ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 390-393 (จบบริบูรณ์)
ตอนที่ 390 ข้าเป็นพ่อของพวกนางนะ
หวงฝู่อวี้คิดไว้แล้วว่านางจะต้องยื่นมือออกมาตี จึงชิงยื่นมือออกไปจับมือทั้งสองข้างของนางไว้ก่อน
ครึ่งตัวบนของเจียงจิ่นขยับไม่ได้ จึงโกรธมาก ยกเท้าขึ้นกระทืบลงไปอย่างรุนแรง โดนไปที่ขาของหวงฝู่อวี้พอดี
หวงฝู่อวี้ปวดจนตาถลน เจียงจิ่นที่ได้เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของเขา ก็ยังไม่พอใจ กดเท้าลงไปอีก
หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหวแล้ว เลยปล่อยนาง แล้วร้อง โอ้ยๆ
เจียงจิ่นเป็นอิสระ ใช้มือเช็ดที่ริมฝีปากของตน จ้องไปที่หวงฝู่อวี้ด้วยความโกรธ
หวงฝู่อวี้กอดขาของตนเดินวนไปวนมา แล้วด่าว่า “นี่เจ้า ลงเท้าหนักขนาดนี้ ข้าเป็นคนที่ช่วยเหลือเจ้าเอาไว้แท้ๆ แต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้งั้นรึ”
เจียงจิ่นที่กำลังโกรธ เลยพูดออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์นัก “คุณชายรอง ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าขอบคุณท่านจากใจจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะเหยียดหยามข้าอย่างไรก็ได้”
“เหยียดหยามเจ้าอะไรกัน ข้าเหยียดหยามเจ้าเมื่อใด เดี๋ยวพวกเราก็จะได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว ข้าจะจูบเจ้าหน่อยไม่ได้หรือไง” หวงฝู่อวี้เดินไปก็พูดไป
“ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ไปสู่ขอข้า พวกเราก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน วันนี้ที่ท่านอุ้มข้าขึ้นหลังม้าต่อหน้าครอบครัวของข้า ข้าไม่ได้ว่าอะไร แต่ไม่นึกเลยว่าท่านจะไม่ระวังการกระทำของตนเอง ถึงได้ ถึงได้ ถึงได้ทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้กับข้าได้” พูดถึงตอนท้าย เสียงของนางก็เริ่มสะอื้น
หวงฝู่อวี้ก็เริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เท้าแล้ว ค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างเรียบร้อย “เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้สิ ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำเกินเรื่องไปหน่อย ข้าขอรับรองว่าหลังจากนี้จะไม่ทำกับเจ้าเช่นนี้อีกแล้ว
“คุณชายรอง พูดคำไหนคำนั้นหรือไม่” แม่ว่าเจียงจิ่นจะไม่ร้องไห้แล้ว แต่น้ำตาก็ยังคงค้างอยู่ในดวงตา ทำให้นางช่างดูงดงามแบบหญิงสาวผู้ดื้อรั้นยิ่งนัก
หวงฝู่อวี้นิ่งอึ้ง กลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก แล้วให้สัญญาว่า “แน่นอน… ว่าไม่”
พูดจบ เขาพุ่งตัวเข้าไป กอดเจียงจิ่นเอาไว้แน่น กอดนางแล้วเดินไปล้มลงที่เตียง ริมฝีปากก็บดเบียดลงไป
เสียงร้องของเจียงจิ่นก็โดนเขาใช้ปากปิดเอาไว้
ทั้งเรือนร่างโดนกดเอาไว้ เจียงจิ่นไม่สามารถขยับได้ น้ำตาแห่งความโกรธก็ไหลริน
แต่หวงฝู่อวี้เหมือนโดนผีเข้า กดนางเอาไว้ไม่ปล่อย จนกระทั่งเจียงจิ่นที่ถูกจูบนั้นล้มเลิกความคิดที่จะขัดขืน ปล่อยร่างกายของตนให้เขาจูบจนพอใจ จนเขาปล่อยตัวนาง เห็นแก้มแดงสีชาดของนางแล้ว พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ที่ข้าทำเช่นนี้กับเจ้า เป็นเพราะข้าชอบเจ้า ในใจของข้านั้นมีเจ้า ไม่ได้เกี่ยวกับข่าวลือในเมืองหลวงเลย แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับที่ช่วยเจ้าด้วย”
เจียงจิ่นได้แต่อ้าปากค้าง มองเขาอย่างตกตะลึง
หวงฝู่อวี้ก็เข้าใจว่านางยินยอม ก็เลยใช้ปากบดจูบลงไปอีกครั้ง
ครั้งนี้เจียงจิ่นไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ยื่นมือออกมาโอบไปที่เอวของเขา
เมื่อพระชายาฉีเห็นเจียงจิ่น ปากแดงๆ ของนางก็ทำให้เข้าใจได้โดยทันที เลยสั่งให้แม่สื่อไปที่จวนเจียงอีกครั้งหนึ่ง
หมอหลวงเจียงและที่เหลือเพิ่งจะถึงจวน ยังไม่ทันได้ย้ายข้าวของลงจากรถม้า ก็เห็นแม่สื่อมา จึงรีบพากันให้เข้าไปที่ห้องรับแขกทันที
ทั้งสองฝ่ายต่างยินยอม เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้มีปัญหาใดอีก หลังจากที่แม่สื่อและหมอหลวงเจียงกับภรรยาได้กำหนดวันแต่งงานอย่างดีอกดีใจแล้วนั้น นางก็นั่งรถกลับไปที่จวนอ๋องด้วยความปลาบปลื้ม รายงานข่าวดีให้กับพระชายาฉีทันที
แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้แต่แรก พระชายาฉีก็ยังคงดีใจเป็นอย่างมาก เลยตบรางวัลให้กับแม่สื่ออีกยี่สิบตำลึง
ได้เงินเพิ่มอีกยี่สิบตำลึง แม่สื่อก็ยิ้มหน้าบานเป็นธรรมดา พูดขอบพระคุณไม่ขาดปาก
หวงฝู่อวี้จะแต่งงาน เป็นอีกหนึ่งเรื่องใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งวุ่นไปโน่นมานี่ตั้งหลายวัน ถึงจะเตรียมการพร้อมจนพระชายาฉีพอใจ เมื่อถึงวันที่หมั้นหมาย พระชายาฉีกับแม่สื่อก็ไปสู่ขอที่จวนเจียงด้วยตนเอง
คิดไม่ถึงว่าพระชายาฉีจะมาเอง คนในจวนเจียงต่างก็ลุกลี้ลุกลน ท่านย่าและท่านแม่ของเจียงจิ่น รวมไปถึงท่านน้าก็เข้ามาต้อนรับนางอย่างเกร็งๆ
พูดเรื่อยเปื่อยกันไป เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของพระชายาฉีแล้ว ดูเหมือนว่าจะดีใจกับการหมั้นหมายในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทั้งสามคนก็โล่งอก
พระชายาฉีเห็นท่าทางโล่งอกของพวกเขา จึงพูดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้นกับเรื่องวันแต่งงานขึ้นมา
ทั้งสามคนต่างตกใจ เจียงซื่อจึงบอกว่า “ขอประทานอภัยพระชายา จิ่นเอ๋อร์เพิ่งจะหมั้นหมาย อีกตั้งสองเดือนถึงจะแต่งงาน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอกเจ้าค่ะ พวกเรายังไม่ได้เตรียมสินเดิมให้กับนางเลยเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีรู้ว่าพวกเขากำลังถ่วงเวลา เหตุเพราะว่าไม่อยากให้ลูกสาวของตนนั้นแต่งงานเร็ว นางจึงยิ้มแล้วอธิบาย “อวี้เอ๋อร์ถึงวัยต้องแต่งงานตั้งนานแล้ว จิ่นเอ๋อร์เองก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ให้พวกเขาแต่งงานกันไวๆ พวกเราเองก็จะได้สบายใจไวๆ ด้วยเช่นกัน”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่เมื่อคิดถึงลูกสาวที่เดินไปเดินมาเห็นหน้ากันทุกวันกำลังจะแต่งออก ทั้งสามคนก็อาลัยอาวรณ์ ต่อรองกันด้วยความประณีประนอม จนสุดท้ายถ่วงเวลาได้ไปจนถึงครึ่งปีหลัง
แม้พระชายาฉีจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่ควรต่อรองอีก จึงพยักหน้าตอบรับไป
ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงเรื่องงานแต่งงานกันอย่างปลื้มใจ คนในจวนเจียงก็เริ่มเตรียมงานแต่งกันแล้ว แต่พวกนางก็เริ่มพบปัญหาบางอย่าง ก็คือคุณชายรองมารับนางที่จวนบ่อยเหลือเกิน ด้วยสถานะของเขา ทำให้คนในจวนเจียงไม่มีใครกล้าห้ามปรามเขาเลยสักคน
เจียงซื่อก็จนปัญญา ทำได้เพียงย่องไปบอกนางตอนที่เจียงจิ่นยังอยู่ที่ในเท่านั้นว่าเกิดเป็นหญิงต้องรักนวลสงวนตัว ตราบใดที่ยังไม่ได้แต่งงานห้ามทำเรื่องบัดสีเป็นอันขาด
เจียงจิ่นก็เข้าใจในความหมายของนาง หน้าแดงอธิบายไปว่า “ท่านแม่ ท่านคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วเจ้าคะข้าไปจวนอ๋อง เป็นเพราะซื่อจื่อเฟยนั้นวิชาแพทย์ล้ำเลิศ ทุกครั้งที่ข้าคุยกับนาง ข้าก็จะได้อะไรดีๆ กลับมาเสมอเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตอนที่เจียงจิ่นอาบน้ำ ก็เลยไปแอบดู เห็นว่าแต้มแดงพรหมจรรย์ของนางยังอยู่ ก็เลยรู้ว่านางพูดความจริง ใจที่เป็นกังวลก็เลยวางลงได้
แต่นางคาดไม่ถึงว่าเจียงจิ่นนั้นไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด เพราะว่าหลังจากที่หวงฝู่อวี้มารับตัวนางไป ใช่ว่าจะพากลับจวนอ๋องทุกครั้ง บางทีก็พานางไปสำรวจร้านค้า บางทีก็พานางไปดูที่นานอกเมือง ให้นางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา ทั้งสองบ่มเพาะความรักของกันและกัน
ในสายตาของเจียงจิ่น แม้คุณชายรองจะมุทะลุบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่ก็เอาใจใส่ตนเองอย่างดี เอ็นดูตนเองเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะบุ่มบ่ามไปหน่อย แต่ยิ่งทำให้เขาน่าสนใจยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องที่เขาชอบใช้กำลัง เจียงจิ่นก็เคยชินไปเสียแล้ว เมินเฉยไปโดยปริยาย
วันเวลาผ่านไป เด็กทั้งสองคนก็อายุได้สิบเดือนแล้ว กำลังเริ่มตั้งไข่ แล้วก็เริ่มพูดได้นิดหน่อยว่า “ย่า… …”
พอเริ่มพูดได้แล้ว พระชายาฉีดีใจเป็นอย่างมาก สอนเด็กน้อยทั้งสองคนให้เรียกย่าในทุกๆ วัน
แต่ท่านอ๋องฉีกลับไม่ดีใจ เพราะตนนั้นก็อยู่กับเด็กน้อยทั้งสองตลอดเวลาไม่น้อยไปกว่าพระชายาเลย แต่เหตุใดเด็กน้อยถึงได้แต่เรียกย่าแล้วไม่เรียกปู่ เขากลุ้มใจไปสักพัก หลังจากที่คิดได้แล้ว เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเวลาที่ตนอยู่กับเด็กๆ เรียกแทนตนเองว่าเสด็จปู่ตลอดเวลา เด็กยังเล็ก ยากจะออกเสียง เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็เคาะหัวกะโหลกตนเองไปหลายที แล้วเปลี่ยนคำที่เรียกแทนตนเองว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เมิ่งเอ๋อร์ มา เรียกว่าปู่สิ”
บางทีอาจจะผิดมาตั้งแต่ต้น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเด็กน้อยทั้งสองฉลาดหลักแหลม ปากของพวกเขาก็พูดออกมาพร้อมๆ กันว่า “ปู… ปู…” แม้จะไม่ค่อยชัดนัก แต่ท่านอ๋องฉีก็ฟังรู้เรื่อง อุ้มเด็กน้อยทั้งสองขึ้นมาด้วยความดีใจ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของท่านอ๋องฉีก็ดังลั่นไปทั่วจวนอ๋องกันเลยทีเดียว
ใกล้จะสิ้นปี เรื่องที่ต้องจัดการนั้นมีมากมาย หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวต่างไม่ว่าง อีกคนยุ่งกับการเข้าไปจัดการเรื่องในราชสำนัก ส่วนอีกคนก็คอยคิดคำนวณจัดการการค้า เมิ่งเชี่ยนโยวยังดีได้อยู่ในจวนทุกวัน ได้เดินไปดูลูกบ้าง แต่หวงฝู่อี้เซวียนนั้นไม่ใช่เลย เขาไม่ได้เห็นหน้าลูกมาหลายวันแล้ว
หลังจากที่ยุ่งวุ่นวายมาหลายวัน อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีแล้ว งานของทุกคนก็เริ่มเบาลง
วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนว่างไม่ได้ออกไปไหน หลังจากที่ช่วยตรวจสอบเล่มบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เอามือไปวางที่เล่มบัญชีที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังดูอยู่แล้วพูดว่า “พวกเราไปดูลูกกัน เจ้าพักสักประเดี๋ยวเถิด อย่าให้เหนื่อยเกินไปเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้ววางเล่มบัญชีในมือลง แล้วลุกขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น เดินไปที่ราวแขวนเสื้อ แล้วหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาใส่ให้นางอย่างมิดชิด ส่วนตนก็ใส่เสื้อคลุมด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนเดินออกมาที่เรือนของพระชายาฉี
เมื่อเข้าไป ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของเด็กน้อยทั้งสองคนดังออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนก็รีบเดินเข้าไปด้านใน เรียก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่” ถอดเสื้อคลุมหนาๆ ของตนออก แล้วยืนอยู่กับที่ รอให้ไอหนาวที่ร่างกายของตนหายไปก่อน แล้วค่อยเข้าไปใกล้ตัวเด็กน้อยทั้งสอง
เด็กน้อยทั้งสองเดินโยกเยกเข้าไปหาพวกเขา
หวงฝู่อี้เซวียนพอเห็นก็ดีใจมาก แล้วใช้มือทั้งสองอุ้มเด็กขึ้นคนละข้าง หอมลงไปที่แก้มของเด็กน้อยทั้งสอง แล้วพูดว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เมิ่งเอ๋อร์ของข้ากำลังจะโตแล้ว”
เด็กน้อยทั้งสองก็หัวเราะออกมาอย่างดีอกดีใจ แล้วเด็กคนหนึ่งก็อ้าปากพูดออกมาไม่ขาดว่า “พ่อ…”
เด็กน้อยอีกคนหนึ่งได้ยินเข้าก็พูดตามด้วยว่า “พ่อ…”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไป มือที่อุ้มเด็กทั้งสองอยู่ก็สั่นเล็กน้อย แล้วหันกลับมาถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “พวกนางเรียกข้าว่าพ่องั้นรึ ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนรีบหันกลับมาพูดกับเด็กน้อยทั้งสองคนว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เมิ่งเอ๋อร์ ไหนพูดอีกที่สิ”
เหมือนกับเด็กทั้งสองจะฟังออก เลยพูดออกมาพร้อมๆ กันอีกทีว่า “พ่อ… …”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจเข้าไปใหญ่
แต่ท่านอ๋องฉีกลับไม่ค่อยพอใจนัก
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เคยอยู่ที่จวนเลย เด็กน้อยทั้งสองก็มีแต่ตนกับพระชายาที่คอยดูแล แล้วเหตุใดพอเขามา เด็กทั้งสองก็เรียกพ่อได้แล้วล่ะ
พระชายาฉีดีใจเป็นที่สุด เด็กน้อยทั้งสองเรียกชื่อคนได้ อีกไม่นานคงพูดได้แล้ว
ในขณะที่ทุกคนคิดไปต่างๆ นาๆ หวงฝู่อี้เซวียนก็หันกลับไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูดออกมาอย่างไม่คิดว่า “หยิบเสื้อคลุมขึ้น เผ่นเร็ว!”
พูดจบ ท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉียังไม่ทันได้ตั้งตัว หวงฝู่อี้เซวียนก็อุ้มเด็กน้อยทั้งสอง หันหลัง เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมาย รีบหยิบเสื้อคลุมบนราวแขวนเสื้อ แล้วตามออกไป
แล้วท่านอ๋องฉีเพิ่งรู้สึกตัว นี่มันกล้ามาชิงตัวเด็กน้อยต่อหน้าต่อตาเลยรึ จึงโกรธมาก หยิบท่อนไม้ที่อยู่หน้าประตูตามหลังออกไป
พระชายาฉีสีหน้าเป็นกังวลเดินตามอยู่ด้านหลัง แล้วบอกว่า “ท่านไม่ต้องตามหรอก อากาศเย็นมาก อย่าให้เด็กเป็นไข้ล่ะ”
ท่านอ๋องฉีฟังนางเสียที่ไหน ตามไปหาหวงฝู่อี้เซวียนที่วิ่งไปไกลแล้วได้ติดๆ
หวงฝู่อี้เซวียนคิดไว้แล้วว่าเขาต้องมาไม้นี้ ครั้งนี้จึงไม่ได้วิ่งตามทางเหมือนครั้งก่อน แต่อุ้มเด็กน้อยมุ่งหน้าไปที่เรือนของตน
ท่านอ๋องฉีชะงักไป แล้ววิ่งตามเขาต่อไป
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเด็กสองคน จึงทำให้วิ่งช้า อีกนิดเดียวก็จะโดนท่านอ๋องฉีตามทันอยู่แล้ว จึงจำต้องหยุดพักเล็กน้อย แล้วอุ้มเด็กทั้งสองที่กำลังหัวเราะสนุกสนานไว้ให้แน่น แล้วหันกลับไปพูดกับท่านอ๋องฉีว่า “เสด็จพ่อ ลูกอยู่กับข้าและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ข้าเป็นพ่อของพวกนางนะขอรับ”
ท่านอ๋องฉีก็โกรธเข้าไปอีก ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น พูดออกมาว่า “ให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าสิเป็นพ่อของเจ้า รีบส่งเด็กๆ คืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนดูท่าทางเด็ดเดี่ยว พูดว่า “ไม่คืน ลูกควรอยู่กับพวกเรา ถ้าหากว่าท่านอยากจะดูลูกล่ะก็ท่านกับเสด็จแม่ก็ไปมีเพิ่มอีกคนสิ”
พระชายาฉีที่ตามอยู่ด้านหลังได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง
แต่ท่านอ๋องฉีกลับโกรธจนตาถลนออกมา แล้วใช้ท่อนไม้ในมือของตนตีลงไปที่หวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ถ้าหากว่าข้ามีลูกได้อีก จะต้องให้ข้ามาแย่งเจ้าเช่นนี้รึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำจนเจ็บท้อง
ดึงดันกันอยู่นาน หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้งาน เมื่อเห็นว่าท่อนไม้ของท่านอ๋องฉีจะฟาดลงมาเมื่อไร ก็เอาเด็กน้อยทั้งสองกันท่าเอาไว้
พระชายาฉีตกใจอย่างมาก ท่านอ๋องฉีเก็บไม้นั้นเข้าไปแทบไม่ทัน โกรธด่าว่า “เจ้าบ้า เจ้าเอาลูกมาเป็นโล่เช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ถ้าแน่จริงมาประลองกับข้า ใครชนะก็ได้เด็กไป”
“ไม่ได้” หวงฝู่อี้เซวียนให้ตายยังไงก็ไม่เปลี่ยนคำ “ลูกเป็นของพวกเรา ก็ควรอยู่กับพวกเรา”
ตีก็ไม่ได้ แย่งมาก็ไม่ได้ ท่านอ๋องฉีโมโหจนหายใจแทบไม่ทัน มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสายตาโกรธแค้น
เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนจะเอาลูกกลับไปที่เรือนของตน พระชายาฉีก็ย่อมไม่ยอม ครั้งนี้เลยอยู่ข้างเดียวกับท่านอ๋องฉี แต่ต้องใช้ไม้อ่อนก่อน ถ้าหากว่าพูดไม่รู้เรื่องค่อยใช้ไม้แข็ง
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่อีกทาง เห็นสถานการณ์คับขัน ก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ อี้เซวียน อากาศหนาวเย็นนัก ลูกจะเป็นไข้ได้ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถิด”
ตอนที่ 391 ชิ่นจยา
ท่านอ๋องฉีสงสารเด็กน้อย จึงถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วโยนท่อนไม้ที่อยู่ในมือทิ้ง หันหลังเดินกลับเรือนไป
พระชายาฉีมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน แล้วเดินตามท่านอ๋องฉีไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหาหวงฝู่อี้เซวียน แล้วเอาเสื้อคลุมที่อยู่ในมือของตนคลุมให้กับเด็กน้อยทั้งสอง ในขณะที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังหัวเราะมีความสุข แล้วเดินกลับไปที่เรือนของพระชายาฉีอีกครั้งหนึ่งกับหวงฝู่อี้เซวียน
ทั้งหมดนั่งลง หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่อยากวางเด็กน้อยลง
ท่านอ๋องฉีมองขู่ไปที่เขา แล้วด่าในใจว่า ใช้ไม่ได้ ขณะนี้ได้ลืมเรื่องที่แย่งเด็กน้อยกับหวงฝู่อี้เซวียนไปจนหมดสิ้น
และแน่นอน ว่าคงตกลงกันได้ไม่ราบรื่นแน่ ท่านอ๋องฉีเบิกตาโพลงด้วยความโกรธอีกครั้ง อยากไล่ลูกเนรคุณหวงฝู่อี้เซวียนนี้ออกจากจวนไป ไม่ต้องกลับมาอีกตลอดชีวิต
อาจจะเป็นเพราะเสียงเรียกของเด็กน้อยมากระตุ้นหวงฝู่อี้เซวียน เลยทำให้เขาพูดจาไม่อ่อนข้อเลยสักนิด จะต้องเอาลูกของตนไปให้ได้
สองพ่อลูกจะตีกันอีกแล้ว
พระชายาฉีก็ร้อนรนทนไม่ไหว
จนสุดท้ายเมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดวิธีได้วิธีหนึ่ง จึงพูดว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่เจ้าคะ ข้าคิดวิธีได้วิธีหนึ่ง พวกท่านดูสิว่าเหมาะสมหรือไม่ พวกเราแบ่งวันคู่วันคี่กัน ถ้าวันไหนวันคี่ ให้อี้เซวียนเป็นคนดูแลเด็กๆ ส่วนวันคู่นั้น พวกท่านก็เอาไปดูแล และแน่นอน ถ้าหากว่าพวกท่านไม่ติดอะไรล่ะก็ ในวันคี่พวกท่านก็สามารถไปที่เรือนของพวกเราเพื่อช่วยดูเด็กๆ ได้ แต่พวกนางจะต้องอยู่ในเรือนของพวกเราเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีมองหน้ากัน แต่ก็จนปัญญา ฝืนพยักหน้ารับไป
หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดว่าวิธีนี้พอใช้ได้จึงไม่ได้คัดค้าน พยักหน้าเช่นเดียวกัน
คราวนี้ ปัญหาเรื่องลูกก็หมดไป นับตั้งแต่นี้ไป จวนอ๋องแห่งนี้ เรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนแอบไปอุ้มลูกมา ท่านอ๋องฉีถือท่อนไม้ไล่ตีจะไม่มีอีกต่อไป บ่าวรับใช้ในจวนต่างพากันไม่ชินไปช่วงหนึ่ง
แต่จะว่าไป วันคี่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ดูลูก วันคู่ท่านอ๋องฉีและพระชายาเป็นคนดู แต่ที่จริงแล้ว วันคู่นั้นท่านอ๋องฉีกับพระชายาเป็นคนดูเด็กก็จริง แต่พอถึงวันคี่ ไม่เพียงแต่พาเด็กมาที่เรือนเท่านั้น ท่านอ๋องฉีและพระชายาก็ตามมาด้วยเช่นกัน หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังเข้าถึงตัวลูกไม่ได้อยู่ดี
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนหลัง
เมื่อมีกฎแล้ว วันนั้นเป็นวันคู่ ตามหลักคือจะต้องเป็นท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีดูแล หวงฝู่อี้เซวียนก็วางเด็กลงอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วกลับไปที่เรือนกับเมิ่งเชี่ยนโยว
แต่พอนั่งลง ก็ตกอยู่ในภวังค์เสียงเรียกของเด็กน้อยและกำลังคิดเรื่องที่ไม่สามารถเห็นหน้าเด็กน้อยได้ แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอกจวน “ชิ่นจยา ข้ามาเยี่ยมพวกท่านแล้ว”
เสียงนี้ ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก หน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ขรึมขึ้นโดยทันที จึงลุกขึ้น แล้วเดินออกไปต้อนรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหน้า ไม่ได้ขยับ ซุนเหลียงไฉช่างไม่รู้อะไรเสียเลย มาหาในเวลานี้ แล้วยังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก วันนี้ดูท่าจะโดนหวงฝู่อี้เซวียนซัดเสียให้เข็ด นางไม่ออกไปดูให้เสียลูกตาหรอก
หลายปีมานี้ซุนเหลียงไฉทำการค้าได้ดีขึ้นเรื่อยๆ วิ่งวุ่นไปๆ มาๆ ในหนึ่งปีไม่อยู่บ้านไปแล้วหกเดือน เรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวคลอดลูกยากนั้น กว่าเขาจะได้ยินเรื่องนี้ก็ปาไปแล้วหนึ่งเดือนให้หลัง ตอนนั้นอยู่ไกล เลยไม่ได้กลับมา ตอนหลังได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวปลอดภัยแล้ว แถมยังคลอดลูกสาวฝาแฝดอีกด้วย ก็เลยดีใจมาก คิดว่าอย่างไรเสียก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเป็นญาติกันแล้ว เลยอาศัยจังหวะที่ยังไม่ขึ้นปีใหม่มาตรวจตราร้านค้าของตน เลยสั่งให้คนนำของขวัญมากมายเพื่อมาแสดงความยินดี พอเดินเข้ามาในจวน เลยเอาสิ่งที่ตนคิดร้องเรียกตะโกนออกมาเสียจนหมด
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านประตูออกมาต้อนรับ แต่ก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
โจวอันกับหวงฝู่อี้รู้สึกได้ มองไปที่ซุนเหลียงไฉอย่างเวทนาพร้อมๆ กัน จากนั้นก็ถอยออกไปนอกเรือน ตนจะได้ไม่โดนลูกหลงไปด้วย
แต่ซุนเหลียงไฉที่กำลังดีอกดีใจอยู่นั้นกลับไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเลย เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา ก็เรียกอย่างดีใจว่า “ชิ่นจยา” แล้วเดินไปตบที่บ่าของหวงฝู่อี้เซวียนพร้อมพูดว่า “ลูกสาวเจ้าสองคนนี้ข้าขอจองไว้ก่อนนะ เจ้าห้ามไปตอบรับใครอีกเด็ดขาดนะ”
“เจ้ามีลูกชายกี่คนล่ะ” น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มโมโห แต่ก็กัดฟันถาม
“คนเดียวสิ” ซุนเหลียงไฉตอบ
หลังจากนั้นก็เข้าใจ จึงตอบไปเพิ่มเติมว่า “เจ้าวางใจเถิด วันพรุ่งข้าจะรีบกลับบ้านไปทำเพิ่มอีกคน จะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดองญาติของพวกเรา”
“งั้นหรือ” ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มลุกเป็นไฟ
แต่ซุนเหลียงไฉก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังพยักหน้าอีก “ใช่สิ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ปีหน้าเวลานี้ก็จะได้อุ้ม……”
ปัก! หวงฝู่อี้เซวียนถีบซุนเหลียงไฉอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
บ่าวรับใช้ที่ถือของขวัญเดินเข้ามาต่างก็ตกตะลึงที่เห็นนายน้อยของพวกเขาปลิวไปต่อหน้าต่อตา แล้วตกลงกับพื้น
โอ้ยยยย ยังไม่ทันได้ถึงพื้น ซุนเหลียงไฉเริ่มร้องเสียงหลงออกมา
เมื่อตกถึงพื้น ก็ไม่มีเสียงแล้ว เพราะเจ็บจนพูดไม่ออก
บ่าวรับใช้ต่างลนลาน รีบเข้าไปถามอย่างร้อนรนว่า “นายน้อยๆ ขอรับ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”
ซุนเหลียงไฉได้แต่เจ็บจนคิ้วขมวด พูดอะไรไม่ออก
บ่าวรับใช้ตกใจเป็นอย่างมาก วางของกำนัลที่อยู่ในมือลง แล้วรีบเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซุนเหลียงไฉถึงได้ค่อยยังชั่ว โมโห แล้วผลักพวกที่เข้ามาพยุงออก ชี้หน้าหวงฝู่อี้เซวียนแล้วพูดว่า “เจ้ามันคนใจดำ แถมยังทำข้าโดยไม่ทันตั้งตัว ถ้าแน่จริงมาสู้กันให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ถ้าหากชนะ ก็จับแต่งงานทั้งสองคนไปเลย แต่ถ้าหากแพ้ เราขอคนเดียวก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแทบจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ซุนเหลียงไฉคนนี้ สมแล้วที่ทำการค้าเก่ง สมองไวยิ่งนัก
แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของเขา
เพราะไม่ได้อยู่กับลูก หวงฝู่อี้เซวียนกำลังกลุ้มใจอยู่ พอดีเขาเข้ามาท้าตีท้าต่อย แล้วเหตุใดหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่สนองเขาล่ะ
จึงไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง พุ่งตัวเข้าไปอยู่ตรงหน้าซุนเหลียงไฉอย่างรวดเร็ว
ซุนเหลียงไฉไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก แต่ว่า เพื่อลูกสะใภ้ของตน เขาพร้อมสู้ ผ่านไปยี่สิบกระบวนท่า แต่ก็ไม่รู้ผลแพ้ชนะสักที
หวงฝู่อี้เซวียนก็หรี่ตา แล้วเพิ่มกำลังในการต่อสู้
ซุนเหลียงไฉได้ใจ รับมือไปพูดไปว่า “หลายปีมานี้ก็ไม่ได้สูญเปล่านะ หากเจ้าอยากจะชนะข้า ก็ไม่ง่ายหรอก” พูดจบ ก็มีเสียง ปัก แล้วตัวก็กระเด็นออกไปอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้มีการป้องกัน ตัวของเขาหมุนกลางอากาศค่อยลงสู่พื้น แล้วพูดยั่วโมโหหวงฝู่อี้เซวียนอีกว่า “ยังไงล่ะ ฝีมือของข้าไม่เลวเลยสินะ”
หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง ไม่ขยับ แล้วยิ้มมุมปากออกมาอย่างน่าพิศวง
ซุนเหลียงไฉรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เสียวจนเขาขนลุก ในใจก็เกิดลางสังหรณ์แปลกๆ ถอยหลังออกไปโดยทันที แล้วพูดตะกุกตะกักว่า “อี้ อี้เซวียน พวก พวกเราคุยกันดีๆ เถิด เจ้าอย่าใช้ไม้นี้เพื่อเล่นงานข้าเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมุมปากอย่างน่ากลัวขึ้นมาอีกครั้ง
ซุนเหลียงไฉยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยเข้าไปใหญ่ ได้แต่เดินถอยหลังไปอีกหลายก้าว
แล้วหวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ พูดขึ้นว่า “โจวอัน เจ้าไปรายงานท่านอ๋อง บอกว่ามีหมาวัดตัวหนึ่งจะมาสู่ขอหลานสาวดอกฟ้าทั้งสองของเขา”
คำพูดของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ด้านในได้แต่ยืนไว้อาลัยให้กับซุนเหลียงไฉ ต่อจากนี้ เกรงว่าเขาจะมีปมในการมาที่จวนอ๋องเสียแล้วสิ แต่ก็สมควร ใครใช้ให้เขาบุ่มบ่ามเข้ามาพูดเรื่องนี้ตอนนี้กันเล่า
โจวอันก็ยิ้มตอบรับไป แล้วรีบไปรายงานที่เรือนของพระชายาฉีโดยทันที
ซุนเหลียงไฉได้แต่ลูบหัวของตนเอง ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนกำลังเล่นอะไรอยู่ จึงไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น
ในจวนที่เงียบสงัด หวงฝู่อี้ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกก็นึกถึงตอนที่ท่านอ๋องประมือกันกับหวงฝู่อี้เซวียนเพื่อชิงตัวเด็กมาอย่างไร้ซึ่งความปรานีตอนนั้น ก็มองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่มีที่ๆ เหมาะสมในการหลบซ่อนตัวเลย จึงเก็บสายตาเข้ามา พอเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า ก็เกิดความคิด ปีนขึ้นบนนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างนี้ค่อยยังชั่ว ปลอดภัยแล้ว ไม่ว่าท่านอ๋องจะลงมือกับคุณชายซุนอย่างไร ข้าก็จะได้ไม่โดนลูกหลงไปด้วย
ไม่นานท่านอ๋องฉีก็มา รวดเร็วประหนึ่งเพียงกระบวนท่าเดียวก็เดินมาถึงตรงหน้าของซุนเหลียงไฉได้อย่างใดอย่างนั้น เอามือไขว้หลัง แล้วมองเขาไปมา ถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เจ้าเองรึที่มาสู่ขอหลานสาวข้า”
ซุนเหลียงไฉก็รีบอธิบายว่า “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้ามาสู่ขอคุณหนูน้อยให้กับลูกชายน้อยของข้าขอรับ”
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ดีมาก”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา ซุนเหลียงไฉก็โล่งอก สิ่งที่กังวลก็คลายลงกึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องฉีเอามือที่ถือท่อนไม้ง้างมาตีตนนั้น ก็ตกใจจนตาถลนออกมา ลืมไปเลยว่าต้องหนี
ตุบ เสียงดังสนั่น ท่อนไม้นั้นได้ตีลงบนร่างกายของซุนเหลียงไฉ
ซุนเหลียงไฉถึงได้สติ จนร้อง โอ้ยๆ ออกมา แล้วกระโดดโหยง
ท่านอ๋องฉียังไม่พอใจ ใช้ท่อนไม้ตีลงไปบนร่างกายของเขาอีกสองสามที
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงนั้น ก็รู้สึกเจ็บแทนจนทำตัวไม่ถูก
แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับยืนยิ้มมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีความคิดอ้อนวอนให้กับซุนเหลียงไฉเลยแม้แต่นิดเดียว
ซุนเหลียงไฉเจ็บจนกระโดดไปมา บ่าวรับใช้ของจวนซุนทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว พูดออกมาพร้อมๆ กันว่า “นายน้อย ท่านรีบหลบสิขอรับ”
ซุนเหลียงไฉถึงได้รู้สึกตัว อาศัยตอนที่ท่อนไม้ของท่านอ๋องฉียังไม่ฟาดลงมานั้น วิ่งหนีเข้าไปในจวน
ปีที่ผ่านมา ท่านอ๋องฉีไล่ตีหวงฝู่อี้เซวียนอยู่บ่อยๆ จึงมีร่างกายที่เตรียมพร้อมไว้วิ่งไล่คนอยู่แล้ว แล้วซุนเหลียงไฉจะวิ่งเร็วกว่าเขาได้อย่างไร จึงโดนเขาตีไปนับครั้งไม่ถ้วน
ท่านอ๋องฉีไม่เคยปรานีใคร ซุนเหลียงไฉรู้สึกว่าตนช้ำไปทั้งตัว คอยหลบหลีกอย่างหมดท่า แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนไปด้วยว่า “เจ้ามันคนใจร้ายใจดำ ให้ท่านอ๋องมาจัดการข้า เจ้าคอยดูเถอะ ข้าจะให้ลูกชายข้ามาสู่ขอลูกสาวเจ้าให้ได้เลยเชียว”
บังอาจคิดอาจเอื้อมดอกฟ้าอย่างหลานสาวข้า แถมยังด่าลูกชายของตนอีก โทษสองกระทง ท่านอ๋องฉีก็ตีหนักกว่าเดิม ซุนเหลียงไฉร้องเสียงโหยงไม่เป็นท่า กุมขมับของตนเดินออกมาจากเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน พยายามใช้กระบวนท่าต่างๆ เพื่อมุ่งหน้าไปที่ประตูใหญ่ของจวนอ๋อง
แต่ท่านอ๋องฉียังไม่พอใจ ถือท่อนไม้ไล่ตีตามหลังไป
ในจวนอ๋องมีแต่เสียงร้องครวญครางของซุนเหลียงไฉดังก้องไปทั่วจวน
เห็นทั้งสองคนไล่ตีกันห่างออกไป หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบไปเห็นบนต้นไม้ แล้วหันหลังกลับห้องของตนไป
หวงฝู่อี้ตกใจจนรีบลงมาจากต้นไม้ แล้งรีบไปยืนประจำที่ตามเดิม
ในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวที่มีความสุขก็พูดออกมาว่า “หลังจากวันนี้ไป สามปีห้าปี เกรงว่าคุณชายซุนจะไม่กล้ามาเหยียบที่จวนอ๋องของเราอีกแล้วล่ะ”
เมื่อคิดถึงตอนที่เขามาแล้วตะโกนเรียกว่า ‘ชิ่นจยา’ หวงฝู่อี้เซวียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “จะดีที่สุดหากไม่มาอีกเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าหัวเราะ เขาออกไปวันนี้ ไม่นานคงลือกันไปทั่วเมืองหลวง ดูเหมือนว่าคนที่คิดจะดองญาติกับจวนอ๋องฉีคงล้มเลิกความคิดเช่นนี้ไปกันหมด ไม่มีใครกล้ามาพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วล่ะ
และแน่นอน ยังไม่ถึงสองวันเรื่องนี้ก็ลือกันไปทั่วเมืองหลวง ทุกคนที่ได้ยิน เมื่อคิดถึงว่าจะโดนท่อนไม้นั้นฟาดลงที่ตัว ก็รู้สึกเจ็บไปตามๆ กันอย่างไม่ได้นัดหมาย ไม่มีใครกล้ามีความคิดเช่นนั้นอีกแล้ว หนึ่งในนั้นก็มีเหวินซื่อที่คอยเร่งเฝิงจิ้งเหวินด้วย แต่นางไม่สนใจ เวลานี้ได้แต่เช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตนด้วยความโล่งใจ ล้มเลิกความคิดที่มีทั้งหมดไป ทำเป็นล้อเล่นไป เรื่องจะสู่ขอสะใภ้เพื่อลูกชายนั้น จำเป็นต้องเอาชีวิตไปแลกด้วยงั้นหรือ ไม่ได้สิ ถ้าแน่จริง ให้ลูกชายข้าไปไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขาแน่นอน
ในที่สุดปีใหม่ก็มาถึง ไปเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหาย อวยพรปีใหม่ให้กับผู้มาเยือนต่างๆ หลังจากที่ยุ่งๆ อยู่ครึ่งเดือน จวนอ๋องถึงเวลาสงบลงเสียที เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถือโอกาสหายใจหายคอ แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “การที่ต้องนั่งคุยกับใครตลอดก็เหนื่อยไม่น้อยเลย เหนื่อยเสียยิ่งกว่าการลงมือฆ่าคนเสียอีก แปลกใจเหมือนกันว่าแต่ก่อนที่เสด็จแม่ป่วยนั้นรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะแล้วลูบหัวของนางเบาๆ “ถ้าหากว่าเจ้าเหนื่อย ปีหน้าก็ให้เสด็จแม่เป็นคนจัดการสิ พวกเราจะได้เอาลูกกลับไปที่บ้านของเจ้าไปฉลองปีใหม่กับตายายบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวตาเป็นประกาย แต่แล้วก็นิ่ง พูดว่า “เจ้าก็พูดง่ายสิ ตอนนี้โดนตำแหน่งบ้าๆ นี่ผูกมัดเอาไว้อยู่ จะทำตามใจชอบอย่างนั้นได้เยี่ยงไร”
หวงฝู่อี้เซวียนก็หลุดขำออกมาเบาๆ เพราะใครก็ต่างอิจฉานางอยากเป็นซื่อจื่อเฟย แต่สำหรับนางแล้วนี่ก็เป็นแค่ตำแหน่งบ้าๆ เท่านั้น
เดือนหนึ่งผ่านไป เข้าเดือนที่สอง ใกล้จะถึงวันเกิดของเด็กน้อยทั้งสองแล้ว
เมิ่งฉีกับภรรยาที่เพิ่งกลับมาจากบ้านเกิดฝากมาบอกเมิ่งเชี่ยนโยวว่า เมิ่งซื่อคิดถึงเด็กน้อยทั้งสองคนเป็นอย่างมาก พอถึงวันเกิดของเด็กทั้งสองคนนางก็จะมาด้วย
ชั่วพริบตาเดียวก็หนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้เจอเมิ่งซื่อกับครอบครัวเลย เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงพวกเขาเป็นอย่างมาก รอคอยการมาถึงของพวกเขาในทุกๆ วัน ในที่สุด วันอาทิตย์ก่อนหน้าจะถึงวันเกิดของเด็กน้อยทั้งสอง มีข่าวดีจากกัวเฟย “นายหญิงขอรับ ครอบครัวของท่านมาถึงแล้วขอรับ”
ตอนที่ 392 จบบริบูรณ์ (1)
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจจนลุกขึ้น สั่งให้คนไปบอกหวงฝู่อี้เซวียน ส่วนตนไปที่เรือนของพระชายาฉีเพื่อรายงานว่าจะพาลูกกลับไปที่หนานเฉิง
พระชายาฉีดีใจเป็นอย่างมาก ไม่สนใจว่าท่านอ๋องฉีจะไม่พอใจอย่างไร รีบเก็บข้าวของให้เด็กทั้งสองโดยทันที แล้วส่งพวกนางสามแม่ลูกออกจากเรือน หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาพอดี สี่คนพ่อแม่ลูกนั่งรถม้าไปที่หนานเฉิง
ด้วยความที่ท่านหญิงน้อยทั้งสองคนอยู่บนรถม้า โจวอันจึงไม่กล้าขับเร็วนัก กลัวว่าจะทำให้พวกนางตกใจ
เป็นเพราะว่านี่คือครั้งแรกที่นั่งรถม้าออกจากจวน เด็กน้อยทั้งสองคนจึงดีใจมากกว่าปกติ ปีนขึ้นที่หน้าต่างของรถม้าแล้วมองออกไปด้านนอกด้วยความประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนต่างช่วยกันจับคนละคน แล้วให้พวกนางกระโดดโลดเต้นร้องเรียกไปตามสิ่งที่ตนเองนั้นสนใจ
แล้วก็มาถึงหนานเฉิง
เมิ่งซื่อกับเมิ่งเอ้ออิ๋น รวมไปถึงเมิ่งเสียนกับภรรยามารอที่หน้าประตูตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นรถม้าของจวนอ๋องเคลื่อนเข้ามา เมิ่งซื่อก็รีบร้อนเข้าไปต้อนรับทันที รถม้ายังไม่ทันจอดดี ก็เปิดหน้าต่างรถม้าออก เห็นเด็กน้อยทั้งสองมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ ดวงตาก็เป็นประกาย ยื่นมือไปที่เด็กทั้งสองคน
“ท่านแม่!” เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเรียกขึ้นมาอย่างดีใจพร้อมๆ กัน
เมิ่งซื่อพยักหน้าเล็กน้อย แต่ดวงตาไม่ได้มองไปที่พวกเขาเลย แต่กลับมองไปที่เด็กน้อยทั้งสองคนอย่างไม่ละสายตา
“เมิ่งเอ๋อร์ เย่ว์เอ๋อร์ ท่านนี้คือยายของพวกเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดแนะนำให้กับเด็กน้อยทั้งสองคน
ดวงตาอันกลมโต มองไปที่เมิ่งซื่อด้วยความสงสัย
เมิ่งซื่อก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “มา มาให้ยายอุ้มหน่อย”
เด็กน้อยทั้งสองก็หันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้สายตาถามว่า “ได้หรือไม่”
“ไปเถอะ เรียกยายด้วยล่ะ!” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า
เด็กน้อยทั้งสองคนไม่มีความกลัวที่จะโผเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเมิ่งซื่อเลยแม้แต่น้อย แล้วร้องเรียก “ท่านยาย”
เมิ่งซื่ออุ้มเด็กทั้งสองคนเอาไว้ในอ้อมอกพร้อมๆ กัน แล้วพูดตอบรับไปด้วย
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ออกมาเล่นด้วย เมื่อได้เห็นเด็กน้อยทั้งสองคน ก็ไม่อาจละสายตาได้ แล้วพูดกับเมิ่งซื่อว่า “เด็กโตแล้ว เจ้าอุ้มคนเดียวไม่ไหวหรอก มา ให้ข้าช่วยอุ้มอีกคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเรียกออกมาพร้อมๆ กันว่า “ท่านพ่อ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็พยักหน้าตอบรับเล็กน้อย “ปู่ย่าตายายของเจ้ามาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว พวกเจ้าเข้าไปทักทายหน่อยสิ ลูกก็ทิ้งไว้ให้ข้ากับแม่ของเจ้าดูเถิด”
เจอหน้ากัน คำแรกก็บอกว่าเดี๋ยวดูลูกให้เอง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลุดขำออกมา แล้วสั่งให้เด็กทั้งสองคนเรียก “ท่านตา”
เด็กทั้งสองพูดได้แต่คำง่ายๆ เท่านั้น ให้พูดยากกว่านั้นก็จะพูดได้ไม่ค่อยชัดนัก แต่เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ฟังออก เลยดีใจยิ่งนัก อุ้มเด็กน้อยที่อยู่ที่แขนซ้ายของเมิ่งซื่อมาชูสูงขึ้น เด็กน้อยก็ดีใจจนหัวเราะออกมาเสียงดัง
เด็กอีกคนหนึ่งก็อิจฉา เลยยื่นมือทั้งสองข้างของตนออกมาด้วย ปากก็พูดพึมพำเหมือนกำลังขอร้องอยู่ว่า “อุ้ม” “อุ้ม” … …
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ยื่นเด็กคนหนึ่งส่งให้กับเมิ่งซื่อ แล้วอุ้มเด็กอีกคนหนึ่งขึ้นมาชูขึ้นสูงเช่นเดียวกัน
เด็กน้อยก็หัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน
เมิ่งเสียนและภรรยาก็เข้ามาด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้า แล้วเรียกชื่อทีละคน
เมิ่งเส้าและเมิ่งเซิ่งรวมไปถึงเมิ่งเย่ว์อีกทั้งเมิ่งหงก็ล้อมเข้ามา มองไปที่เด็กน้อยทั้งสองคนด้วยความตื่นตาตื่นใจ แล้วก็ค่อยๆ ผลัดกันเข้าไปดูน้องสาว
แค่ลูกๆ ก็วุ่นวายมากพอแล้ว เมิ่งเสียนและภรรยาจึงไม่เข้าไปเพิ่มความวุ่นวายอีก ซุนเชี่ยนก็ยิ้มแล้วพูดทักทายหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เข้าไปก่อนเถิด ครอบครัวมากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ไปทักทายหน่อยสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้าไปเรือน เข้าไปที่ห้องของเมิ่งจงจวี่กับภรรยาและห้องของเมิ่งซื่อ แล้วกล่าวทักทายทุกคน
ไม่ได้เจอกันหนึ่งปี ทุกคนต่างดีใจเป็นอย่างมาก ต่างก็บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ท่าทางมีสง่าราศี หลังจากนั้นก็ถามเรื่องลูก
เมิ่งซื่อและเมิ่งเอ้ออิ๋นอุ้มเด็กทั้งสองคนตามเข้ามา เห็นเด็กทั้งสองคนเหมือนกันไม่มีผิด ก็แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ทุกคนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กัน
เด็กน้อยทั้งสองเห็นคนมากมาย ดีใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครจะเอาไปอุ้ม ก็ไม่ร้องไห้เลยสักนิด
เมิ่งเส้าเริ่มคนแรก และคนที่เหลือก็กรูกันเข้ามา อยากเห็นหน้าน้องสาว เมิ่งซื่อเห็นว่าวุ่นวายกันไปใหญ่แล้ว เลยเรียกเมิ่งเอ้ออิ๋นให้มาช่วยอุ้มเด็กออกไปข้างนอก
ภายในห้องก็พูดคุยถามไถ่สัพเพเหระ
อยู่ได้สองวัน เด็กน้อยทั้งสองกับเมิ่งเส้าและเด็กๆ ก็เล่นกันสนุกสนาน พระชายาฉีทนคิดถึงเด็กน้อยไม่ไหว เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของพวกนางแล้ว การกลับจวนมาเตรียมการเลยกลายเป็นข้ออ้างส่งคนมาเร่งให้ทั้งสองคนรีบเอาเด็กกลับจวน แต่เด็กน้อยทั้งสองไม่ยอมกลับ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลยสัญญากับพวกนางว่าอีกสองวันพวกพี่ๆ จะไปที่จวนอ๋องเล่นกับพวกนางอีก พวกนางจึงพองแก้มแสดงอาการโกรธงอนเล็กน้อยแล้วกลับจวนอ๋องไปกับเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน
ท่านอ๋องฉีกับพระชายายืนรออยู่ที่หน้าประตูจวน เห็นว่าพวกเขากลับมาแล้ว ก็เลยออกไปรับ
เด็กน้อยทั้งสองคนเปิดม่านรถม้าออก แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “ท่านปู่ ท่านย่า” แล้วก็พุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของทั้งสองคน อารมณ์ไม่ดีเมื่อสักครู่นี้ก็ได้หายไปแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า เด็กสองคนนี้ เจ้าอารมณ์แต่เด็กเลยนะ ไม่รู้ว่าโตมาแล้วจะเป็นเช่นไร
งานวันเกิดของท่านหญิงน้อยสองคนนี้เป็นเรื่องใหญ่นัก คนในจวน นอกจากเด็กน้อยสองคนและท่านอ๋องฉีกับพระชายาแล้ว นอกนั้นต่างก็ยุ่งกันพัลวัน ขนาดหวงฝู่อวี้ยังต้องเข้ามาช่วยดูหน้าดูหลัง และแน่นอนโอกาสดีเช่นนี้ เขาต้องไม่พลาดแน่ เอ้างว่ามีเรื่องให้ต้องช่วยทำมากมายจึงไปรับตัวเจียงจิ่นมาช่วย
เจียงจิ่นก็ไม่ได้ถืออะไร เปรียบตนเป็นเหมือนคนของจวนอ๋องไปเสียแล้ว อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย อะไรที่ลงมือทำได้ก็ลงมือทำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น ดีใจเป็นอย่างมาก เลยแอบยกนิ้วให้กับหวงฝู่อวี้
หวงฝู่อวี้ก็ได้ใจนัก ยกหางเสียจนแทบจะเก็บไว้ไม่อยู่
และแน่นอนคืนนี้ เจียงจิ่นก็ไม่ได้กลับจวนเจียง โดนหวงฝู่อวี้ลากไปที่เรือนของตนอย่างไม่อาย ส่วนจะทำอะไรนั้น พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวเพียงมองตากันก็รู้ใจ แต่ก็ปล่อยผ่านไป เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว พวกเขาอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ
แต่ว่า พวกเขาดีใจเปล่าเสียแล้ว เพราะวันที่สองพวกเขาพบว่าบนใบหน้าของหวงฝู่อวี้ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เดินขทกระเผลกไปมา มองไปที่เจียงจิ่น นางไม่ได้เป็นอะไร ทำหน้าที่ของตนปกติ
พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน อีกนิดเดียวก็แทบระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะคิดดีไม่ได้เลย
จนมาถึงวันงานเลี้ยงวันเกิด ไม่เพียงแต่จะมีขุนนางน้อยใหญ่ในเมืองหลวงมาร่วมงาน แม้กระทั่งไทเฮา รวมไปถึงฮ่องเต้และฮองเฮาก็ให้เกียรติมาร่วมงานด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าหวงฝู่ซวิ่นไม่พลาดแน่ แต่ว่าครั้งนี้ เขาไม่กล้าเข้าใกล้หนูน้อยทั้งสองในระยะไม่เกินหนึ่งจั้ง เพราะเกรงว่าตนจะไม่ระวัง แล้วชนเข้ากับหนูน้อยทั้งสอง มีผู้คนมากันตั้งมากมาย ถ้าหากว่าโดนท่านอ๋องฉีไล่ตีล่ะก็ แค่คิดก็เย็นวาบไปทั่วสันหลังแล้ว
เหวินซื่อและภรรยา ฉู่เหวินเจี๋ยและภรรยา เปาอีฝานและภรรยา ก็มากันหมด และแน่นอนต่างก็พาลูกๆ มาด้วย
เรือนของพระชายาฉีก็กลายเป็นสวรรค์ของเด็กน้อยทั้งหลาย
หนูน้อยทั้งสองสนุกเป็นอย่างมาก เวลาเดินก็เดินคล่องกว่าปกติ ไม่เดินโยกไปเยกมาแล้ว ปากก็หวาน เรียกพี่ๆ ตลอดเวลา
มีน้องสาวฝาดแฝดผู้น่ารักเพิ่มเข้ามา เด็กผู้ชายทั้งหลายก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ต่างเข้ามารุมล้อมหนูน้อยทั้งสองไปมา มีก็แต่หนูน้อยคนหนึ่งที่ไม่ค่อยพอใจนัก นั่นก็คือฉู่เหยา ลูกชายของฉู่เหวินเจี๋ยกับเฝิงจิ้งเหวินนั่นเอง เพราะศักดิ์ของเขาสูงกว่าหนูน้อยทั้งสอง หนูน้อยทั้งสองไม่สามารถเรียกเขาว่าพี่ได้ แต่ทั้งสองยังไม่สามารถพูดคำอื่นได้ ดังนั้น เขารู้สึกว่าตนเองโดนเมิน ได้แต่เบะปากครั้งแล้วครั้งเล่า อยากจะร้องไห้ออกมา
อย่างไรเสียก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของตนเอง พระชายาฉีก็สงสาร จึงอุ้มเขาขึ้นมาด้วยตนเอง ปลอบใจอยู่พักใหญ่ ฉู่เหยาถึงได้หยุดร้อง แล้ววิ่งกลับเข้าไปในกลุ่มคนอีกครั้งหนึ่ง วิ่งไปวิ่งมาอยู่รอบๆ หนูน้อยทั้งสอง
พระชายาฉียิ้มมองไปที่เด็กๆ ในเรือน รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก พลันนึกถึงตอนนั้นที่ตนเองเป็นเพียงผู้ป่วยอยู่แต่บนเตียง ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อใด ตอนนั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่เกิด นางไม่เคยคิดเลยว่านางจะมีวันนี้ได้
ไทเฮากับฮ่องเต้ก็เสด็จมาด้วย ท่านอ๋องฉีจึงไปปรนนิบัติ เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขานั้นไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ฮ่องเต้มองออก จึงพิโรธนัก ท่านอ๋องฉีรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของเขา ก็ลุกขึ้น แล้วพูดกับไทเฮาว่า “เสด็จแม่ ลูกจะไปอุ้มเด็กน้อยมาให้ท่านดูเสียหน่อย”
เด็กน้อยอายุครบหนึ่งปีแล้ว แต่ไทเฮาไม่เคยได้เจอเลย จึงพยักหน้าตอบรับ
ท่านอ๋องฉีรีบเดินออกไป ไม่นาน ก็อุ้มเด็กน้อยทั้งสองเข้ามากับพระชายาฉี ทำความเคารพไทเฮาแล้วก็สอนพวกนางให้เรียกเสด็จทวด
เด็กน้อยทั้งสองก็ไม่ได้เคอะเขิน หัวเราะแล้วพูดออกมาอย่างไม่ชัดเจน
แม้ว่าจะได้ยินไม่ชัดว่าพูดว่าอะไร แต่ไทเฮานั้นดีพระทัยเป็นอย่างมาก ยื่นมือออกไปอุ้ม เล่นหยอกล้อกับเด็กน้อยพูดว่า “จวนของพวกเจ้ามีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย ไว้วันหลังก็ส่งเด็กไปในวังเสียสิ ข้าแก่แล้ว ให้พวกนางอยู่เป็นเพื่อนข้า”
นี่ถึงขั้นจะเอาเข้าวังไปเลี้ยงแล้วหรือ พระชายาฉียังไม่ได้พูดอะไร ท่านอ๋องฉีก็ไม่ยอม แล้วพูดปฏิเสธทันควัน “เสด็จแม่ หลายปีมานี้ลูกก็เหนื่อยมามาก อยากจะเลี้ยงลูกดูหลานมานานแล้ว ถ้าหากว่าท่านอยากได้คนอยู่เป็นเพื่อน ก็ให้เสด็จพี่หาวิธีเถิด ส่วนหลานสาวทั้งสองของลูกนั้นมิอาจตัดใจส่งเข้าวังได้จริงๆ”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็รู้ถึงความหมายในสิ่งที่เขาพูดทันที ก็ด่าออกมาว่า “เจ้านี่ พูดอย่างนี้ได้เยี่ยงไร”
“ข้าไม่ได้ให้เสด็จพี่มีลูกเพิ่มอีกคนเสียหน่อย ท่านมีลูกชายมิใช่หรือ ให้เขาหาวิธีเอาไม่ได้หรือไง” ท่านอ๋องฉีก็พูดไปอย่างไม่เกรงใจ
ฮ่องเต้สะอึกไป แล้วก็ก่นด่าหวงฝู่ซวิ่นเจ้าลูกไม่ได้เรื่องในใจ ปีที่แล้วไม่ได้ให้เขาออกจากตงกงก็เป็นเดือน แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ไท่จื่อเฟยกับชายารองอีกสองคนนั้นของเขาตั้งครรภ์ได้เลย หากว่าเขาไม่ได้มีลูกก่อนคนหนึ่งล่ะก็ ฮ่องเต้คงสงสัยว่าเขาเป็นหมันหรือไม่ คิดได้เช่นนั้นจึงขมวดพระขนง หรือว่าหวงฝู่ซวิ่นจะเป็นหมันจริงๆ กลับไปต้องให้หมอหลวงตรวจเสียหน่อยแล้ว
ตอนที่ 393 จบบริบูรณ์ (2)
หวงฝู่ซวิ่นผู้น่าสงสาร คิดว่าตนเองนั้นอยู่ห่างๆ หนูน้อยทั้งสองคนก็รอดแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะหนีไม่พ้น หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดจบลง กลับมาถึงตงกงได้ไม่ทันไร ก็โดนหมอหลวงที่ฮ่องเต้ส่งมา จับตรวจทั้งภายในภายนอกอย่างละเอียด เมื่อเขารู้ว่าเพราะอะไรนั้น ก็ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดเรื่องหนักหนาสาหัสเพียงใด เขาจะไม่เข้าไปเหยียบจวนอ๋องฉีอีกเป็นอันขาด
ไทเฮาได้ยินคำปฏิเสธที่ไร้เยื่อใยของอ๋องฉี ก็รู้ทันทีว่าความคิดที่ตนจะเอาหนูน้อยสองคนนี้เข้าวังนั้นอย่าหวังอีกเลย จึงยอมอ่อนข้อให้ แล้วออกคำสั่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อจากนี้ทุกๆ สิบวันพวกเจ้าต้องพาเด็กมาหาข้าที่ตำหนัก แบบนี้คงได้กระมัง”
แบบนี้ค่อยรับได้หน่อย ท่านอ๋องฉีพยักหน้าตอบรับ
และช่วงที่น่าสนใจที่สุดของงานเลี้ยงวันเกิดก็คือการเสี่ยงทาย ว่ากันว่าถ้าวันนี้พวกนางจับได้อะไร ภายหลังเด็กน้อยจะประสบความสำเร็จในด้านนั้น
จวนอ๋องได้สั่งให้คนไปเตรียมของเอาไว้มากมาย ทั้งของล้ำค่า อุปกรณ์เครื่องเขียน ยาชนิดต่างๆ จอบขวานเสียมพลั่ว(ที่เป็นของเล่น) อุปกรณ์ถักทอ ขนาดไทเฮากับฮ่องเต้ยังเตรียมของเล่นที่เด็กๆ ชอบจากในวังมาวางไว้ด้วยกัน ดูสิว่าหนูน้อยทั้งสองจะเลือกหยิบอะไร
เอาตัวหนูน้อยทั้งสองไปวางไว้ที่บริเวณของเหล่านั้น ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันมองไปที่พวกนาง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ผู้เป็นน้องก็เริ่มขยับ แล้วปีนไปที่จอบขวานเสียมพลั่วอย่างตั้งใจ แล้วก็หยิบสิ่งเหล่านั้นมากอดไว้ที่อกของตนเอง ยิ้มให้กับทุกคน
ทุกคนก็พร้อมใจกันบอกว่าดี
ส่วนคนพี่หวงฝู่สือเมิ่งก็ขยับ แล้วเดินโซเซไปที่ตรงหน้ายาชนิดต่างๆ แล้วหยิบเอามาไว้ที่ตรงหน้า หลังจากนั้นก็หยิบพวกเงินทองของล้ำค่ามาวางไว้ที่ตรงหน้าอีก แล้วเงยหน้าขึ้น หัวเราะให้กับทุกคน
ท่านอ๋องฉีก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
ทุกคนต่างร่วมแสดงความยินดี
พิธีเสี่ยงทายจบลง หลังจากทุกคนกินอาหารเสร็จ ก็แยกย้ายกันกลับไป
เด็กน้อยทั้งสองเล่นกันสนุกสนานเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เมิ่งเส้ากับพวกไปไหนทั้งนั้น
ทั้งหมดเคยอยู่ที่จวนอ๋องมาก่อน จึงไม่ได้เกร็งอะไร พระชายาฉีจึงเกลี้ยกล่อมเมิ่งซื่อให้อนุญาตเด็กเหล่านี้อยู่ที่นี่ต่อ
เมิ่งซื่อก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็มีความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมาในหัว
วันที่สอง พอกลับไปหนานเฉิง จึงไปปรึกษากับเมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งเอ้อิ๋นและเมิ่งซื่อว่า “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งจะบอกพวกท่านเจ้าค่ะ”
“พูดมาสิ” เมิ่งจงจวี่ลูบเคราสีขาวของตนแล้วพูด
“ตอนนี้พี่เมิ่งเหริน พี่เมิ่งอี้ แล้วก็พี่รองต่างก็อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ใยพวกท่านกับพี่ใหญ่ไม่ย้ายมาอยู่ด้วยกันเล่า เช่นนี้ ครอบครัวของพวกเราก็จะได้อยู่ด้วยได้บ่อยขึ้นแล้ว”
เมิ่งจงจวี่ส่ายหน้าคัดค้าน เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่เห็นด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านปู่ ให้พวกท่านมาอยู่ที่เมืองหลวงไม่ได้เพียงเพราะอยากให้พวกเราครอบครัวได้อยู่ด้วยกันเท่านั้น แต่เป็นเพราะอยากให้ลูกหลานของพวกเรานั้นได้ดิบได้ดี ตระกูลเมิ่งของพวกเรา นอกจากพี่เมิ่งเหรินที่ประสบความสำเร็จ ถ้านับไปอีก หลายปีที่ผ่านมาก็มีแค่ท่านคนเดียวที่ได้เป็นบัณฑิต ไม่ได้หมายความว่าคนที่เหลือจะไม่ฉลาด แต่เป็นเพราะทรัพยากรทางบ้านนอกนั้นไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอาจารย์ ไม่เคยมีผู้มีความรู้คนไหนกลับไปสอนที่บ้านเกิดเลยสักคน แต่ในเมืองหลวงไม่เหมือนกัน เส้าเอ๋อร์ และยังลูกหลานที่กำลังจะมีในภายภาคหน้า จะได้มีการศึกษาที่ดี แล้วจะประสบความสำเร็จอีกด้วย จะได้นำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลเมิ่งของพวกเราเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ กระแทกเข้าไปในใจของเมิ่งจงจวี่ มาอยู่เมืองหลวงเพื่อความสุขสบายอะไร เขาล้วนไม่สน เขาขอแค่ลูกหลานตระกูลเมิ่งนั้นได้ดิบได้ดี เมื่อเขาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้
เห็นท่าทางกังวลของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดเสริมอีกว่า “ข้ารู้ว่าท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านคุ้นชินกับการอยู่บ้านนอก ไม่เคยชินกับการอยู่ในเมืองหลวง แต่พอดีที่พวกเรามีจวนอยู่นอกเมือง ที่พวกท่านเคยไปดู จวนนั้นใหญ่โต ให้พวกเราทั้งครอบครัวมาอยู่ก็ไม่มีปัญหา ถัดจากจวนมาก็เป็นพืชสวนไร่นา ไม่ต่างจากบ้านนอกของพวกเราเลย พวกท่านยังสามารถเชิญชวนญาติสนิทมิตรสหาย แล้วก็คนในหมู่บ้านมาพำนักอยู่ในจวนของเราก็ยังได้ หรือว่าถ้าท่านคิดถึงบ้านมาก ก็ยังสามารถกลับบ้านนอกไปอยู่ได้เป็นครั้งคราวด้วย”
เมิ่งซื่อกับเมิ่งเอ้ออิ๋นไม่ได้ติดอะไร อย่างไรเสียเมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีและภรรยา อีกทั้งเมิ่งเจี๋ยก็อยู่ที่เมืองหลวง
เมิ่งต้าจินและภรรยานั้นคิดหนัก เพราะว่าตอนนี้เมิ่งต้าจินรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ถ้าหากว่าเขาไปแล้ว ชาวบ้านจะทำเยี่ยงไร
ทุกคนก็นิ่ง ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้เดี๋ยวนี้ตอนนี้ ก็เลยไม่ได้พูดอะไรมาก ให้พวกเขาไตร่ตรองเอาเอง
คิดอยู่หลายวัน เมิ่งจงจวี่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ อีกนิดที่บ้านนอกก็จะเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูกแล้ว เมิ่งต้าจินบอกว่าจะขอกลับบ้านก่อน แล้วค่อยคิดดูอีกที ถ้าหากว่าตัดสินใจได้แล้ว จะส่งจดหมายมาบอกเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวทำได้แค่พยักหน้าตอบรับ แต่ขอให้เมิ่งเส้าอยู่ที่เมืองหลวง รับปากว่าจะหาอาจารย์ดีๆ มาสอนเขา
แม้ว่าเมิ่งเสียนกับภรรยาจะตัดใจไม่ลง แต่ก็คงต้องยอมเพื่ออนาคตที่ดีของเมิ่งเส้า หลังจากกำชับเมิ่งเส้าอยู่ยกใหญ่ ก็กลับบ้านนอกไปพร้อมกับครอบครัว
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้หวงฝู่อี้เซวียนไปหาตี้ซือ ให้เขามาสอนเมิ่งเส้าด้วย
ตี้ซือก็ตอบรับ สอนเขากับหงเอ๋อร์สองคน ในทุกวันกัวเฟยจะต้องควบรถม้าไปส่งเมิ่งเส้า ตอนเย็นก็จะไปรับไปส่งตรงเวลา บางทีก็ไปจวนอ๋อง บางทีก็ไปหนานเฉิง
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ก็มาถึงวันแต่งงานของหวงฝู่อวี้และเจียงจิ่น
จวนอ๋องฉีก็คึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าหวงฝู่อี้เซวียนดูแลหวงฝู่อวี้เหมือนกับน้องแท้ๆ ที่คลานตามกันมา ไม่สิ ยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ เสียอีก ดังนั้น คนที่รู้งานทั้งหลายต่างก็เข้ามาฉวยโอกาสตรงนี้เพื่อมาประจบประแจงเป็นธรรมดา
เจียงจิ่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง หลังจากแต่งงานแล้ว ไม่เพียงแต่ช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวจัดการเรื่องในจวนเท่านั้น บางทีก็ไปช่วยหวงฝู่อวี้ทำการค้าด้วย ส่วนหมอหลวงเจียง ก็ไม่ได้กลับไปรับราชการที่สำนักหมอหลวง แต่ไปแปะป้ายชื่อตนไว้ที่ร้านยาเต๋อเหริน แล้วตรวจโรคที่ร้านยาเต๋อเหรินอยู่บ่อยๆ ส่วนเวลาที่เหลือก็ชอบไปที่จวนอ๋องหารือเรื่องวิชาแพทย์ต่างๆ กับเมิ่งเชี่ยนโยว ทุกวันมีความสุขเป็นอย่างมาก
ผ่านไปอีกสามเดือน เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ให้คนมาส่งจดหมาย บอกว่าเมิ่งจงจวี่ตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่เมืองหลวงแล้ว เมิ่งต้าจินก็ได้ออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านตามมาด้วย ส่วนโรงงานและที่นาของที่บ้านนั้นก็มอบหมายให้หัวหน้าตระกูลเมิ่งเป็นคนจัดการ ในทุกปีคนของตระกูลเมิ่งขอกำไรแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น อีกสามส่วนก็เหลือไว้ให้กับลูกหลานตระกูลเมิ่งครอบครัวอื่น
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเป็นอย่างมาก ส่งคนไปที่จวนนอกเมือง ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อย รอวันที่ทั้งครอบครัวมากันพร้อมหน้า
ผ่านไปครึ่งเดือน ตระกูลเมิ่งก็มาถึงเมืองหลวง หลังจากที่รถม้าเข้าเขตเมืองหลวงแล้วนั้น รถม้าของเมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งต้าจินกับภรรยา และเมิ่งซานถงก็มุ่งหน้าไปที่จวนนอกเมืองนั้นทันที ส่วนเมิ่งเอ้ออิ๋นกับภรรยา เมิ่งเสียนกับภรรยายังอยู่ที่หนานเฉิง
หนึ่งปีผ่านไป เจียงจิ่นก็มีลูกชายหนึ่งคน ตั้งชื่อว่าหวงฝู่เฮ่า นี่เป็นหลานชายคนแรกของจวนอ๋อง คนในจวนต่างก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ดูแลดีเท่ากับหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ ท่านอ๋องฉีคาดหวังกับเขาค่อนข้างสูง ถึงขั้นบอกไว้ว่าจะไม่เลี้ยงเขาให้กลายเป็นหวงฝู่อวี้คนที่สองเด็ดขาด
หวงฝู่อวี้ฟังแล้วก็รู้สึกระคาย เหมือนข้าแล้วเยี่ยงไร ตอนนี้กิจการของจวนข้าก็จัดการได้ดีมิใช่หรือ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา เพราะดูเหมือนว่าท่านอ๋องฉีจะเสพติดการตีคน ไม่พอใจเมื่อไร ก็จะหยิบท่อนไม้นั้นไล่ตีไปทั่วจวน
จวนอ๋องฉีนั้นดีและเงียบสงบ ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี นี่เป็นสิ่งที่ขุนนางชั้นสูงต่างก็อิจฉา แต่ว่า สี่ปีผ่านไป ความเงียบสงบนั้นก็ได้หายไปด้วย เพราะขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังอยู่ภายใต้ความกดดันนั้น จึงได้เพิ่มยาหายากลงไปในใบสั่งยาเพื่อปลุกเร้ากำหนัด ส่วนเหวินซื่อก็กลายเป็นคนที่ช่วยนางสลับยาคุมที่หวงฝู่อี้เซวียนกิน สุดท้ายจึงทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์ หวงฝู่อี้เซวียนโกรธมากเสียจนแทบจะพังร้านยาเต๋อเหรินกันเลยทีเดียว
ท่ามกลางความเป็นความตายของเหวินซื่อนั้น ก็ได้แต่ภาวนาว่าครั้งนี้ขอให้เมิ่งเชี่ยนโยวมีลูกชายเสียทีเถิด อย่าให้เขาได้เดือดร้อนไปด้วยเลย เขารับไม่ไหวแน่กับความเดือดร้อนนั้น ยังดีที่สวรรค์เมตตาตอบรับคำขอของเขา หลังจากนั้นเก้าเดือน เมิ่งเชี่ยนโยวก็คลอดเด็กผู้ชายที่อ้วนท้วมสมบูรณ์ออกมา ตั้งชื่อให้ว่าหวงฝู่รุ่ย หลังจากที่เหวินซื่อได้ข่าว ก็ดีใจกระโดดโลดเต้น ถ้าหากว่าคนที่ไม่รู้ คงนึกว่าภรรยาของเขาคลอดลูกเสียอีก
ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังคลอดลูกอยู่นั้น จู่ๆ หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจจนเป็นลมล้มไปอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้ดีหน่อย อยู่จนถึงตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวคลอดเสร็จ แต่พอได้ยินว่าเป็นเด็กผู้ชาย ถึงได้โล่งใจหลับตาหงายหลังลงกองกับพื้น
ตัวซื่อจื่อเฟยคลอดลูกเองไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ซื่อจื่อเองกลับเป็นลมล้มไป เลยเกิดหัวข้อถกเถียงกันขึ้นมาในเมืองหลวง บ้างก็อิจฉา บ้างก็ริษยา บ้างก็เอาเป็นแบบอย่าง บ้างก็เอาเป็นเรื่องตลก ต่างก็พูดกันไป
แต่หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น วางงานราชการทุกอย่างลงเหมือนกับครั้งแรก คอยดูแลประคบประหงมจนครบเดือน ไม่ได้ลงโทษเมิ่งเชี่ยนโยว แต่กลับพูดกับนางด้วยท่าทีดุดัน จริงจัง ตั้งใจ มองตาไม่กะพริบ ใช้ตนเองเป็นเดิมพัน พูดออกมาว่า “ถ้าหากว่าเจ้ายังกล้าปิดบังข้าอีก ใช้วิธีเช่นนี้เพื่อมีลูก ข้าจะออกจากบ้าน แล้วไม่กลับมาอีกตลอดชีวิต”
การมีลูกเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ตอนนี้มีทั้งลูกสาวลูกชายครบแล้ว นางไม่ยอมมีอีกแน่ หลังจากคืนนั้นก็ใช้วิธียั่วยวนหวงฝู่อี้เซวียนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน กระซิบข้างหูสัญญากับเขาว่าต่อไปนี้ไม่ว่าเรื่องใดก็จะไม่ปิดบังเขาอีก
หลานสาว หลานชายมีพร้อม ท่านอ๋องฉีพอใจแล้ว นับแต่นี้ต่อไป ก็คอยอยู่จวนดูแลลูกหลาน ไม่ได้สนใจเรื่องในราชสำนักอีก
สิบปีผ่านไป ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์ หวงฝู่ซวิ่นขึ้นครองแทน มีหวงฝู่อี้เซวียนคอยช่วยเหลือ จึงนำสันติภาพและความสุขสวัสดิ์เจริญรุ่งเรืองมาสู่ปวงชนรัฐอู่ได้อย่างแท้จริง
(จบบริบูรณ์)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น