ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 384-389
ตอนที่ 384 เนรเทศ
“บังอาจ!” หัวหน้าขันทีผู้ดูแลตะคอกใส่เขา “ที่นี่คือที่ใด ใช่ที่ๆ เจ้าจะมาโวยวายหรือไม่”
หลินฉงเหวินเหม่อมองไปที่หัวหน้าขันทีผู้ดูแล สายตาดูถูกเหยียดหยามนั้นถูกส่งออกมา พวกเศษสวะ ตอนนี้ตนนั้นเป็นดั่งเสือที่ตกลงมาให้พวกหมาขี้เรื้อนมันรังแกเท่านั้น รอก่อนเถอะ รอให้ข้าได้กราบทูลฝ่าบาทให้เรียบร้อยเสียก่อน ได้ตำแหน่งคืนเมื่อไร จะรอวันที่มีโอกาสกระตุกหางเปียของเจ้าให้ล้มจนเจ้าลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลนั้นเป็นใคร คลุกคลีอยู่ในวังหลวงมาเป็นสิบปี ยกยอผู้สูงศักดิ์เหยียบย่ำผู้ต่ำต้อย เข้าข้างผู้ที่มีอำนาจมากกว่า ประจบประแจงสอพลอเก่งเป็นที่สุด รู้ว่าควรพูดอะไรกับใครอย่างไร เรื่องแบบนี้ทำมานักต่อนัก ดูสีหน้าท่าทางคนมาก็เยอะ แล้วจะมองไม่ออกถึงสายตาดูถูกของหลินฉงเหวินเลยหรือ เลยเบะปาก ยิ้มเยาะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนือกว่าว่า “หลินฉงเหวิน ฝ่าบาทมีรับสั่ง ถ้าหากเจ้าฟื้นแล้ว ให้กลิ้งเข้าไปข้างใน”
พูดจบ เห็นท่าทางของหลินฉงเหวินกำลังชะงักอยู่ เลยพูดย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงว่า “อย่าลืมล่ะ กลิ้งเข้าไป”
“เจ้า… …” หลินฉงเหวินรับคำดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ได้ที่ไหนกันเล่า ในดวงตาแสดงถึงความโกรธเป็นฟืนไฟ ท่าทางเกรี้ยวกราด อดไม่ได้ที่จะจัดการหัวหน้าขันทีเสียเดี๋ยวนี้
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ยิ้มเล็กน้อย ยืนตัวตรงแล้วรายงาน “กราบทูลฝ่าบาท หลินฉงเหวินฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้เขาเข้าไปได้หรือไม่”
“ให้เขาเข้ามา!” เสียงอันดุดันของฮ่องเต้ก็ดังออกมาจากตำหนักหยางซิน
หัวหน้าขันทีมองไปที่หลินฉงเหวินด้วยความสะใจ
หลินฉงเหวินก็มองจ้องไปที่เขาด้วยความโกรธแค้น กัดฟัน สงบสติ กุมขมับ แล้วมุ่งหน้ากลิ้งเข้าไปที่ด้านในตำหนักหยางซิน
หมอหลวงเจียงก็ตกใจจนตาเบิกโพลง เมื่อได้สติ หลินฉงเหวินก็กลิ้งเข้ามาที่หน้าประตูตำหนักหยางซินแล้ว
อยากจะเปิดปากเตือนเขา ว่าเป็นแค่คำพูดเพราะความโกรธชั่ววูบของฮ่องเต้เท่านั้น ไม่ได้จะให้เขากลิ้งเข้ามาจริงๆ สักหน่อย
แต่หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ห้ามหมอหลวงเจียงได้ทัน แล้วเตือนอย่างมีเลศนัยว่า “หมอหลวงเจียง รู้จักปกป้องตนด้วย”
หมอหลวงเจียงที่กำลังจะเปิดปากก็ปิดปากไป ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ฮ่องเต้รออยู่ที่บัลลังก์ในตำหนักหยางซินจนหงุดหงิดไปเสียหมด มองไปที่ประตูตำหนักหยางซินด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก
หลินฉงเหวินกลิ้งเข้ามา ตึก ชนเข้ากับธรณีประตูของตำหนักหยางซิน
ผู้ดูแลทั้งหลายที่อยู่ด้านในหยางซินก็ตกใจ
พระพักตร์ของฮ่องเต้ขรึมเสียจนไม่ไหว ตะคอกไปว่า “หลินฉงเหวิน มันเหมาะสมหรือไม่ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”
ในขณะที่กำลังโกรธอยู่ ลืมคิดไปเลยว่าตำหนักหยางซินนั้นมีธรณีประตู หัวของหลินฉงเหวินชนเข้ากับธรณีประตู สมองเลยเบลอไปชั่วขณะ หน้ามืดหูบอดไปชั่วขณะ แม้ว่าจะได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ชัดเจน แต่ก็ใช้เวลานานกว่าจะได้สติกลับมา ดังนั้นจึงไม่ได้ลุกขึ้น
ฮ่องเต้ก็โกรธเข้าไปใหญ่ จึงรับสั่งกับขันทีที่หน้าประตูตำหนักหยางซิน “พวกเจ้า กุมตัวมันเข้ามาให้ข้า”
ขันทีทั้งสองคนตอบรับ ก้าวขึ้นไปพยุงแขนคนละข้าง ลากหลินฉงเหวินเข้ามาที่ตำหนักหยางซิน แล้วโยนลงกับพื้น
หลินฉงเหวินได้สติ จึงก้มคำนับลงกับพื้นอย่างรีบรน “ข้าน้อยหลินฉงเหวินขอคารวะฮ่องเต้”
ฮ่องเต้ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
หลินฉงเหวินถึงนึกขึ้นได้ว่าหลินจ้งใช้เหตุผลว่าตนเองป่วยเลยขอลาไปพักรักษา ขอราชโองการลาตำแหน่ง ตอนนี้ตนไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย จึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “กระหม่อมขอคารวะฮ่องเต้”
ฮ่องเต้ก็ไม่ได้รีรอ ถามเขาตรงๆ ว่า “หลินฉงเหวิน เจ้าบอกข้ามาสิว่าเจ้าเป็นอะไรกันแน่”
เมื่อได้ยินฮ่องเต้ถามเช่นนั้น หลินฉงเหวินก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก และมีหยดน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาที่พร่ามัวของเขา ตอบกลับไปว่า “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องจัดการเรื่องนี้ให้กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ หวงฝู่ซื่อจื่อคนนั้นอยากใช้เรื่องราชการมาแก้แค้นกระหม่อม เลยข่มขู่หลินจ้งลูกอกตัญญูของกระหม่อมให้กุมตัวกระหม่อมเอาไว้ในจวน แถมยังหลอกลวงฮ่องเต้อีกว่ากระหม่อมป่วย ขอราชโองการถอนตำแหน่งแทนกระหม่อมไปเสียแล้ว”
นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเซวียนเอ๋อร์ ฮ่องเต้เลยสงบลง เซวียนเอ๋อร์ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนั้น ในเมื่อเขาแต่งงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว แม้จวนหลินจะเป็นอุปสรรคก็ไม่น่าใช่เรื่อง เขาไม่จำเป็นต้องลงมือจัดการหลินฉงเหวินเองเลย นอกเสียจากหลินฉงเหวินจะทำเรื่องอะไรไปยั่วโมโหเขาก็เท่านั้น
คิดได้เช่นนี้ ก็เก็บความโกรธไว้ก่อน แล้วกลับมาอารมณ์ปกติ ทำตัวสบายๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “ที่เจ้าพูดเป็นความจริงรึ”
“ที่กระหม่อมทูลเป็นความจริงทุกประการ ถ้าหากว่าฮ่องเต้ไม่เชื่อ ก็เรียกซื่อจื่อมาเข้าเฝ้าได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทหาร ออกคำสั่งไปที่จวนอ๋องฉี ให้ซื่อจื่อมาเข้าเฝ้าบัดเดี๋ยวนี้”
ขันทีส่งมอบราชโองการก็ตอบรับ แล้วรีบเดินออกจากวังหลวงไป
หลินฉงเหวินคิดว่าเรื่องที่ตนโดนกุมตัวนั้นเป็นความจริง คิดว่าฮ่องเต้จะต้องช่วยตนเองอย่างแน่นอน อีกทั้งยังอยากแก้แค้นหวงฝู่อี้เซวียนอีกด้วย แม้เขาจะเป็นซื่อจื่อ อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็จะต้องลงโทษเขาอย่างแน่นอน นี่ก็ถือเสียว่าเป็นการแก้แค้นแบบน้ำจิ้มๆ ก่อนก็แล้วกัน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าฮ่องเต้จะเชื่อหวงฝู่อี้เซวียนเสียยิ่งกว่าอะไร ส่วนเขาน่ะหรือ ตั้งแต่เอาหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าได้ถึงความโชคร้ายแล้ว
หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนรับราชโองการ ก็รีบขี่ม้าตามขันทีที่มาส่งราชโองการมาที่ตำหนักหยางซิน แล้วทำความเคารพ “ขอคารวะเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ”
“หลินฉงเหวินบอกว่าเจ้าใช้งานราชการเพื่อแก้แค้นเขา ข่มขู่หลินจ้งให้กุมตัวเขาเอาไว้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่” ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ก็ยังคงความน่าเกรงขรามอยู่
หวงฝู่อี้เซวียนท่าทางนิ่งสงบ ยอมรับอย่างผ่าเผยว่า “ทูลเสด็จลุง เรื่องที่ปรึกษากับหลินจ้งให้กุมตัวเขานั้นเป็นเรื่องจริง แต่หลานไม่ได้มีความคิดใช้งานราชการไปแก้แค้นส่วนตัวแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเขาพูดดังนี้ ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “เซวียนเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากุมตัวขุนนางด้วยเหตุผลส่วนตัวนั้นเป็นโทษประหาร แม้เจ้าจะเป็นหลานของข้าก็ไม่ละเว้น”
“หลานทราบดีพ่ะย่ะค่ะ เลยให้หลินจ้งมาทูลรายงานขอราชโองการให้ท่านปลดตำแหน่งของหลินฉงเหวินเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“หลอกลวงองค์จักรพรรดิ ยิ่งเป็นโทษสถานหนัก” น้ำเสียงของฮ่องเต้ก็ดุดันยิ่งขึ้น
แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็มองจ้องไปกลับไปที่ฮ่องเต้อย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว “เสด็จลุง ใช่ว่าหลานกับหลินจ้งจะร่วมมือกันหลอกท่าน แต่เพื่อเกียรติของท่านและคนอีกมากมายของตระกูลหลินต่างหาก หลานจึงทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“หืม ข้าเกี่ยวข้องด้วยงั้นรึ” ฮ่องเต้หรี่ตามอง ถามด้วยน้ำเสียงน่าสนใจ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “หลานมิกล้าพูดปดพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามาสิ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็หันไปมองหลินฉงเหวิน แล้วบอกว่า “ให้เจ้าตัวพูดเองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นคนทำน่าจะรู้ดีที่สุด”
ฮ่องเต้หันไปมองหลินฉงเหวิน “พูดสิ ข้ากำลังรอฟังอยู่”
หน้าผากของหลินฉงเหวินก็เหงื่อออก กัดฟันไปมา “เอ่อ… …”
แล้วฮ่องเต้ก็พูดด้วยเสียงที่เริ่มโกรธ “เอ่ออะไร ยังไม่รีบพูดความจริงออกมาอีก”
หลินฉงเหวินก็ก้มกราบลงไปกับพื้น ตัวสั่นไปทั้งตัว ด้านหลังเสื้อก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ยังไม่ทันเล่าเรื่องราว ก็เอ่ยปากร้องขอก่อนว่า “ฮ่องเต้ไว้ชีวิตด้วยเถิด กระหม่อมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ก็หมดซึ่งความอดทน ทุบลงไปที่โต๊ะอย่างแรง พูดด้วยความโกรธว่า “ยังไม่พูดความจริงอีกงั้นรึ”
หลินฉงเหวินก็ตัวสั่นระรัว
หวงฝู่อี้เซวียนก็เสนอขึ้นว่า “ฝ่าบาท สู้สั่งให้คนนำตัวหลินจ้งมาที่นี่ แล้วให้เขาบอกความจริงกับท่านไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กำลังจะเอ่ยปากเรียกตัวหลินจ้งเข้ามา หลินฉงเหวินก็เกิดโมโหขึ้นมาทันที “อย่าไปพูดถึงลูกเนรคุณนั่น อกตัญญูสิ้นดี ข้าล่ะอยากจะสับเป็นชิ้นๆ ไม่อยากเจอหน้าเขาอีก”
พูดจบ ก็มองไปที่ฮ่องเต้อย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว “ฝ่าบาท ท่านไม่ได้อยากรู้หรอกหรือว่ากระหม่อมทำอะไร กระหม่อมจะทูลให้ฝ่าบาททราบ กระหม่อมอยากจะฆ่าพวกที่มารังแกกระหม่อมให้หมด ไม่เหลือไว้แม้แต่คนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ตะเบ็งเสียงใส่เขาว่า “หลินฉงเหวิน เจ้าช่างบังอาจนัก ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้เจ้ายังกล้าสามหาวเช่นนี้เลยรึ”
“ข้าไม่ได้สามหาว ข้าพูดความจริง พวกเศษสวะพวกนั้น ในเมื่อกล้ารวมหัวกันหลอกข้า ทำให้ข้าเป็นตัวตลกของคนทั่วใต้หล้า เป็นขุนนางผู้น่าอับอาย ข้าทนไม่ได้จริงๆ ข้าอยากจะฆ่าพวกมัน เพื่อระบายความคับแค้นที่อยู่ในใจของข้า” พูดถึงตรงนี้ ก็ใช้มือชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียน “แต่กลับ…กลับโดนเขาห้ามเอาไว้ มิเช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็ได้ส่งพวกเศษสวะพวกนั้นลงไปหายมบาลตั้งนานแล้ว”
คำพูดของเขา ทำให้ตำหนักหยางซินเงียบสงัด
ฮ่องเต้ยังคงชะงักอยู่ หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ไม่รู้จะพูดเช่นไรถึงจะดี เมื่อไม่ได้มีคำสั่งของฮ่องเต้ เขาจะเตะคนสักทีสองทีคงเป็นไปไม่ได้
แล้วเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น ทำให้ความเงียบสงัดนั้นหายไป “เสด็จลุงได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ วันนั้นหลานจับได้เสียก่อน เลยให้คนจับตัวเหล่าจอมยุทธ์เข้าคุกผู้ตรวจการไปก่อน มิเช่นนั้นหลายเดือนก่อนหน้านี้คงมีคดีฆาตกรรมที่น่าสยดสยองเกิดขึ้นอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ต้องพูดต่อ ฮ่องเต้ก็เข้าใจแล้ว หลินฉงเหวินเคยเป็นราชเลขากรมทหาร ถ้าหากว่าก่อคดีใหญ่เช่นนี้ จะเป็นการแปดเปื้อนฮ่องเต้และทั้งราชสำนัก
คิดได้เช่นนี้ ก็ทรงพิโรธขึ้นมาทันที แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็พูดต่อ “หลานและโยวเอ๋อร์ก็พอมีวิชาแพทย์อยู่บ้าง วันนั้นที่ห้ามเขา ก็รู้สึกได้ว่าสติของเขาไม่ปกติ เลยใช้วิธีให้หลินจ้งกุมตัวของเขาเอาไว้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ทำความผิดไปมากกว่านี้ มันจะทำให้คนทั้งจวนหลินเดือดร้อนไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ และที่หลานจะต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ก็มีเหตุผลส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนั้นคุณหนูหลินจะแต่งงานกับอวี้เอ๋อร์ หลานไม่อยากให้คุณหนูหลินกลายเป็นคนที่มีปมเรื่องโดนประหารล้างตระกูลพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดถึงหลินหันเยียน หลินฉงเหวินก็โมโหเป็นอย่างมาก ตะโกนพูดออกมาจนสุดเสียง “อย่าพูดถึงนังลูกอกตัญญูคนนั้น ข้าไม่ได้มีลูกสาวไร้ยางอายเช่นนั้น เกียรติของข้าโดนนางทำลายจนหมดสิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ข้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้เยี่ยงไร!”
ผู้คนที่อยู่ในตำหนักหยางซินก็เห็นได้ว่าเขาไม่ปกติ หลินฉงเหวินเคยเป็นราชเลขากรมทหาร กับเรื่องมารยาทต่างๆ นั้นย่อมรู้ดี อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ไม่สามารถตะโกนโวยวาย เป็นสิ่งที่ทุกคนจำขึ้นใจ ไม่ว่าจะตอนไหนก็ไม่สามารถละเลยได้ แต่ตอนนี้ เขาไม่เพียงแต่ตะโกนโวยวายถึงสองรอบ อีกทั้งสายตาของเขาก็สื่อถึงความอาฆาตแค้น เหมือนกับคนบ้าอย่างใดอย่างนั้น
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็เอาตัวเองเข้าไปกันที่ด้านหน้าของฮ่องเต้โดยทันที
“ถอยไป!” ฮ่องเต้ออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นชา
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ไม่ถอย พูดว่า “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ หลินฉงเหวินเขา… …”
“ถอยไป มันจะกล้าฆ่าข้าเลยงั้นรึ” ฮ่องเต้พูดด้วยความโกรธ
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ถอยออก
แล้วฮ่องเต้ก็มองจ้องไปที่หลินฉงเหวินที่กำลังจะเป็นบ้า
หลินฉงเหวินก็ใช้ดวงตาที่อาฆาตจ้องมองกลับไป ไม่มีหลบสายตาเลยสักนิด
แล้วฮ่องเต้ก็หยิบถ้วยชาที่อยู่ด้านข้างปาไปที่หลินฉงเหวิน “เจ้าคนอันธพาล ขนาดข้ายังไม่อยู่ในสายตาเจ้าเลยงั้นรึ”
หลินฉงเหวินก็เอี้ยวหัวหลบ
แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็สกัดจุดเขาโดยทันที
หลินฉงเหวินจึงนิ่งอยู่กับที่
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
ท่าทางของฮ่องเต้ก็ผ่อนลงเช่นกัน แต่แล้วก็โกรธขึ้นมา ในเมื่อหลินฉงเหวินไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แล้วจ้องไปที่หลินฉงเหวินด้วยความดุดัน กำลังจะเอ่ยปาก
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “เสด็จลุง นี่ไม่ใช่หลินฉงเหวิน เขาเจอเรื่องร้ายๆ ติดๆ กันมาหลายเรื่อง สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่นัก เลยทำให้กลายเป็นคนที่เหมือนจะบ้า เรื่องนี้สามารถให้หมอหลวงเจียงเข้ามาตรวจเพื่อยืนยันได้พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น ขอให้เสด็จลุงเห็นแก่ความดีความชอบของเขาที่เคยทำมาแต่ปางก่อน ไว้ชีวิตเขาด้วยเถิด ไว้ชีวิตคนตระกูลหลินด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ความโกรธของฮ่องเต้บรรเทาลง แล้วจึงตรัสสั่ง “เรียกตัวหมอหลวงเจียงเข้ามาตรวจหลินฉงเหวิน”
หมอหลวงเจียงรับคำสั่ง เดินก้มหน้าเข้ามา คุกเข่าลงคารวะ แล้วเดินไปที่หลินฉงเหวิน นั่งคุกเข่าลงแล้วจับชีพจรของเขา
ความเงียบสงบกลับมาเยือนตำหนักหยางซินอีกครั้ง
สักพักหมอหลวงเจียงก็ลุกขึ้น แล้วโค้งตัวพูดว่า “กราบทูลฝ่าบาท จากที่กระหม่อมตรวจดูแล้ว อาการบ้าคลั่งของหลินฉงเหวินนั้นกำเริบรุนแรงนัก ถ้าหากว่าไม่รีบรักษา จะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เงียบ ไม่ได้ตรัสอะไร
ขันทีและนางกำนัลทั้งหลายในตำหนักหยางซินต่างก็ควบคุมลมหายใจของตนเอง กลัวว่าเสียงจะไปรบกวนฮ่องเต้ แล้วตนจะโดนลากไปประหาร
มีก็แต่หลินฉงเหวินที่ตาเบิกโพลง มองด้วยความโกรธ
จนกระทั่งคนทั้งหลายต่างก็ลุ้นตัวโก่ง เสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้น “ประกาศราชโองการออกไป นับแต่นี้ต่อไปเนรเทศหลินฉงเหวินออกจากเมืองหลวง ไม่สามารถเข้าเมืองหลวงได้อีกตลอดชีวิต”
ดวงตาของหลินฉงเหวินก็เบิกโตขึ้นยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกนึกคิดที่กำลังคุ้มคลั่งดูเหมือนจะกลับมา มีเสียงดังขึ้นในลำคอ ดูเหมือนอยากจะพูดอะไร
แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา
แล้วเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หลินจ้งกุมตัวหลินฉงเหวินโดยพลกาล ทำเรื่องอกตัญญูใหญ่หลวงเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะมีเหตุจำเป็น แต่ก็เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม ปลดตำแหน่งทางทหารทั้งหมด ลงโทษให้ไปรักษาชายแดน ออกเดินทางภายในสามวัน”
เมื่อราชโองการประกาศออกไป ถือวาจาสัตย์ ไม่มีหวนคืน หลินฉงเหวินก็ได้สติกลับมาโดยทันที รู้ว่าอำนาจของตระกูลหลินนั้นหายวับไปกับตา มิอาจหวนคืนได้อีก…ในที่สุดจึงเป็นลมล้มไป
ตอนที่ 385 ไปไหนไปกัน
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่เขาอย่างเอือมระอา แล้วออกคำสั่งว่า “ทหาร เอามันออกไปจากเมืองหลวงเสีย”
ขันทีสองคนตอบรับ เดินเข้ามา แล้วลากหลินฉงเหวินออกไปเยี่ยงสุนัขตายอย่างใดอย่างนั้น
แล้วฮ่องเต้ก็พูดขึ้นอีกว่า “เซวียนเอ๋อร์ ตระกูลหลินมาถึงขั้นนี้แล้ว อวี้เอ๋อร์ไม่สมควรดองญาติกับพวกเขาอีก หลินหันเยียนนั้น ให้นางเป็นอนุภรรยาเถิด”
หวงฝู่อี้เซวียนโค้งตัวลง “ขอน้อมรับคำสั่งเสด็จลุง ข้าจะกลับไปปรึกษาอวี้เอ๋อร์บัดเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาจากตำหนักหยางซิน แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่กล้าบอกฮ่องเต้เรื่องที่หลินหันเยียนโดนไล่ออกจากจวนแล้ว ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตา ไม่เอาชีวิตคนของตระกูลหลิน ครานี้อวี้เอ๋อร์กับหลินหันเยียนต่างไม่ติดค้างซึ่งกันและกันจริงๆ แล้วสินะ
ณ จวนหลิน
ราชองครักษ์ได้ถอนไปหมดแล้ว ไม่มีใครมาห้ามปรามฮูหยินหลินได้อีกต่อไป นางได้ใจยิ่งนัก ออกคำสั่งกับคนรถในจวนให้เตรียมรถม้าไว้ให้พร้อม จะไปรอข่าวดีของหลินฉงเหวินที่หน้าประตูวัง แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูจวน กลับพบหลินหันเยียนนอนฟุบสลบอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ แต่บ่าวรับใช้ในจวนกลับทำเป็นมองไม่เห็น ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย จึงโกรธตะโกนเสียงดังออกมาว่า “ไปเรียกพ่อบ้านมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
บ่าวรับใช้ก็รีบเข้าไปรายงานโดยทันที
พ่อบ้านรีบวิ่งเหยาะๆ มา ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฮูหยินหลินก็พูดออกมาอย่างเจ็บแสบว่า “พ่อบ้าน ข้ายังไม่ทันตาย พวกเจ้าก็ละเลยหลินหันเยียนเยี่ยงนี้แล้วงั้นรึ แล้วถ้าหากว่าข้าตาย พวกเจ้าจะไม่เอานางไปโยนให้หมาข้างถนนกินเลยรึไง”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ฮูหยินหลินยังไม่รู้อีกว่าตนนั้นทำอะไรลงไป แล้วยังจะมาชี้นิ้วสั่งนั่นนี่อยู่ตรงนี้อีก พ่อบ้านอยากจะสวนนางกลับไปว่า ‘ไม่เพียงแต่จะเอาลูกสาวเจ้าไปโยน จะเอาเจ้าไปโยนให้เป็นอาหารหมาก่อนใครเสียด้วยซ้ำ’ แต่เขาไม่กล้าพูดออกไป ได้แต่ก้มหน้าก้มตามองพื้น ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
พ่อบ้านมีท่าทีเช่นนี้ ฮูหยินหลินก็เริ่มโมโหขึ้น “พวกโง่เอ้ย ไม่เข้าใจที่ข้าพูดอย่างนั้นรึ ยังไม่เรียกคนมาพยุงคุณหนูเข้าไปอีก”
พ่อบ้านไม่ได้มีทีท่านอบน้อมเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป แต่กลับตอบกลับไปด้วยความสุภาพ “ฮูหยิน นายน้อยออกคำสั่งไว้ ใครพยุงคุณหนูเข้าจวน จะตัดแขนขาของคนผู้นั้นให้หมด เหล่าบ่าวรับใช้ทั้งหลายต่างก็ไม่อยากพิการให้คนดูแลในบั้นปลายชีวิตขอรับ ขอฮูหยินโปรดเข้าใจด้วย”
ฮูหยินหลินก็ด่าออกมา “ลูกเนรคุณคนนั้นน่ะรึ ไม่เพียงแต่กุมตัวพ่อของตนเอง แล้วยังจะทำเช่นนี้กับน้องสาวของตนเองอีก เห็นทีคงไม่ต้องช่วยเขาออกมาแล้วล่ะ ให้เขาสำนึกผิดอยู่ในคุกนั่นแหละ”
พ่อบ้านเงียบ
ด่าไปก็แล้ว ยังไม่มีใครเข้ามาช่วยพยุงขึ้นอีก ไม่มีทางเลือก ฮูหยินหลินก็สั่งหงเอ๋อร์ “ช่วยข้าพยุงเยียนเอ๋อร์เข้าไปที”
หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้วทุบลงไปที่ขาที่ชาของตน ยืนขึ้นอย่างโซเซ เดินไปที่ด้านหน้าหลินหันเยียน โค้งตัวลง แล้วช่วยฮูหยินหลินพยุงนางขึ้นมา ดูเหมือนจะลากนางไปที่จวนอ๋อง
แล้วก็มีบ่าวรับใช้ในจวนวิ่งกลับมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นพ่อบ้านยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็ตะโกนออกมาอย่างร้อนรนว่า “พ่อบ้านขอรับ แย่แล้วขอรับ นายท่านโดนเนรเทศออกนอกเมืองไปแล้วขอรับ”
“อะไรนะ” ฮูหยินหลินหยุด หันกลับมาถามด้วยเสียงตกใจ
บ่าวรับใช้ก็ตกใจ แล้วพูดอีกรอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นาย นายท่าน โดนเนรเทศออกจากเมืองหลวงแล้วขอรับ เห็นว่าเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ นายท่านไม่สามารถเข้าเมืองหลวงได้อีกตลอดชีวิตขอรับ”
“เป็นไปได้อย่างไร” ฮูหยินหลินร้องออกมาอย่างเสียสติ จนแก้วหูของพ่อบ้านแทบแตก หลินหันเยียนก็ฟื้นขึ้นมาเพราะเสียงของนาง มองฮูหยินหลินอย่างงุนงง
ฮูหยินหลินร้อนรน ปล่อยนางลง แล้วเดินไปที่บ่าวรับใช้ แล้วตะคอกออกมาว่า “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดฮ่องเต้ต้องลงโทษท่านพี่ด้วย”
บ่าวรับใช้ได้แต่ส่ายหน้า ถอยห่างออกไป “บ่าวไม่ทราบขอรับ บ่าวได้แต่รออยู่ที่นอกประตูวัง เมื่อเห็นพวกเขาลากนายท่านออกมา ก็เลยตามไปดู จนถึงประตูเมืองขอรับ ถึงได้วางนายท่านลง เมื่อถามคนที่ตามมาดูเหตุการณ์ พวกเขาบอกมาเช่นนี้ ส่วนความจริงเป็นเช่นไร บ่าวไม่รู้เรื่องเลยขอรับ”
“ข้าไม่เชื่อ ฮ่องเต้ไม่ทำเช่นนี้แน่ ไป เจ้าพาข้าไปดู ถ้าหากว่าเจ้าโกหกล่ะก็ ข้าจะถลกหนังหัวเจ้าเลยคอยดู” พูดจบ ก็รีบเดินออกไปจากจวนทันที ขึ้นบนรถม้าที่เตรียมเอาไว้เพื่อจะไปวังหลวง แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูเมือง
มองไปที่รถม้าที่มุ่งหน้าออกไป พ่อบ้านก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ครานี้จวนหลินจบสิ้นแล้วจริงๆ ส่วนบ่าวรับใช้อย่างพวกเขานั้นไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรต่อไป
หลินหันเยียนฟื้นขึ้น หันไปถามหงเอ๋อร์ที่เหงื่อท่วมตัวว่า “ที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ คือจะบอกว่าท่านพ่อของข้าโดนเนรเทศออกจากเมืองหลวงงั้นรึ ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่”
หงเอ๋อร์ไม่กล้ามองตาของนาง ได้แต่ก้มหน้าพยักเบาๆ
ขาของหลินหันเยียนก็อ่อนแรงลงทันที หงเอ๋อร์รับไม่ไหว ทั้งสองคนเลยล้มลงกับพื้นพร้อมกัน
“คุณหนู คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ” หงเอ๋อร์รีบลุกขึ้นมา ถามอย่างร้อนรน
หลินหันเยียนก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเหม่อลอย นางไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องมันจะมาถึงขั้นนี้ ในใจนึกเสียใจ ร้อนรน แล้วก็วูบสลบลงไปอีกรอบ
เป็นเช่นนี้ติดกันสองรอบ หงเอ๋อร์เริ่มรู้สึกชินเสียแล้ว ไม่ได้มีเสียงร้องเรียกออกมา แล้วยื่นหัวแม่โป้งออกมากดลงไปที่ใต้จมูกของนาง “คุณหนู ฟื้นสิ”
หลินฉงเหวินถูกโยนออกไปที่นอกเมือง หลินจ้งติดอยู่ในคุก ตอนนี้พ่อบ้านไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี ได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาว แล้วกวักมือเรียกสาวใช้ที่ยืนนิ่งไม่รู้จะทำอะไรมา ออกคำสั่งว่า “พวกเจ้า ไปส่งคุณหนูที่เรือนของนางเสีย”
เหล่าสาวใช้ก็ตอบรับ ก้าวเท้าออกไป แล้วรีบพยุงหลินหันเยียนไปที่เรือนของนาง
พ่อบ้านก็ถอนหายใจออกมาเฮือกยาวอีกหนึ่งครั้ง แล้วก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปที่เรือนของสะใภ้ใหญ่ตระกูลหลิน เพื่อถามว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
แล้วเสียงของนายประตูก็ดังขึ้น “นายน้อยกลับมาแล้ว นายน้อยกลับมาแล้วขอรับ”
พ่อบ้านก็หยุดเดิน หลังจากนั้นก็เกิดอาการดีใจเป็นอย่างมาก นายน้อยกลับมาแล้ว แสดงว่าไม่มีอะไรแล้ว เลยหันหลังกลับรีบเดินไปที่นอกจวน รีบเดินเสียจนแทบจะหัวชนกับหลินจ้ง แล้วหยุดพูดว่า “นายน้อยขอรับ ท่านกลับมาแล้ว จวนหลินของเรารอดแล้วใช่ไหมขอรับ”
หลินจ้งสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมสั่งว่า “พ่อบ้าน ท่านไปบอกให้ฝ่ายบัญชีเอาเล่มบัญชีของตระกูลหลินออกมาให้กับฮูหยินของข้า แล้วเอาสัญญาการซื้อตัวทาสรับใช้ในจวนทั้งหมดมาด้วย”
“เอ่อะ… ขอรับ” พ่อบ้านชะงักไป ก่อนจะรีบตอบรับ
หลินจ้งกลับไปที่เรือนของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินนั่งซับน้ำตาอยู่ที่เก้าอี้ เด็กไร้เดียงสาทั้งสองคนก็อยู่ในอ้อมอกของนาง เมื่อเห็นหลินจ้งเดินเข้ามา ก็ตะโกนเรียกออกมาด้วยความดีใจ “ท่านพ่อ!” แล้วพุ่งตัวเข้าไปกอดเขาแน่น
สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่เชื่อ น้ำตาก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า ลุกยืนขึ้น แล้วรีบเดินไปที่ด้านหน้าเขา ยิ้มทั้งน้ำตาแล้วพูดว่า “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว”
โค้งตัวลงไปกอดลูกทั้งสอง หลินจ้งก็พยักหน้าด้วยความอึดอัด “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ข้าไปเป็นทหารชายแดน ออกเดินทางภายในสามวัน เจ้าช่วยข้าจัดการด้วย แล้วก็ข้าได้ให้ฝ่ายบัญชีนำบัญชีทั้งหมดมา เจ้าดูสิว่ายังพอมีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ ส่งไปให้ท่านพ่อกับท่านแม่ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ให้เจ้ากับลูกเอาไว้กินใช้ ส่วนพวกบ่าวรับใช้ ข้าได้ให้พ่อบ้านเอาสัญญาการซื้อตัวมาแล้ว เจ้าเลือกคนที่ใช้งานได้ ส่วนที่เหลือก็ขายทิ้งไปเสีย ต่อไปนี้จวนของเราจะมีรายได้น้อยลง เลี้ยงบ่าวรับใช้ทั้งหมดไม่ไหวหรอก”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินส่ายหน้า เด็กทั้งสองคนก็จับแขนเสื้อของหลินจ้งเอาไว้แน่น ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ ท่านพี่ ข้าจะไม่อยู่ในเมืองหลวง ข้าจะตามไปอยู่ชายแดนกับท่าน แล้วเอาลูกของพวกเราไปด้วย ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวของเราสี่คนจะต้องไม่แยกจากกัน”
“ชายแดนมีแต่พายุทราย สภาพการเป็นอยู่ก็ยากลำบาก ถ้าเจ้ากับลูกไปล่ะก็ ทนความลำบากไม่ไหวแน่ ฟังข้าเถิด เจ้าสามคนแม่ลูกอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ ข้าจะหาทางกลับมาเยี่ยมพวกเจ้าทุกปี”
ภรรยาหลินจ้งเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหน้าของนาง ท่าทางยืนกราน แล้วยังยืนยันคำเดิม “ขอแค่ครอบครัวของเราได้อยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนข้าก็ไม่กลัว ชายแดนนั้น พวกเราสามคนจะต้องไปกับท่านเจ้าค่ะ”
“เจ้า… …” เมื่อเห็นสายตาที่แน่วแน่ของนาง คำพูดที่หลินจ้งจะพูดก็กลืนกลับเข้าไป ถอนหายใจออกมาแล้วบอกว่า “ยังมีเวลาอีกหลายวัน เจ้าลองคิดดูให้ดีเถิด ข้าทนเห็นให้เจ้าสามแม่ลูกต้องลำบากไม่ได้จริงๆ”
“ท่านพี่ไม่อยู่เมืองหลวงต่างหากล่ะ พวกเราสามแม่ลูกถึงลำบาก”
ลูกทั้งสองคนได้แต่กอดหลินจ้ง ไม่พูดอะไร หลินจ้งก็รู้สึกได้ถึงเยื่อใยนั้น จึงกัดฟันพยักหน้า “ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราทั้งสี่คนก็ไปชายแดนด้วยกัน ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเจ้าด้วย”
ภรรยาหลินจ้งก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เจ้าค่ะ ข้าจะพาลูกๆ ไปเก็บของ ส่วนท่านจัดการเรื่องในจวนเถิดเจ้าค่ะ”
พูดจบ ก็จูงเด็กทั้งสองเข้าห้องไป
ฝ่ายบัญชีและพ่อบ้านก็นำบัญชีและสัญญาการซื้อขายบ่าวรับใช้มา
หลังจากที่หลินจ้งบอกกับพวกเขาเรื่องที่ฮ่องเต้ลงโทษเขาแล้วนั้น ก็บอกว่า “พวกเจ้าอยู่ที่จวนนี้มาก็หลายปีแล้ว ทำงานให้กับตระกูลหลินอย่างเต็มที่ ดังนั้น ข้าอยากจะถามความเห็นของพวกเจ้า ว่าจะไปชายแดนกับข้า หรือว่าจะไปมีชีวิตใหม่” และแน่นอนมีชีวิตใหม่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้พวกเขาหางานใหม่ทำแน่ แต่หมายถึงขายพวกเขาออกไปต่างหาก
ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เป็นคนรับใช้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นครอบครัวของตนต่างก็อยู่ที่จวนหลิน ถ้าหากว่าไปจากตระกูลหลิน ก็ไม่รู้ว่าจะได้ขายไปที่ใด เมื่อคิดได้ดังนั้น ทั้งสองคนก็โค้งตัวลงพร้อมกันแล้วบอกว่า “บ่าวยินดีตามนายน้อยไปอยู่ที่ชายแดนขอรับ”
หลินจ้งพยักหน้า “ดี ในเมื่อพวกเจ้ายินยอม นอกจากครอบครัวของพวกเจ้าแล้ว ที่เหลือก็ขายออกไปเสีย”
นายบัญชีและพ่อบ้านก็ตอบรับ
เพิ่งจะจัดการเสร็จ ฮูหยินหลินก็ร้องไห้จะเป็นจะตายเดินเข้ามาจากนอกจวน “จ้งเอ๋อร์ จ้งเอ๋อร์เอ๋ย พ่อของเจ้าถูกฮ่องเต้สั่งให้โยนออกไปนอกเมืองจริงๆ แล้วจะทำเช่นไรดีลูก”
หลินจ้งก็ออกไปรับ “ท่านแม่ขอรับ”
ราวกับเป็นโอกาสที่ฟ้าประทานอย่างใดอย่างนั้น ฮูหยินหลินรีบเข้าไปดึงแขนของหลินจ้ง “จ้งเอ๋อร์ เจ้ารีบคิดหาทางสิ พ่อของเจ้ายังนอนอยู่ที่นอกเมืองอยู่เลย”
“ท่านแม่ขอรับ” น้ำเสียงของหลินจ้งนั้นทั้งขึงขังและเศร้าโศก “เมื่อมีรับสั่งจากองค์ฮ่องเต้แล้ว ลูกก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกขอรับ”
แล้วฮูหยินหลินก็ทุบเขาอย่างบ้าคลั่ง “เป็นเพราะเจ้าๆ ถ้าหากว่าเจ้าไม่เชื่อคำข่มขู่ของหวงฝู่อี้เซวียนนั่น แล้วกุมตัวพ่อของเจ้าล่ะก็ เขาจะเป็นเช่นนี้รึ เป็นเพราะลูกเนรคุณอย่างเจ้า ถ้าหากรู้ว่าเจ้าจะอกตัญญูเช่นนี้ล่ะก็ น่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากเจ้าให้ตายๆ ไปเลยตั้งแต่ทีแรกก็ดี”
หลินจ้งยืนนิ่งไม่ขยับ ทนฟังคำด่าของฮูหยินหลิน
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฮูหยินหลินตีจนเหนื่อย แล้วจึงหยุดนั่งกองลงไปกับพื้น พูดพึมพำว่า “จบสิ้นแล้ว มันจบสิ้นแล้ว”
หลินจ้งก็โค้งตัวลงไปพยุงนางขึ้นมา แล้วบอกว่า “ท่านแม่ ฮ่องเต้ลงโทษให้ข้าไปรักษาชายแดน ท่านกับท่านพ่อไปกับข้าเถิดขอรับ ชายแดนนั้นอยู่ห่างจากเมืองหลวงเป็นพันลี้ ไม่มีใครรู้อดีตของพวกเรา พวกเราสามารถเริ่มต้นใหม่กันได้นะขอรับ”
ฮูหยินหลินใช้สายตาที่ว่างเปล่ามองมาที่เขา แล้วถามเบาๆ “ไปชายแดนงั้นรึ”
หลินจ้งพยักหน้า “บางทีอยู่ที่นั่น อาการของท่านพ่อก็อาจจะดีขึ้นนะขอรับ”
ฮูหยินหลินก็หันหลับไป เหมือนกับกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของหลินจ้ง
“พ่อบ้าน!” หลินจ้งตะโกนเรียก
พ่อบ้านเดินเข้ามาตอบรับ “นายน้อยขอรับ”
“เจ้าไปที่นอกเมืองด้วยตนเอง เตรียมการทางฝั่งนายท่านให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาวันที่พวกเราออกเดินทาง เราจะไปรับเขาไปด้วยกัน”
พ่อบ้านตอบรับ ออกคำสั่งกับคนรถให้ไปที่นอกเมืองอย่างรวดเร็ว
ส่วนฮูหยินหลินนั้นก็ยังคงคิดหนักไม่หยุด หลินจ้งก็ไม่ได้กดดันอะไร บอกว่า “ท่านแม่ขอรับ ข้าจะจัดการทางเรื่องท่านพ่ออย่างดี ท่านกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด ข้าจะไปดูน้องเล็ก”
ฮูหยินหลินก็พยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว แล้วสาวใช้ก็พยุงกลับไปที่เรือนอย่างโดยดี
เมื่อเห็นนางเดินเข้าไปแล้ว หลินจ้งถึงได้เดินมาที่ห้องของหลินหันเยียน
หลินหันเยียนฟื้นแล้ว ได้แต่มองเหม่อไปด้านหน้า
หลินจ้งก็โบกมือให้สาวใช้ในเรือนนั้นออกไปก่อน แล้วลากเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียง บอกว่า “น้องเล็ก”
หลินหันเยียนก็หันมามองที่เขา
“ฮ่องเต้มีรับสั่ง ท่านพ่อไม่สามารถเข้าเมืองหลวงได้ไปตลอดชีวิต ส่วนข้าก็โดนทำโทษให้ไปรักษาชายแดน พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้ากับหลานๆ ก็ไปด้วย พี่อยากจะมาถามเจ้า ว่าเจ้าอยากจะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะไปชายแดนกับข้า”
“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนเอ่ยปาก ถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ข้าทำผิดอะไรหรือไม่”
หลินจ้งเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร
หลินหันเยียนก็ยิ้มเยาะตนเอง พูดว่า “ข้าคิดว่าตนเองนั้นฉลาด อยากเล่นงานพี่ใหญ่ แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะเป็นการทำลายครอบครัวของตนเอง ที่ข้าตกมาอยู่จุดนี้ เป็นเพราะกรรมของข้าแท้ๆ”
ตอนที่ 386 ความหวัง
หลินจ้งพูดว่า “น้องเล็ก ถ้าหากเจ้าอยากอยู่กับคุณชายรองล่ะก็ พี่ใหญ่คนนี้จะบากหน้าไปขอร้องเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่ว่า… …”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” เขายังไม่ทันพูดจบ หลินหันเยียนก็แทรกขึ้นมา แล้วเก็บสายตาเข้ามา เงยหน้าขึ้นไปมองเหม่อไปตรงหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่ข้าตกลงมาอยู่จุดนี้นั้นเป็นเพราะข้าทำตัวเอง พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องไปทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้นเพื่อข้าหรอก ท่านพี่กลับไปเถิด ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
หลินจ้งอยากพูดอะไรเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นท่าทางของหลินหันเยียนแล้วนั้น ก็กลืนคำพูดของตนลงไป ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาว ลุกขึ้นแล้วว่า “เอาเถอะ พี่จะไปจัดการเรื่องในจวนให้เสร็จ เจ้าก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก หลังจากที่ไปชายแดนกับพี่แล้ว เจ้ายังเริ่มต้นใหม่ได้”
หลินหันเยียนนิ่งไม่ได้มีการตอบสนองใดๆ ทั้งนั้น
หลินจ้งถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วเดินออกจากห้องไป ออกคำสั่งกับหงเอ๋อร์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องว่า “คอยดูคุณหนูเอาไว้ตลอดเวลา”
หงเอ๋อร์ตอบรับ
เมื่อหลินจ้งเดินออกไปไกลแล้ว
หลินหันเยียนยิ้มออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ น้ำตาเริ่มไหลออกมา
หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาที่จวน ก็ไปที่เรือนของพระชายาฉี แล้วรายงานเรื่องที่ฮ่องเต้ลงโทษหลินฉงเหวินและตระกูลหลินให้กับพวกเขาฟัง
พระชายาฉีก็พูดออกมาด้วยความสงสาร “ชิงเตี๋ยคงคิดไม่ถึง นางอุตส่าห์วางแผนใช้เยียนเอ๋อร์กับชิงเยียน แต่กลับต้องมาพบจุดจบเยี่ยงนี้”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไร้คำพูด
ท่านอ๋องฉีเงียบไม่พูดอะไร
พระชายาฉีเงยหน้าไปมองหวงฝู่อวี้ เห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ได้รู้สึกอะไร ก็ถอนหายใจออกมาแล้วบอกว่า “อวี้เอ๋อร์ เยียนเอ๋อร์นาง… …”
“เสด็จแม่ ลูกไม่สามารถสู่ขอนางได้อีก ไม่ว่านางจะไปที่ใดทำอะไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับลูกอีก” หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่มีความลังเลเลยสักนิด
พระชายาฉีก็ถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า “แม่รู้ว่าช่วงที่ผ่านมา เจ้ากับเยียนเอ๋อร์ก็ประสบอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นหญิงที่ไม่เคยแต่งงาน แต่กลับอยู่กับเจ้าโดยไม่มีสถานะได้ตั้งนาน ตอนนี้จวนหลินเกิดเรื่องขึ้น ถ้าหากว่าเจ้าไม่ดูแลนาง แล้วเจ้าจะให้นางยืนหยัดด้วยตนเองในเมืองหลวงนี้ได้อย่างไร”
“เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ลูกได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่านางยินยอม ลูกรับรองว่าชีวิตนี้ของนางจะไม่ขาดตกบกพร่อง เว้นเสียแต่เรื่องแต่งงานนั้นเป็นไปไม่ได้จริงๆ ขอรับ ลูกเองก็ไม่อยากเจอนางอีก”
พระชายาฉีก็ยังคงโน้มน้าวต่อ “เยียนเอ๋อร์อายุยังน้อย เอาแต่ใจไปหน่อย แต่เนื้อแท้นั้นไม่เลวเลย เจ้า… …”
“เสด็จแม่ขอรับ” ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนพูดแทรกขึ้นมา “อวี้เอ๋อร์ไม่กล้าบอกท่าน เหมือนว่าคุณหนูหลินจะไม่สามารถมีทายาทได้ขอรับ”
คำพูดของพระชายาฉีที่ยังค้างอยู่ก็กลืนลงคอไป ได้แต่ชะงักอ้าปากค้าง มองไปที่หวงฝู่อวี้ แล้วใช้สายตาถามว่าจริงหรือไม่
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “หมอหลวงเจียงเป็นคนพูดเองขอรับ”
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน” พระชายาฉีถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ตอบ
หวงฝู่อี้เซวียนก็เงียบไม่พูดอะไร
พระชายาฉีหมดซึ่งคำพูด เรื่องทายาทนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าหลินหันเยียนไม่สามารถมีลูกได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถขึ้นเป็นเจ้าบ้านได้ ถ้าหากให้นางเป็นอนุภรรยา ด้วยนิสัยหยิ่งยโสของนางแล้ว นางไม่ยอมอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจก่อเรื่องขึ้นได้ในอนาคต
ในห้องเงียบสงัด
เวลาผ่านไป พระชายาฉีก็พูดขึ้นอีกว่า “แต่ก็โทษเยียนเอ๋อร์ไม่ได้นะเรื่องนี้ เช่นนี้แล้วกัน เจ้าไปจวนหลินแล้วถามด้วยตนเอง ดูว่าเยียนเอ๋อร์คิดเห็นอย่างไร ถ้าหากว่านางยอมถอยก้าวหนึ่ง มาเป็นอนุภรรยา เมื่อหลินจ้งไปที่ชายแดนแล้ว พวกเราจะจัดงานแต่งให้พวกเจ้าโดยทันที”
หวงฝู่อวี้กำลังจะบอกว่าตนไม่เห็นด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยื่นเท้าออกมาเตะเข้าไปที่ขาของเขา
หวงฝู่อวี้เจ็บจนพูดไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนก็บอกว่า “เสด็จแม่ วางใจเถิดขอรับ อวี้เอ๋อร์รู้ดีว่าควรทำอย่างไร”
พระชายาฉีพยักหน้า
เมื่อทั้งสองคนเดินออกมาจากเรือนของพระชายาฉีแล้ว
หวงฝู่อวี้ก็เดินขากระเผลกตามหวงฝู่อี้เซวียนมาแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าท่านจะให้ข้าไปจวนหลินแล้วเอาตัวหลินหันเยียนกลับมานะขอรับ”
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนหันไปถามด้วยความยิ้มมุมปาก
หวงฝู่อวี้ก็เริ่มไม่แน่ใจเข้าไปใหญ่ ส่ายหน้า “ข้า ข้าไม่รู้”
แล้วก็เตะเข้าไปที่ขาอีกข้างหนึ่ง
หวงฝู่อวี้เจ็บจนต้องร้อง โอ้ย ออกมา ยกขาขึ้นมากอดแล้วเดินไปมา แล้วพูดออกมาว่า “พี่ใหญ่ ท่านเตะข้าแรงเกินไปแล้ว ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
“สมควร ใครใช้ให้เจ้าไม่มีสมองกันล่ะ อุตส่าห์ฝากฝังให้เจ้าจัดการเรื่องการค้าในจวนก็นานนม แต่สมองไม่ได้โตขึ้นเลย เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร เจ้าไม่คิดเอาไว้งั้นรึ” หวงฝู่อี้เซวียนด่าไปยิ้มเยาะไป
หวงฝู่อวี้วางขาตนเองลง ยืนตรงแล้วพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้าจะไม่คิดไว้ได้อย่างไร ข้าคิดไว้ตั้งนานแล้วขอรับ”
แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็ยื่นมือออกไปทุบหัวของเขาอย่างรุนแรง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทำตามแผนที่เจ้าวางไว้เถอะ”
“แต่ว่าเสด็จแม่ท่าน… …” พูดถึงตรงนี้ ก็คิดได้ถึงบางอย่าง เลยเบิกตาโตถามว่า “ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าท่านจะให้ข้าตระบัดสัตย์ต่อท่านแม่หรอกนะ”
ตุบ ครั้งนี้ลงมือหนักกว่าครั้งที่แล้ว
หวงฝู่อวี้กุมขมับร้อง โอ้ยๆ ออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้สนใจเขา แล้วหัวเราะเดินออกไป
เมื่อเห็นว่าเขาเดินออกไปไกลแล้ว หวงฝู่อวี้ก็ปล่อยมือออก แล้วยิ้มมุมปากขึ้นมา เงยหน้ามองฟ้า ดวงตาเปล่งประกาย สบายใจยิ่งนัก แล้วเก็บสายตา ก้าวเท้ากลับไปที่เรือนของตน ไปหยิบโฉนดและตั๋วเงินสองแสนตำลึงที่หลินหันเยียนไม่ได้เอาไปใส่ที่หน้าอก แล้วเดินออกมาสั่งเฮ่ออีว่า “รีบไปเอารถม้ามา พวกเราจะไปจวนหลินกัน”
เฮ่ออีตอบรับ ไม่นานก็เอารถม้ามา หวงฝู่อวี้ขึ้นนั่ง แล้วก็มาถึงที่จวนหลิน
จวนหลินรกไม่เป็นระเบียบ นอกจากนายบัญชีกับพ่อบ้านแล้ว คนที่เหลือก็โดนขายออกไปจนหมด หลินจ้งก็ไม่ได้ขายเปล่า ยังแจกเงินให้คนละสิบตำลึง พวกเขาจึงถือถุงเงินออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วเดินออกไปกับนายหน้า
พ่อบ้านเงยหน้าขึ้น เห็นหวงฝู่อวี้เข้า ก็รีบเข้าไปต้อนรับทันที “คุณชายรองขอรับ”
“หลินจ้งอยู่หรือไม่” เมื่อตัดขาดความสัมพันธ์กับหลินหันเยียนแล้ว คำพูดที่ใช้เรียกหลินจ้งของหวงฝู่อวี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“นายน้อยอยู่ขอรับ คุณชายรองโปรดตามข้ามา”
พ่อบ้านก็นำเขาเข้ามาที่ห้องรับแขกอย่างดี ในขณะที่กำลังจะสั่งให้คนไปชงชา ก็นึกขึ้นได้ว่าขายบ่าวรับใช้ออกไปหมดแล้ว จึงยิ้มออกมาว่า “วันนี้จวนค่อนข้างวุ่นวาย คุณชายรองโปรดให้อภัย ข้าจะไปชงชาให้ท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“ไม่ต้องหรอก ไปเรียกคุณชายของพวกเจ้ามา ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา แล้วจะรีบไป”
พ่อบ้านพยักหน้า แล้วไปรายงานที่เรือนของหลินจ้ง
เมื่อหลินจ้งได้ยินดังนั้น ก็รีบวางทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในมือแล้วรีบมาที่ห้องรับแขกทันที ประสานมือทำความเคารพแล้วพูดว่า “คุณชายรองขอรับ”
หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้รอช้า ควักโฉนดและตั๋วเงินออกมาวางบนโต๊ะแล้วพูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่ข้าเตรียมไว้ให้กับคุณหนูหลิน บ้านที่หนานเฉิงและเงินอีกหนึ่งแสนตำลึง ส่วนอีกหนึ่งแสนตำลึงนั่นเป็นเงินที่ท่านให้ไว้กับพี่ใหญ่ของข้าในตอนแรก ขอให้ท่านนำไปมอบให้กับนางด้วย”
พูดจบ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
หลินจ้งก็หันไปกันเขาเอาไว้ “คุณชายรองขอรับ เดี๋ยวก่อนขอรับ”
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร”
หลินจ้งโค้งตัวลงไปมากกว่าเดิม แสดงท่าทางเคารพมากไปยิ่งกว่าเดิมแล้วพูดว่า “คุณชายรอง ท่านให้โอกาสคุณหนูหลินอีกครั้งได้หรือไม่ขอรับ หลินจ้งคนนี้จะสำนึกบุญคุณของท่านไปชั่วชีวิตขอรับ”
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า แล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ไม่สามารถ”
หลินจ้งก็ชะงักไป
แล้วหวงฝู่อวี้เดินออกไป
หลินจ้งยืนตรง อ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูด คุณชายรองพื้นเพเป็นคนใจดี ดีกับเยียนเอ๋อร์เสียยิ่งกว่าอะไร ถ้าหากว่าเยียนเอ๋อร์ไม่ทำเรื่องที่เขาเกินจะรับได้ล่ะก็ เขาจะไม่มีวันตัดสินใจยุติความสัมพันธ์นี้เด็ดขาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาขอร้องอ้อนวอนเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์
ออกจากจวนหลินมา หวงฝู่อวี้ก็ถอนหายใจเบาๆ เดินขึ้นรถม้า สั่งเฮ่ออีว่า “ไป ไปตรวจตราร้านค้ากัน”
รถม้าเคลื่อนห่างออกไปจากจวนหลิน จนกระทั่งมองไม่เห็น
หลินจ้งหยิบโฉนดและตั๋วเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งสิ่งที่อยู่ในมือให้กับพ่อบ้าน “เอาของเหล่านี้ไปมอบให้กับคุณหนูหลินเสีย”
พ่อบ้านรับไป แล้วมาที่เรือนของคุณหนูหลิน เมื่อบอกกล่าวเรียบร้อยแล้ว ก็เดินเข้ามาที่ด้านใน แล้วยื่นโฉนดกับตั๋วเงินนั้นให้อย่างนอบน้อม “คุณหนูขอรับ ของเหล่านี้เป็นของที่คุณชายรองเพิ่งจะเอามาให้ นายน้อยเลยสั่งให้ข้านำมาส่งให้ขอรับ”
หลินหันเยียนขยับไปมองของที่อยู่ในมือ แล้วหันกลับไป บอกว่า “วางไว้บนโต๊ะเถอะ”
พ่อบ้านตอบรับ แล้ววางไว้บนโต๊ะ
“เขาได้พูดอะไรหรือไม่” หลินหันเยียนถามอย่างไม่ได้คาดหวังอะไร
พ่อบ้านก็ชะงักไป หลังจากนั้นก็คิดได้ว่านางคงถามถึงหวงฝู่อวี้ จึงส่ายหน้า “คุณชายรองไม่ได้บอกอะไรกับบ่าวขอรับ”
หลินหันเยียนก็เงียบไป
พ่อบ้านก็ถอยออกไป
แล้วหลินหันเยียนก็ยังคงมองเหม่อไปตรงหน้าเช่นเดิม
ส่วนหงเอ๋อร์นั้นก็ได้แต่มองนางด้วยความเป็นห่วง
เรื่องที่หลินฉงเหวินถูกสั่งให้คนนำไปโยนไว้ที่นอกเมืองนั้น ไม่นานก็ข่าวก็ลือกันไปทั่วเมืองหลวง ชาวบ้านต่างก็เอาเรื่องนี้ไปเป็นเรื่องพูดเล่าสนุกๆ เมื่อพูดเสร็จ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ส่วนขุนนางสำนักต่างๆ นั้น ต่างก็ตกใจจนชะงักไปตามๆ กัน
หลายปีมานี้ที่หลินฉงเหวินดูแลการทหาร ถึงไม่มีผลงานแต่ก็เห็นถึงความตั้งใจ อะไรกันแน่ที่ทำให้ฮ่องเต้โกรธถึงขั้นรับสั่งลงโทษขั้นรุนแรงขนาดนั้น หลังจากที่ตกตะลึงกันนั้น ก็ส่งคนในจวนให้ออกไปสืบข่าวมา เมื่อได้ยินถึงเรื่องราว ก็ตกใจจนไม่รู้ว่าจะทำเยี่ยงไรดี ถึงขั้นจ้างจอมยุทธ์ไปทำลายล้างครอบครัวของคนอื่นนั้น หลินฉงเหวินนั้นหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ถ้าหากว่าไม่เห็นแก่หน้าของจวนท่านอ๋องฉีล่ะก็ หลินฉงเหวินคงไม่ได้แค่ถูกเนรเทศออกนอกเมืองง่ายๆ เช่นนั้นแน่
ไม่ว่าข้างนอกจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไรก็ตาม หลินจ้งไม่มีเวลาไปสนใจ เหลือบ้านทิ้งเอาไว้ ส่วนร้านรวงที่นาที่เหลือก็ขายไปเสียหมด เก็บของเตรียมไว้เรียบร้อย อีกสองวันก็จะออกเดินทางแล้ว วันสุดท้าย ก็สั่งให้คนจัดเตรียมของที่ต้องใช้ระหว่างทางให้เรียบร้อย จนเต็มทั้งสองคนรถม้า หลินจ้งก็มาที่เรือนของฮูหยินหลิน แล้วพูดกับฮูหยินหลินที่สองวันนี้ครุ่นคิดจนผมบนหัวกลายเป็นสีขาวโพลนว่า “ท่านแม่ ใกล้ถึงกำหนดแล้ว จะต้องออกเดินทางแล้วขอรับ”
ฮูหยินหลินก็มองไปที่เขา ด้วยดวงตาที่แดงกร่ำ แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกผิดหวัง แล้วพูดว่า “จ้งเอ๋อร์ แม่เองที่ทำร้ายเจ้า”
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว ขอแค่ครอบครัวเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จ้งเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว”
ฮูหยินหลินสะอื้น สุดท้ายก็อดไม่ไหวร้องไห้โฮออกมา
หลินจ้งไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไรดี ทำได้เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่เคียงข้าง รอให้นางระบายออกมาหมด แล้วค่อยบอกว่า “ท่านแม่ขอรับ ร้องไห้มากไม่ดีต่อสุขภาพ ท่านพ่อยังต้องการให้ท่านดูแลนะขอรับ ท่านต้องรักษาตนให้ดีนะขอรับ”
ฮูหยินหลินก็เช็ดน้ำตา พยักหน้า แล้วยืนขึ้น เดินออกไป
หลินจ้งเดินตามหลังมา
ทั้งสองคนก็เดินมาที่ห้องของหลินหันเยียน
หลินหันเยียนก็ยังคงเหม่อมองไปที่เพดานบ้าน ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
ฮูหยินหลินก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เดินมานั่งที่หัวเตียงของนาง ลูบเบาๆ ไปที่หัวพูดว่า “เยียนเอ๋อร์ เรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ลุกขึ้นมาเก็บของเถิด แล้วไปชายแดนกับพวกเรา”
หลินหันเยียนถึงได้รู้สึกตัว หันมามองที่พวกเขา แล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ผ่านไปสามวันแล้วงั้นหรือเจ้าคะ”
“วันนี้เป็นวันที่สาม ฮ่องเต้สั่งให้พวกเราออกเดินทางในสามวัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว”
“อ่อ” หลินหันเยียนพูดออกมาเบาๆ แล้วตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นนั่ง แต่เนื่องจากสองวันที่ผ่านมาไม่มีข้าวตกถึงท้องนางเลยสักเม็ด นางจึงไม่มีแรง
หงเอ๋อร์ก็เข้า ช่วยฮูหยินหลินพยุงนางลุกขึ้นมา
หลินหันเยียนก็หายใจไม่ทันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกลับมาหายใจปกติ พูดว่า “รบกวนท่านพี่ใหญ่ไปจัดเตรียมให้ข้าก่อน ข้าขออาบน้ำเสียหน่อยแล้วจะรีบออกไปเจ้าค่ะ”
หลินจ้งเดินออกไป
หลินหันเยียนลงจากเตียงอย่างช้าๆ สั่งให้หงเอ๋อร์ไปเตรียมน้ำมา แล้วอาบน้ำทำความสะอาดตนเองอย่างช้าๆ ถอดเสื้อผ้าที่สกปรกของตนออก แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อที่ตนเองชอบเป็นประจำ หลังจากนั้น ก็มานั่งหน้ากระจก ให้หงเอ๋อร์สานผมให้ แล้วหันไปพูดกับหงเอ๋อร์ว่า “หงเอ๋อร์ เจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยสิ”
หงเอ๋อร์พยักหน้า “คุณหนูรับสั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนกวักมือ หงเอ๋อร์ก้มลงไป แล้วหลินหันเยียนก็กระซิบข้างหูนาง บอกนางอย่างเบาเสียง เมื่อหงเอ๋อร์ฟังจบ ก็ตาโต แล้วหลุดร้องออกมาว่า “คุณ คุณหนูเจ้าคะ”
หลินหันเยียนก็นั่งตัวตรง แล้วโบกมือ “ไปเถอะ ข้าจะไปรอเจ้าที่ประตูเมือง”
หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้วเดินออกไป
หลินหันเยียนลุกขึ้น “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่ เดี๋ยวท่านพี่ใหญ่จะรอนาน”
ฮูหยินหลินก็ลุกขึ้น สองแม่ลูกช่วยกันประคับประคองกันเดินออกมาจากจวน
รถม้าได้เตรียมพร้อมแล้ว หลินจ้งและภรรยาอีกทั้งลูกทั้งสองต่างรออยู่ที่นอกจวนแล้ว
เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินออกมา สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินก็เข้าไปรับ ช่วยพยุงหลินหันเยียนอีกแรง “น้องเล็ก ค่อยๆ หน่อย”
“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ”
เมื่อขึ้นนั่งเรียบร้อย หลินจ้งก็สั่ง รถม้าห้าหกคันก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ
มองไปที่ประตูจวนที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป ฮูหยินหลินก็อดไม่ได้ร้องไห้ออกมา
แต่หลินหันเยียนกลับปลอบใจนางด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ท่านแม่ ให้พวกเราอยู่ที่เมืองหลวงต่อไป ก็จะเป็นแต่ขี้ปากของพวกชาวบ้านเปล่าๆ สู้ไปที่ชายแดน เริ่มต้นชีวิตใหม่เถิดเจ้าค่ะ”
รถม้าเคลื่อนออกมาจากประตูเมืองแล้ว พ่อบ้านพร้อมหลินฉงเหวินก็ได้ขึ้นรถม้ารออยู่ที่นอกประตูเมืองตั้งนานแล้ว
หลินจ้งก็สั่งให้หยุดรถ ลงจากรถม้า เดินมาที่รถม้าของหลินฉงเหวิน เปิดม่านหน้าต่างออก แล้วเห็นหลินฉงเหวินที่กินยาระงับสติเข้าไปนอนนิ่งอยู่ ก็สบายใจ แล้วเดินกลับไปที่รถม้าของตน แล้วสั่งให้รถม้าทั้งหมดเดินทางต่อได้
หงเอ๋อร์ก็รีบวิ่งออกมาจากในเมืองอย่างร้อนรน แล้วพยักหน้าให้กับหลินหันเยียน
หลินหันเยียนมองไปในทิศทางของจวนอ๋อง แล้วพูดพึมพำว่า “พี่อวี้ หวังว่าครั้งนี้ข้าจะช่วยท่านได้”
ตอนที่ 387 เกษียณตัวเอง
หลินจ้งพาครอบครัวของตนมาที่ชายแดน หลังจากที่ผู้คนในเมืองหลวงต่างพูดถึงเรื่องนี้กันสนุกปาก จากนั้นก็หมดความสนใจ และเรื่องนี้ก็ค่อยๆ เลือนลางหายไป แต่กลับมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างใหม่เกิดขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่งเมืองหลวง เมื่อจวนเจียงและจวนท่านอ๋องฉีรู้เรื่องเข้า ข่าวลือนั้นก็ยิ่งแพร่ขึ้นไปหนักขึ้นทุกที จนควบคุมไม่ได้
เพล้ง ถ้วยชาในมือของหมอหลวงเจียงตกลงที่พื้น ตาทั้งสองข้างเบิกโพลง มองไปที่คนที่อยู่ในเรือน แล้วถามด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “พวกเจ้าบอกข้าทีสิ ว่ามีข่าวลือแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีเจ้าโง่คนไหนในพวกเจ้าหรือไม่ที่เอาเรื่องนี้ออกไปพูด”
คนทั้งหมดก็ได้แต่ก้มหัวลง ไม่มีใครกล้าตอบรับ
หมอหลวงเจียงโกรธจนเดินไปมาในเรือนหลายต่อหลายรอบ แล้วกวักมือเรียกให้ลูกหลานของตนเองเข้ามา แล้วด่าทอว่า “ไม่ได้เรื่องกันเลยสักคน อยากหาเรื่องจวนอ๋องฉีหรือยังไง คนอย่างพวกเรา ถึงไปเป็นคนถือรองเท้าให้กับคุณชายรอง เขายังไม่เอาเลย แล้วยังคิดที่จะให้จิ่นเอ๋อร์แต่งเข้าไปในจวนอ๋อง ในสมองของพวกเจ้ามีแต่ขี้เรื่อยหรือยังไง คิดไม่เป็นหรือยังไง มีสมองไว้คั่นหูจริงๆ”
หมอหลวงเจียงไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน ทุกคนต่างตกใจกลัว ไม่มีใครกล้าออกเสียงเลยสักนิด โดยเฉพาะแม่ของเจียงจิ่นที่ก้มหน้าก้มตาต่ำกว่าใครๆ ตัวค่อยๆ ขยับถอยออกไปอยู่ด้านหลังทุกคน กลัวหมอหลวงเจียงจะมองหาตนเจอ พอคิดถึงเรื่องที่นางเป็นคนพาจิ่นเอ๋อร์ไปที่จวนอ๋อง ก็กลัวว่าจะเข้าใจผิดว่าเรื่องนี้นางเป็นคนแพร่ออกไป สวรรค์ได้โปรดเถิด จิ่นเอ๋อร์เป็นลูกแท้ๆ ของนาง แม้นางจะอยากให้ลูกของนางมีชีวิตที่สุขสบายเพียงใด แต่ก็ไม่เคยคิดเอาชื่อเสียงศักดิ์ศรีของลูกสาวตนเองไปล้อเล่นแน่นอน เพราะรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูด หมอหลวงเจียงก็โกรธเข้าไปใหญ่ แล้วออกคำสั่ง “นับแต่นี้ต่อไป หญิงในจวนห้ามออกจากจวนเด็ดขาด จะได้ไม่โดนใครใส่ร้ายป้ายสีได้”
พูดจบ ก็ตะโกนเรียก “เจียงเยี่ยน! (พ่อของเจียงจิ่น)
เจียงเยี่ยนเงยหน้าขึ้น ตอบรับ “ท่านพ่อขอรับ”
“ถ้าหากว่าพรุ่งนี้ยังหาไม่เจอว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือล่ะก็ เจ้าต้องตามข้าไปขอขมาที่จวนอ๋อง”
เจียงเยี่ยนได้แต่อ้าปาก ในขณะที่หมอหลวงเจียงกำลังโกรธอยู่นั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ก้มลงไปเอาหัวโขกพื้น แล้วตอบรับอย่างหมดกำลังว่า “ขอรับ ท่านพ่อ”
หมอหลวงเจียงโบกมืออย่างหงุดหงิด “ออกไปให้หมด กลับไปคิดให้ดี ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือกันแน่ พวกเจ้าสารภาพตอนนี้ก็ยังทัน”
ทุกคนตอบรับ แล้วออกไปจนหมด
กลับมาที่ห้อง เจียงเยี่ยนก็ให้บ่าวในเรือนของตนออกไปจนหมด แล้วถามภรรยาของตนว่า “ฮูหยิน เจ้าเป็นคนปล่อยข่าวงั้นรึ”
ฮูหยินเจียงกลัวก็แต่ตรงนี้ จึงรีบอธิบายว่า “ท่านพี่ จิ่นเอ๋อร์เป็นลูกสาวของเรา แล้วข้าจะเอาเกียรติของลูกไปล้อเล่นได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
เจียงเยี่ยนใช้สายตาตรวจสอบนาง เห็นว่าท่าทางของนางนั้นไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ก็ขมวดคิ้วสงสัย “แล้วเป็นใครกัน เรื่องนี้ข้าบอกแค่เจ้าเท่านั้น”
ฮูหยินเจียงคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าจิ่นเอ๋อร์นั้นไปทำอะไรให้ใคร ถึงได้โดนทำลายชื่อเสียงเช่นนี้
ในขณะเดียวกัน หวงฝู่อวี้เพิ่งจะกลับเข้าจวนมา ก็พบอะไรผิดสังเกต เท้าที่กำลังสาวเข้าไปในจวนก็ช้าลง หลังจากนั้น ก็ยื่นคอออกมา ดูไปที่ด้านในจวนก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ตนกลับรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ลองหยั่งเชิงก้าวเข้าไปอีกหนึ่งก้าว พบว่าไม่มีอะไร เลยถอนหายใจ เดินเข้าไปต่อ ก็ไม่มีอะไรอีก แล้วจึงหยุดยืน ถอนหายใจ แล้วเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาตรงหน้าผาก จัดท่าจัดทางให้เรียบร้อย แล้วเดินเข้าไปในจวนอย่างสบายใจ
เดินมาได้ประมาณสิบจั้ง ก็มีท่อนไม้ลอยมาตรงหน้าพร้อมกับเสียงลม อีกนิดเดียวก็เกือบทำเขาหัวแตกแล้ว
หวงฝู่อวี้ตกใจจนเหงื่อไหลท่วม หดตัวและหัวลงหลบท่อนไม้นั้นได้ ยังไม่ทันได้ยืนดีๆ ก็มีท่อนไม้อีกท่อนลอยมา ครั้งนี้กระแทกลงไปที่ขาของเขา
หวงฝู่อวี้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แล้วร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เอนไปทางด้านหลัง
บ่าวรับใช้ในเรือนต่างหลับตาปี๋
มีเสียงดัง ตุบ หวงฝู่อวี้นอนล้มลงไปกับพื้น ร้องลั่นไปทั่วจวนอ๋อง
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาจากในที่มืด เสียงฝีเท้าหนัก หนักเสียจนหวงฝู่อวี้หยุดร้อง รีบลุกขึ้นนั่งทันที มองไปที่ใบหน้าอันโกรธาของเขา กลืนน้ำลาย แล้วพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “พี่ พี่ใหญ่ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาตรงหน้าเขา ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่จ้องมองเขา
หวงฝู่อวี้ถูกมองจนขนลุกไปทั้งตัว กลืนน้ำลายไปสองสามอึก แล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พี่ พี่ใหญ่ ข้าทำผิดอะไรอีกแล้วงั้นหรือขอรับ”
คำพูดของเขา ทำให้หน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร โค้งตัวลงไป หยิบท่อนไม้นั้นขึ้นมา
หวงฝู่อวี้ตกใจจนขนลุกไปหมด ลุกขึ้นมาวิ่งอย่างสุดชีวิต แล้วเรียก “พี่สะใภ้ใหญ่ ช่วยด้วยขอรับ พี่ใหญ่เป็นบ้าไปแล้วขอรับ”
เสียงตะโกนดังมาก ดังก้องไปทั่วทั้งทางเดิน เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่ในห้องของตนก็ได้ยิน จึงส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาจากข้างนอก สีหน้าไม่สู้ดีนัก หลังจากที่นางถามไถ่ ถึงได้รู้ว่าในเมืองหลวงมีข่าวลือว่าหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นหลานสาวของหมอหลวงเจียงนั้นได้เสียกันแล้ว
หลินหันเยียนเพิ่งจะไปได้ไม่ทันไร หวงฝู่อวี้ก็มีเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาอีก ความโกรธของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นใครๆ ก็รู้ ถ้าหากว่าไม่ให้เขาระบายความโกรธนี้ออกมา ก็อย่าหวังว่าคนในจวนนี้จะได้อยู่อย่างสงบเลย ดังนั้น แม้ว่าจะได้ยินเสียงของหวงฝู่อวี้ก็เถอะ นางก็จะทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วนั่งคำนวณบัญชีที่ร้านบะหมี่ฝรั่งที่ส่งมาจากทั่วรัฐอู่ต่อไป
วิทยายุทธ์ของหวงฝู่อวี้นั้นยังห่างไกลกับหวงฝู่อี้เซวียนมากนัก แม้เขาจะทุ่มสุดตัว ก็ทำได้แค่ต่อยเขาไม่กี่ทีเท่านั้น
ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนโกรธแล้วจริงๆ ลงมือหนักยิ่งนัก หวงฝู่อวี้เจ็บเป็นอย่างมาก ร้องเสียงเจ็บจนน้ำตาไหล
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินแล้ว ท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว ทั้งสองคนมองตากัน แล้วก็อุ้มเด็กทั้งสองออกมาดูอะไรสนุกๆ
เห็นหวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อวี้ไล่กวดกัน แล้วยังร้องออกมาเป็นระยะๆ เด็กทั้งสองคนที่อยู่ในอ้อมอกก็ดีใจโบกไม้โบกมือ โน้มตัวไปข้างหน้า อยากจะไปไล่จับด้วย
ท่านอ๋องฉีรู้สึกได้ถึงความโกรธของหวงฝู่อี้เซวียน ก็หรี่ตามองทั้งสองคน ในขณะที่หวงฝู่อวี้กำลังจะโดนอีกที ท่านอ๋องฉีก็ตะโกนออกมาว่า “เซวียนเอ๋อร์ พอได้แล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนจึงจะหยุด
หวงฝู่อวี้ก็หยุดลงสูดหายใจเข้าออกลึกๆ รู้สึกได้ว่าตัวของตนเจ็บไปทั้งตัว จึงเบ้ปากทำหน้าจะร้องไห้ แล้วเดินไปหาพระชายาฉี เดินไปก็ฟ้องไปว่า “เสด็จแม่ขอรับ ท่านพี่ตีข้าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกแล้วขอรับ”
นิสัยของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นพระชายาฉีเข้าใจเป็นอย่างดี จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าพี่ใหญ่ของเจ้าจะโกรธจริงๆ แล้วสิ หรือว่าเจ้าไปก่อเรื่องอะไรมาอีกหรือไม่”
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า แล้วพูดยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีขอรับ ไม่มีจริงๆ ข้ายุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องกิจการของจวนทุกวัน จะมีเวลาก่อเรื่องอะไรที่ไหนกันเล่าขอรับ”
พระชายาฉีมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนที่ยังคงสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดว่า “มีเรื่องอะไรเข้ามาคุยกันด้านในเถิด”
แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าห้องไป
เอาเด็กน้อยทั้งสองวางลงบนรถเข็นเด็ก แล้วสั่งให้แม่นมมารับเข้าไปที่ห้องของเด็กน้อย พระชายาฉีก็ถามว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าไล่ตีน้องเพราะอะไรกันแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนก็มองไปที่หวงฝู่อวี้ด้วยสายตาเยือกเย็น แต่เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้หดตัวลงก็เก็บสายตากลับมา แล้วเล่าเรื่องข่าวลือที่ได้ยินมาวันนี้ให้ฟัง
ท่านอ๋องฉีก็ขมวดคิ้ว
พระชายาฉีชะงักไป
หวงฝู่อวี้ตกใจถึงขั้นกระโดดโหยง โวยวายถามว่า “เรื่องนี้มันตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบตามองเขา
แล้วหวงฝู่อวี้เก็บท่าทางลงทันที พร้อมอธิบายว่า “พี่ใหญ่ ท่านต้องเชื่อข้านะ ข้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
“หากเจ้าไม่เคยทำ แล้วเหตุใดในเมืองหลวงถึงมีข่าวลือเช่นนั้นกันเล่า” หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับ
หวงฝู่อวี้ยกมือขวาขึ้นมาสาบานว่า “พี่ใหญ่ ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ ข้าไม่เคยมีอะไรกับคุณหนูเจียง… …” พูดถึงตรงนี้ ก็มีภาพๆ หนึ่งลอยเข้ามาในสมอง แล้วหลุดพูดออกมาว่า “หรือว่าจะเป็นครั้งนั้น”
อุณหภูมิในห้องก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
รู้สึกได้ถึงสายตาอันอำมหิตของท่านอ๋องฉี พระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังมองจ้องเขาอยู่ หวงฝู่อวี้ก็ก้มหัวลง แล้วค่อยๆ อธิบายออกมาว่า “ครั้งนั้น รถม้าของคุณหนูเจียงเกิดพยศ นางกระเด็นออกมาจากรถม้า ด้วยสถานการณ์คับขันข้าเลยกระโจนเข้าไปช่วยนางขอรับ”
“แค่ครั้งนั้นงั้นรึ” พระชายาฉีถามด้วยความสงสัย
หวงฝู่อวี้รีบพยักหน้า “แค่ครั้งนั้นขอรับ ก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้น ข้าก็ไม่ได้พบคุณหนูเจียงอีกเลย”
เหมือนว่าเขาจะพูดความจริง พระชายาฉีขมวดคิ้ว “จะว่าไป ก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ถ้าหากว่ามันจะมีข่าวลือ มันควรมีตั้งนานแล้ว แล้วเหตุใดพวกเราถึงเพิ่งจะได้ยินล่ะ”
ประเด็นนี้เป็นเหตุให้หวงฝู่อี้เซวียนโกรธเป็นอย่างมาก ตอนนั้นที่หวงฝู่อวี้ช่วยคน คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็เห็นชัดเจน แม้ว่าหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นจะมีการแตะเนื้อต้องตัวกัน ชาวบ้านก็ไม่ได้พูดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น แต่หลังจากที่ผ่านมาแล้วตั้งนาน กลับเกิดข่าวลือเช่นนี้ขึ้นมา เขานึกว่าหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นนั้นจะไปมีอะไรกันจริงๆ
คิดได้เช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ถาม “หลังจากนั้นเจ้าก็ไม่ได้พบคุณหนูเจียงเลยจริงๆ งั้นรึ”
หวงฝู่อวี้ก็รีบตอบกลับไปโดยทันที เกรงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่เชื่อตนอย่างใดอย่างนั้น “พี่ใหญ่ขอรับ ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ ว่าช่วงนั้นข้ามีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นที่ไหนกัน กว่าจะสะสางเรื่องที่ผ่านมาก็ไม่ง่ายเลย ข้าจะกล้าไปทำเรื่องเช่นนี้กับหญิงอื่นได้อย่างไรกัน ข้าแทบอยากจะหนีให้พ้นหน้าสตรีอยู่แล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็คงจะต้องไปตรวจสอบให้แน่ชัดเสียหน่อย ดูสิว่ามันผู้ไหนช่างกล้าเอาจวนอ๋องไปล้อเล่น”
“ตรวจ เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ละเอียด” ท่านอ๋องฉีที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้น ในน้ำเสียงมีความอำมหิตซ่อนอยู่ “ถ้าหากว่าตรวจแล้วจับได้ว่ามีคนตั้งใจปล่อยข่าวลือนี้ ประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน ไม่ต้องสนใจพิธีรีตองทั้งนั้น ข้าอยากเชือดไก่ให้ลิงมันดู ให้ไอ้พวกที่ฉวยโอกาสสร้างเรื่องเพื่อมาทำลายชื่อเสียงจวนอ๋องมันได้รับรู้ถึงจุดจบของพวกมัน”
หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้เก็บสีหน้า แล้วตอบรับพร้อมกัน “ขอรับ เสด็จพ่อ”
กลับมาที่เรือน หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่งให้โจวอันและองครักษ์ลับไปตรวจสอบเรื่องนี้ทันที
หวงฝู่อวี้ก็สั่งให้องครักษ์ของตนออกไปตรวจสอบด้วยเช่นกัน
ตรวจสอบอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ในขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้กำลังเกรี้ยวกราดอยู่นั้น หมอหลวงเจียงก็พาเจียงเยี่ยนลูกชายของตนเองมาขออภัยโทษ
เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียน หมอหลวงเจียงก็ประสานมือ เจียงเยี่ยนก็โค้งตัวลงจนแทบถึงพื้น แล้วพูดว่า “ขอคาะวะซื่อจื่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “หมอหลวงเจียงนี่ท่าน… …”
“ข่าวลือที่แพร่สะพัดในเมืองหลวงนั้นซื่อจื่อคงรู้แล้ว วันนี้ที่ข้าพาเจ้าหมาตัวนี้มาก็เพื่อขออภัยโทษขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดด้วยน้ำเสียงขึงขังขึ้นมาทันที “หมอหลวงเจียงพูดเช่นนี้ หรือว่าข่าวลือนี้มาจากจวนของท่านอย่างนั้นหรอกรึ”
หมอหลวงเจียงรีบอธิบายทันที “ซื่อจื่อเข้าใจผิดแล้วขอรับ ไม่ว่าจะลูกเล็กเด็กแดงหรือคนผมหงอกผมดำในจวน ข้าล้วนสอบปากคำมาหมดแล้ว ไม่มีใครพูดเช่นนี้เลยขอรับ”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็คลายลง “แล้ววันนี้ที่พวกท่านมาขอโทษหมายความว่าอย่างไร”
“ตอนนั้นที่คุณชายรองเจตนาดี ช่วยจิ่นเอ๋อร์เอาไว้ แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวพันกับข่าวลือเช่นนี้ด้วย ข้าน้อยรู้สึกไม่สบายใจ เลยเอาหมาตัวนี้มาขอโทษ ขอคุณชายรองอย่าได้ขุ่นเคืองใจขอรับ”
“หมอหลวงเจียงพูดเกินไปแล้ว ในเมื่อข่าวลือนั่นไม่ได้มาจากจวนของท่าน แสดงว่ามีคนเจตนากุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงจวนอ๋อง ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน ท่านไม่ต้องไปใส่ใจ ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอก็จะได้คำตอบ”
เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ขุ่นเคืองตนแต่อย่างใด หมอหลวงเจียงและเจียงเยี่ยนก็โล่งอก หลายวันมานี้ เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้คนในจวนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวว่าอ๋องฉีจะโกรธแล้วมาฆ่าคนถึงที่จวนเสียจนวุ่นวายไปกันใหญ่ แล้วตระกูลเจียงจะไม่สามารถอยู่ในเมืองหลวงได้อีกต่อไป ยังดี ยังดี สวรรค์ยังเมตตา ดูเหมือนว่าเรื่องที่พวกเขากังวลนั้นจะไม่เกิดขึ้นแล้ว
ต่อจากนั้นหลายวัน องครักษ์ลับหลายพันคนก็แทบจะพลิกแผ่นดินตรวจสอบเสียจนทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่พบต้นตอของข่าวลือ อีกทั้งข่าวลือก็ยิ่งแพร่สะพัดไปมากกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวว่า คุณหนูแห่งตระกูลเจียงกับหวงฝู่อวี้นั้นได้มีการพูดคุยกันแล้ว แต่ว่าทางฝั่งท่านอ๋องฉีได้ปฏิเสธ เลยทำให้คุณหนูแห่งตระกูลเจียงเศร้าโศกเป็นอย่างมากจนล้มป่วยไป
หลังจากที่หมอหลวงเจียงได้ฟังข่าวลือนั้นแล้ว ก็ปาถ้วยแก้วใบแล้วใบเล่า โกรธจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยทั้งคืน จึงตัดสินใจ ประกาศในขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าวเช้าอยู่ว่า “วันนี้หลังจากที่ข้าได้เข้าวังไปกราบทูลฝ่าบาท ข้าจะขอปลดเกษียณกลับบ้านเกิด พวกเจ้าจงเก็บข้าวของให้เรียบร้อย เตรียมกลับบ้านเกิดไปกับข้า”
ตอนที่ 388 จดหมาย
ทุกคนชะงักไป เงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมๆ กัน
หมอหลวงเจียงกวาดสายตามองไปที่ทุกคน แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม รีบกินข้าวแล้วไปที่สำนักหมอหลวงทันที ทิ้งให้คนในบ้านนั่งมองหน้ากัน ตกใจไปตามๆ กัน
มาถึงสำนักหมอหลวงในยามเช้าตรู่ ฮ่องเต้ยังไม่ได้ออกว่าราชการชุมเช้า หมอหลวงเจียงก็เก็บของที่อยู่อยู่โต๊ะทำงานของตน จัดเรียงอย่างเรียบร้อย วางลงไปในกล่องใหญ่ที่ตนเตรียมมาอย่างเป็นระเบียบ
ทุกคนเห็นว่าท่าทางของเขานั้นแปลกประหลาดนัก คนที่สนิทกับเขาจึงเดินเข้ามาถาม
ยังไม่รู้เลยว่าฮ่องเต้จะมีรับสั่งเยี่ยงไร หมอหลวงเจียงจึงไม่กล้าพูดอะไรมากนัก จึงพูดบ่ายเบี่ยงไปว่า “วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร เลยอยากจัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ”
เห็นท่าทางของเขาเคร่งขรึม เหมือนมีเรื่องอะไรในใจ แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าถามมาก หมอหลวงด้วยกันก็รู้มารยาทดีจึงไม่ได้ถามต่อ กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนเองเงียบๆ
ส่วนคนที่เหลือพอได้ยินถึงข่าวลือในเมืองหลวงบ้าง สายตาที่มองหมอหลวงเจียงนั้นก็เปลี่ยนไป ในใจต่างก็คาดเดาไปต่างๆ นาๆ ตอนนี้เขากำลังประจบจวนอ๋องฉีอยู่ ไม่เห็นคนอย่างพวกเขาอยู่ในสายตาหรอก ขนาดหมอหลวงที่เป็นเพื่อนกันมานานก็ยังโดนเมินเสียแล้ว
คนในสำนักหมอหลวงก็มีความเห็นแตกแยกกันออกไปในชั่วพริบตา
แต่หมอหลวงเจียงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น เก็บของๆ ตนไป เงยหน้ามองเวลา แล้วเดินไปถามข่าวที่ด้านนอก ได้ยินว่าฮ่องเต้ว่าราชการเสร็จแล้ว หลังจากที่รอไปอีกครึ่งชั่วยาม ก็ไปรอขอเข้าพบที่ห้องทรงพระอักษรโดยทันที
หลังจากฮ่องเต้ว่าราชการเช้าเสร็จ เสวยพระกายาหารเช้าเรียบร้อย หลังจากที่พักผ่อนแล้วนั้น ก็ไปอ่านฎีกาของวันนี้ที่ห้องทรงพระอักษร หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็เดินย่องเข้ามา แล้วรายงานเบาๆ ว่า “ทูลฝ่าบาท หมอหลวงเจียงขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
มือของฮ่องเต้ที่กำลังถือฎีกาอยู่ก็หยุดลง แล้วถามว่า “เรื่องอันใด”
“เห็นบอกว่าอายุมากแล้ว อยากเกษียณกลับบ้านเกิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ก็เงยหน้าขึ้น วางฎีกาในมือลง แล้วออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เรียกตัวเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็โค้งตัวเดินออกไป ประกาศคำสั่ง
หมอหลวงเจียงก็เดินเข้ามาอย่างนอบน้อม หลังจากที่ทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ก็กราบทูลตามตรงว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมอายุมากแล้ว เริ่มดูแลสำนักหมอหลวงไม่ไหว อยากเกษียณกลับบ้านเกิด ขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หรี่ตามอง มองเสียราวกับว่าเข้าใจแล้วทุกอย่างอย่างใดอย่างนั้น
หมอหลวงเจียงไม่กล้าเงยหน้า รู้สึกได้ถึงสายตาของฮ่องเต้ที่กำลังมองมา ที่หลังก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็เอ่ยปาก พยักหน้าอย่างเฉยชาแล้วพูดว่า “อนุญาต!”
หมอหลวงเจียงก้มกระแทกศีรษะลงขอบคุณอีกครั้ง แล้วถอยออกไปจากห้องทรงพระอักษร ถอนหายใจออกมาเบาๆ มั่นใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ดองญาติกับจวนอ๋องฉีเด็ดขาด แล้วจึงรีบกลับมาที่สำนักหมอหลวง สั่งให้ผู้ติดตามของตนนำของเก็บขึ้นรถม้า ในขณะที่ทุกคนกำลังอึ้ง มองด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ เขาก็ขึ้นรถม้า แล้วรีบมุ่งหน้ากลับไปที่จวนเจียงโดยทันที
เมื่อเขาไปแล้ว ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าเขาลาออก สำนักหมอหลวงก็เกิดข้อถกเถียงกันขึ้นมาในทันที บ้างก็สงสาร บ้างก็ใจหาย บ้างก็แอบมองไปที่โต๊ะหัวหน้าสำนักหมอหลวง แล้วคิดว่าตนนั้นควรหาเส้นสายหน่อยหรือไม่ เผื่อจะได้นั่งที่โต๊ะหัวหน้าหมอหลวงตรงนั้นบ้าง
ไม่ว่าคนในสำนักหมอหลวงจะคิดอย่างไร หลังจากที่หมอหลวงเจียงกลับมาที่จวนเจียงแล้ว เห็นคนในจวนของตนปฏิบัติตามคำสั่งของตน กำลังเก็บของที่จะเอาติดตัวไปด้วย ในใจก็นึกโล่งอก พูดว่า “อะไรที่เอาไปได้ก็เอาไป อะไรที่เอาไปไม่ได้ก็ทิ้งไว้ พยายามเก็บให้เสร็จภายในสองวันนี้ เพราะหลังจากนี้สองวันพวกเราจะออกเดินทาง”
ทุกคนก็ตอบรับ
หมอหลวงเจียงกลับไปที่เรือนของตน เจียงจิ่นก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ กับดวงตาที่แดงก่ำ แล้วคุกเข่าต่อหน้าหมอหลวงเจียง “ท่านปู่เจ้าคะ หลานผิดเองเจ้าค่ะ หลานทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน”
“ลุกขึ้นเถิด เรื่องนี้ไม่โทษเจ้า เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมาก ในขณะที่เจ้ากำลังตกใจ แล้วมีท่าทางเช่นนั้นออกมานั้นเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้ จะโทษก็แต่มีคนเอาเรื่องนี้ไปแพร่เสียๆ หายๆ ก็เท่านั้น” หมอหลวงเจียงพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ไม่มีความโกรธเลยสักนิดเดียว
เจียงจิ่นลุกขึ้น
มองหลานสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าของตน หมอหลวงเจียงก็ถอนหายใจออกมา เจียงจิ่นฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่น้อย เขาเองก็รักนางมาก ถ่ายทอดวิชาแพทย์ของตนให้นางจนเกือบหมด เพียงหวังให้นางได้พบเจอคนที่ดี คนที่เหมาะสมกับนาง เมื่อแต่งออกไปแล้ว อย่างน้อยก็มีวิชาแพทย์นี้ทำให้บ้านสามีเห็นค่าของนางเสียหน่อย ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตอนนี้ชื่อเสียงของจิ่นเอ๋อร์นั้นได้โดนทำลายไปแล้ว เมืองหลวงแห่งนี้จะอยู่ต่อไปก็ไม่ได้แล้ว ยังดี คนที่บ้านเกิดนั้นจริงใจ ไม่มีใครคิดร้ายอะไรหรอก ถึงตอนนั้นก็หาคนที่เหมาะสมกับนางมาแต่งงาน ก็ไม่แย่นัก
เรื่องที่หมอหลวงเจียงปลดเกษียณกลับบ้านเกิด ก็ได้ยินมาจนถึงจวนอ๋องได้หนึ่งชั่วยามแล้ว หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวฟังแล้ว ก็นิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “ที่หมอหลวงเจียงทำเช่นนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่าข่าวลือของคุณหนูเจียงกับอวี้เอ๋อร์หรอกนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็เม้มปากเล็กน้อย แล้วพยักหน้าด้วยความมั่นใจว่า “น่าจะใช่”
“นี่มัน…” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดี เรื่องนี้บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าใครทำให้ใครเดือดร้อนกันแน่ หวงฝู่อวี้ช่วยคนนั้นเป็นเรื่องจริง ส่วนคุณหนูเจียงทำแบบนั้นก็เป็นการตอบสนองของคนปกติ แต่เมื่อมีคนฉวยโอกาสเอาเรื่องนี้ออกไปแพร่ในทางเสียหาย จากเรื่องดีกลายเป็นเรื่องแย่ จวนเจียงและจวนอ๋องต่างก็โดนมรสุมนี้จู่โจมด้วยกันทั้งคู่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “พวกเราส่งคนออกไปตรวจสอบได้สักพักหนึ่งแล้ว ก็ยังหาไม่เจอว่าใครเป็นเบื้องหลังข่าวลือนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังหลบซ่อนตัวได้ดีขนาดนี้ สรุปแล้วทำไปเพื่ออะไรกันแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเคร่งขรึม ส่ายหน้า “นี่เป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ตก จะว่าไปคนที่ปล่อยข่าวลือเรื่องนี้ อยากเล่นงานในเรื่องใด แต่ว่าผ่านไปหลายวันแล้ว นอกจากที่ข่าวลือจะแพร่สะพัดไปมากขึ้น ก็ไม่มีคนมาหาเรื่องแต่อย่างใด ประหนึ่งเพียงต้องการปล่อยข่าวลือก็เท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆ
ในขณะเดียวกัน หวงฝู่อวี้ก็ได้ข่าวเรื่องนี้แล้วเช่นกัน จึงเสียใจเป็นอย่างมาก เป็นเพราะตนแท้ๆ ที่มีเจตนาดีเข้าไปช่วยเจียงจิ่นเอาไว้ แต่วันนี้กลับทำให้หมอหลวงเจียงต้องเดือดร้อนจนกระทั่งต้องปลดเกษียณกลับบ้านเกิดไป
หลังจากที่ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีได้ยินข่าวนี้ ก็นิ่งอึ้งไปเช่นเดียวกัน
พระชายาฉีเข้าใจในเจตนาของหมอหลวงเจียงทันที มีความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที หันหน้าไปถามท่านอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋องเพคะ ท่านว่าพวกเราไปสู่ขอที่จวนเจียงตอนนี้ มันจะทำให้หมอหลวงเจียงอยู่ต่อได้หรือไม่เพคะ”
เมื่อหลายปีนั้น นางร่างกายไม่แข็งแรงนัก กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ก็เป็นหมอหลวงเจียงที่เรียกเมื่อใดก็มาเมื่อนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของหมอหลวงเจียงก็จริง แต่พระชายาฉีก็รู้สึกซาบซึ้งในตัวเขาเป็นอย่างมาก เพราะเขาแท้ๆ ที่ช่วยต่อชีวิตของตนเองมาได้ นางถึงได้โชคดีที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ที่สำคัญ นางเองก็ถูกชะตากับหลานสาวของหมอหลวงเจียงด้วยเช่นกัน น่ารักน่าเอ็นดู สุภาพเรียบร้อย
เด็กน้อยทั้งสองคนเพิ่งจะเริ่มตั้งไข่ ทำให้ท่านอ๋องฉีดีใจเป็นที่สุด จะไปมีเวลาสนใจเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน จึงบอกว่า “เรื่องสู่ขอนั้น เจ้าตัดสินใจเองก็แล้วกัน”
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ท่านอ๋องฉีมีหลานสาวก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พระชายาฉีจึงได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า ถ้าเป็นแต่ก่อนนางคงไม่คิดไม่ฝันว่าท่านอ๋องฉีจะเอ็นดูเด็กน้อยสองคนนี้ยิ่งกว่าตนเสียอีก จึงมองภาพนั้นอย่างปลื้มปริ่มใจ
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ แน่นอนพระชายาฉีก็นั่งไม่ติด เลยบอกกับท่านอ๋องฉีที่ไม่ได้สนใจนางเลยให้เขาดูเด็กทั้งสองคนให้ดี ส่วนตนนั้นเดินมาที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน
เมื่อได้ยินเสียงของพระชายาฉี หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นมาเปิดม่านตรงหน้าต่างออก แต่ก็ไม่ได้ทักทายพระชายาฉี กลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
พระชายาฉีแปลกใจ จึงมองตามไปด้วย แต่ก็ไม่พบอะไร ยิ้มถามว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังมองอะไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนทำท่าทางจริงจัง “ข้ากำลังดูว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือเปล่าน่ะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแทบจะหลุดขำออกมา
ก็เพราะตั้งแต่พระชายาฉีอุ้มเด็กทั้งสองไปนั้น หลายเดือนผ่านไป พระชายาฉีก็ไม่เคยมาเรือนของตนอีกเลย
พระชายาฉีชะงักไป แล้วถึงรู้สึกได้ว่าที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร จึงหยอกตีเขาแก้เขินพร้อมด่าว่า “ยังจะมาพูดล้อแม่อีกนะ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเห็นหน้าลูกเจ้าแล้วล่ะ”
คดีขโมยเด็กของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นต้องโทษหลายกระทงเหลือเกิน ท่านอ๋องฉีกันเขาราวกับกันโจรอย่างใดอย่างนั้น นี่ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งเจอลูกยากเข้าไปใหญ่ เป็นเพราะพระชายาฉีที่คอยแอบเอาลูกมาให้เลี้ยงบ้าง มิเช่นนั้นล่ะก็ เขาอาจจะไม่ได้เจอลูกของเขาอีกเลยก็เป็นได้
คำพูดของนาง ทำให้ท่าทางของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มปกติ เดินออกมาเปิดม่านประตูให้กับพระชายาฉี “เสด็จแม่ เชิญขอรับ”
พระชายาฉียิ้มเดินเข้าไปในเรือน
ชิงหลวนและจูหลีทั้งสองคนใกล้คลอดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงให้พวกนางหยุดพัก กลับไปรอคลอด ในเรือนมีแต่หวงฝู่อี้และโจวอันคอยเฝ้าอยู่เท่านั้น
หวงฝู่อี้ก็รู้หน้าที่รีบไปยกชามาทันที วางลงตรงหน้าพระชายาฉี แล้วออกไป
พระชายาฉีก็พูดกับทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าคงได้ยินเรื่องที่หมอหลวงเจียงปลดเกษียณกลับบ้านเกิดแล้ว จะว่าไปพวกเขาก็เดือดร้อนไปด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อจะปรึกษาพวกเจ้า ถ้าหากว่าพวกเราจะไปสู่ขอที่จวนเจียงตอนนี้ เหมาะสมหรือไม่”
ทั้งสองคนก็มองหน้ากัน แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มออกมา พยักหน้า “ความคิดของเสด็จแม่นั้นดีเลิศเจ้าค่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ข่าวลือนั้นหายไป ยังจะช่วยให้หมอหลวงเจียงตัดสินใจอยู่เมืองหลวงต่อไปด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าอวี้เอ๋อร์จะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้…”
พระชายาฉีก็ไม่สาวความ แต่พูดอย่างแน่วแน่ว่า “เรื่องแต่งงานนั้นเรื่องใหญ่ จะต้องมีพ่อแม่คอยจัดการ ข้าได้ตามใจเขาไปแล้วรอบหนึ่ง จะไม่มีรอบที่สองเด็ดขาด ข้าเคยพูดกับพวกเจ้าเอาไว้แล้ว คุณหนูเจียงนั้นเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในสายตาข้า ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีที่ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้พวกเขา เลือกวันมงคลจัดงานแต่งงานให้กับพวกเขาเรียบร้อย ทีนี้ข้าก็จะได้ยกภูเขาออกจากอกเสียที”
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มีความเห็นอย่างไร เรื่องหวงฝู่อวี้กับหลินหันเยียนนั้น ก่อความวุ่นวายเป็นอย่างมาก ใครๆ ก็รู้ วันนี้ตระกูลหลินได้หายไปอยู่ชายแดนกันทั้งตระกูล ส่วนจวนอ๋องนั้นก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด อีกทั้งหลินหันเยียนเองก็ไปด้วย สิ่งนี้ทำให้ขุนนางชั้นสูงมองจวนอ๋องฉีไปอีกแบบ โดยเฉพาะหวงฝู่อวี้ คนที่บอกว่าเขานั้นทรยศก็มีไม่น้อย ในช่วงเวลานี้คงไม่มีใครอยากส่งลูกสาวมาแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน อีกทั้งอายุของหวงฝู่อวี้ก็ไม่น้อยแล้ว ถ้าหากยังดึงดันต่อไปคงเป็นที่น่าขันเป็นแน่ ในเมื่อผู้คนต่างเอาหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นมัดเข้าด้วยกันแล้ว เช่นนั้นก็พอดีเลย ให้ทั้งสองคนแต่งงานกันเสียก็สิ้นเรื่อง
ทั้งสามคนปรึกษาหารือกันเรียบร้อย งานแต่งงานของหวงฝู่อวี้ก็ได้ถูกกำหนดขึ้นไปโดยปริยาย
ส่วนเจ้าตัวนั้นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เอาแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานกิจการของจวน
คืนนั้น หวงฝู่อวี้กลับมาที่จวน ตรงไปหาท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีก่อน พระชายาฉีจึงบอกเรื่องนี้กับหวงฝู่อวี้
เมื่อผ่านเรื่องของหลินหันเยียนมาแล้ว หวงฝู่อวี้ก็กลัวเป็นอย่างมาก ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานอีกเลย แต่เมื่อเห็นว่าพระชายาฉีทำเพื่อตนถึงขนาดนี้ ก็ไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่พูดบ่ายเบี่ยงไปว่า “เสด็จแม่ขอรับ เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ขอเวลาให้ลูกได้คิดสักวันสองวันได้หรือไม่ขอรับ”
ตอนที่พระชายาฉีพูดก็แน่วแน่เป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นหน้าหวงฝู่อวี้ก็ไม่บังคับเขาอยู่ดี จึงพูดว่า “แม่ได้เจอกับคุณหนูเจียงแล้ว นางก็เหมาะสมกับเจ้าดี เจ้าคิดให้ถี่ถ้วนเถอะ แล้วรีบมาให้คำตอบกับแม่โดยเร็ว”
หวงฝู่อวี้โค้งคำนับตอบรับ แต่หลังจากที่เดินออกมาจากเรือนของพระชายาฉีแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้มีความคิดที่จะแต่งงานจริงๆ แต่ว่าอายุของตนก็ไม่น้อยแล้ว ถ้าหากว่ายังไม่แต่งงานล่ะก็จะกลายเป็นตัวตลกให้คนในเมืองหลวงว่ากล่าวเสียๆ หายๆ ได้ ท้ายที่สุดก็จะทำให้จวนอ๋องต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอีก
คิดได้ดังนั้น จึงถอนหายใจ เฮือกกกก ออกมา ในหัวมีภาพของหลินหันเยียนผุดขึ้นมา เขารีบส่ายหับเพื่อลบภาพของหลินหันเยียนออก แล้วเดินกลับไปที่เรือนของตน
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
หวงฝู่อวี้ที่ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน ลากสังขารที่เหนื่อยล้าของตนกลับมาที่จวน กำลังจะเดินเข้าเรือน ก็มีเงาคนเคลื่อนผ่านมาจากด้านข้าง ยืนขวางเขาไว้
หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้น มองหน้าคนตรงหน้าให้ชัด แล้วหรี่ตา “หงเอ๋อร์เองหรือ”
หงเอ๋อร์ย่อเข่าลงคำนับหวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง”
หวงฝู่อวี้มองไปที่โดยรอบอย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่ได้เห็นหลินหันเยียน จิตใจของเขากระวนกระวาย แต่ก็ยังถามด้วยท่าทางนิ่งเฉยว่า “เจ้าไม่ได้ตามคุณหนูของเจ้าไปที่ชายแดนอย่างนั้นรึ”
“หลังจากที่บ่าวได้ตามคุณหนูออกจาประตูเมืองไปแล้ว คุณหนูก็คืนสัญญาซื้อตัวของบ่าวกับซุนเต๋อมา บอกว่านี่เป็นการชดเชยสิ่งที่ทำเอาไว้กับบ่าวเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ก็โล่งอก
หงเอ๋อร์ควักจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมายื่นให้กับหวงฝู่อวี้ “คุณชายรองเจ้าคะ นี่เป็นสิ่งที่คุณหนูหลินให้บ่าวนำมามอบให้กับท่าน อยากขอร้องท่านให้ช่วยจัดการเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 389 ตบไปหนึ่งฉาด
หวงฝู่อวี้ไม่รับ ยืนมองจดหมายที่อยู่ในมือของหงเอ๋อร์อย่างเฉยชา
หงเอ๋อร์ได้แต่ถอนหายใจในใจ ตอนที่คุณหนูมอบจดหมายให้กับนางก็บอกนางไว้ว่าคุณชายรองไม่ยอมรับจดหมายนี้ง่ายๆ แน่ แล้วสุดท้ายก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ยังดีที่คุณหนูยังบอกกับอีกเรื่องกับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงก้มหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ “คุณชายรองเจ้าคะ คุณหนูบอกว่า นางไปชายแดนครั้งนี้ จะไม่กลับมาอีกเลยตลอดชีวิต ขอคุณชายรองอย่าได้คิดถึงนางอีกเลย”
เท่านี้ก็ชัดเจนแล้ว เนื้อความในจดหมายต้องไม่ใช่ข้อความบอกให้ไปรับนางกลับมาอย่างแน่นอน
หวงฝู่อวี้ถอนหายใจ นิ่งขรึม แต่มือที่รับจดหมายเข้ามาใส่ในแขนเสื้อนั้นสั่นไหวเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปในเรือนโดยไม่หันกลับไปมองอีก
หงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปที่หวงฝู่อวี้ แล้วถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก หันหลัง แล้วเดินไปหาผู้ชายที่อยู่อีกมุมหนึ่ง คุณหนูหลินไม่เพียงแต่ให้สัญญาซื้อตัวของนางกับซุนเต๋อมาเท่านั้น ยังให้เงินพวกนางอีกหนึ่งร้อยตำลึง แล้วยังให้พวกนางเข้าพักในบ้านที่คุณชายรองซื้อไว้ให้คุณหนูเป็นการชั่วคราวอีกด้วย
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ไปหาใคร ตรงดิ่งกลับมาที่เรือนของตนเองทันที หยิบจดหมายจากชายเสื้อออกมา วางไว้บนโต๊ะ เม้มปากจ้องจดหมายฉบับนั้น ราวกับต้องการจะมองเห็นเนื้อความด้านในผ่านซองกระดาษบางๆ นั่น
แต่น่าเสียดายที่มันไม่ชัดเจน
เวลาผ่านไป หวงฝู่อวี้ถึงได้หยิบจดหมายขึ้นมา เปิดออก ลายมือที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า
‘ถึงพี่อวี้:
เมื่อพี่ได้เห็นจดหมายฉบับนี้ ข้าก็คงอยู่ที่ชายแดนอันแสนไกลนั่นแล้ว ข้ารู้ว่าพี่เกลียดข้า โทษข้า โกรธข้า ไม่อยากพบหน้าข้าอีก แม้จดหมายของข้าก็ไม่อยากเห็น ข้าจะทำตามที่พี่ต้องการ ข้าจะหายไปนับแต่นี้ ไม่กลับไปที่เมืองหลวงอีกตลอดชีวิต แต่ว่า พี่อวี้เจ้าคะ ในใจข้าไม่เคยลืมพี่เลย ก่อนหน้านี้ที่ข้าทำไปเป็นเพราะข้ารักพี่จากใจจริง รักเสียจนอยากเป็นภรรยาของพี่ ใช้ชีวิตร่วมกับพี่ไปตลอดชีวิต แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด พวกเราถึงได้มาพบจุดจบเช่นนี้ ข้าไม่โทษพี่อวี้เลยเจ้าค่ะ ข้าเพียงโกรธตัวเองที่ทำให้พี่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจไปกับข้า ดังนั้น ก่อนที่ข้าจะจากไป ข้าได้ทำสิ่งหนึ่งเพื่อพี่ ชดเชยความผิดที่ข้าเคยทำไว้ นั่นก็คือสั่งให้หงเอ๋อร์นำเรื่องพี่กับคุณหนูเจียงไปแพร่ คาดว่าตอนนี้คงลือกันไปทั่วเมืองหลวงแล้วเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นก็ดียิ่งนัก พี่อวี้จงถือโอกาสนี้ไปสู่ขอนางแต่งงาน ตัดขาดจากข้าเสีย ข้างกายพี่จะได้มีคนดูแล ที่ข้าทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ นับแต่นี้ต่อไป ขอให้พี่อวี้มีแต่ความสุขนะเจ้าคะ’
เนื้อความในจดหมายมีเท่านี้ ส่วนด้านล่างมีก็แต่คราบน้ำตาเป็นทางยาว
หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกมา ลูบลงไปที่คราบน้ำตาเหล่านั้นอย่างช้าๆ ในดวงตาของเขาก็มีหยดน้ำตาไหลลงมาทับคราบน้ำตาเหล่านั้น จนเปียกชุ่มไปทั่วทั้งจดหมาย ข้อความในนั้นก็เลือนราง
คืนนี้ แสงไฟในเรือนของหวงฝู่อวี้ส่องสว่างทั้งคืน เฮ่ออีก็ได้แต่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกด้วยความเป็นห่วง
ยามเช้า หวงฝู่อวี้ก็สั่งให้เฮ่ออีไปเตรียมน้ำ หลังจากที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสรรพ ก็มาที่เรือนของพระชายาฉี “เสด็จแม่ ข้าคิดดีแล้วขอรับ ข้าจะแต่งงานกับคุณหนูเจียง”
พระชายาฉีไม่ได้สังเกตว่าเขาผิดปกติ ดีใจเป็นที่สุด “วันนี้แม่จะส่งคนไปสู่ขอให้ลูก”
หวงฝู่อวี้ขอบพระคุณ หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ ก็ออกจวนไปดูแลกิจการ
พระชายาฉีให้คนไปเชิญแม่สื่อมา แล้วให้ค่าจ้างนางมากกว่าปกติ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้นางต้องจัดการเรื่องงานแต่งมาให้ได้
เรื่องของหวงฝู่อวี้และเจียงจิ่นได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้คนต่างคิดว่าพวกเขานั้นชอบพอกัน การแต่งงานแบบนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ค่าจ้างแม่สื่อกลับได้เยอะมากอย่างไม่คาดคิด แม่สื่อดีใจเป็นอย่างมาก จึงพูดรับประกันกับพระชายาฉีเอาไว้อย่างดิบดี แล้วนั่งรถม้าของจวนอ๋องมุ่งหน้าสู่จวนเจียงด้วยความปลื้มปีติ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็ร้อนรนกลับมาบอกว่า “พระชายาเจ้าคะ ประตูใหญ่ของจวนเจียงปิดสนิทเลยเจ้าค่ะ ข้างบ้านบอกว่าตระกูลเจียงออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิดไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเรียกให้คนไปตามพ่อบ้านมา สั่งเขาว่า “รีบไปตามคุณชายรองมา บอกว่าหมอหลวงเจียงออกเดินทางกลับบ้านเกิดไปแล้ว บอกให้เขาไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามให้ทัน แล้วห้ามพวกเขาเอาไว้ให้ได้”
พ่อบ้านตอบรับ ขึ้นรถม้าของจวนไปตามหาเขาด้วยตนเอง
ยังดีที่ก่อนหวงฝู่อวี้จะไป บอกไว้แล้วว่าวันนี้จะออกนอกเมือง คืนนี้ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร พ่อบ้านไม่เสียเวลา มุ่งไปที่กระโจมนอกเมืองก็เจอเขาทันที แล้วเอาคำพูดของพระชายาฉีบอกแก่เขา
หวงฝู่อวี้ฟังจบ ก็ไม่มากความ สั่งให้เฮ่ออีลงจากรถม้า แล้วควบม้าตามไปทันที
เฮ่ออีเห็นเช่นนั้น ก็ฉุดตัวพ่อบ้านลง ขึ้นหลังม้าอีกตัว แล้วควบตามไปทันที
มองดูรถม้าที่ไม่มีม้า พ่อบ้านถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ปาดเหงื่อที่หน้าผากของตน จำใจเดินกลับจวนไป
ทุกคนในตระกูลเจียงล้วนนั่งรถม้า คนเยอะ จึงเดินทางได้ล่าช้า พวกเขาออกเดินทางได้สองชั่วยามแล้ว แต่กลับโดนหวงฝู่อวี้ที่เดินทางแค่หนึ่งชั่วยามไล่ตามได้ทัน
เมื่อเห็นม้าสองตัว ตัวหนึ่งดักหน้า ตัวหนึ่งดักหลัง คนรถของจวนเจียงนั้นไม่รู้จักหวงฝู่อวี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงหยุดรถม้าลง
หมอหลวงเจียงที่กำลังนอนพักสายตาอยู่บนรถม้า รู้สึกได้ว่ารถม้าหยุด จึงลืมตาขึ้น แล้วตะโกนถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“นายท่าน มีคนสองคนมาขวางรถม้าเอาไว้ขอรับ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาดีนะขอรับ” คนรถตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ทันใดนั้นหมอหลวงเจียงก็เปิดม่านออกไปดู เห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นหวงฝู่อวี้ที่กำลังเคร่งขรึมอยู่ ก็ตกใจ ตนเองนั้นก็หลบจนจะไม่ใช่หมออยู่แล้ว หลบจนจะเป็นเต่าหัวหดอยู่แล้ว ก็ยังหลบไม่พ้น คุณชายรองตามมาคิดบัญชีได้ถึงที่นี่
หมอหลวงเจียงลงจากรถม้ามาอย่างกล้าๆ เกร็งๆ เดินไปหาหวงฝู่อวี้ โค้งตัวคำนับ “ขอคารวะคุณชายรอง”
“นี่หมอหลวงเจียงกำลังจะไปที่ใด” หวงฝู่อวี้ถามด้วยน้ำเสียงดุดัน ทั้งที่รู้แต่ก็ยังจะถาม
หน้าผากของหมอหลวงเจียงมีเหงื่อซึม ยังคงโค้งตัวคำนับแล้วตอบกลับไปว่า “คุณชายรองขอรับ ข้าได้เกษียณตัวเอง กำลังจะกลับบ้านเกิดแล้ว วันนี้ออกเดินทาง”
“อ่อ” หวงฝู่อวี้ลงจากม้า เดินไปถามหมอหลวงเจียงว่า “ตอนนี้ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง แต่หมอหลวงเจียงกลับพาลูกหลานกลับบ้านเกิด อยากให้คนเข้าใจผิดว่าโดนจวนอ๋องบีบบังคับอย่างนั้นหรือ”
หมอหลวงเจียงก็โค้งตัวต่ำลงไปอีก ต่ำเสียจนศีรษะจะถึงเอวอยู่แล้ว ตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน “มิบังอาจ ข้าเกรงว่ามันจะทำให้คุณชายรองต้องเดือดร้อน จึงได้พาลูกหลานกลับบ้านเกิดอย่างเร็วที่สุด”
“กลัวว่าจะทำให้ข้าต้องเดือดร้อนงั้นรึ” หวงฝู่อวี้ถามกลับ
หมอหลวงเจียงพยักหน้า
“งั้นเจ้าว่ามาสิ ว่าทำให้ข้าเดือดร้อนอย่างไร”
“เอ่อ… …”
หมอหลวงเจียงตอบมาได้
“เจียงจิ่นล่ะ ให้นางออกมาพบข้า” หวงฝู่อวี้ไม่สนใจเขา แล้วออกคำสั่งทันที
หมอหลวงเจียงตกใจเป็นอย่างมาก จึงอ้อนวอน “คุณชายรองขอรับ ไม่ได้เด็ดขาด หลานสาวของข้าแม้ไม่ได้เป็นผู้สูงส่ง แต่ก็จะออกมาพบหน้ากับชายแปลกหน้าแบบนี้ไม่ได้นะ ขอคุณชายรองโปรดอภัยด้วย”
“หึ” หวงฝู่อวี้ถามต่อ “แล้วตอนที่นางกอดคอของข้าตอนนั้น เหตุใดท่านจึงไม่พูดเช่นนี้ มันทำให้เกียรติของข้าต้องป่นปี้ เจ้าว่าใครควรรับผิดชอบ”
หน้าผากของหมอหลวงเจียงมีเหงื่อไหลออกมายิ่งกว่าเดิม ยังไม่ทันได้พูดอะไร ม่านของรถม้าคันหนึ่งก็เปิดขึ้น เจียงจิ่นกระโดดลงมาจากรถม้า แล้วเดินมาที่ตรงหน้าหวงฝู่อวี้ ยกมือขึ้น แล้วตบลงไปที่หน้าของหวงฝู่อวี้ดัง เพียะ!
หวงฝู่อวี้หน้าสั่น
หมอหลวงเจียงแทบจะล้มทั้งยืน
คนบนรถต่างก็ตกใจจนแทบจะหล่นลงมาจากรถม้า เหงื่อไหลท่วมตัว จบสิ้นแล้วๆ จิ่นเอ๋อร์เป็นบ้าไปแล้ว กล้าตบคุณชายรอง อย่าหวังเลยว่าตระกูลเจียงของพวกเขาจะมีจุดจบที่สวยงาม
ตบไปหนึ่งฉาด เสียงอันไพเราะของจิ่นเอ๋อร์ก็ดังขึ้น “คุณชายรอง ตอนนั้นข้าตกใจ ไม่ได้มีเจตนาทำเช่นนั้นเลยสักนิด ท่านปู่ของข้าลาออกจากตำแหน่งก็เพราะเรื่องนี้ ท่านยังกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ ท่านต้องการอะไรกันแน่”
หวงฝู่อวี้ได้สติ ก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่น่ากลัวของเขานั้นทำให้คนที่ดูอยู่นั้นมองเห็นภาพเจียงจิ่นโดนฉีกหน้าออกเป็นเสี่ยงๆ
แม่ของเจียงจิ่นทนไม่ไหว เลยเป็นลมหงายหลังสลบไปในรถม้า
หมอหลวงเจียงรีบเข้าไปยืนบังเจียงจิ่นเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณชายรองขอรับ หลานสาวของข้า…”
หวงฝู่อวี้ดึงเขาออกไป แล้วประชิดตัวมองหน้าเจียงจิ่น
เจียงจิ่นมองกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
หวงฝู่อวี้ก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง โค้งตัวลง แล้วอุ้มเจียงจิ่นขึ้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคน เขาอุ้มเจียงจิ่นไปที่ม้าของตน หลังจากนั้นตนเองก็กระโดดขึ้นไป แล้วพูดกับตระกูลเจียงที่กำลังอ้ำอึ้งอยู่ว่า “วันนี้ตอนเย็น เสด็จแม่ของข้าจะส่งคนไปที่จวนเจียงเพื่อสู่ขอนาง ทางที่ดีพวกเจ้าควรมีคนคอยต้อนรับอยู่ที่จวน มิเช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าทั้งตระกูลเจอดีแน่”
พูดจบ ก็กอดเจียงจิ่นไว้แน่น หันหัวม้าแล้วมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองหลวง
หมอหลวงเจียงล้มลงนั่งกับพื้น
ส่วนคนที่เหลือก็มองหน้ากันไปมา ครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา
เจียงเยี่ยนรีบลงจากรถม้า พยุงหมอหลวงเจียง แล้วพูดด้วยความดีอกดีใจ “ท่านพ่อ พวกเรายังต้องไปอีกหรือไม่”
“ไปกับผีน่ะสิ!” หมอหลวงเจียงผู้ที่คลุกคลีอยู่กับการแพทย์มาตลอดชีวิต ไม่เคยมีอารมณ์โกรธเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาก็ระเบิดออกมาว่า “เจ้าดูท่าทีของคุณชายรองสิ เห็นชัดว่ามาเพื่อชิงตัวไป พวกเราไม่ต้องกังวลว่าจะผิดใจกับจวนอ๋องอีกต่อไป แล้วจะต้องหนีไปไหนล่ะ กลับ กลับจวนให้หมด”
เฮ! ทั้งตระกูลเจียงก็ร้องเฮกันออกมา เสียงดังกึกก้องไปไกลเลยทีเดียว
ส่วนเจียงจิ่นที่โดนลมกระแทกหน้าจนเจ็บ ถึงได้เข้าใจว่า เมื่อครู่นี้หวงฝู่อวี้พูดว่าอะไร ในขณะที่กำลังเขินอยู่นั้น ก็เริ่มดิ้น “เจ้าปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ ถ้าใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวก็มีข่าวลือใหม่ออกมาอีกหรอก”
หวงฝู่อวี้ผู้อบอุ่น พูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กลัวอะไรเล่า ผู้คนในเมืองต่างก็มัดเจ้ากับข้าไว้ด้วยกันอยู่แล้วมิใช่รึ จะมีอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป”
เจียงจิ่นไม่รู้จะพูดอะไรอีก แต่อย่างไรเสียก็ทำตัวไม่ถูกอยู่ดี จึงก้มหน้าลง
หวงฝู่อวี้ก็ยื่นมือออกมากอดนางเอาไว้
ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขาแล้ว ก็คิดถึงเหตุการณ์ที่เขาช่วยนางเอาไว้ ใจของเจียงจิ่นก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ขี่ม้ากลับมาถึงจวนอ๋อง
หวงฝู่อวี้ลงจากม้าก่อน แล้วก็รับเจียงจิ่นที่สีหน้าซีดเซียวลงมา
เมื่อเท้าถึงพื้น เจียงจิ่นถึงได้รู้สึกปลอดภัย หลังจากที่ยืนนิ่งแล้ว ก็เห็นว่านี่คือประตูจวนอ๋องฉี จากหน้าซีดเซียวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาทันที ขอร้องอ้อนวอนเบาๆ ว่า “คุณชายรองเจ้าคะ ท่านส่งข้ากลับไปที่จวนเถิด ไว้วันหลังข้ากับท่านแม่จะมาเยี่ยมเยียนพระชายาฉีเจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น ในเมื่อมาถึงหน้าประตูแล้วก็เข้าไปพบเสด็จแม่กับข้าก่อน เจ้าเป็นถึงคนที่ท่านแม่ของข้าถูกใจที่สุดเชียวนะ”
คำพูดของเขา ทำให้สีหน้าของเจียงจิ่นกลับกลายเป็นซีดเซียวอีกครั้ง ยืนตรง เก็บท่าทางไม่พอใจเอาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณชายรอง เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ พ่อแม่ต้องเป็นคนจัดการนั้นข้าไม่เถียง แต่ว่าข้าไม่หวังให้คุณชายรองรับข้าเป็นภรรยาเพราะพระชายาชอบข้ากับข่าวลือในเมืองหลวงนั่นหรอกนะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านจะไม่มีความสุขไปทั้งชีวิต ข้าก็ไม่สามารถมีชีวิตอย่างที่หวังไว้ได้ ดังนั้น คุณชายรอง เรื่องไปสู่ขอแต่งงานก็ขอให้ท่านไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนเถิด”
พูดจบ ก็หันหลังเดินกลับทันที
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็โซซัดโซเซ สุดท้ายก็ถูกหวงฝู่อวี้อุ้มขึ้นพาดไว้บนบ่า “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจเข้าไป ข้าก็จะช่วยเจ้าเอง ข้าเชื่อว่าเสด็จแม่จะต้องชอบที่เห็นเช่นนี้”
เจียงจิ่นทำอะไรไม่ถูก อีกนิดก็จะร้องตะโกนออกมาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่กล้าดิ้นขัดขืน ได้เพียงขอร้องว่า “คุณชายรอง ปล่อยข้าลงเถิดเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ทำเป็นไม่ได้ยิน อุ้มนางเดินเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว
บ่าวรับใช้ในจวนเมื่อเห็นหวงฝู่อวี้อุ้มเด็กสาวเข้ามา ต่างก็ตกใจ แต่ในขณะเดียวกันก็แอบหัวเราะคิกคักด้วยเช่นกัน
เจียงจิ่นได้ยินเสียงหัวเราะก็หน้าแดงแจ๋ หลับตาปี๋ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนบ่าของหวงฝู่อวี้
จนกระทั่งขาทั้งสองข้างของนางถึงพื้น ลืมตาขึ้น กลับพบว่านั่นไม่ใช่เรือนของพระชายาฉี แต่เป็นสถานที่ไม่คุ้นเคย ก็เกิดร้อนใจ เดินถอยห่างจากหวงฝู่อวี้ แล้วถามด้วยความร้อนรนว่า “คุณชายรอง ที่นี่ที่ไหน พระชายาล่ะ”
หวงฝู่อวี้ก็เดินเข้าไปตรงหน้านาง จ้องตาของนางแล้วพูดว่า “อะไรกัน กลัวงั้นรึ ตอนที่ตบข้าตอนนั้นเหตุใดจึงไม่กลัวล่ะ”
มือของเจียงจิ่นเต็มไปด้วยเหงื่อ ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณ คุณชายรอง ข้า เมื่อกี้ข้า… …”
แล้วคนร่างใหญ่ก็โน้มตัวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งประกบลงที่ริมฝีปากเรียวเล็กของนาง
เจียงจิ่นเบิกตาโพลง สองมือที่อยู่ข้างกายก็ขยับไปมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น