“เหลียนอี หยุดพูดจาเหลวไหล” อ๋องฉีตำหนินาง 


 


 


พระพระชายารองขอบตาแดงก่ำ แล้วคุกเข่าลงพื้นเสียงดังตึง แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา “ท่าอ๋องเพคะ หม่อมฉันรับใช้ท่านมาหลายปี พยายามดูแลจวนอ๋องอย่างสุดความสามารถ หรือว่ายังไม่มีความสำคัญมากไปกว่าเด็กสาวบ้านป่าคนนั้นหรือ” 


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้ว ตำหนินางขึ้นอีกครั้งว่า “พูดจาเหลวไหลอะไร นางจะเทียบกับเจ้าได้อย่างไร” 


 


 


“ท่านอ๋องกล่าวไม่ผิด แม่นางเมิ่งเป็นแม่นางในดวงใจของเซวียนเอ๋อร์ ต่อไปต้องเป็นชายาของเซวียนเอ๋อร์ น้องสาวจะเทียบกับนางได้อย่างไร” พระชายาฉีจงใจอธิบายคำพูดของทอ๋องหลิง กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว  


 


 


ในปีนั้นพระชายารองกับอ๋องฉีมีใจรักใคร่กัน เดิมทีคิดว่าจะหญิงเพียงคนเดียวของอ๋องฉี แต่ทว่าไทเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงมา นางจึงลดตัวลงเป็นพระชายารองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะอยู่ในจวนอย่างมีอิสระ แต่ไม่อาจเป็นชายาเอกได้ก็ยังเป็นความเจ็บปวดในใจของนางอยู่ ตอนนี้พอได้ฟังพระชายาฉีกล่าวลบหลู่นางเช่นนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ ยิ่งร้องไห้เสียงดังขึ้น “ท่านอ๋องเพคะ ท่านดูสิว่าพี่สาวพูดจาอย่างไร ในสายตาของนางหม่อมฉันเทียบไม่ได้เลยกับเด็กสาวบ้านป่าคนนั้น” 


 


 


หลายปีมานี้อ๋องฉีก็รู้สึกผิดต่อพระชายารองไม่น้อย พอได้ฟังพระชายาฉีกล่าวเช่นนั้นก็โมโห ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนักว่า “ซู่อิง เจ้าว่าเหลียนอีเช่นนี้ได้อย่างไร หลายปีมานี้เจ้าร่างกายอ่อนแอ โชคดีที่มีเหลียนอีคอยดูแลจวนอ๋องอย่างดี จึงทำให้ข้าไม่เป็นกังวลเบื้องหลังไปทำงานในราชสำนักอย่างสบายใจ” 


 


 


รอยยิ้มของพระชายาฉีเลือนหายไป กล่าวว่า “ท่านอ๋องเห็นว่าหม่อมฉันไม่ดูแลจวนอ๋องอย่างดีหรือเพคะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอำนาจการดูแลบ้านที่น้องสาวดูแลอยู่ก็มอบมาให้หม่อมฉันดูแลเถิด หม่อมฉันจะช่วยท่านอ๋องจัดการเรื่องราวภายในอย่างดีที่สุดด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายนี้” 


 


 


พอนางพูดจบพระชายารองก็ตกใจจนลืมร้องไห้ จ้องมองนางอย่างไม่เชื่อสายตาจนตาแทบถลนออกมานอกเบ้า 


 


 


อ๋องฉีก็นึกไม่ถึงว่านางจะพูดเรื่องการดูแลบ้านออกมาได้ ตกตะลึงไปชั่วขณะ 


 


 


“ทำไมหรือ หม่อมฉันพูดไม่ถูกหรือเพคะ” พระชายาฉีขมวดคิ้วมุ่น ทำเป็นถามขึ้นอย่างสงสัย 


 


 


อ๋องฉีได้สติคืนมา ขยับร่างกายเล็กน้อย กระแอมไอขึ้นหลายครั้ง ส่งสายตามองไปยังพระชายารองที่ยืนอึ้งอยู่ แล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดไม่ผิด แต่ว่าสุขภาพของเจ้า…” 


 


 


โดยไม่รอให้เขาพูดจบ พระชายาฉีก็ยิ้มแล้วพูดขัดเขาขึ้นว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เป็นห่วงหม่อมฉันเพคะ แต่ว่าแม่นางเมิ่งบอกแล้วว่าจะช่วยดูแลสุขภาพของหม่อมฉันด้วยตัวเอง สุขภาพร่างกายของหม่อมจะต้องดีขึ้นแน่นอนเพคะ” 


 


 


เดิมที่ทุกอย่างภายในจวนต้องเป็นหน้าที่ของชายาเอกคอยดูแลจัดการ อ๋องฉีจึงไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร 


 


 


พระชายารองอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าที่อ๋องฉีมามิเพียงแต่ไม่ได้มาหาความเป็นธรรมให้ตัวเอง แล้วจัดระเบียบจวนอ๋องฉี แต่ยังให้พระชายาฉีฉวยโอกาสยึดอำนาจการดูแลบ้านกลับไป จึงร้องขึ้นเสียงหลงว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร” 


 


 


“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้” พระชายาฉีถามกลับ “ในเมื่อน้องสาวคิดว่าหลายปีมานี้ได้ทำเพื่อจวนอ๋องมามากพอแล้ว ก็ควรจะพักผ่อนเสียบ้าง” 


 


 


พระชายารองโบกไม้โบกมือ “ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องพักผ่อน ท่านพี่ร่างกายอ่อนแอขอให้ท่านพักผ่อนมากๆ ดีกว่า ให้ดูแลจัดการภายในจวนเถอะ” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นที่น้องสาวร้องไห้บอกกับท่านอ๋องว่าหลายปีมานี้ดูแลจวนอ๋องอย่างยากลำบากนั้นหมายความว่าอย่างไร หรือว่าต้องการให้ท่านอ๋องเวทนาสงสารเท่านั้น ให้เขาจัดการลงโทษข้าใช่ไหม” พระชายาอ๋ฮงฉีถามอย่างกดดัน 


 


 


พระชายารองเห็นว่าอ๋องฉีไม่โต้แย้งเกี่ยวกับการดูแลบ้านของพระชายาฉีก็รู้สึกกระวนกระวายใจ มีหรือจะกล้าพูดเช่นนั้น แล้วจึงรีบตอบกลับว่า “นั่นเป็นเพราะหม่อมฉันใจร้อนจนพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้นเพคะ ท่านพี่อย่าใส่ใจเลย” 


 


 


ในตอนที่พระชายารองถูกองครักษ์ประจำจวนกดตัวให้ลงโทษคุกเข่าอยู่นั้น ได้พยายามขัดขืนจนผมเผ้ายุ่งเหยิงหมด ปอยผมตกลงมากระจายเต็มใบหน้า อีกทั้งตอนนี้ยังต้องคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา ส่งสายตาขอร้องอ้อนวอนต่ออ๋องฉี อ๋องฉีก็มีใจเอนเอียงไปทางนางอยู่แล้ว จึงกล่าวกับพระชายาฉีว่า “เหลียนอีไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจไปเสียทุกอย่าง สุขภาพของเจ้าก็ยังไม่แข็งแรงดี เรื่องการดูแลบ้านก็ให้เหลียนอีดูแลไปก่อน ทุกอย่างรอให้เจ้าแข็งแรงขึ้นก่อนค่อยว่ากันอีกที” 


 


 


หากเป็นก่อนหน้านี้ที่ท่านอ๋องกล่าวออกมาเช่นนี้ พระชายาฉีก็คงเห็นชอบตามนั้น ถึงอย่างไรตัวเองก็ไม่อยากไปแย่งชิงสิ่งใด ปล่อยพวกเขาไปเถอะ แต่ตอนนี้มิได้แล้ว ท่าทีที่พระชายารองปฏิบัติต่อเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นทำให้นางไม่พอใจ อีกทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าต่อไปจะมาช่วยรักษาร่างกายให้นางที่จวนบ่อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะดูสีหน้าของพระชายารองก่อนทำสิ่งใดได้ทุกครั้ง ดังนั้นจึงไม่ยอม แล้วจึงพูดอย่างไม่อ่อนไม่แข็งว่า “ท่านอ๋องคิดแทนหม่อมฉันเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมาทุกอย่างในจวนก็เป็นน้องสาวที่คอยดูแล จนทำให้กลายเป็นเรื่องขบขันไปไม่น้อย ตอนนี้หม่อมฉันดีขึ้นแล้ว ถือว่าเห็นแก่หน้าของท่านอ๋อง จะให้น้องสาวดูแลบ้านไม่ได้อีกแล้วนะเพคะ” 


 


 


หลายปีมานี้พรชายาอ๋องฉีไม่เคยกล่าวเช่นนี้กับอ๋องฉีมาก่อน ท่าทีก็ไม่เคยแข็งกระด้างเช่นนี้ อ๋องฉีอึ้งไม่ได้ตอบในทันที 


 


 


พระชายารองพยายามคลานมาเกาะที่ตรงหน้าของอ๋องฉี จับเสื้อของอ๋องฉีแล้วส่ายหน้าไม่หยุด “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันดูแลบ้านจะไม่บ่นเลย ต่อไปจะยิ่งพยายามมากขึ้นกว่าเดิม ท่านอ๋องอย่ารับตามคำขอของท่านพี่นะเพคะ” 


 


 


อ๋องฉีอ้าปาก แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา 


 


 


น้ำเสียงเย็นชาของพระชายาก็ดังขึ้นอีก “น้องสาว ที่เจ้าไม่ยอมคืนอำนาจการดูแลบ้านเป็นเพราะทำเรื่องที่ไม่ได้ไว้ ทำเรื่องที่บอกผู้คนไม่ได้เช่นนั้นหรือ” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)