ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 43-52
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 43 ชายหนุ่ม
เถ้าแก่พบเจอผู้คนมากมายเป็นเวลาหลายปี สังเกตเห็นสีหน้าของทุกคนตั้งแต่แรกแล้ว ยิ้มแล้วกล่าวโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “ผ้าที่เราใช้ตัดเสื้อผ้าตัวนี้เป็นผ้าที่ดีที่สุดของร้าน ฝีมือเย็บปักถักร้อยก็ดีที่สุด เอายี่สิบตำลึงจากพวกเจ้า ก็เพราะเห็นว่าสาวน้อยคนนี้สวมใส่แล้วสวยงามมากจริงๆ หากพวกเจ้ายังรู้สึกว่าราคาสูงไป ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ”
หลินหันเยียนนำทุกคำพูดของเถ้าแก่พูดให้หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ฟัง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ่งร้อนใจมากขึ้นไปอีก จับมือของหวงฝู่สือเมิ่งแล้วขอร้องว่า “พี่ใหญ่ แค่ยี่สิบตำลึงมิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าเราไม่มี ข้าชอบเสื้อผ้าตัวนี้มาก ซื้อเถิด”
หวงฝู่สือเมิ่งยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา ยื่นปากไปทางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า “เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ค่อยเต็มใจ ยืนเฉยๆ ไม่ขยับ
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งหายไป จ้องมองนางตรงๆ
ใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์กระตุกเล็กน้อย ตั้งแต่เล็กจนโต หวงฝู่สือเมิ่งใช้สายตาแบบนี้มองนางน้อยมาก แต่หากใช้สายตาแบบนี้ นั้นแสดงว่านางจะโกรธแล้ว เป็นสิ่งที่นางกลัวมากที่สุด
“พี่ใหญ่ พี่อย่าโกรธเลย ข้าจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้” หวงฝู่เย่าเย่ว์รีบยิ้มทันที พูดจบ ก็หันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องอย่างเชื่อฟังทันที
รอยยิ้มบนใบหน้าของเถ้าแก่ก็เริ่มยิ้มต่อไปไม่ไหว พอเห็นว่าหญิงสาวสองคนนี้หน้าตาเหมือนกัน ก็รู้ทันทีว่าเป็นฝาแฝด ดูท่าทางแล้วก็รู้ว่าคนที่เงียบใจเย็นเป็นพี่สาว คนที่ร่าเริงเป็นน้องสาว แต่คิดไม่ถึงว่า น้องสาวจะกลัวพี่สาวเยี่ยงนี้ ใช้แค่สายตาก็สามารถทำให้นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเชื่อฟังทันที รู้สึกว่าความคิดที่จะได้ตั๋วเงินก้อนใหญ่ของตัวเองจะล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา รอหลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา แล้วค่อยว่ากัน
หวงฝู่เย่าเย่ว์เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็นำเสื้อผ้าของทางร้านออกมา แอบมองหวงฝู่สือเมิ่งเล็กน้อย เห็นว่าสีหน้าของนางยังคงไม่ดีเท่าไหร่ จึงไม่กล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว นำเสื้อผ้าคืนให้เถ้าแก่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “เสื้อผ้านี้ราคาสูงมากเกินไป พวกข้าไม่ซื้อแล้ว”
หลินหันเยียนจึงนำคำพูดจริงพูดให้เถ้าแก่ฟัง
เถ้าแก่เริ่มทำตัวไม่ถูก เสื้อผ้าตัวนี้ใช้ผ้าดี ตัดก็พิถีพิถัน ต้นทุนสูง ราคาที่รับก็สูง เมืองเล็กติดชายแดนนี้ คนที่มีเงินทองมากมายมีไม่มาก ฉะนั้นเสื้อผ้าตัวนี้ถูกแขวนไว้ที่นี่ประมาณเกือบสองเดือนแล้ว ก็ยังขายไม่ออก ตอนนี้ยากที่จะมีลูกค้าใหญ่ที่ดูมีฐานะมา เถ้าแก่จะให้การค้าขายครั้งนี้หลุดไปได้อย่างไร
กัดฟัน ตัดสินใจ กล่าวว่า “สิบแปดตำลึงแล้วกัน น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ ”
ประโยคนี้หลินหันเยียนไม่ได้พูดให้ทุกคนฟัง แต่ยิ้มแล้วกล่าวกับเถ้าแก่ว่า “หากท่านอยากขายเสื้อผ้าตัวนี้จริงๆ ก็บอกราคาจริงมา คุณหนูของข้าเดินเที่ยวเกือบครึ่งวันก็เหนื่อยมากแล้ว หากท่านไม่มีความจริงใจ พวกข้าจะกลับทันที”
ได้ยินประโยคนี้ นั้นหมายความว่าเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดของเสื้อผ้าตัวนี้ เถ้าแก่หมุนตาไปมาหลายรอบ กล่าวถามด้วยท่าทางเหมือนตัดเนื้อว่า “พวกเจ้าอยากจ่ายตั๋วเงินเท่าไหร่”
“สิบตำลึง” หลินหันเยียนเอ่ย
“ไม่ได้” เถ้าแก่เอ่ย “สิบตำลึงแม้แต่ค่าผ้าของข้าก็ไม่…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ หลินหันเยียนก็หันไปพูดกับหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “คุณหนูทั้งสอง เราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า ยกเท้าก้าวออกจากร้านอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินตามหลังนางอย่างเชื่อฟัง แม้ว่าตอนที่เดินผ่านเถ้าแก่จะทนไม่ไหวแอบมองเสื้อผ้าในมือของนางเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
“โธ่ พวกเจ้า…” เห็นว่าพวกนางจะไปจริงๆ เถ้าแก่เริ่มร้อนใจจริงๆ รีบเอ่ยปากห้ามไว้
น่าเสียดาย ไม่มีผู้ใดสนใจ
กัดฟัน กระทืบเท้า รีบก้าวขาตามมาถึงข้างประตู ตะโกนจากทางด้านหลังทุกคนว่า “สิบตำลึงก็สิบตำลึง ขายให้พวกเจ้าแล้ว”
“คุณหนู รอสักครู่เจ้าค่ะ เถ้าแก่บอกว่าขายให้เราสิบตำลึงเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนกล่าว
หวงฝู่สือเมิ่งหยุดเดิน หันกลับไป มองเสื้อผ้าตัวนั้นเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยทันที
ใจของเถ้าแก่ขึ้นมาอยู่ตรงที่ลำคอทันที รีบกล่าวว่า “สิบตำลึง นี่เป็นขีดจำกัดของข้าจริงๆ หากน้อยกว่านี้ ให้ตายข้าก็ไม่ขาย”
มองสีหน้าของนาง ก็ดูร้อนใจจริงๆ หวงฝู่สือเมิ่งจึงค่อยๆ พยักหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์ดีใจ แสดงรอยยิ้มออกมา รีบเอาใจหวงฝู่สือเมิ่ง “พี่ใหญ่ พี่ดีกับข้าจริงๆ เจ้าค่ะ”
หวงฝู่สือเมิ่งมองแล้วยิ้ม ในสายตาเต็มไปด้วยความรักและความเอาใจ
หลินหันเยียนจ่ายเงิน เถ่แก่ยื่นเสื้อผ้าที่ห่อเรียบร้อยให้นางด้วยความเจ็บใจ “ขายเสื้อผ้าตัวนี้ให้พวกเจ้า ข้าขาดทุนจริงๆ หากมิใช่เพราะ…”
“เสื้อผ้าตัวนี้ น้อยสุดเจ้าก็ได้กำไรห้าตำลึง หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าคุณหนูของข้าชอบมากจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าสิบตำลึงหรือ หลินหันเยียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
เถ้าแก่กลืนคำพูดที่จะเอ่ยออกมาลงไป จ้องมองหลินหันเยียน แล้วกลืนน้ำลายลงไปอย่างยากลำบาก “เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าได้กำไรเท่านี้”
พูดจบ ทันทีที่รู้สึกตัวว่าตัวเองเอ่ยอะไรออกไป ก็รีบยกมือปิดปากตัวเองทันที มืออีกข้างก็กำตั๋วเงินไว้แน่น กลัวว่าหลินหันเยียนจะเอาตั๋วเงินกลับไป
หลินหันเยียนไม่ได้สนใจ ยิ้มแล้วหันหลัง ออกจากประตูของร้านขายเสื้อผ้า
ซื้อสิ่งของแปลกใหม่มากมาย แล้วก็ซื้อเสื้อผ้าที่ตัวเองถูกใจ หวงฝู่เย่าเย่ว์พอใจแล้ว จึงกล่าวว่า “พี่ใหญ่ เรากลับกันเถิด” หลังจากกลับไปนางจะใส่เสื้อผ้าตัวนี้ให้ท่านพ่อท่านแม่ดู
หวงฝู่สือเมิ่งหันหลัง แล้วกล่าวถามหวงฝู่เฮ่าว่า “เฮ่าเอ๋อร์ เจ้ามีสิ่งที่อยากซื้อหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ พี่ใหญ่ หากพี่รองเหนื่อยแล้ว เรากลับกันเถิด” หวงฝู่เฮ่ากล่าวตอบอย่างเชื่อฟัง
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า ทุกคนหันตัว แล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิม หวงฝู่เย่าเย่ว์ควงแขนข้างหนึ่งของหวงฝู่สือเมิ่ง อีกข้างถือเสื้อผ้าของตัวเองอย่างมีความสุข
เดินไม่กี่ก้าว ข้างหลังก็มีเสียงตะโกนดังมา “อย่าวิ่ง หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดเดี๋ยวนี้”
ทุกคนหยุดเดิน แล้วหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ
มีคนหนึ่งวิ่งกระเตาะกระแตะมาจากข้างหลัง ในขณะที่ผ่านตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็สะดุดขาพอดี ชนโดนเสื้อผ้าในมือของนาง
คนนี้พยายามใช้แรงลุกขึ้นยืนตรง แต่ก็ไม่ระวังเหยียบลงบนเสื้อ ได้ยินเสียงไล่ฆ่าด้านหลัง แม้แต่คำขอโทษก็ไม่ทันได้เอ่ย กระเสือกกระสนวิ่งไปข้างหน้า
หวงฝู่สือเมิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับไม่ยอม เพิ่งได้เสื้อผ้าตัวใหม่นี้มา นางยังไม่ทันได้ใส่ให้ท่านพ่อท่านแม่ดู ก็ถูกคนเหยียบไปแล้วหนึ่งครั้ง ต่อไปนางจะใส่อย่างไร ในขณะที่โมโห ก็อารมณ์ร้อนขึ้นมาทันที ปล่อยแขนของหวงฝู่สือเมิ่งแล้ววิ่งตามไปทันที “นี่ เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ชดใช้เสื้อผ้าตัวใหม่ของข้ามา”
“เฮ่าเอ๋อร์ เก็บเสื้อผ้าขึ้น แล้วตามมา” หวงฝู่สือเมิ่งรีบสั่ง แล้วรีบวิ่งตามไปทันที
หวงฝู่เฮ่ารีบก้มตัวลงไปเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา แล้วก็ตามไปทันที หลินหันเยียนก็ตามหลังหวงฝู่เฮ่าไม่ใกล้ไม่ไกล
ดูเหมือนว่าคนนั้นจะบาดเจ็บ เดินช้ามาก เดินได้ไม่ไกล ก็ถูกหวงฝู่เย่าเย่ว์ตามทัน
หวงฝู่เย่าเย่ว์ผลักเขาด้วยความโมโหหนึ่งที “เจ้าชดใช้เสื้อผ้าตัวใหม่ของข้ามา”
ไม่คิดว่าคนนั้นจะรับไม่ไหว ตึกตัก ล้มลงไปนอนบนพื้นทันที ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถีบเขาหนึ่งครั้ง แล้วตะคอกเขาด้วยความโมโห “นี่ เจ้าอย่ามาแกล้งตาย รีบชดใช้เสื้อผ้าตัวใหม่ของข้ามาเดี๋ยวนี้”
คนนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถีบเขาอีกหนึ่งครั้ง คนนั้นก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน
เห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคนที่อยู่รอบข้างเริ่มมามุงดู ชี้ไปมา แล้ววิพากษ์วิจารณ์
แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรกัน หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เข้าใจว่าทุกคนที่มามุงดูนั้นกล่าวโทษตน สีหน้าเปลี่ยนทันที
หวงฝู่สือเมิ่งตามมา หวงฝู่เย่าเย่ว์รีบจับมือนางทันที แล้วรีบอธิบายว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ทำอะไร แค่ผลักเขาเบาๆ หนึ่งครั้ง เขาก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว”
หวงฝู่สือเมิ่งแตะมือนางเบาๆ อย่างปลอบใจ แล้วมองคนที่นอนอยู่บนพื้น เป็นชายหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปี แต่งตัวหรูหรา หน้าตางดงาม บนตัวนั้นแสดงถึงความรู้สึกของคนมีฐานะ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ในจุดที่ถูกคนไล่ฆ่า
ในขณะที่คิดอยู่ ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ดวงตาคู่โตที่ใสบริสุทธิ์ มองหวงฝู่สือเมิ่งอย่างวิงวอน
หวงฝู่สือเมิ่งใจสั่นไปชั่วขณะ ท่านพ่อของตัวเองถือว่าเป็นชายหน้าตางดงามที่หายากในโลกนี้แล้ว แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับงดงามมากกว่าท่านพ่อของตัวเอง ยิ่งดวงตาคู่นั้นที่บริสุทธิ์ไร้มลทินนั้น เวลาที่มองตน ทำให้คนที่ได้เห็น เกิดความรู้สึกอยากปกป้องดูแลขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มอ้าปาก กำลังจะเอ่ยอะไรออกมา ก็ได้ยินเสียงตะโกนที่ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สีหน้าก็เปลี่ยนทันที พยายามจะลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหนี แต่พยายามเท่าไหร่ก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
จับพลัดจับผลู หวงฝู่สือเมิ่งย่อตัวลง แล้วยื่นมือไปทางชายหนุ่ม “รีบลุกขึ้นมา พวกเขาจะตามมาถึงแล้ว”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่านางพูดถึงอะไร แต่ดูจากท่าทางของนางแล้วรู้ว่านางอยากจะพยุงตัวเองขึ้นมา จึงวางมือลงบนมือของนางอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
หวงฝู่สือเมิ่งพยุงเขาขึ้นมาอย่างระวัง แล้วกล่าวกับหวงฝู่เฮ่าว่า “เฮ่าเอ๋อร์ เอาเสื้อผ้าให้พี่”
หวงฝู่เฮ่ายื่นเสื้อผ้าให้นางอย่างไม่เข้าใจ
หวงฝู่สือเมิ่งรับมา แล้วปล่อยชายหนุ่ม สองมือใช้แรงฉีกเสื้อผ้าตามทางเส้นด้ายหนึ่งเส้น ฉีกออกเป็นผ้าผืนใหญ่หนึ่งผืน แล้วรีบคลุมลงบนตัวของชายหนุ่ม หลังจากนั้นก็พยุงตัวเขาหันหลัง ยืนอยู่ข้างหน้าแผงลอยแผงหนึ่ง แล้วสั่งทุกคน “พวกเจ้าบังข้างหลังไว้”
ทั้งสามรีบยืนอยู่ข้างหลังนางและชายหนุ่มทันที
ทันทีที่ทำทุกอย่างเสร็จ กลุ่มทหารที่ไล่ตามมาก็ถืออาวุธเงาวับมาถึงแล้ว ผู้คนที่มามุงดูเมื่อครู่กลัวว่าตัวเองจะโดนลูกหลง ตกใจกลัวจนแยกย้ายกันไปหมด
ทหารที่นำหน้าไม่แม้แต่จะมองพวกเขา นำคนตะโกนแล้วเดินผ่านพวกเขาไปเลย
จนคนที่ไล่ตามมาวิ่งไปไกลแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งจึงจะโล่งอก แล้วกล่าวกับชายหนุ่มว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบ
หวงฝู่สือเมิ่งจึงมองไปทางเขาด้วยความแปลกใจ แต่กลับเห็นชายหนุ่มปิดตาแน่น สลบไปแล้ว
หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่อยู่ข้างหลังยื่นมือออกมาตบอกที่ตกใจกลัวของตัวเอง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกล่าวโทษว่า “พี่ใหญ่ พวกเราก็ไม่รู้จักเขา เหตุใดพี่จึงช่วยเขาไว้ หากสร้างปัญหาให้กับเราจะทำเยี่ยงไร”
เพราะอารมณ์ชั่ววูบ จึงทำพฤติกรรมเยี่ยงนั้น ในขณะนี้ในใจของหวงฝู่สือเมิ่งก็เสียใจเป็นอย่างมาก แต่ทำลงไปแล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงกล่าวว่า “น้องเฮ่า รู้สึกว่าเขาสลบไปแล้ว เจ้ามาช่วยข้าพยุงเขาหน่อย”
หวงฝู่เฮ่าใช้ตัวของตัวเองแนบกับหลังของชายหนุ่มก่อน หลังจากยื่นสิ่งของในมือของตัวเองให้หวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว จึงจะยื่นมือพยุงชายหนุ่มให้ยืนตรง
หวงฝู่สือเมิ่งยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง วางลงบนชีพจรของชายหนุ่ม แล้วขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 44
แท้จริงแล้วชายหนุ่มคนนี้ถูกพิษที่ร้ายแรงมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือผ่านการวิ่งหนีแบบสุดชีวิตครั้งนี้แล้ว พิษยิ่งแผ่ซ่านไปทั่วกายรุนแรงมากขึ้นไปอีก แทบจะถึงหัวใจแล้ว หากไม่รีบรักษา ไม่นานเขาก็จะเป็นแค่ไร้ร่างวิญญาณ
หลินหันเยียนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของนาง จึงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณหนู ยุ่งยากมากหรือเจ้าคะ”
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า กล่าวตอบตามความจริงว่า “ถูกพิษ หากไม่รักษาให้ทันเวลา กลัวว่าจะอันตรายถึงชีวิต”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ป้องปากตัวเองด้วยความตกใจ ก็ว่า นางแค่ผลักเบาๆ ครั้งหนึ่ง เหตุใดชายหนุ่มคนนี้จึงล้มลงไปบนพื้นได้ แท้จริงคือถูกพิษ แต่ดูจากภายนอกแล้ว ก็ไม่มีอาการถูกพิษแต่อย่างใด
ไตร่ตรองสักพัก หวงฝู่สือเมิ่งจึงเอ่ยว่า “พาเขากลับโรงเตี๊ยม ดูว่าท่านแม่ของข้ามีวิธีหรือไม่”
“คุณหนู นี่…จะนำปัญหามาให้พวกเราหรือไม่เจ้าคะ” หลินหันเยียนเตือนอย่างอ้อมค้อม
ฐานะของพวกเขาทั้งหกคนนั้นพิเศษ แม้จะอยู่ในรัฐหมิง แต่ก็ไม่สามารถแสดงฐานะออกมาได้ง่ายๆ ไม่เยี่ยงนั้นในช่วงเวลาที่พิเศษแบบนี้อาจสร้างปัญหาใหญ่หลวงขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือดูฐานะของชายหนุ่มคนนี้แล้วก็ไม่ธรรมดา หากเวลานี้พวกนางพาเขากลับไป ใช่ว่าจะมีผลดีอะไร
หวงฝู่สือเมิ่งก็รู้ผลดีและผลเสียนี้ดี แต่ความวู่วามเมื่อครู่ของตนนั้น ช่วยชีวิตเขาไว้แล้ว หากตอนนี้จะให้วางมือแล้วไม่สนใจไยดีอะไร ก็ทำไม่ลง กัดริมฝีปาก แล้วกล่าวว่า “ข้ากลับไปอธิบายให้ท่านพ่อท่านแม่เอง เราคิดวิธีกลับโรงเตี๊ยมกันก่อนเถิด”
หวงฝู่เฮ่าก้มตัวลง “พี่ใหญ่ ข้าแบกเขาเอง”
หวงฝู่เฮ่าอายุยังน้อย แม้ว่าจะเรียนวิชาต่อสู้มาแล้วแต่ก็ยังคงเป็นเด็ก หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกปวดใจเล็กน้อย ทนให้เขาแบกไม่ได้ กวาดสายตาไปรอบๆ ผู้คนที่มองมาด้วยความแปลกใจหนึ่งรอบแล้ว ชี้ไปที่ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ส่งสายตาให้หลินหันเยียนไปถามว่าเขาสามารถนำคนไปส่งที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ พวกเขาให้ครึ่งตำลึง
ถนนที่ครึกครื้นนั้นไม่ไกลมากจากโรงเตี๊ยม ห่างกันแค่สองตรอกซอย ทันทีที่ชายรูปร่างสูงใหญ่ได้ยินคำพูดของหลินหันเยียนก็เดินเข้ามาด้วยความดีใจทันที ไม่พูดจาอะไร แบกชายหนุ่มขึ้นมาแล้วเดินไปข้างหน้าทันที
“เฮ่าเอ๋อร์ เจ้าไปดูข้างหน้า คนที่ไล่ตามเขาไปไกลหรือยัง” หวงฝู่สือเมิ่งสั่ง
หวงฝู่เฮ่ารีบวิ่งไปข้างหน้าทันที
จิตใต้สำนึกของหลินหันเยียนอยากจะยกขาตามไป แต่ก็คิดได้ว่าหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เข้าใจภาษาของรัฐหมิง จึงหยุดเท้าของตัวเอง แล้วตามหลังทั้งสองติดๆ และเงยหน้ามองไปข้างหน้าด้วยความร้อนใจหลายครั้ง กลัวว่าหวงฝู่เฮ่าจะหายไปจากสายตาของทุกคน
กลับโรงเตี๊ยมด้วยความตกใจแต่ไม่เป็นอันตราย
เถ้าแก่เห็นว่ามีคนตามพวกนางกลับมาเพิ่มสองคน ก็คิดในใจ แล้วเงยหน้ามองพินิจพิเคราะห์ชายรูปร่างสูงใหญ่และชายหนุ่มที่อยู่บนหลังเขา ชายรูปร่างสูงใหญ่นั้นเห็นชัดเจน เป็นคนรัฐหมิง แต่ชายหนุ่มที่อยู่บนหลังเขานั้นถูกหวงฝู่สื่อเมิ่งใช้ผ้าที่ฉีกขาดปิดใบหน้าไว้ จึงมองไม่ชัด เห็นเพียงเสื้อผ้าที่แสดงออกมาด้านนอก เป็นเสื้อผ้าที่คนชนชั้นสูงของรัฐหมิงเท่านั้นที่จะมีใส่
สั่งชายรูปร่างสูงใหญ่ให้มาถึงหน้าห้องของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวบนชั้นสอง แล้วเคาะประตูห้องเบาๆ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เพิ่งกลับมาถึง ได้ยินเสียงเคาะประตู ก็สบตากันด้วยความแปลกใจ หวงฝู่อี้เซวียนเดินไป เปิดประตู เห็นสถานการณ์หน้าห้อง หยุดชะงักไป
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ให้พวกข้าเข้าไปกันก่อน มีอะไรเดี๋ยวข้าจะอธิบายอย่างละเอียดให้พวกท่านฟัง” หน้าประตูถูกชายรูปร่างสูงใหญ่บังไว้ หวงฝู่สือเมิ่งจึงได้แต่พูดจากด้านหลังเขา
ฟังออกว่าเป็นเสียงของนาง หวงฝู่อี้เซวียนจึงหลีกทาง ชายรูปร่างสูงใหญ่จึงแบกชายหนุ่มเข้าไปในห้อง แล้ววางลงบนเตียงอย่าง ยกแขนเสื้อขึ้น แล้วเช็ดเหงื่อที่ออกมาบนหน้าผาก หันหลัง มองไปทางหวงฝู่สือเมิ่ง
หวงฝู่สือเมิ่งหยิบตั๋วเงินออกมาครึ่งตำลึงให้เขา
ชายรูปร่างสูงใหญ่รับมาด้วยความดีใจ ใส่เข้าไปในอก แล้วเดินก้าวขายาวออกไปทันที
หลินหันเยียนเรียกเขาไว้ แล้วกำชับว่า “เรื่องวันนี้ เจ้าอย่าพูดให้ผู้ใดฟังเป็นอันขาด จะได้ไม่สร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นให้กับตัวเอง”
ชายรูปร่างสูงใหญ่พยักหน้า กล่าวตอบพึมพำว่า “ข้ารู้แล้ว แม่นางวางใจเถิด ข้าไม่พูดออกไปแน่นอน”
หลินหันเยียนพยักหน้า “ขอบใจมาก”
ชายรูปร่างสูงใหญ่โบกมือ แล้วเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่สือเมิ่ง
หวงฝู่สือเมิ่งไม่ได้อธิบาย แต่กลับเอ่ยก่อนว่า “ท่านแม่ ชายหนุ่มคนนี้ถูกพิษ ท่านดูสิว่า สามารถถอนพิษให้เขาได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมา แล้ววางลงบนชีพจรของชายหนุ่ม คิ้วก็เหมือนกับหวงฝู่สื่อเมิ่งเมื่อครู่ ขมวดคิ้วขึ้นมา “พิษที่เขาถูกร้ายแรงมาก ต้องรีบแก้พิษทันที ไม่เยี่ยงนั้นจะอันตรายถึงชีวิต”
พูดจบ ก็ลุกขึ้น หยิบกระเป๋าตัวเองมา เปิดออก แล้วหยิบชุดเข็มเงินในนั้นออกมา ส่งสายตาให้หวงฝู่สือเมิ่งยกเก้าอี้มาหนึ่งตัว วางลงบนนั้น แล้วเงยหน้าขึ้น กล่าวกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ข้าพูดเจ้าเขียน เขียนสูตรยาสำหรับแก้พิษหนึ่งสูตร ให้เสี่ยวเอ้อร์ไปช่วยซื้อยามา”
หลินหันเยียนหันหลังไปเอาพู่กันและหมึกมาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มฝังเข็มให้ชายหนุ่มแล้ว ทันทีที่ฝังเข็มลงไป ก็เริ่มมีไอดำลอยขึ้นมาทันที ไม่นานแม้แต่เข็มเงินก็กลายเป็นสีดำทันที
หวงฝู่สือเมิ่งกัดริมฝีปาก หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่าตกใจจนตาโต ในใจของหลินหันเยียนก็เหมือนดั่งคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง นางรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีฝีมือการรักษาโรค แต่ไม่คิดว่าฝีมือนางจะเก่งกาจเยี่ยงนี้ แม้แต่แก้พิษก็ทำได้
ฝังเข็มเสร็จแล้ว บนหน้าอกของชายหนุ่มเริ่มมีไอดำมากมายมารวมกัน เหมือนกับว่าไอดำทุกส่วนถูกบังคับให้มารวมกันที่จุดนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยสูตรยาหนึ่งสูตร หวงฝู่อี้เซวียนรีบเขียนทันที แล้วส่งให้หลินหันเยียน
หลินหันเยียนรับมาแล้วลงไปหาเสี่ยวเอ้อร์ที่ชั้นล่าง
หวงฝู่สือเมิ่งพูดเหตุการณ์ทั้งหมดออกมา มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความกังวล “ท่านแม่ ข้าทำผิดใช่หรือไม่”
หวงฝู่สือเมิ่งไม่เคยทำเรื่องวู่วามเยี่ยงนี้ มองดูชายหนุ่มที่หลับตาแน่น สลบไม่ฟื้นอยู่บนเตียง แล้วมองลูกสาวคนโตของตัวเอง ก็ถอนหายใจในใจเบาๆ ยื่นมือออกมา ลูบศีรษะนาง กล่าวกับนางด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วยคนหนึ่งชีวิตยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น เจ้าทำได้ดีมาก”
ได้รับคำชม แต่หวงฝู่สือเมิ่งก็ไม่ได้ยิ้มออกมา
แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่เสื้อผ้าถูกทำลายกลับอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย “เสื้อผ้าใหม่ของข้าถูกเขาทำลายเยี่ยงนี้ หลังจากเขาฟื้นขึ้นมาข้าจะให้เขาชดใช้ให้ข้าแน่นอน ไม่เยี่ยงนั้น เขาอย่าคิดจะออกจากโรงเตี๊ยมเป็นอันขาด”
ฟังคำพูดที่ปัญญาอ่อนของลูกสาวแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมาอย่างจนใจ ทั้งๆ ที่ทั้งสองก็ออกมาจากท้องของตัวเองเหมือนกัน เวลาก็ไม่ได้ห่างกันมาก เหตุใดนิสัย ความคิดจึงแตกต่างกันเยี่ยงนี้ คนหนึ่งไม่ทำให้ทุกคนกังวลใจแม้แต่น้อย อีกคนทำให้ทุกคนปวดหัวแทบตาย
ผ่านไปครึ่งชั่วนาม ไอดำบนหน้าอกของชายหนุ่มค่อยๆ หายไป เมิ่งเชี่ยนโยวดึงเข็มออกมาทั้งหมด เก็บทุกอย่างเข้าไปในชุดเข็มเงิน แล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ตอนออกจากจวน นางตั้งใจนำชุดเข็มเงินนี้มาด้วย เพราะกลัวว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะถูกวางยาพิษ จะได้แก้พิษให้นาง แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้บนตัวชายหนุ่มคนนี้
ชายหนุ่มคร่ำครวญเบาๆ แล้วค่อยๆ ลืมตา ทันทีที่เห็นว่ามีผู้คนมากมายในห้อง ก็หยุดชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานก็กวาดสายตาไปรอบๆ เห็นว่าในท่ามกลางผู้คนมีหวงฝู่สือเมิ่งอยู่ ก็โล่งอกทันที แล้วแสดงรอยยิ้มที่อ่อนแรงให้กับนาง
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทุกอย่างพร้อมกัน ก็ไม่สบายใจขึ้นมาทันที ออกเสียง “หึ” ออกมาพร้อมกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มหยุดชะงักไป เงยหน้าแล้วมองมา
“เจ้าถูกพิษ แล้วยังถูกคนไล่ฆ่า ลูกสาวของข้าจิตใจดีช่วยชีวิตเจ้ากลับมา นางแค่จิตใจดี เจ้าอย่ามีความคิดอื่นใด” หวงฝู่อี้เซวียนออกเสียงตักเตือน ราวกับไม่เห็นใบหน้าที่ขาวซีดของเขา
สีหน้าของชายหนุ่มหยุดชะงักไป ไม่นานบนใบหน้าขาวซีดก็เริ่มแดงขึ้นมาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ว่า “มองฐานะของเจ้า ดูดีมีสง่าราศี พวกข้าช่วยเจ้าไว้ ก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าตอบแทน สามีข้าพูดถูก เจ้าอย่ามีความคิดไม่ดีใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เยี่ยงนั้นพวกข้าก็จะไม่เกรงใจกับเจ้า”
สีหน้าแดงบนใบหน้าของชายหนุ่มหายไป มองสามีภรรยาคู่นี้ด้วยความตกใจ อาจเป็นเพราะไม่เคยได้ยินคำพูดตรงๆ แบบนี้มาก่อน
มองสายตาที่ใสบริสุทธิ์คู่นั้นของเขา เหมือนมีความสามารถเฉพาะตัวในการดึงดูดผู้คน หวงฝู่อี้เซวียนทนไม่ไหว “หึ” ออกมาอีกครั้ง สั่งหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีว่า “พวกเจ้าสองคนกลับไปที่ห้องของตัวเอง หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามเข้ามาเป็นอันขาด”
คำพูดของเขาและเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินอย่างชัดเจน นิสัยของหวงฝู่เย่าเย่ว์นั้นไม่อินังขังขอบ ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดอย่างไร้เดียงสาว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นแค่ตักเตือนชายหนุ่มเท่านั้น เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งตอนที่อยู่ในเมืองหลวง แต่หวงฝู่สือเมิ่งกลับหน้าแดง หลังจากตอบรับเบาๆ ก็หันหลังเดินออกไปทันที
หวงฝู่เย่าเย่ว์รีบตามหลังออกมาทันที
สายตาของชายหนุ่มนั้นมองตามหลังทั้งสองอย่างไม่รู้ตัว
หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก จ้องหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาแข็งกร้าว จับมือเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วก็จับมือหวงฝู่เฮ่าเดินออกไปทันที เดินไปด้วยสั่งหลินหันเยียนไปด้วย “ไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ขึ้นมาช่วยดูแลเขา จะเพิ่มตั๋วเงินให้ต่างหาก”
ชายหนุ่มตกใจอีกครั้ง รอจนตอนที่รู้สึกตัวขึ้นมา ในห้องก็ไม่มีผู้คนแล้ว เหลือเพียงเขาคนเดียว
วันนี้ช่วยซื้อม้า ได้ผลตอบแทนไม่น้อย เสี่ยวเอ้อร์จึงไปช่วยซื้อยากลับมาอย่างขยันขันแข็ง ต้มเสร็จแล้วยกขึ้นมาให้ด้วยตัวเอง พยุงชายหนุ่มขึ้นมา แล้วให้เขาดื่มลงไป
หลินหันเยียนนำคำพูดของหวงฝู่อี้เชวียนพูดให้เขาฟัง แล้วบอกเขาตรงๆ ว่าจะให้วันละหลายสิบอีแปะ
เสี่ยวเอ้อร์ไม่กล้าตกลง จึงลงไปขอคำแนะนำจากเถ้าแก่
ปกติมีแขกในโรงเตี๊ยมไม่สบาย ก็มีเสี่ยวเอ้อร์ช่วยเหลือ ตอนนี้แค่ให้เสี่ยวเอ้อร์แบ่งเวลาออกมาช่วยดูแล ยังได้ตั๋วเงิน เถ้าแก่ก็ตกลงทันทีด้วยความยินดี และก็ถามพวกเขาว่าจะเปิดห้องพักที่ดีที่สุดอีกห้องหรือไม่
เจ็ดคน ห้องพักสามห้องไม่พอแน่นอน หลินหันเยียนพยักหน้า
เถ้าแก่ยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก แม้แต่ท่าทางก็ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นไปอีก
จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลินหันเยียนก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง
หนึ่งวันผ่านไป สงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันที่สอง ยังคงมีข่าวคราวสู้รบของทั้งสองรัฐออกมาเรื่อยๆ เทียบกับการสู้รบเมื่อวานแล้ว วันนี้รุนแรงมากกว่าเดิม ได้ยินว่าเสียงฆ่าฟันกันนั้นดังมากกว่าเดิมครึ่งวันเต็ม ๆ ศพทหารของทั้งสองฝั่งนั้นรวมกันเป็นภูเขาเล็กๆ แล้ว
สงครามในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่องค์ชายใหญ่ที่มีดวงตาแดงก่ำ ฉู่เหวินเจี๋ย ท่านอ๋องฉีและเมิ่งชิงก็ตาแดงก่ำ
เป็นอีกครั้งที่เสมอกัน จึงตีฆ้องให้ทหารถอยทัพ
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 45 ข่าวคราว
ข่าวคราวเกี่ยวกับการสู้รบของทั้งสองรัฐมีออกมาเป็นระลอกๆ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่นิ่งต่อไปไม่ได้แล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยกพู่กันขึ้นมาเขียนชื่อยาบางอย่าง แล้วยื่นให้เสี่ยวเอ้อร์ ให้เขาช่วยไปซื้อมา
ชายหนุ่มบาดเจ็บ เสี่ยวเอ้อร์เป็นผู้ดูแลตลอดเวลา เขาคิดว่าครั้งนี้ก็ไปซื้อยาให้ชายหนุ่ม จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง นำรายชื่อยาแล้วไปซื้อยากลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ว่ายาพวกนี้ให้เสี่ยวเอ้อร์ในร้านยาบดเป็นผงทั้งหมด ตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา กลับไปที่ห้องตัวเอง เปิดถุงยาออก แล้วดมอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็นำส่วนผสมที่มีสัดส่วนไม่เหมือนกันมาทำเป็นยาสลบ ใช้กระดาษห่อไว้ แล้วแจกให้ทุกคน และกล่าวกับเด็กทั้งสามคนและหลินหันเยียนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เหตุที่ท่านแม่ทัพฉู่เปิดศึกสู้รบเยี่ยงนี้กับองค์ชายใหญ่ คาดว่าเป็นเพราะไม่ได้รับข่าวคราวของพวกเราเสียที จึงร้อนใจ อยากจะรีบทำลายรัฐอิง เพื่อตามหาพวกเรา ฉะนั้น พวกเรารอต่อไปไม่ได้แล้ว เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าวิธีใด พวกเราก็ต้องผ่านชายแดนรัฐหมิงไปให้ได้ แล้วกลับไปที่รัฐอู่ ในนี้เป็นยาสลบ พวกเจ้าเก็บไว้ให้ดี หากพรุ่งนี้ต้องเผชิญหน้าจริงๆ ก็โยนออกไปได้เลย แต่จงจำไว้ เป้าหมายของเราคือกลับรัฐอู่ ไม่ใช่ฆ่าคน”
ทั้งสี่คนพยักหน้าตอบรับ รับยามา แล้วเก็บไว้ให้ดี ต่างคนต่างกลับไปในห้องเก็บสัมภาระของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในเวลาเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้
ยังเก็บไม่เสร็จ ชั้นล่างก็มีเสียงดังขึ้นมา “เถ้าแก่ โรงเตี๊ยมของพวกเจ้ามีคนที่บาดเจ็บมาพักหรือไม่”
เถ้าแก่กะพริบตา แล้วเดินออกมาจากข้างในโต๊ะจ่ายเงิน ก้มตัวทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม “นายทหาร ดูท่านเอ่ยเข้า ที่นี่คือโรงเตี๊ยม ไม่ใช่โรงหมอ จะมีคนบาดเจ็บมาพักที่นี่ได้อย่างไร”
ทหารดันตัวเขาออก น้ำเสียงเริ่มดุดันขึ้นมา “อย่าพูดมาก ข้าไปสืบมาแล้ว โรงเตี๊ยมของเจ้ามีกลิ่นยาลอยออกไปทุกวัน มิใช่ว่ามีคนบาดเจ็บหรือ”
ในใจของเถ้าแก่กระตุกไปหนึ่งครั้ง รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายทหาร มีกลิ่นยาลอยออกไปจากโรงเตี๊ยมของข้านั้นเป็นเรื่องจริง เพราะว่ามีเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งไม่สบาย มิใช่ว่ามีคนบาดเจ็บมาพักที่โรงเตี๊ยมอย่างที่ท่านเอ่ยแต่อย่างใด”
“มีหรือไม่มี ให้พวกข้าค้นก็จบแล้ว เจ้าจะพูดมากอะไร” นายทหารดันตัวเขาออกอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด ยกขาแล้วเดินไปชั้นบนทันที
“โธ่ นายทหาร นายทหาร” เถ้าแก่รีบขวางหน้าเขาทันที “ชั้นบนเป็นที่พักที่ดีที่สุด มีแขกผู้หญิงมากมายพักอยู่ หากท่านอยากจะค้น ให้ข้าไปบอกกล่าวก่อนได้หรือไม่ จะได้ไม่ทำให้แขกตื่นตกใจ ไม่เยี่ยงนั้นต่อไปก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมของข้าอีก”
นายทหารจะฟังคำพูดของเขาได้อย่างไร ยื่นมือผลักตัวเขาออก ในขณะที่เถ้าแก่อยากจะเข้าใกล้อีกครั้งนายทหารชี้จมูกของเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้าพูดด้วยดีๆ แล้วแต่เจ้าอย่ามารนหาที่ วันนี้ข้าได้รับคำสั่งมา หากเจ้ายังกล้าขัดขวางอีก ข้าจะให้คนจับตัวเจ้าเข้าเรือนจำทันที เจ้าเชื่อหรือไม่”
เถ้าแก่ไม่กล้าขยับอีก เหงื่อบนหน้าผากไหลลงมาเรื่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปทางห้องพักที่เรียงกันสี่ห้องของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจนั้นรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เห็นแก่ค่าที่พักของพวกเขา แล้วให้ชายหนุ่มบาดเจ็บที่ถูกแบกเข้ามาคนนั้นพักที่โรงเตี๊ยม
หลังจากที่นายทหารเอ่ยจบ ก็เดินก้าวขายาวขึ้นไปชั้นบนทันที ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้ากังวลใจของเถ้าแก่
ทหารทุกนายมาถึงชั้นสอง ก็เริ่มเคาะประตูทีละห้อง แล้วตะโกน
หวงฝู่อี้เซวียนและทั้งห้าคนเดินออกมา
นายทหารก้าวออกมา แล้วมองพินิจพิเคราะห์พวกเขาทุกคนอย่างละเอียด พอเห็นสองใบหน้าที่เหมือนกันและงดงามมากของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว ก็แสดงสีหน้าตะลึงออกมาทันที
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มไม่ค่อยดี กำมือที่ไขว้หลังอยู่ไว้แน่น เมิ่งเชี่ยนโยวก็มีสายตาอยากฆ่าคนขึ้นมาแวบหนึ่ง
ยังดีที่นายทหารก็แค่ทำสีหน้าตะลึง ไม่ได้มีการกระทำอื่นๆ ตะคอกถามว่า “พวกเจ้าเป็นคนรัฐอู่หรือ”
หลินหันเยียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่ นายทหาร ครอบครัวเรามาเที่ยวที่รัฐหมิง ใครจะรู้ว่าจะถูกติดค้างให้อยู่ที่นี่พอดี ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับเมื่อใด”
ตั้งแต่ฮ่องเต้คนใหม่ของรัฐอู่ขึ้นครองราชย์ ก็กระทำเรื่องต่างๆ ออกมาเรื่อยๆ ส่งเสริมการผลิต ฝึกทหารองครักษ์ ลดภาษี ภายในเวลาสั้นๆ หลายปีนี้ บ้านเมืองรัฐอู่เจริญรุ่งเรือง กำลังทหารเข้มแข็ง รัฐรอบๆ ไม่สามารถเทียบได้เลย เหตุฉะนั้นรัฐรอบๆ ก็เกิดความยำเกรงและการป้องกันต่อรัฐอู่ขึ้นมา รวมถึงการสู้รบกับรัฐอิงในครั้งนี้ เมื่อวานได้ยินว่า เกือบจะทำลายชายแดนของรัฐอิงได้แล้ว ในเวลาสำคัญแบบนี้ นายทหารไม่กล้าใช้คำพูดและสีหน้าที่รุนแรงต่อคนพวกนี้จริงๆ จึงใช้น้ำเสียงที่อ่อนลง กล่าวถามว่า “มีเพียงพวกเจ้าหกคนหรือ”
“ใช่ นี่เป็นพี่รองของข้า พี่สะใภ้รองและหลานสาวสองคน ส่วนนี่เป็นลูกชายของข้า” หลินหันเยียนแนะนำทีละคน
นายทหารดูทุกคนอีกหนึ่งรอบ แล้วเก็บสายตา “เปิดประตูออก ข้าจะเข้าไปตรวจสอบในห้องด้วยตัวเอง”
ฟังจบประโยคนี้ ใจของเถ้าแก่ก็ขึ้นมาอยู่ตรงที่คอทันที ไม่เพียงแต่หยาดเหงื่อบนหน้าผากที่ยิ่งอยู่ยิ่งไหลเร็วขึ้นเรื่อยๆ ขาก็เริ่มสั่น คร่ำครวญในใจว่า จบแล้ว จบแล้ว ครั้งนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ
หลินหันเยียนตอบรับ หันหลัง เปิดประตูห้องพักที่ดีที่สุดทั้งสี่ห้องออก ให้นายทหารตรวจสอบ
นายทหารที่นำหน้าโบกมือ ทหารที่อยู่ด้านหลังก็ไปห้องอื่นๆ ทันที นายทหารที่นำหน้าเดินเข้าไปในห้องที่ชายหนุ่มรักษาตัวอยู่พอดี
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนและทั้งห้าคนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
เถ้าแก่เดินขาสั่นตามเข้าไป เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีผู้ใด ก็ตาโตอย่างเหลือเชื่อทันที มองซ้ายมองขวา สุดท้ายมองไปที่ใต้เตียง จ้องมองตรงๆ ไม่ละสายตา
นายทหารที่นำหน้ากวาดสายตาไปที่เครื่องเรือนทุกอย่างในห้องหนึ่งรอบ มองครั้งเดียวก็เห็นได้ชัด ว่าไม่มีที่ที่สามารถซ่อนตัวได้เลย
ก้าวขายาวมาที่หน้าเตียง ก้มตัวลง จะเปิดผ้าปูที่นอนขึ้น มือกำลังจะโดนผ้าปูที่นอน
“นายทหาร” เถ้าแก่ตะโกนเสียงดังออกมา
นายทหารที่นำหน้าตกใจทันที หันหลังกลับไป แล้วจ้องเขาด้วยความโมโห
เถ้าแก่คิดว่าคนนั้นซ่อนอยู่ใต้เตียง เห็นว่านายทหารจะเปิดผ้าปูที่นอนออก ก็ตกใจกลัวมาก จึงร้องออกมาตามสัญชาตญาณ เห็นนายทหารหันกลับมาจ้องเขาด้วยความโมโห จึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา ตกใจจนสั่น กลืนน้ำลายด้วยความกังวล กล่าวติดอ่างว่า “คือ คือ คือว่า นายทหาร ไม่ต้องค้นใต้เตียงหรอกขอรับ เสี่ยวเอ้อร์ของข้าไม่สบายหลายวัน ไม่มีเวลาทำความสะอาด สกปรกมาก”
เห็นสีหน้าผิดปรกติของเขา นายทหารยิ้มมุมปาก เถ้าแก่ยังไม่ทันรู้สึกตัว หันหลัง แล้วเปิดผ้าปูที่นอนขึ้นทันที
เหมือนเห็นภาพตัวเองถูกจับตัวเข้าเรือนจำ เถ้าแก่แขนขาอ่อนแรงขึ้นมาทันที ตุ้บ ล้มลงบนพื้น
เปิดผ้าปูที่นอนขึ้น ใต้เตียงสะอาดสะอ้าน อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ใยแมงมุมก็ไม่มี
นายทหารวางผ้าปูที่นอนลง ลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปมองเถ้าแก่ แล้วไปที่ข้างเตียงอีกตัว
ไม่มี…ไม่มีจริงๆ ตัวเองไม่ต้องเข้าเรือนจำแล้ว เถ้าแก่มีแรงขึ้นมาทันที อยากจะลุกขึ้นจากบนพื้น
ใต้เตียงของอีกเตียงก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีอะไร
นายทหารลุกขึ้นยืน สงสัย ตอนที่เขาเดินเข้ามา ทั้งๆ ที่ได้กลิ่นยา แม้ว่ากลิ่นจะไม่แรง แต่มีจริงๆ แต่หกคนด้านนอกนั้น เมื่อครู่เขาดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีคนบาดเจ็บ
หันกลับไป มองไปทางเถ้าแก่ ความสงสัยในใจยิ่งมากขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่เถ้าแก่นี้มีท่าทางร้อนตัวเป็นอย่างมาก ต้องมีคนทานยาแน่นอน แต่เพราะเหตุใดจึงหาตัวไม่พบ
ขมวดคิ้ว คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
ก็ยังไม่มี รอดตัวไป เถ้าแก่แทบจะดีใจจนน้ำตาไหล รีบลุกขึ้นมาจากบนพื้น กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายทหาร ท่านดูสิ ข้าบอกแล้วว่าไม่มี ท่านก็ไม่เชื่อ”
เห็นท่าทางที่แตกต่างกับเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคนของเขาแล้ว นายทหารกะพริบตา อ้าปาก อยากจะกล่าวถามเพิ่มเติม แต่ทันใดนั้นก็คิดอะไรออก กลืนคำพูดที่จะเอ่ยลงไป ตบไหล่ของเถ้าแก่แรงๆ หลายครั้ง แล้วเดินก้าวขายาวออกไป
เถ้าแก่เดินตามหลังออกมาอย่างมีความสุข
ทหารที่ค้นอีกสามห้องก็ออกมา ต่างบอกว่าไม่มีอะไร
“ห้องที่เหลือก็ค้นให้หมด”
ทหารทุกคนรับคำสั่ง “ขอรับ” แล้วแยกย้ายกันไป
ในห้องนี้ไม่มี ห้องอื่นก็ยิ่งไม่มี เถ้าแก่ก็ไม่ร้อนตัวอีก ขาก็ไม่สั่นแล้ว มองดูทหารทุกคนค้นห้องพักที่มีแขกและไม่มีแขกทุกห้อง แล้วกลับมารายงานว่าไม่พบอะไรเลยอย่างสบายใจ
“เถ้าแก่ คนที่พวกข้าตามหานั้นเป็นผู้ร้ายที่สำคัญของราชสำนัก หากรู้เห็นเป็นใจ หรือซ่อนตัวผู้ร้าย แล้วถูกพวกข้าตรวจสอบเจอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร” นายทหารที่นำหน้าพูดเหมือนตักเตือนและขมขู่
สีหน้ามีความสุขบนใบหน้าของเถ้าแก่หยุดชะงักไป
นายทหารที่นำหน้ามองเขาด้วยสายตาที่มีความหมายแฝงอยู่ ไม่พูดจาอะไร หันหลัง นำคนลงไปชั้นล่าง ออกจากโรงเตี๊ยม แล้วไปค้นหาที่อื่น
เห็นเหล่าทหารหายไปจากหน้าประตู เถ้าแก่ถอนหายใจออกมาแรงๆ หนึ่งครั้ง ยกแขนเสื้อขึ้น เช็ดเหงื่อที่ออกมาอีกครั้งเพราะตกใจในคำพูดของนายทหาร กล่าวถามว่า “พวกท่าน พวกท่านว่า…”
“เถ้าแก่วางใจเถิด ไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนแน่นอน พรุ่งนี้เช้าตรู่พวกข้าทั้งครอบครัวก็จะไปทันที รวมทั้งคนที่พวกข้าพากลับมาด้วย” หลินหันเยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่จบประโยคของนาง ใจของเถ้าแก่ก็กลับมาอยู่ที่เดิม แม้ว่าพวกเขาไปแล้ว ตัวเองจะไม่ได้ค่าที่พัก แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับโรงเตี๊ยม จึงพยักหน้า “ก็ดี แต่ยาของคืนนี้…”
“ไม่ต้องต้มแล้ว อย่าสร้างปัญหาให้เถ้าแก่”
เถ้าแก่ยิ้มแล้วยกมือขึ้นขอบคุณ “ขอบคุณแม่นางที่เข้าใจ ข้าก็ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ เพราะว่าพวกข้าทั้งครอบครัวยังต้องพึ่งโรงเตี๊ยมนี้เพื่อทำมาหากินจริงๆ”
“พวกข้ารู้ จะไม่สร้างปัญหาให้เถ้าแก่เป็นอันขาด”
“ถ้าเยี่ยงนั้นก็ดี ถ้าเยี่ยงนั้นก็ดี ก็หวังว่าทุกท่านจะไม่คิดมาก ต่อไปถ้ามารัฐหมิงอีก ก็มาพักที่โรงเตี๊ยมข้าอีก”
“แน่นอน เถ้าแก่วางใจเถิด”
เถ้าแก่พยักหน้า แล้วเดินลงบันไดไป
หวงฝู่อี้เซวียนที่เข้ามาให้ห้องก็รีบเดินไปที่ข้างหน้าต่างทันที เปิดหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วดึงชายหนุ่มที่ถูกผ้ายาวมัดตัวไว้ แล้วถูกแขวนไว้ข้างนอกเข้ามา
อากาศเย็นมาก เวลานี้ชายหนุ่มนั้นหนาวจนสีหน้าขาวซีด ริมฝีปากซีดสั่นไปหมดแล้ว
หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนดึงเขาขึ้นมาแล้ว วางลงบนเตียง ยื่นมือไปเอาผ้าห่มห่มลงบนตัวของเขา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนาวหรือตกใจ ร่างกายของชายหนุ่มสั่นเล็กน้อย
หวงฝู่สือเมิ่งไปเทน้ำหนึ่งแก้วที่ข้างโต๊ะมาแล้วยื่นให้หวงฝู่เฮ่า ส่งสายตาให้เขายกไปให้ชายหนุ่มคนนั้น
ชายหนุ่มมือสั่นแล้วรับมา ค่อยๆ ดื่มลงไป ร่างกายเริ่มอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าเริ่มแดงขึ้น ริมฝีปากก็ไม่สั่นแล้ว กล่าวออกเสียงเบาๆ ว่า “ขอบคุณ”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 46
“พวกข้าไม่ถามชื่อของเจ้า แล้วก็ไม่สนใจประวัติความเป็นมาของเจ้า ในเมื่อลูกสาวของข้าช่วยเจ้าไว้แล้ว แน่นอนว่าพวกข้าทั้งครอบครัวก็ต้องปกป้องเจ้าให้ถึงที่สุด แต่ว่าพรุ่งนี้พวกข้าก็จะไปแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้ามีแผนการอันใดต่อหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถาม
หลินหันเยียนแปลทุกคำพูดให้เขาฟัง
ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่คิดว่าพวกเขาจะไป ในสายตานั่นมีความอาลัยอาวรณ์ ในขณะเดียวกันก็คิดอะไรขึ้นได้ กล่าวถามว่า “พวกเจ้าจะไปที่ใด กลับรัฐอู่หรือ แต่ว่าตอนนี้ชายแดนถูกปิด พวกเจ้ากลับไปไม่ได้แน่นอน”
ทุกคนรู้เรื่องที่ชายแดนถูกปิด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่คิดมาก กล่าวว่า “อันนี้พวกข้ามีวิธีของพวกข้า เจ้าไม่ต้องกังวล ว่าแต่เจ้า มีแผนการอันใดต่อหรือไม่”
ชายหนุ่มก้มตัวลงดื่มน้ำ แต่สายตากลับแอบมองหวงฝู่สือเมิ่งเล็กน้อย
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเข้า ก็ไอแรงๆ หนึ่งครั้ง เพื่อตักเตือน
ชายหนุ่มตกใจ รีบเงยหน้าขึ้น กล่าวถามว่า “พวกเจ้าช่วยข้าหนึ่งเรื่องได้หรือไม่”
“เจ้าพูด”
“ข้าเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ เจ้าช่วยข้าส่งไปที่ๆ หนึ่ง ไม่นานก็จะมีคนมารับข้า”
“ไกลหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถาม
หากไม่ไกล พวกเขาพิจารณาว่าสามารถช่วยได้ แต่ถ้าหากไกล ก็ได้แต่รบกวนเสี่ยวเอ้อร์ เพราะพรุ่งนี้เช้าตรู่พวกเขาทั้งครอบครัวจะต้องรีบผ่านชายแดนไปให้เร็วที่สุด เพื่อกลับไปที่รัฐอู่ เกรงว่าฉู่เหวินเจี๋ยและท่านอ๋องฉีไม่เห็นพวกเขาเสียที ร้อนใจ อาจเสียโอกาสดีๆ ขณะที่สู้รบกับองค์ชายใหญ่ได้
“อยู่ที่ศาลาว่าการที่หนึ่งของเมืองข้างหน้า ผู้บังคับบัญชาที่นั่นเป็นท่านน้าของข้าเอง นำจดหมายของข้าให้เขาก็พอ”
ระยะทางจากที่นี่ถึงเมืองข้างหน้า นั่งรถม้าใช้เวลาแค่ประมาณสี่ชั่วยาม หากขี่ม้าเร็วใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วยาม ท้องฟ้ายังไม่มืด วิ่งหนึ่งรอบไม่มีปัญหาอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ เจ้าเขียน พวกข้าช่วยเจ้าส่ง ไม่ว่าจะมีคนมารับเจ้าหรือไม่ พรุ่งนี้เช้าตรู่ พวกข้าจะต้องไปแน่นอน”
ชายหนุ่มพยักหน้า ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง ยกแก้วชามาที่ข้างโต๊ะ วางแก้วชาลง หยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมา ฝนหมึก แล้วรีบเขียนจดหมายให้เสร็จ พับให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ถอดป้ายหยกที่แขวนไว้ที่เอวออกแล้ววางลงบนโต๊ะพร้อมกับจดหมายที่พับเรียบร้อยแล้ว “ขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยมาก รอให้ท่านน้าของข้ามา ข้าจะขอบพระคุณพวกเจ้าเป็นอย่างดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง ลูกสาวของข้าช่วยเจ้า เพราะจิตใจดี มิใช่เพราะอยากให้เจ้าตอบแทน”
ชายหนุ่มฟังคำแปลจากหลินหันเยียนจบแล้ว สายตาก็มองไปทางหวงฝู่สือเมิ่งอย่างไม่รู้ตัว
น้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นมา “พอแล้ว เจ้าพักผ่อนก่อน พวกข้าไปช่วยเจ้าส่งจดหมาย”
ชายหนุ่มเก็บสายตา พยักหน้า แล้วขอบพระคุณอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา หันหลังแล้วเดินออกไป ในขณะที่เดินผ่านโต๊ะ ก็หยิบจดหมายและป้ายหยกขึ้นมา เมิ่งเชี่ยนโยวตามออกไป ที่เหลือก็ตามออกไป
มาถึงอีกห้องหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าไปส่งจดหมาย เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมา “เจ้าไม่เข้าใจภาษาของรัฐหมิง หากไปตัวคนเดียว แม้ว่าจะพบท่านน้าของชายหนุ่มคนนั้น ก็พูดไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ให้ข้าไปกับคุณหนูหลินเถิด ส่งจดหมายเสร็จพวกข้าจะกลับมาทันที ใช้เวลามากสุดก็แค่สี่ชั่วยาม”
ที่เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยนั้นเป็นความจริง แต่ให้พวกนางไปกันแค่สองคนเขาก็ไม่วางใจ แต่ถ้าหากเขาตามไปด้วย แล้วปล่อยให้เด็กๆ อยู่ในโรงเตี๊ยม เขาก็ยิ่งไม่วางใจ กัดริมฝีปาก สีหน้าก็ไม่ค่อยดี
“วางใจเถิด ไม่นานพวกข้าก็กลับมา” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วปลอบใจ
“เจ้าระวังตัวให้ดี นำสิ่งที่ควรพกพาไปด้วย”
สิ่งที่เรียกว่าควรพกพาก็คือมีดดาบสั้นและยาสลบ เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจว่าเขาหมายถึงสิ่งใด พยักหน้ารับรู้ หยิบของทั้งหมดแล้วก็ไปลานด้านหลังกับหลินหันเยียน จูงม้าสองตัวออกมา คนละหนึ่งตัว แล้วควบม้าตรงไปที่เมืองหน้าอย่างรวดเร็วทันที
ไม่ถึงสองชั่วยาม ก็ถึงประตูหน้าเมือง ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ในขณะที่ใกล้จะถึงหน้าประตูเมือง ทั้งสองขี่ม้าเข้ามาในเมือง แล้วสอบถามว่าที่ศาลาว่าการอยู่ที่ใด ขี่ม้ามาตลอดทางจนถึงหน้าประตูที่ศาลาว่าการ สอบถามเจ้าหน้าที่ว่าผู้บังคับบัญชาอยู่หรือไม่ พวกนางมีเรื่องสำคัญหาเขา
เจ้าหน้าที่ทำการมองพินิจพิเคราะห์ทั้งสอง เห็นว่าทั้งสองไม่เพียงแค่เป็นผู้หญิง ยังเป็นคนรัฐอู่อีกด้วย ในใจก็เกิดความระแวง ตะคอกถามว่า “พวกเจ้าหาผู้บังคับบัญชาเพราะเหตุใด”
“ผู้อื่นฝากมา ให้นำจดหมายมาให้เขา รบกวนช่วยพวกเจ้ารายงานด้วย ท้องฟ้ามืดแล้ว ประตูเมืองจะปิดแล้ว พวกข้ายังต้องรีบกลับไป” หลินหันเยียนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
เจ้าหน้าที่ทำการมองพวกนางอย่างไม่เชื่อ ยื่นมือออกมา “จดหมายอยู่ที่ใด เอามา ข้าช่วยพวกเจ้าส่งเข้าไป”
“เช่นนี้คงไม่เหมาะสม รับปากผู้อื่นมา ก็ต้องทำให้ได้ พวกข้ารับปากไว้แล้วว่าจะส่งจดหมายให้ถึงมือของท่านผู้บังคับบัญชา จะส่งให้เจ้าได้อย่างไร”
เจ้าหน้าที่ทำการดึงมีดใหญ่ที่อยู่ตรงเอวออกมา หมุนไปมาด้านหน้าหลินหันเยียน “อย่าพูดมาก เอาจดหมายออกมา ไม่เยี่ยงนั้น ข้าจะคิดว่าพวกเจ้าเป็นจารชนที่รัฐอู่ส่งมา แล้วจับพวกเจ้าเข้าเรือนจำ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังไม่เข้าใจ แต่ดูจากท่าทางและน้ำเสียงที่ไม่ดีของเจ้าหน้าที่ทำการแล้ว ก็ขมวดคิ้ว เดินออกมา ไม่พูดจา ยกขาขึ้น แล้วถีบเจ้าหน้าที่ทำการที่กำลังขมขู่ให้หลินหันเยียนตกใจออกไปทันที
หลินหันเยียนตกใจจนอ้าปากค้าง แล้วหันคอที่แข็งกลับไป ตาโตแล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวโยนเชือก เดินผ่านข้างๆ ตัวเอง แล้วดึงตัวเจ้าหน้าที่ทำการที่ล้มจนมึนงงขึ้นมา
เจ้าหน้าที่ทำการที่เหลือร้องตกใจ ต่างดึงมีดใหญ่ที่อยู่ตรงเอวออกมาแล้วยื่นตรงไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียน
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตาไปที่เจ้าหน้าที่ทำการทุกคนหนึ่งรอบ แล้วลากตัวเจ้าหน้าที่ทำการเข้าไปในที่ศาลาว่าการ
หลินหันเยียนรู้สึกตัวขึ้นมา ปิดปาก แล้วเดินตามหลังนางเข้าไปทันที
เดินตรงเข้ามาในที่ศาลาว่าการ
ผู้บังคับบัญชาที่ไปห้องโถงด้านหลังแล้ว ถูกเสียงเอะอะโวยวายของเจ้าหน้าที่ทำการรบกวน จึงเดินออกมาจากห้องโถงด้านหลัง “เอะอะเสียงดังอะไรกัน…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ เห็นเหตุการณ์ข้างหน้า ก็โมโหมาก จึงตะคอกด้วยความดุดันว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใด ช่างกล้ามาก ถึงกล้าทำเยี่ยงนี้กับเจ้าหน้าที่”
“ใต้ ใต้เท้า พวก พวกนาง…”
“ท่านคือผู้บังคับบัญชา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถาม
หลินหันเยียนแปล
ผู้บังคับบัญชายังไม่หายโมโห ออกเสียง “หึ” ออกมา “ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นผู้ใด ยังไม่รีบวางคนลงเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยเจ้าหน้าที่ลง แล้วกล่าวว่า “มีคนให้พวกข้ามาส่งจดหมายแล้วเจ้า”
“พูดจาเหลวไหล ข้าไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนรัฐอู่ จะมีผู้ใดส่งจดหมายให้ข้า ข้าดูเจ้าแล้ว…”
เมิ่งเชี่ยนโยวนำป้ายหยกออกมา แล้วยกขึ้นมาให้เขาดู
ผู้บังคับบัญชากลืนคำพูดลงไป ตาโต แล้วก้าวขายาวออกมา แย่งป้ายหยกจากมือนางไปทันที น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ตะคอกถามว่า “ป้ายหยกนี้อยู่ที่มือเจ้าได้อย่างไร”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าพูดต่อหน้าทุกคนเยี่ยงนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถาม
หลินหันเยียนเอ่ยทุกคำพูดให้ผู้บังคับบัญชาฟัง
ผู้บังคับบัญชาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก็เข้าใจคำพูดของนางทันที โบกมือ แล้วสั่งว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน!”
เจ้าหน้าที่ทำการทุกคนรับคำสั่ง เก็บมีดใหญ่ มีเจ้าหน้าที่สองคนก้าวออกมา พยุงตัวเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนพื้น แล้วเดินออกไปทุกคน
“รีบพูด เจ้ามีป้ายหยกนี้ได้เช่นไร” ทันทีที่เจ้าหน้าที่ทุกคนออกไป ผู้บังคับบัญชาก็รีบกล่าวถามทันที ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความร้อนใจและกังวลใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบจดหมายออกมา ยื่นไปข้างหน้าผู้บังคับบัญชา “เขาถูกคนไล่ฆ่า ลูกสาวของข้าช่วยไว้พอดี ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งในเขตชายแดน”
ผู้บังคับบัญชารับจดหมายมา รีบเปิดออกทันที แล้วดูหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว ใบหน้ามีความโมโหขึ้นมา สีหน้าก็ขรึมลงทันที ตะคอกด้วยความโมโหว่า “พวกเขาช่างกล้ายิ่งนัก จึงกล้า…”
ทันใดนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียนยังอยู่ จึงกลืนคำพูดที่เหลือลงไป สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วฝืนยิ้มออกมา ยกมือขึ้นขอบพระคุณ “ขอบพระคุณทั้งสองมาก รีบมาตลอดทางคงจะเหนื่อยมากแล้ว ไปพักที่ห้องโถงด้านหลัง แล้วดื่มชาก่อนถิด”
“ไม่ต้อง จดหมายส่งถึงมือ พวกข้าก็ควรกลับแล้ว หากช้ากว่านี้ ประตูเมืองก็ใกล้ปิดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ก็หันหลังเดินออกไปทันที
หลังจากหลินหันเยียนรีบแปลอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ตามออกไปทันที
“นี่ พวกเจ้า…” ผู้บังคับบัญชาอยากรั้งทั้งสองไว้
“จริงด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน หันหลัง “ก่อนที่พวกข้ามา มีทหารไปค้นที่โรงเตี๊ยม หากพวกเจ้าไปรับคน ก็รีบหน่อย”
“อืม ได้” ผู้บังคับบัญชารับรู้ มองดูทั้งสองคนหายไปจากด้านนอกประตูที่ศาลาว่าการ เก็บสีหน้าเมื่อครู่ บนใบหน้าแสดงสีหน้าดุร้ายออกมา เอามือไขว้หลัง แล้วตะโกนกับอากาศว่า “ออกมา”
ร่างที่หลบซ่อนอยู่ในที่มืดกระโดดออกมาอยู่ข้างหน้าเขาอย่างรวดเร็ว “นายท่าน”
“ส่งคนตามสองคนเมื่อครู่ไป แล้วปกป้องเปาเอ๋อร์ให้ดี”
รับคำสั่ง ถอยออกไป แล้วโบกมือ ก็มีอีกหลายคนกระโดดออกมาจากที่มืด แล้วตรงไปทางที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียนไปอย่างรวดเร็ว
ผู้บังคับบัญชาสั่งเสร็จ ก็สะบัดเสื้อขึ้น ไปที่ลานด้านหลัง ไม่นานก็ขี่ม้าหนึ่งตัวออกมา ไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ตลอดทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียนกลับมาที่โรงเตี๊ยม
ท้องฟ้ามืดหมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนยืนรออยู่ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม ได้ยินเสียงม้าวิ่ง ก็ตาโตขึ้นมาทันที ยกข้าแล้วเดินออกไปต้อนรับ
เถ้าแก่แอบมองแผ่นหลังเขา พึมพำในใจ ไม่เคยพบชายใดที่รักภรรยามากเยี่ยงนี้มาก่อน ตั้งแต่หนึ่งชั่วยามที่แล้วก็เริ่มมายืนรอที่นั่นแล้ว ไม่เดินไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ตอนนี้เห็นคนแล้ว ก็ยังเดินออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าแม่นางคนนั้นสะสมบุญวาสนามากี่ชาติ จึงได้สามีที่มีหน้าตาหล่อเหลา แล้วยังรักนางมากเยี่ยงนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เห็นเขา ดึงเชือกให้หยุด กระโดดลงมาจากหลังม้า ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “รอจนใจร้อนแล้วหรือ วางใจเถิด ตลอดทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เงยหน้าขึ้น แล้วกวาดสายตาไปด้านหลังนางด้วยสีหน้าเรียบ เก็บสายตา แล้วนำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้คลุมบนตัวนาง โอบนางแล้วเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม “หนาวแล้วสิ กลับห้องไปดื่มน้ำร้อนเถิด”
หลินหันเยียนผู้ที่ถูกลืมมองหลังทั้งสองด้วยความอิจฉา อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า หากตอนนั้นตัวเองไม่ทำเรื่องราวเกินเลยเช่นนั้น วันนี้เขาและหวงฝู่อวี้ก็น่าจะเป็นเยี่ยงนี้
กลับไปที่ห้อง หวงฝู่อี้เชวียนเทน้ำร้อนหนึ่งแก้ว วางลงบนมือของเมิ่งเชี่ยนโยว “ถือไว้ ให้ร่างกายอุ่นก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถือไว้ แล้วก้มตัวลงไปดื่มหนึ่งคำ เงยหน้าขึ้น แล้วพูดเรื่องราวเมื่อสักครู่ให้เขาฟัง
“ในเมื่อคนของพวกเขามาถึงแล้ว พรุ่งนี้เช้าตรู่เรารีบกลับไปกันเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ เงยหน้าขึ้นมองเขา
หวงฝู่อี้เซวียนอธิบาย “ด้านหลังเจ้ามีคนตามมา เก็บลมหายใจ วิชาต่อสู้ไม่ธรรมดา เพียงพอสำหรับดูแลปกป้องเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมา “ข้ากลับไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ดูแล้วหลายปีนี้ข้าใช้ชีวิตที่เงียบสงบมานานเกินไปแล้วจริงๆ”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 47 ช่วยเหลือ
หวงฝู่อี้เซวียนก้าวออกมา จับเส้นผมที่เปียกเล็กน้อยของนาง “นี่เป็นชีวิตที่ข้าอยากให้เจ้ามี”
หลายปีนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ เล่าเรื่องราวในชาติก่อนของตัวเองให้เขาฟังทีละเล็กทีละน้อย หวงฝู่อี้เซวียนปวดใจมาก จึงยิ่งดีกับนางมากขึ้น ดีจนบางครั้งตัวเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็รับไม่ไหว
ยิ้มไม่พอใจเขาหนึ่งที เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “หากเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์แล้วจริงๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนโน้มตัว ก้มศีรษะ มองตรงไปที่ดวงตาของนาง “ข้าอยากให้เจ้ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ เยี่ยงนั้นข้าจะได้เลี้ยงดูเจ้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง ไม่สนใจเขาอีก แกล้งทำเป็นหิวน้ำแล้วก้มศีรษะลงดื่มน้ำ
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มกว้าง ลุกขึ้นยืน ไปข้างนอก ทำสัญญาณมือให้เสี่ยวเอ้อร์นำอาหารมาส่งที่ห้อง
ทานอาหารเย็นเสร็จ พักผ่อนชั่วครู่ แล้วกำชับให้ทุกคนนอนพักผ่อนเช้าๆ เมิ่งเชี่ยนโยวถอดเสื้อแล้วขึ้นบนเตียง นอนลงบนอ้อมกอดของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่นานก็หลับลึกลงไป
หวงฝู่อี้เซวียนลืมตาขึ้นมา หูตั้ง ฟังการเคลื่อนไหวของห้องข้างๆ เหมือนได้ยินเสียงพูดคุยกันเบาๆ จึงวางใจลง เก็บความคิด แล้วก็หลับลึกลงไป
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ ตกใจตื่นเพราะเสียงเคาะประตูแรงๆ “เปิดประตู เปิดประตู เข้าแถวตรวจสอบ”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตกใจตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน เหตุใดเสียงนี้จึงฟังดูคุ้นเคย นั้นคือนายทหารที่มาเมื่อตอนกลางวัน ในใจเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา ลุกขึ้นจากเตียง แล้วออกมาด้านนอกห้อง
แขกในโรงเตี๊ยมตกใจตื่นขึ้นมาทุกคน
เถ้าแก่ที่ได้ยินการเคลื่อนไหว สวมเสื้อคลุมแล้วรีบวิ่งมาจากลานด้านหลังทันที สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ดึงไม้ที่ปิดประตูออก
ประตูถูกเปิดออกจากทางด้านนอกทันที กลุ่มทหารเมื่อตอนกลางวันพุ่งเข้ามาทันที ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็พุ่งตรงขึ้นไปชั้นสองทันที
เข้าใจจุดประสงค์ของพวกเขาแล้ว สีหน้าของเถ้าแก่ก็ซีดขาวขึ้นมาทันที
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวขยับตัว ขวางตรงด้านหน้าห้องของชายหนุ่ม
ทหารทุกคนที่ขึ้นมาใช้อาวุธชี้ตรงไปทางพวกเขา ส่วนนายทหารที่นำหน้าคะคอกด้วยความโมโหตรงๆ ว่า “หลีกไป ไม่เยี่ยงนั้นข้าจะจับกุมพวกเจ้าไปด้วย”
ทั้งสองคนไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวทำสัญญาณมือว่าฟังไม่เข้าใจอย่างจนใจ
ทหารที่นำหน้าจึงคิดขึ้นได้ว่าพวกเขาฟังภาษาของตัวเองไม่ออก ร้อนใจมาก จึงยื่นมือออกมา จะดึงตัวเมิ่งเชี่ยนโยว
หวงฝู่อี้เซวียนสะบัดมือเล็กน้อย ร่างกายของนายทหารที่นำหน้าไม่มั่นคง สะดุดไปด้านหลังสองก้าว
“โทวเอ๋อร์” ทหารที่อยู่ด้านหลังร้องตกใจออกมา สายตาไวมือไวดึงตัวที่เอนออกไปด้านนอกของบันไดแล้วครึ่งตัวของเขาไว้
นายทหารที่นำหน้ายืนตรงโดยที่ใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสียงตะคอกโมโหยิ่งรุนแรงมากขึ้น “เจ้าคนโง่เขลา กล้าลงมือกับข้า ข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว” พูดจบ โบกมือ สั่งทหารด้านหลังว่า “ไป จับตัวพวกเขา แล้วกลับไปรับรางวัล”
ทันทีที่พูดจบ ทหารทุกคนพุ่งตัวออกไปทันที จะลงมือกับทั้งสอง
“หยุดเดี๋ยวนี้” เสียงน่าเกรงขามดังขึ้นมาจากด้านนอกโรงเตี๊ยม ตามมาด้วยชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อผ้าสีแดงเข้ม บนเอวมีเข็มขัดสีเดียวกันที่เดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนที่ถือคบเพลิงไว้ในมือ เงยหน้าขึ้น มองเห็นเหตุการณ์ด้านหน้าอย่างชัดเจน บนใบหน้าที่ใกล้เคียงกับชายหนุ่มเล็กน้อยนั้นแสดงสีหน้าขุ่นเคืองออกมา “บอกพวกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าอย่าทำร้ายคนบริสุทธิ์”
นายทหารที่นำหน้ารีบยกมือรับคำสั่งทันที “ขอรับ องค์…” คิดอะไรขึ้นได้ จึงรีบเปลี่ยนคำพูด “ขอรับ คุณชาย”
พูดจบ โบกมือ ทหารทุกคนจึงเก็บอาวุธทันที
คนที่มาค่อยๆ ขึ้นมาชั้นบน เดินมายืนตรงตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว แสดงรอยยิ้มที่อบอุ่นออกมา ท่าทางจริงใจ น้ำเสียงจริงใจ “ทำให้ทั้งสองท่านต้องตกใจ ขอประทานโทษจริงๆ”
ทั้งสองคนแสดงสีหน้าที่ฟังไม่เข้าใจ ไม่พูดจา
สีหน้าของคุณชายเริ่มข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่
นายทหารที่นำหน้ารีบอธิบายทันทีว่า “คุณชาย พวกเขาไม่เข้าใจคำพูดของเรา”
สีหน้าของคุณชายจึงผ่อนลงเล็กน้อย แสดงรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง ใช้น้ำเสียงอบอุ่นกล่าวถามนายทหารที่นำหน้าว่า “มีผู้ใดพูดภาษารัฐอู่ได้หรือไม่”
นายทหารที่นำหน้ากำลังอ้าปากจะตอบ หลินหันเยียนแต่งตัวเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้องพักของตัวเอง เดินมาถึงด้านหน้าทุกคน กล่าวว่า “ข้าพูดเป็นเจ้าค่ะ”
คุณชายรีบมองพินิจพิเคราะห์นาง ยิ้มแล้วกล่าวด้วยท่าทีอบอุ่นว่า “รบกวนทุกท่านแล้ว พวกข้ามาตามหาน้องชายของข้า หลายวันก่อน เขาดื้อรั้น หนีออกจากบ้าน โชคร้ายถูกคนชั่วทำร้าย ได้ยินว่าพวกเจ้าช่วยไว้ ข้าจึงตั้งใจมารับเขากลับไป”
ในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของคุณชายนั้นมีความกังวลใจเป็นอย่างมาก ท่าทางเป็นห่วงน้องชายมาก เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ทุกคน แล้วก็แขกที่มีไม่มากที่มาพักในโรงเตี๊ยมต่างเชื่อในคำพูดของเขาทุกคน จึงมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกัน หลายวันนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าในหกคนนี้ สองสามีภรรยาคู่นี้เป็นผู้นำ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพวกเขา
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ ยังคงยืนตรงด้านหน้าห้อง หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามด้วยอารมณ์ปกติ น้ำเสียงเรียบๆ ว่า “คุณชายท่านนี้ ท่านจะยืนยันได้อย่างไรว่าคนที่พวกข้าช่วยไว้นั้นเป็นน้องชายของท่าน”
ฝั่งตรงข้ามนั้นเตรียมพร้อมมากลางดึก แล้วยังมาพร้อมกับทหารเยี่ยงนี้ หากเขายังปิดบังบอกว่าไม่มีคนอีก ย่อมหลอกพวกเขาไม่ได้แน่นอน หวงฝู่อี้เซวียนจึงยอมรับตรงๆ ว่าตัวเองช่วยคนไว้ แต่หากใช้แค่เพียงคำพูดไม่กี่คำของเจ้าบอกว่านั้นเป็นน้องชายของเจ้าแล้ว พวกเขาไม่เชื่อ ความหมายของคำพูดคือให้เขานำหลักฐานออกมายืนยัน
ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยถามเยี่ยงนี้ คุณชายเริ่มขมวดคิ้ว บนใบหน้าเริ่มมีสีหน้าหงุดหงิดออกมา หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ การคาดเดาในใจได้รับการยืนยัน รู้ว่าหากวันนี้ให้คุณชายท่านนี้นำตัวชายหนุ่มไป กลัวว่ายังไม่ทันออกจากโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่มีชีวิตแล้ว
ไม่นานคุณชายก็คลายคิ้วที่ขมวดเป็นปม แสดงรอยยิ้มออกมา ชี้ไปที่หน้าของตัวเองแล้วกล่าวว่า “น้องชายของข้าเหมือนข้ามาก”
“บนโลกนี้มีผู้คนมากมายที่มีใบหน้าคล้ายกัน หรือว่าพวกเขาก็เป็นพี่น้องแท้ๆ เหมือนกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับไป
ฟังหลินหันเยียนแปลเสร็จแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณชายฝืนต่อไปไม่ไหว หายไปจนหมด แสดงสีหน้าขุ่นเคืองออกมา น้ำเสียงก็เริ่มดุดันขึ้นมา “หากเอ่ยเยี่ยงนี้ นั่นคือทั้งสองท่านจะไม่ให้ข้าพบน้องชายของข้า?”
มองไปทางด้านนอกโรงเตี๊ยมเล็กน้อยด้วยสีหน้าเรียบๆ คบเพลิงที่ถูกยกขึ้นสูงกับเงาตะคุ่มของผู้คน นั้นเห็นได้ชัดว่าคุณชายได้นำผู้คนมามากมาย หากตัวเองและโยวเอ๋อร์ยังยืนยันว่าจะไม่ให้พบคน แล้วลงมือขึ้นมา เกรงว่าฐานะของตัวเองอาจจะถูกเปิดเผย พรุ่งนี้เช้าตรู่อาจจะออกไปไม่ได้ แผนการในวันนี้ ทำได้เพียงหาวิธียื้อเวลา รอให้ท่านน้าของชายหนุ่มส่งคนมา ในขณะที่ใช้ความคิด ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวว่า “คุณชายท่านนี้พูดผิดแล้ว ดูจากฐานะของท่านแล้ว คิดว่าไม่น่าใช่คนธรรมดา ถ้าเยี่ยงนี้ พวกข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว พวกข้าเสียกำลังมากมายเพื่อช่วยชีวิตน้องชายท่านไว้ หลายวันนี้จะให้ดูแลเปล่าๆ ได้อย่างไรใช่หรือไม่”
ที่แท้ก็ต้องการค่าตอบแทนนี่เอง ในใจของคุณชาย “หึ” ออกมา บนใบหน้าแสดงรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา แต่ไม่นานก็หายไป กลายเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นทันที กล่าวตอบรับทันทีว่า “แน่นอน ทั้งสองท่านอยากได้เท่าไรล่ะ พูดออกมาได้เลย แม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองทุกอย่างของครอบครัวข้า ข้าก็จะไม่เอ่ยขัดแม้แต่คำเดียว”
พูดจาชัดเจนและมีพลัง แสดงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของตัวเองและน้องชายออกมาได้อย่างสมบูรณ์ หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่น อาจจะหลอกผ่านไปได้ แต่เสียดายที่เขาโชคร้าย เจอกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาเคยเล่นกันเมื่อหลายปีก่อน อยากจะหลอกพวกเขานั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอน
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยออกมา มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าคุณชายสามารถให้ได้เท่าไหร่”
ไม่เอ่ยจำนวนเงิน นำเรื่องยากโยนให้เขาตรงๆ คุณชายหยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วมองพินิจพิเคราะห์เขาใหม่อีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่หลบ ยิ้มมุมปาก แล้วปล่อยให้เขาพินิจพิเคราะห์ด้วยสีหน้าที่รอคอย
เห็นสีหน้าของเขาแล้ว คุณชายเก็บสายตา คิดในใจหลายรอบ แล้วไอออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง “ทองคำหนึ่งหมื่นชั่งได้หรือไม่”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ ทั้งโรงเตี๊ยมนั้นมีแต่เสียงสูดหายใจเข้าลึกๆ ทองคำหนึ่งหมื่นชั่ง เป็นจำนวนตั๋วเงินที่มากมายเหลือเชื่อมาก
หวงฝู่อี้เซวียนแสดงสีหน้าตกใจออกมาพอดี “คุณชายใจกว้างมาก นี่เป็นเงินทองที่พวกข้าสองสามีภรรยาหาหลายชาติก็ไม่ได้”
ได้ผลแล้ว คุณชายแสดงสีหน้าดีใจออกมา กล่าวถามด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเยี่ยงนั้นท่านสามารถให้ข้าพบน้องชายข้าได้หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัวไปมา
สีหน้าของคุณชายหยุดชะงักไป
หวงฝู่อี้เซวียนอธิบายอย่างไม่รีบร้อนว่า “คุณชายก็รู้ว่าพวกข้าเป็นคนรัฐอู่ ขอแค่ชายแดนเปิด พวกข้าก็จะกลับไปแล้ว หากพวกข้ารับทองคำหนึ่งหมื่นชั่งนี้ เกรงว่าแม้แต่หมู่บ้านเล็กๆ นี้ก็ออกไปไม่ได้ ก็จะมีผู้คนที่โลภมากมากมายตามไล่ฆ่า ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัย เรามาคุยเงื่อนไขหนึ่งข้อกันเถิด”
“เจ้าพูด”
“ทองคำนั้น พวกข้าไม่เอาแล้ว แต่รอหลังจากพรุ่งนี้เช้าแล้ว คุณชายส่งคนไปส่งพวกข้าออกจากชายแดนได้หรือไม่”
“นี่…” คุณชายพึมพำ ปิดชายแดนนั้น เป็นคำสั่งของท่านพ่อ ไม่มีสาสน์ของเขา ผู้ใดก็อย่าคิดที่จะเปิดประตูเมืองของชายแดน แต่ถ้าหากไม่รับปาก ดูท่าทางของทั้งสองแล้วไม่ให้เขาเห็น ‘น้องชายที่ดี’ ของตัวเองแน่นอน ส่วนเขาก็จะพลาดโอกาสลงมือที่ดีไป
นึกถึงตรงนี้ ก็แสดงรอยยิ้มออกมา พยักหน้า “ได้ ข้ารับปากเจ้า พรุ่งนี้เช้าตรู่ข้าจะสั่งให้คนไปส่งพวกเจ้าออกชายแดน”
“ถ้าเยี่ยงนั้น พรุ่งนี้เช้าตรู่หลังจากส่งพวกข้าออกจากชายแดนไปแล้ว ท่านค่อยพบน้องชายของเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
คุณชายหยุดชะงักไปชั่วครู่ เงยหน้าขึ้น มองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว จนเห็นสายตาเยาะเย้ยของนางแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด ก็เข้าใจทันทีว่านางรู้แล้วว่าตัวเองตั้งใจหลอกพวกเขา
ความคิดล้มเหลว ในใจก็โมโหมาก น้ำเสียงคำพูดก็เริ่มดุดันขึ้นมา กล่าวถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ถ้าเยี่ยงนั้น วันนี้ทั้งสองท่านคือจะไม่ดื่มสุราคารวะแต่จะดื่มสุราปรับโทษแทนใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมา “คุณชายพูดผิดแล้ว พวกข้าสองสามีภรรยาไม่เคยดื่มสุราเลย”
ทันทีที่นางพูดจบ ไม่เพียงแต่คุณชาย แต่ทหารและคนในโรงเตี๊ยมที่เข้ามาก็หยุดชะงักไปทันที ผ่านไปสักพักก็ยังไม่รู้สึกตัว
คุณชายโมโหโกรธมาก “ถ้าเยี่ยงนั้น ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ทันทีที่พูดจบ โบกมือ กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็ลงมือไปทางหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทันที
ผู้คนเคลื่อนไหว มีเสียงคร่ำครวญ มีเสียงตกลงมาจากบนที่สูง มีหลายคนตกลงจากชั้นสอง ตกลงมาที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง เลือดไหลออกมาจากปาก จมูกและมุมปาก กลายเป็นคนที่เหมือนไม่มีชีวิต
ผู้คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมที่ยื่นคอออกมาดูเหตุการณ์ตกใจกันเป็นอย่างมาก ต่างถอยหลังออกไป
เถ้าแก่ตกใจสั่น แขนขาอ่อนแรง
คุณชายตกใจ เขาอยู่ใกล้ เห็นชัดเจน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนใช้แค่ท่าเดียวก็ทำให้คนของตัวเองตกลงไป กดความตกใจในใจไว้ เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น “ที่แท้ก็คือจารชนจากรัฐอู่ กุมตัวเดี๋ยวนี้”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 48 กำลังเสริมมาถึง
ทันทีที่พูดจบ ก็มีเสียงตอบรับที่สั่นสะเทือน สงครามเลือดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ประตูห้องถูกเปิดออก ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้อง สั่งอย่างน่าเกรงขามว่า “หยุดเดี๋ยวนี้”
ทุกคนหยุดชะงัก ต่างมองมาที่เขาพร้อมกัน ทันทีที่เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนแล้ว ก็มีเสียงสูดหายใจเข้าลึกๆ ต่อเนื่องกันเป็นระลอก
คุณชายโบกมือ ทหารและกลุ่มคนที่มาพร้อมกับเขาที่กำลังจะก้าวออกไปต่างถอยกลับมายืนข้างหลังเขาด้วยความเคารพ
“น้องชายที่รักของข้า เจ้าออกมาจนได้ ให้พี่หาเสียนาน” ในน้ำเสียงของคุณชายไม่มีความยินดีใดๆ ทั้งสิ้น กลับมีเพียงความเยาะเย้ยเล็กน้อย
“ลำบากพี่ใหญ่ที่ต้องเป็นห่วง ไม่รู้เพราะเหตุใดพี่จึงระดมผู้คนมาเป็นจำนวนมากมายเยี่ยงนี้” ชายหนุ่มยืนตรง กล่าวถามด้วยท่าทางมีสง่าราศี ไม่รีบร้อน
“แน่นอนว่ามาพาเจ้ากลับจวน ท่าน…” พูดถึงนี้ ก็หยุดชะงักไป “รู้ว่าเจ้าบาดเจ็บ ท่านพ่อเป็นห่วงมาก สั่งให้ข้ามารับเจ้ากลับจวน”
“ใช่หรือ” ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “หากท่านพ่อรู้ว่าข้าบาดเจ็บจริงๆ จะส่งเจ้ามารับข้าหรือ พี่ใหญ่ที่ดีของข้า”
โรงเตี๊ยมนี้ไม่ว่าข้างในหรือข้างนอกก็ถูกคนของตัวเองล้อมไว้หมดแล้ว ชายหนุ่มก็ถือว่าอยู่ในกำมือของตัวเองแล้ว แม้ว่าจะติดปีกก็บินหนีออกไปไม่ได้ คุณชายก็ไม่รีบร้อน กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเป็นพี่ใหญ่ แน่นอนว่าต้องเป็นข้าที่มารับเจ้า หรือว่าน้องชายหวังให้ผู้อื่นมารับ”
“หวังแน่นอน เพราะว่าปกติพี่ใหญ่เอาแต่กดขี่ข่มเหงข้า หากวันนี้ตามพี่กลับไป ไม่รู้ว่าข้าจะยังมีชีวิตอยู่รอดถึงพรุ่งนี้หรือไม่” ชายหนุ่มเปิดเผยตัวตนที่เสแสร้งของเขาออกมาอย่างไร้ความปรานี
ชายหนุ่มหยุดชะงักไป ไม่นานก็ตามมาด้วยความโมโห “น้องเล็ก ความหวังดีของพี่ใหญ่นั้นถูกเจ้าทำลายไปหมดแล้ว ช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก แต่ว่า ใครให้เจ้าเป็นน้องชายละ เห็นแก่ที่เจ้าอายุน้อยไม่รู้เรื่อง ข้าจะไม่ว่าเจ้า อย่าพูดมาก รีบตามข้าไปเถิด”
“หากข้าไม่ไปละ” ชายหนุ่มกล่าวถามอย่างเรียบๆ อีกครั้ง
สายตาของคุณชายแสดงเจตนาอยากฆ่าคนออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ถ้าเยี่ยงนั้นก็ให้ทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมนี้ตายเป็นเพื่อนเจ้าทั้งหมด”
นี่คือจะฆ่าปิดปากแล้ว เถ้าแก่และคนในโรงเตี๊ยมต่างเข้าใจความหมายของคำพูดของเขา ต่างตัวสั่นขึ้นมาพร้อมกัน สีหน้าเริ่มซีดขาว สายตามองออกไปข้างนอกบ่อยครั้ง เพื่อประเมินว่าตัวเองสามารถหนีออกไปได้หรือไม่
“นี่คือตัวตนที่แท้จริงของพี่ใหญ่ใช่หรือไม่ เกลียดข้าอยากกำจัดข้ามาโดยตลอด”
“อย่าพูดมาก หากรู้ตัวก็ไปกับข้า ข้าจะปล่อยคนในโรงเตี๊ยมไป”
“พี่ใหญ่หลอกเด็กสามขวบอยู่หรือ หากข้าไปกับพี่ เกรงว่าพวกเขาจะตายเร็วขึ้น” ชายหนุ่มเปิดโปงเขาอย่างไร้ความปรานี
ใบหน้าเสแสร้งของคุณชายฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว “ถ้าเยี่ยงนั้น ก็ให้พวกเขาร่วมเดินทางไปที่ปรโลกเป็นเพื่อนเจ้าเถิด”
ทันทีที่พูดจบ ก็มีหลายคนพุ่งออกมาจากด้านหลังของเขา พุ่งดาบแหลมคนในมือไปทางชายหนุ่ม
ชายหนุ่มไม่ขยับ มีหลายคนกระโดดออกมาจากห้อง ขวางตรงหน้าเขาไว้
เห็นคนสวมชุดดำแล้วปิดตาไว้ คุณชายหรี่ตาลง ตอนที่ชายหนุ่มออกจากจวน คนที่พาออกมาด้วยนั้นถูกคนที่ตัวเองส่งตัวไปฆ่าทิ้งหมดแล้ว มีเพียงเขาผู้เดียวที่หนีรอดออกมา ส่วนผู้คนที่อยู่ตรงหน้านี้มาจากที่ใดกัน หรือว่าเขาส่งข่าวออกไปแล้ว ถ้าเยี่ยงนั้นไม่นานก็จะมีคนมา ใช้ความคิด แล้วรีบตะคอกทันทีว่า “ฆ่าให้หมด”
ทันทีที่เขาพูดจบ คนข้างหลังกระโดดออกมาทั้งหมด ล้อมโจมตีคนชุดดำทันที
ทหารที่นำหน้าก็ดึงมีดใหญ่ที่อยู่ตรงเอวออกมาทันที อยากจะเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย อยากจะแสดงฝีมือต่อหน้าคุณชาย น่าเสียดายที่ชั้นสองนั้นมีพื้นที่แคบมาก ไม่มีที่ให้เขาแสดง ทำได้เพียงถือมีดใหญ่ไว้ แล้วเพ่งมองอย่างถมึงทึงอยู่ข้างๆ อยากหาโอกาสเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวได้กำชับหวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่าไว้แล้ว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ให้พวกเขาหลบอยู่ในห้องห้ามออกมา เหตุฉะนั้นห้องที่ทั้งสามอยู่จึงปิดไว้แน่นตลอดเวลา
คนที่คุณชายพามาถูกตีออกไป ชนกับประตูห้องพักของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์พอดี
ปัง ประตูถูกชนออก คนนั้นเข้ามาในห้อง
ในขณะที่ทุกคนยังไม่รู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น คนนั้นก็ถูกโยนออกมาจากข้างใน ตกลงไปที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง ร้องออกเสียงออกมาเบาๆ แล้วตกลงมาบนพื้น ทันใดนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากปากและจมูกของเขาทันที
ทหารที่นำหน้าเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็รู้สึกว่าโอกาสของตัวเองมาถึงแล้ว ถือมีดใหญ่แล้วตรงเข้าทันที “จารชนใจกล้า พวกเจ้าออกมารับความตายเสียเถอะ”
เพิ่งจะเดินได้สองก้าว ข้างๆ ก็มีหนึ่งขายื่นออกมา
ในสายตาของทหารที่นำหน้านั่นมีเพียงแสงสว่างจากการสร้างผลงาน จึงเอาแต่มุ่งหน้าไปอย่างเดียว ไม่ได้สังเกต จึงสะดุดขา มีดใหญ่ลอยออกไป ส่วนคนล้มลงบนพื้น กำลังจะด่าว่า มีดใหญ่ที่บินออกไปนั้นลอยกลับมาอีกครั้ง ตกลงมาบนพื้นที่ห่างจากด้านหน้าของเขาไม่ถึงหนึ่งนิ้วเหมือนมีตา
คำด่าที่ทหารจะเอ่ยออกมานั้นตกใจจนถูกกลืนลงไปทันที ดวงตามองขึ้นบน แล้วสลบไปทันที
คุณชายมองเขาอย่างรังเกียจ แล้วไม่สนใจอีก
ส่วนเถ้าแก่นั้นหลบเข้าไปในมุมนานแล้ว มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความกลัวจนใจเต้นรัว ในใจนั่นก็เสียใจเป็นอย่างมาก ที่เห็นแก่ค่าที่พักของคนกลุ่มนี้ ให้พวกเขาพัก ตอนนี้อย่าว่าแต่รักษาโรงเตี๊ยมไว้เลย แม้แต่ชีวิตก็ยากที่จะรักษาไว้ได้
ตกลงมาติดต่อกันหลายคน แขกที่เงยหน้ามองขึ้นไปดูจากห้องโถงชั้นหนึ่งต่างก็ตกใจกันทุกคน รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องพักของตัวเองด้วยสีหน้าขาวซีด ภาวนาตัวสั่นขอให้ตัวเองไม่เสียชีวิตที่นี่
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ มองดูการต่อสู้ที่วุ่นวายตรงหน้า ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ชายหนุ่มมองดูพวกเขาด้วยความแปลกใจ กลัวถูกจับได้ จึงรีบเก็บสายตาอย่างรวดเร็ว
มีเสียงม้าวิ่งที่สั่นสะเทือนดังมาแต่ไกล รู้สึกเหมือนใกล้ถึงหน้าโรงเตี๊ยมแล้ว
สีหน้าของคุณชายเปลี่ยนทันที ไม่ลังเลอีกต่อไป ดึงอาวุธออกมา แล้วโจมตีไปทางชายหนุ่มด้วยเจตนาฆ่าอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มเดินถอยหลังหนึ่งก้าว
คุณชายตาม ในขณะที่เห็นว่าดาบแหลมคมกำลังจะแทงเข้าไปตรงอกของชายหนุ่มแล้ว มีเสียง เคร้ง ดังออกมา มีมีดดาบสั้นขวางดาบแหลมคมของเขาไว้ เกิดเสียงดาบปะทะกันดังขึ้นมา
คุณชายเงยหน้าขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวมองตาของเขา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่ง่ายเลยที่พวกข้าช่วยชีวิตเขาไว้ จะให้เจ้าฆ่าง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้”
คุณชายหรี่ตาลง มองดูใบหน้าที่มีรอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยน แล้วฟังเสียงม้าวิ่งที่ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนเร่งเอาชีวิต จึงดึงดาบแหลมคมกลับมา แล้วกัดฟันสั่งว่า “ถอย”
หลังจากผู้คนที่เขาพามาใช้แรงในการโจมตีอย่างมาก เพื่อให้คนชุดดำล่าถอยไป กลับมาอยู่ข้างๆ เขา กลุ่มคนที่มาพร้อมกับเขาต่างกระโดดจากชั้นสองลงไป ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือว่าตั้งใจ ตอนที่คนสุดท้ายจากไปนั้น ได้เดินผ่านร่างทหารที่สลบอยู่พอดี แสงดาบสะท้อน คอของทหารมีรอยเลือดขึ้นมาทันที ไม่นานแขนขากระตุก คนก็ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป
ทันทีที่ถึงพื้น ก็ไม่ล่าช้าแม้แต่น้อย ตรงออกไปข้างนอกโรงเตี๊ยมทันที กวาดสายตาไปทางเหล่าทหารมากมายที่ยกคบเพลิงไว้ข้างนอก แล้วก็หายไปจากความมืดอย่างรวดเร็ว
เถ้าแก่ที่ตกใจจนแขนขาอ่อนแรง ล้มนั่งลงบนพื้นแล้วโล่งอกที่รอดชีวิตจากเรื่องร้ายไปได้ จับศรีษะที่ยังอยู่บนคอ ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นโชคดีมาก ที่ผ่านเรื่องนี้มาได้ สมองที่ไม่ค่อยฉลาดของตัวเองก็รักษาไว้ได้แล้ว แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงม้าวิ่งที่มาถึงหน้าโรงเตี๊ยมแล้ว สีหน้าก็ขาวซีดขึ้นมาอีกครั้งทันที รีบคลานไปอีกมุมหนึ่งที่ไกลมากกว่านี้ คิดไว้ว่าหลังจากเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว หากตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตที่เหลือจะไม่เปิดโรงเตี๊ยมอีกเป็นอันขาด
ถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม เสียงม้าวิ่งหยุดลง มีคนสิบกว่าคนกระโดดลงมาจากหลังม้า คนที่นำหน้าคือผู้บังคับบัญชาที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียนไปพบมาเมื่อวาน เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมพร้อมกัน เงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ ราวบันได ก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบกล่าวว่า “องค์…”
“ท่านน้า พวกท่านมาพอดี หากช้ากว่านี้ ข้าก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว” ยังไม่ทันกล่าวจบ ชายหนุ่มรีบพูดขัดจังหวะเขาทันที
พอผู้บังคับบัญชาได้ยิน ก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจทันที รีบขึ้นมาถึงชั้นบน ทั้งสองก้าวขายาวมาอยู่ข้างๆ เขา ตรวจทั้งข้างหน้าข้างหลัง ข้างบนข้างล่างของร่างกายเขาอย่างละเอียด ไม่เห็นรอยบาดแผลภายนอก จึงโล่งอก กล่าวถามว่า “คนติดตามของเจ้าล่ะ เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดเลย”
สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมลง “พวกเขาเสียชีวิตหมดแล้ว ส่วนข้านั้นเป็นเพราะคนใจดีกลุ่มนี้ช่วยข้าไว้ จึงรอดชีวิตมาได้”
“เพราะเหตุใดทำไม…” ชายหนุ่มกล่าวถามอย่าร้อนใจ พูดออกมาได้ครึ่งประโยค ก็คิดขึ้นได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนและทุกคนยังอยู่ที่นี่ จึงกลืนคำพูดที่เหลือลงไป
“ในเมื่อครอบครัวเจ้ามารับเจ้าแล้ว พวกข้าก็วางใจแล้ว ลากันตรงนี้เลย อย่าได้พบกันอีก” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว น้ำเสียงเรียบ แฝงความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย
ชายหนุ่มตกใจ เงยหน้ามองไปทางเขา
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาด้วยความไม่พอใจ
ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่เข้าใจ อ้าปาก อยากจะกล่าวถาม
หวงฝู่อี้เซวียนก็จูงมือเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วสั่งหลินหันเยียนว่า “กลับไปพักผ่อนในห้อง พรุ่งนี้เช้าตรู่ยังต้องออกเดินทาง”
หลินหันเยียนตอบรับ กำลังจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องพักของตัวเอง
“ช้าก่อน…” ชายหนุ่มเรียกพวกเขาไว้
หลินหันเยียนหยุดเดิน แล้วเรียกหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ
หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังกลับ ขมวดคิ้ว
ชายหนุ่มยื่นมือไปทางผู้บังคับบัญชา “ท่านน้า เอามาหรือไม่”
ผู้บังคับบัญชานำกระเป๋าจากด้านหลังลงมา หยิบผ้าไหมที่ม้วนไว้ยื่นให้ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มรับมา แล้วยื่นไปตรงข้างหน้าหวงฝู่อี้เซวียน “นี่คือสาส์น ถือไว้ พรุ่งนี้พวกเจ้าจะได้ออกชายแดนไปอย่างไม่มีอุปสรรคใดๆ”
มองเขาเล็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือ รับมา ไม่ได้เปิดดู “ขอบคุณ” ต่อจากนั้น ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “บุญคุณของเราหายกัน ตั้งแต่วันนี้ อย่าได้พบกันอีก”
พูดจบ ก็จูงมือเมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้องพักไป
ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก มองดูประตูห้องพักของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นเวลานาน แล้วก็ดูห้องพักของหวงฝู่สือเมิ่ง ถอนหายใจออกมาแรงๆ ครั้งหนึ่ง แล้วชี้ไปที่ศพของทหารที่นำหน้าที่อยู่บนพื้นแล้วสั่งว่า “ลากเขาไปข้างนอก ตัดหัว แขวนไว้บนประตูเมืองให้คนดูสามวัน”
ผู้บังคับบัญชารับคำสั่ง
“แล้วก็ เจ้าของโรงเตี๊ยมนี้ได้ช่วยข้าไว้ ให้ทองคำหนึ่งร้อยชั่ง” ชายหนุ่มสั่งต่อ
ผู้บังคับบัญชามองเถ้าแก่ที่มึนงงอยู่ตรงมุม ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็รับคำสั่งไว้
“เถ้าแก่” ชายหนุ่มเอ่ยไปทางเถ้าแก่ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“มา มาแล้วขอรับ…” เถ้าแก่รู้สึกตัวขึ้นมา ทั้งคลานและกลิ้งมาข้างหน้าชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
หันหลัง ชี้ไปที่ห้องพักที่ดีที่สุดสี่ห้องที่พวกเขาหกคนและตัวเองเคยพักอยู่ กล่าวว่า “ต่อไปนี้ ให้ท่านเก็บสี่ห้องนี้ไว้ อย่าให้ผู้ใดเข้าพักอีก ส่วนค่าห้อง ข้าจะให้คนส่งมาจ่ายทุกเดือน”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 49 แปลกพิกล
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมชะงัก ยังไม่ทันตั้งสติ
ชายผู้นั้นขมวดคิ้ว ถามเสียงดังอย่างไม่พอใจว่า “ทำไม หรือเจ้าไม่ยินยอม”
เถ้าแก่รู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เขาดีใจมากและรีบพยักหน้าหงึกๆ “ยินยอมขอรับ ยินยอม ข้าน้อยยินยอมขอรับ” คนที่ไม่ยินยอมเรื่องดี แบบนี้คงมีเพียงคนโง่
ชายหนุ่มพยักหน้า “ดี เพื่อรักษาความสะอาดในห้อง ต้องส่งคนมาทำความสะอาดทุกวัน หากข้ารู้ว่าไม่ได้ทำตาม โรงเตี๊ยมนี้ก็เตรียมปิดไปได้เลย”
เถ้าแก่แทบจะยกมือยกเท้าขึ้นมารับประกัน “แน่นอนขอรับ ข้าน้อยจะส่งคนมาทำความสะอาด คุณชายวางใจได้เลยขอรับ”
ชายหนุ่มพยักหน้า เดินจ้ำอ้าวลงไปออกจากโรงเตี๊ยม ชายชุดดำสองสามนายยืนนอบน้อมอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นชายหนุ่มก็ขานเรียกพร้อมกันว่า “เจ้านาย!”
ชายหนุ่มกวาดตามองพวกเขา
รถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ชายหนุ่มหันศีรษะกลับไปมองห้องของหวงฝู่สือเมิ่งด้วยความอาลัยครู่หนึ่ง แล้วเดินขึ้นรถม้าไป
รถม้าจากไปไกล
ส่วนชายผู้เป็นน้าอยู่จัดการเรื่องที่เหลือ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนก็จากไป โรงเตี๊ยมกลับคืนสู่ความสงบ
แขกที่มาพักในโรงเตี๊ยมออกจากห้องของตนเพื่อแอบสังเกตการณ์จากประตู เมื่อเห็นว่าไม่มีคนแล้ว ก็ถอนหายใจโล่งอก บอกคนอื่นๆ อย่างดีใจว่า “ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ทุกคนต่างยินดีปรีดา รู้สึกประหนึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติทั้งปวง
เถ้าแก่รู้สึกราวกับฝันไป เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น จนเขาต้องยื่นมือไปหยิกขาตัวเองแรงๆ ทีหนึ่ง เจ็บ เจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาจะไหลออกมาแล้ว แสดงว่านี่คือเรื่องจริง เขาไม่ได้ฝันไป มีคนมาเหมาห้องทั้งสี่ห้องของเขาทุกวันจริงๆ จู่ๆ ขาของเขาก็มีแรงขึ้นมา ตัวก็ไม่สั่นเทาอีก เขาลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่ว รีบวิ่งเสียงดัง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง กลับไปที่โต๊ะรับเงินของตน เขาโค้งลำตัวลง หยิบตัวอักษรสีแดงมงคลตัวใหญ่สองตัวออกมาจากใต้โต๊ะ ชูขึ้นแล้วสั่งเสี่ยวเอ้อร์ว่า “เร็วเข้า ไปติดไว้ข้างนอก นี่เป็นโชคลาภอันประเสริฐเลยนะ”
เสี่ยวเอ้อร์ก็เพิ่งตั้งสติได้ ขานรับ แล้วรีบวิ่งเข้ามา ค่อยๆ รับอักษรมงคลไปอย่างระมัดระวัง แล้วเดินออกไป
“เจ้างั่ง แป้งเปียกล่ะ แป้งเปียกด้วย” เมื่อเถ้าแก่เห็นเขาเดินออกไปอย่างเงอะงะ ก็รีบปรามเขา
เสี่ยวเอ้อร์ได้สติกลับคืนมาทันที เขาลูบศีรษะพลางหัวเราะแหะๆ แล้วรีบวิ่งปรื๋อไปหลังเรือนเพื่อทำแป้งเปียก
เถ้าแก่ยิ้มมองเขา เขายืดอกขึ้น แล้วนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มท่านนั้นยังสัญญาว่าจะให้ทองแก่เขาด้วย ไม่รู้ว่าจะให้พร้อมค่าห้องด้วยไหมนะ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจความเคลื่อนไหวข้างล่างอีก หลังจากเข้าห้อง ก็ถอดเสื้อนอกออก แล้วนอนราบลงบนเตียงพักผ่อนทันที ส่วนสาสน์สำหรับการออกนอกชายแดนก็ถูกหวงฝู่อี้เซวียนโยนวางลงบนโต๊ะ
“พรุ่งนี้ต้องกำชับพวกเขาว่าห้ามใครพูดถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด” หวงฝู่อี้เซวียนพูดอุบอิบเสียงเบา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเหลือบมองเขา ส่ายศีรษะ ไม่ได้พูดอะไร
เช้าตรู่วันต่อมา ทั้งหกคนตื่นแต่เช้า เก็บสัมภาระของตน และให้เสี่ยวเอ้อร์ส่งอาหารเช้าขึ้นมา หลังจากทานเสร็จ ก็ลงไปชั้นล่างเพื่อจ่ายค่าห้อง
“มิต้องแล้วขอรับ เมื่อวานคุณชายท่านนั้นช่วยจ่ายให้พวกท่านแล้วขอรับ” เถ้าแก่ปฏิเสธรับเงิน
หวงฝู่อี้เซวียนควักเงินออกมาวางลงบนโต๊ะ “นั่นมันของเขา ส่วนนี่ของเรา ห้องที่เราพักเราย่อมเป็นคนจ่ายเอง”
เถ้าแก่ชะงัก มองไปที่หลินหันเยียน
หลินหันเยียนแปลตามนั้นทุกตัวไม่ตกหล่น
เถ้าแก่ไม่รู้จะทำเยี่ยงไร ในขณะที่ยังคิดไม่ตกนั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินออกไปแล้ว
คนที่เหลือเดินตามหลังไป
“นี่ท่าน…” เถ้าแก่ยื่นมืออยากจะรั้งไว้
แต่หวงฝู่อี้เซวียนและคนที่เหลือควบขึ้นม้าและทะยานตัวออกไปแล้ว
เถ้าแก่กลืนคำพูดกลับไปหมด เขามองเงินที่อยู่บนโต๊ะ แล้วค่อยๆ ยื่นมือออกไปหยิบเงินขึ้นมา เขาไม่ได้เก็บเข้าไปใต้โต๊ะ แต่เก็บเข้าไปในกล่องเล็กใบหนึ่ง พูดอุบอิบเสียงเบาว่า “ข้าจะห่วงเรื่องเล็กจนเสียเรื่องใหญ่ไม่ได้ รอแขกกลุ่มนี้มาอีกเมื่อใด ข้าค่อยคืนให้พวกเขาดีกว่า”
หลังจากออกนอกเมือง ผู้คนก็เบาบางลง ทุกคนจึงเร่งความเร็วขึ้น แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อมาถึงเขตชายแดน เสียงสู้รบกันก็ดังมาจากแดนไกล
หวงฝู่อี้เซวียนร้อนรนใจ ขี่ม้าพุ่งตรงไปที่หน้าทหารนายหนึ่งที่ยืนเฝ้าด่านชายแดนอยู่
ทหารตกใจ พร้อมกับยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่พวกเขาทั้งหกคน “ถอยไป ถอยไป หากไม่ถอยอีก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ลงจากม้า ส่งผ้าไหมในมือให้ทหารนายหนึ่ง “สาสน์จากผู้บังคับบัญชา!”
ทหารรีบยื่นมือไปรับ เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เปิดสาสน์ออกอย่างฟังหูไว้หู เมื่ออ่านเนื้อหาและเห็นตราประทับ ก็รีบคุกเข่าลง
“ไม่ต้อง เปิดประตูเมืองเสีย เราต้องออกไปเดี๋ยวนี้” เมื่อเสียงสู้รบที่ดังมาจากแดนไกลแจ่มชัดยิ่งขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ่งร้อนใจ
ทหารขานรับ โบกมือสั่ง “เปิดประตูเมือง เปิดประตูเมือง!”
ประตูเมืองอันหนักอึ้งค่อยๆ เปิดออกจนเห็นช่องว่างเล็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนก็สะบัดบังเ**ยนควบม้าทะยานตัวออกไปอย่างอดใจไม่ไหว ลูกๆ ทั้งสามและหลินหันเยียนอยู่ตรงกลาง ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ท้ายสุด
เมื่อออกจากชายแดน หวงฝู่อี้เซวียนก็เร่งม้าให้เร็วขึ้นอีก เขาแทบจะตะบึงไปตลอดทางจนถึงชายแดน
ประตูเมืองของรัฐอู่ปิดแน่นสนิท ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก
ด้วยความเร่งรีบของทั้งหกคนทำเอาฝุ่นตลบไปทั่ว ทหารเฝ้าเมืองมองเห็นมาแต่ไกลแล้ว พวกเขายืนอยู่หน้าประตูตระโกนบอกให้พวกเขาหยุด
หวงฝู่อี้เซวียนขี่ม้ามาถึงหน้าพวกเขาทันที เขาดึงบังเ**ยน เงยหน้าขึ้น แล้วสั่งว่า “เปิดประตู!”
ฉู่เหวินเจี๋ย อ๋องฉี เมิ่งชิงและหลินจ้งไปสนามรบกันหมดแล้ว เหลือเพียงทหารส่วนน้อยเฝ้าประตูเมือง ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องคอยเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ทหารย่อมไม่เปิดประตูเมืองง่ายๆ เป็นธรรมดา เขาถามเสียงดังว่า “เจ้าคือ…”
ยังไม่ทันรอให้เขาถามจบ หลินหันเยียนก็ขึ้นมาข้างหน้า เงยหน้าขึ้น “เปิดประตู ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยกลับมาแล้ว”
หลินหันเยียนอยู่ชายแดนมาสิบกว่าปี ทหารเฝ้าประตูเมืองจึงรู้จักนาง เมื่อได้ยินนางพูด ก็รีบวิ่งลงมาอย่างไม่ลังเล และเปิดประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนกระทุ้งม้าให้มุ่งตรงเข้าไป และพูดทิ้งท้ายว่า “พวกเจ้ากลับเมืองไปเสีย ข้าจะไปดูที่สนามรบเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากแล้วตามไป สั่งคนที่เหลือว่า “พวกเจ้ากลับเมืองไปเสีย”
สองสามีภรรยาขี่ม้าตามกันไปที่สนามรบ
หลินหันเยียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เร่งม้าไปข้างหน้าหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ “ท่านหญิงน้อย คุณชายใหญ่ พวกเรากลับกองบัญชาการกันก่อนเถอะ”
หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
แล้วทุกคนก็มุ่งหน้าไปทางกองบัญชาการ
ในขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนควบม้าอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าตามหลังมา เมื่อหันศีรษะกลับไป เห็นว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ตามมา จึงผ่อนความเร็วลง รอจนนางตามทันแล้ว ก็ควบม้าเคียงข้างกันไปสนามรบอย่างเร่งรีบ
เมื่อควบม้าไปได้ครู่หนึ่ง เสียงสู้รบพลันหายไป ราวกับว่าการสู้รบในสนามรบหยุดนิ่งไป
หวงฝู่อี้เซวียนคร่ำเครียดหนักกว่าเดิม พลันรู้สึกถึงลางร้ายที่จะเกิดขึ้น เขาสะบัดบังเ**ยนแรงขึ้นกว่าเดิม เร่งม้าให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
สนามรบในตอนนี้เงียบสนิท ไม่เพียงแต่ฉู่เหวินเจี๋ย อ๋องฉี และเมิ่งชิงที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้แต่หลินจ้งเองก็โกรธจนอยากจะฉีกเนื้อกินเลือดองค์ชายใหญ่เสียให้ได้
เมื่อตอนที่ทหารทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือด องค์ชายใหญ่ที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่แดนไกลก็สั่งคนให้ตีระฆังถอยทัพ ทหารรัฐอิงถอยทัพกลับไปดั่งสายน้ำไหล ครั้นทหารรัฐอู่จะบุกไล่ตามไป องค์ชายใหญ่ก็หัวเราะลั่น เสียงหัวเราะนั้นทั้งดุร้ายและได้ใจ
ฉู่เหวินเจี๋ยมีลางสังหรณ์ไม่ดี จึงสั่งคนตีระฆังถอยทัพ ทหารรัฐอู่ถอยร่นกลับมา
องค์ชายใหญ่โบกมือ เสาที่อยู่บริเวณประตูเมืองที่ไกลออกไปก็ค่อยๆ แขวนร่างคนหนึ่งขึ้นมา
“ฉู่เหวินเจี๋ย เจ้าดูซิว่านี่ใคร” องค์ชายใหญ่ถามเสียงสูง
ทุกคนเงยหน้ามองไป
คนที่ถูกแขวนสวมเสื้อผ้าเด็กของรัฐอู่ ศีรษะของนางห้อยลง ปล่อยผมยาวปรกใบหน้า ลำตัวเต็มไปด้วยรอยเลือด รูปร่างนั้นคล้ายหวงฝู่เย่าเย่ว์นัก
ทุกคนใจเต้นรัว ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงบ้าคลั่งและเย่อหยิ่งขององค์ชายใหญ่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “สาวน้อยคนนี้ปลอมตัวเป็นชายปะปนเข้ามาในจวนองค์ชายใหญ่ของข้า แต่ถูกข้าจับได้ ข้าทรมานนางจนนางให้คำสารภาพว่าเป็นท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉีแห่งรัฐอู่ของท่าน แม้แต่ฟ้ายังเข้าข้างและประทานโอกาสอันดีเช่นนี้มาให้ข้าเลย”
อ๋องฉีทนไม่ไหว เร่งม้าขึ้นไป ตะโกนอย่างโมโห “ท่าป๋าหั่นมู่ เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”
องค์ชายใหญ่หัวเราะเบาๆ “ข้าจะเอาอย่างไรหรือ ก็ต้องการเจรจาเงื่อนไขกับพวกเจ้าไงเล่า ข้าไม่โลภหรอก ขอแค่สิบคูเมืองพอ”
“ฝันไปเถอะ!” ฉู่เหวินเจี๋ยก็ควบม้าขึ้นไป เคียงบ่าอ๋องฉี ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เมื่อตนมีอำนาจในมือ องค์ชายใหญ่ก็รู้สึกเหนือกว่า เขายิ้มถามว่า “อย่างนั้นหรือ”
พูดจบก็โบกมือ คนที่ถูกแขวนอยู่ถูกปล่อยลงมาเล็กน้อย ทหารนายหนึ่งยื่นมือไปฉีดเสื้อผ้าของคนที่ถูกแขวนจนขาดวิ่น เผยผิวขาวเนียนของนาง
เสียงคำถามขององค์ชายใหญ่ก็ดังขึ้น “อย่างนี้ล่ะ”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” อ๋องฉีถูกเย้าแหย่จนเสียสติ กำลังจะควบม้าขึ้นไป
ทหารข้างกายขององค์ชายใหญ่ต่างยกธนูขึ้นมาเล็งไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียง
ฉู่เหวินเจี๋ยรีบดึงอ๋องฉีไว้อย่างทันท่วงที “ท่านอ๋อง อย่าอุกอาจไปก่อนเลย เรายังไม่เห็นหน้าของคนที่ถูกแขวนเลย ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเยว่เอ๋อร์หรือเปล่า”
ไม่เสียชื่อฉู่เหวินเจี๋ยที่เป็นท่านแม่ทัพที่เปี่ยมประสบการณ์ เขารู้สึกตงิดใจว่าอาจเป็นแผนการขององค์ชายใหญ่ จึงเข้าห้ามอ๋องฉีไว้
อ๋องฉีตาแดงก่ำราวกับเสียสติไป สิบกว่าปีมานี้หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เหมือนกับชีวิตของเขา หากเป็นเยว่เอ๋อร์จริงๆ นางถูกเหยียดหยามเช่นนี้ต่อสายตาทุกคน ต่อไปนางจะเผชิญหน้ากับทุกคนอย่างไร จะมีที่ยืนในเมืองหลวงอีกหรือไม่
คำพูดของฉู่เหวินเจี๋ยดึงสติเขากลับมาได้เล็กน้อย เขาเงยหน้า มององค์ชายใหญ่ด้วยสายตาแดงก่ำอย่างดุร้าย
เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นสายตาคู่นั้น ก็หัวเราะเสียงดัง “ทำไมหรือ คิดดีแล้วหรือยัง หรือคิดว่ายังไม่ตื่นเต้นพอ อยากให้ทหารของข้าทุกคนเห็นสรีระอันงดงามของท่านหญิงน้อยของรัฐท่านล่ะ”
ในขณะที่เขากำลังพูด ก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง
“ช้าก่อน!”
ฉู่เหวินเจี๋ยพูดห้ามเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
องค์ชายใหญ่มองไปที่เขา
“เงื่อนไขคุยกันได้ พวกเจ้าเงยศีรษะของคนบนเสานั่นขึ้นมาให้พวกเราดูเสียหน่อยว่าใช่ท่านหญิงน้อยหรือไม่”
“ไม่เสียชื่อที่เป็นท่านแม่ทัพแห่งรัฐอู่ที่ทำให้ข้าพ่ายแพ้มาหลายวัน คิดได้รอบคอบเสียจริง แต่น่าเสียดาย ครั้งนี้ต้องทำเจ้าผิดหวังแล้วล่ะ คนบนเสานี้คือท่านหญิงน้อยของพวกเจ้าอย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะว่าซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยของอ๋องฉีแห่งรัฐท่านบุกรุกเข้ามาจวนของข้าเพื่อช่วยเหลือสาวน้อยคนนี้อย่างไม่คิดชีวิต แต่น่าสายดาย…”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 50 อ๋องฉีผู้ตื่นต...
“เจ้าทำอะไรพวกเขาไป” อ๋องฉีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหูอื้อ หน้ามืดตามัว เขาถามขึ้นอย่างโมโห
“พวกเขาก็หนีไปได้ไงเล่า หากข้าจับพวกเขาได้ ยังจะมาพล่ามกับเจ้าตรงนี้รึ คงเอ่ยปากขอสิบคูเมืองกับเจ้าไปตรงๆ แล้วล่ะ” องค์ชายใหญ่พูดทีเล่นทีจริง
ความห่วงใยทำให้จิตใจวอกแวก อ๋องฉีเชื่อเขาทันที
ฉู่เหวินเจี๋ยกลับเกิดคำถามมากมาย เขาลืมตาและหรี่ตามองไป สังเกตหญิงสาวที่ถูกแขวนอยู่อีกครั้ง กำลังวังชาของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นไม่ใช่ย่อย เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ผสมยาสลบเป็นมากมาย หากสืบความรู้มาว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ในจวนองค์ชายใหญ่ พวกเขาต้องหาวิธีช่วยเย่ว์เอ๋อร์ออกมาให้ได้เป็นแน่ จะไม่ปล่อยให้นางต้องตกอับถึงปานนี้หรอก
เมิ่งชิงก็จับพิรุธได้ ในที่สุดหัวใจที่ร้อนราวกับถูกไฟแผดเผาก็เย็นลง
อ๋องฉีอดกลั้นความโกรธไว้ไม่ไหว เอ่ยปากพูดเสียงดังว่า “ได้ ข้ายอมตกลงตามเงื่อนไขของเจ้า เจ้าปล่อยคนลงมาก่อนค่อยว่ากัน”
องค์ชายใหญ่นิ่ง ไม่ขานรับใดๆ หัวเราะเยาะว่า “ปล่อยคนก่อนหรือ พวกเจ้าจะหลอกลวงข้าอย่างเด็กสามขวบหรืออย่างไร”
“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรล่ะ” อ๋องฉีเหลือบมองคนที่ถูกแขวนอยู่บนเสา แล้วถามขึ้นอย่างใจร้อน
“ท่านแม่ทัพถอยไปสองร้อยลี้ มอบสิบคูเมืองให้ข้า ข้าย่อมปล่อยคนทันที!”
“ฝันไปเถอะ!” ครั้นอ๋องฉีกำลังจะตอบตกลง ฉู่เหวินเจี๋ยก็ปฏิเสธขึ้นก่อน
“แม่ทัพฉู่ เจ้า…” อ๋องฉีหันศีรษะไปด้านข้าง จ้องเขาด้วยความโมโห
ท่านแม่ทัพมองไปข้างหน้า พูดเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้มีพิรุธ ท่านลองคิดดูดีๆ สิ หากเป็นเย่ว์เอ๋อร์จริงๆ ท่าป๋าหั่นมู่ต้องให้เราเห็นหน้าเลยทันที แต่เขากลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นหมายความว่า จริงๆ แล้วเย่ว์เอ๋อร์ถูกช่วยออกมาแล้ว ไม่ได้อยู่ในมือเขาแล้ว เขาจึงรู้สึกประหม่าเช่นนี้”
อ๋องฉีชะงัก ความโมโหที่กำลังจะลุกโชนพลันดับลง เขาเงยหน้าขึ้น หรี่ตาลงมองไปที่คนที่ถูกแขวนอยู่อย่างถี่ถ้วน
องค์ชายใหญ่เห็นเพียงริมฝีปากของฉู่เหวินเจี๋ยที่ขยับไปมา ไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร แต่เมื่อเห็นว่าหลังจากอ๋องฉีฟังจบแล้ว ก็ใช้สายตามองสำรวจผู้หญิงที่ถูกแขวนไว้ จึงรู้ว่าฉู่เหวินเจี๋ยเกิดความคลางแคลงใจเสียแล้ว เขาก่นด่าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามเสียงสูงว่า “เอาอย่างไร พวกเจ้ายอมหรือไม่ยอม”
“เงื่อนไขน่ะข้ายอมได้ เจ้าปล่อยคนลงมาก่อน ให้เราดูก่อนว่าใช่เย่ว์เอ๋อร์จริงๆ หรือไม่” ฉู่เหวินเจี๋ยตอบ
องค์ชายใหญ่จะกล้าตกลงได้อย่างไร ในเมื่อคนที่ถูกแขวนอยู่นั้นถูกปลอมตัวมา เป็นแผนการที่เขาใช้ปัญญาเค้นคิดจนผมแทบจะหงอกไปทั้งศีรษะ หลังจากที่เจรจาแล้วไม่ได้ประโยชน์อันใดและสถานการณ์การรบที่มีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เขาสั่งให้ลูกน้องไปหามา โดยเลือกหญิงสาวที่มีรูปร่างคล้ายหวงฝู่เย่าเย่ว์มากที่สุดจากหมู่บ้านข้างๆ มาปลอมตัวเป็นนาง หากส่งคนให้พวกเขาดู ย่อมถูกเปิดโปง องค์ชายใหญ่ข่มความกลัวและความไม่สบายใจไว้ แสร้งทำทีท่านิ่งไว้ ร้อง ฮึ เบาๆ อย่างไม่พอใจ พูดโดยใช้วิธียุแหย่ว่า “ข้าได้ยินมาว่าอ๋องฉีของรัฐท่านนั้นรักเอ็นดูหลานสาวหนักหนา แต่ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นอย่างที่เขาเล่าลือกัน คงเป็นเพียงข่าวลือ ไม่ใช่ความจริงสินะ”
“ที่เจ้าไม่ยอมให้พวกข้าเห็นนาง หรือเป็นเพราะว่าคนบนนั้นเป็นตัวปลอม และเย่ว์เอ่อร์ถูกเซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ช่วยออกมาแล้วกันแน่” ฉู่เหวินเจี๋ยถามด้วยเสียงเย็นชา
องค์ชายใหญ่ชะงัก จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังเกินความจำเป็น “เป็นไปได้อย่างไร นี่ข้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ เสียงกีบม้าก็ดังขึ้นจากแดนไกล ในสนามรบที่เงียบสงบนี้ยิ่งทำให้เสียงกีบม้าดังไปทั่ว
ทุกคนมองไป
ม้าสองตัววิ่งเคียงคู่กันมา บนนั้นมีชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายคือหวงฝู่อี้เซวียน หญิงคือเมิ่งเชี่ยนโยว
เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นคนบนม้า หน้าพลันเปลี่ยนสี รีบสั่งว่า “ถอย ถอยเร็วเข้า ถอยกลับเข้าไปในเมือง”
เมื่ออ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยเห็นคนบนม้า ก็ดีใจใหญ่ ความคะนึงหาที่อยู่ในใจตลอดก็คลายลง
เหล่าทหารหลีกทางให้ ทั้งสองขี่ม้าจนถึงหน้าอ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยทันที
“เซวียนเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ล่ะ” อ๋องฉีรีบถามขึ้น
“พวกนางกลับกองบัญชาการแล้วขอรับ”
ประโยคนี้ดังสะท้อนเข้าไปในใจของอ๋องฉีราวกับเสียงสวรรค์ที่ช่วยลบล้างความกังวลและความไม่สบายใจทั้งหมดออกไป เขาตะโกนเสียงดังว่า “เอาธนูมา!”
พลธนูเดินขึ้นไป ส่งธนูในมือของตนให้เขาอย่างนอบน้อม
อ๋องฉีรับมา เสียบลูกธนูแล้วเกี่ยวสายธนู เล็งตรงไปที่ธงแขวนบนกำแพงเมือง เขาปล่อยมือ ลูกธนูพุ่งออกไปอย่างแรงและเร็ว ปักลงไปที่ธงแขวนของรัฐอิงทันที โดยที่ทหารรัฐอิงยังไม่ทันตั้งตัว อ๋องฉีประกาศกร้าวเสียงดังว่า “ท่าป๋าหั่นมู่ เจ้ารอก่อนเถอะ ภายในสามวัน ข้าจะนำทัพตีเมืองเจ้าให้สิ้นซาก ให้เจ้าได้คุกเข่าต่อหน้าข้า”
องค์ชายใหญ่หนีกลับเข้าไปในเมือง เมื่อได้ยินคำประกาศศึกของอ๋องฉี ลำตัวที่นั่งอยู่บนม้าก็เอนไหวไปมา ตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้ที่เขาใช้เวลาฝึกฝนทหารอยู่นาน ก็เพื่อหากวันใดวันหนึ่ง จะได้กลับมาแก้แค้นให้กับศึกที่ตนเคยพ่ายแพ้ แต่เขาประเมินตนเองไว้สูงเกินไป ทหารของรัฐอู่นั้นแข็งแกร่งกว่ารัฐอิงมาก ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว หากพวกเขาพูดเอาจริง ภายในสามวันข้างหน้านี้พวกเขาอาจตีเมืองพรมแดนของตนได้จริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็ขานเรียกอย่างเคร่งเครียด “ทหาร!”
ทหารขานรับ
“เจ้ารีบกลับไปเมืองหลวง รายงานเสด็จพ่อ บอกว่าตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ให้ส่งทหารเพิ่มอีกแสนนาย”
“ขอรับ!”
นอกเมือง หลังจากที่อ๋องฉียิงธนูออกไป ทหารของรัฐอู่ก็กู่ร้องอย่างฮึกเหิม ดังกระฮึ่มไปทั่วจนทหารรัฐอิงสั่นสะท้าน
ฉู่เหวินเจี๋ยออกคำสั่ง กองทัพหันหลังเคลื่อนตัวกลับรัฐของตนไป
เมื่อเข้าประตูเมือง อ๋องฉีก็รีบควบม้ากลับกองบัญชาการทันที ทิ้งทุกคนไว้ข้างหลัง
ข้างนอกกองบัญชาการ หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ และหวงฝู่เฮ่ายืนอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นอ๋องฉีควบม้าพุ่งเข้ามา หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ขานเรียก “ท่านปู่!” แล้วรีบวิ่งขึ้นไป
อ๋องฉีดึงบังเ**ยนม้า แล้วกระโดดลงมาจากหลังม้าหยุดอยู่ตรงหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์ เขาดึงนางเข้ามา มองหน้ามองหลัง มองซ้ายมองขวา หลังจากสำรวจดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่พบรอยบาดแผลใดๆ ก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็ปล่อยนางออก เดินเข้าไปในจวนด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
หวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงัก มองไปที่หวงฝู่สือเมิ่งด้วยความสงสัย
“ท่านปู่โกรธแล้วล่ะ” หวงฝู่สือเมิ่งบอกนางเสียงเบา
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถึงบางอ้อ รีบตามเข้าไป “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำให้ท่านต้องเป็นห่วง ต่อไปข้า…”
“คุกเข่าลง!” อ๋องฉีหยุดเดิน หันศีรษะกลับไปตะคอกใส่นางอย่างโหดเ**้ยม
หวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงักอีกครั้ง ดวงตากลมโตที่สวยงามมองอ๋องฉีอย่างไม่เชื่อ
“จะให้ข้าพูดซ้ำอีกหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตั้งสติได้ น้ำตาพลันเอ่อขึ้นมา ร้องเรียกด้วยเสียงเวทนา “ท่านปู่” ตั้งแต่เล็กจนโต อย่าว่าแต่คุกเข่าเลย แม้แต่ตะคอกเสียงดัง อ๋องฉีและพระชายาฉีก็ไม่เคยทำกับนาง
“คุกเข่า!” น้ำเสียงอ๋องฉีหนักแน่นกว่าเดิม
หวงฝู่เย่าเย่ว์คุกเข่าลงบนพื้น
หวงฝู่สือเมิ่งเม้มปากไม่พูดอะไร
หวงฝู่เฮ่าอยากจะขึ้นไปช่วยขอร้อง แต่ถูกหวงฝู่สือเมิ่งรั้งไว้ นางส่ายศีรษะให้ ครั้งนี้น้องเล็กก็เล่นเกินไปจริงๆ หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อและท่านแม่ที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปหานางจนเจอ ไม่แน่ว่าตอนนี้นางอาจจะเป็นศพไปแล้วก็ได้
หวงฝู่เฮ่าชะงักฝีเท้าลง
หวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยว ฉู่เหวินเจี๋ย เมิ่งชิงและหลินจ้งตามหลังเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็ไม่มีใครพูดอะไร เดินไปนั่งในห้องโถง
หวงฝู่เย่าเย่ว์มองพวกเขาด้วยสายตาวิงวอน หวังให้มีคนช่วยนางพูดอะไร แต่ก็ไม่มีใครสนใจนาง
อ๋องฉีเอ่ยปาก น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรู้สึกโทษตนเอง “ที่ข้ารักเอ็นดูเจ้าก็เพราะว่าข้าคิดว่าพวกเจ้ารู้ขอบเขต รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ แต่ข้าคิดไม่ถึงเลย ว่าเจ้ากล้าตามท่านแม่ทัพมาที่พรมแดนโดยไม่ได้รับอนุญาต และหนีออกจากเรือนโดยพลการไป ทำเอาพ่อแม่ พี่ใหญ่ และน้องชายของเจ้าต้องเสี่ยงชีวิตไปช่วยเจ้าออกมา”
“ท่านปู่ ข้าก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่อง ข้าแค่อยากออกมาดูชายแดน เมื่อท่านปู่สู้รบเสร็จก็จะกลับเมืองหลวงพร้อมท่านเจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์อธิบายเสียงเบา
“แล้วเจ้าเคยคิดหรือเปล่า ที่ทุกคนในเมืองหลวงประจบประแจงเจ้า ทำดีกับเจ้านั้นเป็นเพราะว่าเจ้าคือท่านหญิง แต่เมื่อออกจากเมืองหลวงไป เจ้าก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีตัวตนใดๆ อันตรายที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้เสมอ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ปริปากอยากจะแก้ตัว หวงฝู่สือเมิ่งไอกระแอมเบาๆ
หวงฝู่เย่าเย่ว์กลืนคำพูดกลับไปหมด ยอมรับผิดแต่โดยดี “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปไม่กล้าทำแล้วเจ้าค่ะ”
“สำนึกผิดจริงๆ แล้วใช่ไหม” อ๋องฉีถามเสียงทุ้มต่ำ
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าหงึกๆ “รู้แล้วเจ้าค่ะ รู้แล้ว”
“ดีมาก กลับห้องไปตอนนี้เสีย แล้วเขียนความผิดที่เจ้าสำนึกได้มา หากไม่ตั้งใจเขียน ก็ไม่ต้องกินข้าว”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกตะลึง เงยหน้าขึ้น มองไปที่อ๋องฉี เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขา ก็รู้ว่าครั้งนี้อ๋องฉีโมโหจริงๆ ตนก็ทำผิดใหญ่หลวงจริงๆ นางก้มหน้าลง ขานรับอย่างสำนึกผิด
“น้องเล็ก ไปเถอะ ข้าพาเจ้าไปที่ห้อง” หวงฝู่สือเมิ่งเดินขึ้นหน้า พูดเสียงเบา
หวงฝู่เย่าเย่ว์ลุกยืนขึ้น แล้วตามนางไปที่ห้อง
“พี่เขย ท่านก็เข้มงวดเกินไป เย่ว์เอ๋อร์ยังเล็ก นางแค่ตามมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตำหนิหน่อยเดียวก็พอแล้ว” เมื่อหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์เดินจากไปจนไม่เห็นเงาแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็เอ่ยปากพูดอย่างสงสาร
เมิ่งชิงก็สงสารเช่นกัน แต่เขาไม่กล้าพูด เมื่อได้ยินฉู่เหวินเจี๋ยพูดดังนั้น ก็รีบพยักหน้าสำทับเห็นด้วยกับเขา
สิบกว่าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่สั่งสอนหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างเข้มงวด อ๋องฉีสงสารนางมากกว่าใคร เมื่อได้ยินดังนั้น ก็เหลือบมองพวกเขาทีหนึ่ง แล้วกลับไปนั่งที่นั่งของตนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ไม่พูดอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นบรรยากาศที่หนักอึ้งนี้ ก็พูดเสียงเบาว่า “อี้เซวียน เล่าเรื่องที่เราเจอมาสองสามวันนี้ให้เสด็จพ่อและท่านน้าฟังหน่อยเถอะ จะได้ให้พวกท่านเตรียมใจไว้”
เมื่อนางพูดจบ อ๋องฉีก็เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยลางสังหรณ์ไม่ดี “เตรียมใจเรื่องอะไร พวกเจ้าไปให้สัญญาอะไรกับใครไว้หรือ”
“เสด็จพ่อ เราไม่ได้ให้สัญญากับใครอื่น แค่เมิ่งเอ๋อร์ช่วยชีวิตชายหนุ่มคนหนึ่งไว้โดยบังเอิญ สถานะของชายหนุ่มคนนั้น ข้าและโยวเอ๋อร์เดาว่าน่าจะเป็นไท่จื่อของรัฐหมิงขอรับ…”
หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันพูดจบ อ๋องฉีก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที พูดเสียงสูงว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ ไท่จื่อรัฐหมิงหรือ เมิ่งเอ๋อร์ช่วยไว้หรือ”
“ใช่ขอรับ เรายังดูออกว่า…”
“ไม่ต้องพูดต่อแล้ว” อ๋องฉีรีบพูดขัดเขาไว้ “เมื่อเสร็จศึกแล้ว เราจะกลับเมืองหลวงทันที ไม่อยู่ต่อแม้แต่วันเดียว”
พูดจบ ก็ชี้ไปที่หลินจ้ง “แล้วก็เจ้า หากคนรัฐหมิงมีความเคลื่อนไหวใด ห้ามปล่อยให้พวกเขาผ่านด่านมาได้ บอกไปเสียว่าข้าบอกมา เรารัฐอู่ไม่ต้อนรับพวกเขา จวนอ๋องฉียิ่งไม่ต้อนรับพวกเขา”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 51 ความนึกคิด
หลินจ้งงุนงง ไม่เข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงอะไร แต่ก็ขานรับตามสัญชาตญาณ “ขอรับ ท่านอ๋อง!”
หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะ “เสด็จพ่อ ข้ายังไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไรเลย ท่านร้อนใจไปหน่อยแล้วขอรับ”
“ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนก่อน” พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น แล้วเดินมุ่งไปทางห้องของตน เมื่อเดินผ่านหลิงจ้งก็พูดกำชับขึ้นอีกครั้ง “จำที่ข้าพูดไว้เลยนะ! ไม่เช่นนั้นตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการของเจ้าก็ไม่ต้องเป็นแล้วล่ะ ไปเลี้ยงแกะที่ชายแดนซะ”
หลินจ้งตัวแข็งทื่อ ชะงักไปครู่หนึ่ง
อ๋องฉีเดินผ่านเขา แล้วกลับห้องของตนไป
“ท่านแม่ทัพ อ๋องฉีหมายความว่า…” หลินจ้งไม่เข้าใจความหมายของอ๋องฉีจริงๆ เขาเกาหัวแล้วถามฉู่เหวินเจี๋ยอย่างเขินอาย
ฉู่เหวินเจี๋ยก็ส่ายศีรษะหัวเราะ “วันนี้อ๋องฉีอารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าไม่ต้องสนใจมากหรอก ทำงานในขอบเขตของตนให้ดีก็พอ”
หลินจ้งพยักหน้าอย่างงุนงง
ฉู่เหวินเจี๋ยหันไปหาหวงฝู่อี้เซวียน ถามว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าพูดต่อสิ สองสามวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ตนและคนอื่นๆ เข้าไปในรัฐอิง และองค์ชายใหญ่นำทหารกั้นชายแดนไว้ ส่วนตนเองจึงจำเป็นต้องพาพวกเขาไปรัฐหมิงอย่างไม่มีทางเลือกให้เขาฟังทั้งหมด
ฉู่เหวินเจี๋ยฟังไปอารมณ์ก็ขึ้นลงตามเนื้อเรื่อง เมื่อฟังจบ เขาก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “ดีที่มีสาสน์อนุญาตออกชายแดน ไม่เช่นนั้นหากรัฐหมิงถือโอกาสนี้ส่งทหารมา เราก็คงต้องเป็นฝ่ายตั้งรับแล้วล่ะ”
ตอนนั้นที่หวงฝู่อี้เซวียนทำไปก็เพื่อให้ตนสามารถข้ามชายแดนได้ จึงต้องคิดแผนชั้นเลวอย่างการอุกอาจเข้าไปเช่นนี้ ตอนนี้มานั่งคิดแล้ว ก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมา โชคดีที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นไป ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เกิดการสู้รบระหว่างสองรัฐได้ ประชาชนจะเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
เมื่อเมิ่งชิงฟังหวงฝู่อี้เซวียนเล่าจบ รู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นอะไร ก็รู้สึกดีใจ “พวกท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วขอรับ วันนี้ท่านอ๋องประกาศศึกไป ภายในสามวันจะตีชายแดนของรัฐอิงให้แตก หากพวกท่านไม่เหนื่อย เรามาหารือกันเสียหน่อยดีไหมขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังแล้ว แต่มีเพียงเรื่องความปรารถนาของท่าป๋าหั่นมู่ที่มีต่อเขาเรื่องเดียวที่ไม่ได้เล่า เมื่อคิดถึงสายตาชวนอาเจียนที่เขาเคยมองมาที่ตนเอง นัยน์ตาความอาฆาตแค้นของหวงฝู่อี้เซวียนก็ปิดซ่อนไว้ไม่อยู่ เขาพยักหน้า กัดฟันขานตอบ “ดี ภายในสามวัน ตีชายแดนให้แตก ฆ่าท่าป๋าหั่นมู่ให้ตายเสีย”
หลังจากหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์กลับถึงห้อง สติของหวงฝู่เย่าเย่ว์ยังไม่กลับมาจากการถูกอ๋องฉีสั่งสอน เมื่อเข้าประตูไป ก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างกลัดกลุ้มใจ
หวงฝู่สือเมิ่งรินน้ำให้แก้วหนึ่ง วางลงข้างหน้านาง “น้องเล็ก สองสามวันนี้ท่านปู่เป็นห่วงแทบแย่ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าเจ้าเข้าไปในจวนองค์ชายใหญ่ ท่านก็จะบุกเข้าไปช่วยเจ้าทันที หากไม่ใช่ท่านพ่อท่านแม่ที่คิดหาวิธีให้ท่านปู่เหวินเจี๋ยสกัดไว้ ท่านปู่อาจจะไปกับพวกเราแล้วล่ะ”
หวงฝู่สือเมิ่งเงยหน้า พูดด้วยน้ำเสียงอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “ข้าไม่ได้โทษท่านปู่ที่ดุและลงโทษข้า แต่เขาไม่ควรทำแบบนี้ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ข้าเป็นผู้หญิง เขาทำแบบนี้แล้วต่อไปจะให้ข้าไปเผชิญหน้ากับคนอื่นอย่างไร”
หวงฝู่สือเมิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลูบศีรษะนาง “น้องเล็ก ท่านปู่เคยสอนพวกเรา เราไม่ใช่ประชาชนทั่วไป เราเป็นท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉี ทุกคนในเมืองหลวงคอยเฝ้าดูทุกๆ คำพูดและการกระทำของเราอยู่ ถึงแม้ท่านปู่และท่านย่าจะไม่เคยผูกมัดเรา ให้เราใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่สถานะของเรายังคงติดตัวไปทุกแห่ง เจ้าปลอมตัวเป็นผู้ชายหนีออกจากจวน ตอนนี้ข่าวนี้คงจะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว และไม่รู้ว่าจะลือกันไปทางไหนบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จำเป็นต้องให้ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ไปจัดการ เจ้าเคยคิดหรือเปล่า หลังจากเจ้ากลับเมืองหลวงไปแล้วต้องเผชิญกับเสียงวิพากวิจารณ์อย่างไร วันนี้ที่ท่านปู่ลงโทษเจ้าเช่นนี้ ก็เพื่อให้เจ้าจดจำไว้ว่า ต่อไปห้ามทำอะไรตามอำเภอใจอีก คิดอยากจะทำอะไรขึ้นมาก็ทำอย่างนั้นเลยทันที นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ควรคิดให้ดีก่อนลงมือทำ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดปาก ไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้าครุ่นคิด
ในห้องเงียบสงัด
ผ่านไปนาน หวงฝู่เย่าเย่ว์เงยหน้าขึ้น เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นัยน์ตานางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไปเขียนหนังสือสำนึกผิดเดี๋ยวนี้ล่ะ”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืน
หวงฝู่สือเมิ่งยิ้มออกมาจากใจจริง แล้วไปเตรียมกระดาษวางบนโต๊ะให้นาง ช่วยนางฝนหมึก และพูดปลอบนางว่า “น้องเล็ก เจ้ารู้ว่าตนทำอะไรผิดจริงๆ ก็ดีแล้วล่ะ ท่านปู่ไม่โกรธเจ้าจริงๆ หรอก”
เมื่อหวงฝู่เย่าเย่ว์คิดได้แล้ว ก็อารมณ์ดีขึ้น นิสัยร่าเริงของนางก็กลับมาอีกครั้ง นางแลบลิ้นให้หวงฝู่สือเมิ่งอย่างขี้เล่น “ข้ารู้แล้ว ท่านปู่รักข้าขนาดนี้ ท่านทำใจไม่สนใจข้าแบบนี้ไม่ลงหรอก”
หวงฝู่สือเมิ่งหัวเราะพลางส่ายศีรษะ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก้มศีรษะลงเริ่มลงมือเขียนหนังสือสำนึกผิดอย่างตั้งใจ
ในห้องโถง หลังจากที่ทุกคนหารือกันเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกลับห้องของตนไปพักผ่อน
หลินจ้งมาถึงหลังเรือน ไปหาพ่อแม่ของตนก่อน
ตั้งแต่ที่หลินฉงเหวินและฮูหยินหลินมาอยู่ที่ด่านชายแดน ตอนแรกพวกเขาไม่สามารถปล่อยวางจากเมืองหลวงได้ บางครั้งหลินฉงเหวินก็รู้สึกเศร้าโศกหลังจากตื่นขึ้นมา จนเกือบจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง โชคดีที่ฮูหยินหลินเข้ามาเห็นทันการณ์ และเรียกหมอเข้ามาช่วยเขาไว้ได้
หลังจากการค่อยๆ ชี้นำของฮูหยินหลินและหลินจ้ง และเมื่อปราศจากสิ่งเร้าจากภายนอก หลินฉงเหวินก็ค่อยๆ คิดได้ เขาเริ่มเปิดใจยอมรับความจริง และค่อยๆ คุ้นชินกับชีวิตที่นี่ สติก็เริ่มฟื้นฟูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ครั้งนี้ที่อ๋องฉีและคนอื่นๆ มาที่นี่ หลินฉงเหวินและฮูหยินหลินก็อยู่ที่พักของตนเหมือนกับสามัญชนทั่วไป ไม่ได้ตั้งใจออกไปแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา
หลินจ้งมาถึงห้องของพวกเขา พูดคุยเรื่องการสู้รบของสองสามวันที่ผ่านมานี้ แล้วก็บอกเจตนาในการรบกับรัฐอิงของอ๋องฉีให้พวกเขาฟัง
หลินฉงเหวินฟังแล้วก็พยักหน้า “จ้งเอ๋อร์ ศึกครั้งนี้กับรัฐอิงถือเป็นโอกาสทอง หากสามารถตีรัฐอิงให้แตกภายในสามวันจริงๆ นี่จะเป็นผลงานชิ้นใหญ่ ฮ่องเต้จะประทานรางวัลให้เจ้าอย่างงามแน่นอน ตามการคาดเดาของพ่อ อาจจะส่งเจ้ากลับเมืองหลวงก็ได้”
หลินจ้งชะงักเล็กน้อย เบิกตาโต “นี่ นี่ไม่น่าเป็นไปได้นะขอรับ”
“หากพ่อเดาไม่ผิด ตอนนั้นซื่อจื่ออยากให้เจ้าคอยรับใช้อยู่เมืองหลวง หากไม่ใช่เพราะพ่อแม่ และน้องสาวของเจ้าที่คอยเป็นภาระเจ้า ตอนนี้เจ้าก็อาจเป็นนายสนองในกระทรวงไปแล้ว อีกก้าวเดียวก็จะขึ้นตำแหน่งเป็นราชเลขาแล้ว”
หลินจ้งส่ายศรีษะ “ท่านพ่อ อย่าพูดเช่นนี้เลย ขอแค่เราทั้งบ้านได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ลูกก็มีความสุขแล้ว ไม่ว่าจะได้ขึ้นตำแหน่งหรือไม่ อีกอย่างเราอยู่ชายแดนมาสิบกว่าปีแล้ว เราคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่นี่แล้ว พวกท่านทั้งสองก็อยู่อย่างมีความสุข ฉะนั้น เมื่อจบศึกแล้ว ข้าจะไปขอซื่อจื่อด้วยตนเอง ให้เราอยู่ชายแดนด้วยกันอย่างมีความสุขเช่นนี้ต่อไปขอรับ”
หลินฉงเหวินรีบห้ามปราม “อย่าเด็ดขาด พวกเราชราแล้ว อยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญ แต่เด็กๆ ไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาถึงอายุที่ต้องแต่งงานแล้ว หากได้ตบแต่งกับคนในเขตชายแดน ทั้งชีวิตนี้ก็คงต้องอยู่เขตชายแดนตลอดไปแล้ว ตอนนั้นเราตัวถ่วงของเจ้า ตอนนี้เราจะเป็นตัวถ่วงของลูกๆ ไม่ได้อีกนะ ฟังที่พ่อพูดเถอะ ทำตามคำสั่งโยกย้ายของราชวัง เราไม่ดิ้นรนขอกลับเมืองหลวง แต่หากมีโอกาส ก็ไม่ปฏิเสธ”
“แต่ว่า…” หลินจ้งอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป
หลินฉงเหวินรู้ว่าเขากังวลสิ่งใดอยู่ พูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพ่อและน้องของเจ้าหรอก สิบกว่าปีผ่านไปแล้ว ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นจางลงไปแล้ว สิ่งที่ควรลืมก็ควรลืมได้นานแล้วล่ะ”
เมื่อหลินจ้งได้ยินดังนั้น เขาก็รู้ว่าพ่อของตนปล่อยวางได้แล้วจริงๆ แต่ตนและน้องสาวนั้น… นึกถึงครั้งแรกที่เห็นสีหน้าของหลินหันเยียนเมื่อครั้นเจอหวงฝู่เฮ่า หลินจ้งก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
หลังจากทักทายกับสองสามีภรรยาหลินฉงเหวินเสร็จ เขาก็มาที่เรือนของหลินหันเยียน
หลังจากหลินหันเยียนเดินทางมาทั้งวัน นางทั้งสกปรกทั้งเหนื่อย เมื่อกลับมาถึงจวนผู้บัญชาการ จัดแจงหวงฝู่สือเมิ่งและเด็กๆ เสร็จแล้ว ก็กลับเรือนของตนไป สั่งคนนำน้ำร้อนเข้ามา หลังจากอาบน้ำจนสบายตัวแล้ว ก็อยากจะนอนอย่างสบายใจสักหนึ่งตื่น แต่ในใจก็พะวงศึกที่กำลังเกิดขึ้น นางจึงได้แต่พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ จนเมื่อได้ยินเสียงทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว จึงหลับตาลงงีบไปครู่หนึ่ง เมื่อหลินจ้งมาหา นางก็เพิ่งตื่นพอดี
หลินจ้งมาถึงในเรือน สาวใช้ยืนรายงานอยู่หน้าประตู
หลินหันเยียนได้ยินแล้วก็เปิดม่านขึ้น เดินออกมาต้อนรับ “พี่ใหญ่ รีบเข้ามาสิ!”
หลินจ้งเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงบนเก้าอี้
หลินหันเยียนรินน้ำแก้วหนึ่งวางไว้ใกล้มือเขา “ศึกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ข้าเห็นสีหน้าของซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยตอนที่ควบม้าไปนั้นเคร่งเครียดมากนัก”
“ไม่ต้องกังวลหรอก สองสามวันนี้ท่าป๋าหั่นมู่ไม่สามารถหลอกล่อเราได้สำเร็จ เขาโมโหมาก นำตัวหญิงสาวคนหนึ่งแกล้งทำทีเป็นท่านหญิงน้อย แขวนนางไว้บนเสา ข่มขู่พวกเราให้ยกสิบคูเมืองให้ โชคดีที่ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมาทันเวลา และได้เปิดโปงทุกอย่าง ไม่เยี่ยงนั้นท่านอ๋องที่อยู่ในสถานการณ์ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องเช่นใดออกมา” หลินจ้งเล่าสถานการณ์ศึกของสองสามวันนี้ให้นางฟังอย่างสั้นๆ
“อ๋องฉีรักหลานสาวจนเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว เพื่อพวกนางแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยอมได้หมด นี่ก็ไม่แปลกหรอก” หลินหันเยียนยิ้มพูด เมื่อพูดจบ ก็พูดวกกลับเรื่องเดิมว่า “แต่ว่า ท่าป๋าหั่นมู่คิดแผนอย่างนี้ได้ ก็เกินความคาดหมายของข้าอยู่ไม่น้อย”
“โชคดีที่เขาคิดแผนนี้ออกวันนี้ หากเป็นเมื่อสองวันก่อน ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร” หลินจ้งกล่าว
หลินหันเยียนพยักหน้า
ทันใดนั้นหลินจ้งก็คิดอะไรขึ้นได้ ถามอย่างสงสัยว่า “น้องเล็ก พวกเจ้าพบเจอเรื่องอะไรมาในรัฐหมิงหรือ เหตุใดเมื่อซื่อจื่อพูดจบ ท่านอ๋องก็สั่งข้าว่าต่อไปห้ามให้คนรัฐหมิงผ่านด่านง่ายๆ ล่ะ”
หลินหันเยียนชะงักเล็กน้อย ยิ้มถามว่า “พี่ใหญ่ขยายความให้ชัดเจนกว่านี้ได้ไหมเจ้าคะ”
หลินจ้งเล่าที่มาที่ไปทั้งหมดให้ฟัง
หลินหันเยียนฟังจบก็หลุดหัวเราะ อธิบายว่า “พี่ใหญ่ ชายหนุ่มที่ท่านหญิงน้อยช่วยไว้น่าจะเป็นคนในราชวงศ์ หากข้าเดาไม่ผิด ท่านอ๋องกลัวว่าชายหนุ่มคนนั้นจะชอบท่านหญิงน้อยเข้า แล้วมาขอตบแต่งน่ะสิ”
หลินจ้งถึงบางอ้อ พยักหน้า “ข้าก็ว่า ท่านอ๋องสีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเชียวล่ะ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง”
พี่น้องทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หลายครั้งที่หลินจ้งอยากจะเล่าเรื่องที่ท่านพ่อคาดเดาไว้ว่าจะมีโอกาสกลับเมืองหลวงให้นางฟัง เพื่อให้นางเตรียมใจไว้ แต่ว่าทุกครั้งเมื่อครั้นจะพูด ก็กลืนคำพูดกลับไป จนเมื่อลุกขึ้นออกจากเรือนของหลินหันเยียนไป ก็ยังไม่ได้พูดออกมา เขาได้แต่ยืนอยู่ข้างนอก หันศีรษะกลับไป แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าการกลับไปเมืองหลวงเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับน้องเล็ก
วันต่อมา แม้ทุกคนจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร อ๋องฉีก็จะตามขบวนศึกครั้งนี้ไป บอกว่าขอเป็นประจักษ์พยานเห็นรัฐอิงถูกตีจนแตกและเจ้าคนสารเลวท่าป๋าหั่นมู่คนนั้นถูกจับเป็นด้วยตาของตนเอง
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 52 เข้ายึด
เมื่อวานอ๋องฉีพูดอย่างฮึกเหิม ทำให้จิตวิญญาณการต้อสู้ของเหล่าทหารถูกกระตุ้น วันนี้ตลอดทางที่ทุกคนมาถึงชายแดนรัฐอิง ก็เต็มไปด้วยขวัญกำลังใจที่เต็มเปี่ยมและเลือดเนื้อที่เดือดพล่าน
วันนี้ท่าป่าหั่นมู่มิได้เปิดประตูรับศึก เขายืนคร่ำเครียดอยู่บนกำแพงเมือง เมื่อวานเขาสั่งคนกลับไปขอเสด็จพ่อส่งทหารมาแสนนาย แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่แม้แต่จะเห็นเงาคนเลยสักนาย
เมื่อถึงชายแดนรัฐอิง ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นประตูเมืองไม่ได้เปิด ก็ถือโอกาสขณะที่ยังฮึกเหิมกันอยู่ ออกคำสั่งให้คนไปตะโกนท้าทายหน้าประตูเมือง
ท่าป๋าหั่นมู่ไม่ได้ตอบรับคำท้าทาย เอาแต่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองทหารด้านล่างที่อยู่เต็มทุกหย่อมหญ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างมุ่งร้าย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อตะโกนท้าทายแล้วเขาไม่ตอบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ออกคำสั่งรุกโจมตี
เหล่าทหารของรัฐอู่ยกบันไดและท่อนซุงมา บ้างปีนป่ายขึ้นไป บ้างกระทุ้งประตูเมือง
การเข่นฆ่าอันชุลมุนเริ่มขึ้น เสียงร้องฆ่าฟันกันดังไปไกล ผู้คนในชายแดนของรัฐอู่ได้ยินชัดเจน ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ที่อยู่ในเมืองและยืนอยู่บนประตูเมืองนั้นยิ่งได้ยินชัดราวกับตนอยู่ในสนามรบเอง
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ประตูเมืองกำลังจะถูกตีแตก เสียงฝีเท้ามากมายก็ดังขึ้นจากในเมืองชายแดนรัฐอิง ฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
องค์ชายใหญ่ดีใจนัก ในที่สุดทหารแสนนายก็มาถึงเสียที คนของฉู่เหวินเจี๋ยตายและบาดเจ็บไปมากแล้ว คงเป็นคู่ต่อสู้คนละชั้นกับตนไปแล้ว
องค์ชายใหญ่เดินลงมาจากกำแพงเมือง เขาขึ้นควบม้ารบ แล้วออกคำสั่ง “เปิดประตู วันนี้ข้าจะฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก”
ประตูเมืองที่กำลังจะถูกตีแตกถูกเปิดออก องค์ชายใหญ่พุ่งตัวออกไปทันที
เมิ่งชิงถือดาบขึ้นไปหา
ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด เมิ่งชิงมีกำลังมาก วิชาบู๊นั้นได้เปรียบกว่า จึงอยู่เหนือกว่าเขา
เมื่อมีทหารแสนนายเป็นกองหนุน องค์ชายใหญ่ก็มีกำลังใจ ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ อีก ยังคงสู้รบกับเขาอย่างใจเย็น
เมิ่งชิงก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ในทันที
อ๋องฉีเห็นดังนั้น ก็เร่งม้าขึ้นมาข้างหน้า หวงฝู่อี้เซวียนห้ามเขาไว้ “เสด็จพ่ออยู่เฉยๆ เถอะขอรับ ลูกไปเอง!”
หลังจากเร่งม้าขึ้นมาหน้าเขา ก็ตะโกนว่า “ชิงเอ๋อร์ ถอยไป!”
เมิ่งชิงแสร้งตวัดดาบทีหนึ่ง แล้วถอยกลับไปข้างกายเขา
เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นว่าเป็นเขา ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก เขากวัดแกว่งอาวุธและเข้าจู่โจมทันที
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนม้าอย่างสง่า เมื่อเขามาถึงข้างหน้า ก็กระโดดลอยตัวขึ้นมาจู่โจมหาอย่างรุนแรง เพื่อเอาชีวิตเขาทันที
กำลังวังชาขององค์ชายใหญ่ก็ไม่น้อยหน้า เขาหลบการโจมตีของหวงฝู่อี้เซวียนได้อย่างหวุดหวิด
ทั้งสองสู้กันไปมา จนผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า
ทหารทั้งสองรัฐก็กำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด
ฉู่เหวินเจี๋ยและอ๋องฉียืนดูอยู่รอบนอก
เมิ่งชิงนำเหล่าทหารขึ้นไปหวังจะตีประตูเมืองให้แตก
วิชาต่อสู้ของหวงฝู่อี้เซวียนและองค์ชายใหญ่สูสีกัน ทั้งสองสู้รบฟาดฟันกันไปมาร้อยกว่ากระบวนท่า ก็ยังไม่มีใครแพ้ใครชนะ
ตอนนี้เอง ทหารของรัฐอู่ก็เริ่มหมดแรง
“ตีระฆังถอยทัพ!” ฉู่เหวินเจี๋ยตัดสินใจออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดในยามวิกาล
อ๋องฉีเองก็รู้ว่าการรบของฝั่งตนค่อนข้างเสียเปรียบ จึงไม่ได้ห้าม
ทหารรัฐอู่ถอยทัพดั่งสายน้ำไหล
ทหารของรัฐอิงก็ไม่ได้ไล่ตาม เพราะไม่มีคำสั่งจากองค์ชายใหญ่
หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้ยินเสียงตีระฆังแล้ว ครั้นอยากจะผละตัวถอยกลับ องค์ชายใหญ่ก็หัวเราะขึ้น และคอยตามรังควานเขาไม่ปล่อย “อยากหนีไปหรือ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก อยู่ให้ข้าได้ปลดปล่อยสักคราเถอะ”
เมิ่งชิงเห็นดังนั้นก็อยากจะเข้าไปช่วยเหลือ
อ๋องฉีห้ามเขาไว้
เขารู้สึกถึงรังสีความอาฆาตที่อยากลงมือสังหารจากตัวหวงฝู่อี้เซวียนเมื่อพูดถึงองค์ชายใหญ่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้จึงเป็นโอกาสอันดี
ในชั่วขณะนั้น ในสนามรบเหลือเพียงการสู้รบของพวกเขาสองคน
ทุกคนมองไปที่พวกเขา
เมื่อองค์ชายใหญ่พูดจบ รังสีอำมหิตของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งมีมากขึ้น กระบวนท่าก็ดุดันมากขึ้น
องค์ชายใหญ่ไม่กล้าดูถูกศัตรูอีก สู้อย่างจริงจัง
ผ่านไปอีกสิบกระบวนท่า เหงื่อซึมไปทั่วหน้าผากทั้งสอง สนามรบทั้งสนามก็เงียบสงัด ทุกคนดูการต่อสู้ที่ทวีความดุเดือดของทั้งสอง ในใจอดให้กำลังใจฝ่ายตนไม่ได้
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงโจมตีอย่างสงบนิ่ง เมื่อไม่สามารถเอาชนะกันได้ องค์ชายใหญ่ก็เริ่มแสดงสีหน้าร้อนรน วันนี้เป็นโอกาสทอง หากจับหวงฝู่อี้เซวียนไว้ได้ ก็จะได้คูเมืองของรัฐอู่มาด้วย เมื่อคิดถึงตรงนั้น จิตใจก็วอกแวก จนเผยจุดอ่อนการโจมตี หวงฝู่อี้เซวียนถือโอกาสนี้ลงมืออย่างไม่ลังเล องค์ชายใหญ่กระเด็นลอยออกไปราวกับเชือกว่าวที่ขาดผึง
“องค์ชายใหญ่!” ทหารรัฐอิงร้องตะโกนอย่างตกใจ พวกเขาขยับตัว คิดจะรับเขาไว้
หวงฝู่อี้เซวียนจะยอมให้พวกเขาทำตามใจได้อย่างไร เขารีบกระโดดตามไป หมายจะเอาชีวิตองค์ชายใหญ่เสีย
เหล่าทหารรัฐอิงรีบยกอาวุธขึ้นมากันเขาไว้
“เซวียนเอ๋อร์ กลับมา ที่เหลือปล่อยให้เราจัดการ” ฉู่เหวินเจี๋ยตะโกน ในขณะเดียวกันก็ออกคำสั่ง “ตีกลองบุก!”
องค์ชายใหญ่กระเด็นออกไป เพิ่มขวัญกำลังใจให้กับทหารรัฐอู่ยิ่งนัก ความเหนื่อยล้าเมื่อครู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความฮึกเหิม ทหารโบกธงร้องตะโกนลุยเข้าไป
การโจมตีของหวงฝู่อี้เซวียนเมื่อครู่นั้น เกือบจะเอาชีวิตขององค์ชายใหญ่ไปแล้ว แม้จะถูกเหล่าทหารรับไว้ทันจากการร่วงลงมาจากที่สูง แต่ก็กระอักเลือดออกมาสองสามอึก เขาหน้ามืดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ฝืนสั่งเหล่าทหารทันทีว่า “ถอยทัพ! ถอยกลับไปในเมือง!”
ทหารรัฐอิงถอยกลับไปทั้งหมด หวังจะปิดประตูเมือง
เมิ่งชิงนำทหารบุกเข้าไปจนถึงหน้าประตูเมือง จะยอมให้พวกเขาปิดประตูอย่างง่ายกายได้อย่างไร
การสู้รบดุเดือดขึ้นอีกครั้ง เสียงเข่นฆ่าและเสียงฟาดฟันดังระงมไปทั่ว
จนเมื่อประตูเมืองแตก องค์ชายใหญ่ก็โมโหจนกระอักเลือดออกมาอีกสองสามอึก เขาฝืนนั่งตัวโซซัดโซเซอยู่หลังอานม้า หลับตาลงครู่หนึ่ง แล้วออกคำสั่งอย่างเจ็บปวดใจว่า “ละทิ้งคูเมือง ถอยกลับยี่สิบลี้!”
องค์ชายใหญ่นำทหารถอยทัพ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่ได้สั่งคนให้ตามไล่ล่า เขาสั่งคนให้ทำความสะอาดสนามรบ จัดแจงทหารที่บาดเจ็บ และส่งจดหมายกลับไปที่ชายแดน บอกเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ว่าชายแดนของรัฐอิงถูกตีแตกแล้ว หลังจากเข้าควบคุมอย่างเคร่งครัดและเป็นระเบียบเรียบร้อยดีแล้ว พรุ่งนี้จะบุกเข้าไปที่เมืองหลวงของรัฐอิงต่อไป
เมื่อได้ข่าว เหล่าทหารที่ประจำอยู่ในเมืองก็โห่ร้องยินดี เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากไถ่ถามสถานการณ์การสู้รบอย่างละเอียดแล้ว ทราบว่าองค์ชายใหญ่ถูกหวงฝู่อี้เซวียนโจมตีจนบาดเจ็บ และนำทหารถอยทัพไปห้าสิบลี้ นางก็ยิ้มพยักหน้า “การสู้รบครั้งนี้กำลังจะจบลงแล้วล่ะ”
การรบครั้งนี้องค์ชายใหญ่เป็นคนประกาศศึก ตอนนี้เขาบาดเจ็บแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อไป อีกไม่นานรัฐอิงก็จะส่งคนมาเจรจาสงบศึกแล้ว
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้สั่งทหารให้ตามล่าต่อ การสู้รบของสองรัฐนั้น คนที่ลำบากคือทหาร การสู้รบที่เลวร้ายสองสามวันนี้นั้น ก็ทำเอาคนที่เขานำมาบาดเจ็บและสูญเสียไปสี่ห้าหมื่นนายแล้ว หากรบต่อไป คนเจ็บคนตายจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับฉู่เหยาที่ถูกสั่งให้ประจำอยู่ในเมือง ให้เขาเฝ้าประตูเมืองให้ดี ส่วนตนเองนั้นก็ลงจากประตูเมืองไป ขึ้นควบม้าเร็วมาถึงเขตแดนรัฐอิง ก่อนอื่นนางสอบถามสถานที่ที่พักตัวของเหล่าทหารที่บาดเจ็บ แล้วก็มาถึงที่นี่ทันที จากนั้นก็รีบช่วยห้ามเลือดและทำแผลให้เหล่าทหาร
เหล่าทหารรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างดี เมื่อเห็นนางมา แม้จะแขนขาขาดมาก็ฝืนทนไว้ ไม่ร้องโอดครวญเลย พวกเขามองนางด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ นัยน์ตาปรากฏแสงแห่งความหวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ความหมายจากสายตาที่พวกเขาอยากจะสื่อดี แต่,uคนบาดเจ็บมากมายขนาดนี้ นางก็ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมดทันที แต่ก็ยังยิ้มปลอบใจทุกคน “ทุกคนดูแลพักฟื้นตนเองดีๆ ฮ่องเต้จะตบรางวัลอย่างงามให้พวกเจ้าเอง”
ไม่ใช่นาง แต่คือฮ่องเต้ เหล่าทหารที่บาดเจ็บรู้ถึงความแตกต่าง แสงแห่งความหวังในตามลายหายไป พวกเขาก้มศีรษะลง มองดูแขนขาที่ขาดของตน ความเศร้าและผิดหวังมาแทนที่
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินว่านางมา เขาก็รีบตามมาช่วยทันที
เหล่าทหารที่บาดเจ็บได้รับการดูแลดีอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ เพราะมีทั้งซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง ทันใดนั้นก็รู้สึกคุ้มค่าแล้วที่ตนบาดเจ็บมา ความเศร้าและความผิดหวังเมื่อครู่ก็ลดลงไปมาก
เมื่อองค์ชายใหญ่ถอยทัพไปยี่สิบลี้ พบว่าฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้นำทัพไล่ตามมา เขาก็ดึงบังเ**ยนหยุดม้า สั่งทหารที่ถอดชุดเกราะออกแล้วพักผ่อนบริเวณนั้น ส่วนตนเองก็เงยศีรษะขึ้นมองดูเมืองชายแดนที่ถูกครอบครอง พร้อมธงที่ถูกแขวนขึ้นสูงของรัฐอู่ด้วยสายตาดุดัน เขารู้ดีว่าเขาได้สูญเสียเมืองชายแดนไปแล้ว ผลการรบนั้นก็ทราบดีแล้ว ส่วนตนก็เกินต้านลิขิตสวรรค์ การตระเตรียมสิบกว่าปีที่ผ่านมาจบสิ้นลงในวันนี้ แผนการที่จะยึดครองคูเมืองทั้งสิบของรัฐอู่ก็หายไปพร้อมกับการรบครั้งนี้ และหากต้องการยุติการสู้รบ เสด็จพ่อของตนก็ต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ที่ต่ำช้าและไร้ยางอายที่รัฐอู่จะเสนอมาอีก
เขามองกลับมาอย่างไม่เต็มใจ มองดูเหล่าทหารที่เหนื่อยจนนอนระเนระนาดไปทั่วพื้นหลังจากที่ถอยทัพกลับมายี่สิบลี้ในทันที เขาก็ยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง
เมืองหลวงรัฐอิงก็ทราบข่าวการแพ้รบขององค์ชายใหญ่อย่างรวดเร็ว ในวังนั้นก็วุ่นวายไปทั่วทุกสารทิศ มีทั้งเสียงตกใจกลัว เสียงสวดมนต์ขอร้อง เสียงบ่นไม่พอใจ ฮ่องเต้ฝืนตัวนั่งหรี่ตาอยู่บนเก้าอี้มังกร มองดูเหล่าขุนนางที่วุ่นวายไปทั่ว แต่กลับไม่มีแม้แต่เสียงว่ากล่าว เขาชรามากแล้ว ร่างกายไม่ไหวแล้ว ควรจะสละบัลลังก์ไปนานแล้ว แต่คนสืบทอดที่เขาหมายตาไว้ ท่าป๋าที่เป็นบุตรชายคนโตกลับไม่มีทายาทให้เสียที อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร รอเมื่อเขาได้รับตำแหน่ง ก็แค่แต่งตั้งนางสนมเพิ่มให้อีกเสียหน่อยก็ได้แล้ว แต่เมื่อครั้นตอนที่เขาเขียนพระราชโองการมอบบัลลังก์ให้เขานั้น ก็บังเอิญทราบข่าวมาว่า ท่าป๋าชอบผู้ชาย ตอนนั้นเขาไม่เชื่อ จึงส่งคนไปสืบความ จนทราบว่าเป็นเช่นนั้นจริง ตอนนั้นเขาแทบจะหยุดหายใจตายไปแล้ว ตอนนี้เขาจึงต้องฝืนร่างกายว่าราชกิจต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อให้ท่าป๋ามีโอกาสนำทัพไปโจมตีรัฐอู่ ขอแค่ได้คูเมืองสักหนึ่งคูเมืองก็ยังดี ก็จะได้มอบบัลลังก์ให้เขาโดยที่ไม่มีใครกล้าซุบซิบนินทา แต่ตอนนี้เขาพ่ายแพ้แล้ว บัลลังก์ก็ไม่สามารถส่งต่อให้เขาได้ในเร็วๆ นี้แล้ว
หลังจากที่ฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งชิงจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงสถานที่ที่พำนักชั่วคราวของทหารที่บาดเจ็บ เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองวุ่นจนเหงื่อซึมไปทั้งใบหน้า ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ฉู่เหวินเจี๋ยสั่งทั้งสองว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ ที่เหลือให้หมอทหารมาจัดการต่อเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยรักษาทหารที่บาดเจ็บสาหัสแล้ว ที่เหลือก็แค่ทหารที่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งสองจึงพยักหน้า กำชับหมอทหารทุกคนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินออกไป หลังจากล้างเลือดที่ติดตามมือออกพอเป็นพิธีแล้ว ทั้งสองก็เดินเคียงคู่กันบนถนน
อาจเป็นเพราะรู้ว่าคูเมืองถูกเปลี่ยนเจ้าของแล้ว ประตูและหน้าต่างของทุกบ้านทุกเรือนจึงปิดแน่นสนิท ไม่มีใครกล้าปรากฏตัวบนถนน
ฉู่เหวินเจี๋ยออกคำสั่งอย่างเคร่งครัดห้ามทหารก่อกวนผู้คน ยังคงก่อฟืนทำอาหารนอกเมือง ถนนจึงเงียบสงัด นอกจากทหารลาดตระเวนที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น