ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 4.2-7.1

ตอนที่ 4-2 ถูกโจมตีระหว่างทาง

 

กลุ่มคนที่มามุงล้อมตามไปศาลาว่าการหมดแล้ว หน้าโรงหมอเงียบสงบลงไปมาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านกลับร้านไปก่อนเถอะ ไปปลอบใจคนที่เสียขวัญ ข้าจะไปศาลาว่าการ เมื่อจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว ข้าถึงจะกลับไป”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า เดินลิ่วๆ ออกไป ขึ้นนั่งบนรถม้า กลับไปยังร้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็สาวเท้าเดินออกไป เสียงสั่นกลัวของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง “มะ แม่นางเมิ่ง!” เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า หันหลังกลับไป


 


 


สตรีสองนางเร่งฝีเท้าเดินมาตรงหน้านาง พูดอย่างรู้สึกผิด “แม่นางเมิ่ง พวกเรายังไม่ทันรู้ความจริง ก็เข้าไปอาละวาดในร้านท่าน ต้องขอโทษท่านด้วย ขอท่านอย่าได้เอาความคนต่ำต้อยอย่างพวกเรา ให้อภัยพวกเราด้วย”


 


 


พูดจบ ก็มองนางด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มอ่อนให้ “คนในบ้านได้รับพิษ พวกท่านมีพฤติกรรมเช่นนั้นมิใช่เป็นการกระทำที่ไม่ดีทั้งหมด วางใจเถอะ ข้าไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอก”


 


 


สตรีสองนางปิติยินดี โค้งคำนับกล่าวขอบคุณพร้อมกัน “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าไปห้าม “พวกท่านตามข้าไปศาลาว่าการเถอะ ไปฟังว่าเหตุใดพวกเขาถึงต้องวางยาพิษกันแน่”


 


 


สตรีสองทางรับคำ เดินตามหลังเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงศาลาว่าการ


 


 


กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกกำลังมุงล้อมด้านหน้าศาลาว่าการ ชี้มือชี้ไม้วิพากษ์อย่างสนุกปาก เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสามคนเข้ามา ก็แยกออกเป็นทางให้พวกนางโดยอัตโนมัติ


 


 


ทั้งสามเข้ามาในศาลาว่าการ เห็นสองสามีภรรยาจางกำลังคุกเข่าบนพื้น


 


 


ทั้งสามทำความเคารพผู้ว่าการตำบลเสร็จ ออกมายืนด้านข้าง


 


 


ผู้ว่าการตำบลตบแท่งไม้ตบบัลลังก์ รอบศาลาว่าการทั้งภายในและภายนอกอยู่ในความสงบพลัน


 


 


ผู้ว่าการตำบลพูดน้ำเสียงแข็งกร้าว  “เจ้าไพร่บังอาจ ยังไม่รีบบอกเหตุจูงใจในการวางยาของเจ้าออกมาอีก จะรอให้ถูกโบยก่อนใช่หรือไม่?”


 


 


จางโก่วจื่อพูดอย่างหวาดผวา “ข้ายอมรับสารภาพแล้ว!”


 


 


“ยังไม่รีบพูดออกมาอีก!” ผู้ว่าการตำบลตวาด


 


 


จางโก่วจื่อตกใจตัวสั่นระริก แล้วพูดว่า “ข้าเป็นคนตะกละตะกลาม นับตั้งแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งเปิดมา ข้าก็นึกอยากกินสักชาม แต่ทางบ้านแร้นแค้น แม้แต่ข้าวก็กินไม่อิ่ม ไฉนเลยจะมีเงินมากมายมากินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งได้ หลายวันก่อน ข้าออกไปทำงาน ได้เงินมาไม่น้อย คิดจะไปกินสักชาม คนในครอบครัวเป็นตายก็ไม่เห็นด้วย ด้วยความหน่ายแหนงใจ ข้าจึงคิดวิธีหนึ่งขึ้น ฉวยโอกาสนี้หลอกกรรโชกเงินพวกนางสักก้อน แต่ข้าก็กลัวถ้าข้าได้รับพิษคนเดียว จะทำให้คนอื่นสงสัยได้ จึงชวนเพื่อนสนิทของข้าไปกินด้วยกัน”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าใส่ยาลงในชามของคนทั้งสองได้อย่างไร?” ผู้ว่าการตำบลเค้นถาม


 


 


จางโก่วจื่อผ่อนลมหายใจ แล้วตอบอย่างอ่อนแรง “หลังจากก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งถูกยกออกมา ข้าก็ล้วงยาพิษออกมาจากชายเสื้อ เริ่มจากใส่ชามของตัวเองก่อน บอกพวกเขาว่า นี่เป็นเครื่องปรุงรสชั้นเลิศที่ข้าได้มาจากบ้านนายท่าน ตอนข้าออกไปทำงาน พวกเขาได้ฟัง ต่างแย่งกันขอให้ข้าเทใส่ในชามพวกเขาด้วย ข้าจึงใช้โอกาสนี้เทยาพิษลงในชามของพวกเขา”


 


 


จางโก่วจื่อพูดอย่างมีเหตุมีผล ผู้ว่าการตำบลเชื่อหลายส่วน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเอ่ยปากถามเขา “เจ้าไปทำงานที่ไหน หาเงินได้มากเท่าใด และเจ้าเอายาพิษนั้นมาจากไหน พูดออกมาให้หมด ข้าจะส่งคนไปสืบสวน”


 


 


หากเป็นปกติทั่วไป เมิ่งเชี่ยนโยวกล้าซักถามนักโทษโดยพลการ ไม่ผ่านความเห็นชอบจากผู้ว่าการตำบล เขาคงติเตียนนางไปแล้ว แต่หลังจากผ่านพ้นเรื่องในวันนี้ ผู้ว่าการตำบลให้เกิดความชมชอบนาง จึงอนุญาตให้นางถามได้ จางโก่วจื่อได้ยินคำถามเมิ่งเชี่ยนโยว แววตาล่อกแล่ก อึกๆ อักๆ พูดไม่ออก


 


 


ผู้ว่าการตำบลเข้าใจทันทีว่าเขาโกหก บันดาลโทสะ สั่งการเจ้าหน้าที่อย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง “เจ้าหน้าที่ ลากตัวไพร่ผู้นี้ออกไปโบยยี่สิบไม้ก่อน”


 


 


เจ้าหน้าที่สองนายรับคำ เดินมาข้างจางโก่วจื่อ


 


 


แม้จางโก่วจื่อจะใส่ยาพิษในชามตัวเองน้อยกว่าของสองคนนั้น แต่เพื่อให้สมจริง ก็ใส่ลงไปไม่น้อย หลังจากทนทรมาน พลังชีวิตก็หายไปกว่าครึ่งแล้ว หากต้องถูกโบยอีกยี่สิบไม้ พลังชีวิตที่เหลือเพียงน้อยนิดนี้คงไม่รอดแล้ว


 


 


สะใภ้จางโก่วจื่อเข้ามาขวางหน้าจางโก่วจื่ออย่างขยาดกลัว ขอร้องวิงวอน “ใต้เท้า ท่านอภัยให้เขาสักครั้งเถอะ ครอบครัวพวกเรายังมีคนแก่และเด็กรอให้เขาเลี้ยงดู หากเขาตายไป พวกเราจะอยู่ต่อไปอย่างไร?”


 


 


ผู้ว่าการตำบลไม่สนใจนาง ออกคำสั่งเจ้าหน้าที่ “ลงทัณฑ์!”


 


 


เจ้าหน้าที่ผลักสะใภ้จางโก่วจื่อออก ลากตัวจางโก่วจื่อมาถึงลานด้านนอก ยกไม้ในมือขึ้นตีลงไป


 


 


จางโก่วจื่อหวีดร้องโหยหวน


 


 


กลุ่มคนที่มามุงล้อมได้ยินเสียงร้องน่าสังเวชของเขา ต่างหดห่อตัวรับรู้ความรู้สึกของเขา


 


 


โบยไปห้าไม้ จางโก่วจื่อใกล้จะขาดใจแล้ว


 


 


สะใภ้จางโก่วจื่อเห็นดังนั้น รีบโขกศีรษะให้ผู้ว่าการตำบล ลนลานพูดว่า “ข้าพูดแล้ว! ข้าพูดแล้ว!”


 


 


ผู้ว่าการตำบลยกมือขึ้น ยับยั้งเจ้าหน้าที่


 


 


สะใภ้จางโก่วจื่ออยากวิ่งออกไปดูว่าจางโก่วจื่อเป็นอย่างไรบ้าง กลับถูกไม้พายของเจ้าหน้าที่ขวางไว้


 


 


สะใภ้จางโก่วจื่อหันกลับไปคุกเข่าอีกครั้ง เสียใจจนลำไส้เขียวช้ำไปหมดแล้ว พูดสะอึกสะอื้นน้ำเสียงขาดเป็นห้วงๆ ว่า “หลายวันก่อน มีชายคนหนึ่งมาหาพวกเรา บอกว่ามีเรื่องหนึ่งอยากให้พวกเราช่วย หากทำสำเร็จ จะให้เงินค่าตอบแทนเป็นเงินห้าร้อยตำลึง พวกเราถามเขาว่าให้ทำอะไร เขาจึงบอกเรื่องให้ป้ายสีร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งกับพวกเราก่อน นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าทำพลาดอาจถึงแก่ชีวิตได้ เริ่มแรกพวกเราไม่กล้ารับปาก คาดไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะข่มขู่พวกเรา บอกว่าพวกเรารู้เรื่องที่เขาจะทำแล้ว หากพวกเราไม่รับปาก จะฆ่าพวกเรายกครัว หากพวกเรารับปาก ไม่เพียงจะรักษาชีวิตทั้งครอบครัวไว้ได้ ยังจะได้เงินอีกห้าร้อยตำลึง พวกเราด้วยความหวาดกลัว จึงยอมรับข้อเสนอเขา เขาจึงสอนพวกเราว่าต้องใส่ยาพิษอย่างไร หลังจากข้ารู้เรื่องที่สามีได้รับพิษ ให้ข้าไปอาละวาดที่ร้านอย่างไร ทั้งต้องพูดอย่างไร ให้พวกเราหมดทุกอย่าง”


 


 


ผู้ว่าการตำบลเค้นถาม “พวกเจ้ารู้จัก ผู้บงการเบื้องหลังคนนั้นหรือไม่?”


 


 


สะใภ้จางโก่วจื่อส่ายหน้า “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ ฟังจากสำเนียงเขา ไม่เหมือนคนท้องที่นี้ อีกทั้ง นับแต่วันนั้นมา พวกเราก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย”


 


 


“เช่นนั้นทำไมพวกเจ้าถึงยอมทำงานให้เขาอย่างถวายหัวเช่นนี้?” ผู้ว่าการตำบลเค้นถามต่อ


 


 


สะใภ้จางโก่วจื่อกัดฟันพูดว่า “ชายคนนั้นใจกว้างมาก หลังจากมอบหมายงานเสร็จสิ้น ก็ได้มอบเงินให้พวกเราสองร้อยตำลึง พวกเราถึงตัดสินใจยอมทำงานนี้”


 


 


ผู้ว่าการตำบลถามต่อ “ตอนนี้เงินอยู่ที่ไหน?”


 


 


“อยู่บนขื่อบ้านพวกเราเจ้าค่ะ มัดห่อไว้ด้วยผ้าเก่าผืนหนึ่ง” สะใภ้จางโก่วจื่อตอบ


 


 


ผู้ว่าการตำบลสั่งการเจ้าหน้าที่สองนาย “พวกเจ้าจงไปบ้านนาง นำเงินกลับมาโดยเร็วที่สุด”


 


 


เจ้าหน้าที่สองนายรับคำ เร่งฝีเท้าวิ่งออกไปทันที ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็กอดห่อผ้าหนึ่งวิ่งกลับมา วางไว้บนโต๊ะพิจารณาคดีเบื้องหน้าผู้ว่าการตำบล


 


 


ผู้ว่าการตำบลเปิดห่อผ้าออก เงินสีขาวนวลปรากฏขึ้นตรงหน้า


 


 


กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกไฉนเลยจะเคยเห็นเงินมากมายเช่นนี้ ต่างสูดลมเย็นเข้าปากกันเป็นแถบ


 


 


สะใภ้จางโก่วจื่อพูดเสียงสั่นเครือ “ในนี้มีเงินหนึ่งร้อยเก้าสิบตำลึง อีกสิบตำลึงพวกเราใช้ไปแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ผู้ว่าการตำบลนับจำนวนเงิน ได้หนึ่งร้อยเก้าสิบตำลึงพอดี ตบแท่งไม้ลงบนบัลลังก์ พูดเสียงลั่น “ตอนนี้ตรวจสอบเรื่องกระจ่างแล้ว ชายสามคนที่ได้รับพิษ เป็นฝีมือของคู่สามีภรรยาจางโก่วจื่อ ไม่เกี่ยวข้องกับร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง ร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งเปิดดำเนินการต่อไปได้ นำตัวคู่สามีภรรยาจางโก่วจื่อไปคุมขัง รอการตัดสินหลังจากจับตัวผู้บงการได้แล้ว” เจ้าหน้าที่ขานรับคำ ลากตัวจางโก่วจื่อที่นอนแน่นิ่งจะตายแหล่มิตายแหล่และสะใภ้จางโก่วจื่อไปขังคุก


 


 


กลุ่มคนที่มุงล้อมส่งเสียงเซ็งแซ่ คนตายเพราะเงินนกตายเพราะอาหาร ครั้งนี้สองสามีภรรยาจางจะต้องไม่มีจุดจบที่ดี


 


 


ผู้ว่าการตำบลสั่งกำชับกุนซือ “เงินสกปรกพวกนี้ นอกจากนำไปใช้เป็นค่าตรวจโรคและหยูกยาของทั้งสองคนนั้น ส่วนที่เหลือให้จดบันทึกเข้าคลัง”


 


 


กุนซือรับคำ เดินมาหน้าบัลลังก์ ใช้ผ้ามัดห่อเงินเก็บขึ้น


 


 


สตรีอีกสองนางปลาบปลื้มยินดี กล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก


 


 


กลุ่มคนที่มุงล้อมเห็นเรื่องจบสิ้นแล้ว ต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวลาผู้ว่าการตำบลอย่างมีมารยาท แล้วเดินออกมา


 


 


เสี่ยวเอ้อร์สองคนที่ถูกส่งไปสะกดรอยตายเฮ่อเอ้อเดินมาตรงหน้านาง พูดเสียงต่ำ “นายท่าน พวกเขาไปยังห้องรับรองชั้นสองของเหลาจวี้เสียนขอรับ ข้าสืบถามจากหลงจู๊แล้ว ในห้องรับรองมีคุณชายอ่อนเยาว์กับชายกำยำสิบกว่าคน แต่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องสนพวกเขา เมื่อพวกเขาพุ่งเป้ามาที่พวกเรา จักต้องลงมืออีก ช่วงนี้คอยระวังเอาไว้ให้ดีก็พอ นี่ก็เย็นมากแล้ว พวกเราก็สมควรกลับบ้านแล้ว”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ทั้งสองคนรับคำ ตามเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมายังร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ ในร้านกำลังรอฟังข่าวอย่างใจจดจ่อ เห็นนางกลับมา เมิ่งเสียนรีบร้อนซักถาม “น้องสาว เป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขายอมรับสารภาพหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างกระชับ


 


 


ทุกคนได้ฟังแล้ว ต่างโมโหเคืองโกรธ แทบอยากจะนำตัวผู้บงการออกมาซ้อมให้น่วมตอนนี้เลย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบประโลมจิตใจพวกเขา พูดว่า “วันนี้พวกเจ้าเสียขวัญมากแล้ว ตอนเย็นไม่ต้องเปิดทำการ พวกเรารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เปิดร้านตามปกติ”


 


 


ทุกคนขานรับคำ หลังจากตรวจดูภายในร้านอย่างละเอียดหนึ่งรอบตามปกติ ก็ลงกลอนประตู นั่งรถม้ากลับไปพร้อมกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนนั่งในห้องโดยสาร เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดให้เมิ่งเสียนฟังอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเสียนขมวดคิ้ว พูดว่า “ปกติพวกเราไม่เคยล่วงเกินใคร ใครกันที่มีความแค้นหนักหนาเช่นนี้กับพวกเรา หมายจะบีบให้พวกเราต้องปิดร้าน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขบคิดถึงปัญหานี้มาตลอด ได้ฟังก็ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ หลายปีมานี้พวกเราตั้งใจทำการค้า ไม่เคยมีเรื่องกับใครที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยเลย”


 


 


เมิ่งเสียนถามขึ้น “หรือมีคนริษยาที่ร้านพวกเราขายดีเกินไป ถึงได้คิดวิธีนี้?”


 


 


“ไม่มีทาง” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบหนักแน่น “คนที่พอมีกำลังทรัพย์ในเมืองชิงซีต่างก็รู้เรื่องของข้าดี พวกเขามีแต่จะมาประจบสอพลอ จะกระทำเรื่องชั่วช้าลับหลังข้าได้อย่างไร จักต้องไม่ใช่พวกเขา”


 


 


เมิ่งเสียนนึกกังขา “เช่นนั้นจะเป็นใคร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มอ่อน “ไม่ว่าเป็นใคร เมื่อมากระตุกหนวดเสือข้า ข้าจะทำให้เขามาแล้วไม่มีวันได้กลับไปอีก”


 


 


เมิ่งเสียนรู้ว่าครั้งนี้นางโมโหจริงๆ แล้ว เป็นกังวลหลังจากที่นางได้ตัวคนนั้นมา จะลงมือเ**้ยมโหด ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงนาง คิดจะพูดเตือนนาง แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก จู่ๆ รถม้าก็หยุดวิ่ง ด้านนอกมีเสียงคุ้นหูของชายคนหนึ่งดังขึ้น “แม่นางเมิ่ง ลงมาคุยกันหน่อยเถอะ”


 

 

 


ตอนที่ 5 เจียนตาย

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เมิ่งเสียนอยู่ในรถม้า ตนเองแหวกม่านรถขึ้น เดินลงมา แล้วกวาดตามองชายฉกรรจ์ชุดดำสิบกว่าคนที่ขวางหน้ารถม้า แสยะยิ้มเ**้ยมถามชายผู้นำ “ท่านผู้กล้า บังเอิญยิ่งนัก ญาติของท่านอยู่แถวนี้หรือ?”


 


 


เฮ่อเอ้อหัวเราะร่วน “แม่นางเมิ่งเดาสถานะข้าออกแต่แรกแล้ว ไยต้องถามเช่นนี้อีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงละมุน “ข้าเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนา เห็นโลกมาน้อย ไฉนเลยจะเดาสถานะของท่านผู้กล้าได้ ไม่เช่นนั้นท่านโปรดบอกข้าเอง?”


 


 


เฮ่อเอ้อพูดว่า “ประเดี๋ยวแม่นางพบนายท่านของพวกเรา ก็จะรู้สถานะของพวกเราเอง ตอนนี้ขอเชิญแม่นางตามไปกับพวกเราก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่และเสี่ยวเอ้อร์จำนวนหนึ่งบนรถม้าเกร็งลำตัวแน่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งไม่เข้าใจในคำพูดของเขา ส่ายหน้าปฏิเสธ “เย็นมากแล้ว ท่านพ่อท่านแม่กำลังรอให้ข้ากลับไปโดยไว ข้าคงไม่ไปพบนายท่านของพวกท่านแล้ว แต่รบกวนท่านฝากไปบอกเขาด้วย ข้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น วันนี้เขากลั่นแกล้งข้า วันหน้าข้าจะให้เขาต้องชดใช้”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเฮ่อเอ้อจางหาย ถามเสียงเข้ม “แม่นางจะไม่ไปกับพวกเราดีๆ รึ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตามจริง “ไม่ไป”


 


 


เฮ่อเอ้อแผ่รังสีสังหารออกมา “เมื่อแม่นางไม่ยอม ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกางแขนออก ทำท่าผายมือเชื้อเชิญ “เชิญตามสบาย”


 


 


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เฮ่อเอ้อไม่เคยถูกใครหยามน้ำหน้าเช่นนี้มาก่อน เลือดขึ้นหน้า โบกมือให้กลุ่มชายด้านหลัง “ลงมือ!”


 


 


ชายฉกรรจ์ห้าหกคนพุ่งเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย


 


 


ร่างคนจำนวนหนึ่งกระโจนออกมาจากรถม้าด้านข้าง ขวางหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไว้


 


 


กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นพวกเขาบึกบึนกำยำ หยุดชะงักการจู่โจม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับเสี่ยวเอ้อร์จำนวนหนึ่งที่ยืนเบื้องหน้าตัวเอง “ผู้มาล้วนเป็นแขก พวกเจ้าอย่าลงมือหนักเกินไป เอาแค่เจียนตายก็พอ”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ทั้งหมดขานรับคำพร้อมกัน “ขอรับ นายท่าน!”


 


 


เมื่อคำพูดนี้เข้าสู่โสตประสาทชายฉกรรจ์ คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ออกคำสั่งเสียงลั่น “นอกจากแม่นางน้อย อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”


 


 


ชายฉกรรจ์ที่เหลือกระโจนเข้าหารถม้าอีกสองคัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แสดงท่าทีเป็นกังวลแม้แต่น้อย ยังคงยกยิ้มมองเฮ่อเอ้อ


 


 


ไม่รู้เพราะอะไร เฮ่อเอ้อถูกนางมองจนขนหัวลุกชูชัน รีบสั่งการคนที่อยู่เบื้องหน้านาง “ยังไม่ลงมืออีก!”


 


 


ชายฉกรรจ์ทั้งหมดรับคำ รุกเร้าจู่โจม


 


 


เสี่ยวเอ้อร์เข้ามารับมือ ทั้งสองฝ่ายประหัตประหารกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวพิงข้างรถม้าอย่างสบายอุรา มองดูการต่อสู้อันอลหม่านตรงหน้าอย่างครึ้มใจ บ้างก็ให้คำชี้แนะเสี่ยวเอ้อร์ของตัวเอง


 


 


เมิ่งเสียนทนไม่ไหวแล้ว เดินลงจากรถม้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดกับเขาทันที “พี่ใหญ่ ท่านว่าคนพวกนี้สติไม่ดีหรือไม่ ฟ้ายังไม่ทันมืดดี ก็สวมชุดดำเดินกร่างออกมา นี่มิใช่เป็นการบอกคนที่เห็นอย่างโจ่งแจ้ง ว่าพวกเขามิใช่คนดีหรอกหรือ?”


 


 


เมิ่งเสียนฝืนกลั้นขำ พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนาง “ถูกต้อง พวกเขาสติไม่ดี”


 


 


สิ้นเสียงคนทั้งสอง ชายฉกรรจ์คนหนึ่งไถลลื่น เปิดโอกาสให้เสี่ยวเอ้อร์เตะจนพลิกตัวหลายตลบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับตำหนิพวกเขา “ข้าจะบอกพวกเจ้าว่า ผ่านมาหลายปี เพิ่งจะได้ปะมือกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ พวกเจ้าจงปะทะฝีมือกับพวกเขาให้เต็มที่ ดูว่าวิทยายุทธ์ของตนเองเสื่อมถอยไปแล้วหรือไม่”


 


 


ความหมายแฝงก็คือให้พวกเจ้าค่อยๆ ทรมานพวกเขาไปก่อน อย่าเพิ่งกำราบไวเกินไป


 


 


องครักษ์หลวงที่เปลี่ยนมาเป็นเสี่ยวเอ้อร์ ติดตามนางมาสี่ปี ย่อมเข้าใจความหมายแฝงของนาง ต่างขานรับคำโดยพร้อมเพรียง


 


 


องครักษ์หลวงที่ถีบชายฉกรรจ์กระเด็นม้วนไปหลายตลบรีบเข้ามารับผิดเออออตามนาง “แม่นาง พวกเราเลอะเลือนไปชั่วขณะ ท่านวางใจ ครั้งนี้พวกเราจะไม่ทำผิดพลาดอีกแล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เฮ่อเอ้อโมโหจมูกเบี้ยวแล้ว องครักษ์ลับฝีมือดีของคุณชายรอง กลับถูกเด็กสาวคนหนึ่งพูดราวกับเป็นเศษเดน พลันร้องคำรามเสียงลั่น “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าได้เหิมเกริมไปนัก ประเดี๋ยวจะร้องไห้ไม่ออก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสะใจ พูดเยาะหยันกลับไป “ตั้งแต่เด็กข้าไม่เคยร้องไห้เลย เวลาเห็นคนอื่นร้องไห้ขี้มูกโป่ง อิจฉาเป็นยิ่งนัก หากท่านช่วยข้าได้ ข้าจะขอบคุณท่านอย่างงามเลย”


 


 


เฮ่อเอ้อเลือดขึ้นหน้าแล้ว ดันตัวลุกพรวด ยกฝ่ามือขึ้น ง้างกรงเล็บออกกระโจนเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เหวินเปียวกระโดดลงจากลงม้า เข้ามาขวางเขา


 


 


ทั้งสองประลองกันหลายกระบวนท่า


 


 


เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งดังขึ้น “เหวินเปียว เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถอยไป!”


 


 


เหวินเปียวรับคำ เข้าปะทะอีกสองสามกระบวนท่า แล้วกลับขึ้นรถม้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่า หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ข้าขอซ้อมมือบ้าง?”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปปะทะมือกับเฮ่อเอ้ออย่างขอไปที “เข้ามาเถอะ นี่ก็เย็นย่ำมากแล้ว หากยังสู้กันต่อไป ท่านพ่อท่านแม่ข้าคงกระวนกระจายใจแย่แล้ว พวกเรารีบสู้รีบจบ รู้แพ้ชนะกันในยี่สิบกระบวนท่า”


 


 


เฮ่อเอ้อไม่เคยถูกใครเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน ไฟโทสะปะทุ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงเข้าฟาดฟันเมิ่งเชี่ยนโยวทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรอให้เขาเข้ามาใกล้ ถึงสะบัดกริชออกไป


 


 


คมกริชสะท้อนแสงวาบ เฮ่อเอ้อถอนคืนกระบวนท่าจู่โจม พลิกตัวกลับ หลบพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มยกนิ้วหนึ่งขึ้น “หนึ่งกระบวนท่า”


 


 


เฮ่อเอ้อโมโหหน้าแดงหน้าดำ พูดเกรี้ยว “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าเหิมเกริมให้มากนัก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ข้าเหิมเกริมเพราะข้ามีต้นทุนให้เหิมเกริม แต่เจ้าไม่มี ดังนั้นเจ้าถึงไม่กล้าเหิมเกริม”


 


 


“ปากดีนัก วันนี้ข้าจะให้เจ้าดูว่า ข้ามีต้นทุนให้เหิมเกริมหรือไม่” เฮ่อเอ้อพูดจบ ก็เข้าโรมรันทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวหลบ โน้มตัวลง แทงกริชในมือเข้าใส่เฮ่อเอ้อ


 


 


เฮ่อเอ้อหลบมาได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้ง ตกใจเหงื่อซึมทั่วร่าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มชูนิ้วมือสองนิ้วอีกครั้ง “สองกระบวนท่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสามารถแก้โจทย์การจู่โจมทั้งสองครั้งของเขาได้อย่างง่ายดาย เฮ่อเอ้อถอนคืนความคิดปรามาสนาง รวบรวมพลัง เข้ารุกฆาตเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไม่ลังเลอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ถึงพลังที่เปลี่ยนไปของเขา ถอนคืนท่าทีเอ้อระเหยของตนเอง เข้าปะทะกับเขาอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่


 


 


ทั้งสองประลองกันไปมา วรยุทธ์สูสีใกล้เคียงกัน


 


 


เมิ่งเสียนได้ยินเสียงใสกังวานของเมิ่งเชี่ยนโยวดังไม่ขาดสาย “สามกระบวนท่าน สี่กระบวนท่า…สิบเก้ากระบวนท่า ยี่สิบกระบวนท่า” สิ้นเสียง ตะเบ็งร้องขึ้น “เหวินเปียว ตาเจ้าแล้ว”


 


 


เหวินเปียวช้อนสายตา เห็นเฮ่อเอ้อยกมือทาบหน้าอก โงนเงนถอยหลังไป มีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด


 


 


“ได้ขอรับ แม่นาง” น้ำเสียงสาใจของเหวินเปียวดังขึ้นพร้อมกับกระโดดตัวลอยไปด้านหลังเฮ่อเอ้อ รีบใส่เขาไม่ยั้ง


 


 


เฮ่อเอ้อไม่ได้ตั้งหลัก ร่างที่ถอยร่นถูกถีบถลาไปเบื้องหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแผดเสียงสั่งทุกคนที่ต่อสู้อยู่ “เลิกเล่นได้แล้ว เย็นย่ำป่านนี้ ทุกคนยังรอพวกเรากลับไปกินข้าวนะ”


 


 


องครักษ์หลวงรับคำ เร่งมือฟาดฟัน ไม่นานเท่าไหร่ คนที่เฮ่อเอ้อพามาต่างใบหน้าเขียวช้ำบวมปูด นอนโอดโอยร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มร่าเดินไปย่อเข่าลงเบื้องหน้าเฮ่อเอ้อ พูดว่า “วันนี้ข้าอารมณ์ดี จะไว้ชีวิตพวกเจ้า กลับไปบอกนายท่านของพวกเจ้า ครั้งหน้าจะเชื้อเชิญข้าก็ให้สุภาพหน่อย อย่าส่งคนมากมายมาข่มขวัญข้าเช่นนี้” ท้ายที่สุด พูดให้เฮ่อเอ้อยิ่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอีกคำว่า “ข้าขี้ขลาด”


 


 


เฮ่อเอ้อที่นอนอยู่บนพื้น หากแววตาฆ่าคนได้ เขาแทบอยากจะแทงเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นร้อยเป็นพันรู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แยแสเขา ลุกขึ้นสั่งการ “เก็บกวาดซะ จะได้กลับบ้าน”


 


 


ทุกคนรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับอีกครั้ง “จัดการตัวเองให้เรียบร้อยด้วย หากใครทำให้ฮูหยินจับได้ว่าวันนี้พวกเรามีเรื่องต่อสู้มา จะลงโทษให้วิ่งรอบท่อนไม้ห้าสิบรอบ”


 


 


ถูกต้อง สี่ปีก่อนหลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวรับองครักษ์หลวงมาดูแล ก็ค่อยๆ รวบรวมพวกเขาเข้ามาไว้ด้วยกัน จัดแจงให้พวกเขาไปทำงานในโรงงานและร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งสาขาต่างๆ ทั้งยังสร้างสนามฝึกยุทธ์เหมือนด้านหลังเหลาจวี้เสียนทุกประการ ที่แตกต่างก็คือ ทั้งสี่ทิศของสนามฝึกยุทธ์จะถูกล้อมด้วยท่อนไม้สูงต่ำแตกต่างกันไป ทุกครั้งที่มีคนกระทำผิด เมิ่งเชี่ยนโยวจะลงโทษให้พวกเขาวิ่งรอบท่อนไม้ภายในเวลาที่กำหนด


 


 


ได้ยินคำพูดนาง เหล่าองครักษ์หลวงต่างตกใจตัวสั่นเทิ้ม แยกย้ายถามซึ่งกันและกันว่าการตนเองแต่งกายผิดปกติหรือไม่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ก้มหน้าสำรวจดูเสื้อผ้าของตัวเอง พบว่าไม่เหลือร่องรอยของการต่อสู้ แต่ก็เงยหน้าถามเมิ่งเสียนอย่างไม่วางใจ “พี่ใหญ่ ตัวข้าไม่มีอะไรบกพร่องกระมัง?”


 


 


เมิ่งเสียนช่วยนางสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง พูดหนักแน่น “ไม่มี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจ ยอมวางใจลง แล้วขึ้นรถม้าไปพร้อมเมิ่งเสียน ทั้งพูดว่า “หากให้ท่านแม่จับได้ว่าข้าไปมีเรื่องวิวาทมา ได้ถูกบ่นจนหูชาเป็นแน่ แค่คิดข้าก็กลัวแล้ว”


 


 


เมิ่งเสียนหลุดขำ “เจ้ากลัวกับเขาเป็นด้วยหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นปลิ้นตา “ก็ต้องมีสิ ท่านแม่บ่นทีไม่จบไม่สิ้น ความสามารถนั้นน่ากลัวที่สุด”


 


 


เมิ่งเสียนยิ่งหัวเราะขรม “ท่านแม่ ก็เพียงหวังดีต่อเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบ ข้าถึงไม่กล้าโต้แย้ง ทุกครั้งจะยอมให้นางบ่นแต่โดยดี ทว่าพักหลังมานี้ความสามารถพัฒนาขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อนบ่นข้าไปครึ่งชั่วยาม ข้ากลัวจนหัวหดแล้ว”


 


 


เมิ่งเสียนเก็บคืนรอยยิ้ม “ท่านแม่กระวนกระวายใจยิ่งนัก เจ้าอายุได้สิบแปดปีแล้ว อี้เซวียนกลับไม่เคยส่งข่าวมาเลย ไม่รู้ว่าอยู่เมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าจะยังจำคำสัญญาที่จะกลับมาแต่งกับเข้าได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก “เจ้าเด็กบ้านั่น เจ้าเล่ห์เพทุบาย จะต้องไม่เป็นอะไรหรอก พวกท่านอย่าได้เป็นกังวลเลย” แล้วพูดว่า “เขายังเด็ก ไม่รีบร้อนเรื่องการแต่งงาน รออีกสองสามปีค่อยว่ากันเถอะ”


 


 


เมิ่งเสียนถอนหายใจ “ให้รออีกสองสามปี เจ้าคงกลายเป็นสาวใหญ่โดยสมบูรณ์แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดออดอ้อน “เป็นสาวใหญ่ข้าก็ไม่กลัว อย่างไรก็ยังมีท่านและพี่สะใภ้ใหญ่เลี้ยงดูข้า”


 


 


เมิ่งเสียนยื่นมือออกมาคิดจะลูบศีรษะนาง พอคิดว่าตอนนี้นางเป็นสาวแล้ว จึงชักมือกลับ “สิ่งของในบ้านล้วนเป็นของที่เจ้าหามา ไยต้องให้พี่เลี้ยงดูเจ้า ตอนนี้ความหวังเดียวของท่านพ่อท่านแม่พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ก็คือ ให้เจ้าได้แต่งงานกับอี้เซวียนโดยไว…”


 


 


พูดยังไม่จบ ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบท “พอแล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ ทำไมตอนนี้ท่านขี้บ่นเหมือนท่านแม่แล้ว?”


 


 


เมิ่งเสียนขบขัน


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้าอย่ามั่นคงมาตามทาง รถม้าอีกสองคันตามหลังมาติดๆ


 


 


เมิ่งเสียนเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “พวกคนเมื่อครู่มีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา น่าจะเป็นผู้คุ้มกันลับที่พวกเศรษฐีเลี้ยงไว้ ไม่รู้ว่าพวกเราไปล่วงเกินนายของพวกเขาอย่างไร ถึงกับส่งคนมาตามฆ่าพวกเรา”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวจางหาย ขมวดคิ้วเกร็ง “ข้าเองก็คิดไม่ออก ถึงสั่งให้ลงมือกับพวกเขาอาการเจียนตาย หลังจากพวกเขากลับไปรายงาน นายของพวกเขาจะต้องโมโหมาก ถึงตอนนั้นย่อมต้องโผล่หน้าออกมาเอง”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า พูดว่า “ข้ายังให้นึกกังขา เหตุใดเจ้าถึงปล่อยพวกเขาไปโดยง่าย ที่แท้ก็คิดจะล่อตัวผู้บงการออกมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้น หลายวันนี้ไม่ว่าจะในบ้านหรือที่โรงงาน ท่านจะต้องระวังให้มากขึ้น หากพบบุคคลต้องสงสัยเข้ามาลอยหน้าลอยตาอยู่ละแวกใกล้เคียง ให้บอกข้าทันที”


 


 


“วางใจเถอะ กลับไปข้าจะเตรียมการทันที” เมิ่งเสียนพูด


 


 


สองพี่น้องพูดคุยหารือ หนึ่งชั่วยามก็กลับมาถึงบ้าน


 


 


ฟ้ามืดสนิทแล้ว เมิ่งชื่อกำลังยืนรอหน้าประตูบ้านอย่างกระสับกระส่าย


 


 


พอเห็นรถม้าเข้ามา ไม่รอให้รถจอดสนิท เมิ่งชื่อก็เดินตรงไป เปิดม่านรถ ร้อนใจซักถามเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เข้าไปกอดแขนเมิ่งชื่ออย่างรักใคร่ พูดด้วยสีหน้าเป็นปกติ “มิใช่เรื่องใหญ่อันใด แค่เรื่องกระต่ายตื่นตูม ลูกจัดการเรียบร้อยแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อไม่เชื่อ หันไปถามเมิ่งเสียน


 


 


เมิ่งเสียนเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้ พยักหน้าหงึกหงัก “ท่านแม่ ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ ขอรับ?”


 


 


เมิ่งชื่อยังคงไม่เชื่อ ถามทั้งสองคนอย่างคลางแคลงใจ “พวกเจ้าคงไม่ได้ปดแม่หรอกนะ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนเมิ่งชื่อเดินเข้ามาในบ้าน เดินไปยิ้มพูดไปว่า “แค่เรื่องกระต่ายตื่นตูมจริงๆ เจ้าค่ะ มีคนคิดจะขู่กรรโชกเอาเงินจากพวกเรา แสร้งวางยาลงในก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งของพวกเรา แต่ถูกข้าเปิดโปงได้ก่อน ตอนนี้ท่านใต้เท้าจับพวกเขาเข้าคุกไปแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อถึงยอมเชื่อ ใจที่พะวักพะวงถึงคลายลง พูดอย่างเคืองโกรธ “คนชั่วช้าทำเรื่องผิดมโนธรรมเช่นนี้ จักต้องถูกฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังแอบหันไปแลบลิ้นให้เมิ่งเสียน แล้วพูดกับเมิ่งชื่อว่า “ท่านแม่ คนที่วางยาพิษก็กินยาพิษเข้าไปด้วย ต้องนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่โรงหมอ หนำซ้ำยังถูกผู้ว่าการตำบลลงโทษโบย แล้วนำไปขังในคุก คาดว่าไม่ต้องถูกฟ้าผ่า เขาก็คงไม่ได้ตายดีแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งชื่อถึงรู้สึกดีขึ้น ก่นด่าอีกสองสามคำ ถึงยอมเลิกรา


 


 


ซุนเชี่ยนนำสาวใช้สองคนทำอาหารเสร็จแล้ว ได้ยินเสียงก็ยื่นหน้าออกมาจากในครัว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนมีสีหน้าท่าทางดี รู้ว่าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก แต่ร้องเรียกทั้งสองคน “พวกท่านกลับมาแล้ว ล้างมือแล้วมากินข้าวเถอะ”


 


 


เมิ่งเสียนรับคำ เดินไปล้างมือ


 


 


เมิ่งชื่อเลี้ยวเข้ามาในครัวช่วยจัดชามตะเกียบ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นอุ้มเมิ่งเส้าเดินมาจากเรือนด้านข้าง พอเจ้าตัวน้อยเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็คลายมือเมิ่งเอ้ออิ๋นออก กางแขนน้อยๆ วิ่งตรงมาหานางร้องเรียก “ท่านอา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรอให้เขาวิ่งมาถึงตรงหน้า แล้วอุ้มเขา ยกชูสูงหมุนไปรอบตัว


 


 


เมิ่งเส้าสนุกเบิกบาน เปล่งเสียงร้องไร้เดียงสา


 


 


เมิ่งเสียนล้างมือกลับเข้ามา เจ้าตัวน้อยเอ่ยปากเรียกเสียงหวาน “ท่านพ่อ”


 


 


เมิ่งเสียนเดินเข้ามา ลูบศีรษะเขา ถามเสียงละมุน “วันนี้ท่านอาเหนื่อยแล้ว เส้าเอ๋อร์ลงมาเถอะ”


 


 


เมิ่งเส้าพยักหน้าอย่างรู้ความ ส่งสายตาให้เมิ่งเชี่ยนโยววางตัวเองลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางเขาลงมา เจ้าตัวน้อยจับมือนางเดินเข้ามากินข้าวในครัวอย่างน่าเอ็นดู


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินตามพวกเขาเข้ามา ถามเมิ่งเสียนเสียงต่ำ “วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


 


เมิ่งเสียนนำถ้อยคำเมื่อครู่ของเมิ่งเชี่ยนโยวพูดให้เขาฟังอีกรอบ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังก็ให้เคืองโกรธ ทว่ามิได้ก่นด่าเหมือนเมิ่งชื่อ เพียงกำชับเมิ่งเสียน “ดูท่าจะมีคนริษยาการค้าของพวกเรา จับตาดูพวกเราไว้แล้ว ต่อไปพวกเจ้าต้องระวังให้มาก”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า “ทราบแล้ว ท่านพ่อ”


 


 


เมิ่งเจี๋ยก็เติบใหญ่แล้ว กำลังเรียนหนังสือในเมืองกับเมิ่งชิง ทุกวันจะมีคนคอยไปรับไปส่ง ในเวลานี้ได้เดินจากในบ้านออกมาที่ครัว ร้องเรียกทุกคนอย่างมีมารยาท


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเจี๋ยที่ตัวสูงขึ้น ลูบศีรษะเขาเหมือนตอนเป็นเด็ก ถามว่า “ช่วงนี้การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


เมิ่งเจี๋ยตอบอย่างภูมิใจและเปิดเผย “ท่านอาจารย์บอกว่า ด้วยความรู้ของข้า ปีหน้าก็เข้าสอบถงเซิงได้แล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งชื่อถลึงตาโตยินดี ถามอย่างดีใจ “จริงรึ ท่านอาจารย์พวกเจ้าพูดเช่นนั้นจริงๆ ?”


 


 


เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า “ท่านอาจารย์บอกว่า ครอบครัวเมิ่งของเราจะมีถงเซิงอายุน้อยเหมือนพี่อี้เซวียนอีกแล้ว”


 


 


สิ้นเสียงเขา รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งชื่อก็พับลงมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบพูดว่าแย่แล้ว ยกมือขึ้นตีเมิ่งเจี๋ยเบาๆ ติเตียนเขาพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา


 


 


เมิ่งเจี๋ยพูดจบถึงได้รู้ว่าตัวเองพูดผิดไป ตกใจจนไม่กล้าปริปากอีก


 


 


เป็นดังคาด เมิ่งชื่อถอนหายใจ ไม่มีแม้แต่อารมณ์จะกินข้าว นั่งใจลอยบนเก้าอี้ข้างโต๊ะกินข้าว


 


 


ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี


 


 


จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตบหน้าขาฉาดใหญ่ ร้องพูดว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว!”


 


 


ทุกคนต่างสะดุ้งตกใจ หันพรึ่บมาที่นาง


 


 


เมิ่งชื่อเงยหน้าขึ้น พูดตำหนินาง “เจ้าลูกคนนี้ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ร้องโวยวายไม่รู้กาลเทศะ เจ้าตัดสินใจอะไรได้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ข้างนาง ยิ้มร่าโอบไหล่นาง พูดว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว หากพ้นปีใหม่ไป เจ้าเด็กบ้านั่นยังไม่มาสู่ขอ ข้าจะเข้าเมืองหลวงไปหาเขา”

 

 

 


ตอนที่ 6 ข้ามีเรื่องที่ไม่กล้าทำหรือ

 

เมิ่งชื่อลุกพรวด หันมาเบิกตากว้างมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อ “ที่เจ้าพูดเป็นความจริง? พ้นปีใหม่เจ้าจะเข้าเมืองหลวงไปหาอิม?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับประกันหนักแน่น “ข้าพูดจริงทำจริง ไม่เพียงจะไปหาเขา ยังจะมัดเขากลับมาแต่งงานกับข้าด้วย”


 


 


เมิ่งชื่อน้ำตารื้อเอ่อคลอ พูดงึมงำ “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางถึงกับน้ำตาไหล ทำตัวไม่ถูกละล่ำละลักถาม “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป หรือข้าไม่ดีใจที่ข้าจะไปเมืองหลวง?”


 


 


เมิ่งชื่อปาดน้ำตา พูดว่า “ดีใจ ดีใจ พอได้ยินว่าเจ้าจะไปเมืองหลวง แม่ก็ดีใจมาก”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นแหย่เย้านาง “ดูเจ้าเถอะ ดีใจก็ร้องไห้ ทำลูกๆ ตกใจหมดแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อเงยหน้าเห็นสายตาเป็นกังวลของเด็กๆ ตัวเองก็รู้ให้รู้สึกผิด พูดว่า “ข้าวจะเย็นแล้ว รีบกินข้าวเถอะ”


 


 


ทุกคนได้สติกลับมา หันหน้ามองซึ่งกันและกันแวบหนึ่ง แล้วไล่เรียงกันนั่งลนเก้าอี้ข้างโต๊ะ ลงมือกินอาหาร


 


 


คงเพราะสังเกตได้ถึงบรรยากาศผิดปกติ เมิ่งเส้าที่ปกติชอบความครื้นเครง วันนี้ก็เอาแต่ตั้งใจกินข้าวในถ้วยตัวเอง


 


 


อาหารมื้อนี้กินเสร็จสิ้นไปอย่างเงียบเชียบ


 


 


หลังจากเก็บล้างเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกลับเข้าห้องตัวเอง


 


 


ซุนเชี่ยนที่กลับมาถึงเรือนตัวเอง ก็ซักถามเมิ่งเสียนว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


 


เมิ่งเสียนเล่าเรื่องตามความสัตย์จริงให้นางฟัง กำชับไม่ให้นางพลั้งปากพูดต่อหน้าพ่อแม่ตัวเอง ทั้งในช่วงเวลานี้ให้นางคอยระวังทั้งที่บ้านและโรงงานให้ดี ดูว่ามีบุคคลต้องสงสัยปรากฏตัวขึ้นละแวกนี้หรือไม่


 


 


ซุนเชี่ยนจำขึ้นใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กลับมาที่ห้อง แต่เดินตรงมายังเรือนรอง


 


 


ตอนนี้ในเรือนรอง นอกจากครอบครัวของเหวินเปียวและพวกอู๋ต้าสิบคนแล้ว ห้องที่เหลือเป็นองครักษ์หลวงอาศัยอยู่จนเต็ม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในลานเรือน กัวเฟยเห็นเข้า รีบเดินมาตรงหน้านาง ถามเสียงต่ำ “นายท่าน มีเรื่องอันใด?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องถูกดักฆ่ากลางทางในวันนี้กับเขา “พวกเขาทำไม่สำเร็จ คาดว่าจะต้องลงมืออีก นับแต่คืนวันนี้ ให้เจ้าผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้ายามโดยรอบเรือนไว้ หากได้ยินสิ่งผิดปกติให้แจ้งข้าทันที จำไว้ว่า ถ้าข้าไม่ได้สั่ง ห้ามใครลงมือโดยพลการ”


 


 


“ขอรับ นายท่าน” กัวเฟยรับคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ กัวเฟยหันหลังออกไปสั่งองครักษ์หลวง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดครู่หนึ่ง เดินมาหาเหวินเปียวและพวกอู๋ต้า กำชับพวกเขาเวลาจะนอน ให้ตื่นตัวระแวดระวัง ได้ยินเสียงผิดปกติให้รีบลุกขึ้นทันที


 


 


ในครอบครัวไม่เกิดเรื่องมาหลายปีแล้ว ตอนนี้พวกอู๋ต้าใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญมานาน พอได้ยินว่ามีคนจะเข้ามาก่อเรื่อง ต่างกำหมัดตั้งท่า อยากจะอัดคนที่บุกเข้ามาให้ปลิวกระเด็นไปเสียตอนนี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งพวกเขาอย่างเคร่งเครียด “อีกฝ่ายฝีมือไม่ด้อย หากพวกเขามา พวกเจ้าทั้งหมดพยายามอย่าเผชิญกับพวกเขาซึ่งหน้า เตรียมเชือกให้พร้อม เมื่อองครักษ์หลวงกำราบพวกเขาได้ พวกเจ้ามีหน้าที่มัดพวกเขาไว้ก็พอ”


 


 


งานนี้ดี พวกอู๋ต้าต่างดีอกดีใจ ถึงกับรอคอยให้มีคนเข้ามาก่อเรื่องจริงๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “ข้าเพียงป้องกันไว้ก่อน พวกเขาไม่แน่ว่าจะมา ปกติพวกเจ้าเคยทำสิ่งใดก็จงทำสิ่งนั้น เพียงเพิ่มความตื่นตัวให้มากก็พอ”


 


 


คนทั้งหมดพยักหน้ารับคำ


 


 


หลังจากจัดวางทุกอย่างเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้องตัวเอง เห็นว่ายังหัวค่ำอยู่ จึงหยิบสมุนไพรออกมาปรุงยาลบรอยแผลเป็น


 


 


หลังจากจากกันเมื่อสี่ปีก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เจอเหวินซื่ออีกเลย ทว่า ผ่านไประยะหนึ่งเขาก็จะส่งคนเข้ามารับยาลบรอยแผลเป็นอย่างต่อเนื่อง พอถึงเวลาสิ้นปีก็จะให้พนักงานนำเงินปันผลก้อนงามส่งมาให้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้รู้จากจดหมายที่เขาฝากพนักงานส่งมาว่า เขาได้แต่งงานกับเฝิงจิ้งเหวินบุตรสาวคนโตของสกุลเฝิงแล้ว ทั้งสืบทอดร้านยาเต๋อเหรินทุกสาขาทั่วประเทศ กลายเป็นนายท่านโดยสมบูรณ์


 


 


ทว่า จากที่พนักงานบอก หลังการตายของหมอชรา ใบหน้าเหวินซื่อก็ไม่เคยปรากฏรอยยิ้มอีก ไม่ว่าไปที่ไหน จะแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ส่งผลให้พนักงานในร้านรวมถึงสาวใช้และบ่าวที่เห็นเขาในตอนนี้ต่างตกประหม่าหวาดกลัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าการจากไปของหมอชราจักต้องส่งผลกระทบต่อเหวินซื่อไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลายเป็นถึงขั้นนี้ได้


 


 


พอคิดถึงเหวินซื่อที่เอาแต่ทำหน้าตึงทั้งวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็คลี่ยิ้มแล้วส่ายหัว


 


 


หลังจากบดสมุนไพรส่วนหนึ่งแหลกละเอียดดี เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางเตรียมเอาไว้อีกด้าน


 


 


มองดูท้องฟ้า รู้สึกว่าดึกมากแล้ว จึงดับไฟตะเกียง เอนตัวนอนบนเตียงเตา ในสมองกลับมีร่างกระเปี๊ยกของเมิ่งอี้เซวียนปรากฎขึ้น อย่างไรก็ไม่อาจสะบัดหลุดได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ สบถเสียงต่ำ บังคับตัวเองให้ลบเงาร่างนั้นออกไปจากสมอง แล้วงัวๆ เงียๆ นอนหลับไป


 


 


ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจตื่นด้วยเสียงฝีเท้าหนึ่ง ยังไม่ทันตวาดถาม กัวเฟยก็ส่งเสียงต่ำเข้ามาจากนอกหน้าต่าง “นายท่าน พวกเขามาแล้วขอรับ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพรวด ถามเสียงต่ำ “มีกี่คน?”


 


 


กัวเฟยตอบว่า “ประมาณห้าหกสิบคน ผู้นำเป็นคุณชายอ่อนเยาว์ท่านหนึ่ง แต่งกายไม่ธรรมดา อยู่ค่อนข้างไกล ทำให้มองเห็นหน้าไม่ชัดขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตูเดินออกมา


 


 


กัวเฟยเดินเข้ามาใกล้พูดว่า “ข้าได้วางกำลังคนเฝ้าระวังในรัศมีโดยรอบแล้ว เมื่อเขาพบว่ามีคน จะรีบเข้ามารายงานทันที”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปถามไป “แจ้งคนอื่นแล้วหรือไม่?”


 


 


กัวเฟยรีบเดินขึ้นมาขนาบข้าง ตอบว่า “เตรียมกำลังไว้พร้อมแล้วขอรับ รอเพียงแม่นางสั่งการ”


 


 


“ถ่ายทอดคำสั่ง จัดการอย่างเงียบเชียบที่สุด อย่าให้เกิดเสียงอึกทึกได้ อีกอย่าง ให้ส่งคนมาเฝ้ารักษาการณ์ทุกลานเรือน อย่าให้พวกเขาทำให้คนในครอบครัวข้าตื่นตระหนก” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการ


 


 


กัวเฟยรับคำ จากไปถ่ายทอดคำสั่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดครู่หนึ่ง เดินมาเรือนเมิ่งเสียน ทำเสียงดังกุกกัก


 


 


เมิ่งเสียนตกใจตื่น ถามเสียงต่ำ “ใคร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ข้าเอง พี่ใหญ่ มีคนมาบ้านพวกเราจริงๆ ท่านอยู่แต่ในบ้านไม่ต้องไปไหน คอยคุ้มกันพี่สะใภ้ใหญ่และเส้าเอ๋อร์ก็พอ ข้าส่งคนไปคุ้มกันท่านพ่อท่านแม่แล้ว”


 


 


ในบ้านมีเสียงขยุกขยิกใส่เสื้อผ้า ตามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงดังออกมา “ข้ารู้แล้ว ข้าจะคุ้มครองพวกเขาเอง พวกเจ้าระวังตัวด้วย”


 


 


“ทราบแล้ว พี่ใหญ่” เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำแล้วเดินออกไป


 


 


กัวเฟยทำตามคำสั่งเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากจัดเตรียมคนเสร็จ ก็กลับมาข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว คุ้มกันนางไม่ห่าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาด้านหน้าเรือน เฝ้าระวังหน้าประตูด้วยตัวเอง กัวเฟยยืนประกบข้างกายนาง


 


 


ไม่นานเท่าไหร่ ก็เห็นเงาชายชุดดำจำนวนไม่น้อยกระโดดขึ้นมาบนกำแพง สอดส่องเข้ามาในเรือน


 


 


เห็นลานเรือนเงียบสงบ คล้ายว่าคนในเรือนจะหลับสนิทแล้ว ชายคนหนึ่งส่งเสียงเบาสั่งการ “จำไว้ให้ดี เป้าหมายของพวกเราในวันนี้ก็คือจับตัวนางตัวดีนั่นให้ได้ เมื่อได้มาแล้ว ให้ถอนกำลังทันที”


 


 


ชายชุดดำทั้งหมดพยักหน้า กระโดดไล่ตามกันลงมาจากกำแพง แยกย้ายกันไปแต่ละลานเรือน


 


 


เพิ่งจะมาถึงทางเข้าลานเรือน ก็มีองครักษ์หลวงหลายนายพุ่งออกมาจากข้างประตู ลงมือห้ำหั่นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ละกระบวนท่าดุดันหมายมุ่งจะเอาชีวิต


 


 


ชายชุดดำหลายคนหลบไม่ทัน โดยเข้าอย่างจัง ร่างอ่อนยวบไปกับพื้น


 


 


พรรคพวกที่เหลือคิดจะเข้าช่วย กลับถูกองครักษ์หลวงล้อมหน้าล้อมหลังไว้


 


 


พวกอู๋ต้ายิ้มร่าเข้าไปมัดคนที่นอนยวบไปกับพื้น


 


 


ทุกลานเรือนล้วนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น พวกอู๋ต้ามีความสุขมาก วิ่งไปวิ่งมา มัดอย่างสนุกสนาน


 


 


ชายชุดดำที่เหลือเห็นว่าไม่ได้การ ต่างร้อนรน คิดจะหนีออกมา กลับถูกองครักษ์หลวงโจมตีจนแน่นิ่งฟุบไปกับพื้น ไม่มีแม้แต่โอกาสจะส่งข่าวไปด้านนอก


 


 


ทั้งหมดนี้ดำเนินไปอย่างเงียบเชียบและว่องไว ไม่นานเท่าไหร่ก็สำเร็จลุล่วง


 


 


ชายชุดดำทั้งหมดถูกจับมัดแขนขา มีเศษผ้ายัดปาก โยนทิ้งอยู่กลางลานเรือนรอง


 


 


อู๋ต้านับอย่างถี่ถ้วน แล้วเข้ามารายงานอย่างอ่อนน้อม “นายหญิง ทั้งหมดสามสิบคนขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


แล้วอู๋ต้าก็ย่องกลับไปยังที่เรือนตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใคร่ครวญเล็กน้อย เปิดประตูเรือน เดินออกไป กัวเฟยตามหลังไปติดๆ


 


 


คุณชายอ่อนเยาว์และชายชุดดำที่เหลือนึกว่าชายชุดดำที่เข้าไปในเรือนทำสำเร็จแล้ว กำลังจะเอ่ยปากถาม กลับเห็นคนที่ออกมาเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว ให้ตกตะลึงอ้าปากค้าง มองนางที่เดินยิ้มกริ่มออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามขึ้น “ทุกท่าน ดึกดื่นมาที่บ้านพวกเรา เพื่อมาปล้นทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือว่าปล้นทรัพย์เล่า?”


 


 


เฮ่อเอ้อยืนขวางเบื้องหน้าคุณชายอ่อนเยาว์ ถามเสียงเกรี้ยว “คนของพวกเราเล่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “อากาศหนาวเหน็บ พวกเขาเดินทางมาไกลให้เหนื่อยล้า ลูกน้องข้ากำลังต้อนรับพวกเขาด้วยน้ำชา พวกท่านอยากจะเข้าไปดื่มด้วยกันหรือไม่?”


 


 


เฮ่อเอ้อไม่เชื่อ กำลังจะเอ่ยปากถาม


 


 


คุณชายอ่อนเยาว์ที่อยู่เบื้องหลังเขาผลักเขาออก เปล่งน้ำเสียงน่าเกรงขาม “นังสาวแก่เทื้อคาเรือน เจ้าพูดปดชัดๆ เจ้าฆ่าคนของข้าไปแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


กัวเฟยเห็นใบหน้าเขาชัดเจนก่อน ตกใจสะดุ้ง ถึงกับร้องอุทาน “แม่นาง!” ส่งสายตาให้เมิ่งเชี่ยนโยวรีบดู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เห็นใบหน้าเขาชัดเจนแล้ว หัวใจกระตุกไหวเล็กน้อย คุณชายอ่อนเยาว์ตรงหน้าท่านนี้ มีดวงตาเหมือนเมิ่งอี้เซวียนแทบจะทุกประการ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจหนักอึ้ง รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่เปลี่ยน ยิ้มถามอย่างสุภาพ “ท่านระดมกำลังคนจำนวนมากเข้ามากลางดึก จักต้องมีเรื่องสำคัญ ไม่ทราบว่าพอจะบอกได้หรือไม่ว่าเป็นเรื่องอันใด ข้าจะได้ตายตาหลับ”


 


 


คุณชายอ่อนเยาว์แค่นเสียงหึ พูดว่า “เจ้าลงไปถามยมบาลในนรกเองเถอะ เขาจักต้องบอกความเจ้า”


 


 


ว่าแล้ว ก็โบกมือให้สมุนข้างกาย “เฮ่ออี ส่งนางไปปรโลก!”


 


 


เฮ่ออีรับคำ ง้างกระบวนท่าดุดันเข้าโจมตีเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


กัวเฟยพุ่งเข้ามา ขวางการจู่โจมของเขา


 


 


ทั้งสองปะทะกัน ไม่นานก็ผ่านไปหลายกระบวนท่า


 


 


คุณชายอ่อนเยาว์เห็นว่าเหลือเมิ่งเชี่ยนโยวเพียงคนเดียว หันไปโบกมือให้คนเบื้องหลัง “เฮ่อซื่อ เจ้าไปฆ่านางซะ”


 


 


เฮ่อซื่อรับคำ โผเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


กัวเฟยร้อนใจ คิดจะเข้ามาคุ้มกันเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เฮ่ออีกลับไม่ปล่อยโอกาสให้เขา เร่งเข้าโรมรันโจมตี เหนี่ยวรั้งเขาไว้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวเขาวอกแวกแล้วจะเสียเปรียบ พูดเสียงเข้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า จับตัวเขาให้ได้ก่อน”


 


 


สิ้นเสียง เฮ่อซื่อก็โจมตีเข้ามาด้านหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอยหลังหนึ่งก้าว แสงสะท้อนวาบออกมาจากฝ่ามือ กริชพุ่งเข้าหาหน้าผากของเฮ่อซื่อ


 


 


เฮ่อซื่อเหงื่อท่วมร่าง พลิกตัวกลับ ถอยหลังไปโดยไว หลบเลี่ยงการตอบโต้ของนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ให้โอกาสเขาได้หายใจ ฉวยโอกาสนี้โจมตีด้วยกระบวนท่าเ**้ยมโหดติดต่อกัน


 


 


เฮ่อซื่อรับมือไม่ไหว ถูกกริชกรีดเป็นทางที่แขน


 


 


เฮ่อซื่อแค่นเสียงหึ เดินโยกเยกกลับไปข้างกายคุณชายอ่อนเยาว์


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไล่ตามเข้ามา พวกชายชุดดำยังไม่ทันได้สติกลับมา กริชในมือก็จ่อที่คอยหอยคุณชายอ่อนเยาว์แล้ว น้ำเสียงเ**้ยมดังตามมา “ไม่อยากให้เขาสิ้นลมหายใจ ก็วางมือซะ”


 


 


ชายชุดดำที่เหลือตกตะลึง ต่างร้องเสียงลั่น “คุณชายรอง!”


 


 


เฮ่ออีก็ตกใจกับเหตุการณ์พลิกผันนี้ พะว้าพะวัง ทำให้กัวเฟยได้โอกาสกระโดดถีบใส่


 


 


เฮ่ออีรีบลุกขึ้น ลอยตัวมาข้างกายคุณชายอ่อนเยาว์ หมายจะช่วยเขาออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มเ**้ยม ออกแรงที่มือเล็กน้อย ลำคอของคุณชายอ่อนเยาว์มีเลือดซึมออกมา


 


 


ตามมาด้วยคำพูดข่มขู่จากเมิ่งเชี่ยนโยว “ตอนพวกเจ้ามาคงสืบมาเป็นอย่างดีแล้ว ข้าเป็นคนมีความอดทนต่ำ หากพวกเจ้ายังกล้าทำการบุ่มบ่าม ถ้ามือข้าสั่น ไม่รู้ว่ากริชนี้จะบาดคอหอยของเขาหรือไม่”


 


 


เฮ่ออีรีบยกมือห้าม “มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน เจ้าห้ามทำร้ายคุณชายรองเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก แสยะยิ้มดูแคลน “ตอนนี้รู้จักพูดจาดีๆ แล้ว เมื่อครู่เห็นเอาแต่คำรามร้องให้ฆ่าข้า”


 


 


พูดจบ ก็กดกริชชิดลำคอคุณชายอ่อนเยาว์


 


 


คุณชายอ่อนเยาว์ก็ใจเด็ด ไม่ร้องเจ็บปวด เพียงแค่นเสียงหึ


 


 


มือของเฮ่ออีสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด ลนลานพูดว่า “แม่นางห้ามทำร้ายเขาเด็ดขาด เขาคือองค์ชายรองแห่งจวนอ๋องฉี น้องชายแท้ๆ ขององค์ชาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าววาจาเจือแววเสียดสี “จากที่ข้ารู้ พระชายาอ๋องฉีมีโอรสเพียงองค์เดียว ก็คือองค์ชายจวนอ๋องฉี น้องชายแท้ๆ คนนี้โผล่ออกมาจากไหน?”


 


 


เฮ่ออีรีบร้อนตอบ “เขาเป็นคุณชายรองบุตรที่เกิดจากพระชายารอง เป็นน้องชายแท้ๆ ขององค์ชายไม่ผิดแน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแก้คำพูดเขา “น้องชายและน้องชายแท้ๆ ต่างกันเพียงคำเดียว แต่ความหมายต่างกันลิบ เมื่อพวกเจ้าเป็นคนของจวนอ๋องฉี หลักการตื้นๆ แค่นี้กลับไม่เข้าใจเรอะ?”


 


 


เฮ่ออีไม่คิดว่าหญิงบ้านนาอย่างนาง จะรู้เรื่องพวกนี้ ให้สะอึกพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกุมตัวคุณชายรองก้าวมาข้างหน้า ชายชุดดำด้านหลังคิดจะตามขึ้นมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดพวกเขา “พวกเจ้าอย่าขยับ หากทำข้าตกใจมือสั่น บาดโดนคอหอยคุณชายรองของพวกเจ้าเข้า พวกเจ้าไม่มีหน้ากลับไปรายงานแน่”


 


 


ทั้งหมดตกใจไม่กล้าขยับอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าวก็หยุด ส่งสายตาให้กัวเฟยเรียกคนเข้ามา


 


 


กัวเฟยเอานิ้วแนบข้างปาก เป่าเสียงหวีดต่ำสั้นกระชับหนึ่งออกมา


 


 


องครักษ์หลวงในเรือนได้ยินเสียง ออกมาหน้าประตูอย่างพร้อมเพรียง


 


 


พวกอู๋ต้าก็วิ่งตามออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมอบตัวคุณชายรองให้กัวเฟย ยิ้มถามชายชุดดำที่เหลือ “พวกเจ้าจะมัดตัวเอง หรือจะให้คนของข้าตีพวกเจ้าสลบก่อนค่อยมัดตัว?”


 


 


เฮ่ออีมองคุณชายรองที่ถูกควบคุมไว้ ขบกรามโบกมือ ส่งสัญญาณให้ชายชุดดำยกเลิกการขัดขืน


 


 


พวกอู๋ต้ายิ้มร่าวิ่งเข้ามา มัดตัวคนที่เหลือทั้งหมด หลังการให้สัญญาณของกัวเฟย องครักษ์หลวงส่วนหนึ่งและพวกอู๋ต้าก็นำตัวชายชุดดำที่เหลือมายังสนามฝึกยุทธ์


 


 


เพื่อไม่ให้รบกวนชาวบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวสร้างสนามฝึกยุทธ์ที่เนินเขา ห่างจากหมู่บ้านค่อนข้างไกล


 


 


คนหนึ่งโขยงมาถึงสนามฝึกยุทธ์ พวกอู๋ต้าถึงถอนใจโล่ง เอ่ยปากพูดเสียงดังฉะฉาน ด้วยความยินดี “วันนี้มีความสุขมากจริงๆ ยังไม่ทันได้ออกแรงก็มัดคนได้มากเช่นนี้”


 


 


เฮ่ออีถลึงตาใส่พวกเขา


 


 


อู๋ต้าไม่กลัวเขา ถลึงตากลับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมากลางสนามฝึกยุทธ์ อู๋ต้ายกม้านั่งเข้ามาอย่างอ่อนน้อม วางไว้ด้านหลังนาง “นายหญิง เชิญนั่งขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองชมเชยเขา นั่งลงแล้วสั่งพวกอู๋ต้า “พวกเจ้ากลับไปบอกพี่ใหญ่ข้าว่าไม่มีอะไรแล้ว ให้พวกเขานอนให้สบาย และนำตัวคนที่เหลือเข้ามา ฟ้าสางท่านพ่อท่านแม่มาเห็นจะตื่นตกใจได้”


 


 


อู๋ต้ารับคำ กลับไปที่บ้านพร้อมซุนเอ้อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้คุณชายรอง พูดว่า “พูดมาเถอะ จุดประสงค์ที่ท่านนำคนมามายมายเช่นนี้คืออะไร?”


 


 


คุณชายรองแค่นเสียงหึ ไม่พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่มองเขาแวบหนึ่ง หันไปยิ้มถามเฮ่ออี “พูดมา พวกเจ้าต้องการมาทำอะไรกันแน่?”


 


 


เฮ่ออีมองคุณชายรอง อ้าปากกำลังจะตอบ


 


 


ถ้อยคำข่มขู่หลุดออกมาจากปากคุณชายรอง “ทาสชั้นต่ำ หากเจ้ากล้าพูดออกมา ข้าจะตัดลิ้นเจ้าเดี๋ยวนี้”


 


 


เฮ่ออีหุบปากนิ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องจิ๊ๆ พูดว่า “ช่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก”


 


 


คุณชายรองถลึงตาใส่นาง พูดว่า “ข้าคือคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี จะรักตัวกลัวตายได้อย่างไร วันนี้ตกในเงื้อมือเจ้า จะฆ่าจะแกงก็เชิญ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินวนรอบเขาสองรอบ พูดพึมพำอย่างลำบากใจ “ลงมือจากส่วนไหนก่อนดีนะ?”


 


 


คุณชายรองขนลุกชัน เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบ้างขึ้นในใจ ถามอึกๆ อักๆ “เจ้า เจ้าหมายความว่าอะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขาตามตรง “ท่านมิได้รักตัวกลัวตายมิใช่หรือ? ข้ากำลังคิดว่าจะลงมีดจากส่วนไหนของร่างกายท่านก่อนดี ให้ท่านได้เห็นเนื้อค่อยๆ ถูกแล่ออกเป็นชิ้นๆ ด้วยตาตัวเอง”


 


 


คุณชายรองตื่นกลัวร้องลั่น “เจ้ากล้า!”


 


 


เฮ่ออีและคนอื่นๆ ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มเ**้ยมให้เขา “คิดว่าท่านคงจะส่งคนมาสืบความดีแล้วว่าข้าเป็นคนเช่นไร ท่านคิดว่าข้ามีเรื่องที่ไม่กล้าทำหรือ?” 

 

 


ตอนที่ 7-1 สาเหตุ

 

คำพูดเย็นเยียบบวกกับรอยยิ้มเ**้ยมเกรียม ทำเอาคุณชายรองขนพองสยองเกล้า ตกใจกลัวจนขนลุกชันไปทั้งตัว ริมฝีปากสั่นระริก คิดจะพูดบางอย่าง กลับเปล่งเสียงไม่ออก


 


 


เฮ่ออีตกใจตัวสั่น กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะลงมือจริงๆ ไม่สนใจคำเตือนเมื่อครู่ของคุณชายรอง ร้อนรนพูดว่า “แม่นางอยากรู้อะไร ข้าจะบอกเจ้า”


 


 


ครั้งนี้คุณชายรองไม่คัดค้านแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพียงปรายตามองเฮ่ออีแวบหนึ่ง แล้วเก็บคืนแววตา หันกลับมาจ้องคุณชายรองเขม็ง


 


 


คุณชายรองรู้สึกขนลุกชันสยองเกล้า ท้องไส้เริ่มปั่นป่วน


 


 


กริชในมือกัวเฟยที่แนบลำคอเขา รับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวนั้น ด้วยกลัวจะทำเขาบาดเจ็บ ค่อยๆ ขยับกริชออกห่างจากลำคอเขา


 


 


คุณชายรองที่กำลังหวาดกลัวสุดขีด ไม่อาจรับรู้ได้เลย


 


 


เฮ่ออีและคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครเห็น ตกใจลนลานรบเร้าคุณชายรอง “คุณชายรอง ท่านพูดเถอะขอรับ การถูกแล่เนื้อทีละชิ้นเจ็บปวดมากนะขอรับ”


 


 


คุณชายรองที่กลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้ยินคำพูดเฮ่ออี ยิ่งให้ขวัญหนีดีฝ่อ ปากสั่นพะงาบๆ ครู่หนึ่ง ถึงตะกุกตะกักถามไม่เป็นคำ “เจ้า เจ้าอยากจะรู้อะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบยิ้มในใจ สีหน้านิ่งเฉย นั่งบนม้านั่งอย่างสบายอุรา ถึงเอ่ยปากถามเขา “เจ้าชื่ออะไร เหตุใดต้องมาฆ่าข้า?”


 


 


คุณชายรองกลืนน้ำลายอย่างยากเข็ญ ตอบความ “ข้าชื่อหวงฝู่อวี้ ที่ข้ามาฆ่าเจ้าก็เป็นเพราะ เป็นเพราะว่า…”


 


 


คำต่อจากนั้นไม่ได้พูดออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งตะแคง โน้มลำตัวไปเบื้องหน้าเขา เปล่งน้ำเสียงเย็นเยียบ “หือ?”


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจหวีดร้องพลัน “เพราะว่าพี่ใหญ่ไม่ยอมแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์เพื่อเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยืดตัวตรง ขมวดคิ้วถาม “ใครคือเยียนเอ๋อร์?”


 


 


เมื่อพูดออกไปแล้ว หวงฝู่อวี้จึงไม่ปิดบังอีก พูดทั้งหมดออกมาจนหมดเปลือก “เยียนเอ๋อร์เป็นธิดาราชเลขาฝ่ายการทหาร หมั้นหมายกับพี่ใหญ่ไว้ตั้งแต่ยังเยาว์ ปีนี้อายุสิบห้าปีแล้ว ก่อนหน้านี้พระบิดาหารือกับพี่ใหญ่เรื่องงานสมรสของเขากับเยียนเอ๋อร์ เขาบอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอม บอกว่ามีความสัมพันธ์ทางกายกับเจ้าแล้ว จะแต่งเจ้ามาเป็นพระชายา เยียนเอ๋อร์รอพี่ใหญ่มาหลายปี บัดนี้พี่ใหญ่กลับไม่ยินยอมแต่งกับนาง ทำให้นางกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวง เยียนเอ๋อร์เจ็บปวดรวดร้าวใจ คิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง”


 


 


“เช่นนั้นเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า เหตุใดเจ้าต้องมาฆ่าข้า?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ


 


 


หวงฝู่อวี้ตอบอย่างแน่วแน่ “ข้าเติบโตมาพร้อมเยียนเอ๋อร์ ในใจนางมีเพียงพี่ใหญ่ บัดนี้พี่ใหญ่กลับไม่ยินยอมแต่งกับนาง เพราะมีหญิงสาวบ้านนาชั้นต่ำอย่างเจ้าขวางกั้นอยู่ ขอเพียงข้าฆ่าเจ้าตาย พี่ใหญ่จักต้องยอมแต่งกับนาง”


 


 


สิ้นเสียงเขา “เพี๊ยะ” ท่ามกลางรัตติกาลอันเงียบสงบเสียงก้องกังวานหนึ่งดังขึ้นพลัน


 


 


หวงฝู่อวี้เบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อ ถามเสียงกร้าว “เจ้ากล้าตีข้า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร ตบไปที่กะโหลกของเขาเต็มแรงอีกครั้ง “ตีเจ้าแล้วอย่างไร? ปากเจ้าเหม็นเยี่ยงนี้ น่าเอายาพิษอุดปากยิ่งนัก”


 


 


เฮ่ออีและคนทั้งหมดนิ่งอึ้ง


 


 


แม้หวงฝู่อวี้จะถือกำเนิดจากพระชายารอง แต่ในตอนนั้นยังหาตัวองค์ชายไม่พบ ในตระกูลมีเขาเพียงคนเดียว ทุกคนต่างโอ๋เอาใจเขา อย่าว่าแต่ถูกคนตบตี คำพูดแรงๆ สักคำก็ไม่มีใครกล้าพูด ภายหลังองค์ชายคืนกลับมา นอกจากจะไม่ได้สืบทอดตำแหน่งองค์ชาย สิ่งอื่นหาได้มีความเปลี่ยนแปลง ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวกลับตบเขาสองฉาด สำหรับหวงฝู่อวี้และพวกเฮ่ออีแล้ว นี่คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง


 


 


เป็นดังว่า หวงฝู่อวี้ไม่สนกริชที่จอคอยหอยตัวเองของกัวเฟย ดิ้นรนสุดชีวิตให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขา หมายจะตอบโต้เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


“ปล่อยเขา” เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งกัวเฟย


 


 


กัวเฟยรับคำสั่งปล่อยมือจากเขา


 


 


หวงฝู่อวี้เข้าจู่โจมเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยกระบวนท่ารุกฆาต ปากร้องพูดว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า นังผู้หญิงชั้นต่ำ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ รอจนหวงฝู่อวี้มาถึงเบื้องหน้า ถึงหาจังหวะเหมาะถีบออกไปเต็มแรง


 


 


หวงฝู่อวี้ถูกถีบกระเด็น ล้มหน้าหงายไปบนพื้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเหยียดหยาม “ด้วยฝีมือกระจอกของเจ้าคิดจะมาต่อกรกับข้า?”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองยังไม่ทันได้เข้าใกล้เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถูกถีบออกมา เป็นที่รู้กันว่าด้วยวรยุทธ์ของเขากำราบองครักษ์ลับสองสามคนได้อย่างง่ายดาย หลงว่าตนเองมีวรยุทธ์สูงส่ง


 


 


เฮ่ออีเห็นหวงฝู่อวี้เสียเปรียบ เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข พระชายารองมักกำชับพวกเขา ห้ามให้คุณชายได้รับบาดเจ็บ เวลาต่อสู้กับเขาต่างไม่กล้าใช้วรยุทธ์แท้จริง ทุกครั้งจะแสร้งพ่ายแพ้ให้แก่เขา


 


 


เขาที่ได้ต่อสู้กับเมิ่งเชี่ยนโยวคือการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ก็ยังไม่กล้าบอกความจริงกับเขา


 


 


หวงฝู่อวี้นึกว่าเมื่อครู่ตัวเองประมาทคู่ต่อสู้ รวบรวมกำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้น เข้าจู่โจมเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่ยอมแพ้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่ขยับ เตะไปที่หัวเข่าของเขา


 


 


หวงฝู่อวี้เจ็บจนแทบทนไม่ไหว ฟุบไปกับพื้น ฟันกระทบกันเลือดซึมไหลออกจากมุมปาก


 


 


เฮ่ออีและคนอื่นๆ ร้องอุทาน “คุณชายรอง!”


 


 


หวงฝู่อวี้ที่รู้สึกร้าวระบมไปทั้งร่าง นอนฟุบแน่นิ่งไม่ไหวติง


 


 


เฮ่ออีขวัญเสีย คิดจะสะบัดให้หลุดจากการจับกุมของพวกองครักษ์หลวง เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งน้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น “วางใจเถอะ เขายังไม่ตาย”


 


 


หวงฝู่อวี้ร้องซี้ดด้วยความเจ็บปวด


 


 


เฮ่ออีและคนอื่นๆ ถึงวางใจลง ลนลานขอร้องแทนหวงฝู่อวี้


 


 


เฮ่ออีพูดว่า “แม่นางเมิ่ง อย่างไรคุณชายรองของพวกเราก็เป็นน้องชายองค์ชาย ขอท่านโปรดเมตตา จะฆ่าเขาไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ “ให้ข้ามีเมตตา? ตอนพวกเจ้าลงมือเหตุใดไม่พูดว่ามีเมตตาบ้าง วันนี้เพราะพวกเราคนมาก ถึงจับกุมพวกเจ้าได้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้ครอบครัวข้าคงถูกพวกเจ้าฆ่าตายไปหมดแล้ว”


 


 


เฮ่ออีส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น คุณชายรองเพียงสั่งให้พวกเราฆ่าเจ้า มิได้คิดจะฆ่าพวกเจ้าทั้งครอบครัว”


 


 


พูดจบถึงรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป ตาลีตาลานแก้คำพูด “ไม่ใช่ๆๆ คุณชายรองของพวกเราหาได้พูดเช่นนี้ไม่ พวกเราเพียงคิดจะจับเจ้ามา บีบให้องค์ชายถอนหมั้นกับเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มเ**้ยมเกรียม เดินเข้าไปเตะกระทุ้งหวงฝู่อวี้ที่นอนไม่ไหวติงสองครั้ง “ไสหัวลุกขึ้นมา ไม่ต้องแกล้งตาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกแรงเตะสุดแรงเกิด หวงฝู่อวี้รู้สึกว่าเจ็บแปลบบริเวณที่ถูกนางเตะ ฝืนประคองร่างลุกขึ้นช้าๆ เขาหาได้ยอมจำนนไม่ เช็ดเลือดข้างมุมปากแล้วพูดว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า ขจัดขวากหนามของเยียนเอ๋อร์ให้สิ้นซาก เจ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าสิ ดูว่าพระบิดาและท่านตาข้าจะถล่มหมู่บ้านแห่งนี้ให้ราบเป็นหน้ากลองอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง ชี้ภูเขาทมิฬไกลลิบ พูดว่า “รู้หรือไม่ว่าภูเขานั้นใหญ่แค่ไหน? บนนั้นมีสัตว์ร้ายมากเพียงใด? ข้าเพียงเอาพวกเจ้าไปปล่อยบนนั้น ไม่ถึงสามวัน พวกเจ้าก็จะถูกสัตว์ร้ายกินจนไม่เหลือกระดูก จะคิดบัญชีกับข้า ก็หาหลักฐานมาให้ได้สิ”


 


 


หวงฝู่อวี้มองภูเขาไกลลิบ ให้สยองพองเกล้าอีกครั้ง แสร้งข่มขวัญตบตา พูดว่า “เจ้ากล้า!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ ข่มขู่เขา “ข้าไม่กล้า? หลายปีมานี้ข้าไม่รู้ว่าโยนคนขึ้นไปเป็นอาหารสัตว์ร้ายมากี่คนแล้ว เพิ่มพวกเจ้าเข้าไปจะเป็นอะไร ข้ามีอะไรต้องไม่กล้าอีกเล่า”


 


 


อย่าว่าแต่หวงฝู่อวี้ พวกเฮ่ออีและคนอื่นๆ ได้ยินต่างก็ขนหัวลุกชัน รีบร้อนร้องขอชีวิต “แม่นางเมิ่ง ท่านไว้ชีวิตคุณชายรองของพวกเราเถอะ”


 


 


ในน้ำเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวเจือความอาฆาต “ปล่อยเขา ให้ภายหลังเขาได้โอกาสมาฆ่ายกครัวข้าเรอะ?”


 


 


เฮ่ออีส่ายหน้างุด “มิใช่ ครั้งนี้คุณชายรองสั่งพวกเราออกมาโดยพลการ หลังจากกลับเข้าเมืองหลวง พอท่านอ๋องทราบเรื่องจะต้องลงโทษเขา ภายหน้าเขาจะไม่มีโอกาสออกจากเมืองหลวงได้อีก”


 


 


ไม่คิดว่าพอเมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังจะพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลว่าภายหน้าอ๋องฉีจะสืบมาถึงข้าได้”


 


 


ว่าแล้วก็สั่งการกัวเฟย “จับเจ้าหน้าอ่อนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินดำคนนี้โยนขึ้นเขาไปก่อน”


 


 


กัวเฟยกลั้นขำ เปล่งเสียงขานรับ เดินมาตรงหน้าหวงฝู่อวี้ คิดจะจับตัวเขาขึ้น


 


 


หวงฝู่อวี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวจะจับเขาโยนขึ้นเขาเป็นอาหารสัตว์ร้ายจริงๆ ตกใจขวัญเสีย ดิ้นหลบไปด้านหลังพลางพูดขอร้อง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ให้ใครมาฆ่าเจ้าอีก เจ้าไว้ชีวิตข้าเถอะ”


 


 


เฮ่ออีและคนอื่นๆ ไม่เคยเห็นหวงฝู่อวี้ในสภาพนี้มาก่อน ต่างตกตะลึงตาค้าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบยิ้มในใจ แล้วชักสีหน้าสั่งกัวเฟย “ยังไม่รีบอีก!”


 


 


กัวเฟยรับคำ ยกหวงฝู่อวี้ขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)