ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 39-42
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 39 ประชันปัญญา
ภายในร้านยามีห้องพักผู้ป่วย ซึ่งเป็นห้องที่เตรียมไว้สำหรับคนป่วยฉุกเฉินและคนป่วยหนักบางคนโดยเฉพาะ เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน เถ้าแก่ก็ไม่อาจปฏิเสธ กวาดสายตามองทุกคน และพูด “ห้องคนป่วยมีอยู่ขอรับ แต่ว่าคนของพวกท่านมีมากเกินไป เกรงว่าจะรับ…”
คำพูดของเขายังทันไม่จบ ก็ถูกเสียงของหลินหันเยียนแทรกขึ้นอย่างเร่งรีบ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ให้พ่อข้าได้พักอย่างดี พวกเราและคนอื่นๆ ก็ไปพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมใกล้ๆ นี้ได้เจ้าค่ะ”
พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไล่ออกไปข้างนอก ก็จะเป็นที่สังเกตของคน เถ้าแก่จึงพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะจัดให้คนพวกท่านไปที่หลังเรือนก่อน รอให้ท่านหมอออกใบสั่งยา และต้มยาเสร็จแล้ว ก็จะยกไปให้พวกท่านขอรับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนดีใจจนเกือบสะอื้น และพูดขอบคุณอย่างไม่ขาดสาย
หลังจากเรียกลูกน้องมา และสั่งให้เขาพาแต่ละคนไปที่หลังเรือน เถ้าแก่ก็ส่งสายตาให้หมอ แล้วหันกายกลับไปที่หลังเรือน
หมอลุกขึ้นยืน ตามออกไป
มาถึงหลังเรือนแล้ว เถ้าแก่ก็หยุดฝีเท้า หันหน้ามาซักถามหมอเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้น”
หมอยังคงขมวดคิ้วอย่างสงสัยไม่คลาย “ชีพจรของชายชราท่านนั้นแปลกอย่างมากขอรับ ถ้าหากเขาไม่ไอ ชีพจรก็ไม่มีปัญหา เป็นเหมือนคนปกติ แต่พอเขาไอทันใด ชีพจรนั้นแทบจะไม่มีแล้วขอรับ ข้าตรวจดูอาการป่วยมาหลายปีขนาดนี้ ก็ยังไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน จัดการยากมากขอรับ”
ฟังคำพูดเขาจบแล้ว ในใจของเถ้าแก่ก็หนักอึ้ง แล้วขมวดคิ้วถาม “แม้แต่เจ้าก็ตรวจดูอาการไม่ออกหรือ”
หมอส่ายหน้าและถอนหายใจ
ในใจของเถ้าแก่หนักอึ้งไปถึงก้นบึ้ง แล้วกระทืบปลายเท้าเบาๆ นึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองไม่น่าถูกคำพูดของหญิงคนนั้นพูดจนสับสนเมื่อครู่เลย ถ้าหากว่ารักษาอาการป่วยของชราคนนี้ไม่ดี ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของร้านยาตัวเองหรือ
กัดฟัน และพูดสั่ง “ให้ยาบำรุงแก่เขามากหน่อยไปก่อน รอให้พวกเขาจ่ายค่ารักษาไม่ไหวแล้ว ก็ย่อมจะจากไปเอง ถึงเวลานั้น แม้ป่าวประกาศออกไป ก็จะไม่เสื่อมเสียชื่อเสียงร้านของพวกเรา”
สถานการณ์ตรงหน้าทำได้เพียงเท่านี้ แม้ว่าให้ยาบำรุงมากจะไม่สามารถรักษาอาการป่วยของชายชราให้หายได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้อาการหนักไปมากกว่านี้ หมอจึงรับคำ หันกลับไปที่โถงด้านหน้า แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยา พร้อมส่งให้กับลูกน้อง “รีบไปต้มเสีย แล้วไปส่งให้แก่คนป่วยเมื่อครู่”
ลูกน้องรับคำอย่างขะมักเขม้น คว้ายาอย่างคล่องแคล่ว ไปต้มที่หลังเรือน
หวงฝู่อี้เซวียนถูกจัดให้พักอยู่ในห้องพักผู้ป่วยแล้ว ลูกน้องก็ถอยออกไป
คิดถึงสีหน้าอันซีดเผือดของหมอคนนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกตาโตที่งดงาม รุดมาตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วกล่าวถามอย่างใคร่รู้ “ท่านพ่อ ท่านหลอกหมออย่างไรหรือเจ้าคะ”
หวงฝู่เฮ่าก็มองมาอย่างใคร่รู้
แม้ว่าหลินหันเยียนจะไม่แสดงความใคร่รู้ออกมาขนาดเช่นพวกเด็กๆ แต่ก็ทำหูตั้ง เงี้ยหูฟัง
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะพูดตอบเบาๆ “อันนี้ต้องถามแม่ของพวกเจ้าแล้วล่ะ ความคิดดีๆ เช่นนี้ล้วนเป็นความคิดของนาง”
ทุกคนมองไปทางนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มไม่พูด
ทุกคนก็เผยสีหน้าที่ผิดหวัง
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยกเท้าขึ้น อยากจะไปเดินไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว เพื่อร้องขอให้นางบอก ภายในเรือน ก็มีเสียงของลูกน้องดังขึ้น
ทุกคนจึงรีบสำรวมสีหน้า แล้วไม่พูดคุยกันอีก
ลูกน้องมาถึงหน้าห้องพักผู้ป่วย แล้วเคาะประตู
หลินหันเยียนเปิดประตูถาม “มีเรื่องอะไรหรือ”
“ออกใบสั่งยาเสร็จแล้ว เถ้าแก่ให้ท่านไปชำระเงินค่ายาตอนนี้ก่อนขอรับ”
“รู้แล้ว ข้าจะเดี๋ยวนี้”
เสียงฝีเท้าของลูกน้องไกลออกไป
หลินหันเยียนก็เดินตามออกไป แล้วมายังหน้าโถงใหญ่เพื่อคิดเงินค่ายา
เถ้าแก่เห็นนางจ่ายเงินโดยที่ดวงตาไม่กะพริบทันที ในใจก็ร้องโอดครวญเบาๆ ว่าลำบากเสียแล้ว และครุ่นคิด อย่าบอกนะว่าเจอบ้านเศรษฐีเข้าให้แล้ว อย่างนี้ก็จัดการลำบากแล้วจริงๆ น่ะสิ
ลูกน้องเอายาที่ต้มเสร็จแล้ว ส่งเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนก็ค่อยๆ ยกขึ้นดื่มจนหมด
ลูกน้องยกชามเปล่าออกไป หวงฝู่อี้เซวียนก็ไอสองครั้งตามไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตา ยิ้มถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นยาบำรุงทั้งนั้นแหละ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดาออกว่าเป็นเช่นนี้ ก็ยิ้มส่ายหน้า “นี่พวกเขาอยากจะใช้ค่ายามากดดันให้พวกเราออกไปสินะ”
หลินหันเยียนพูดต่อ “ใช่สิ ราคายาพวกนี้แพงจนน่าตกใจเลยเจ้าค่ะ”
“พวกเขาอยากได้เท่าไรก็ให้ไปเท่านั้น เทียบกับโรงเตี๊ยมแล้ว อยู่ในร้านยาปลอดภัยกว่ามาก เพียงแค่สามารถซ่อนตัวได้สองสามวัน ประตูเมืองเปิดเมื่อใด พวกเราก็จะหาทางปะปนออกจากเมืองโดยทันที”
อีกด้านหนึ่ง องค์ชายใหญ่ก็ได้สั่งให้พวกทหารตรวจสอบทุกบ้านทุกเรือน แม้ว่าจะเป็นมุมเล็กซอกหลืบก็ไม่ปล่อย ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเขาสามารถบินขึ้นฟ้าหรือดำลงดินได้ มิฉะนั้นก็จะพบตัวได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
องค์ชายใหญ่คิดแผนได้ไม่เลวสมดั่งใจ ทว่า หนึ่งวันผ่านไป และแสงของท้องฟ้ามืดลง กลับไม่พบว่ามีลูกน้องของตัวเองมารายงานข่าวว่าเจอตัวแล้ว สีหน้าขององค์ชายใหญ่ก็ดำบึ้งอย่างหนัก แล้วรอบกายก็แผ่ไอแห่งความดาลเดือดออกมา
คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาก็แบกรับกับอารมณ์ของเขาไม่ได้ จึงถอยออกไปเล็กน้อยอย่างเบาๆ
“ส่งคำสั่งออกไป คืนนี้ไม่อนุญาตให้พัก ให้พวกเขาหาต่อไป จนกว่าข้าจะได้รู้ว่าหาพวกนั้นพบแล้วเท่านั้น” องค์ชายใหญ่สั่ง
มีคนรับคำ และไปส่งสาร ทหารที่ได้รับคำสั่งก็ร้องโอดครวญ ทว่า ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง
ภายในร้านยา
แสงของฟ้ามืดลงแล้ว คนไข้ทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว ภายในร้านหมอสะอาดสะอ้านขึ้น และหมอแต่ละคนก็เก็บข้าวของกลับบ้านไป
หลินหันเยียนเดินมาจากหลังเรือน เจอเถ้าแก่ที่กำลังคิดบัญชีอยู่ ก็กล่าวอ้อนวอน “เถ้าแก่เจ้าคะ ข้าเห็นห้องพักผู้ป่วยอีกห้องยังว่างอยู่ สามารถให้พวกเราเข้าพักได้หรือไม่เจ้าคะ พ่อของข้า ถ้าหากมีอะไรไม่สบายขึ้นมา พวกเราจะได้รับใช้ได้ทันการเจ้าค่ะ”
คำพูดของหมอคนนั้นยังคงวนเวียนที่หัวของเถ้าแก่โดยตลอด เถ้าแก่ครุ่นคิดทั้งวัน ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจที่เก็บพวกเขาไว้ ถ้าหากว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นมาจริงๆ ร้านยาแห่งนี้ต้องป่นปี้ลงบนมือเขาแน่ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลินหันเยียน หัวใจก็ยิ่งเต้นรัว และพยักหน้ารับคำทันที “ได้ๆๆ ตอนนี้ยังไม่มีคนไข้ พวกท่านอยากพักก็พักเสียเถิด”
หลินหันเยียนควักเหรียญเงินของรัฐอิงจากชายเสื้อออกมาวางไว้ที่โต๊ะรับแขก “ขอบคุณเถ้าแก่อย่างยิ่งเจ้าค่ะ พวกเราไม่พักเปล่าแน่เจ้าค่ะ”
เถ้าแก่ก็ไม่ปฏิเสธ แล้วเก็บเข้าไปในโต๊ะ พร้อมสั่งลูกน้องให้นำที่นอนสองสามชุดเพิ่มให้แก่พวกเขา
ช่วงเวลากลางคืน หลังจากกินอาหารเดียวกันกับพวกลูกน้องร้านยาแล้ว ทั้งหกคนก็แยกกันไปสามห้องเพื่อพักผ่อน
ทำงานยุ่งทั้งวัน เถ้าแก่กับลูกน้องร้านยาก็เหนื่อยล้าแล้ว เมื่อเก็บข้าวของเสร็จ ก็หลับไปแต่หัวค่ำ ขณะที่ทุกคนกำลังสะลึมสะลือ กึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงพังประตูดังขึ้นอย่างรุนแรง ตามมาด้วยเสียงร้องตะโกนพวกทหาร
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้นทันที และรู้ว่าเป็นทหารรัฐอิงที่เข้ามาตรวจสอบถึงที่แล้ว
หลังจากลุกจากเตียง ทั้งหกคนก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องนอนห้องหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนราวกับถูกทำให้ตกใจ จึงกระแอมไอหนักขึ้น
เถ้าแก่ก็ถูกปลุกให้ตื่น และสะดุ้งลุกตัวขึ้นนั่ง เมื่อคลุมเสื้อลงจากเตียงแล้ว ก็รีบเรียกลูกน้องให้ไปเปิดประตู ส่วนตัวเองก็ตามไปที่โถงใหญ่ด้านหน้า
ประตูถูกเปิดออก ทหารสิบกว่าคนก็กระทืบเท้ากรูเข้ามา
เถ้าแก่ก็รีบรับหน้า แล้วสอบถามอย่างนอบน้อม “ท่านทหาร ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ พวกท่านถึงได้มาตรวจสอบร้านยาของพวกเรา”
ผู้นำทหารมองประเมินเขาหลายครั้ง แล้วโบกมือ พูดตอบอย่างไม่อดทน “ภายในเมืองมีจารชนแฝงตัวเข้ามา พวกเราได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นทุกบ้าน ขอให้พวกเจ้าออกมาให้หมดทุกคน จะได้ไม่ถึงขั้นที่ต้องให้พวกเราลงมือ”
เถ้าแก่สะดุ้งตกใจ รีบกล่าวรับคำ และสั่งลูกน้องที่มาเปิดประตูให้ไปเรียกทุกคนออกมา
แล้วทุกคนก็ออกมาครบอย่างรวดเร็ว ทหารตรวจสอบดูทีละคน และไม่พบที่ผิดปกติตรงไหน จึงถามอย่างดุดัน “มีคนแค่นี้หรือ ยังมีอีกหรือไม่”
เถ้าแก่ก็ไม่กล้าปิดบัง “คนในร้านยาของพวกเราทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้วขอรับ ส่วนที่ด้านหลังเรือน ยังมีคนไข้อีกหนึ่งคนและครอบครัวของพวกเขาอยู่”
ผู้นำทหารส่งเสียงอย่างน่ากลัว “ไปเรียกออกมา พวกเราจะตรวจสอบให้ดีก่อน ถ้าหากว่าเป็นจารชนจริง พวกเจ้าทั้งหมดนี้ล้วนต้องตายสถานเดียว!”
เถ้าแก่ผวาจนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อซึมออกมา ทันทีที่ลูกน้องเห็น ก็วิ่งไปที่หลังเรือนอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รอให้เขาสั่ง แล้วเรียกพวกหวงฝู่อี้เซวียนมา
เอาของทุกอย่างวางไว้ใต้เตียงแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ประคองหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้านหน้า ส่วนหลินหันเยียนและหวงฝู่เฮ่าก็คล้องแขนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลัง เดินกันมาอย่างช้าๆ
หวงฝู่อี้เซวียนเดินพลางไอพลาง เสียงไอที่แทบอยากจะเอาอวัยวะภายในออกมาทั้งหมดก็ส่งเสียงดังท่ามกลางค่ำคืนที่แสนสงัดเงียบนี้ เสียงนั้นน่าหวาดผวาจนทำให้ใจของทหารที่มาตรวจสอบต้องพรั่นพรึง และอดไม่ได้ที่จะยกชายเสื้อขึ้นมาป้องปากและจมูกของตัวเอง
“นี่เขาป่วยเป็นอะไร” ผู้นำทหารถอยหลังไปอย่างอดไม่ได้ ถามเถ้าแก่ด้วยเสียงอุดอู้
เถ้าแก่รีบตอบ “ขอเรียนโดยไม่ปิดบังท่านทหารขอรับ อาการป่วยของชายชรานี้แปลกประหลาดอย่างมาก แม้แต่หมอของพวกเราล้วน…”
คำพูดของเขายังไม่จบ ทั้งหกคนก็มาถึงโถงใหญ่ และเดินผ่านตรงหน้าของทั้งสามคน ผู้นำทหารเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ไอไม่หยุด ก็ส่องไฟมองดู เขาไม่เพียงแต่มีใบหน้าที่ขาวซีด ขอบปากยังมีอะไรสีขาวแปลกๆ ไหลออกมาไม่หยุดพร้อมกับการไอ
“เจ้า ยืนอยู่ตรงนั้น!” ผู้นำทหารถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว ยื่นมือชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียน แล้วพูดสั่งเขา
ทันทีที่หลินหันเยียนหยุดฝีเท้า ทุกคนที่เหลือก็หยุดเช่นกัน
เสียงไอของชายชราก็หยุดลงชั่วคราว ราวกับเพราะความตื่นตระหนก ทว่า ของสีขาวมุมปากที่ไหลออกมากลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
อย่าว่าแต่พวกทหารเลย เถ้าแก่และเหล่าลูกน้องที่ดูแลคนป่วยมากมายหลายปีก็รู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างมาก
แต่หวงฝู่อี้เซวียนคล้ายกับว่าไม่รู้สึก อ้าปากเล็กน้อยเหมือนว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“เจ้าหุบปาก!” ผู้นำทหารตกใจร้องเสียงดัง ท่าทางนั้นราวกับว่า หวงฝู่อี้เซวียนเป็นโรคระบาดอะไรที่จะแพร่ใส่เขาอย่างไรอย่างนั้น
ปากหวงฝู่อี้เซวียนหุบลง
“เจ้า เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้า” ผู้นำทหารชี้สี่คนตามอำเภอใจ แล้วกล่าวสั่งพวกเขา “พวกเจ้าทั้งสี่คนเดินมาให้พวกข้าตรวจสอบ”
ทั้งสี่คนไม่กล้าขัดคำสั่ง หลังจากมองตากันและกันแล้ว ก็ป้องจมูกและปากเดินไปอย่างระมัดระวังและหวาดกลัว จนมาถึงตรงหน้าของพวกเขา
คำสั่งที่พวกเขาได้รับก็คือให้ระวังวิชาปลอมตัวของจารชน จึงย่อมต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดและละเอียดเมื่อพบเจอคนที่น่าสงสัย ที่สำคัญก็คือต้องเช็ดบนใบหน้า เพื่อดูว่าพวกเขาได้ปลอมใบหน้าหรือไม่
ทหารคนหนึ่งในนั้นยื่นมือออกมา ขณะที่ตามองเห็นว่ากำลังจะถึงใบหน้าเล็กๆ ของหวงฝู่เฮ่าแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนราวกับอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ไออย่างแรงขึ้นมา ของสีขาวก็พ่นทะลักออกมาจากปาก ไม่เพียงแต่พ่นเข้าที่กายของหวงฝู่เฮ่า และยังพ่นโดนแขนของทหารคนนั้นด้วย
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 40 ออกเดินทาง
“ท่านพ่อ!” เสียงร้องแหลมที่ตกใจกลัวดังออกมาจากปากของหลินหันเยียน และเหมือนว่าจะนึกอะไรออกทันใด จึงรีบวิ่งเข้าไปเอาชายเสื้อของตัวเองเช็ดใบหน้าเล็กๆ ของหวงฝู่เฮ่าอย่างรวดเร็ว
เดิมที เหล่าทหารก็กลัวอยู่แล้ว เสียงร้องแหลมและการเคลื่อนไหวที่ตามมาของนางก็ยิ่งทำให้พวกเขาเตลิด ทั้งสี่คนก็ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่ได้นัดหมาย ส่วนสามคนที่เหลือก็มองทหารที่ถูกพ่นใส่อย่างหวาดกลัว ขณะเดียวกัน ปากก็สั่นจนพูดอะไรไม่ออก
สีหน้าของทหารที่ถูกพ่นใส่ขาวซีดจนไม่เหลือเลือดแม้แต่น้อย ปรายตามองดูแขนของตัวเอง แล้วมองท่าทางของหลินหันเยียน ก็ได้สติขึ้นมา จึงรีบถอดเสื้อนอกของตัวเองออกอย่างลนลาน และโยนทิ้งลงที่พื้น
ครั้งนี้ ทหารทุกคนล้วนตกใจ และไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาข้างหน้าสักคน
ผู้นำทหารก็ตื่นตระหนกไม่น้อย จึงรีบโบกมือ สั่งทุกคน “ไปๆๆๆ รีบไปเร็ว!”
ทหารสิบกว่าคนก็แย่งกันวิ่งออกไปด้านนอก ความเร็วนั้นราวกับว่า ถ้าช้าอีกก้าวเดียวจะถูกแพร่เชื้อใส่อย่างไรอย่างนั้น
ในร้านยาก็เงียบสงัดลง เสียงบ่นของหลินหันเยียนก็ดังเข้าหูของเถ้าแก่และพวกลูกน้องที่ยังไม่ได้สติคืนมาอย่างกระจ่างชัด “ท่านพ่อ ข้าบอกท่านไปแล้วมิใช่หรือเจ้าคะว่า แม้ว่าท่านอยากจะอาเจียน ถ้ามีคนอยู่มากก็ต้องอดทนเจ้าค่ะ ทำไมท่านถึงไม่จำสักทีนะ”
พูดจบ ก็เผยหน้ายิ้มแก้เขินให้แก่เถ้าแก่ “เถ้าแก่ ขอโทษจริงๆ เจ้าค่ะ ตอนเย็นพ่อของข้ากินมากไปหน่อย เมื่อครู่ก็เป็นเพราะว่าต้องอดทนไม่ไอ ถึงได้กระทำอะไรที่เสียมารยาทเช่นนั้น ท่านอย่าได้ถือสานะเจ้าคะ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หัวใจของเถ้าแก่กับพวกลูกน้องที่หล่นไปถึงตาตุ่มก็กลับมาที่เดิม เถ้าแก่โบกมือ “ไม่เป็นไร คนแก่อายุมากแล้ว ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเวลาที่ควบคุมไม่ได้ ท่านก็อย่าได้ไปตำหนิเขา รีบพยุงเขากลับไปพักผ่อนเถิดขอรับ”
“ขอบคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ การได้เจอท่านครั้งนี้ช่างเป็นบุญวาสนาของท่านพ่อข้าจริงๆ” หลินหันเยียนพูดอย่างเอาใจ แล้วพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับไป
เถ้าแก่กลับถอนหายใจเบาๆ และโบกมือสั่งลูกน้องภายในห้อง “ลงกลอนประตูให้ดี แล้วรีบไปพักผ่อนเถิด”
เมื่อกลับไปเข้าในห้อง หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ป้องปากหัวเราะจนล้มไปนอนกับเตียง หวงฝู่เฮ่าก็หัวเราะจนต้องกดท้องเอาไว้ ส่วนหลินหันเยียนนั้น แม้จะไม่แสดงท่าทางประเจิดประเจ้อเหมือนกับพวกนาง ก็ก้มหน้า ไหล่สั่นเทิ้มอย่างแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวรินน้ำส่งให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนอย่างยิ้มแย้ม
หวงฝู่อี้เซวียนรับมาดื่มอึกหนึ่ง กลั้วปากและบ้วนออกมา แล้วถาม “เจ้าให้ข้ากินอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มจนคิ้วโก่งบาน แต่ก็ไม่ได้บอกเขา
เวลาผ่านไปติดต่อกันสามวันแล้ว ก็ยังไม่ได้เจอพวกหวงฝู่อี้เซวียน องค์ชายใหญ่ก็โมโหจนโบยตีพวกทหารที่ไม่ตั้งใจค้นหาหลายคนจนตาย เนื่องจากความกดดันของข้าราชการและการต่อต้านของประชาชน เช้าวันที่สี่จึงได้มีคำสั่งให้เปิดประตูเมืองในที่สุด ทว่า ก็ยังคงสั่งให้ตรวจสอบคนที่ออกเมืองอย่างเข้มงวด แม้แต่คนที่น่าสงสัยเพียงคนเดียวก็ไม่อาจปล่อยไปได้
ได้ยินข่าวนี้ หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตัดสินใจเด็ดขาด และออกจากเมืองโดยทันที
เมื่อทุกคนปรึกษากันเรียบร้อย หลินหันเยียนก็มาหาเถ้าแก่ และพูดอ้อนวอน “เถ้าแก่เจ้าคะ ท่านพ่อของข้าพักอยู่ในร้านหมอมาสามวันแล้ว รู้สึกว่าอาการป่วยทุเลาลงไม่น้อย และบ่นว่าอยากจะกลับบ้านให้ได้ แต่ข้ากลัวว่า ร่างกายนั่นของเขาจะทนถึงบ้านไม่ไหว บ้านที่มีแต่ลูกสาวอย่างข้า จะไปซื้อม้าคนเดียวตามลำพังก็ไม่เหมาะสม ดังนั้นท่านสามารถขายรถม้าของร้านยาให้แก่พวกเราคันหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านวางใจ ข้าจะเพิ่มเงินท่านมากขึ้นอีกเจ้าค่ะ”
พักมาสามวันแล้ว เสียงไอไม่เพียงแต่ไม่หยุด กลับยิ่งมีแนวโน้มที่จะหนักขึ้นกว่าเดิม เถ้าแก่กำลังคิดหาวิธีให้พวกเขาออกไปจนปวดหัวพอดีเชียว พอได้ยินคำพูดของหลินหันเยียน ก็ควบคุมใจที่ตื่นเต้นของตัวเอง และพยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร “แม่นางพูดอะไรอย่างนั่นเล่าขอรับ ในเมื่อคนชราคิดอยากจะกลับบ้าน พวกเราก็ควรต้องช่วยเขาดังที่ต้องการอยู่แล้ว ส่วนเรื่องรถม้าน่ะ ภายในร้านยามีสองคัน ท่านไปเลือกคันหนึ่งมาก่อน แล้วพวกเราค่อยตกลงเรื่องราคากัน”
“ขอบคุณเถ้าแก่อย่างยิ่งเจ้าค่ะ ท่านวางใจ วิชาของหมอสูงกล้าอย่างยิ่ง รอให้ข้ากลับไปถึงบ้านแล้ว ก็จะช่วยท่านประกาศชื่นชมออกไปทั่วทุกแห่งอย่างสุดกำลังแน่นอนเจ้าค่ะ”
คำพูดของหลินหันเยียนทำให้เถ้าแก่ใจฟูฟ่องอย่างมาก หลังจากสั่งลูกน้องให้พานางไปเลือกรถม้าหนึ่งคันแล้ว ก็เรียกในราคาที่เหมาะสม พร้อมกับให้ยาบำรุงดีๆ อีกหลายชนิดตามคำร้องขอของหลินหันเยียน
ครั้นได้รถม้าแล้ว หลินหันเยียนก็เดินไปที่หลังเรือน ไม่นาน ทั้งหกคนก็ออกจากหลังเรือนมาขึ้นรถม้า จากนั้น…ก็ลำบากแล้ว เพราะว่าในบรรดาพวกเขาไม่มีใครที่ขี่ม้าเป็นแม้แต่คนเดียว
ขณะที่ยืนอยู่ข้างรถม้า หลินหันเยียนก็ร้อนใจจนเกือบน้ำตาไหล เดินเข้ามารับบังเ**ยนจากมือของลูกน้อง แล้วลองพยายามควบคุมรถม้า แต่ม้าก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
หลินหันเยียนรู้สึกอยากจะร้องไห้ น้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อที่ขอบตา
เห็นครอบครัวที่มีแต่คนที่แก่ก็แก่ เด็กก็เด็ก เถ้าแก่ก็ทนไม่ไหว เดินเข้ามาซักถาม “แม่นาง พวกท่านพักอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นให้ลูกน้องของข้าไปก็ส่งแล้วกัน”
“ขอบคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ ขอบคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ” หลินหันเยียนดีใจจนเกือบสะอื้นไห้ รีบกล่าวขอบคุณ “ท่านให้ลูกน้องส่งพวกข้าออกจากเมืองก็พอ ทางที่เหลือ พวกเราจะค่อยๆ เดินรถกลับไป”
เถ้าแก่เรียกลูกน้องมาคนหนึ่ง แล้วสั่งให้คุมรถม้าไปส่งทุกคนออกนอกเมือง
หลังจากหลินหันเยียนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก็ขึ้นนั่งบนชานรถม้าอีกด้านหนึ่ง ลูกน้องตวัดบังเ**ยน ตะเบ็งไล่ม้าแล้ว พวกเขาก็มุ่งไปยังประตูเมืองพร้อมด้วยเสียงไอของหวงฝู่อี้เซวียน
ไม่ได้เปิดประตูเมืองเป็นเวลาสามวัน พวกประชาชนภายในและนอกเมืองก็รอจนร้อนใจอยู่นาน ดังนั้นวันนี้ คนที่เข้าออกเมืองจึงมีมากเป็นพิเศษ
ทันทีที่ลูกน้องเร่งรถม้ามาถึงหน้าประตูเมือง ก็เห็นแถวที่รอออกจากเมืองยาวเป็นหางเว่า จึงหันหน้าไปพูดกับหลินหันเยียน “ดูจากสถานการณ์นี้แล้ว พวกเราน่าจะต้องคอยอย่างน้อยครึ่งชั่วยามขอรับ”
เห็นทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมืองเหล่านั้น มือของหลินหันเยียนก็มีเหงื่อซึมออกเล็กน้อย แล้วก็ฝืนฉีกยิ้มออกมา “ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ พวกเราก็แค่รอหน่อยก็เท่านั้นเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบแหวกม่านรถออก เมื่อเห็นสถานการณ์ที่ประตูเมือง ก็ยิ้มพูดเสียงเบากับหวงฝู่อี้เซวียน “อยู่ที่เจ้าแล้วนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แล้วค่อยๆ เพิ่มเสียงไอดังขึ้น
คนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังรถม้าต่างหวาดกลัว และอดไม่ได้ที่จะพากันหลบออกมาเล็กน้อย
ลูกน้องเห็นพื้นที่ว่างก็รีบตะเบ็งให้ม้าเดินข้างหน้าอีกหน่อย
แล้วก็ได้เคลื่อนไปข้างหน้าเช่นนี้ จนมาถึงประตูเมืองภายในเวลาเพียงไม่นานเกินคาด
ในกลุ่มทหารที่ตรวจสอบ มีหลายคนที่เป็นทหารที่ไปตรวจสอบเมื่อคืนนั้น ครั้นได้ยินเสียงไอที่คุ้นเคยนี้ ในใจก็สั่นไหวโดยพลัน ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงเพราะคืนนั้น หลังจากทหารที่โดนพ่นใส่กลับมาแล้ว ก็ป่วยไข้ทันที จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดี ในใจของพวกเขาก็เกิดความกลัวกับเสียงไอนี้ขึ้นมาจริงๆ ฝีเท้าก็ถอยหลังออกไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณ ยกมือขึ้นป้องปากและจมูกตัวเองแล้ว ก็โบกมือให้กับลูกน้อง “รีบไป รีบไป อย่าได้ไปแพร่เชื้อใส่คนอื่น”
เมื่อคำว่า ‘แพร่เชื้อ’ สองคำนี้เข้าหู คนที่ต่อแถวอยู่ก็กระสับกระส่ายขึ้นมา แล้วพากันเปิดทางให้
ลูกน้องอึ้งตะลึง และอยากจะกล่าวอธิบาย แต่หลินหันเยียนก็เอ่ยปากขึ้นทันที “รีบไปเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้ประวิงเวลาคนด้านหลังเลย”
คำพูดที่อยู่ในปากของลูกน้องก็กลืนกลับเข้าไป ทันทีที่สะบัดบังเ**ยน รถม้าก็ออกนอกประตูเมืองไป เมื่อคาดว่าออกมาเป็นระยะหนึ่งลี้กว่า และไม่เห็นฝูงคนที่เบียดเสียดด้านหลังแล้ว หลินหันเยียนก็ให้ลูกน้องหยุดรถม้า แล้วมอบเงินที่เหลือสุดท้ายให้แก่เขาทั้งหมด “ขอบคุณพี่ชายที่ช่วยเจ้าค่ะ เงินเหล่านี้เจ้าเอาไปซื้อสุราาดื่มนะเจ้าคะ”
มองเงินในมือของหลินหันเยียน และพบว่าจำนวนน่าจะเท่ากับค่าแรงสองเดือนของเขาเป็นอย่างน้อย ลูกน้องก็ไม่กล้ารับ และตกใจจนโบกมือไม่หยุด “แบบนี้ไม่ได้หรอกขอรับ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ทำอะไร”
“รับไปเถิดเจ้าค่ะ ต่อไปพวกยังต้องมาที่ร้านยา และยังต้องขอความกรุณาให้ท่านช่วยดูแลอีกเจ้าค่ะ”
ลูกน้องกลืนน้ำลาย แล้วรับมาด้วยมือที่สั่น หัวใจของเขาเต้นระรัว ไม่กล้าจินตนาการเลยว่าตัวเองจะดวงดีถึงขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่มาคุมรถม้าให้คนอื่น ก็ได้เงินเหล่านี้มาโดยเปล่า
หวงฝู่เฮ่าลงจากรถม้า รับบังเ**ยนจากมือลูกน้อง
จากนั้นตัวก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ส่วนหลินหันเยียนขึ้นนั่งอยู่ที่ชานรถม้าข้างๆ ทันทีที่หวงฝู่เฮ่าตวัดบังเ**ยน รถม้าก็มุ่งไปด้านหน้าอย่างช้าๆ
ลูกน้องประคองเงินเหล่านั้น ยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งรถม้าไปไกลมากแล้ว ถึงเอาเงินกอดไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง แล้วหันกลับไปเข้าเมือง
แม้ว่าจะออกมาจากหวงเฉิงแล้ว ทุกคนก็ไม่กล้าชักช้า จึงมุ่งหน้าไปยังชายแดนโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ยังไม่ทันถึงชายแดน ก็เห็นทหารที่ถืออาวุธเป็นกลุ่มดำๆ ยืนอยู่ทางออกชายแดนทั้งสองฝั่งจากที่ไกลๆ กำลังตรวจสอบคนออกชายแดนอย่างเข้มงวด ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือองค์ชายใหญ่ที่นั่งอยู่บนม้าด้วยสีหน้าดุร้าย สายตาดั่งเหยี่ยวนั่นจับจ้องทุกๆ คน
หลินหันเยียนก็ให้หวงฝู่เฮ่าหยุดรถม้าอย่างรวดเร็ว แล้วรายงานเข้าไปในรถม้าเบาๆ “องค์ชายใหญ่เฝ้าอยู่ที่ชายแดนเจ้าค่ะ แม้พวกเราอยากจะออกไป ก็เกรงว่าคงจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านออกมา มองไปข้างหน้า แล้วก็เป็นอย่างที่หลินหันเยียนว่าจริงๆ กองทัพสีดำทะมึนๆ เป็นกลุ่มใหญ่สุดลูกหูลูกตาเฝ้าอยู่ที่ชายแดน และยังมีองค์ชายใหญ่ที่มองผู้คนอย่างดุร้ายดั่งเสือ หากอยากจะออกไป ก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายโดยแท้จริง แต่ก็ยากนักกว่าที่ออกจากเมืองมาได้ ถ้ากลับไปก็จะกลายเป็นลูกแกะเข้าถ้ำเสืออีก
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็รีบยืนขึ้น สั่ง “หันหัวกลับไปทางรัฐหมิง”
รัฐหมิงกับรัฐอู่ไม่ใช่อาณาเขตเข้าออกต่อกัน องค์ชายใหญ่จึงน่าจะไม่ได้ส่งคนไปเฝ้าอยู่ตรงนั้นมากมาย เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าได้ จึงพยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง ไปที่รัฐหมิง”
หวงฝู่เฮ่าหันหัวม้า
หวงฝู่อี้เซวียนออกจากรถม้า รับบังเ**ยนจากมือของเขา แล้วสั่งกับหลินหันเยียน “พวกเจ้าไปพักในรถม้าสักหน่อย ข้าควบคุมเอง”
เพื่อไม่ให้ถูกสงสัยแล้ว หลินหันเยียนถึงได้นั่งอยู่นอกรถม้า ตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนออกมาคุมม้าแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่บอก ตัวเองก็ไม่คิดจะนั่งอยู่ด้านนอกแน่นอน พอได้ยินดังนั้น ก็แหวกม่านรถม้า แล้วมุดตัวเข้าไป
หวงฝู่อี้เซวียนเร่งม้าด้วยความเร็วสูง หลังจากนั้นสี่ชั่วยามก็มาถึงชายแดนของรัฐหมิงกับรัฐอิง
ทุกคนสับเปลี่ยนตำแหน่ง ให้หวงฝู่เฮ่าออกคุมม้า และหลินหันเยียนนั่งอีกด้านหนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงนั่งอยู่ภายในรถม้าและไอไม่หยุด
เมื่อทหารที่อยู่ชายแดนซักถาม หลินหันเยียนก็อธิบายว่าพ่อของตัวเองป่วยโรคประหลาด และจะไปหาหมอที่มีชื่อภายในรัฐหมิงเพื่อรักษา
หลังจากทหารตรวจสอบอย่างละเอียด แล้วไม่ได้ความผิดปกติอะไร ก็เปิดทางให้ไป
ทันทีที่ได้เข้ามาในอาณาเขตของรัฐหมิง ทั้งหกคนถึงถือว่าสบายใจได้แล้ว ขณะเดียวกันแสงของฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว จึงปรึกษากันพักหนึ่ง และตกลงกันว่าจะหาโรงเตี๊ยมพักคืนหนึ่งก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับรัฐอู่แต่เช้า
ณ ด่านกำแพง อ๋องฉีเฝ้ารอติดต่อกันห้าวันแล้ว ก็ยังไม่ได้รับข่าวว่าหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวพาเด็กๆ กลับมา อีกทั้งยังมีทหารด้านหน้ามารายงานว่าชายแดนของรัฐอิงมีกองทัพทหารกลุ่มใหญ่ดำๆ รวมตัวอยู่
อ๋องฉีได้ยินแล้วก็รู้สึกนั่งไม่ติด จึงพูดกับฉู่เหวินเจี๋ย “ผ่านไปห้าวันแล้ว พวกเซวียนเอ๋อร์ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย คาดว่าน่าจะถูกจับแล้วล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่อาจรอคอยได้อีกต่อไป พรุ่งนี้เช้า บุกโจมตีรัฐอิงทันที”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 41 ปิดเมือง
ฉู่เหวินเจี๋ยมีความคิดดังนี้ตั้งนานแล้ว ครั้นได้ยิน ก็พยักหน้า และพูดสั่งออกไป “สั่งกองทัพใหญ่ให้พรุ่งนี้เช้าบุกรัฐอิงทันที”
เหล่าแม่ทัพรับคำ แล้วส่งคำสั่งออกไป กองทหารใหญ่ทั้งหมดล้วนเคลื่อนไหวโดยทันที หลังจากที่รอคอยมาหลายวันขนาดนี้ ในที่สุดก็มาถึงวันออกศึกแล้ว ที่ด่านชายแดนตรงนี้ ลมทรายทั้งแรงและหนาว พวกเขาจึงอยากรีบถล่มรัฐอิงไวๆ จะได้กลับไปเสียที
วันถัดมา ท้องฟ้าส่องแสงรำไร ดูขมุกขมัว หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็จัดแบ่งกองทัพใหญ่ แล้วออกเดินทางไปยังชายแดนของรัฐอิง
องค์ชายใหญ่ได้รับรายงานกลับมา ความเ**้ยมโหดนัยน์ตาก็ยิ่งเข้มขึ้น แล้วถมน้ำลายไปด้านรัฐอู่ พร้อมพูดจาอย่างองอาจ “ฉู่เหวินเจี๋ย สิบกว่าปีก่อนนั้น เจ้าตีรัฐอิงของข้าจนพ่ายแพ้ ทำให้ข้าต้องส่งบรรณาการตั้งหลายปี ครานี้ต้องจับเป็นเจ้า ให้เจ้าได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ของสงคราม”
พูดจบ ก็โบกมือออกคำสั่ง “รวบรวมกองทัพใหญ่ เตรียมตั้งรับศึก”
ด้านนั้น ศึกสงครามก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ภายในอาณาเขตรัฐหมิง หลังจากพวกหวงฝู่อี้เซวียนทั้งหกคนหาโรงเตี๊ยมชั้นดีพักแล้ว ก็นอนหลับอย่างสงบทดแทนหลายวันนี้ที่ผ่านมา ท้องฟ้าส่องแสงสว่างออกมาเล็กน้อยแล้ว ทุกคนยังคงนอนหลับอย่างสบายอยู่ แต่ทันใดนั้นก็ถูกเสียงตะโกนที่ดังอื้ออึงปลุกให้ตื่น “เกิดสงครามแล้ว เกิดสงครามแล้ว รัฐอู่กับรัฐอิงปะทะกันแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนสะดุ้งตื่น และลืมตาขึ้นพร้อมกัน แม้จะฟังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
ทั้งสองคนรีบสวมใส่เสื้อผ้าลุกจากเตียง ออกมานอกห้อง หลินหันเยียนที่ยืนอยู่ที่ชานบันไดแล้ว พอได้ยินเสียงประตู ก็หันหน้าไป เห็นทั้งสองคนออกมาพร้อมกัน จึงกดเสียงต่ำพูด “แม่ทัพฉู่เดินทัพแล้วเจ้าค่ะ”
นี่เป็นวันที่หกตั้งแต่ที่ตัวเองออกมา เมื่อยังไม่ได้กลับไป ท่านน้าก็ย่อมต้องรู้สึกร้อนใจ หวงฝู่อี้เซวียนพลันคิดถึงตรงนี้ขึ้นมา และพูด “เก็บของ พวกเราจะรีบกลับไป”
หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่าตื่นขึ้น สวมใส่เสื้อผ้า และกำลังจะเดินออกมา ครั้นได้ยินคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง แล้วยกของที่พกติดตัวออกมายืนรออยู่หน้าประตู
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้หันกลับเข้าไปในห้อง แล้วนำห่อที่ติดตัวมาด้วยพาดบนบ่าข้างหนึ่ง และเดินออกมา
ทั้งหกคนลงจากด้านบนลงมา หลินหันเยียนหยิบเงินตำลึงก้อนหนึ่งออกมาจ่ายเงิน
พวกเขาเป็นคนรัฐอิงแต่กลับถือเงินรัฐอู่ เถ้าแก่ก็รู้สึกประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองพวกเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ทำได้แค่มองเพียงแวบหนึ่งเท่านั้น เพราะไม่ว่าเป็นใคร ขอเพียงแค่มีเงินพักในร้านก็พอแล้ว จึงก้มหน้าลง ทอนเงินที่เหลือ และมองทุกคนขึ้นรถม้าออกไปไกล
สายตาแวบนั้นของเถ้าแก่ กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตระหนักได้ว่าตัวเองทั้งหกคนในตอนนี้ แต่งตัวไม่ค่อยเหมาะสม จึงรีบหาร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง แล้วซื้อเสื้อผ้าจำนวนหกชุดให้ทุกคนเปลี่ยนออกมา ตอนที่เดินทางผ่านลำธารเล็กๆ ก็ให้ทุกคนล้างเครื่องสำอางบนหน้า กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งหกคนก็ออกเดินทางไปยังชายแดนอย่างสดชื่น ทว่า ยังไม่ทันถึงเขตชายแดน พลางเห็นคนหลายคนเดินคอตกกลับมา บรรดาผู้คนในนั้น มีคนรัฐอู่จำนวนไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกแปลกชอบกล จึงให้หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้าไปสอบถาม
พวกคนที่เดินมาก็เป็นคนรัฐอู่เหมือนกัน จึงถอนหายใจ และพูดปราม “กลับไปเถิด ตอนนี้รัฐอู่กับรัฐอิงทำสงครามกัน รัฐหมิงกลัวว่าหายนะจะเข้าตัวเอง จึงเริ่มปิดชายแดนวันนี้ รอให้ถึงวันที่ทั้งสองรัฐทำสงครามเสร็จ ถึงค่อยว่ากัน”
พูดจบ ก็ส่ายหน้า และถอนหายใจเดินกลับไป ขณะเดียวกันในใจพลางครุ่นคิดว่า ครั้งนี้ตัวเขาเองออกมาทำกำไรได้เพียงเท่านี้ ก็ไม่รู้จะเพียงพอใช้จ่ายในรัฐหมิงหรือไม่ หวังว่าแม่ทัพใหญ่จะสามารถตีรัฐอิงได้เร็วหน่อย พวกเขาจะได้ไม่ถึงขั้นต้องขอทานอยู่ในรัฐหมิง
ชายแดนปิดตายลง และมีทหารคุ้มกันอย่างหนาแน่น แม้อยากจะบุกออกไปนอกชายแดนก็จนปัญญา ตอนนี้ตัวเองและทุกคนถูกขังอยู่ที่นี่แล้ว จะส่งข่าวสารกลับไปก็ยังทำไม่ได้ ถ้าหากท่านพ่อเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเองและทุกคนแล้ว ก็คงทนไม่ได้และลงมือนำทัพออกไปสังหารศัตรูด้วยตัวเอง
คิดถึงตรงนี้ คิ้วของหวงฝู่อี้เซวียนก็ขมวดเข้าหากันแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดถึงตรงนี้เช่นกัน จึงเม้มปากแน่น แต่ก็จนปัญญา ถ้าหากว่ามีเพียงนางกับหวงฝู่อี้เซวียนแค่สองคน ก็คงออกไปชายแดนได้อย่างง่ายดาย ทว่า ตอนนี้ มีเด็กสามคน แล้วยังมีหลินหันเยียนที่วิชาการต่อสู้ค่อนข้างอ่อนแอ พวกเขาจึงไม่กล้าวู่วาม ได้แต่เพียงรอคอยโอกาสอย่างร้อนใจ
รถม้าหยุดอยู่ข้างทาง เห็นคนแต่ละคนผ่านข้างรถม้าไปด้วยท่าทางที่ห่อเ**่ยว หวงฝู่เฮ่าก็เม้มปากไม่พูด ครั้งนี้หวงฝู่เย่าเย่ว์ถึงตระหนักได้ว่าการทำตามใจตัวเองเพียงชั่วขณะเดียว ก็สร้างความลำบากขึ้นมากมาย จึงเอ่ยปากขึ้นอย่างหนักแน่น “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านแม่เจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมาลูบศีรษะของนาง เผยรอยยิ้มน้อยๆ มองหวงฝู่สือเมิ่ง “พวกเจ้าอยากจะออกมาดูข้างนอกตั้งนานแล้วใช่ไหม พอดีเลย ถือโอกาสนี้เล่นอย่างสนุกสนานสักหน่อย หลังจากพวกเรากลับเมืองหลวงไปครานี้ ก็คงจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว”
รอยยิ้มปลอบใจของนางได้ผล หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่รู้สึกโทษตัวเองแล้วทันที พร้อมพูดถามอย่างดีใจ “ท่านแม่ พวกเราสามารถเดินดูไปรอบๆ ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ได้ แต่ต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้เกิดเหตุอะไรขึ้นอีก”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าไม่หยุด “ข้าทราบเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะไม่ออกไปไหนคนเดียวอีกแล้วเจ้าค่ะ ต้องอยู่ด้วยกันกับพี่ใหญ่กับน้องเฮ่าแน่นอน”
หลินหันเยียนได้ยินบทสนทนาของแม่ลูกในรถม้า ก็เกิดความรู้สึกเศร้าอยู่ในใจขึ้นมา ถ้าหากสิบกว่าปีก่อน นางไม่ทำเช่นนั้น และอยู่ด้วยกันกับหวงฝู่อวี้อย่างดีตามปกติ ลูกของพวกเขาคง… คิดถึงตรงนี้ ก็หันหน้า มองไปทางหวงฝู่เฮ่าที่ถือบังเ**ยนนั่งอยู่ชานรถม้าอีกด้านหนึ่ง จ้องมองใบหน้าที่คล้ายคลึงกับหวงฝู่อวี้ และคิดว่าถ้าหากพวกเขามีลูกด้วยกันก็น่าจะโตประมาณนี้แล้ว
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องของนาง หวงฝู่เฮ่าก็หันไปมอง และเห็นจังหวะที่นัยน์ตาหลินหันเยียนมีประกายน้ำตาบางๆ จึงตะลึงไป “ท่าน…”
“อ๋อ ข้าไม่เป็นอะไร ลมมันพัดน่ะ” หลินหันเยียนได้สติ ก็ลนลานและละสายตาออกมา แล้วยกชายเสื้อขึ้นซับน้ำตาอย่างกระสับกระส่าย
ปากเล็กๆ ของหวงฝู่เฮ่าเม้มแน่น ตอนที่เขาเตรียมตัวจะมาด่านชายแดน ท่านพ่อก็ได้บอกประวัติที่มาของหลินหันเยียนทั้งหมดต่อหน้าเขาแล้ว พร้อมกำชับว่า ถ้าเจอคุณหนูหลินต้องเคารพนอบน้อม ซึ่งเขาก็ปฏิบัติตามนั้นมาโดยตลอด แต่เขาไม่เข้าใจว่า ใบหน้าเศร้าสลดของคุณหนูหลินเมื่อครู่นั่นเป็นเพราะเหตุใด
แม้ว่าหวงฝู่เฮ่าพูดเพียงคำเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงได้ยิน ไตร่ตรองเพียงครู่เดียว ก็เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุอันใด แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และสั่งหวงฝู่เฮ่า “เฮ่าเอ๋อร์หันหัวม้าไปหาโรงเตี๊ยมแถวนี้แล้วพักก่อนเถิด พอชายแดนเปิดแล้ว พวกเราจะได้กลับไปถึงเร็วหน่อย”
หวงฝู่เฮ่ารับคำ แล้ววกกลับทางเดิม จากนั้นรถม้าก็มาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
รัฐอู่กับรัฐอิงทำสงครามกันแล้ว ชายแดนของทั้งสองฝั่งปิดผนึก พ่อค้าไปมาน้อยลง คนพักในร้านก็ย่อมน้อยลงด้วย เมื่อเห็นรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนมาอยู่หน้าโรงเตี๊ยมตัวเอง เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมก็ออกมาต้อนรับอย่างเบิกบาน แล้วโค้งตัวยิ้มถาม “ทุกท่านต้องการมาแวะรับประทานอาหารหรือพักขอรับ”
“พักเจ้าค่ะ ขอสามห้องด้านบนเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนตอบ
ในคราเดียวก็ต้องการห้องด้านบนถึงสามห้อง ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ก็ยิ้มร่าออกดั่งดอกไม้ผลิบาน แล้วตะโกนเข้าไปในโรงเตี๊ยมด้านในเสียงดัง “เถ้าแก่ขอรับ สามห้องด้านบนขอรับ”
เถ้าแก่ก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมอย่างเริงร่า หลังจากสั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้ลากรถม้าไปหลังเรือนแล้ว ตัวเองก็พาพวกเขาขึ้นไปดูห้องด้วยตัวเอง
ห้องเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างพอใจ
เมื่อหลินหันเยียนสอบถามราคาแล้ว ทั้งหกคนก็เข้าพัก
ณ ชายแดนรัฐอู่กับรัฐอิง
ฉู่เหวินเจี๋ยนำกองทัพใหญ่มุ่งตรงไปกดดันที่ชายแดนรัฐอิง อ๋องฉีก็เปลี่ยนเป็นชุดเกาะแม่ทัพตามอยู่ด้านข้างฉู่เหวินเจี๋ย
องค์ชายใหญ่แห่งรัฐอิงนำทหารออกมาตั้งรับ
รัฐอิงได้วางแผนการรบล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ส่วนทางรัฐอู่ด้านนี้ก็ร้อนใจอยากจะตามหาคน ทั้งสองฝั่งจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรกันอีก ทันทีที่ฉู่เหวินเจี๋ยกับองค์ชายใหญ่ออกคำสั่ง ทหารสองฝั่งก็รบราฆ่าฟันกันขึ้นมา
ในวันแรก จิตวิญญาณของเหล่าทหารล้วนฮึกเหิม ใครต่างก็ไม่ยอมใคร เปิดฉากฆ่าฟันกันผ่านไปยกใหญ่ ทั้งสองฝั่งก็ยังไม่มีใครได้เปรียบใคร
สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยเป็นดังเดิม ทว่า สีหน้าขององค์ชายใหญ่กลับบึ้งดำเป็นก้นหม้อ
หลังจากที่พ่ายแพ้ศึกในสิบกว่าปีก่อนครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยหยุดฝึกซ้อมทหารและม้าเลย หวังว่าจะมีวันใดสักวันที่ตีชายแดนรัฐอู่แตกได้ในที่สุด แล้วสิ้นสุดวันที่ต้องยอมจำนนต่อฝ่ายตรงข้ามมานานหลายปีเช่นนี้ แต่ว่าการทำสงครามครานี้ นอกจากจะแค่มีศพจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ก็ไม่มีการพัฒนาอะไรเลย
การสู้ครั้งนี้กลับเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของฉู่เหวินเจี๋ย ถ้าหากรัฐอิงไม่มีกำลังทหารมากพอ ก็จะไม่วางแผนรบเช่นนี้ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องบุกโจมตีอย่างมั่นคง ถึงอยู่เหนือกลยุทธ์ของกลยุทธ์ได้
แม้ว่าอ๋องฉีจะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกหวงฝู่อี้เซวียน และรู้สึกร้อนรนภายในใจ แต่ก็เป็นแม่ทัพนำทหารจู่โจม และรู้ว่า การที่ทั้งสองฝั่งทำสงครามต่อกันไม่อาจกระทำอะไรบุ่มบ่ามได้ โดยเฉพาะวันแรกที่ทหารกำลังฮึกเหิม อีกทั้งจะไม่ดำเนินการถอยทัพแต่อย่างใด
เบื้องหน้าไม่อาจได้เปรียบ องค์ชายใหญ่ก็ไม่ได้ฝืนสู้ สั่งคนให้รัวกลองถอยทัพ เพื่อกลับไปปรึกษายุทธศาสตร์การรบ
ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่ได้กดดันทุกก้าว สั่งคนให้เก็บกวาดสนามรบ และกลับรัฐอู่
ขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนและทุกคนพักอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ให้หลินหันเยียนสังเกตการเคลื่อนไหวของชายแดนตลอดเวลา
การรบราฆ่าฟันผ่านไป ข่าวที่บอกว่าสองฝั่งไม่มีใครได้เปรียบใครก็แพร่กระจายออกไปทุกแห่งอย่างรวดเร็ว คนที่ไปมาในโรงเตี๊ยมมีมากมาย ข่าวจึงแพร่เข้ามาอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนวางใจที่พะว้าพะวงลงทันที ท่านน้าไม่ได้ถูกเรื่องที่ตัวเองและทุกคนไม่ได้ส่งข่าวให้ จนกระทำการที่หุนหันเสียสติ เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องรีบร้อนแล้ว เหมือนดังที่โยวเอ๋อร์บอก นานๆ ทีจะได้ออกมาสักครั้ง ก็ให้เด็กๆ เที่ยวเล่นอย่างมีความสุขสักสองสามวันก็แล้วกัน
ความคิดสิ้นลง อารมณ์ในใจก็ผ่อนคลาย แล้วไปที่ห้องของหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ พร้อมกับเรียกหวงฝู่เฮ่ามา และถามสามคนว่าอยากออกไปเดินเล่นรอบๆ หรือไม่
หลายวันมานี้ จำต้องหนีเอาชีวิตรอดตลอด ทำให้ไม่ว่าสภาพร่างกายหรือว่าสภาพจิตใจของทั้งสามคนล้วนตึงเครียดอย่างมาก ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดเช่นนี้ ก็ดีใจอย่างมาก หวงฝู่เย่าเย่ว์ดีใจมากที่สุดจนกระโดดโลดเต้น และยิ้มถามให้แน่ใจ “ท่านพ่อ ที่ท่านพูดเป็นความจริงหรือเจ้าคะ ให้พวกเราออกไปเที่ยวเล่นได้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ย่อมเป็นจริงอยู่แล้ว แต่ว่ามีเงื่อนไขสองข้อ” เห็นนางฟื้นคืนพลังกายอีกครั้ง ไม่เหมือนกับหลายวันก่อนที่หดหู่และเซื่องซึม หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจอย่างมาก และพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารู้เจ้าค่ะ ไม่อนุญาตให้ออกไปไหนคนเดียว ไม่อนุญาตให้วิ่งมั่วซั่ว ต้องอยู่ด้วยกันกับทุกคน” หวงฝู่เย่าเย่ว์แย่งพูด
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกไปลูบหัวนาง แล้วยิ้มตำหนิอย่างเอ็นดู “เจ้าช่างฉลาดนัก แล้วเจ้าทำได้ไหมเล่า”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกล่าวรับรอง “ได้เจ้าค่ะ ได้เจ้าค่ะ ครั้งนี้ข้าจะเอาเชือกมัดตัวเองกับพี่ใหญ่เลย หากเจออะไรที่น่าสนุกก็จะไม่ไปคนเดียวเจ้าค่ะ”
ดูท่าว่าครั้งนี้จะได้รับบทเรียนแล้วจริงๆ หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ตำหนินางมากอีก และยิ้มพยักหน้า
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ร้องอย่างสุขใจ เข้าไปกอดแขนของหวงฝู่สือเมิ่ง “พี่ใหญ่ น้องเฮ่า พวกเรารีบไปกันเถอะ”
ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 42 เตรียมตัว
หวงฝู่สือเมิ่งมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวถามว่า “ท่านพ่อ ได้หรือไม่เจ้าคะ” พวกเขาทั้งสามไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่นี้ และไม่เข้าใจภาษาของรัฐหมิง หากเกิดอะไรขึ้นมาอีกก็จะเป็นปัญหาได้ ท่านพ่อต้องเตรียมทุกอย่างไว้ให้พวกเขาแล้วแน่นอน
“ให้คุณหนูหลินไปเป็นเพื่อนพวกเจ้า จำไว้ เจ้าเป็นพี่ใหญ่ ดูแลพวกเขาให้ดี แล้วต้องดูแลคุณหนูหลินใด้ดีด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนกำชับ
มิใช่ว่าเขาลำเอียง ที่รักและเอาใจหวงฝู่เย่าเย่ว์ เข้มงวดกับหวงฝู่สือเมิ่ง แต่ตั้งแต่ทั้งสองรู้ความ หวงฝู่สือเมิ่งก็ทำให้ทุกคนสบายใจไม่ต้องกังวลใดๆ ไม่ต้องสั่งอะไร ก็สามารถจัดการได้ทุกอย่าง ส่วนหวงฝู่เย่าเย่ว์ นั้นต่างกัน อย่าว่าแต่นิสัยที่ดื้อรั้น ทำการใดก็ยังทำให้ทุกคนกังวล นานเข้า ทุกคนในครอบครัวก็ชินกับการให้หวงฝู่สือเมิ่งเป็นพี่ใหญ่ของเด็กๆ ทุกคน
หวงฝู่สือเมิ่งตอบรับ แล้วหันหลังเดินไปที่ข้างเตียง เปิดกระเป๋าออก หยิบเศษเหรียญออกมาเล็กน้อยแล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ แล้วพาหวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่าไปที่ห้องของหลินหันเยียน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณหนูหลิน พวกข้าอยากออกไปเที่ยว ท่านออกไปเป็นเพื่อนพวกข้าได้หรือไม่”
หลินหันเยียนพยักหน้า ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “ท่านหญิงน้อยอยากไปเที่ยวที่ใดเจ้าคะ”
“เที่ยวใกล้ๆ นี้ก็พอ อีกอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหา คุณหนูหลินอย่าเรียกข้าว่าท่านหญิงน้อยเลย เปลี่ยนชื่อเรียกเถิด”
ทั้งสองรัฐมีความสัมพันธ์ทางการค้ากัน แล้วก็เป็นสถานที่ใกล้กับชายแดน ประชาชนรัฐหมิงที่รู้ภาษารัฐอู่ก็มีไม่น้อย หากได้ยินตัวเองเรียกหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่าท่านหญิงน้อย แล้วข่าวกระจายออกไป อาจทำให้เกิดปัญหาได้จริงๆ
หลินหันเยียนพยักหน้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้เจ้าคะ ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจะเรียกว่าคุณหนูและคุณชายแทนเจ้าคะ”
ความตั้งใจแรกของหวงฝู่สือเมิ่งคือพวกเขาทุกคนเรียกหลินหันเยียนว่าท่านอา แต่ก็คิดถึงฐานะของตนแล้ว หลินหันเยียนต้องไม่ยอมแน่ๆ จึงล้มเลิกความคิดนี้ไป พยักหน้า “ได้ รบกวนคุณหนูหลินแล้ว พวกเราไปกันเถิด”
หลินหันเยียนก็หยิบเศษเหรียญใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ หันหลังแล้วเดินตามพวกเขาออกประตูไป ลงมาชั้นล่าง หลังจากสอบถามเถ้าแก่ว่ามีที่ใดน่าเที่ยวหรือไม่ ทั้งสี่คนก็เดินออกมาพร้อมกัน
รอจนทุกคนเดินออกไปไกลแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกมาจากห้อง มาถึงหน้าโต๊ะจ่ายเงินโรงเตี๊ยม ลองใช้ภาษาของรัฐอู่ถามเถ้าแก่ว่า “ในเมืองนี้มีที่ใดที่ขายม้าหรือไม่”
ในโรงเตี๊ยมมีผู้คนผ่านไปมามากมาย มีแขกจากทุกแห่งหน เวลานานไป เถ้าแก่ก็เรียนรู้ภาษาง่ายๆ ของรัฐอื่นได้ เข้าใจคำพูดของพวกเขา ยิ้มแล้วกล่าวกับพวกเขาว่า “ออกไป เลี้ยวซ้าย เดินไปจนสุดทาง จะมีที่ๆ ขายสัตว์โดยเฉพาะ ท่านสามารถไปดูที่นั้นได้”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขอบคุณ แล้วถามต่อว่า “พวกข้าไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ท่านสามารถส่งเสี่ยวเอ้อร์ไปช่วยพวกข้าซื้อม้าได้หรือไม่ วางใจเถิด พวกข้าไม่ให้พวกเจ้าช่วยเปล่าๆ แน่นอน”
แม้ว่าพวกเขาทั้งหกคนจะแต่งตัวไม่ได้ดูดีมากมาย แต่มาถึงก็เอาห้องพักที่ดีที่สุดสามห้อง แล้วดูท่าทางของพวกเขาแล้ว ก็ไม่เหมือนว่ามาจากครอบครัวธรรมดา เถ้าแก่คิดในใจ พยักหน้า เรียกพนักงานคนหนึ่งมา “เซิงจื่อ เจ้าพาแขกสองท่านนี้ไปซื้อม้า จำไว้ ต้องช่วยพวกเขาเลือกดีๆ พยายามกดราคาลงให้มากที่สุด”
เซิงจื่อรับคำสั่ง แล้วพาหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ตลาดม้าด้วยความกระตือรือร้น
ชายแดนถูกปิด การค้าขายในตลาดม้าก็ได้รับผลกระทบ คนที่มาดูม้าน้อย คนขายม้าทั้งหลาย ต่างก้มหน้าก้มตา ไม่มีชีวิตชีวา มองดูม้าที่ตนซื้อมาด้วยความเคร่งเครียด
ทันทีที่ทุกคนเข้ามาในตลาด คนขายม้าต่างเงยหน้าขึ้นมาทันที มองทุกคน แล้วแสดงสายตาแห่งความหวังออกมา
พนักงานยังไม่ทันเอ่ยปาก คนขายม้าหลายคนก็เดินเข้ามาหาทันที กล่าวถามด้วยท่าทีที่กระตือรือร้นมากกว่าปรกติ “พวกท่าน ซื้อม้าหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ พนักงานอธิบายให้พวกเขาฟัง
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แล้วยื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้ว “ซื้อตัวที่ดีๆ สองตัวก่อน หากราคาเหมาะสม ม้าก็ดี วันพรุ่งนี้จะมาซื้ออีกสองตัว”
ซื้อสี่ตัว ทันทีที่ประโยคนี้เข้าหู คนขายม้าทุกคนต่างตาโตขึ้นมาทันที แข่งกันวิ่งมาก่อน แย่งกันแนะนำม้าของตัวเอง หากมิใช่เพราะท่าที่ที่น่าเกรงขามของหวงฝู่อี้เซวียน ที่มิให้ผู้ใดกำเริบเสิบสาน เกรงว่าน่าจะถูกดึงตัวไปตั้งแต่แรกแน่นอน
ผู้คนมากมายแย่งกันพูดพร้อมกัน แล้วก็ไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว แล้วกล่าวกับพนักงานว่า “บอกพวกเขาว่าไม่ต้องพูดแล้ว หากมีม้าที่ดีจริงๆ ก็ให้พวกเขาจูงมาดู”
พนักงานแปล ทันที่พูดจบ คนขายม้าสิบกว่าคนก็แยกย้ายกันไปทันที รีบวิ่งไปจูงม้าที่ดีที่สุดของตัวเองมาทันที
จูงม้ามา หวงฝู่อี้เซวียนดูอย่างละเอียด เข้าตาสี่ตัว หลังจากตกลงเรื่องราคากันเสร็จแล้ว ก็ตัดสินใจซื้อทั้งหมด แล้วก็เลือกบังเ**ยนและอุปกรณ์อื่นๆ แล้ว ก็จูงออกมาจากตลาดม้า จูงออกมาสองตัวให้พนักงาน แล้วก็ให้ตั๋วเงินเล็กน้อยกับเขา ให้เขาช่วยจูงม้ากลับไป
อยู่ดีๆ ก็ได้ตั๋วเงินมากมายเยี่ยงนี้ พนักงานตกใจเป็นอย่างมาก แม้แต่คำพูดก็พูดติดอ่าง บอกเยี่ยงไรก็ไม่กล้ารับไว้
“รับไว้เถิด พวกข้าก็ไม่รู้ว่าจะพักที่โรงเตี๊ยมอีกกี่วัน เจ้าช่วยสืบข่าวเกี่ยวกับชายแดนให้พวกข้า”
พนักงานจึงจะกล้ารับไว้ ใส่ในอ้อมอกของตัวเองอย่างระมัดระวัง หลังจากขอบพระทัยหลายๆ ครั้งแล้ว ก็จูงม้ากลับไปที่โรงเตี๊ยม
ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับขี่ม้าตรงมาที่ชายแดนอย่างรวดเร็ว
สงครามจบลงแล้ว ไม่มีเสียงฆ่าฟันกันแล้ว แต่กลิ่นคาวของเลือดนั้นยังคงลอยอยู่ในอากาศ ฉุนเข้ามาในจมูกของทั้งสอง
มองดูชายแดนที่มีทหารเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองจึงล้มเลิกความคิดที่จะบุกเข้าไปตรงๆ สบตากัน แล้วค่อยๆ ขี่ม้าเข้าไปใกล้ๆ ชายแดน
นอกจากทหารที่เฝ้าอยู่ที่ชายแดนแล้ว ก็ไม่มีประชาชนแม้แต่คนเดียว ฉะนั้นการปรากฏตัวที่ไม่คาดคิดของทั้งสอง ทำให้ทหารที่เฝ้าชายแดนเกิดความสงสัย ตะโกนกับทั้งสองว่า “หยุด ชายแดนถูกปิดแล้ว ห้ามทุกคนเข้าออก พวกเจ้ารีบกลับไป ไม่เยี่ยงนั้นอย่าหาว่ามีดและดาบของพวกข้าไม่สนผู้ใด”
ทั้งสองดึงเชือกไว้ ไม่เข้าไปอีก
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ แล้วกล่าวว่า “ครอบครัวข้ามีเรื่องด่วน ไม่ทราบว่าทุกท่านสามารถผ่อนผัน ให้พวกข้าไปได้หรือไม่”
ทหารเข้าใจคำพูดของเขา “อ้อ” ออกมาเบาๆ “ครอบครัวพวกเจ้ามีเรื่องด่วน…” พูดถึงนี่ ก็ชี้ไปที่ด้านนอกของชายแดน ประชาชนรัฐหมิงทั้งหลายที่มีสีหน้าร้อนใจอยู่ในรัฐอู่ “พวกเขาคนใดไม่มีเรื่องด่วน ต่างก็ถูกกั้นไว้ข้างนอก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ ประมาทไม่ได้ ข้าเตือนพวกเจ้าว่ามาจากที่ใดก็กลับไปที่นั้น อยู่ดีๆ ภาวนาให้สงครามของพวกเขาทั้งสองรัฐหยุดเร็วๆ เถิด”
ความหมายของคำพูดนั้น สงครามหยุดลง ไม่มีการขมขู่ ชายแดนก็จะเปิด
ทั้งสองเข้าใจคำพูดของทหาร แล้วมองไปทางประชาชนของรัฐหมิงที่ร้อนใจอยู่ทางฝั่งนั้นแล้ว ก็ไม่เอ่ยอะไรอีก หันม้ากลับไปทันที
ทหารโล่งอก ทั้งสองคนนี้เป็นคนรัฐอู่ ในช่วงเวลาอ่อนไหวแบบนี้เขาไม่อยากลงมือกับพวกเขาจริงๆ กลัวว่าจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงขึ้น
ทั้งสองกลับไปก็ไม่รีบร้อนแล้ว ค่อยๆ ลดความเร็ว ขี่ไปด้วยพูดคุยไปด้วย
“มั่นใจเท่าใด”
“กึ่งนึง”
“พอแล้ว หลังจากสามวันนี้ หากชายแดนยังไม่เปิด พวกเราก็บุกเข้าไปตรงๆ เลย หากล่าช้าไปอีก กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
หันกลับไปดูทหารที่ชายแดน แล้วมีความคิดในใจ
หวงฝู่สือเมิ่งและทุกคนไปตามทางที่เถ้าแก่เอ่ย มาถึงถนนที่รุ่งเรืองเส้นหนึ่ง บนถนนมีผู้คนไปมามากมาย ทั้งสองฝั่งของถนนเต็มไปด้วยแผงลอย เสียงตะโกน เสียงค้าขาย เสียงต่อรองราคา เต็มถนนไปหมด
ทั้งสามค่อยๆ เดินช้าลง ตาโต มองดูสิ่งของมากมายตามแผงลอยที่แตกต่างกับรัฐอู่ด้วยความตื่นเต้น
หลินหันเยียนเดินตามหลังพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
หวงฝู่เย่าเย่ว์ควงแขนของหวงฝู่สือเมิ่งไปด้วย แล้วก็ดูแผงลอยสองข้างทางไปด้วย เห็นสิ่งของที่น่าสนใจ ก็หยิบขึ้นมาดู เห็นสิ่งของที่ถูกใจมากๆ ก็ให้หลินหันเยียนช่วยซื้อให้
ยังไม่ทันเดินถึงครึ่งทาง ในมือของหลินหันเยียนและหวงฝู่เฮ่าก็เต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากจะซื้อเพิ่มอีก หวงฝู่สือเมิ่งห้ามนางไว้ “น้องเล็ก หากซื้อเพิ่มอีกพวกข้าถือไม่ไหวแล้วจริงๆ”
หันกลับไปมองในมือของหลินหันเยียนและหวงฝู่เฮ่าที่เต็มไปด้วยสิ่งของ ไม่สามารถซื้อเพิ่มแล้วจริงๆ หวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดซื้อทั้งที่ไม่อยากหยุด ละสายตาจากแผงลอย มองดูร้านค้าสองข้างทาง กวาดสายตาไป เห็นเสื้อผ้าที่สวยงามหนึ่งชุดพอดี รีบชี้ไปที่เสื้อผ้าแล้วขอร้องหวงฝู่เส่อเมิ่งทันที “พี่ใหญ่ พี่ดู เสื้อตัวนั้นช่างสวยจริงๆ ข้าอยากลองสวมใส่”
หวงฝู่สือเมิ่งเห็นแล้ว สวยจริงๆ จึงพยักหน้า ตกลง “ได้ พวกเราเข้าไปลองดู”
เดินเข้าไปในร้าน เถ้าแก่เดินมาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น ได้ยินว่าทั้งสองจะลองเสื้อผ้า ก็มองพินิจพิเคราะห์หุ่นของทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบ ยิ้มแล้วหยิบเสื้อผ้าที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกใจลงมา แล้วพานางมาที่ลองเสื้อผ้าของแขกโดยเฉพาะ
หวงฝู่เย่าเย่ว์รับมา แล้วเดินเข้าไป ไม่นานก็เปลี่ยนเสร็จออกมา
เถ้าแก่ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ยิ้มแล้วกล่าวว่า “โอ้ว เสื้อผ้าตัวนี้เหมือนตัดเพื่อสาวน้อยโดยเฉพาะ ทั้งพอดีกับตัวแล้วสวยงามมาก”
หวงฝู่สือเมิ่งก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เสื้อผ้าตัวนี้อยู่บนตัวของน้องเล็กแล้วสวยงามจริงๆ”
เถ้าแก่กะพริบตา แล้วแนะนำด้วยสีหน้าเรียบว่า “ถ้าเยี่ยงนั้นก็ไม่ต้องถอดแล้ว จ่ายเงินแล้วใส่ไปเถิด เป็นตัวอย่างให้ร้านของข้าด้วย”
ได้ยินทั้งสองเอ่ยเยี่ยงนี้ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ดีใจมาก ยิ้มแล้วให้หลินหันเยียนถามราคา
หลังจากหลินหันเยียนถามราคาแล้ว ยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา “คุณหนูทั้งสอง เสื้อผ้าตัวนี้ราคาสูงมากเกินไป ยี่สิบตำลึง เราซื้อไม่ไหวจริงๆ เจ้าค่ะ”
หวงฝู่สือเมิ่งหยุดชะงักไป แล้วมองไปทางหลินหันเยียน แสดงสีหน้าสงสัยออกมา ยี่สิบตำลึงถือว่าราคาสูงไป
หลินหันเยียนส่งสายตาให้นางเล็กน้อย
หวงฝู่สือเมิ่งเข้าใจขึ้นมาทันที โบกมือ แล้วกล่าวตอบว่า “ราคาสูงไปจริงๆ พวกข้าซื้อไม่ไหว”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ร้อนใจเล็กน้อย อยากจะเอ่ยออกมา หวงฝู่เส่อเมิ่งดึงมือนางไว้ แม้ว่ายี่สิบตำลึงจะไม่มาก แต่หากเถ้าแก่พูดเกินราคามากไป ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าใจความหมายของนาง จึงกลืนคำพูดที่จะเอ่ยออกมาลงไป แต่สีหน้าไม่ค่อยดีใจ เพราะเสื้อผ้าที่พวกนางสวมใส่ปรกติราคาก็ไม่ต่ำกว่ายี่สิบตำลึง
เถ้าแก่พบเจอผู้คนมากมายเป็นเวลาหลายปี สังเกตเห็นสีหน้าของทุกคนตั้งแต่แรกแล้ว ยิ้มแล้วกล่าวโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “ผ้าที่เราใช้ตัดเสื้อผ้าตัวนี้เป็นผ้าที่ดีที่สุดของร้าน ฝีมือเย็บปักถักร้อยก็ดีที่สุด เอายี่สิบตำลึงจากพวกเจ้า ก็เพราะเห็นว่าสาวน้อยคนนี้สวมใส่แล้วสวยงามมากจริงๆ หากพวกเจ้ายังรู้สึกว่าราคาสูงไป ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น