ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 38.1-42.2

ตอนที่ 38-1 ความรักที่ไม่อาจลืมเลือน

 

อ๋องฉีกับพระชายาก็ได้ทราบข่าวเรื่องนั้นเช่นเดียวกัน ต่างก็รู้สึกว่าสิ่งที่หวงฝู่อี้เซวียนทำลงไปนั้นออกจะเกินไปอยู่บ้าง จึงเรียกเขามาตำหนิเสียยกใหญ่ และสั่งให้เขาไปขออภัยถึงที่จวนราชเลขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ปล่อยให้อ๋องฉีตำหนิติเตียนโดยมีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่กลับไม่ตอบรับว่าจะไปขออภัยที่จวนราชเลขา


 


 


อ๋องฉีโมโหเกินกว่าจะทนไหว แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ คิดว่าสักวันจะให้พระชายาอ๋องฉีไปจวนราชเลขาด้วยตัวเอง ไปกล่าวปลอบโยนจิตใจ


 


 


ไม่นึกเลยว่าพวกเขายังไม่ได้ทำอะไร ราชเลขาสองสามีภรรยาก็มาหาถึงจวน


 


 


เมื่อพระชายาอ๋องฉีฟังท่านราชเลขาพูดจนจบก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “เยียนเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”


 


 


หลายวันมานี้ฮูหยินราชเลขาเหนื่อยล้าไปทั้งกายใจจากอาการการป่วยเป็นไข้ตัวร้อนที่เกิดขึ้นของหลินหันเยียน จึงโทษว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของหวงฝู่อี้เซวียน จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก “บุตรสาวของหม่อมฉันไม่จำเป็นต้องให้พระชายาเป็นห่วงหรอกเพคะ ที่หม่อมฉันกับนายท่านมาในวันนี้ก็เพื่อจะถามว่าที่ซื่อจื่อปฏิบัติต่อเยียนเอ๋อร์เช่นนี้ ต้องการสิ่งใดกันแน่?”


 


 


พระชายาอ๋องฉีกับฮูหยินราชเลขาเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรู้ใจกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย หลายปีที่ผ่านมาฮูหยินราชเลขาไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้ต่อนางมาก่อนเลยสักครั้ง พระชายาอ๋องฉีสะอึกทันที อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก


 


 


ถึงแม้ใต้เท้าจะรู้สึกว่าฮูหยินของตนพูดจาไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่ก็ไม่ได้กล่าวห้ามแต่อย่างใดปล่อยให้นางแสดงความไม่พอใจของตนเองออกมา


 


 


ฮูหยินราชเลขากล่าวขึ้นอีกว่า “หลายวันก่อนที่ซื่อจื่อทำเช่นนั้นลงไป ทำให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็เล่าลือกันไปจนเกินกว่าที่จะรับได้ ได้ตบหน้าจวนราชเลขาของเราโดยไม่ไว้หน้า เราก็มิได้ว่ากล่าวซื่อจื่อเลยแม้แต่น้อย ยามนี้แค่เพียงสาวใช้คนหนึ่งทำผิดไป ซื่อจื่อกลับปฏิบัติต่อเยียนเอ๋อร์เช่นนี้ หม่อมฉันจึงคิดจะมาถามเขาให้แน่ชัดว่าที่เขาทำเช่นนี้ต้องการสิ่งใดหรือ?”


 


 


นี่เห็นได้ชัดว่ามากล่าวโทษหวงฝู่อี้เซวียน อ๋องฉีและพระชายาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเพื่อให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว จึงสั่งสาวใช้ว่า “ไปตามซื่อจื่อมา”


 


 


สาวใช้รับคำสั่ง เดินไปถึงเรือนด้านนอกของหวงฝู่อี้เซวียน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป จึงบอกกับหวงฝู่อี้ที่กำลังทำความสะอาดอยู่เรือนด้านนอกว่า “คุณชายอี้ อ๋องฉีกับพระชายาเรียกให้ซื่อจื่อไปหาเจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้หยุดชะงัก ถามขึ้นว่า “ทราบไหมว่าเรื่องอันใด?”


 


 


สาวใช้ไม่กล้าปิดบัง กล่าวว่า “ท่านราชเลขากับฮูหยินมาที่นี่ เหมือนว่าจะมาด้วยเรื่องที่วันนั้นซื่อจื่อลงโทษสาวใช้จนตายเจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้พยักหน้า วางของที่อยู่ในมือไว้ข้างๆ แล้วเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นก็รายงานหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


วันนี้กั๋วจื่อเจียนหยุดงาน ทราบว่ายามเช้าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าร้าน หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ออกไปหานาง เวลานี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียงอย่างสงบ เมื่อได้ยินที่หวงฝู่อี้บอกก็เม้มปากแล้วลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก


 


 


หวงฝู่อี้เดินตามหลังเขาไปติดๆ


 


 


สาวใช้ที่มาตามหลังจากที่ยอบกายลงเคารพแล้วก็เดินตามอยู่เบื้องหลัง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าห้องโถง ทำความเคารพอ๋องฉีและพระชายาก่อน กล่าวทักทายว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่”


 


 


อ๋องฉีและพระชายาพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็หันไปเคารพราชเลขาสองสามีภรรยาด้วย “ท่านราชเลขา ฮูหยินราชเลขา”


 


 


ราชเลขาพยักหน้าบางๆ “ซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว”


 


 


ฮูหยินราชเลขากลับส่งเสียงหึขึ้นจมูก กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยินดีว่า “ซื่อจื่อมีฐานะสูงส่ง ข้ารับการเคารพจากท่านไม่ไหว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่ทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านทั้งสองเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ข้าทำความเคารพเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”


 


 


ฮูหยินราชเลขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือแววเสียดสีประชดประชันขึ้นว่า “หาได้ยากยิ่งนักที่ซื่อจื่อยังเห็นเราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เพียงแต่ไม่ทราบว่าคิดเช่นนั้นด้วยใจจริงหรือว่าเคารพเพียงแค่ผิวเผิน?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ถือสา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมเช่นเดิม “ฮูหยินเป็นเพื่อนรักของท่านแม่ข้า โชคดีที่หลายปีมานี้ ตอนที่ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายนางยังมีท่านคอยดูแล อี้เซวียนเห็นท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยใจจริง”


 


 


“ดี ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็จะว่ากันตามตรงไม่เกรงใจแล้ว ข้าอยากถามซื่อจื่อสักเรื่องหนึ่ง” ฮูหยินราชเลขากล่าว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เชิญท่านกล่าว”


 


 


ฮูหยินราชเลขาก็มิได้อ้อมค้อม กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าอยากถามซื่อจื่อว่า เหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติเช่นนั้นต่อเยียนเอ๋อร์ เจ้าทราบหรือไม่ว่าวันนั้นเยียนเอ๋อร์ตกใจแทบแย่ หลังจากที่กลับไปก็ตัวร้อนขึ้นไม่หยุด จนถึงวันนี้ถึงค่อยดีขึ้นบ้าง”


 


 


พอกล่าวถึงเรื่องในวันนั้น สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดูไม่ดีนัก น้ำเสียงก็ไม่ได้เคารพนอบน้อมเหมือนเมื่อกี้นี้ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็งกระด้างทว่าไม่อ่อนโยนนักว่า “คุณหนูหลินเป็นถึงคุณหนู แต่กลับไม่สนใจฐานะไปก่อกวนที่ร้านของโยวเอ๋อร์ อีกทั้งยังส่งเสริมให้สาวใช้ข้างกายแสดงออกต่อหน้าผู้คนมากมายว่ามีใจคิดในเรื่องที่ไม่สมควรต่อข้า หากไม่ใช่เพราะเห็นว่านางเป็นบุตรสาวของท่านทั้งสอง เกรงว่าวันนั้นจะไม่เพียงแค่ไปชมการสังหารง่ายๆ แต่เพียงเท่านั้น”


 


 


“เจ้า…” ฮูหยินราชเลขาถูกตอกกลับจนโมโหพูดไม่ออก


 


 


“เซวียนเอ๋อร์!” อ๋องฉีตำหนิเขา “รีบขออภัยฮูหยินเดี๋ยวนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ท่านพ่อ ลูกเพียงแต่พูดความจริง มีอะไรผิดหรือ?”


 


 


อ๋องฉีก็ถูกตอกกลับจนอึ้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขึ้นอีกว่า “ได้ข่าวว่าคุณหนูหลินฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก มีสติปัญญาและความกล้าหาญ ข้าจะทราบได้อย่างไรว่าข่าวนั้นมิใช่ความจริง ที่แท้นางไม่รู้ความถึงเพียงนี้เอง”


 


 


คราวนี้ไม่ใช่แค่ฮูหยินราชเลขา แม้แต่ท่านราชเลขายังถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก


 


 


สักพักฮูหยินราชเลขาก็กล่าวโต้เถียงข้างๆ คูๆ ว่า “ถึงแม้เยียนเอ๋อร์จะมีความผิด แต่เห็นแก่ที่นางเป็นว่าที่ชายาของเจ้า เจ้าไม่ควรปฏิบัติต่อนางเช่นนั้น”


 


 


นางยังพูดไม่จบเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นว่า “ฮูหยินกล่าวผิดไปแล้ว ว่าที่ชายาของข้ามีโยวเอ๋อร์แต่เพียงผู้เดียว พวกเราใช้หยกประจำกายเป็นพยาน หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก ข้าได้ให้คำสาบานต่อนางว่าชั่วชีวิตนี้จะแต่งกับนางเพียงผู้เดียว ส่วนคุณหนูหลินนั้น ขอให้ฮูหยินเลือกว่าที่ลูกเขยคนใหม่ที่ดีพร้อมให้แก่นาง อี้เซวียนจะไม่แต่งนางเป็นชายาแน่นอน”


 


 


“เจ้า…” ฮูหยินราชเลขาลุกขึ้นยืนฉับพลัน ชี้หน้าหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความโมโหจนพูดไม่ออก


 


 


“เซวียนเอ๋อร์ หยุดพูดจาเหลวไหล!” อ๋องฉีและพระชายาต่างก็ตกตะลึงลุกขึ้นตำหนิเขาพร้อมกัน


 


 


ด้านราชเลขายิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เขาถามอ๋องฉีด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “ท่านอ๋อง ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?”


 


 


อ๋องฉีคิดไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะพูดต่อหน้าท่านราชเลขาสองสามีภรรยา กล่าวออกมาอย่างชัดเจน เรื่องที่ได้หมั้นหมายไว้กับเมิ่งเชี่ยนโยว จึงรับมือไม่ทันไปชั่วขณะ กล่าวอธิบายอย่างลนลานว่า “เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิด มีอะไรที่เป็นเรื่องเข้าใจผิดไป”


 


 


ฮูหยินราชเลขาได้สติกลับคืนมา กล่าวเสียงแหลมว่า “มิน่าเจ้าถึงได้ปฏิบัติเช่นนั้นต่อเยียนเอ๋อร์ ที่แท้เป็นเพราะว่าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว วันนี้ต้องพูดเรื่องนี้กันให้เข้าใจ มิเช่นนั้นข้าจะเข้าวังไปหาไทเฮาเดี๋ยวนี้ ให้พระนางทรงวินิจฉัยให้”


 


 


สีหน้าของท่านราชเลขาอึมขรึมจนแทบจะเค้นน้ำออกมาได้ กล่าวขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “หากวันนี้ไม่พูดเรื่องนี้ให้เข้าใจ ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้ ถึงแม้ท่านจะเป็นถึงท่านอ๋องก็ไม่อาจมาล้อเล่นกับเราเช่นนี้ได้”


 


 


อ๋องฉีกล่าวขึ้นทันทีว่า “ทั้งสองท่านระงับโทสะลงก่อน เรื่องนี้พูดกันแค่สองสามคำไม่อาจพูดให้เข้าใจได้ เชิญนั่งลงก่อน ข้าจะอธิบายให้พวกท่านฟัง”


 


 


ราชเลขาสองสามีภรรยาฮึดฮัดด้วยความโมโห แล้วนั่งลงกลับที่เดิม รอให้อ๋องฉีอธิบายให้ชัดเจน


 


 


อ๋องฉีทราบแล้วว่าพวกเขาโมโหถึงขีดสุด จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กรองคำพูดก่อนจะเล่าขึ้นว่า พ่อแม่ของเมิ่งเชี่ยนโยวเก็บอี้เซวียนได้และได้เลี้ยงดูเขามา พ่อแม่ของนางใช้เงินที่อยู่ในห่อผ้าของอี้เซวียนเพื่อช่วยชีวิตของเมิ่งเชี่ยนโยว พ่อแม่ของนางรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก จึงหมายหมั้นให้พวกนางแต่งงานกันเอง สุดท้ายกล่าวขึ้นว่า “ต่อมาหลังจากที่เราทราบเรื่องก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ถึงอย่างไรก็เป็นความปรารถนาของพ่อแม่ของเมิ่งเชี่ยนโยวแต่ฝ่ายเดียว คิดไม่ถึงว่าเซวียนเอ๋อร์จะปล่อยวางนางไม่ได้ แต่ว่าพวกท่านโปรดวางใจ การแต่งงานระหว่างคุณหนูหลินกับเซวียนเอ๋อร์จะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป รอสักระยะให้คุณหนูหลินอาการดีขึ้นแล้ว ข้าจะเข้าวังไปขอให้ท่านแม่กำหนดวันแต่งงาน ให้พวกเขาแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด”


 


 


หลังจากที่ฟังอ๋องฉีอธิบายจบ สีหน้าของราชเลขาสองสามีภรรยาก็ค่อนข้างดีขึ้นบ้าง ท่านราชเลขากล่าวว่า “เมื่อกล่าวมาเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจได้ ถึงอย่างไรบิดามารดาของแม่นางคนนั้นก็เคยมีบุญคุณต่อซื่อจื่อ เราก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยอีก เพียงแต่ตอนนี้ท่าทีที่ซื่อจื่อปฏิบัติต่อนางทำให้เราเสียใจยิ่งนัก วันนี้ยังไม่มีการแต่งงาน เขาก็ปฏิบัติต่อเยียนเอ๋อร์เช่นนี้แล้ว หากว่าแต่งงานกันไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเย็นชาต่อเยียนเอ๋อร์ก็เป็นได้”


 


 


“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?” ชายาอ๋องฉีกล่าวต่อว่า “ข้าเห็นเยียนเอ๋อร์เติบโตมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย นิสัยอารมณ์ของนางข้าล้วนแต่ชื่นชอบทั้งสิ้น เจ้าวางใจได้ หลังจากนางแต่งเข้าจวนมาข้าจะปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นบุตรสาวของตนเอง หากเซวียนเอ๋อร์กล้าเย็นชาต่อนาง ข้าจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่นอน”


 


 


สีหน้าของฮูหยินราชเลขาก็ผ่อนคลายขึ้นมาก เพิ่งจะกล่าวจบเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นอย่างยืนยันในคำพูดเดิมว่า “จะไม่มีการแต่งงาน ไม่ว่าพวกท่านจะทำอย่างไร ข้าก็ไม่ยอมแต่งงานกับคุณหนูหลินเด็ดขาด พวกท่านทิ้งความคิดเช่นนั้นเถอะ”

 

 

 


ตอนที่ 38-2 ความรักที่ไม่อาจลืมเลือน

 

 


 


พอได้ฟังที่เขาพูด จากเดิมที่ราชเลขาสองสามีภรรยาเริ่มระงับความโมโหขุ่นเคืองใจลงได้ก็เริ่มเดือดขึ้นมาอีก ฮูหยินราชเลขากล่าวขึ้นด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด “ข้าไม่เคยทราบมาก่อนว่าซื่อจื่อจะเป็นคนที่ไม่รู้จักบุญคุณเช่นนี้ เจ้าหายไปนานหลายปี เราตระกูลราชเลขาไม่มีความคิดที่จะยกเลิกการแต่งงานเลย บัดนี้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว มีฐานะสูงส่งแล้ว แต่กลับต้องการยกเลิกการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์เพียงเพื่อนางสารเลวบ้านป่าคนหนึ่ง เอาเกียรติจวนราชเลขาของเราไปไว้ที่ใด ต่อไปเยียนเอ๋อร์ของเราจะออกไปพบปะผู้คนได้อย่างไร”


 


 


พอได้ยินนางเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวว่านางสารเลว สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เย็นชาขึ้น ปล่อยไอเย็นเยียบออกมารอบกาย กล่าวโดยไม่ไว้หน้าว่า “หลายปีที่ข้าหายไป ฮูหยินมักพาคุณหนูหลินมาที่นี่ ปากบอกว่ามาเยี่ยมท่านแม่ แต่ภายในนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่เกรงว่าพวกท่านคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ วันนี้ที่ข้าไม่พูดความจริงออกไปก็เพื่อไว้หน้าของทุกคน ถ้าหากฮูหยินยังพูดจาใส่ร้ายโยวเอ๋อร์อีกล่ะก็ ถึงพวกท่านจะไปฟ้องร้องต่อหน้าเสด็จย่ากับเสด็จลุง ข้าก็มีคำอธิบายได้”


 


 


“เซวียนเอ๋อร์ หยุดพูดจาเหลวไหล!” หลังจากที่พระชายาอ๋องฉีตกตะลึง ก็ได้กล่าวตำหนิเขาขึ้น


 


 


เรื่องที่เก็บไว้ในใจมานานหลายปีถูกเปิดโปงออกมา ท่านราชเลขาพาลโกรธขึ้น ลุกขึ้นฉับพลัน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้” พูดจบก็หันไปพูดกับฮูหยินราชเลขาว่า “ฮูหยิน เรากลับ!”


 


 


ฮูหยินราชเลขาลูกขึ้นแล้วออกเดินออกไปพร้อมกันกับท่านราชเลขา


 


 


“เตี๋ยชิง เจ้ารอก่อน!” พระชายาอ๋องฉีเรียกชื่อเล่นของฮูหยินราชเลขา แล้ววิ่งตามออกไปโดยมีสาวใช้คอยประคองอยู่


 


 


อ๋องฉีเขม็งมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง แล้วก็รีบวิ่งตามออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอย่างไม่สนใจ รอพวกเขากลับมาด้วยความสงบ


 


 


ดูเหมือนว่าราชเลขาสองสามีภรรยาจะออกไปด้วยความโมโหแล้วจริงๆ อ๋องฉีและพระชายาไม่นานก็กลับมา พอเดินเข้ามาเห็นหวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับไม่ใส่ใจสิ่งใด อ๋องฉีระเบิดอารมณ์โกรธออกมา ตำหนิว่า “ลูกเนรคุณ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นโดยไม่รีบร้อนทว่าไม่เชื่องช้า คุกเข่าลงกับพื้น


 


 


อ๋องฉีเดินกลับไปกลับมาด้วยอารมณ์คุกรุ่น กล่าวขึ้นว่า “ข้ากับท่านแม่ของเข้าพยายามรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลราชเลขามาตลอดหลายปี ก็เพื่อหวังว่าสักวันเมื่อเจ้ากลับมาแต่งงานกับคุณหนูหลิน ตระกูลราชเลขาจะได้เป็นกำลังสำคัญเพื่อช่วยเหลือเจ้า แต่เจ้ากลับทำดีมาก พูดจาแค่ไม่กี่คำก็ทำให้ความพยายามอย่างยากลำบากให้หลายปีที่ผ่านมาของเราต้องสูญเสียไปเปล่าๆ เพื่อสาวบ้านป่ามันคุ้มค่าแล้วหรือ?”


 


 


“ท่านพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเขา “โยวเอ๋อร์เป็นนางในดวงใจของข้า สี่ปีก่อนข้าเคยบอกกับท่านแล้วว่าหากไม่ใช่นางข้าก็ไม่ยอมแต่งกับใครอีก เป็นท่านเองที่ไม่ยอมใส่ใจ ดึงดันไม่ยอมให้ข้ายกเลิกการแต่งงานกับคุณหนูหลิน บัดนี้เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ถ้าหากไม่ยอมตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมแล้วล่ะก็ รอให้เสด็จลุงประทานงานแต่งให้ข้าก็ต้องสูญเสียโยวเอ๋อร์ไปเป็นแน่”


 


 


“คำก็โยวเอ๋อร์ สองคำก็โยวเอ๋อร์ แม่นางเมิ่งคนนั้นมีอะไรดีกันแน่? ถึงทำให้เจ้าลืมนางไม่ได้เสียที แม้ทุกคนจะตีตัวออกหากญาติมิตรตัดขาดก็จะแต่งกับนางหรือ?” อ๋องฉีกล่าวตำหนิเขาเสียงดัง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ ท่านคงไม่เคยทำงานในตอนกลางวัน งานหนักที่เด็กอายุเพียงเท่านั้นไม่สมควรได้ทำ ตกเย็นยังต้องซักเสื้อผ้าให้คนทั้งบ้านอีก แล้วท่านก็ยังคงไม่เคยที่หลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน แต่กลับได้รับเพียงอาหารแห้งชิ้นหนึ่งเพื่อดำรงชีพ ท่านยิ่งไม่เคยต้องผ่านฤดูทั้งสี่ในหนึ่งปีด้วยเสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ย ทั้งหมดนี้ท่านไม่เคยผ่านมันมาก่อน แต่ลูกได้ผ่านมาหมดแล้ว ตอนนั้นหากวันใดที่ลูกทำงานไม่เสร็จก็จะไม่ได้กินข้าวจนอิ่ม หิวจนคิดจะไปแย่งข้าวหมูมากิน ฤดูหนาวสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ ขาดๆ เพียงตัวเดียว ต้องนอนตัวหนาวสั่นอยู่ท่ามกลางผนังที่มีรูเต็มไปหมด ในแต่ละคืนไม่เคยมีคืนไหนที่นอนหลับลงได้ เป็นโยวเอ๋อร์ที่ช่วยข้าออกมา ทำให้ข้าหลุดพ้นจากความลำบากทั้งหมดนั้น ทำให้ข้ามีครอบครัวที่เป็นห่วงเป็นใยข้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หากไม่มีนางข้าอาจจะทนต่อชีวิตเช่นนั้นไม่ได้ แล้วฆ่าตัวตายก็เป็นได้ หรือบางทีข้าอาจจะถูกขายไปที่อื่นแล้ว ผ่านชีวิตที่ลำบากแสนสาหัสมาได้ ดังนั้นตั้งแต่วันที่โยวเอ๋อร์รับข้าเข้าบ้านข้าก็สาบานแล้ว ว่าจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี ข้าจะปกป้องนางตลอดชีวิต เป็นนางที่ไม่ยอมรับลูก ดังนั้นลูกจึงใช้แผนบางอย่างเพื่อรั้งนางเอาไว้ หากชาตินี้ไม่อาจแต่งงานกับนางได้ ถ้าเช่นนั้นลูกก็จะขออยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต”


 


 


เขาพูดจบอ๋องฉีก็ตกตะลึงตาค้าง พระชายาอ๋องฉีน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่


 


 


“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดถึงไม่ได้ยินเจ้าเล่าเรื่องนี้มาก่อนเลย?” หลังจากตกตะลึงแล้ว อ๋องฉีก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตอบคำถามเขา กล่าวต่ออีกว่า “ที่ข้าเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้รับทราบ มิใช่เพื่อให้พวกท่านเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจ เพียงแต่ต้องการบอกกับพวกท่านว่า หากมีใครที่คิดจะทำร้ายโยวเอ๋อร์ เช่นนั้นลูกก็จะตามนางไปด้วยอย่างไม่มีความลังเลใดๆ โดยเด็ดขาด”


 


 


เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องโถง หลังจากที่พระชายาอ๋องฉีมองบุตรชายด้วยหยาดน้ำตา เพื่อรับฟังบุตรชายที่อ่อนโยนมาโดยตลอดตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เขานิ่งเงียบไร้สีหน้าใดๆ สักพักหนึ่ง ดูเรียบเฉยราวกับว่าเมื่อกี้นี้เข้ากำลังพูดถึงลมฟ้าอากาศอยู่ ทว่าพระชายาอ๋องฉีรู้สึกว่าหากเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอะไรไป บุตรชายของตนจะต้องทำได้อย่างที่พูดแน่นอน


 


 


อ๋องฉีก็ตกตะลึง ไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดที่หวงฝู่อี้เซวียนเคยได้รับความลำบาก แต่ยังเป็นเพราะน้ำเสียงของเขามีความเด็ดเดี่ยว เหมือนกับว่าจะทำให้เขานึกถึงความหลังของตัวเองเมื่อสิบปีก่อนที่ใช้กำลังทหารฝ่าเข้าไปช่วยไทเฮากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนี้ ในตอนนั้นเขาละทิ้งทุกสิ่งที่อยู่ข้างหลัง ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย และหวงฝู่อี้เซวียนในวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน มิหนำซ้ำยังเด็ดเดี่ยวกว่าเขาในปีนั้นอีก


 


 


อ๋องฉีอ้าปากแต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี


 


 


น้ำตาของพระชายาอ๋องฉีกลับไหลทะลักออกมามากกว่าเดิม


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเรียบเฉยคุกเข่าตัวตรงอยู่บนพื้น


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด พระชายาอ๋องฉีก็ลงมานั่งคุกเข่าต่อหน้าอ๋องฉี กล่าวขอร้องอ้อนวอนว่า “ท่านอ๋อง ท่านเห็นชอบกับเซวียนเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ หม่อมฉันมีบุตรชายเพียงคนเดียว คลอดออกมาก็ต้องแยกจากกันไปถึงสิบปี บัดนี้หม่อมฉันไม่อาจสูญเสียเขาไปได้อีกแล้ว”


 


 


เมื่อเห็นพระชายาอ๋องฉีขอร้องเพื่อตน สีหน้าท่าทางของหวงฝู่อี้เซวียนก็เริ่มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นมา


 


 


อ๋องฉีมองดูพวกเขาสองคนแม่ลูก ถอนหายใจด้วยความหดหู่ใจพร้อมกับกล่าวว่า “การแต่งงานครั้งนี้เกี่ยวกับหลายฝ่าย มีหรือจะยกเลิกได้อย่างง่ายดายตามใจพวกเจ้า ถึงแม้ข้าจะเห็นดีด้วย แต่ท่านแม่ท่านก็คงไม่ยอม อีกอย่างคุณหนูหลินก็รอเซวียนเอ๋อร์มาถึงสิบห้าปีแล้ว จนอายุล่วงเลยการแต่งงานไปแล้ว วันนี้ขืนเรายกเลิกการแต่งงานไป ตระกูลราชเลขาก็จะไม่ยอมรามือไปง่ายๆ ต่อไปจะเป็นศัตรูต่อฝ่ายเรา ถึงตอนนั้นแม้เซวียนเอ๋อร์จะแต่งงานกับแม่นางเมิ่ง ชีวิตในเมืองหลวงก็จะลำบาก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก กล่าวขึ้นว่า “ขอเพียงแค่ยกเลิกการแต่งงานกับคุณหนูตระกูลราชเลขา แล้วแต่งงานกับโยวเอ๋อร์ได้ ถึงแต่ต่อไปต้องเผชิญหน้ากับภยันตรายทั้งปวงลูกก็ไม่สนใจ”


 


 


อ๋องฉีถอนหายใจยาว กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อยนัก ทราบแต่เพียงความรู้สึกรักและผูกพันอันยาวนานของชายหญิง ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของราชสำนัก ไม่ช้าไม่นานสักวันเจ้าอาจจะเสียใจในการตัดสินใจครั้งนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างแข็งขันว่า “ท่านพ่อ ความปรารถนาเดียวเพียงในใจของลูกก็คือแต่งงานกับโยวเอ๋อร์ ขอเพียงได้แต่งงานกับนาง ชั่วชีวิตนี้ของลูกก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียดาย”


 


 


อ๋องฉีส่ายหน้าแล้วกลับมานั่งบนเก้าอี้


 


 


พระชายาอ๋องฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจว่า “ถ้าหากท่านอ๋องลำบากใจ หม่อมฉันจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮา ให้พระนางช่วยออกหน้าให้ ยกเลิกการแต่งงานกับคุณหนูหลินแล้วกำหนดงานแต่งขึ้นมาใหม่”


 


 


อ๋องฉีโบกมืออย่างอ่อนแรง “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนเกินไป ขอข้าคิดดูให้ดีก่อน จะพยายามไม่ทำให้ตระกูลราชเลขากับเราต้องเป็นศัตรูกัน”


 


 


พอได้ฟังอ๋องฉีกล่าวเช่นนั้น สีหน้าเรียบเฉยของหวงฝู่อี้เซวียนก็มีความรู้สึกขึ้นมา มีความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้า แล้วโค้งลงคำนับอ๋องฉีด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยท่านพ่อ!”


 


 


พอตัดสินใจได้ ก็ดูเหมือนว่าอ่องฉีจะผ่อนคลายขึ้นเป็นกอง กล่าวว่า “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรปีนั้นก็เป็นความผิดของข้าที่ไม่ได้ดูแลพวกเจ้าสองคนแม่ลูกให้ดี จึงทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดต่อจากนั้น วันนี้ก็ตามใจเจ้าสักครั้ง ถือว่าเป็นการทดแทนที่หลายปีมานี้ข้าได้ติดค้างเจ้าไว้” 

 

 


ตอนที่ 39-1 รีบร้อนเข้าวัง

 

หลังจากที่ราชเลขาสองสามีภรรยาเดินออกมาจากจวนอ๋องฉีด้วยความเกรี้ยวกราด โดยไม่สนใจชายาอ๋องฉีที่ร้องเรียกอยู่ข้างหลัง พวกเขาเดินตรงขึ้นไปนั่งบนรถม้าของตนทันที จากนั้นก็บอกคนขับรถม้าให้กลับจวนราชเลขา


 


 


ทั้งสองคนหน้าดำคร่ำเครียดตลอดทาง นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา


 


 


คนขับรถม้ารู้สึกถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของพวกเขา จึงตกใจและใช้แส้ฟาดให้ม้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลากลับจวนราชเลขาน้อยกว่าขามามากกว่าครึ่ง


 


 


พอทั้งสองลงจากรถม้าก็เดินตามกันเข้าไปในห้องโถง


 


 


คนเฝ้าประตูก็รู้สึกถึงอารมณ์อันฉุนเฉียวของพวกเขา ถอยออกด้านข้างด้วยความนอบน้อม ไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง


 


 


ทั้งสองคนเดินกลับไปยังห้องโถง ในระหว่างที่ท่านราชเลขากำลังเดินเข้าห้อง ความเดือดดาลที่อยู่ในใจก็สะกดกลั้นไว้ไม่ได้อีก มือข้างหนึ่งตบโต๊ะเสียงดังปัง กล่าวด้วยความอารมณ์คุกรุ่นว่า “จวนอ๋องฉีจะรังแกกันเกินไปแล้ว เห็นจวนราชเลขาของเราเป็นเพียงแค่โคลนตมที่เขาจะมาขยำเล่นได้หรืออย่างไร เขาคิดจะยกการแต่งงานก็ต้องดูก่อนว่าพวกเราจะยินยอมหรือไม่”


 


 


ฮูหยินราชเลขาก็ฉุนเฉียวไม่น้อย พยักหน้าเห็นด้วย “การแต่งงานครั้งนี้ทุกคนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ทราบกันดี หากตอนนี้ยอมให้พวกเขายกเลิกการแต่งงานไปจริง ถ้าเช่นนั้นจวนราชเลขาของเราคงต้องกลายเป็นเรื่องขบขันไปทั่วทั้งเมืองหลวง ต่อไปเมื่อออกจากบ้านก็ไม่กล้าเผชิญหน้าผู้คน อีกอย่างปีนี้เยียนเอ๋อร์ก็อายุสิบห้าปีแล้ว หากตอนนี้ยกเลิกการแต่งงาน จะต้องหาคู่ที่เหมาะสมมิได้เป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นชีวิตของนางคงถูกทำลายไปจนชั่วชีวิต”


 


 


ท่านราชเลขาพยักหน้า กำลังจะพูดขึ้นหลินจ้งก็ถามเสียงดังมาจากนอกเรือนว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ อยู่ในห้องไหม?”


 


 


ฮูหยินราชเลขาก็ตะโกนขึ้นโดยไม่รอให้สาวใช้ตอบ “จ้งเอ๋อร์ เข้ามาเถอะ”


 


 


สาวใช้เปิดประตู หลินจ้งก็วิ่งเข้ามาในห้อง พอเห็นสีหน้าของราชเลขาสองสามีภรรยามีสีหน้าไม่ดีนักก็เดาขึ้นว่า “ท่านแม่ วันนี้ไปจวนอ๋องฉีคุยกันไม่ราบรื่นหรือ?”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า


 


 


หลินจ้งถามขึ้นทันทีว่า “พวกเขาว่าอย่างไร?”


 


 


ฮูหยินราชเลขายังเดือดดาลอยู่ กล่าวขึ้นด้วยความโมโหว่า “ซื่อจื่อบอกว่าจะยกเลิกการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์”


 


 


หลินจ้งตกตะลึง “เป็นเพราะเหตุใดกัน หรือว่าความผิดที่เฉี่ยวเยว่ก่อได้ย้อนกลับมาทำร้ายน้องสาว”


 


 


ฮูหยันราชเลขาส่ายหน้า “หากเป็นเช่นนั้นก็พูดกันง่าย”


 


 


หลินจ้งถามขึ้นต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใด?”


 


 


ฮูหยินราชเลขาเหลือบมองท่านราชเลขาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเขาไม่ได้โต้แย้งจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟังไปตามความจริง สุดท้ายกล่าวขึ้นว่า “พวกเราสู้อุตส่าห์ยอมถอยให้แล้วก้าวหนึ่ง รับปากแล้วว่าหลังจากที่เยียนเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วจะยอมให้ซื่อจื่อรับแม่นางคนนั้นเข้ามาเป็นอนุได้ ซื่อจื่อกลับไม่ยินยอม บอกว่าถึงอย่างไรก็จะยกเลิกการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์”


 


 


หลังจากหลินจ้งฟังจนจบก็หมุนกายเดินออกไปข้างนอก พลางพูดว่า “ข้าจะไปคิดบัญชีกับหวงฝู่อี้เซวียนเดี๋ยวนี้ น้องสาวรอคอยเขามาตั้งหลายปี จิตใจของเขาจะโหดร้ายเสมือนหมาป่าเช่นนี้ได้อย่างไร?”


 


 


ท่านราชเลขาตำหนิเขาขึ้น “จ้งเอ๋อร์ หยุด”


 


 


หลินจ้งหยุดชะงัก หันกลับมาพูดอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพ่อ หากเราอดทนไม่ยอมออกเสียง ยอมให้พวกเขายกเลิกการแต่งงานในคราวนี้ เกียรติของจวนราชเลขาของเราจะเอาไว้ที่ใด ท่านกับข้าจะกล้าเผชิญหน้าต่อคนในราชสำนักได้อย่างไร ต่อไปน้องสาวควรจะทำเช่นไรต่อ?”


 


 


ท่านราชเลขากล่าวว่า “ข้ากับแม่ของเข้ากำลังปรึกษากันเรื่องนี้ เจ้าอย่าร้อนใจไป หากเจ้ากระทำการณ์โดยวู่วาม แล้วถูกคนจับจุดอ่อนได้ เรื่องนี้จะมีแต่ผลเสียไม่มีผลดีแม้แต่น้อย”


 


 


พอได้ฟังท่านราชเลขากล่าวเช่นนี้ อารมณ์ที่คุกรุ่นของหลินจ้งก็ได้สติกลับคืน ระงับโทสะที่อยู่ในใจแล้วถามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านแม่กับท่านพ่อ ปรึกษากันได้หรือยังขอรับ?”


 


 


“กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ เจ้าก็นั่งลงเถอะ พวกเราปรึกษากันก่อน ตกลงว่าจะทำอย่างไรดี”


 


 


หลินจ้งนั่งลงบนเก้าอี้แต่โดยดี


 


 


อย่างไรก็ตามท่านราชเลขาก็ได้ชื่อว่าเป็นขุนนางมาหลายปี จึงรู้ว่าต้องจับจุดที่ตัวเองต้องการให้ได้เสียก่อน หลังจากที่ไตร่ตรองได้สักพักก็กล่าวว่า “ท่าทีของซื่อจื่อนั้นมุ่งมั่นมาก ส่วนอ๋องฉีและพระชายาแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่ว่าจากความรู้สึกผิดที่พวกเขามีต่อซื่อจื่อ สุดท้ายแล้วต้องใจอ่อนเป็นแน่ วิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือฮูหยินต้องเข้าไปหาไทเฮาที่วังหลวง ขอร้องให้พระนางมีพระเสาวนีย์เรื่องการแต่งงานออกมา ทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกเสีย ข้าไม่เชื่อว่าจวนอ๋องฉีพวกเขาจะกล้าขัดคำสั่งของไทเฮา”


 


 


ฮูหยินราชเลขาเองก็มีความคิดเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว พอฟังที่ท่านราชเลขากล่าวจบก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ข้าก็มีความคิดเช่นนี้ ข้าจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ เข้าเฝ้าไทเฮาในวังหลวงโดยเร็ว ให้ไทเฮามีพระเสาวนีย์เรื่องการแต่งงานออกมาก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”


 


 


หลินจ้งก็ก็รู้สึกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดี จึงพยักหน้าเห็นด้วย


 


 


จึงตัดสินใจได้ด้วยประการฉะนี้ หลังจากที่บอกให้ท่านราชเลขากับหลินจ้งดูแลหลินหันเยียนเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินราชเลขาก็กลับห้องสั่งให้สาวใช้แต่งตัวให้ตนอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งรถเข้าวังหลวงอย่างรวดเร็ว


 


 


ที่หน้าประตูวัง หลังจากที่บอกให้ทหารอารักขาไปรายงานให้ไทเฮาทรงทราบ จึงรออยู่ที่หน้าประตูวังด้วยความกระวนกระวายใจ


 


 


พอไทเฮาได้ยินทหารอารักขารายงานเช่นนั้น ในใจก็พอจะเดาออกแล้วว่าที่ฮูหยินราชเลขาเข้าวังมาเฝ้าด้วยเหตุอันใด จึงบอกทหารอารักขาว่าให้นางเข้ามาได้


 


 


ทหารอารักขากลับมายังหน้าประตูวัง บอกว่าไทเฮามีพระประสงค์ให้เข้าเฝ้าได้ ทหารอารักขาพาฮูหยินราชเลขามายังตำหนักที่ประทับของไทเฮา หลังจากที่ทำความเคารพไทเฮาตามกฎเกณฑ์แบบแผนปฏิบัติแล้ว ก็นั่งลงบนที่นั่งที่ไทเฮาประทานให้


 


 


พระพักตร์ของไทเฮาเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “นานแล้วนะที่เจ้าไม่ได้มาเยี่ยมข้าที่ตำหนักนี้ ที่มาวันนี้มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?”


 


 


ฮูหยินราชเลขาตอบด้วยความนอบน้อมว่า “หม่อมฉันมีเรื่องจะขอร้องไทเฮาเพคะ”


 


 


“อ้อ เรื่องใดหรือ?”


 


 


ฮูหยันราชเลขาลุกขึ้นแล้วคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ของไทเฮา กล่าวว่า “หม่อมฉันมาขอพระเสาวนีย์ให้บุตรสาวผู้ต่ำต้อยเยียนเอ๋อร์แต่งงานเพคะ ให้นางกับซื่อจื่อแต่งงานกันโดยเร็ว”


 


 


ไทเฮาตกใจ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าของนาง แล้วพยุงนางขึ้นด้วยตัวเอง กล่าวว่า “เรื่องการแต่งงานระหว่างเซวียนเอ๋อร์กับหลินเอ๋อร์กำหนดไว้นานแล้ว บัดนี้พวกเขาก็มีอายุถึงการแต่งงานแล้ว ถึงแม้เจ้าจะไม่มาขอร้อง ข้าก็มีความประสงค์ให้พวกเขาแต่งงานกันอยู่แล้ว”


 


 


“ขอบพระทัยไทเฮาเพคะ” ฮูหยินราชเลขาลุกขึ้น กล่าวด้วยความนอบน้อม


 


 


ไทเฮาพยักหน้า บอกเป็นนัยๆ ว่าให้นางนั่งลงที่เดิม เอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าได้ข่าวว่าคุณหนูหลินป่วยไม่สบายอยู่หลายวัน ไม่รู้ว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง”


 


 


“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงระลึกถึงเพคะ บุตรสาวของหม่อมฉันอาการดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่ในช่วงหลายวันมานี้ ทุกวันจะตัวร้อนเป็นประจำ ทรมานอยู่เช่นนี้ จนคนทั้งคนผอมแทบไม่เหลือเค้าเดิมแล้วเพคะ”


 


 


ไทเฮาถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “เรื่องที่เซวียนเอ๋อร์ปฏิบัติต่อคุณหนูหลินข้าเองก็ได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว ครานี้เขาทำเกินไปจริงๆ คุณหนูหลินผู้บอบบาง เหตุใดเขาถึงได้ให้นางต้องไปเผชิญกับกลิ่นคาวเลือดเช่นนั้น วันนั้นข้าเรียกเขามาสั่งสอนแล้ว เจ้าวางใจเถิด รอให้คุณหนูหลินหายดีแล้ว ข้าจะมีพระเสาวนีย์ลงไปเอง ให้พวกเขาแต่งงานกันโดยเร็ว”


 


 


ฮูหยินราชเลขากล่าวขึ้นทันทีว่า “บุตรสาวของหม่อมฉันไม่เป็นอันใดแล้วเพคะ เพียงแค่ตกใจไปเท่านั้น ดูแลอีกไม่กี่วันก็หายสนิทแล้ว หม่อมฉันอยากให้ไทเฮาทรงมีพระเสาวนีย์ให้พวกเขาแต่งงานกันเดี๋ยวนี้เลยเพคะ กำหนดเรื่องนี้ให้ชัดเจนลงไป ส่วนวันแต่งงานนั้นยืดเวลาไปสักพักก็ได้เพคะ”


 


 


ไทเฮารู้สึกได้ถึงความร้อนใจของฮูหยินราชเลขา มองนางแวบหนึ่ง ถามขึ้นว่า “มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าถึงได้ต้องการให้ข้าสั่งการให้พวกเขาแต่งงานการอย่างเร่งด่วนเช่นนี้?”


 


 


ฮูหยินราชเลขามองนางกำนัลที่อยู่รอบๆ


 


 


ไทเฮาเข้าพระทัย จึงโบกพระหัตถ์ขึ้น “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ไม่มีคำสั่งจากข้าผู้ใดก็ห้ามเข้า”


 


 


นางกำนัลที่อยู่ในห้องต่างก็รับคำ แล้วก็ถอยออกไป 

 

 


ตอนที่ 39-2 รีบร้อนเข้าวัง

 

หลังจากที่กูกูผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายไทเฮาปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้ว ก็หันกลับไปสั่งนางกำนัลที่อยุ่ข้างๆ เสียงเบาว่า “เจ้ารีบไปส่งให้พระชายาอ๋องฉีโดยด่วน บอกว่าฮูหยินราชเลขาเข้าวังมาด้วยตัวเองเพื่อขอร้องให้ไทเฮามีพระเสาวนีย์เรื่องการแต่งงาน บอกให้นางรีบพาซื่อจื่อเข้าวังโดยด่วน หากช้าไปเมื่อมีพระราชเสาวนีย์ออกมาแล้วจะแก้ไขอะไรม่ได้แล้ว”


 


 


สาวใช้รับคำสั่ง วิ่งออกไปส่งข่าวอย่างรวดเร็ว


 


 


กูกูผู้ดูแลไทเฮามองไทเฮาที่อยู่ในห้อง แล้วยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


 


รอจนกระทั่งทุกคนออกไปแล้ว ฮูหยินราชเลขาจึงเล่าเรื่องที่วันนี้นางกับท่านราชเลขาทั้งสองคนไปถามซื่อจื่อที่จวนอ๋องฉี ว่าเหตุใดถึงได้ปฏิบัติต่อบุตรสาวของตนเช่นนั้น รวมทั้งเรื่องที่พวกเขาเสนอให้เยียนเอ๋อร์กับซื่อจื่อแต่งงานกันโดยเร็ว แต่ทว่าหวงฝู่อีเซวียนกลับปฏิเสธ บอกว่านอกจากเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วจะไม่ยอมแต่งกับผู้ใดอีก นางเล่าเรื่องทุกอย่างออกมาโดยไม่ปิดบังไทเฮา


 


 


หลังจากที่ไทเฮาฟังจบก็ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ แล้วจึงถามนางขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “เซวียนเอ๋ฮร์พูดเช่นนั้นจริงหรือ?”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า “กล่าวเช่นนั้นจริงเพคะ หม่อมฉันไม่กล้ากล่าวคำเท็จแม้แต่คำเดียว”


 


 


ไทเฮาขมวดพระขนง


 


 


ฮูหยินราชเลขากล่าวต่ออีกว่า “เรื่องการแต่งงานของหญิงชายนี้เดิมทีเป็นเรื่องของการยินยอมพร้อมใจกัน ในเมื่อซื่อจื่อไม่ยินยอม เราก็ไม่ควรไปบีบบังคับ เพียงแต่ว่าบุตรสาวของหม่อมฉันได้มีกำหนดการแต่งงานไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็กแล้ว ถึงแม้จะตามหาซื่อจื่อกลับมาไม่ได้ พวกเราก็มิได้มีความคิดที่จะยกเลิกการแต่งงาน ไม่เคยคิดที่จะทำเรื่องไร้หัวจิตหัวใจเช่นนั้น ต่อมาตามหาซื่อจื่อกลับมาได้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงว่าจะยกเลิกการแต่งงาน พวกเราก็นึกว่าซื่อจื่อยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ จึงไม่ได้ไปซักไซ้ไล่เลียง บัดนี้เยียนเอ๋อร์ก็อายุสิบห้าแล้ว ถึงเวลาต้องแต่งงานแล้ว ทว่าจู่ๆ ซื่อจื่อกลับบอกว่าจะยกเลิกการแต่งงาน เมื่อเป็นเช่นนี้บุตรสาวของหม่อมฉันจะเผชิญหน้าต่อผู้คนได้อย่างไรเพคะ”


 


 


พอกล่าวจบก็หายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วกล่าวต่อว่า “หากแม้นว่าบุตรสาวของหม่อมฉันมีความผิด ซื่อจื่อคิดจะยกเลิกการแต่งงานพวกเราก็มิอาจว่ากล่าวสิ่งใดได้ แต่ว่าชื่อเสียงในเมืองหลวงของบุตรสาวหม่อมฉันก็มีแต่ด้านดีมาโดยตลอด และก็มิได้มีนิสัยหยิ่งผยองเอาแต่ใจ ที่ซื่อจื่อกล่าวว่าจะยกเลิกการแต่งงานเช่นนี้ จะให้พวกเราจวนราชเลขาเอาหน้าไว้ที่ใด?”


 


 


ถือว่าฮูหยินราชเลขามีความสามารถในการใช้คำพูด โดยบอกกับไทเฮาว่าถึงแม้อ๋องฉีจะเป็นโอรสของพระองค์ ซื่อจื่อเป็นนัดดาของพระองค์ แต่จวนราชเลขาของเราก็มีความสำคัญในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่ด้อยไปกว่ากัน หากท่านเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็ต้องอย่าลืมพิจารณาฐานะและตำแหน่งของพวกเราจวนราชเลขาด้วย


 


 


มีหรือที่ไทเฮาจะไม่รู้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ ยิ้มโดยไม่ปรากฏถึงแววตาพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว เซวียนเอ๋อร์กับแม่นางคนนั้นเติบโตมาด้วยกัน จึงได้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันมากไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรนางก็มาจากชาวบ้าน มีหรือจะเป็นชายาซื่อจื่อได้ เซวียนเอ๋อร์อายุยังน้อย ยังไม่รู้จักเรื่องความเกี่ยวพันกันว่าสิ่งใดมีคุณและโทษดีพอ รอวันพรุ่งข้าจะเรียกตัวเขาเข้าวัง แล้วจะบอกเขาให้ทราบถึงความสัมพันธ์ของคุณและโทษว่ามันเกี่ยวพันกับสิ่งใดบ้าง เขาจะต้องเปลี่ยนใจเป็นแน่”


 


 


ฮูหยินราชเลขาส่ายหน้า “ซื่อจื่อมีพรสวรรค์ฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังได้รับการสั่งสอนจากท่านราชครูมานานหลายปี เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทราบถึงเหตุผลข้อนี้ แต่เขาก็ยังดื้อดึงที่จะยกเลิกการแต่งงาน เห็นชัดว่าไม่ได้เห็นบุตรสาวของหม่อมฉันอยู่ในสายตาจริงๆ หากมีวิธีอื่นหม่อมฉันก็จะไม่เข้าวังมารบกวนพระนางหรอกเพคะ ขอให้พระนางทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงไปด้วยเถิดเพคะ หากเป็นเช่นนี้พวกเราก็จะได้เบาใจขึ้น ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนในทุกวัน ที่ต้องกลัวว่าซื่อจื่อจะยกเลิกการแต่งงาน บุตรสาวของหม่อมฉันรับอะไรที่หนักหนาไม่ไหวแล้วเพคะ”


 


 


พอพูดมาถึงตรงนี้ ไทเฮาก็เข้าใจถึงความต้องการของฮูหยินราชเลขา ก็คือไม่ว่าอย่างไรก็ตามวันนี้ต้องได้รับพระราชเสาวนีย์


 


 


พอนึกขึ้นว่าการแต่งงานครานี้เดิมทีนั้นตัวเองหวังว่าจะสำเร็จได้ด้วยดี ไทเฮาจึงกล่าวขึ้นทันทีว่า “ก็ได้ ข้าบจะเขียนพระราชเสาวนีย์เดี๋ยวนี้ แล้วสั่งให้คนไปส่งงานที่จวนอ๋องฉี”


 


 


พอได้ฟังที่ไทเฮาทรงรับปาก ฮูหยินราชเลขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวขึ้นด้วยความนอบน้อมว่า “ขอบพระทัยไทเฮาเพคะ”


 


 


ไทเฮาโบกพระหัตถ์ แล้วสั่งคนที่อยู่ด้านนอกว่า “มีใครอยู่ไหม!”


 


 


กูกูผู้ดูแลรับคำแล้วเดินเข้ามา “ไทเฮา รับสั่งอะไรหรือเพคะ?”


 


 


“ไปเอาแท่นหมึกกับกระดาษเข้ามา ข้าจะเขียนพระราชเสาวนีย์การแต่งงานให้เซวียนเอ๋อร์”


 


 


กูกูผู้ดูแลตอบรับแล้วปิดประตูเดินออกไป อีกด้านก็หันไปสั่งให้นางกำนัลเอาแท่นหมึกกับกระดาษพู่กันมา อีกด้านก็มองออกไปข้างนอกอย่างกระวนกระวายใจไม่หยุด แอบร้อนใจว่า ผ่านไปนานแล้วเหตุใดชายาอ๋องฉีกับซื่อจื่อยังไม่มาอีก


 


 


นางกำนัลที่ส่งข่าวออกจากวังมาด้วยความร้อนรน จนมาถึงจวนอ๋องฉี แล้วหยิบแผ่นป้ายของตัวเองส่งให้คนเฝ้าประตูดูแล้วบอกว่าตัวเองมีเรื่องด่วนต้องมาหาชายาอ๋องฉี


 


 


คนเฝ้าประตูพอเห็นแผ่นที่มาจากในวังก็ไม่กล้าชักช้าอีก แล้วพานางเขาไปในเรือนของพระชายาอ๋องฉีทันที


 


 


อ๋องฉีกับพระซายาอ๋องฉีก็กำลังปรึกษากันว่าจะยกเลิกการแต่งงานอย่างไรดี พอได้ยินสาวใช้รายงานก็รีบให้นางกำนัลเข้ามาทันที


 


 


หลังจากที่นางกำนัลเข้ามายอบกายทำความเคารพต่อพวกเขาแล้วก็กล่าวว่า “กูกูผู้ดูแลบอกให้ข้ามาส่งข่าวกับพระชายา ว่าฮูหยินราชเลขามาขอร้องไทเฮาให้มีพระราชเสาวนีย์เรื่องการแต่งงานของซื่อจื่อกับคุณหนูหลิน บอกให้ท่านพาซื่อจื่อเข้าไปโดยเร็วที่สุดเพคะ หากมีพระราชเสาวนีย์ลงไปแล้ว ทุกอย่างจะสายเกินแก้”


 


 


อ๋องฉีกับพระชายาต่างก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ถามว่า “ไปตั้งแต่เมื่อใด?”


 


 


“ตอนที่บ่าวออกมา นางก็มาได้สักครู่แล้ว เป็นเพราะมีเรื่องสำคัญจะพูดกับไทเฮา ไทเฮาจึงสั่งให้พวกบ่าวออกมา กูกูผู้ดูแลถึงได้มีเวลาบอกให้บ่าวมาส่งข่าวกับพวกท่านได้”


 


 


พระชายาอ๋องฉีบอกกับสาวใช้ติดตามข้างกายว่า “มอบเงินรางวัลให้นางยี่สิบตำลึง”


 


 


นางกำนัลยินดีจนออกนอกหน้า กล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่ “ขอบพระทัยท่านอ๋อง พระชายาเพคะ”


 


 


สาวใช้ติดตามข้างกายพานางกำนัลไปยังห้องบัญชีเพื่อรับเงิน


 


 


พระชายาอ๋องฉีสั่งสาวใช้อีกคนด้วยความกระวนกระวายใจว่า “เร็ว ไปเรียกซื่อจื่อมาเร็วเข้า บอกให้เขาตามไปตำหนักไทเฮาเป็นการด่วน”


 


 


สาวใช้ตอบรับแล้วรีบวิ่งออกไปทันที


 


 


พระชายาอ๋องฉีกล่าวกับอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋อง รบกวนท่านบอกให้พวกเขาเตรียมม้าฝีเท้าดีให้เราสองตัว เราจะเข้าวังเดี๋ยวนี้”


 


 


อ๋องฉีรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง กล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เจ้าร่างกายอ่อนแอ ในยามปกติไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก จู่ๆ วันนี้จะขี่ม้าออกไป ร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหวเอา ข้าจะสั่งให้คนเตรียมเกี้ยวไว้ให้เจ้า ในระหว่างเดินทางให้พวกเขาเดินเร็วขึ้นหน่อยก็ได้แล้ว”


 


 


พระชายาอ๋องฉีรู้ว่าเขาทำเพื่อตนเอง ทว่านางร้อนใจมาก กล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งรีบว่า “ท่านอ๋อง เตี๋ยชิงเข้าวังไปพักใหญ่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะพูดให้ท่านแม่ทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงไปแล้ว ถ้าหากข้ากับเซวียนเอ๋อร์ชักช้าเกินไป แล้วท่านแม่เขียนพระราชเสาวนีย์เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็จะสายเกินแก้ ท่านให้คนเตรียมม้าฝีเท้าดีให้พวกเราดีกว่าเพคะ”


 


 


แต่งงานกันมาหลายปี พระชายาอ๋องฉีพูดจาต่ออ๋องฉีอย่างเกรงอกเกรงใจเสมอมา ดูไม่คุ้นเคยราวกับว่ามิใช่คู่สามีภรรยาฉะนั้น เป็นครั้งแรกที่พูดจาเช่นนี้ต่อเขา อ๋องฉีอดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้ง


 


 


พระชายาอ๋องฉีเมื่อเห็นเขายืนอึ้ง คิดว่าเขาจะไม่ยอมให้นางขี่ม้าไป จึงกล่าวอย่างกระวนกระวายขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านอ๋อง ท่านยังไม่ยอมออกคำสั่งออกไปอีกหรือเพคะ อยากให้เซวียนเอ๋อร์โกรธเกลียดเราไปชั่วซีวิตหรืออย่างไร?”


 


 


ท่านอ๋องฉีรู้สึกตัวทันที ตะโกนสั่งงานคนที่อยู่ข้างนอก แล้วก็มีเสียงคนตอบรับจากด้านนอก แล้วก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


พอหวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังที่สาวใช้รายงาน ก็รีบมายังเรือนพระชายาอ๋องฉีทันที


 


 


พระชายาอ๋องฉีเก็บของทุกอย่างอย่างเหมาะสมแล้ว ก็รีบเดินออกประตูไป สั่งงานคนดูแลที่อยู่ข้างกายว่า “ข้ากับ เซวียนเอ๋อร์จะขี่ม้าออกไปก่อน พวกเจ้าแบกเกี้ยวตามไปรอข้าที่หน้าประตูวัง”


 


 


ทุกคนรับคำสั่ง


 


 


พระชายาอ๋องฉีไม่ได้อธิบายอะไรให้หวงฝู่อี้เซวียนฟัง บอกเขาที่กำลังจะเดินเข้าประตูเรือนว่า “เซวียนเอ๋อร์ เร็วเข้า พวกเราจะขี่ม้าออกไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า หลังจากที่รอรับพระชายาอ๋องฉีแล้วก็ประคองนางเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว


 


 


อ๋องฉีมองแผ่นหลังของพวกเขาสองคนแม่ลูกที่อยู่ไกลออกไป ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างค่อยๆ หลุดออกมาจากในใจ


 


 


พระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนเดินมาถึงประตู คนรับใช้จูงม้ามารอที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว ชายาอ๋องฉีก็รับบังเ**ยนมาจากคนรับใช้ แล้วกระโดดขึ้นม้า พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนที่ขึ้นม้าเรียบร้อยแล้วว่า “เซวียนเอ๋อร์ พวกเราไปเร็วเข้า” พูดจบ ก็ควบม้าบึ่งออกไปโดยไม่รอให้เขาพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนควบม้าตามมาติดๆ


 


 


พระชายาอ๋องฉีเกิดมาจากตระกูลแม่ทัพ แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่วรยุทธ์นั้นก็พอมีอยู่บ้าง แต่ก่อนตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานกับอ๋องฉีก็มักจะออกไปขี่ม้าเล่นกับท่านแม่ทัพฉู่ที่จากไปแล้ว เพียงแต่หลังจากที่แต่งเข้าจวนอ๋องฉี มีฐานะเป็นถึงพระชายาขวางเอาไว้ อีกทั้งยังมีเรื่องที่อี้เซวียนเกิดมาแล้วก็หายไปอีก จากความเสียใจกลายเป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนแอ หลายปีมานี้จึงไม่เคยได้ขี่ม้าเลย บัดนี้มีเรื่องเร่งด่วน จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก ควบม้าตะบึงไปยังวังหลวงโดยไม่ยอมลดความเร็ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามมาติดๆ จนขึ้นมาอยู่ข้างๆ นาง เห็นนางมีสีหน้ากระวนกระวายใจ ไม่สนใจแม้ว่าร่างกายอ่อนแอ เร่งม้าไปอย่างบ้าคลั่ง จึงเกิดเป็นความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ


 


 


ทั้งสองคนมาถึงประตูวัง หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนแสดงป้ายประจำตัว ทหารอารักขาก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปข้างใน


 


 


เดินเข้าไปยังตำหนักของไทเฮาด้วยความรีบร้อน ประจวบเหมาะกับเห็นกงกงคนหนึ่งถือพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาเดินออกมาจากพระตำหนัก พระชายาอ๋องฉีถามขึ้นด้วยอาการร้อนรนว่า “กงกง จะไปประกาศที่จวนอ๋องฉีใช่หรือไม่?”

 

 

 


ตอนที่ 40-1 สละตำแหน่งซื่อจื่อ

 

กงกงผู้ประกาศรู้จักว่าเป็นพระชายาอ๋องฉี หลังจากที่ทำความเคารพนางอย่างนอบน้อมแล้วก็ตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว”


 


 


พระชายาอ๋องฉีกล่าวขึ้นทันควันว่า “กงกง กรุณารอสักครู่ ข้าจะไปขอให้ไทเฮาเก็บพระราชเสาวนีย์คืนเดี๋ยวนี้”


 


 


“เอ่อ…” กงกงผู้ประกาศเกิดความลังเล


 


 


พระชายาอ๋องฉีกล่าวว่า “เวลานี้ข้ากับเซวียนเอ๋อร์ก็อยู่ในวังหลวงแล้ว ท่านอ๋องก็มิได้อยู่ที่จวน ถึงแม้ท่านจะไปประกาศพระราชเสาวนีย์ถึงที่จวนก็ไม่มีผู้ใดรอรับคำประกาศ อย่างไรท่านรอข้าอยู่ตรงนี้สักครู่ ถ้าหากข้าขอร้องไทเฮาไม่ได้ ท่านค่อยไปประกาศพระราชเสาวนีย์ก็ยังไม่สายเกินไป”


 


 


กงกงผู้ประกาศพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรอพระชายาที่นี่สักครู่ หวังว่าท่านจะส่งข่าวให้ข้าอย่างเร็วที่สุด”


 


 


“ขอบคุณกงกง จวนอ๋องฉีจะจดจำบุณคุณครั้งนี้ของท่าน” พระชายาอ๋องกล่าว


 


 


กงกงรีบกล่าวขึ้นว่า “พระชายาทำให้บ่าวอายุสั้นลงแล้ว”


 


 


พระชายาอ๋องฉีเดินเข้าไปในเรือนของไทเฮา กูกูผู้ดูแลพอเห็นนางเข้ามาก็รีบออกมารอรับ พร้อมกับกล่าวตำหนิว่า “พระราชเสาวนีย์ได้ประกาศออกไปแล้ว เหตุใดพวกท่านถึงเพิ่งมาถึง”


 


 


พระชายาอ๋องฉีกล่าวว่า “ข้ายั้งพวกเขาเอาไว้แล้ว เจ้ารีบไปรายงานไทเฮาว่าข้ากับเซวียนเอ๋อร์มาขอเข้าเฝ้า”


 


 


กูกูผู้ดูแลถอนหายใจโล่งอก แล้วก็เดินเข้าไปรายงานในห้อง


 


 


พอไทเฮาทรงได้ยินว่าพระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนมาเข้าเฝ้าที่พระตำหนักในเวลานี้ ก็รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากับพวกเขาสองคนแม่ลูกช่างมีจิตใจที่ผูกพันกันเหลือเกิน เพิ่งจะมีพระราชเสาวนีย์การแต่งงานออกไป พวกเขาก็เข้ามาแล้ว รีบให้พวกเขาเข้ามา”


 


 


ฮูหยินราชเลขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดไม่จา สีหน้าดูไม่ดี


 


 


กูกูผู้ดูแลตอบรับ แล้วออกมาเรียกพวกเขาทั้งสองคนเข้าไป


 


 


พระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปแล้วก็ทำความเคารพไทเฮาด้วยความนอบน้อม


 


 


ไทเฮาโบกพระหัตถ์ บอกเป็นนัยๆ ว่าให้พวกเขานั่งลง แล้วส่งยิ้มให้แก่พระชายาอ๋องฉีพร้อมทั้งกล่าวว่า “เห็นเจ้าหน้าแดงมีเลือดฝาด การเดินเหินกระฉับกระเฉง ร่างกายของเจ้าแข็งแรงขึ้นมากจริงๆ”


 


 


พระชายาอ๋องฉีตอบกลับด้วยความเคารพนบนอบ “ขอบพระทัยท่านแม่ที่ทรงระลึกถึงเพคะ ตั้งแต่เซวียนเอ๋อร์กลับมา หม่อมฉันก็หัวใจพองโตขึ้นมาก อาการป่วยก็ดีขึ้นด้วยเพคะ”


 


 


เดิมทีลูกสะใภ้คนนี้ร่างกายก็อ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลังจากที่อี้เซวียนหายไป โรคต่างๆ ก็มารุมเร้าให้ป่วยกระเสาะกระแสะอยู่นานหลายปี หลายปีมานี้ไทเฮารู้สึกเสียดายไม่น้อยที่ตอนนั้นกำหนดให้มีงานแต่งจากความเห็นแก่ตัวของตัวเอง บัดนี้เมื่อเห็นนางไม่มีอาการป่วยไข้แล้วก็รู้สึกยินดี กล่าวด้วยความสำราญพระทัยว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เมื่อถึงงานแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์ เจ้าก็สามารถจัดงานแต่งให้พวกเขาเองได้”


 


 


พระชายาอ๋องฉีเม้มปาก แล้วคุกเข่าลงพร้อมกับกล่าวว่า “ที่หม่อมฉันมาในวันนี้ก็ด้วยเรื่องนี้เพคะ ขอให้ท่านแม่ทรงเก็บพระราชเสาวนีย์การแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์กลับคืนด้วยเถิดเพคะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็คุกเข่าลงตาม กล่าวว่า “ขอให้เสด็จย่าเก็บพระราชเสาวนีย์คืนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ไทเฮาตกตะลึง


 


 


ฮูหยินราชเลขาเกือบจะลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่อยู่


 


 


นานหลายอึดใจไทเฮาจึงตรัสต่อว่า “พวกเจ้าสองคนแม่ลูกลุกขึ้นก่อน มาอธิบายให้ข้าเข้าใจก่อน ว่าเหตุใดถึงต้องให้ข้าเก็บพระราชเสาวนีย์กลับคืน”


 


 


พระชายาอ๋องฉีไม่ขยับยังคุกเข่าอยู่ที่เดิม กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้มันยาวมากเพคะ ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะค่อยๆ เล่าให้พระนางฟัง ขอให้พระนางเรียกพระราชเสาวนีย์กลับคืนมาก่อนเพคะ”


 


 


“เหลวไหล!” ไทเฮาตำหนินาง “พระราชเสาวนีย์ข้าได้สั่งการลงไปแล้ว ไม่แน่ว่าเวลานี้อาจจะไปถึงจวนอ๋องแล้ว มีหรือบอกให้เก็บคืนก็จะเก็บคืนได้”


 


 


พระชายาอ๋องฉียังมีสีหน้าเช่นเดิม กล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “ท่านแม่เพคะ ในตอนที่หม่อมฉันมาได้พบเข้ากับกงกงที่จะไปประกาศพอดี จึงกระทำการโดยพลการขวางเขาเอาไว้แล้ว ขอให้ท่านเก็บพระราชเสาวนีคืนมาเถิดเพคะ สะใภ้จะอธิบายทุกอย่างให้พระนางเข้าใจทั้งหมด”


 


 


เมื่อไทเฮาได้ยินดังนั้นก็อึ้ง มองพระชายาอ๋องฉีที่อยู่ต่อหน้า รู้สึกได้ทันทีว่านี่เองคือท่าทางที่แท้จริงของนาง สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงเพราะนางถูกบีบคั้นจากสถานการณ์ทำให้ต้องลดความเป็นตัวของตัวเองไป


 


 


ฮูหยินราชเลขาเห็นไทเฮาไม่พูดอะไร ก็รู้สึกกระวนกระวายใจและคุกเข่าลงบนพื้นเช่นเดียวกัน “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันบังอาจขอให้ไทเฮาทรงประกาศพระราชเสาวนีย์ลงไปเถิดเพคะ”


 


 


พระชายาอ๋องฉีหันหน้าไปมองแล้วกล่าวว่า “เตี๋ยชิง เจ้ากับข้าผูกพันกันมาหลายปี รักกันดุจพี่น้องมาโดยตลอด ข้าไม่ต้องการแตกหักกับเจ้าเพราะการแต่งงานระหว่างเซวียนเอ๋อร์กับเยียนเอ๋อร์ ขอให้เจ้าใคร่ครวญดูก่อนค่อยกระทำการสิ่งใดเถอะ”


 


 


พระชายาอ๋องฉีไม่เคยพูดจาบีบคั้นนางเช่นนี้มาก่อน ฮูหยินราชเลขาตกตะลึงสักพัก จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาลว่า “ถ้าหากพวกเจ้าจะยกเลิกการแต่งงานนี้ให้ได้ พวกเราสิที่ต้องเป็นคนแตกหักกับพวกเจ้า”


 


 


พระชายาอ๋องฉีไม่ได้สนใจนาง หันกลับขอร้องไทเฮาต่อว่า “ขอให้ท่านแม่เก็บพระราชเสาวนีย์คืนมาก่อนเพคะ”


 


 


ไทเฮาทรงเห็นว่าพระชายาอ๋องฉียืนหยัดในท่าทีของตน จึงเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ เอ่ยปากสั่งคนที่อยู่ด้านนอกว่า “ไปยับยั้งพระราชเสาวนีย์ของข้าไว้ก่อน ให้กงกงผู้ประกาศเฝ้าอยู่ด้านนอก”


 


 


“ไทเฮาเพคะ!” ฮูหยินราชเลขาร้องเสียงแหลมสูงอย่างไม่เห็นด้วย


 


 


ไทเฮาโบกพระหัตถ์ ตรัสปลอบใจว่า “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป รอให้ข้าฟังที่พวกนางเล่าก่อน แล้วค่อยให้คนไปประกาศก็ไม่สายเกินไป”


 


 


ฮูหยินราชเลขาไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


กูกูผู้ดูแลตอบรับ แล้วออกไปถ่ายทอดความประสงค์ข้างนอกด้วยความดีใจ


 


 


พระชายาอ๋องฉีก็โล่งอก


 


 


ไทเฮาตรัสว่า “เจ้าร่างกายอ่อนแอ ไม่ต้องคุกเข่าบนพื้นแล้ว ลุกขึ้นมาก่อน มีอะไรจะพูดก็ค่อยๆ พูด”


 


 


แล้วก็หันไปตรัสกับฮูหยินราชเลขาด้วยว่า “เจ้าเองก็ลุกขึ้นก่อนเถิด”


 


 


หลังจากที่ทั้งสองคนขอบพระทัยแล้วก็ลุกขึ้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคุกเข่าอยู่ไม่ยอมขยับ


 


 


ไทเฮาปรายตามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งคนที่อยู่ด้านนอกว่า “มีใครอยู่บ้าง ประทานเก้าอี้ให้พระชายาด้วย”


 


 


มีนางกำนัลตอบรับแล้วเข้ามา พร้อมกับยกตั่งที่มีเบาะนั่งนุ่มๆ มาวางไว้ข้างหลังของพระชายาอ๋องฉี แล้วก็ถอยออกไป


 


 


หลังจากที่พระชายาอ๋องขอบพระทัยแล้วก็นั่งลงบนตั่งนุ่ม


 


 


ไทเฮาตรัสว่า “พูดมาเถอะ ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดพวกเจ้าถึงให้ข้าเก็บพระราชเสาวนีย์กลับคืน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เม้มริมฝีปากแล้วกล่าวขึ้นว่า “หลานมีนางในดวงใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต้องการจะแต่งงานกับนาง”


 


 


“บุตรสาวของชาวบ้านที่เลี้ยงดูเจ้ามาใช่ไหม” ไทเฮาถาม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


“เรื่องนี้ไม่มีอะไรยุ่งยาก หากเจ้าปล่อยวางนางมิได้แล้วล่ะก็ ย่าสามารถมอบเกียรติให้แก่นางได้ แต่งตั้งนางให้เป็นชายารอง” ไทเฮากล่าว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่นศีรษะ กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “หลานรับปากนางแล้ว ว่าชั่วชีวิตนี้จะแต่งกับนางเพียงผู้เดียว จะไม่แต่งงานกับหญิงอื่นอีกเป็นอันขาด”


 


 


ไทเฮาทรงกริ้วฉับพลัน “เหลวไหล เจ้ามีฐานะเป็นถึงซื่อจื่อ ต่อไปต้องสืบทอดจวนอ๋อง จำเป็นต้องมีลูกมีหลานสืบสกุลเพื่อราชสำนัก มีหรือที่จะแต่งงานกับสตรีเพียงผู้เดียว ยิ่งไปกว่านั้น นางผู้นั้นยังมีฐานะต่ำต้อย จะเป็นพระชายาซื่อจื่อของเจ้าได้อย่างไร”


 


 


จากนั้นก็หันมาตำหนิพระชายาอ๋องฉี “พวกเจ้าสั่งสอนเซวียนเอ๋อร์กันเช่นนี้หรือ”


 


 


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านแม่พ่ะย่ะค่ะ เป็นความปรารถนาของหลานเอง ขอเสด็จย่าอย่าได้โทษท่านแม่เลย” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว


 


 


ไทเฮายังทรงกริ้วอยู่ ตรัสว่า “เสียแรงที่ข้าคิดว่าเจ้ามีเหตุผล มีความรู้ความสามารถ รักและเอ็นดูเจ้ามากนัก แต่เจ้ากลับมาตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ ทิ้งการแต่งงานดีๆ ไม่ยอมเอา แต่ดึงดันจะไปแต่งงานกับสตรีบ้านป่า นี่ไม่ใช่แค่ตบหน้าราชสำนัก แต่ยังกลายเป็นเรื่องขบขันขอราษฎรอีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้โต้แย้ง แล้วโขกศีรษะลงกับพื้นให้ไทเฮาอย่างแรง “หลานทำลายความรักความเมตตาของเสด็จย่า ขอให้ท่านอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เมื่อเห็นเขาสารภาพความผิดเพียงเล็กน้อยแต่ไม่ยอมรับในความผิดที่ร้ายแรงกว่า ไทเฮายิ่งเดือดดาลมากขึ้น จนถึงขั้นลืมคำกล่าวขาน กล่าวด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “เลิกกล่าวหลบเลี่ยงต่อข้าได้แล้ว การแต่งงานของเจ้ากับคุณหนูหลิน แม้เจ้าจะยินยอมก็ต้องยินยอม ถึงไม่ยินยอมก็ต้องยินยอม ข้าจะให้คนไปประกาศเดี๋ยวนี้ ดูสิว่าเจ้าจะกล้าขัดคำสั่งได้หรือไม่”


 


 


“ท่านแม่เพคะ” พระชายาอ๋องฉีคุกเข่าลงอีกครั้ง “หม่อมฉันขอบังอาจขอร้องแทนเซวียนเอ๋อร์เพคะ ขอให้พระนางทำให้พวกเขาสมหวังเถิดเพคะ”


 


 


เห็นนางขอร้องด้วยอีกแรง ไทเฮาก็ยิ่งกริ้วจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ชี้หน้าพวกเขาด้วยมืออันสั่นเทา ความฉุนเฉียวที่เจืออยู่ในน้ำเสียงนั้นแม้แต่กูกูผู้ดูแลยังตกใจจนหดตัวให้ลีบลง “เซวียนเอ๋อร์อายุยังน้อย คิดสิ่งใดยังไม่รอบคอบ เจ้าไม่เพียงแต่ไม่สั่งสอนให้เขากลับใจ แต่ยังช่วยเขาขอร้องด้วยซ้ำ หรือว่าหลายปีมานี้เจ้าป่วยจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร”


 


 


คำพูดนี้ค่อนข้างสาหัสมาก กูกูผู้ดูแลเช็ดเหงื่อแทนพระชายาอ๋องฉี


 


 


ทว่าฮูหยินราชเลขากลับลอบรู้สึกยินดีอยู่ในใจ


 


 


พระชายาอ๋องฉีตั้งตัวตรง กล่าวด้วยความกล้าหาญว่า “หลังจากที่เซวียนเอ๋อร์เกิดมา เราสองคนแม่ลูกก็ต้องแยกจากกันไปกว่าสิบปี หม่อมฉันไม่เคยได้ทำในสิ่งที่แม่ควรทำ ถึงแม้ต่อมาเซวียนเอ๋อร์จะกลับมาได้ แต่เขาก็เติบโตขึ้นมาก จึงไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันต่อหม่อมฉันมากนัก หม่อมฉันต้องการทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป โดยมอบสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้กับเขา รวมถึงการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์ แต่วันนี้เขากลับพูดกับหม่อมฉันและท่านอ๋องว่า หากไม่สามารถแต่งงานกับแม่นางเมิ่งได้ เขาจะไม่ยอมแต่งงานตลอดชีวิต หม่อมฉันจึงคิดได้ว่าตัวเองนั้นคิดผิดไป หากบังคับให้เขาต้องแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์ แล้วให้แม่นางเมิ่งไปอยู่ไกลๆ ถึงแม่หม่อมฉันจะไม่ทราบว่าเซวียนเอ๋อร์จะทำเรื่องบ้าคลั่งอะไรก็ตาม แต่หม่อมฉันกลับรู้ดีว่าต่อไปเขาจะไม่ยอมเข้าใกล้หม่อมฉันอีก ท่านแม่เพคะ หม่อมฉันได้รับความทุกข์ทรมานจากการที่ต้องแยกจากลูกไปแล้วกว่าสิบปี จึงยอมไม่ได้ที่ต้องทนทุกข์เช่นนั้นอีกครั้ง ขอให้ท่านให้พวกเขาสมหวังเถิดเพคะ เก็บพระราชเสาวนีย์กลับคืนมา”


 


 


พอได้ฟังคำของพระชายาอ๋องฉีแล้วไทเฮาก็รู้สึกสะเทือนใจ สิบกว่าปีก่อนอ๋องฉีส่งพระชายาอ๋องฉีที่ใกล้จะให้กำเนิดลูกออกไปเพื่อที่จะเข้าวังมาช่วยตนเองที่ถูกจับตัวไว้อยู่ นึกไม่ถึงว่าต่อมาต้องเจอเข้ากับชายชุดดำมือสังหาร จนทำให้อี้เซวียนหายไป จนเป็นเหตุให้พวกเขาต้องแยกจากกันไปกว่าสิบปี ดังนั้นกล่าวได้ว่าที่พวกเขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะตัวเองทำให้เขาลำบากไปด้วย

 

 

 


ตอนที่ 40-2 สละตำแหน่งซื่อจื่อ

 

พอคิดมาถึงตรงนี้ ไทเฮาก็มีน้ำเสียงอ่อนลง ตรัสว่า “เมื่อสักครู่นี้แม่เพียงแต่โมโหเกินไป จนพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด เจ้าอย่าใส่ใจเลย เพียงแต่การแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์ไม่อาจยกเลิกได้ ต่อไปเขาต้องเป็นเสาหลักของจวนอ๋อง หากเบื้องหลังไม่มีอำนาจที่เข้มแข็งคอยช่วยเหลือจะได้หรือ”


 


 


“ท่านแม่…” พระชายาอ๋องฉียังต่องการขอร้องอีก


 


 


ไทเฮาโบกพระหัตถ์ขัดจังหวะนาง ท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อ “ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็รับปากพวกเจ้าได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


“เสด็จย่าเพียงเพราะว่าข้าเป็นผู้สืบทอดจวนอ๋องเท่านั้นหรือ ถึงต้องการให้ข้ายอมรับการแต่งงานนี้ให้ได้” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถาม


 


 


ไทเฮาพยักหน้า “ใช่ เจ้าเป็นชื่อจื่อ การดูแลจวนอ๋องเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าเพียงแต่ต้องละทิ้งอัตตาของเจ้า แต่เจ้าวางใจได้ ย่าพูดได้ทำได้ ข้าจะเขียนพระราชเสาวนีย์แต่งตั้งให้หญิงบ้านป่าคนนั้นเป็นชายารอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเผชิญหน้ากับไทเฮา กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลานก็จะลาออกจากตำแหน่งซื่อจื่อ”


 


 


ฮูหยินราชเลขาล้มกองลงไปกับพื้น


 


 


“เซวียนเอ๋อร์!” พระชายาอ๋องฉีกรีดร้องขึ้นอย่างเสียกิริยา


 


 


ไทเฮากระโดดลุกขึ้นยืน ถามขึ้นอย่างตกใจว่า “เจ้าว่าอะไร เจ้าลองว่ามาอีกครั้ง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งตัวตรง เอ่ยคำเดิมขึ้นมาทีละคำอย่างชัดเจนอีกครั้งว่า “หลานบอกว่า จะลาออกจากตำแหน่งซื่อจื่อ”


 


 


“เผียะ” ดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง ไทเฮากริ้วจนไม่ได้สนใจฐานะ ตบหน้าเขาหนึ่งที “เจ้าว่ามาอีกครั้ง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถูกตบจนหน้าหัน ใบหน้าที่ขาวนวลเนียนปรากฏรอยนิ้วมือห้านิ้วขึ้นทันที


 


 


ภายในห้องเงียบสงัด


 


 


ฮูหยินราชเลขากับพระชายาอ๋องฉีหันไปมองไทเฮาอย่างไม่น่าเชื่อ


 


 


ไทเฮาเองก็มองมือของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


 


 


ท่าทางและอารมณ์ของหวงฝู่อี้เซวียนไม่เปลี่ยนแปลง แล้วหันหน้ากลับมา กล่าวด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวขึ้นอีกครั้ง “หลานบอกว่า จะลาออกจากตำแหน่งซื่อจื่อ”


 


 


พอเขาพูดจบพระชายาอ๋องฉีก็รีบเอาร่างมาขวางหน้าเขาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านแม่โปรดระงับโทสะด้วยเพคะ เซวียนเอ๋อร์พูดไปด้วยความโมโห ขอท่านอย่ากล่าวโทษเขาเลย”


 


 


“ท่านแม่” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ข้างหลังของนางดังขึ้นมา “สิ่งที่ลูกพูดเป็นความจริง ถ้าหากคนที่เป็นผู้สืบทอดจวนอ๋องต้องแต่งงานกับคุณหนูหลิน ถ้าเช่นนั้นลูกก็จะลาออกจากตำแหน่งซื่อจื่อ ต่อไปจะได้โบยบินไปด้วยกันกับโยวเอ๋อร์อย่างอิสระ”


 


 


ไทเฮารู้สึกตัว กล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “สตรีบ้านป่าคนนั้นเอายาเสน่ห์อันใดให้เจ้ากินกันแน่ ถึงทำให้เจ้าไม่เอาแม้แต่ตำแหน่งซื่อจื่อ”


 


 


“เสด็จย่ากล่าวผิดไปแล้ว แต่แรกโยวเอ๋อร์ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเราทั้งสอง จนถึงขั้นเอ่ยปากกับข้าว่าจะยกเลิกการแต่งงานในปีที่ข้ากลับมา เป็นหลานเองที่ออกอุบายทำลายชื่อเสียงของนาง หลานยังให้สัญญากับนางเองว่าจะแต่งงานกับนางเพียงผู้เดียว หลายปีมานี้นางถึงได้รับปากว่าจะรอหลาน”


 


 


“เจ้า…” ไทเฮาโกรธจนพูดไม่ออก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวต่อว่า “โยวเอ๋อร์เป็นคนที่หลานบังคับมาเอง ดังนั้นหลานจะไม่มีวันทำให้นางเสียใจ ส่วนตำแหน่งซื่อจื่อนี้ก็มอบให้อวี้เอ๋อร์เถิด เขาเติบโตมาด้วยกันกับคุณหนูหลิน ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมา หากได้แต่งงานด้วยกัน พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไปจนชั่วชีวิต”


 


 


ฮูหยินราชเลขาที่นั่งอยู่บนพื้นเหลือบมองไปทางไทเฮา


 


 


ไทเฮากล่าวด้วยความโมโหว่า “พูดจาเหลวไหลทั้งสิ้น ซื่อจื่อเป็นตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง มีแต่ต้องมาจากลูกของชายาเอกมิใช่ลูกที่มาจากคนอื่น มิเช่นนั้นในตอนที่ยังตามหาเจ้ากลับมาไม่ได้หลายปีที่ผ่านมา เหตุใดพ่อของเจ้าถึงไม่ได้แต่งตั้งซื่อจื่อเล่า ถ้าหากให้อวี้เอ๋อร์เป็นซื่อจื่อ จวนอ๋องฉีจะกลายเป็นเรื่องขบขันของคนทั่วหล้า”


 


 


ดูเหมือนว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะคิดคำแก้ต่างได้แล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นเสด็จย่าก็ให้เสด็จลุงฮ่องเต้มีพระราชโองการ ว่าข้าทำความผิดร้ายแรงจนถูกขับออกจากจวนอ๋อง ท่านพ่อจนปัญญาจึงต้องแต่งตั้งอวี้เอ๋อร์เป็นซื่อจื่อ”


 


 


“ดี ดี ดี” ไทเฮาฟังที่เขาพูดจนจบ โมโหจนพูดอย่างต่อเนื่อง “เจ้าทำเพื่อสตรีบ้านป่าคนหนึ่ง จนไม่สนใจแม้แต่ชื่อเสียงของตัวเอง ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าช่างสั่งสอนลูกได้ดีเหลือเกิน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแก้ต่าง “เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของตัวข้าเอง ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่รู้อะไรเลย ขอให้เสด็จย่าอย่ากล่าวโทษพวกท่านเลย”


 


 


ไทเฮาตอบรับ “ได้ ข้าจะไม่กล่าวโทษพวกเขา ข้าขอถามเจ้าว่าเจ้าทราบไหมว่าถ้าหากแต่งตั้งเซวียนเอ๋อร์เป็นชื่อจื่อ ท่านแม่ของเข้าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดบ้าง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากไม่เอ่ยอะไร


 


 


ไทเฮากล่าวต่ออีกว่า “ท่านแม่ของเจ้าต้องสูญเสียตำแหน่งพระชายาเอก หลังจากนั้นชีวิตในจวนของนางอาจจะต้องทุกข์ยากลำบากราวกับตกนรกทั้งเป็น หรือว่าแม้แต่เรื่องเหล่านี้เจ้าก็ไม่สนใจหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนิ่งเงียบต่อไป


 


 


ไทเฮาคิดว่าพูดจาหว่านล้อมเขาได้แล้ว น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น กล่าวด้วยความจริงจังหนักแน่นว่า “ย่ารู้ดีว่าเจ้าเป็นเด็กที่รู้จักบุญคุณคน ลืมบุญคุณที่ครอบครัวนั้นช่วยเหลือไม่ได้ ต้องการจะแต่งงานกับบุตรสาวเพื่อตอบแทนพวกเขา ย่าสัญญาว่าถึงแม้เด็กคนนั้นจะเป็นชายารอง แต่คุณหนูหลินก็จะไม่ทำให้นางต้องลำบากใจ พวกเจ้าสามารถอยู่ร่วมกันได้เช่นเดิม”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวกับพระชายาอ๋องฉีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ ท่านยอมไปใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับลูกที่ชนบทไหม”


 


 


พระชายาอ๋องฉีตัวสั่นสะท้าน หันหน้าไปมองอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วถามด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า “เซวียนเอ๋อร์ ความหมายของเจ้าคือ…”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดขัดจังหวะนางขึ้นว่า “ถึงแม้ชีวิตในชนบทจะแร้นแค้นไปบ้าง แต่ชาวบ้านที่นั่นมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ผู้คนมีน้ำใจไมตรี ถ้าหากท่านแม่ยอมตามลูกไปด้วย ลูกรับรองว่าจะทำให้ท่านใช้ชีวิตอยู่กับลูกหลานอย่างมีความสุข มีชีวิตสุขสบาย”


 


 


นี่คือการยอมรับนางอย่างแท้จริงแล้ว น้ำตาของพระชายาอ๋องฉีไหลพรากออกมาทันใด พยักหน้าหงึกหงัก พร่ำพูดไม่หยุดว่า “แม่ยอมจ้ะ แม่ยอม”


 


 


ไทเฮาไม่คาดคิดว่าพระชายาอ๋องฉีจะตัดสินใจเช่นนี้ รู้สึกราวกับว่าตัวเองโง่งม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวกับไทเฮาที่กำลังมองมาที่พวกเขาสองคนอม่ลูกอย่างเหม่อลอยอยู่ว่า “เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ยินยอมแล้ว จะใช้ชีวิตในชนบทกับข้า ขอให้ท่านบอกให้ท่านพ่อประกาศว่าท่านแม่ป่วยจนสิ้นชีวิตแล้วเถิด”


 


 


ไทเฮาพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง


 


 


ฮูหยินราชเลขาเองก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะบานปลายกลายเป็นเช่นนี้ นางก็ตกตะลึงอยู่กับที่ คิดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย


 


 


บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนฉลาดรอบรู้ มีวรยุทธ์สูงส่ง เรียนรู้ได้เร็ว เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการสืบทอดจวนอ๋อง ส่วนหวงฝู่อวี้นั้นมีความประพฤติเช่นไร ไทเฮาก็ทราบดีอยู่แก่ใจ ถ้าหากแต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่อจริงๆ แล้วล่ะก็ ไม่นานจวนอ๋องฉีก็จะเสื่อมโทรมลงไป ไม่เสียแรงที่เป็นไทเฮาผู้มีอำนาจในวังหลวงมานานหลายปี ที่ถึงแม้จะตกตะลึงแต่ไม่นานก็แยกแยะผลดีผลเสียได้ แสดงท่าทางจนปัญญาพร้อมกับถอดถอนหายใจ แล้วก็กลับขึ้นไปนั่งบนที่นั่งของตน แล้วกล่าวว่า”ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ ย่าก็บังคับสิ่งใดไม่ได้อีก ส่วนพระราชเสาวนีย์การแต่งงานนี้ข้าเก็บคืนมาก่อน แต่ว่าเวลานี้พวกเจ้าก็ห้ามป่าวประกาศออกไปว่าจะยกเลิกการแต่งงาน จนไปทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของคุณหนูหลิน รอให้ข้าไตร่ตรองดูก่อนค่อยตัดสินใจอีกครั้ง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงไม่ได้มีข้อโต้แย้งใดๆ


 


 


พระชายาอ๋องฉีเมื่อเห็นว่าเรื่องไปในทิศทางที่ดีก็รู้สึกยินดี เช็ดคราบน้ำตาออก แล้วโค้งศีรษะให้กับไทเฮา กล่าวว่า “ขอบพระทัยท่านแม่ที่ทำให้เซวียนเอ๋อร์สมปรารถนาเพคะ”


 


 


ไทเฮาโบกพระหัตถ์ “อย่าเพิ่งขอบใจข้าก่อนเลย เรื่องนี้ข้าจำต้องปรึกษากับฮ่องเต่ก่อน ถึงจะตัดสินใจได้”


 


 


ฮูหยินราชเลขานั่งกองอยู่บนพื้นอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าควรจะคิดอะไรต่อดี และก็ไม่ได้กล่าวโต้แย้งขึ้นมาสักคำ


 


 


ไทเฮากวาดตามองทั้งสามคนแวบหนึ่ง แล้วโบกพระหัตถ์ขึ้นทันที “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว จะพักผ่อนสักพัก”


 


 


พระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนตอบรับแล้วลุกขึ้นเดินออกไป


 


 


ไทเฮาเห็นฮูหยินราชเลขาที่ยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับอยู่บนพื้น จึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเองก็เห็นแล้ว มิใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า เซวียนเอ๋อร์เจ้าเด็กคนนี้ช่างดื้อดึงเหลือเกิน ถึงแม้ข้าจะฝืนมีพระราชเสาวนีย์ออกไปให้คุณหนูหลินแต่งงาน ชั่วชีวิตของนางก็จะไม่มีความสุขเป็นแน่ อย่างไรมองหาการแต่งงานที่ให้นางดีกว่า ให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป พวกเจ้าที่เป็นพ่อแม่จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลทุกวัน”


 


 


ฮูหยินราชเลขาพยักหน้าอย่างไร้จิตวิญญาณ


 


 


ไทเฮารู้ว่านางยังไม่ได้สติจากการสะเทือนอารมณ์ จึงเรียกคนที่อยู่ข้างนอกมา “มีใครไหม”


 


 


กูกูผู้ดูแลเดินเข้ามา “เพคะไทเฮา”


 


 


ไทเฮาสั่งนางว่า “ประคองฮูหยินราชเลขาขึ้น แล้วส่งกลับจวน”


 


 


กูกูผู้ดูแลรับคำสั่ง แล้วพยุงฮูหยินราชเลขาขึ้นมาจากพื้น แล้วพานางเดินออกไปข้างนอก


 


 


ฮูหยินราชเลขาเอาแต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ แม้แต่การทำความเคารพไทเฮายังลืม


 


 


ไทเฮาก็มิได้กล่าวโทษนาง หลังจากที่มองดูกูกูผู้ดูแลประคองนางเดินออกประตูไป ก็สั่งให้นางกำนัลที่อยู่หน้าประตูเข้ามาจัดเตียงไว้ให้ตน แล้วนอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า


 


 


พระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกประตูไป มองเห็นเกี้ยวของจวนอ๋องฉีอยู่ไม่ไกล


 


 


ทั้งสองคนก็เดินตรงไปยังเกี้ยว


 


 


เดินไปไม่กี่ก้าวพระชายาอ๋องฉีก็รู้สึกว่าทางข้างหน้ามืดมิดลงไป ร่างกายอ่อนแรงแล้วล้มลงไปทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนร้องอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านแม่!” 

 

 


ตอนที่ 41-1 ไปใช้ชีวิตที่ชนบท

 

 


 


ปฏิกิริยาตอบสนองของหวงฝู่อวี้เซวียนรวดเร็วมาก เพียงพริบตาก็เข้าไปประคองพระชายาฉีก่อนที่นางจะล้มลงไปกับพื้น


 


 


สาวใช้คนสนิทที่ตามมาด้วยกันกับขบวนเกี้ยววิ่งเข้ามาดูด้วยความลนลาน เห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของพระชายาฉีปิดสนิทเหมือนกับคนที่เป็นลมไปก็ให้อุทานขึ้นด้วยความตกใจว่า “เหนียงเหนียง ทรงเป็นอะไรไปเพคะ”


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนอุ้มร่างของพระชายาฉีขึ้น เดินไปทางเกี้ยวของตนด้วยฝีเท้าที่เร่งรีบ หลังจากที่วางร่างของพระชายาฉีลงในเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันมาสั่งสาวใช้คนสนิทของพระชายาฉีพลางปลดป้ายประจำตัวของตนเองลงแล้วโยนให้นาง กล่าวว่า “เจ้ารีบเข้าวังไปเชิญหมอหลวงไปที่จวนอ๋องฉีเดี๋ยวนี้”


 


 


สาวใช้คนสนิทของพระชายาฉีรับแผ่นป้ายนั้นมาด้วยความรีบร้อน หลังจากนั้นก็หมุนตัวแล้ววิ่งไปทางวังหลวงด้วยความตื่นตระหนก


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนตะโกนสั่งไปทางเกี้ยว “กลับจวนอ๋องฉี”


 


 


เหล่าบุรุษที่รับหน้าที่หามเกี้ยวตกใจจนแทบสิ้นสติ รีบยกเกี้ยวขึ้นแล้วกลับไปที่จวนอ๋องฉีอย่างเร่งรีบ


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนไม่ได้ขึ้นม้า เขาเดินตามหลังขบวนเกี้ยวไปติดๆ ด้วยสีหน้าร้อนใจ


 


 


สาวใช้คนสนิทหลังจากที่ได้ป้ายประจำตำแหน่งไปจากหวงฝู่อวี้เซวียน ก็รีบเข้าวังแล้วตรงดิ่งไปหาหมอหลวงที่รับหน้าที่ดูแลสุขภาพคนในจวนอ๋องฉีทันที หลังจากนางหาเขาพบ ก็รีบบอกเขาถึงเรื่องที่พระชายาฉีเป็นลมไปรวมถึงคำสั่งของหวงฝู่อวี้เซวียนที่บอกให้เขาไปที่จวนอ๋องฉีเดี๋ยวนี้


 


 


หมอหลวงไม่กล้ารอช้า รีบออกจากวังไปพร้อมกับสาวใช้คนสนิทนางนั้น บนหลังยังไม่ลืมหอบกล่องยาขนาดใหญ่ไปด้วย


 


 


ข่าวเรื่องการเป็นลมไปของพระชายาฉีดังไปถึงหูคนในวังไทเฮาอย่างรวดเร็ว กูกูซึ่งรับหน้าที่ดูแลวังไทเฮาหลังจากได้ฟังข่าวแล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าห้องบรรทมของไทเฮาไป กระซิบบอกกับไทเฮาที่กำลังนอนเอนพระวรกายพักผ่อนอยู่ว่า “ไทเฮาเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันเพิ่งได้รับข่าวมาว่าพระชายาฉีหลังจากที่ออกนอกวังไปแล้วก็เป็นลมไปทันทีเพคะ”


 


 


ทันใดนั้นเองพระเนตรของไทเฮาก็เบิกกว้าง นางรีบร้อนตะโกนสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า “เร็วเข้า รีบเชิญหมอหลวงให้ไปดูอาการเร็ว”


 


 


“ไทเฮาโปรดวางพระทัย เมื่อสักครู่คนในจวนอ๋องฉีมาตามหมอหลวงไปแล้วเพคะ” กูกูซึ่งรับหน้าที่ดูแลวังกล่าวรายงานด้วยความนอบน้อม


 


 


กระนั้นเองความกังวลพระทัยของไทเฮากลับไม่ได้ลดหย่อนลงเลย นางลุกขึ้นแล้วสั่งกูกูลงไปว่า “เจ้าเอาสมุนไพรไปส่งที่จวนอ๋องฉี รอจนกว่าอาการของพระชายาฉีคงที่แน่แล้วค่อยกลับมา”


 


 


กูกูขานรับ จากนั้นก็เดินออกไป


 


 


ไทเฮาถอนพระปัสสาสะออกยาวด้วยอารมณ์อันหนักหน่วง ตรัสกับตัวเองว่า “ขออย่าได้เกิดเรื่องใหญ่โตอันใดขึ้นเลย”


 


 


เหล่านางกำนัลรวมถึงขันทีที่รอปรนนิบัติอยู่ในห้องบรรทมไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงครึ่งคำ


 


 


ทางฝั่งของอ๋องฉีที่กำลังรอพระชายาฉีกับหวงฝู่อวี้เซวียนกลับจวนอย่างใจจดใจจ่อ อยู่ๆ บ่าวรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในลานเรือนของเขาแล้วกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงลนลานว่า “ท่านอ๋อง เหนียงเหนียงหลังจากที่กลับออกจากวังก็เป็นลมไปเลยขอรับ”


 


 


อ๋องลีผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ เดินออกไปถามต่อว่า “คนเล่า อยู่ที่ไหน”


 


 


“ตอนนี้ซื่อจื่อพากลับเรือนหลักไปแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้คนนั้นรีบร้อนตอบ


 


 


อ๋องฉีกระวนกระวายใจมาก เร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังเรือนหลักทันที บ่าวรับใช้คนนั้นเห็นแบบนี้ก็วิ่งไล่ตามหลังเขาไปไม่ห่าง


 


 


จนกระทั่งมาถึงเรือนหลัก อ๋องฉีก็เดินเข้าไปในห้องของพระชายาฉีทันทีโดยไม่รีรอ เห็นว่านางดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท สีหน้าซีดเซียวขาวราวกับกระดาษกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ใจก็ให้จมดิ่งลง ถามหวงฝู่อวี้เซวียนออกไปด้วยเสียงทุ้มว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมท่านแม่ของเจ้าถึงได้เป็นลมไปเยี่ยงนี้”


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนเองก็มีสีหน้าเป็นกังวลไม่ต่างกันนัก เขาตอบกลับไปว่า “หลังจากที่พวกเรากลับมาจากวังของเสด็จย่า ตอนนั้นท่านแม่ยังสบายดีอยู่เลย แต่พอออกจากวังเท่านั้น จู่ๆ กลับเป็นลมหมดสติไป”


 


 


“รีบไปเรียกหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้” เสียงสั่งการที่เต็มไปด้วยความกังวลของท่านอ๋องฉีหันไปสั่งกับสาวใช้นางหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ


 


 


“ลูกส่งคนให้ไปเชิญมาแล้วขอรับ น่าจะมาถึงในเร็วๆ นี้” หวงฝู่อวี้เซวียนตอบเขา


 


 


อ๋องฉีหันกลับมามองพระชายาฉีบนเตียงอีกครั้ง สีหน้ากังวลเด่นชัด


 


 


พระชายารองที่เพิ่งพ้นโทษจากการถูกกักบริเวณเองก็ได้ยินเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน นางเดินเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง และทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาในห้องได้เพียงหนึ่งก้าว ก็แสร้งตีสีหน้าเป็นกังวล ถามอ๋องฉีออกไปว่า “พี่สาวไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”


 


 


อ๋องฉีตอนนี้กำลังเป็นกังวลมาก ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย ไม่ได้ตอบนางกลับไป


 


 


พระชายารองเองก็หาได้สนใจไม่ เดินตรงไปที่เตียง เห็นว่าพระชายาฉีบัดนี้ดูราวกับจะจากไปได้ทุกเมื่อ ในใจก็แอบลิงโลดดีใจ แต่สีหน้ายังคงแสร้งทำเป็นกังวลได้อย่างดีเยี่ยมไม่มีหลุด “เหตุใดพี่สาวถึงได้กลายเป็นสภาพเช่นนี้ ยังไม่รีบไปเรียกหมอหลวงมาอีก”


 


 


อ๋องฉีตะคอกใส่นาง “หมอหลวงใกล้มาถึงแล้ว เจ้าอย่าได้มาเอะอะเสียงดังแถวนี้ เปิ่นหวางได้ยินแล้วรำคาญ”


 


 


หากเป็นแต่ก่อนถูกท่านอ๋องตวาดใส่เช่นนี้พระชายารองคงไม่เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด ทำเป็นมองข้ามไปไม่คิดมาก แต่ว่าหลังจากที่ถูกกักบริเวณมาได้พักหนึ่ง อำนาจในมือทั้งหมดก็ถูกเปลี่ยนถ่ายไปยังมือของคนอื่น ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของนางอีก ดังนั้นแล้วจึงไม่อาจไม่สนใจได้ ยิ่งไม่กล้าทำตัวเหมือนกับเมื่อก่อน ทันทีที่สิ้นคำของท่านอ๋อง นางก็แอบเม้มริมฝีปากลงแน่นแล้วถอยไปยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล


 


 


ไม่นานนักหมอหลวงที่หอบหิ้วกล่องยาใบใหญ่ไว้บนหลังก็รีบกุลีกุจอวิ่งเข้ามาในเรือนหลักด้วยท่าทีหอบแฮ่ก ด้านหลังของเขาสาวใช้คนสนิทของพระชายาที่ถูกสั่งให้ไปตามหมอหลวงมาวิ่งเข้ามาด้วยสภาพไม่ต่างกัน


 


 


“เร็วเข้า รีบดูอาการของพระชายาเร็ว นางเป็นอะไรไป” เห็นว่าหมอหลวงมาถึงแล้ว อ๋องฉีก็รีบสั่งการลงไปทันที


 


 


หมอหลวงปาดเหงื่อที่ไหลโชกเต็มหน้าผากออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง หลังจากที่ปรับลมหายใจของตัวเองให้สงบลงและคงที่ได้แล้ว ก็เร่งรุดเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ๆ เตียง วางกล่องยาลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบหมอนรองสำหรับตรวจชีพจรออกมาใบหนึ่งแล้วสอดมันไว้ใต้แขนของพระชายาฉี จากนั้นก็เริ่มลงมือจับชีพจร


 


 


อ๋องฉีกับหวงฝู่อวี้เซวียนยืนอยู่หน้าเตียง จับจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา


 


 


พระชายารองแสยะยิ้มเย็นขึ้นมาในใจ แอบกล่าวในใจว่า ดีที่สุดก็ไม่ต้องลืมตาขึ้นมาอีกเลย แบบนี้ข้าก็จะได้ขึ้นเป็นพระชายา เป็นเจ้านายที่ชอบธรรมของจวนอ๋องฉีเสียที


 


 


น่าเสียดายที่พระเจ้าไม่รับฟังคำร้องขอของนาง หลังจากที่หมอหลวงกจับชีพจรเสร็จ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วหันกลับมารายงานว่า “พระชายาเคร่งเครียดมานาน พอสลายความกังวลใจเหล่านั้นลงจึงได้เป็นลมหมดสติไป มิใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่ร่างกายของพระชายาอ่อนแอมานาน ไม่ทราบว่าวันนี้ไปทำอะไรมาร่างกายถึงได้อ่อนล้าถึงขั้นนี้ เกรงว่าในระยะเวลาสั้นๆ คงยังไม่อาจฟื้นตัวกลับมาได้ มีแต่ต้องนอนอยู่บนเตียงค่อยๆ บำรุงไปแล้ว ไม่อาจให้ขยับเขยื้อนได้มากนัก”


 


 


ในเมื่อคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว อ๋องฉีถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


 


ความวิตกกังวลบนใบหน้าของหวงฝู่อวี้เซวียนคลายลงไปมาก เขาถามออกไปว่า “มีวิธีการไหนหรือไม่ที่จะช่วยให้ท่านแม่ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นางจะตื่นขึ้นมาในเร็วๆ นี้ไหม”


 


 


หมอหลวงส่ายหน้า “ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้อาการป่วยของพระราชชายาเป็นข้าน้อยที่รับหน้าที่ดูแลมาโดยตลอด วิธีการรักษามากมายล้วนใช้ออกไปจนหมดแล้ว แต่จนถึงสุดท้ายก็ยังฟื้นตัวได้เพียงเท่านี้ ไม่รู้ว่าวันนี้ทรงไปทำอะไรมา ร่างกายที่อุตส่าห์ฟื้นตัวกลับมาอย่างยากลำบากกลับไปสู่สภาพเดิมอีกครั้ง กล่าวตามตรงช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ข้าน้อยจนปัญญาจริงๆ ได้แต่สั่งยาบำรุงให้แก่พระชายาแล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนพยักหน้า “ขอบคุณท่านหมอหลวงมาก รบกวนท่านแล้ว”


 


 


หมอหลวงโบกมือขึ้นด้วยความตกใจ “เป็นหน้าที่อยู่แล้ว ขอซื่อจื่ออย่าได้เกรงใจ”


 


 


อ๋องฉีสั่งให้คนไปนำกระดาษกับพู่กันมารอไว้แล้ว


 


 


หมอหลวงรับมันมา จากนั้นก็ตวัดพู่กันลงไปเขียนใบสั่งยาออกมาให้ชุดหนึ่ง


 


 


อ๋องฉีรีบสั่งสาวใช้ให้ลงไปจัดการทันที “รับใบสั่งยานี้ไป แล้วรีบไปต้มยามาให้ข้า”


 


 


เนื่องจากพระฉายาฉีป่วยอยู่แทบจะตลอดทั้งปี ดังนั้นภายในจวนจึงมีห้องยาเป็นของตัวเอง สมุนไพรหายากมากมายไม่มีตัวไหนที่จะหาไม่ได้จากที่แห่งนี้


 


 


สาวใช้รับคำ หยิบใบสัญญานั้นแล้วเดินออกไปข้างนอก


 


 


พระชายารองซึ่งมองสถานการณ์ตรงหน้ามาโดยตลอดบิดผ้าเช็ดหน้าในมือจนแทบขาด สบถด่าในใจด้วยความชิงชังว่า ยาพวกนี้ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น มูลค่าของตัวยาหรือสมุนไพรแต่ละชนิดนั้นก็ไม่น้อยเลย ทำไมถึงต้องเอามาให้คนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งอย่างนางด้วย สิ้นเปลืองยิ่ง! ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกปวดใจจนแทบกระอัก ทว่าวาจาที่สำทับสาวใช้ออกไปนั้นกลับกล่าวว่า “จำไว้ว่าให้ใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดแก่พระชายา”


 


 


ได้ฟังคำของนาง สีหน้าของอ๋องฉีก็เปลี่ยนเป็นน่ามองขึ้นเล็กน้อย แววตามองไปทางนางอย่างชื่นชม


 


 


พระชายารองเห็นว่าในที่สุดอ๋องฉีก็ให้ความสนใจนางเสียที ในใจจึงรู้สึกมีความสุขมาก ความไม่พอใจเต็มอกเมื่อสักครู่ไม่ได้รุนแรงถึงเพียงนั้นอีกต่อไป


 


 


สาวใช้นำสมุนไพรที่จำเป็นเข้ามาแล้ววางมันลงบนโต๊ะ


 


 


หมอหลวงตรวจดูมันอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าให้แล้วพูดว่า “ต้มแล้วรีบยกมาให้พระชายาดื่ม อีกเดี๋ยวนางก็จะฟื้นขึ้นมาเอง”


 


 


สาวใช้เก็บสมุนไพรทั้งหมดกลับไป เดินออกไปต้มยา 

 

 


ตอนที่ 41-2 ไปใช้ชีวิตที่ชนบท

 

เวลานี้พ่อบ้านก็เดินเข้ามารายงานว่า “เรียนท่านอ๋อง ไทเฮาให้กูกูผู้ดูแลวังนำสมุนไพรมาส่งขอรับ ทั้งยังมาสอบถามอาการของพระชายาด้วย”


 


 


“เชิญนางเข้ามา”


 


 


“ขอรับ” พ่อบ้านตอบกลับ จากนั้นก็เดินออกไปแล้วเชิญกูกูผู้ดูแลวังนางนั้นเข้ามาด้วยท่าทีเคารพ กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “กูกูเชิญ”


 


 


สาวใช้เลิกม่านระย้าขึ้น กูกูผู้ดูแลวังก็เดินเข้ามาด้านใน หลังจากที่เห็นอ๋องฉีกับหวงฝู่อวี้เซวียนก็นางก็คารวะให้ตามพิธีการรอบหนึ่งแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงมองดูสีหน้าของพระชายาฉี ฉับพลันร่องรอยแห่งความปวดใจพลันก็บังเกิดขึ้นบนใบหน้า นางถามออกไปว่า “ตอนที่ออกจากตำหนักไปยังดูดีๆ อยู่เลย ทำไมถึงได้เป็นลมไปได้”


 


 


เห็นว่ากูกูผู้ดูแลวังเดินเข้ามาแล้ว หมอหลวงก็ลุกขึ้น และพอได้ฟังคำถามของนาง จึงรีบร้อนตอบกลับไปว่า “เรียนกูกู อารมณ์ของพระชายาในวันนี้ขึ้นลงแตกต่างกันมากนัก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเช่นนี้ ข้าได้เขียนใบสั่งยาบำรุงให้กับพระชายาเรียบร้อยแล้ว รอยาต้มเสร็จแล้วให้พระชายาดื่มลงไป นอนหลับอีกสักคืนหนึ่งก็ไม่มีปัญหาแล้ว”


 


 


เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันของไทเฮา กูกูผู้ดูแลวังก็แอบถอนหายใจอย่างปลงตก หันไปกล่าวกับท่านอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋อง ไทเฮามีรับสั่งให้ข้านำยาสมุนไพรเหล่านี้มามอบให้แก่พระชายาเพื่อบำรุงร่างกาย”


 


 


อ๋องฉีตอบกลับ “ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงเมตตา รอร่างกายของพระชายาฟื้นตัวได้บ้างแล้วข้าจะพานางเข้าวังเพื่อไปขอบพระทัยเสด็จแม่อีกครั้ง”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังพยักหน้า


 


 


อ๋องฉีขึ้นเสียงสั่งให้พ่อบ้านรีบนำสมุนไพรที่ไทเฮาประทานมาให้นำไปเก็บในห้องยาโดยเร็ว


 


 


ใจที่เพิ่งสงบไปของพระชายารองตีรวนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งเคียดแค้นทั้งไม่พอใจ ผ้าเช็ดหน้าในมือบัดนี้ถูกดึงจนแทบฉีก


 


 


กูกูผู้ดูแลวังแสร้งปรายตามองไปทางนางแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ คิ้วขมวดลงเบาๆ


 


 


พระชายารองคล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงสายตาของนางที่มองมา ฉับพลันก็คลายผ้าเช็ดหน้าในมือออกด้วยความเร่งรีบ เงยหน้าขึ้นมองนานด้วยรอยยิ้มอ่อน


 


 


กูกูผู้ดูแลวังไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย สายตาชักกลับไปมองพระชายาฉีที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง เมินนางอย่างสิ้นเชิง


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายารองแข็งค้างไป


 


 


ตอนนี้เองสาวใช้ที่ออกไปต้มยาก็ยกถ้วยยาที่ต้มแล้วเข้ามา


 


 


เนื่องจากว่าตอนนี้พระชายาฉียังคงหมดสติอยู่ เป็นธรรมดาที่นางจะลุกขึ้นมาดื่มยาเองไม่ได้


 


 


กูกูผู้ดูแลวังหย่อนกายลงนั่งที่ขอบเตียงเบาๆ ประคองร่างของพระชายาขึ้นพิงกับหัวเตียง ก่อนจะรับถ้วยยาจากสาวใช้มา แล้วใช้ช้อนขนาดเล็กค่อยๆ ตักยาขึ้นแล้วป้อนเข้าปากอีกฝ่ายทีละคำๆ ด้วยความอดทน หลังจากป้อนยาจนเสร็จ นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดทีปากของพระชายาฉีอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ประคองนางให้นอนลงบนเตียงดังเดิม


 


 


พระชายาฉียังไม่ฟื้นขึ้นมา หมอหลวงย่อมไม่กล้าจากไปในทันที กูกูผู้ดูแลวังเองก็จากไปไม่ได้เพราะได้รับคำสั่งมาเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องจึงรอคอยให้นางฟื้นขึ้นมาอย่างใจจดใจจ่อ ไม่กล้าแยกตัวออกไปทำธุระอย่างอื่น


 


 


บรรยากาศภายในห้องพริบตาอัดขึ้นอย่างน่าประหลาด


 


 


พระชายารองเห็นว่ากูกูผู้ดูแลวังไม่มีเจตนาที่จะจากไป ลูกตาก็ให้หมุนไปครั้งหนึ่งอย่างล่อกแลก แสร้งกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “รบกวนกูกูท่านป้อนยาพี่สาวแล้ว ท่านคงเหนื่อยมากแล้วในตอนนี้ พี่สาวเองก็ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่สู้ให้ข้าพาท่านออกไปพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่นสักครู่”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังหรี่ตามองนาง ตอบกลับไปว่า “ไม่ต้อง ข้าอยู่ที่นี่ได้”


 


 


พระชายารองยังคงไม่ถอดใจ ชวนคุยอีกครั้ง


 


 


กูกูผู้ดูแลวังใช้สายตาไม่ร้อนไม่เย็นปรายตาไปทางนางแวบหนึ่ง


 


 


คำพูดที่กำลังจะออกมาจากปากของพระชายารองก็ถูกปิดกั้น สำลักอยู่ในลำคอ


 


 


อ๋องฉีเองก็ขมวดคิ้วแล้วด้วยเหมือนกัน


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนทำราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกนาง ยืนรออยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ คอยให้พระชายาฉีตื่นขึ้นมา


 


 


ผ่านไปอีกสักพัก เปลือกตาของพระชายาฉีก็มีการขยับ


 


 


กูกูผู้ดูแลวังพ่อดูหนังอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าเปลือกตาของอีกฝ่ายขยับแล้วนางก็ดีใจมาก ถามออกไปด้วยเสียงเบาว่า “ซู่อิง เจ้าฟื้นแล้ว”


 


 


พระชายาฉีลืมตาขึ้น เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า นางก็ให้ชะงักไปแล้วถามออกไปด้วยความงุนงงว่า “ข้าอยู่ที่ไหน”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังหัวเราะออกมาด้วยเสียงเบาระคนโล่งใจ พูดว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นที่เรือนของเจ้าอยู่แล้ว”


 


 


กวาดตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง ถึงเพิ่งเห็นชัดๆ ว่านี่คือห้องของนางจริงๆ ฉับพลันดวงตาของพระชายาฉีก็กระจ่างขึ้นอีกครั้ง พยายามประคองตัวให้ลุกขึ้น


 


 


กูกูผู้ดูแลวังดันรั้งนางไว้ “ร่างกายเจ้าตอนนี้ยังอ่อนแออยู่ นอนลงเถอะ”


 


 


พระชายาฉีรู้สึกว่าร่างกายของนางเวลานี้อ่อนล้าอย่างแท้จริง จึงไม่ได้ยืนกรานต่อ นอนลงแต่โดยดี น้ำเสียงอ่อนแรงถามออกไปว่า “นี่ข้าเป็นอะไรไป”


 


 


“หมอหลวงบอกว่าอารมณ์ของเจ้าวันนี้ขึ้นลงไม่คงที่ เลยทำให้เป็นลมไป เมื่อครู่ข้าป้อนยาให้เจ้าดื่มแล้ว เจ้านอนพักต่ออีกสักสองสามวันก็ไม่มีปัญหาแล้ว” กูกูผู้ดูแลวังบอก


 


 


พระชายาฉีพยักหน้ารับรู้เบาๆ ก่อนสายตาจะกวาดมองไปยังคนที่อยู่ในห้องทั้งหมด แล้วไปตกอยู่บนร่างของท่านอ๋องฉี กล่าวไปด้วยน้ำเสียงขอโทษว่า “ซย่าเซินทำให้ท่านอ๋องต้องเป็นกังวลอีกแล้ว”


 


 


อ๋องฉีอ้าปาก คล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ไม่ได้พูด


 


 


คราวนี้สายตาของพระชายาฉีเลื่อนไปตกอยู่บนร่างหวงฝู่อวี้เซวียน พูดกับเขาไปว่า “เซวียนเอ๋อร์เจ้าคงตื่นตระหนกแย่แล้วกระมัง วางใจเถิด แม่ไม่เป็นไร”


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนคราง “อืม” ออกมาให้ได้ยินเบาๆ


 


 


คำพูดที่วิ่งมาถึงปากของท่านอ๋องฉีถูกกลืนลงไปอีกครั้ง


 


 


ในเมื่อพระชายาฉีฟื้นแล้ว หมอหลวงอย่างเขาก็ไม่มีธุระอะไรที่นี่อีก จึงได้เดินไปที่โต๊ะเก็บข้าวของใส่กล่องยาแล้วหันไปกล่าวลาอ๋องฉีว่า “ในเมื่อพระชายาไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอกลับสำนักหมอหลวงไปทำบันทึกก่อน ส่วนยาบำรุงเหล่านี้ จำไว้ว่าให้ดื่มให้ตรงเวลาทุกวันอย่าได้ขาด”


 


 


อ๋องฉีพยักหน้ารับรู้ แล้วสั่งให้พ่อบ้านส่งหมอหลวงออกไป


 


 


พระชายาหันไปกล่าวกับอ๋องฉีอีกครั้งว่า “ท่านอ๋องเพคะ ซย่าเซินมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับกูกูเพียงลำพังสักสองสามประโยค ไม่ทราบว่าจะขอให้ท่านหลบออกไปก่อนได้หรือไม่”


 


 


ในเมื่อต้องการพูดคุยกันตามลำพัง อ๋องฉีก็ไม่ขัด พยักหน้าให้นางแล้วสั่งพระชายารองลงไปว่า “เจ้าเองก็ออกไปกับข้าด้วย”


 


 


กล่าวจบก็เดินออกไปทันที


 


 


พระชายารองหันมามองกูกูผู้ดูแลวังครั้งหนึ่ง คารวะให้นางอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนักแล้วเดินตามออกไป


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนเองก็กำลังคิดจะเดินออกไปด้วย แต่ก็ถูกพระชายาฉีเรียกหยุดเอาไว้ก่อน นางกล่าวออกไปว่า “วันนี้ที่ข้าสามารถรั้งพระราชเสาวนีย์ขององค์ไทเฮาไม่ให้ประกาศเรื่องงานแต่งออกมาได้ทันเวลา ต้องขอบคุณกูกูผู้ดูแลวังท่านนี้ที่ส่งจดหมายออกมาแจ้งข้าได้อย่างทันกาล เจ้ายังไม่รีบเข้ามาขอบคุณอีก”


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนได้ยินแล้วก็โค้งคำนับให้กับอีกฝ่ายอย่างเชื่อฟัง กล่าวว่า “ขอบคุณกูกู”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังเบี่ยงหลบด้วยความลนลานทันที รีบร้อนพูดออกไปว่า “ซื่อจื่อทำให้บ่าวอายุสั้นแล้ว บ่าวไหนเลยจะรับการคารวะจากท่านได้”


 


 


พระชายาฉียิ้มพลางกล่าว “เราทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน มิตรภาพลึกซึ้งแน่นแฟ้น หากไม่ใช่ว่าเจ้าเผลอถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ในวัง เซวียนเอ๋อร์สมควรจะเรียกเจ้าว่าอาหญิงคำหนึ่งด้วยซ้ำ ยิ่งวันนี้เจ้าช่วยเหลือข้าครั้งใหญ่ เขาคำนับเจ้านับเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เจ้าสามารถรับการคารวะนี้ได้”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังโบกมือรัว “เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้ ข้าเป็นเพียงนางกำนัลในวังผู้หนึ่งเท่านั้น ฐานะของซื่อจื่อสูงส่ง จะให้คารวะข้าไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


พระชายาฉียังคงยิ้มและกล่าวต่อ “อยู่ในวังมานานหลายปี กลายเป็นคนคร่ำครึในกฎเกณฑ์ แบ่งแยกศักดิ์ฐานะชัดเจนไปเสียแล้ว”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังหัวเราะแล้วกล่าว “สถานที่เช่นวังหลวงผิดพลาดเพียงนิดก็อาจจะเอาชีวิตเจ้าได้ ข้าจะกล้าไม่แบ่งแยกชัดเจนได้อย่างไร” กล่าวจบ ก็เหมือนกับไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อจึงได้เบี่ยงประเด็นสนทนาไปว่า “วันนี้ที่อยู่ในวัง พวกเจ้าแม่ลูกทำเอาข้าตกใจจนเกือบตายแล้ว โชคยังดีที่ไทเฮาไม่ได้ดึงดันจะประกาศพระราชเสาวนีย์ลงไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าเรื่องราวหลังจากนั้นจะจบลงเช่นไร”


 


 


พระชายาฉียิ้มแล้วพูดขึ้น “ไทเฮาไม่กล้ายืนกรานประกาศพระราชเสาวนีย์หรอก”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังผงะไป ถามออกไปว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”


 


 


พระชายาฉีมองไปทางหวงฝู่อวี้เซวียนครั้งหนึ่ง สีหน้าปลาบปลื้มใจอย่างเห็นได้ชัด “เซวียนเอ๋อร์ลูกข้าไม่ว่าจะด้านไหนก็ครบพร้อมสมบูรณ์แบบ เป็นทายาทผู้สืบทอดจวนอ๋องฉีที่ดีที่สุด หากว่าเขาสละตำแหน่งซื่อจื่อนี้ไป แล้วยกมันให้กับอวี้เอ๋อร์แทน ผ่านไปไม่กี่ปีหรอก จวนอ๋องฉีแห่งนี้จะต้องล้มลงแน่ ไทเฮาไหนเลยจะยอมปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังดวงตาประกายวาบ เข้าใจขึ้นมาในบัดดล นางหัวเราะแล้วพูดออกไปด้วยเสียงดังว่า “ดูข้า เลอะเลือนจริงๆ มัวแต่เป็นห่วงเป็นกังวลแทนพวกเจ้าแม่ลูกจนลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย นั่นสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้อีกหน่อยไทเฮาคงไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่งกับงานแต่งของซื่อจื่อแล้ว”


 


 


พระชายาฉีส่ายหัว “พูดยาก แม้ว่าวันนี้ไทเฮาจะไม่ได้ยืนกรานประกาศพระราชเสาวนีย์ลงมา แต่ก็ยังไม่ได้ถอนหมั้นกับจวนราขเลขา เห็นได้ชัดว่าพระนางทรงหวังให้เซวียนเอ๋อร์เปลี่ยนใจ”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังเงียบไป จากนั้นก็ถามออกไปว่า “แล้วแบบนี้พวกเจ้า…”


 


 


พระชายาฉีถอนหายใจออกเบาๆ แล้วกล่าวออกไปว่า “ไทเฮาทรงถอยให้ก้าวหนึ่งแล้ว พวกเราก็ไม่กล้าเดินหน้าบีบคั้นพระนางใช้แข็งต้านแข็ง คงมีแต่ต้องค่อยๆ เดินค่อยๆ วางแผนไปทีละนิดๆ อย่างไรก็ตามเซวียนเอ๋อร์ได้แสดงความตั้งใจออกไปอย่างชัดเจนแล้ว ช่วงเวลาสั้นๆ นี้พระนางไม่มีทางบังคับให้เซวียนเอ๋อร์แต่งงานเป็นแน่”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังพยักหน้าเห็นด้วย “ทางวังหลวงข้าจะคอยสอดส่องระวังให้พวกเจ้าอีกแรง หากว่าไทเฮาทรงมีเจตนาเช่นนี้อีก จะรีบให้คนนำจดหมายมาส่งให้พวกเจ้า”


 


 


พระชายาฉีรู้สึกขอบคุณนางยิ่งนัก กล่าวขอบคุณนางไปว่า “ขอบคุณเจ้ามาก ชิงเยียน”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังโบกมือให้ “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าขนาดนี้”


 


 


กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ นี่ก็สายมากแล้ว ข้าออกมานานมากแล้วสมควรกลับไปเสียที ไทเฮายังทรงรอให้ข้ากลับไปรายงานเรื่องของเจ้าอยู่ เจ้าพักผ่อนเถอะ ดูแลสุขภาพให้ดี หากมีโอกาสวันหน้าข้าจะขอออกวังมาเพื่อเยี่ยมเจ้าอีก”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้าเบาๆ สั่งหวงฝู่อวี้เซวียนไปว่า “เจ้าเดินออกไปส่งอาหญิงชิงเยียนด้วย”


 


 


“ไอ้หยา เจ้านี่…” กูกูผู้ดูแลวังรู้สึกมีความสุขจนพูดอะไรไม่ถูกแล้ว


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนขานรับด้วยความเคารพ หันไปเรียกกูกูผู้ดูแลวังด้วยความนอบน้อมว่า “อาหญิง เชิญ”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังโบกมือขึ้นอย่างลนลาน “ไม่รบกวนเวลาของซื่อจื่อหรอก เจ้าไม่ต้องออกไปส่ง เดี๋ยวข้ากลับเอง เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านแม่ของเจ้าเถิด”


 


 


พระชายาฉีเห็นว่านางทำตัวไม่ถูก ดูอึดอัดมากจริงๆ จึงไม่ได้ดึงดันต่อไป ตะโกนออกไปบอกสาวใช้ที่ยืนรออยู่ข้างนอกว่า “ใครก็ได้ เดินออกไปส่งกูกูผู้ดูแลวังที”


 


 


สาวใช้คนหนึ่งเปิดประตูแล้วเดินเข้ามา หลังจากขานรับหนึ่งคำ นางก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากูกูผู้ดูแลวัง ผายมือแล้วกล่าวกลับอีกฝ่ายไปว่า “กูกู เชิญเจ้าค่ะ”


 


 


กูกูผู้ดูแลวังสำทับกับพระชายาฉีไปอีกหลายประโยค จากนั้นก็กลับวังไปรายงานเบื้องบนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา


 


 


พระชายาฉีตบไปที่ข้างเตียงเบาๆ เป็นสัญญาณบอกให้หวงฝู่อวี้เซวียนนั่งลง


 


 


หวงฝู่อวี้เซวียนเข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อก็ให้นั่งลงไปอย่างว่าง่าย


 


 


พระชายาฉีจ้องไปที่ดวงตาของเขา ถามออกไปอย่างคาดหวังว่า “เซวียนเอ๋อร์ หากว่าเจ้าสละตำแหน่งซื่อจื่อจริงๆ เจ้าคิดจะพาแม่ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเจ้าที่ชนบทจริงๆ หรือ” 

 

 


ตอนที่ 42-1 เชิญมาที่จวน

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


พระชายาฉีตาแดง เสียงนั้นสำลักเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “แม่คิดว่า แม่คิดว่า…”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนขยับเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้เป็นลูกที่ผิดเอง ท่านแม่ได้โปรดยกโทษให้แก่ความไม่รู้ของลูกด้วย”


 


 


ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่เอง ตั้งแต่ที่เจ้ากลับมา ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติต่อแม่อย่างสุภาพและอ่อนโยน แต่ก็ยังมีความห่างเหินและแปลกหน้าอยู่ แม่คิดไปว่าเจ้ายังคงโทษแม่เกี่ยวกับเรื่องในปีนั้นที่ทำเจ้าหล่นหายไป ถึงจะมีใจคิดอยากเข้าใกล้เจ้าอีกนิด แต่ก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราแม่ลูกยิ่งมาก็ยิ่งห่างเหินกันยิ่งขึ้น ประกอบกับแม่กับท่านพ่อของเจ้าคิดเองเออเองว่าหากแต่งคุณหนูจวนราชเลขาให้เจ้าแล้วจะมีประโยชน์ต่อเจ้าช่วยเจ้าได้มากกว่า จึงไม่เคยเก็บความรู้สึกของเจ้ามาใส่ใจเลย แถมยังยุยงให้เจ้าถอนหมั้นไปเมื่อปีนั้น วันนี้ในที่สุดแม่ก็เข้าใจแล้วว่าแม่นางเมิ่งในใจของเจ้านั้นมีน้ำหนักมากถึงเพียงไหน เจ้าวางใจเถิด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแม่จะยืนอยู่ข้างเจ้าเอง ไม่ว่าอุปสรรคในภายภาคหน้าจะมากมายสักเพียงใด แม่ก็จะช่วยเจ้าแต่งแม่นางเมิ่งเข้ามาเป็นชายาให้ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนครางว่า “อืม” เบาๆ ออกมาหนึ่งที เผยรอยยิ้มที่จริงใจต่อพระชายาฉีออกมาเป็นครั้งแรก รอยยิ้มนี้ทำเอาพระชายาฉีสัมผัสได้ถึงแสงแดดอันอบอุ่นที่สาดส่องเข้ามาในหัวใจ ท่าทีไม่แยแสละห่างเหินบนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนคลายลงไปมาก สีหน้าของเขาบัดนี้แสดงถึงความอ่อนโยนอย่างแท้จริง


 


 


พระชายาฉีดีใจเป็นล้นพ้น ความสุขตีตื้นขึ้นมาจากอก แต่แล้วเสียงไอดังค่อกแค่กก็ตามมาเพราะความตื่นเต้นที่มากเกินไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตกใจมาก กระวีกระวาดลุกขึ้นไปถามนางด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


พระชายาฉีโบกมือให้ ผ่านไปสักพักกว่าที่เสียงไอนั้นจะหยุดลง นางตอบด้วยสภาพที่หอบหนักว่า “ไม่เป็นไร แม่แค่ตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนผ่อนคลายลง ความกังวลบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางหายไปก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอนหลังไปกับพนักพิง


 


 


หลังจากพักผ่อนได้อีกครู่ใหญ่ พระชายาฉีก็สงบลงมา นางขอร้องออกไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ว่า “เล่าเรื่องของแม่นางเมิ่งให้แม่ฟังหน่อยสิ แม่อยากรู้ว่านางเป็นคนแบบไหน เหตุใดใจเจ้าถึงได้วางนางไว้ในตำแหน่งที่สำคัญเช่นนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนใบหน้าแดงก่ำ เขาเม้มริมฝีปากลง ใช้เวลานานทีเดียวก่อนที่จะพูดออกไปว่า “ท่านแม่วันนี้เหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนเถอะขอรับ เอาไว้วันหน้ามีเวลาแล้วข้าจะค่อยๆ เล่าเรื่องของนางให้ท่านฟัง”


 


 


พระชายาฉีแต่เดิมก็ร่างกายอ่อนแอมากอยู่แล้ว วันนี้หลังจากที่วิ่งวุ่นมาทั้งวันก็ยิ่งอ่อนเพลียมากขึ้นไปอีก จิตวิญญาณของนางในตอนนี้แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย จึงได้พยักหน้าให้เขาเบาๆ แล้วพูดออกไปว่า “ได้ เช่นนั้นวันนี้แม่จะพักก่อน รอแม่อาการดีขึ้นบ้างแล้วเจ้าอย่าลืมมาเล่าให้แม่ฟังเล่า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ หลังจากดึงผ้านวมขึ้นห่มให้พระชายาฉีแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเมื่อครู่ รอจนกระทั่งนางหลับไปถึงได้เดินออกไปอย่างเงียบๆ แล้วสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกให้ดูแลนางให้ดี จากนั้นก็เดินกลับเรือนของตนเองไป


 


 


ในอีกหลายวันต่อมา แม้ว่าพระชายาฉีจะดื่มยาบำรุงไปมากมายแต่อาการของนางกลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย อ๋องฉีทรงเป็นกังวลยิ่งนัก เข้าวังไปลากตัวเหล่าหมอหลวงออกมาเพื่อขอให้รักษาให้กับพระชายาฉี


 


 


หมอหลวงวินิจฉัยแล้ววินิจฉัยอีก กระนั้นเองบทสรุปสุดท้ายที่ได้ออกมาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม นั่นก็คือร่างกายของพระชายาฉีอ่อนแอจนเกินไป ประกอบกับความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกที่ได้รับจากภายนอก เลยทำให้โรคเก่าที่เป็นอยู่กำเริบ จำเป็นต้องใช้เวลาในการพักฟื้นอีกช่วงใหญ่กว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้


 


 


อ๋องฉีหลังจากได้ฟังคำวินิจฉัยจากหมอหลวงแล้วก็ให้พิโรธหนัก ตวาดด่าออกไปว่า “ร่างกายของพระชายาเห็นได้ชัดว่าเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ทำไมถึงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก จะต้องเป็นเพราะทักษะทางการแพทย์ของพวกเจ้ามันไม่ได้เรื่อง หาสาเหตุของโรคไม่พบ หาวิธีการรักษาที่เหมาะสมไม่ได้เลยทำให้มันเป็นเช่นนี้ ข้าให้เวลาพวกเจ้าอีกสิบวัน ฟื้นฟูร่างกายของพระชายาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ หากว่าสิบวันผ่านไปแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า เช่นนั้นหัวของพวกเจ้าก็รอเปลี่ยนบ้านได้เลย”


 


 


ถูกสั่งแกมข่มขู่มาเช่นนี้ เหล่าหมอหลวงที่ถูกลากตัวออกมาจากสำนักหมอหลวงก็ให้ตื่นตระหนกหวาดกลัวกันไปทั่ว รีบรุดเข้าไปปรึกษากันถึงแผนการรักษาด้วยความขะมักเขม้น อย่างไรก็ตามหลังจากสนทนากันได้ครู่ใหญ่บทสรุปที่ได้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม นอกจากสั่งยาบำรุงให้ดื่มค่อยๆ ฟื้นตัวไปทีละนิดๆ แล้ว ก็ไม่มีหนทางอื่นหลงเหลืออยู่เลย


 


 


อ๋องฉีไม่สนใจว่าพวกเขาจะใช้วิธีการไหน ทุกวันเข้าวังไปลากตัวเหล่าหมอหลวงมาที่จวนแล้วนั่งจ้องพวกเขาที่กำลังคิดแผนปรึกษากันตาเขม็ง เมื่อเห็นว่าระยะเวลาสิบวันที่กำหนดนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่อาการของพระชายาฉีกลับไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย หมอหลวงของแคว้นเหล่านั้นก็เริ่มรู้สึกเย็นที่ลำคอ กระดูกสันหลังเสียววาบ หลายครั้งที่พวกเขาเห็นภาพหลอนไปว่าหัวของพวกเขาไม่ได้อยู่บนคอของตนเองอีกต่อไปแล้ว


 


 


ไทเฮาหลังจากที่ได้ฟังอาการของพระชายาฉีก็ให้กูกูผู้ดูแลวังนำสมุนไพรมาส่งให้ไม่หยุด


 


 


ทางฝั่งของพระชายารองกลับมีความสุขมากขึ้นทุกวัน ขณะที่อยู่ในเรือนของตนเองถึงขั้นเปิดปากพูดออกไปตรงๆ ด้วยความยินดีว่าสวรรค์มีตา นางแพศยารวมถึงบุตรชายซื่อจื่อของนางหลายวันมานี้กำเริบเสิบสานนัก กระทั่งท่าทีสุภาพเกรงใจต่อนางเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่คิดจะปฏิบัติอีกต่อไป วันนี้พอนางป่วยลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว จะต้องเป็นเพราะว่าสวรรค์ทนดูต่อไปไม่ได้แน่นอนจึงได้ลงโทษเช่นนี้ สมน้ำหน้า!


 


 


อย่างไรก็ตามพอก้าวออกจากเรือนของตนสีหน้าของนางก็ปรับเปลี่ยนเป็นดูน่าเคารพ ทุกวันจะต้องไปปรนนิบัติอยู่ข้างเตียงอีกฝ่ายช่วงเวลาหนึ่ง คอยยกชารินน้ำร้อนให้ เก็บเกี่ยวภาพพจน์และชื่อเสียงที่ดีงามให้กับตนเอง ซึ่งทัศนคติที่อ๋องฉีมีต่อนางก็ผ่อนคลายขึ้นเพราะเรื่องนี้จริงๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียนทุกเช้า แต่ช่วงเที่ยงของวันเขาไม่ได้แวะไปที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยวอีก หลังจากเลิกเรียนเขาก็ตรงกลับจวนทันที ยิ่งได้เห็นว่าอาการของพระชายาฉีทรุดลงเรื่อยๆ กับตา ใจเขาก็ให้ปวดร้าวจนพูดไม่ออก


 


 


ในวันนี้หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งกลับจากกั๋วจื่อเจียน ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูจวน เสียงคำรามลั่นของอ๋องฉีก็ดังส่งมาจากระยะไกล “เจ้าพวกไม่ได้เรื่อง นี่ก็ผ่านไปตั้งหลายวันแล้วแต่ร่างกายของพระชายากับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นสักนิด ยังจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำอะไร?”


 


 


หมอหลวงหลายคนพากันร้องขอความเมตตา “ท่านอ๋องยกโทษให้พวกข้าด้วย ร่างกายของพระชายาตอนนี้อ่อนแอมากจริงๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจฟื้นตัวกลับมาได้จริงๆ ขอรับ”


 


 


อ๋องฉียิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก “อย่าได้มาแก้ตัวกับข้า พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายสำหรับพวกเจ้าแล้ว หากสภาพร่างกายของพระชายายังคงเป็นเหมือนวันนี้ พวกเจ้าก็บอกให้คนที่บ้านเตรียมจัดงานศพได้เลย”


 


 


เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในลานก็เห็นว่าหมอหลวงหลายคนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าแต่ละคนซีดเผื่อดด้วยความหวาดกลัว


 


 


กวาดสายตามองไปทางพวกเขาครั้งหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็สาวเท้าเดินเข้าไปในเรือนพัก เห็นว่าพระชายาฉียังคงเป็นเหมือนกับวันก่อนๆ ดวงตาทั้งคู่ปิดแน่น สภาพเหมือนคนที่หลับลึกไป กระนั้นแล้วลมหายใจบางเบากลับทำให้คนรอบข้างรู้สึกเหมือนกับว่านางเพิ่งหลับไปอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เม้มริมฝีปากลงไม่พูดจา เท้าเดินไปหยุดอยู่ด้านนอกประตู จากนั้นจึงหันไปพูดกับอ๋องฉีด้วยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องการปรึกษากับท่าน”


 


 


อ๋องฉีหงุดหงิดอย่างถึงที่สุดแล้วในตอนนี้ ทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวจึงให้ถามกลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวว่า “ว่ามา”


 


 


“เข้าไปคุยในห้องกันเถอะขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนบอก


 


 


อ๋องฉีเหลือบตามองเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปข้างใน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามหลังเขาไป โบกมือสั่งให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้องออกไปให้หมด จากนั้นก็พูดออกไปตรงๆ ทันทีว่า “ท่านพ่อ โยวเอ๋อร์มีทักษะทางการแพทย์ที่สูงนัก ข้าอยากเชิญนางมาตรวจดูอาการของท่านแม่”


 


 


อ๋องฉีขมวดคิ้ว “หมอหลวงมากมายขนาดนี้ยังจนปัญญา นางก็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ทักษะทางการแพทย์จะสูงส่งสักแค่ไหนเชียว สามารถรักษาอาการป่วยของท่านแม่เจ้าได้?”


 


 


“ปีนั้นตอนที่ท่านลุงไปตามหาข้าที่เมืองชิงซีแล้วถูกลอบทำร้าย คนที่ช่วยเขาไว้ ดึงชีวิตเขากลับมาจากยมโลกก็คือโยวเอ๋อร์นี่แหละ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว


 


 


อ๋องฉีหรี่ตาลง ถามออกไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง? อย่าได้ลืมว่าปีนั้นนางพึ่งอายุได้แค่สิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น ยังเป็นเด็กอยู่เลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ตอนที่ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง เรื่องนี้ท่านลุงเป็นคนบอกกับข้าด้วยปากของเขาเอง ไม่ผิดแน่นอน”


 


 


อ๋องฉีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปเชิญนางมาเถอะ หากว่านางสามารถรักษาอาการป่วยของท่านแม่เจ้าได้จริงๆ ข้าจะตบรางวัลให้นางอย่างงามแน่นอน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ขยับเขยื้อน เขาพูดออกไปว่า “ลูกมีคำขออย่างหนึ่ง”


 


 


“พูด”


 


 


“ไม่ว่าโยวเอ๋อร์จะรักษาอาการป่วยของท่านแม่ได้หรือไม่ เกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของนาง ท่านพ่ออย่าได้บอกใครเป็นอันขาด”


 


 


อ๋องฉีจ้องเขาเป็นเวลานาน ก่อนจะพูดออกไปว่า “พ่อรู้แล้ว เรื่องนี้จะไม่มีวันรั่วไหลออกไปเป็นอันขาด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ก้าวอาดๆ ออกไปสั่งองครักษ์ของจวนทันที “ไปเตรียมม้าเร็วมาให้ข้าตัวหนึ่ง”


 


 


องครักษ์นายหนึ่งขานรับ จากนั้นก็วิ่งออกไปจูงม้ามา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินตรงออกไปยังด้านนอกประตู รอจนกระทั่งองครักษ์ผู้นั้นนำม้ามาแล้วเขาก็กระโดดขึ้นหลังม้า มุ่งหน้าไปยังทางใต้ของเมืองในทันที 

 

 


ตอนที่ 42-2 เชิญมาที่จวน

 

นับตั้งแต่ที่หวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้มีการโบยเฉี่ยวเยว่จนตาย คนทั้งเมืองหลวงต่างก็ได้รู้กันว่าร้านขายบะหมี่มันฝรั่งแห่งนี้เปิดกิจการโดยหญิงคนรักของเขา ด้วยเหตุนี้ช่วงเวลาหนึ่งคนเกือบครึ่งหนึ่งของเมืองหลวงต่างก็แห่เข้ามาอุดหนุนธุรกิจ ลิ้มรสบะหมี่มันฝรั่งไม่ขาด กิจการในร้านยุ่งเป็นอย่างมาก ยังดีที่พนักงานในร้านค่อนข้างมีประสบการณ์อยู่บ้างจึงไม่ถึงกับมือไม้ลนลานแต่อย่างใด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลังจากช่วยงานอยู่ในร้านได้สองถึงสามวัน เห็นว่าพวกพนักงานเริ่มคุ้นชินกันแล้วสามารถรับมือกันเองได้จึงไม่ได้ไปที่ร้านอีก จะมีก็แต่แวะไปที่Uกับซุนเหลียงไฉสองถึงสามครั้ง ทำความรู้จักกับเถ้าแก่และพนักงานในร้านคร่าวๆ นอกเหนือจากนั้นส่วนใหญ่ก็เอาแต่ขลุกอยู่แต่ในบ้านเตรียมยาสำหรับรักษารอยแผลเป็นเพียงอย่างเดียว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตะบึงม้ามาหยุดอยู่หน้าจวนของเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากพลิกตัวกระโดดลงมา เขาก็โยนบังเ**ยนม้าไปให้กับคนที่ยืนเฝ้าประตูอยู่แล้ววิ่งเข้าไปในลานเรือนหลักด้วยความรีบร้อน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจัดยาอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงฝีเท้าดังส่งเข้ามาก็เดาได้ว่าต้องเป็นหวงฝู่อี้เซวียนแน่ๆ ไม่ทันรอให้นางได้วางสมุนไพรในมือลง หวงฝู่อี้เซวียนก็ผลักประตูเข้ามาเสียแล้ว


 


 


เห็นว่าเขาในยามนี้หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ สีหน้าดูวิตกกังวลเด่นชัด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า “เกิดเรื่องยุ่งยากอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”


 


 


“ท่านแม่ข้าป่วยหนัก ข้าอยากขอให้เจ้าไปดูอาการของนางให้หน่อย” หวงฝู่อี้เซวียนบอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสได้ถึงความกังวลที่ส่งมากับน้ำเสียงของเขา จึงได้มองเขาด้วยสายตาประหลาดใจชั่วครู่ แล้วพูดออกไปว่า “เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่ประเดี๋ยวตามไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปอย่างเชื่อฟัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวล้างมือให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าเอาชุดที่มีแต่กลิ่นยาสมุนไพรออกแล้วเลิกผ้าม่านขึ้นเดินออกจากห้องไป ก่อนไปยังหันไปกำชับกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “ของที่อยู่ในห้องนี้อย่าได้แตะต้องหรือเคลื่อนย้ายเป็นอันขาด ข้ายังจัดการไม่เสร็จดี”


 


 


สาวใช้โค้งตัวขานรับ


 


 


จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกไปหาหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังรออยู่ข้างนอก ตะโกนสั่งกัวเฟยไปว่า “เจ้าไปเตรียมม้ามาสองตัว ตามข้าไปที่จวนอ๋องฉี”


 


 


กัวเฟยรับคำแล้วรีบออกไปเตรียมม้าโดยไว


 


 


ทั้งสองคนเดินออกไปข้างนอก เมิ่งเชี่ยนโยวอาศัยจังหวะนี้สอบถามเกี่ยวกับอาการของพระชายาฉีคร่าวๆ เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนบอกว่าโรคเก่าของนางกำเริบขึ้นมา คิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันแน่น


 


 


รอจนกระทั่งเดินมาถึงหน้าจวน กัวเฟยก็จูงม้าสองตัวนั้นเข้ามาพอดี


 


 


ทั้งสามคนกระโดดขึ้นหลังม้า ตวัดแส้ในมือรีบมุ่งไปยังจวนอ๋องฉี


 


 


หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนออกไป อ๋องฉีก็เดินออกมาจากห้องกลับมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิม สายตายังคงจับจ้องไปยังกลุ่มหมอหลวงที่กำลังคิดหาหนทางรักษาเขม็ง


 


 


บรรดาหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เหงื่อเม็ดเป้งผุดซึมขึ้นบนหน้าผากไม่หยุด


 


 


หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาในลานแล้วได้เห็นภาพฉากตรงหน้า นางก็เหลือบมองคนที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดรอบหนึ่ง สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เท้าเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอ๋องฉีแล้วคารวะอีกฝ่ายไปตามมารยาท


 


 


อ๋องฉีโบกมือของเขา “ไม่ต้องมากพิธี” กล่าวจบ ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปในห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังเขาเข้าไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามนางไปอีกต่อหนึ่ง


 


 


กัวเฟยยืนรออยู่ในลานเรือนอย่างเงียบๆ


 


 


หลังจากอ๋องฉีเข้ามาในห้องแล้ว เขาก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งอย่างไม่พูดไม่จา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรงไปที่เตียงของพระชายาฉี หลังจากที่ได้เห็นสภาพของอีกฝ่ายกับตาแล้วคิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองนางพร้อมกับใจที่จมดิ่งลงไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงที่ข้างเตียงเบาๆ ยื่นมือออกไปพลิกข้อมือของพระชายาฉีหงายขึ้นแล้วลงมือจับชีพจรของอีกฝ่ายในทันที


 


 


อ๋องฉีเห็นว่านางไม่แม้แต่จะใช้หมอนรองสำหรับจับชีพจรด้วยซ้ำ พลันก็หน้าบึ้งขึ้นมา คิ้วคมผูกเข้าหากันจนเป็นปมแน่น ใจที่กำลังลอยขึ้นมาด้วยความหวังเมื่อสักครู่หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วจับชีพจรอยู่นานมาก ก่อนจะปล่อยมือข้างนั้นของพระชายาฉีลงแล้วสลับไปที่มืออีกข้าง


 


 


ภายในห้องเงียบสงัด ทุกสายตาจับจ้องไปยังนางเป็นตาเดียว


 


 


จนกระทั่งจับชีพจรเสร็จ ในที่สุดนางก็วางมือของพระชายาฉีลง พูดขึ้นว่า “ข้าขอดูใบสั่งยาหน่อย”


 


 


สาวใช้ไม่กล้ารับคำ ได้แต่มองไปทางอ๋องฉีเพื่อขอความเห็น


 


 


อ๋องฉีสั่งการลงไป “เอาให้นางดู”


 


 


พลันสาวใช้ก็รีบวิ่งไปหยิบใบสั่งยามาให้นางในทันที เมิ่งเชี่ยนโยวพิจารณาใบสั่งยานั้นอย่างละเอียด แล้วถอนหายใจอย่างหมดคำพูด


 


 


อ๋องฉีจับสังเกตสีหน้านางอย่างละเอียดมาโดยตลอด เห็นนางแสดงออกเช่นนี้ จึงได้เปิดปากถามออกไปว่า “ใบสั่งยานี้มีอะไรไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?”


 


 


“เรียนท่านอ๋อง ไม่สั่งยานี้ไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง เพียงแต่ร่างกายของพระชายยาอ่อนแอจนเกินไป ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมุนไพรบำรุงชั้นยอด มีฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรง ร่างกายของพระชายาฉีจึงรับไม่ไหว” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


อ๋องฉีหรี่ตาลง น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยอำนาจดังขึ้นอีกครั้ง “อธิบายให้ละเอียดกว่านี้สิ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ให้ข้าช่วยระบายไอร้อนที่อยู่ในตัวของพระชายาออกมาก่อนดีหรือไม่ อีกเดี๋ยวค่อยเล่ารายละเอียดให้ท่านอ๋องฟัง?”


 


 


อ๋องฉีเข้าใจที่นางต้องการจะสื่อในทันที ผุดลุกขึ้นถามออกไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “เจ้ามีวิธีรักษาพระชายา?”


 


 


“ไม่มั่นใจเต็มสิบส่วน มีแต่ต้องลองดูเท่านั้น”


 


 


อ๋องฉีชะงักไป กระนั้นแล้วก็ยังคงถามต่ออย่างมีความหวัง


 


 


เป็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ดักคำพูดของเขาไว้ ถามออกไปด้วยความกระตือรือร้นว่า “เช่นนั้นต้องทำอย่างไร? ต้องการอะไรบ้าง?”


 


 


“ขอเข็มเงินให้ข้าสักหลายเล่มหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขา


 


 


ของสิ่งนี้หาได้ง่ายมาก ในกล่องยาของหมอหลวงแต่ละคนที่พกมาด้วยล้วนมีทั้งสิ้น หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปข้างนอกด้วยตัวของเขาเอง หลังจากถามอยู่ชั่วครู่ หมอหลวงก็กระวีกระวาดหยิบเข็มเงินในกล่องยาของตัวเองออกมามอบให้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถือเข็มเงินเอาไว้ในมือ หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องก่อนจะยื่นมันส่งให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเข็มเงินที่มีขนาดความยาวต่างกันออกมาสองสามเล่ม พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนไปว่า “ข้าจำเป็นต้องปลดอาภรณ์ของพระชายาออก เจ้าถอยออกไปก่อน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของอ๋องฉีโดยสมบูรณ์ หันไปสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้เข้ามาช่วยกันปลดอาภรณ์ของพระชายาฉี จากนั้นนางก็ดันให้ใบหน้าของอีกฝ่ายเงยขึ้น แล้วเริ่มลงมือปักเข็มเงินลงไปบนจุดชีพจรตรงหน้าอกหลายตำแหน่ง


 


 


ขณะที่หน้าอกของพระชายาฉีกระเพื่อมขึ้นลง เข็มเงินเหล่านั้นก็แกว่งไปมาตาม


 


 


อ๋องฉีเป็นคนฝึกวรยุทธ ย่อมเข้าใจเกี่ยวกับจุดชีพจรบนตัวมนุษย์เป็นอย่างดี เห็นว่านางลงมือได้อย่างแม่นยำ แต่ละจุดไม่มีคลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียวดวงตาทั้งสองข้างก็พลันหรี่ลงนิดๆ แววตาที่จับจ้องไปทางนางไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสาวใช้ลงไปอีกครั้งให้นำกระโถนมาตั้งไว้ที่หัวเตียงและท้ายเตียง ดวงตาทั้งสองข้างจ้องไปที่พระชายาฉีตาไม่กระพริบ


 


 


เข็มเงินที่ปักอยู่บนอกเริ่มแกว่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และแล้วในวินาทีที่พระชายาฉีลืมตาขึ้นมา มือของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตวัดออกไปดึงเข็มเงินทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว


 


 


พระชายาฉีลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะคลานไปแล้วอาเจียนลงที่ข้างเตียง


 


 


อ๋องฉีลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ


 


 


สาวใช้คนสนิทของพระชายาฉีตะโกนออกมาด้วยความยินดียิ่ง “เหนียงเหนียง ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว”


 


 


เสียงของนางนั้นดังมาก ทันใดนั้นเองหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้านนอกพลันก็ได้ยินกันทั้งหมด แต่ละคนหันไปสบตากันด้วยความยินดี อุทานขึ้นในใจว่ารอดแล้ว ในที่สุดก็รักษาหัวของตัวเองเอาไว้ได้แล้ว


 


 


พระชายาฉียังคงอาเจียนออกมาไม่หยุด ราวกับว่าจะอาเจียนเอาอวัยวะทั้งหมดในท้องออกมาอย่างไรอย่างนั้น


 


 


สาวใช้คนสนิทเป็นกังวลจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว หันมาถามนางด้วยน้ำเสียงลนลานว่า “แม่นาง นี่…”


 


 


“ไม่เป็นไร เจ้ารีบสั่งคนให้ไปเตรียมน้ำร้อนมา อีกเดี๋ยวให้พระชายาล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


พระชายาฉีหมดสติมาได้หลายวันแล้ว บรรดาหมอหลวงเองก็จนปัญญา แต่เมิ่งเชี่ยนโยวปักเข็มเงินลงไปไม่กี่เล่มเท่านั้นพระชายากลับฟื้นขึ้นมาในทันที สาวใช้นางนี้จึงนับถือนางอย่างหมดหัวใจ ไม่รอขอความเห็นจากอ๋องฉีอีกก็รีบวิ่งออกไปสั่งให้คนครัวรีบเตรียมน้ำร้อนให้โดยไว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ หยิบพู่กันขึ้นมาก่อนจะเขียนรายการสมุนไพรลงไปยาวเหยียดแล้วหันไปพูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋องโปรดส่งคนไปหาตัวยาเหล่านี้มา อีกเดี๋ยวตอนที่พระชายาอาบน้ำล้างตัวข้าจำเป็นต้องใช้มัน”


 


 


ในจวนแห่งนี้มีห้องยาเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางขาดสมุนไพรเป็นแน่ อ๋องฉีจึงสั่งสาวใช้ลงไปทันทีว่า “เจ้าไปเตรียมมา”


 


 


สาวใช้นางนั้นรับคำ หยิบใบสั่งยาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอย่างระมัดระวังก่อนจะวิ่งออกไปโดยไม่รีรอชักช้า


 


 


หลังจากนั้นอีกสักพัก พระชายาฉีก็หยุดอาเจียน


 


 


สาวใช้พะว้าพะวังรีบยกน้ำมาให้ พระชายาฉีกลั้วปากล้างคอ ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นมานางก็พบว่าอาภรณ์ครึ่งบนของตัวเองถูกปลดออกจนหมด จึงได้รีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาปิดร่างด้วยความตกตะลึง กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น ร่างทั้งร่างหดเข้าไปซุกในผ้าห่มบางผืนนั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว “เพื่อที่จะรักษาอาการให้ท่านจึงไม่อาจไม่ทำเช่นนี้ ขอพระชายาโปรดอภัย”


 


 


พระชายาฉีหลังจากเห็นชัดแล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือเมิ่งเชี่ยนโยว ขณะคิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง สายตาพลันเหลือบไปเห็นว่าอ๋องฉีเองก็อยู่ในห้องด้วย ดวงหน้างามแดงก่ำไปทั้งใบหน้า


 


 


สาวใช้ที่ถูกสั่งให้ออกไปจัดยากลับมาพร้อมกับตัวยาในมือ นางส่งมันให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูมันอย่างละเอียดครั้งหนึ่งเสร็จแล้วจึงสั่งการลงไปว่า “โรยสมุนไพรพวกนี้ลงในอ่างอาบน้ำ รอจนพระชายาแช่ครบสองเค่อเท่านี้ก็เสร็จสิ้นแล้ว”


 


 


สาวใช้คนสนิทนางนั้นเองก็กลับมาแล้วด้วยเหมือนกัน หลังจากได้ยินคำสั่งของหญิงสาวก็รีบสั่งคนให้นำสมุนไพรพวกนี้ไปแช่ลงในอ่างอาบน้ำทันที


 


 


สมุนไพรในถาดถูกเทลงในอ่างน้ำจนหมด หลังจากตัวยาผสมเข้ากับน้ำแล้ว มันก็ถูกคนให้เข้ากันโดยมือของคน


 


 


เนื่องจากพระชายาฉีต้องอาบน้ำ อ๋องฉีจึงไม่สะดวกอยู่ในห้องต่อ หลังจากกวาดสายตามองดูพระชายาฉีที่กำลังขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนบาง เขาก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง พูดออกไปว่า “ข้าเติมสมุนไพรลงไปในน้ำด้วย พระชายาฉีอาบน้ำเสร็จแล้วคงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น”


 


 


“ขอบคุณเจ้ามากแม่นางเมิ่ง” พระชายาฉีที่กำลังซุกตัวอยู่ในผ้าห่มหลังจากได้ยินที่นางพูดก็ให้ชะงักไปด้วยความมึนงงชั่วครู่ แต่แล้วก็รีบกล่าวขอบคุณออกไปโดยไว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่านางคงเขินอายกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย จึงได้พยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วเดินออกไป


 


 


อ๋องฉีวางท่าสง่าผ่าเผย พูดกับเหล่าหมอหลวงที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นไปด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า “เรื่องที่แม่นางเมิ่งมารักษาให้พระชายาในวันนี้ ห้ามผู้ใดแพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด หากข้ารู้ว่าเรื่องนี้หลุดไปจากปากของใคร พวกเจ้าก็ระวังหัวตัวเองเอาไว้ที่ดี”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)