ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 380-383

ตอนที่ 380 แก้วที่แตก ต่อยังไงก็ไม่เห...

 

หวงฝู่อวี้หันกลับแล้วเดินออกไป 


 


 


เฮ่ออีที่คอยมองเข้าไปในเรือนเป็นระยะๆ เห็นหวงฝู่อวี้เดินออกมา ก็ตกใจเป็นอย่างมาก เหตุใดคุณชายรองถึงออกมาไวเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นโรคอะไรหรือเปล่า คิดไปคิดมา ก็เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร หวงฝู่อวี้ก็สั่งด้วยน้ำเสียงปกติว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูหลิน เจ้ารีบไปตามหมอหลวงเจียงมาเดี๋ยวนี้” 


 


 


เฮ่ออีตกใจเงยหน้าขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย คุณชายรองห้ามใจจนอารมณ์เสียหรืออย่างไร เหตุใดถึง… … 


 


 


เขายังคิดไม่ทันจบ เสียงของหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ยังจะนิ่งอยู่ทำไม รีบไป!” 


 


 


เฮ่ออีได้สติ ตอบรับ แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


หวงฝู่อวี้เดินออกไป ได้ยินเสียงครวญครางของหงเอ๋อร์ ก็ขมวดคิ้ว แล้วเดินไปดูที่ห้องข้างๆ ดูเสร็จก็เดินไปที่หน้าประตู สั่งกับสาวใช้ที่ยืนเฝ้าหน้าประตูว่า “พาหงเอ๋อร์ไปที่ห้องอาบน้ำ แล้วให้นางแช่น้ำเย็นเสีย” 


 


 


พูดจบ ก็เดินไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน 


 


 


บ่าวรับใช้มองเขาที่หายไปจากทางเดินด้วยสายตาที่ประหลาดใจและไม่เข้าใจ แล้วถึงจะได้สติ กลับไปทำหน้าที่ของตนเอง 


 


 


มาที่เรือนหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อวี้ก็ไม่รอช้า เดินเข้าไปโดยทันที ไม่มีการทักทาย แล้วเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ด้านใน  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนที่กำลังรอฟังข่าวจากเขา เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา ก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือก แท้จริงแล้ว คุณชายรองแห่งจวนอ๋องจะรับอนุอีกคนหนึ่งเข้ามาในเรือนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ไม่ควรมาจากการวางแผนและบังคับกันเช่นนี้  


 


 


เมื่อเงยหน้ามองไปที่เขาก็เห็นว่าที่คอของเขายังมีรอยแดง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้น เดินไปเปิดกล่องออกแล้วหยิบชุดเข็มเงินออกมา  


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เคร่งขรึม เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปนออกมาอย่างเห็นได้ชัด นังหลินหันเยียนผู้นี้ ถึงขั้นใส่ยาปลุกกำหนัดให้กับอวี้เอ๋อร์ ขนาดยาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังเอาไม่อยู่  


 


 


หวงฝู่อวี้รู้สึกว่าความร้อนในร่างกายของตนเองเริ่มกลับมาอีกครั้ง เกรงว่าเดี๋ยวจะทำเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะสม ยังไม่ทันพูดอะไร ก็รีบเดินออกไปทันที  


 


 


“หยุด!” หวงฝู่อี้เซวียนพูด  


 


 


หวงฝู่อวี้หันกลับมา ปากสั่นไม่ได้พูดอะไร  


 


 


“นั่งลง!” เมื่อเห็นว่าจะต้องถอดเสื้อขึ้น แล้วให้เมิ่งเชี่ยนโยวฝังเข็มให้กับเขา หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ค่อยพอใจนัก ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจซ่อนอยู่  


 


 


แล้วหวงฝู่อวี้ก็พูดออกมาด้วยความทรมาน “พี่ใหญ่ ข้า… …” 


 


 


“นั่งลง!” หวงฝู่อี้เซวียนตะคอกแกมบังคับใส่เขาอีกครั้ง 


 


 


แม้ว่าหวงฝู่อวี้จะไม่ค่อยรู้ตัวแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกนึกคิด ได้ยินดังนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้  


 


 


“หันหลัง” หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหลังให้เขา  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น เดินไปที่หวงฝู่อวี้ แล้วถอดเสื้อชั้นนอกของเขาออก ถกเสื้อขึ้นไปล้อมรอบเอวของเขาเอาไว้ แล้วถึงจะพูดว่า “เสร็จแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมา เดินมาหาทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว เอาชุดเข็มวางบนโต๊ะ เปิดออกแล้วหยิบเข็มเล่มที่ยาวที่สุดออกมาหนึ่งเล่ม แล้วเริ่มฝังเข็มให้กับหวงฝู่อวี้  


 


 


จนกระทั่งตัวของหวงฝู่อวี้มีเข็มฝังรอบจนเหมือนกับตัวเม่น ร่างกายของหวงฝู่อวี้ก็ค่อยๆ สบายขึ้น เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เจ้าเม่น อารมณ์ไม่ดีของเขาก็ค่อยๆ หายไป 


 


 


ฝังเข็มเสร็จ หน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เหงื่อแตก หวงฝู่อี้เซวียนจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าให้นางอย่างเบามือ หลังจากนั้นก็เตะไปที่ขาของหวงฝู่อวี้ แล้วพูดว่า “ถ้าวันหลังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ก็ไปให้ไกลๆ อย่ามาที่เรือนของข้า” 


 


 


มาตอนนี้ ยังดีที่เขาอยู่ที่เรือน ถ้าหากเขาไม่อยู่ล่ะก็ พอนึกภาพเมิ่งเชี่ยนโยวฝังเข็มให้กับเขาสองต่อสองแล้ว หน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดำเมือด แล้วมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกาย  


 


 


หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกได้จนตัวสั่น แล้วรีบพูดว่า “พี่ใหญ่ ไม่แล้วขอรับ ข้าจะไม่โง่โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้อีกแล้วขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ใจเย็นลง แสยะยิ้มออกมา ฝืนมือที่จะตีเขาเอาไว้ แล้วถามว่า “แล้วตอนนี้เจ้าไม่โง่งั้นหรอกรึ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่โต้ตอบ แต่ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจเขา ลากเมิ่งเชี่ยนโยวออกมานั่งที่เก้าอี้  


 


 


“แล้วนางล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม  


 


 


รู้ได้ว่าเขาถามถึงหลินหันเยียน หวงฝู่อวี้ก็เงยหน้าขึ้น แล้วตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ “ชนกำแพงฆ่าตัวตายไปแล้ว” 


 


 


“ไม่ตาย?” เป็นเรื่องที่คาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งความสงสัย 


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ส่ายหน้าฝืนยิ้มออกมาว่า “นางรักตัวกลัวตาย ไม่ได้เป็นอะไรมากขอรับ” 


 


 


“ดูชัดเจนแล้วงั้นรึ” ถามซ้ำ  


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่พูดอะไร สีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความละอายใจมากกว่าเดิม 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขา ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม ไม่เห็นใจเลยสักนิด  


 


 


หวงฝู่อวี้รับไม่ได้กับสายตาเช่นนี้ เลยก้มหน้าลง 


 


 


“คิดจะจัดการอย่างไร” 


 


 


หวงฝู่อวี้ก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “ส่งนางกลับไปที่จวนหลิน นับแต่นี้ต่อไป พวกเราไม่ติดค้างต่อกัน ไม่มีเยื่อใยต่อกันอีก” 


 


 


“คิดดีแล้วงั้นรึ” 


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า สีหน้าเฉยชา ไม่มีความกังวลหรือเสียดาย หรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด 


 


 


“เมื่อใด” 


 


 


“ข้าส่งคนให้ไปตามหมอหลวงเจียงแล้ว หากนางปลอดภัย หลังจากทำแผลเสร็จก็จะส่งนางกลับไปทันที” 


 


 


บทสนทาจบลงในห้องที่เงียบสงัด  


 


 


ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หมอหลวงเจียงก็สะพายกระเป๋ายามาขอเข้าพบ  


 


 


เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อวี้อยู่ด้วยเลยชะงักไป แล้วทำการโค้งคำนับทั้งสามคน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย คุณชายรอง” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย หวงฝู่อวี้มองไปที่เขาด้วยความเฉยชา  


 


 


“นางเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


หมอหลวงเจียงรายงานตามจริง “ตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ว่านางเสียเลือดไปเยอะ จะต้องพักฟื้นสักระยะขอรับ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว มองไปที่หวงฝู่อวี้ 


 


 


หวงฝู่อวี้เม้มปาก แล้วถามต่อ “ท่านหมายความว่า เยียน… … คุณหนูหลินจะมีอาการกำเริบงั้นรึ” 


 


 


ได้ยินสรรพนามที่เปลี่ยนไป หมอหลวงเจียงก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วตอบกลับไปว่า “ครั้งนี้คุณหนูหลินตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวตายจริงๆ ดังนั้น… …” 


 


 


ดังนั้นอะไร เขาไม่พูดต่อ ทั้งสามคนในห้องก็เข้าใจ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกนับถือนาง ที่นางรู้ว่าการเล่นใหญ่ในครั้งนี้ จะทำให้นางไม่มีที่ยืนในจวนอ๋องอีกต่อไป ดังนั้น เลยวางแผนว่าจะตายแต่ไม่ตาย สร้างโอกาสในการให้ตนเองได้อยู่ต่อ อย่างไรเสีย ถ้าหากว่าส่งนางกลับจวนหลินในตอนนี้ ผู้คนทั้งเมืองหลวงก็จะต้องรุมประนามต่อว่าจวนอ๋องแห่งนี้ให้เสียหาย  


 


 


บรรยากาศในห้องเคร่งขรึม หมอหลวงเจียงรู้ว่าตนไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ต่อ จึงพูด “ข้าได้เขียนใบสั่งยาให้คนไปเอายามาแล้ว ขอแค่คุณหนูหลินกินยาตามเวลา พักฟื้นให้ดี ผ่านไปสักระยะก็จะดีขึ้น หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวลากลับสำนักหมอหลวงก่อนขอรับ” 


 


 


“ขอบพระคุณหมอหลวงเจียงขอรับ” หวงฝู่อวี้พูด 


 


 


“คุณชายรองไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” 


 


 


“โจวอัน ส่งหมอหลวงเจียงกลับสำนักหมอหลวง” หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่ง 


 


 


หมอหลวงเจียงรีบโบกมือ บอกว่า “ไม่ต้องๆ ขอบพระคุณซื่อจื่อ ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าขาแข้งแก่ๆ ของตาเฒ่าอย่างข้าแล้วล่ะขอรับ” และแน่นอน ประโยคต่อมาก็ทำได้แค่ก่นด่าในใจ ไม่ได้พูดออกมา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ถอนคำสั่ง โจวอันเดินเข้ามา แล้วทำมือเชิญหมอหลวงเจียงด้วยความนอบน้อม 


 


 


หมอหลวงเจียงก็แอบถอนหายใจเล็กน้อย แสร้งพูดขอบคุณ แล้วเดินตามโจวอันออกไป 


 


 


แล้วห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง 


 


 


เวลาล่วงเลยไป หวงฝู่อวี้ก็พูดขึ้นมาว่า “ให้นางได้อยู่ที่จวนไปสักระยะหนึ่งเถิด รอให้นางหายก่อน ข้าจะให้คนไปส่งนางโดยทันที” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้คัดค้าน  


 


 


คืนนั้น หลินหันเยียนและหงเอ๋อร์ที่แช่น้ำเย็นมาทั้งวันก็ตัวร้อนขึ้นพร้อมกัน สาวใช้ผู้ดูแลในเรือนของหวงฝู่อวี้ตกใจมาก รีบวิ่งไปที่ห้องรับแขกรายงานให้กับหวงฝู่อวี้ 


 


 


ในค่ำคืนที่มืดมิด หวงฝู่อวี้ที่ไม่ยอมหลับยอมนอนได้ฟังดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วสั่งว่า “เอายาที่หมอหลวงเจียงออกให้ในวันนี้ไปต้มให้คุณหนูดื่มเสีย ถ้าหากตัวนางยังร้อนอยู่ เมื่อฟ้าสว่างแล้วให้เฮ่ออีไปตามหมอหลวงเจียงมา ดึกดื่นปานนี้แล้ว อย่าไปรบกวนซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟย” 


 


 


สาวใช้ก็ประหลาดใจ แต่ก็ถอยออกไปแต่โดยดี  


 


 


วุ่นวายกันแทบทั้งคืน อาการของหลินหันเยียนถึงดีขึ้น ส่วนหงเอ๋อร์ เหล่าสาวใช้ก็นำสุราที่มีทั้งหมดไปทาที่ตัวของนาง แล้วห่มผ้าหนาๆ ให้ เพื่อให้เหงื่อออก จากนั้นก็ไม่มีใครไปดูนางอีก 


 


 


หวงฝู่อวี้ตาสว่างตลอดทั้งคืน  


 


 


หลายวันต่อมา หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้กลับเรือนเลย ส่วนข่าวคราวของหลินหันเยียนก็ไม่ได้ถามไถ่ เรื่องที่หลินหันเยียนส่งคนมาบอกกับเขาว่านางขอเข้าพบ เขาก็ไม่ได้ตอบรับ ออกไปทำงานแต่เช้าแล้วกลับดึกแทบทุกวัน  


 


 


เมื่อไม่เจอหวงฝู่อวี้ เลยไร้หนทางที่จะขอการอภัยจากเขา นอกจากหลินหันเยียนจะสิ้นหวังแล้ว ในใจก็โกรธแค้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งวันเวลาก็ผ่านไปทุกวัน ความโกรธแค้นนี้ก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงถึงขั้นที่นางอยากทำลายหวงฝู่อวี้เลยทีเดียว  


 


 


อีกทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้ทราบถึงหูท่านอ๋องฉีและพระชายาฉี ทั้งสองคนก็ยังคงเลี้ยงลูกดูหลาน มีความสุขดี 


 


 


ผ่านไปครึ่งเดือน แผลของหลินหันเยียนใกล้หายแล้ว ร่างกายของหงเอ๋อร์ก็ดีขึ้นตั้งนานแล้ว แต่เพียงแค่กลายเป็นคนเงียบๆ ไม่พูดไม่จาเหมือนแต่ก่อน  


 


 


และหลินหันเยียนในขณะที่กำลังโกรธแค้นและกลัวอยู่นั้น ก็คิดหาวิธีอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงตั้งหน้าตั้งตารอข่าวจากหวงฝู่อวี้ไปวันๆ เท่านั้น  


 


 


หลายวันผ่านไป หวงฝู่อวี้ที่ไม่ได้กลับมาที่เรือนของตนเป็นเวลานานก็กลับมา  


 


 


หลินหันเยียนดีใจเป็นอย่างมาก อยากพุ่งตัวเข้าไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะสายตาที่เย็นชาของหวงฝู่อวี้ นางทำได้แต่กล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกละอายใจ “พี่อวี้เจ้าคะ ข้าขอ… …” 


 


 


หวงฝู่อวี้หยิบกระดาษออกมาจากอกของตนเอง แล้ววางไปที่โต๊ะตรงหน้านาง พูดแทรกนางด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าได้ซื้อบ้านที่หนานเฉิงเอาไว้หลังหนึ่ง จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทั้งข้าวของและบ่าวรับใช้ หากเจ้าไม่ยอมกลับจวนหลินล่ะก็ ข้าจะส่งเจ้าไปที่นั่น” 


 


 


คำพูดของเขา ทำให้หลินหันเยียนรู้สึกตกลงไปในบ่อน้ำแข็งอย่างใดอย่างนั้น ร่างกายเย็นยะเยือก หลายวันมานี้นางได้แต่คิดวิธีขอร้องให้หวงฝู่อวี้ให้อภัยแก่นาง แต่นางยังไม่ทันได้พูดอะไร หวงฝู่อวี้ก็ตัดสินใจไปเสียแล้ว 


 


 


ใจสั่นระรัว ปากสั่นอยากจะพูดออกมา แต่แล้วหวงฝู่อวี้ก็พูดขึ้นมาว่า “นี่เป็นตั๋วเงินสองแสนตำลึง หนึ่งแสนตำลึงเป็นเงินที่หลินจ้งให้ไว้เมื่อตอนที่เจ้าเข้ามาอยู่ที่จวนอ๋องใหม่ๆ ส่วนอีกหนึ่งแสนตำลึงเป็นเงินทั้งหมดที่ข้าหามาได้ในหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว นับแต่นี้ต่อไป พวกเราสองคนขาดกัน ต่อจากนี้ทางใครทางมัน ไร้เยื่อใยต่อกัน” 


 


 


“ไม่!” หลินหันเยียนส่ายหน้า แล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้ เพื่อท่าน ข้ายอมทิ้งทุกอย่างที่ข้ามี ชื่อเสียงของข้าป่นปี้ มาจนถึงขั้นที่หักหลังทรยศมิตรสหายและคนรัก ถ้าหากว่าท่านไม่เอาข้าแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม” 


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อวี้ไร้ซึ่งความรู้สึก พูดว่า “คุณหนูหลิน ขอบคุณ ‘ความรัก’ ที่เจ้ามีต่อข้า แต่ว่าข้ารับไว้ไม่ได้จริงๆ เจ้าจงเลือกเถิด ข้าจะได้จัดคนไปส่งเจ้า” 


 


 


แค่คุณหนูหลินคำเดียว ก็ทำให้ความหวังทั้งหมดของหลินหันเยียนหายไปจนหมดสิ้น หลายปีมานี้ หวงฝู่อวี้เรียกนางแค่เยียนเอ๋อร์เท่านั้น ตอนนี้แม้แต่สรรพนามที่ใช้เรียกก็เปลี่ยนไปแล้ว ก็หมายความว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกนางแล้ว 


 


 


หลินหันเยียนน้ำตาไหลพราก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น ไม่มีความผิดหวังเลยสักนิด “พี่อวี้ ท่านจะตัดสัมพันธ์กับข้าแบบนี้จริงหรือ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่รู้สึกอะไรกับหลินหันเยียนอีกแล้ว นางที่กำลังร้องไห้นั้น ไม่ได้มีผลต่อเขาอีกต่อไป จึงพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “คุณหนูหลิน ต่อจากนี้ขอให้เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายรอง” 


 


 


ตึ่ง ราวกับสมองของหลินหันเยียนมีอะไรกำลังจะระเบิด ระเบิดเสียจนสมองของนางมีแต่เสียงตึ่งๆ ทำให้นางยืนเหม่ออยู่กับที่ ลืมแม้กระทั่งตนเองที่กำลังร้องไห้ ได้แต่เพียงเบิกดวงตาอันแดงก่ำของนาง แล้วมองไปที่หวงฝู่อวี้อย่างไม่เชื่อสายตา  


 


 


หวงฝู่อวี้ก็มองกลับอย่างไม่หลบหลีก ในสายตาที่เฉยชาก็มีความหมายว่าจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด  


 


 


เมื่อหลินหันเยียนได้สติ ขาทั้งสองข้างของนางก็อ่อนลง ล้มลงกับพื้น  


 


 


มือที่อยู่ด้านข้างลำตัวของหวงฝู่อวี้ก็แอบขยับเล็กน้อย แต่ก็รู้ตัวโดยทันที จึงกำหมัดแน่น  


 


 


ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลินหันเยียนก็ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ขยับ สายตามองเหม่อไปที่ใดที่หนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่  


 


 


หวงฝู่อวี้ที่ใกล้จะหมดความอดทนกับนางก็เอ่ยปาก “คุณหนูหลิน คิดได้หรือยังว่าจะกลับจวนหรือว่าจะไปหนานเฉิง” 


 


 


ในที่สุดหลินหันเยียนก็ได้สติ เงยหน้าขึ้นมองไปที่เขา ไม่มีน้ำตาและความอ่อนโยนในดวงตา แล้วถามเขาอีกครั้งว่า “พี่อวี้จะตัดสัมพันธ์กับข้าแบบนี้จริงหรือ” 


 


 


“เจ้ากับข้าก็เปรียบเสมือนแก้วที่แตก แตกไปแล้วก็คือแตกไปแล้ว ต่อยังไงก็ไม่เหมือนเดิม การแยกจากกัน เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับข้าและเจ้า” 


 


 


“ได้!” พูดจบ ก็ยืนขึ้น แล้วเดินไปที่ตรงหน้าหวงฝู่อวี้ “ข้าฟังพี่อวี้มาตลอดอยู่แล้วนิ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าย้ายออกไปก็สิ้นเรื่อง แต่ว่า พี่อวี้จะต้องช่วยข้าก่อนเรื่องหนึ่ง” 

 

 

 


ตอนที่ 381 อวดฉลาด

 

“ว่ามา”  


 


 


“ข้าอยากพบกูกูผู้ดูแลของไทเฮา” 


 


 


หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้วครุ่นคิด เม้มปากไร้คำตอบ  


 


 


“ขอเพียงพี่อวี้ช่วยข้าเรื่องนี้ ข้าจะออกจากจวนอ๋องโดยเร็ว แล้วจะไม่ข้องเกี่ยวกับท่านอีก” หลินหันเยียนเน้นย้ำประโยคสุดท้าย  


 


 


หวงฝู่อวี้มองไปที่นาง กำลังคิดถึงจุดประสงค์ที่นางจะเข้าพบกับผู้ดูแลไทเฮา  


 


 


หลินหันเยียนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใจก็สั่นแล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่นแกมขู่ว่า “ถ้าหากว่าพี่อวี้ไม่ตอบรับข้าล่ะก็ ที่ข้าทำได้ก็มีแต่อยู่ที่นี่ต่อไป ถ้าหากว่าท่านตอบรับข้าล่ะก็ รอให้ข้าได้พบกับกูกูผู้ดูแลก่อน ข้าก็จะออกจากจวนอ๋องทันที” 


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป “ได้ ข้ารับปากเจ้า เจ้าอยู่ที่จวนไปก่อน รอฟังข่าวจากข้า” 


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้า “ขอบพระคุณเจ้าค่ะพี่อวี้” 


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่พูดอะไรมาก หันหลังเดินออกไป 


 


 


หลินหันเยียนมองไปที่เขาแล้วแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์  


 


 


สองวันผ่านไป หวงฝู่อวี้ก็เดินเข้ามาที่จวน แล้วพูดกับหลินหันเยียนว่า “วันนี้กูกูผู้ดูแลไทเฮาจากวังมาพอดี เจ้าแต่งตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปพบนาง” 


 


 


หลินหันเยียนลุกขึ้น แล้วพาหงเอ๋อร์ตามหวงฝู่อวี้มารอที่หน้าประตูวัง 


 


 


ครึ่งชั่วโมงผ่านไป กูกูก็ออกมาจากวัง เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้ยืนรอที่หน้าประตูก็ทำความเคารพ “คุณชายรอง” 


 


 


หวงฝู่อวี้ยังไม่ทันได้พูดอะไร หลินหันเยียนก็ย่อเข่าคำนับกูกู “ขอคาราวะกูกู” 


 


 


กูกูก็เบี่ยงตัวออกแล้วพูดด้วยความร้อนใจว่า “คุณหนูหลิน ท่านทำความเคารพบ่าวเช่นนี้ บ่าวรับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ” 


 


 


หลินหันเยียนลุกขึ้นยืนยิ้มแล้วพูดว่า “กูกูและแม่ของข้าสนิทสนมกลมเกลียวกัน ข้าเป็นผู้น้อย สมควรที่จะทำความเคารพท่านเจ้าค่ะ” 


 


 


กูกูยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วห่างเหิน “ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ท่านก็เป็นถึงภรรยาของคุณชายรอง การทำความเคารพข้านั้น เกินที่ข้าจะรับได้ ถ้าหากว่าไทเฮาทรงรู้เข้า ข้าจะมีโทษเอาได้นะเจ้าคะ” 


 


 


“ขอกูกูอย่าโกรธไปเลย เพราะข้าน้อยคิดไม่รอบคอบ ขอให้กูกูอย่าถือสาเจ้าค่ะ” 


 


 


กูกูโบกมือ แล้วพูดว่า “คุณหนูหลินไม่ต้องเกรงใจ” 


 


 


พูดจบ แล้วมองไปที่หวงฝู่อวี้ “ไม่ทราบว่าคุณชายรองอยากพบข้าด้วยเหตุใดเจ้าคะ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ยังไม่ทันพูดอะไร หลินหันเยียนก็ยิ้มแล้วตอบแทนว่า “ข้าเองที่อยากพบกูกู ตอนนี้ด้วย 


 


 


หน้าที่ของท่านทำให้ท่านต้องอยู่ที่นั่น ข้าไม่มีโอกาสได้พบ เลยขอให้พี่อวี้ช่วยเจ้าค่ะ” 


 


 


กูกูมองไปที่หวงฝู่อวี้ แล้วมองไปที่หลินหันเยียน ก็รู้สึกแปลกๆ แต่พูดออกมาไม่ถูก เลยบอกว่า “คุณหนูหลินอยากพบข้าด้วยเหตุใดหรือ” 


 


 


หลินหันเยียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่หวงฝู่อวี้ ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ข้ามีเรื่องส่วนตัวอยากจะคุยกับกูกู ท่านออกไปก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ก็หรี่ตามองไปที่หลินหันเยียน 


 


 


หลินหันเยียนก็ยังคงยิ้มอยู่  


 


 


หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกผิดทันทีที่พานางมาในวันนี้ แต่เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว จึงเดินไปที่ข้างรถม้า  


 


 


“คุณหนูหลินมีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาเลยเจ้าค่ะ ไทเฮายังรอข้าไปปรนนิบัติอยู่เจ้าค่ะ” กูกูผู้ดูแลพูด 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินหันเยียนก็หายไป แล้วทำทีเศร้าโศก “กูกูเจ้าคะ จวนของพวกเราเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ออกมาไม่ได้ เลยฝากคนส่งจดหมายมาบอกข้า ให้คิดหาวิธีมาพบท่าน เชิญท่านไปพบนางที่จวนให้ได้ ยิ่งเร็วยิ่งดีเจ้าค่ะ” สุดท้ายก็บอกอีกว่า “ถ้าสายไปกว่านี้ เกรงว่าจะไม่ได้เจอท่านแม่ของข้าแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


อย่างไรเสียก็รู้จักกันมาสิบกว่าปี เมื่อกูกูผู้ดูแลได้ยินดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก “ที่จวนเกิดเรื่องอันใด เตี๋ยชิงเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ” 


 


 


หลินหันเยียนพูดจาอ้อนวอน “ท่านก็รู้ ตั้งแต่ที่ท่านพ่อลั่นวาจาว่าข้าแต่งออกไปแล้ว ข้าก็มาอยู่ที่จวนอ๋อง ไม่ได้ยินข่าวคราวจากทางบ้านอีกเลย ถ้าหากว่าท่านแม่ไม่ส่งคนมาส่งจดหมายบอกข้า ข้าก็มิอาจทราบถึงเรื่องของนางได้เลย สถานการณ์โดยรวมเป็นเช่นไร ข้าก็มิทราบ เลยหวังว่ากูกูที่รู้จักท่านแม่ของข้ามาเป็นสิบๆ ปี จะไปที่จวนหลินเสียหน่อย ดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่เจ้าค่ะ” 


 


 


กูกูผู้ดูแลก็พยักหน้าทันควัน “ได้ ข้าจะไปจวนหลินเดี๋ยวนี้” 


 


 


“วันนี้ข้าไม่มีธุระอันใด ข้าจะไปกับกูกูด้วย อย่างไรเสียท่านพ่อก็ยังเห็นแก่หน้าท่าน ไม่ไล่ข้าออกมาจากจวนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” 


 


 


“อย่างนั้นก็ดี ไปกันเถิด” กูกูผู้ดูแลพูดด้วยเสียงร้อนรน  


 


 


ไม่แปลกที่นางจะรีบร้อนขนาดนี้ อย่างไรเสียก็เป็นถึงฮูหยินราชเลขา นางผู้นี้มีนิสัยหยิ่งยโส ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร แต่มาวันนี้กลับให้ลูกสาวออกมาพบตน ดูท่าแล้วคงเกิดเรื่องอะไรที่นางเองก็คงจัดการไม่ได้ 


 


 


“กูกูรอสักครู่ ข้าจะไปบอกพี่อวี้ ให้เขาเอารถม้ามาให้พวกเรายืมใช้ก่อน” 


 


 


กูกูผู้ดูแลพยักหน้า แล้วยืนอยู่ที่เดิม  


 


 


หลินหันเยียนเดินไปพูดกับหวงฝูอวี้ว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ข้ากับกูกูจะไปที่โรงน้ำชาเสียหน่อย มีเรื่องจะพูดคุยกันนิดหน่อย เพราะฉะนั้นรถม้าคันนี้ให้พวกเราใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ก็มองไปที่นางด้วยความสงสัย แล้วเบี่ยงตัวออก 


 


 


หลินหันเยียนหันกลับมายิ้มให้กับกูกูผู้ดูแล  


 


 


กูกูผู้ดูแลก็เดินเข้ามา ขึ้นรถม้าไป หลินหันเยียนก็ขึ้นตามไป แล้วพูดชื่อโรงน้ำชานั้นออกมา 


 


 


กูกูผู้ดูแลเลยประหลาดใจ แต่ก็คิดว่าหลินหันเยียนคงไม่อยากให้หวงฝู่อวี้รู้ว่าที่จวนเกิดเรื่องอันใดขึ้น เลยตั้งใจทำเช่นนี้  


 


 


คนรถฟาดแซ่ลงไป มุ่งหน้าสู่โรงน้ำชา 


 


 


หวงฝู่อวี้มองจ้องไปที่รถม้า จนกระทั่งรถม้านั้นหายไปกับทางที่ไปโรงน้ำชา จึงจะเลิกมอง แล้วสั่งให้เฮ่ออีกลับไปที่จวนเอารถม้ามาอีกคัน ส่วนตนก็เดินไปที่ร้านค้าของจวนอ๋องที่ใกล้ที่สุดอย่างช้าๆ 


 


 


ดูเหมือนรถม้าใกล้จะถึงโรงน้ำชาแล้ว หลินหันเยียนก็สั่ง “ไปจวนหลิน” 


 


 


คนรถก็ชะงักไป แล้วกลับรถมุ่งหน้าสู่จวนหลิน  


 


 


ทั้งสองคนลงจากรถม้า  


 


 


เมื่อเห็นกูกูผู้ดูแลแต่งตัวเต็มยศ นายประตูก็ตกใจเหงื่อไหลเป็นอย่างมาก รีบเข้ามาต้อนรับโดยทันที “คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว” 


 


 


“ท่านแม่อยู่ในจวนหรือไม่” หลินหันเยียนถาม  


 


 


“ฮูหยินอยู่ขอรับ”  


 


 


แล้วทั้งสองคนก็เดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว  


 


 


หน้าผากของนายประตูเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อลมเบาๆ พัดผ่าน ทำให้หน้าผากของเขานั้นเย็นวาบ ในใจเต้นแรง แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วรายงานเรื่องนี้ให้เขาฟัง  


 


 


พ่อบ้านได้ยินดังนั้น หน้าของเขาก็ซีดเซียวโดยทันที มองจ้องไปที่นายประตู ในสมองมีแต่คำว่า ‘จวนหลินจบสิ้นแล้ว’  


 


 


เห็นเขาท่าทางเช่นนี้ นายประตูกลัวยิ่งกว่าเขาเสียอีก แทบจะก้มกราบอ้อนวอนเลยทีเดียว เขาไม่ใช่ไม่ห้าม แต่เขาไม่กล้าห้าม  


 


 


“เร็วเข้า รีบไปตามนายน้อยกลับมาเดี๋ยวนี้” 


 


 


ปากของพ่อบ้านก็สั่น ออกคำสั่งกับนายประตูด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ  


 


 


นายประตูยังไม่ทันได้หายใจ ก็ตอบรับโดยทันที ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกจากจวนไปอย่างรวดเร็วราวกับโดนไล่ฆ่าอย่างใดอย่างนั้น 


 


 


พ่อบ้านรู้สึกขาแข้งอ่อนแรง เดินไม่ไหว เลยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยื่นมือออกมา นวดลงไปที่ขาของตนอย่างแรง กดลงไปจนตนเองรู้สึกเจ็บปวด ขาของตนเองถึงมีแรงกลับมาเดินได้ แล้วรีบเดินไปหาสะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินทันที  


 


 


เมื่อเห็นการแต่งกายของกูกูผู้ดูแล ผู้คนในจวนก็ไม่มีใครกล้าห้าม ทั้งสองคนเลยเดินเข้ามาที่เรือนของฮูหยินหลินได้อย่างง่ายดาย  


 


 


เมื่อเดินเข้าไป หลินหันเยียนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตระหนกและตื่นกลัวว่า “ท่านแม่ ท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


เมื่อฮูหยินหลินที่อยู่ด้านในได้ยินเสียงของนาง ก็นึกดีใจ คิดว่าตนกับหลินฉงเหวินคงได้เห็นเดือนเห็นตะวันกับเขาสักที เลยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามา เปิดม่านประตูออก เห็นสีหน้าอันเศร้าโศกเสียใจของนาง แล้วพูดกับกูกูผู้ดูแลอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ชิงเยียน ในที่สุดเจ้าก็มา” 


 


 


กูกูผู้ดูแลตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าฮูหยินหลินสีหน้าเศร้าโศกโศกา กระดูกสันหลังที่คุดคู้ แถมผมบนหัวยังเป็นสีขาวอีก  


 


 


“ชิงเตี๋ย เจ้าเป็นอะไรไป” กูกูผู้ดูแลเอ่ยปากถามอย่างสะเทือนใจ  


 


 


ฮูหยินหลินก็เดินเข้ามากอดนางเอาไว้ แล้วร้องไห้โฮออกมา ในเสียงร้องไห้มีความเหนื่อยใจ ไม่พอใจ โกรธแค้น และความหวัง ความรู้สึกต่างๆ มารวมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้กูกูผู้ดูแลก็เบ้าตาแดงก่ำ แล้วตบที่หลังของนางเบาๆ ราวกับปลอบใจเด็กอย่างใดอย่างนั้น  


 


 


หลินหันเยียนที่อยู่อีกฟากหนึ่งก็น้ำตาไหลริน แล้วร้องออกมาไม่เป็นภาษา “ท่าน ท่านแม่เจ้าคะ เหตุใดท่าน ท่านถึงกลายเป็นเช่นนี้เจ้าคะ” 


 


 


ฮูหยินหลินร้องไห้อยู่นานกว่าจะหยุด แล้วจึงใช้ชายเสื้อของตนเองเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา แล้วพูดออกมาด้วยความสะอึกสะอื้น “ชิงเยียน สภาพของข้าตอนนี้คงทำให้เจ้าตกใจแย่” 


 


 


กูกูผู้ดูแลส่ายหน้า ทำท่าทีจริงจัง “ชิงเตี๋ย เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดเจ้าถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้” 


 


 


มองไปที่ด้านนอก ฮูหยินหลินก็จับมือของกูกูผู้ดูแล แล้วพูดเบาๆ ว่า “ชิงเยียน เจ้าเข้าไปด้านในกับข้า” 


 


 


กูกูผู้ดูแลก็มองออกไปที่ด้านนอกด้วยเช่นเดียวกัน ด้านนอกเงียบสงัด ไม่มีอะไรเลย ในใจนึกสงสัย แล้วเดินเข้าไปที่ด้านในจวนกับนาง 


 


 


หลินหันเยียนก็รีบตามเข้าไป 


 


 


เมื่อเข้ามาด้านใน กูกูยังไม่ทันหยุดยืน ฮูหยินหลินก็คุกเข่าลง แล้วขอร้องว่า “ชิงเยียน ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้านะ ข้ากับสามีจะไม่รอดแล้ว” 


 


 


กูกูผู้ดูแลก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบเบี่ยงตนเองออก แล้วพูดด้วยความตกใจ “ชิงเตี๋ย เจ้าจะทำอะไรน่ะ มีอะไรก็ลุกขึ้นมาพูดดีๆ ก็ได้” 


 


 


ฮูหยินหลินไม่ขยับ 


 


 


หลินหันเยียนร้องไห้โค้งตัวลง อยากที่จะพยุงฮูหยินหลินขึ้นมา พูดว่า “ท่านแม่ ลุกขึ้นเถิด มีเรื่องอันใดก็รีบพูดให้ข้ากับกูกูรู้แจ้ง พวกเราจะช่วยท่านอย่างแน่นอน” 


 


 


กูกูพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ เจ้าลุกขึ้นมาก่อนค่อยว่ากัน” 


 


 


ฮูหยินหลินดลยลุกขึ้นมา  


 


 


ทั้งสามคนนั่งลง ฮูหยินหลินก็พยายามระงับอารมณ์ ท่ามกลางความประหลาดใจของกูกูผู้ดูแล และแววตาของหลินหันเยียนที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ ฮูหยินหลินก็เล่าเรื่องที่หลินจ้งกุมตัวหลินฉงเหวินให้ฟัง และแน่นอน นางไม่กล้าบอกว่าหลินจ้งได้รับคำสั่งจากหวงฝู่อี้เซวียน มิเช่นนั้นกูกูผู้ดูแลจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน 


 


 


กูกูฟังจบก็ตกใจ เรื่องหลินจ้งกุมตัวหลินฉงเหวินและชิงเตี๋ยนั้น เรื่องนี้นางไม่เคยได้ยินมาก่อน 


 


 


ฮูหยินหลินก็เล่าต่อว่า “เจ้าลูกอกตัญญูทำเรื่องเนรคุณเช่นนี้ ในตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพราะความวู่วามของเขาเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร อย่างไรเสียก็เป็นก้อนเนื้อที่ข้าคลอดมันออกมา เขายังกล้าที่จะทารุณพวกเราอีกงั้นรึ รอให้เขาคิดได้ บางทีก็อาจจะปล่อยพวกเรา แต่ใครจะไปรู้ ตอนนี้เขาเหิมเกริมขึ้นทุกที ตอนแรกยังให้ข้าดูแลอยู่ข้างๆ สามี แต่ตอนนี้กลับแยกพวกเราออกจากกัน แล้วยัง… …” 


 


 


“พี่ใหญ่ทำอะไรท่านพ่อหรือเจ้าคะ” หลินหันเยียนถามอย่างรีบรน  


 


 


“เขาวางยาลงในสำรับของพี่ ทำให้เขามึนงงไม่รู้สึกตัวตลอดเวลา” 


 


 


กูกูโกรธจนทุบโต๊ะ พูดว่า “ช่างบังอาจนัก กล้าทำเรื่องเช่นนี้ ช่างเนรคุณเสียยิ่งกว่าอะไร ไร้ซึ่งสามัญสำนึก ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์” 


 


 


“ดังนั้น ข้าเลยให้เยียนเอ๋อร์ไปบอกเจ้า ให้นางพาเจ้ามาไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ให้มาช่วยข้าและสามีจากอันตรายนี้ทีเถอะ” 


 


 


กูกูผู้ดูแลก็ลุกขึ้นมาบอกว่า “เจ้ารอข้าก่อน ข้าจะกลับวัง ทูลไทเฮา ขอร้องให้ไทเฮาช่วยพวกเจ้า” 


 


 


ฮูหยินหลินก็ร้องไห้ออกมาด้วยความปลาบปลื้ม แล้วกำลังจะคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณ “ขอบคุณชิงเยียน” 


 


 


กูกูผู้ดูแลก็ดึงนางเอาไว้ “เจ้าจะทำอะไร เจ้ากับข้ารู้จักกันมาเป็นสิบปี ข้าไม่ควรที่จะช่วยเจ้าหน่อยเลยงั้นรึ” 


 


 


ฮูหยินหลินและหลินหันเยียนก็ขอบคุณอีกครั้ง 


 


 


ผู้ดูแลก็หันหลัง แล้วออกจากจวนหลินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลินหันเยียนก็ตามอยู่ด้านหลังแล้วสั่งคนรถว่า “หลังจากที่เจ้าไปส่งกูกูกลับวังแล้ว ก็กลับไปที่จวนอ๋องได้เลย ข้าจะอยู่จวนหลินดูแลท่านแม่” 


 


 


คนรถโค้งคำนับตอบรับ แล้วฟาดแซ่เดินรถม้ากลับไปที่วังอย่างรวดเร็ว 


 


 


มองไปที่ทิศทางจวนอ๋อง หลินหันเยียนก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความได้ใจ หวงฝู่อวี้ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ รอให้พ่อข้าได้ตำแหน่งกลับมาเมื่อไหร่ ดูสิว่าเจ้ายังจะกล้าไล่ข้าออกจากจวนอ๋องหรือไม่ 


 


 


นางวางแผนเอาไว้อย่างดิบดี แต่กลับไม่รู้ว่า ผลที่ได้นั้นไม่เป็นดั่งที่นางคิด การกระทำในครั้งนี้ของนาง ไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ของนางกับหวงฝู่อวี้ห่างกันไปมากกว่าเดิม แล้วยังจะพาลทำให้จวนตระกูลหลินแห่งนี้ไม่มีที่ยืนในเมืองหลวงอีกด้วย 


 


 


หลินจ้งรีบขี่ม้ากลับมา เห็นทันก็แต่หลินหันเยียนที่ยืนอยู่หน้าประตู เลยขมวดคิ้ว ลงจากม้า เดินมาหานาง 


 


 


“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนยิ้มเยาะๆ ทักทาย อีกทั้งดวงตาของนางที่แดงก่ำ ทำให้หลินจ้งไม่สบายใจนัก เลยถามด้วยความโกรธว่า “เจ้าพาใครมา” 


 


 


“กูกูผู้ดูแลไทเฮาไงล่ะ ที่เป็นเพื่อนกับท่านแม่คนนั้น” หลินหันเยียนตอบตามตรง 


 


 


“นางล่ะ” หลินจ้งใจไม่ดี ถามนางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม 


 


 


หลินหันเยียนไม่ได้รู้สึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา เลยบอกว่า “ไปแล้ว เพิ่งจะนั่งรถม้าของจวนอ๋องกลับไปเอง” 


 


 


“กูกูรู้เรื่องในบ้านหมดแล้วใช่หรือไม่” หลินจ้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว 


 


 


หลินหันเยียนก็รู้สึกได้ เลยถอยหลังลงไป พยักหน้า “อืม ท่านแม่บอกนางหมดแล้ว” 


 


 


ปั้ก! นางก็ลอยเข้าไปปะทะเข้าไปกับบานประตู เสียงปะทะดังสนั่น แล้วเสียงของหลินจ้งที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้น “นังเด็กโง่ คราวนี้จวนหลินจะได้ล่มสลายด้วยน้ำมือของเจ้าแน่” 

 

 

 


ตอนที่ 382 กุมตัว

 

ร่างกายของหลินหันเยียนตกลงสู่พื้นราวกับผ้าขี้ริ้ว ที่ปากและรูจมูกมีเลือดไหลออกมา เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ” หงเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความตกใจ กำลังวิ่งขึ้นไปพยุงนางขึ้นมา


 


 


“ใครก็ห้ามยุ่งกับนาง มิเช่นนั้นข้าจะขายทิ้งเสีย” หลินจ้งเบิกตาโพลง ดวงตาแดงก่ำ ตวาดออกมา


 


 


หงเอ๋อร์เลยหยุด ไม่กล้าเดินเข้าไป ได้แต่มองหลินหันเยียนด้วยสีหน้าเป็นห่วง


 


 


หลินหันเยียนเจ็บปวดไปทั้งตัวจนต้องกระอักเลือดออกมา เบิกตาโพลงด้วยความไม่เชื่อ มองไปที่หลินจ้งด้วยความทรมาน แล้วถามว่า “พี่ พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านทำอย่างนี้กับข้าได้เยี่ยงไร”


 


 


“เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนี้ท่านพ่อควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้าจึงให้เขากินยาระงับ วันนี้เจ้าไปพากูกูผู้ดูแลมาที่นี่ด้วยตนเอง แม้ว่าท่านพ่อจะได้ปล่อยตัวออกมา เขาก็ไม่สามารถรับราชการได้อีกต่อไป ไม่เพียงเท่านี้ พวกเราตระกูลหลินยังจะโดนโทษข้อหาฉ้อฉลหลอกลวงประมุขอีกด้วย เจ้ารอก่อนเถอะ รอวันที่จวนตระกูลหลินแห่งนี้ได้ล่มสลาย รอให้คุณชายรองของเจ้าตัดขาดกับเจ้าเสียก่อน รอวันที่ผู้คนในเมืองหลวงมาเหยียบย่ำเถิด”


 


 


หลินหันเยียนไอแล้วมีเลือดออกมา ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรๆ ไม่สิ ไม่ พี่ใหญ่ ท่านกำลังหลอกข้าใช่หรือไม่”


 


 


หลินจ้งไม่สนใจนางอีกต่อไป แล้วออกคำสั่ง “เปิดประตูใหญ่ออก รอต้อนรับคนจากราชสำนักมา”


 


 


บ่าวรับใช้ด้านหลังตอบรับ


 


 


หลินหันเยียนยังคงตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อครู่ที่หลินจ้งโกรธแล้วถีบนางนั้น ราวกับใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชีวิตนางอย่างใดอย่างนั้น


 


 


หลินหันเยียนทั้งตกใจทั้งกลัว สุดท้ายทนไม่ไหวเลยสลบล้มลงนอนลงไปกับพื้น


 


 


หลินจ้งรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เลยก้มไปดูเห็นนางสลบไป จึงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พาคุณหนูกลับจวนไป นับแต่นี้ต่อไป พวกเราตระกูลหลินและนางตัดขาดซึ่งกันและกัน”


 


 


บ่าวรับใช้ตอบรับ กำลังจะไปที่จวนเพื่อตามรถม้ากลับมา


 


 


หงเอ๋อร์พูดเสียงตะกุกตะกัก “นาย นายท่านเจ้าคะ คุณหนู เกรงว่าคุณหนูจะกลับไปไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”


 


 


หลินจ้งขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองนาง แล้วพูดด้วยเสียงดุดันว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ”


 


 


หงเอ๋อร์ตกใจจนคุกเข่า ฟุบ ลงไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณ คุณหนูทำเรื่องที่คุณชายรองรับไม่ได้ เมื่อหลายวันก่อนคุณชายรองจะไล่คุณหนูออกจากจวนอยู่แล้วค่ะ วันนี้เป็นเพราะคุณหนูหลอกให้คุณชายรองช่วยให้ได้พบกูกูผู้ดูแล ดังนั้น…”


 


 


หลินจ้งมองไปที่นาง แล้วมองไปที่หลินหันเยียนที่นอนกองอยู่ที่พื้น โกรธจนหัวเราะออกมาว่า “ดี ดีมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราทั้งครอบครัวก็รอการลงโทษจากฮ่องเต้ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเถิด”


 


 


พูดจบ ก็เดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว


 


 


หงเอ๋อร์โล่งอก คลานเข้าไปอยากจะพยุงหลินหันเยียนขึ้นมา


 


 


แล้วเสียงอันเย็นชาของหลินจ้งก็ดังขึ้น “ไม่ได้ยินที่ข้าสั่งงั้นรึ”


 


 


หงเอ๋อร์รีบเก็บมือของตนเข้ามาโดยทันที


 


 


“ให้นางอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าตาย ก็สมควร ถ้ารอด ก็ให้นางลุกขึ้นมาเอง ถ้าหากใครยังจะยุ่งกับนางอีก ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ” หลินจ้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ดุดัน รังสีแห่งความเป็นแม่ทัพของเขานั้นพุ่งออกมา


 


 


หงเอ๋อร์ใจสั่น รีบคลานออกไปโดยทันที อยู่ห่างจากหลินหันเยียน แต่ก็ยังคุกเข่าอยู่กับพื้น เฝ้านางด้วยสีหน้าเป็นห่วง


 


 


คนรถได้ส่งกูกูผู้ดูแลกลับวังไป เห็นว่านางลงจากรถม้าด้วยความกลัดกลุ้ม แล้วซอยเท้าเดินเข้าไปด้านในวังอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ จึงรีบควบม้ากลับไปที่จวนอ๋อง อยากเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไปรายงานให้กับหวงฝู่อวี้


 


 


แต่หวงฝู่อวี้ไปตรวจตราร้านค้าไม่ได้กลับมา


 


 


คนรถเลยไม่รู้จะทำเช่นไรดี ได้แต่เดินไปเดินมาด้วยความรีบร้อน


 


 


กูกูผู้ดูแลกลับมา ก็รีบร้อนเดินเข้าไปที่ตำหนักของไทเฮา หยุดฝีเท้า จัดเครื่องแต่งกายของตนให้เรียบร้อย ตรวจสอบดูว่ามีตรงไหนไม่เรียบร้อยหรือไม่ พร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำหน้าทำตาให้ดี แล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ


 


 


ไทเฮาที่กำลังนั่งพักสายตาอยู่ที่เบาะนั่ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็ลืมตาขึ้น แล้วถามว่า “ชิงเยียนกลับมาแล้วงั้นรึ”


 


 


นางกำนัลผู้ติดตามตอบรับ “ทูลไทเฮา กูกูผู้ดูแลกลับมาแล้วเพคะ”


 


 


“ให้นางเข้ามา” เมื่อครู่กูกูผู้ดูแลได้ขอตัวลา รายงานว่าหวงฝู่อวี้มีเรื่องจะพบนาง บอกว่าประมาณหนึ่งก้านธูปก็จะกลับ แต่ตอนนี้ผ่านไปสองชั่วยามแล้วถึงกลับมา ไทเฮากลุ้มใจเป็นอย่างมาก ว่าเหตุใดถึงได้ถึงกลับมาเอาแต่ป่านนี้


 


 


“เพคะ” นางกำนัลตอบรับ แล้วเดินออกไปเรียกกูกูผู้ดูแลเข้ามา


 


 


เมื่อกูกูผู้ดูแลเข้ามา รีบขอประทานอภัยโทษ “ขออภัยไทเฮาเพคะ ที่บ่าวกลับมาช้า”


 


 


ไทเฮาโบกมือ “ไม่เป็นไร”


 


 


กูกูผู้ดูแลยืนขึ้น


 


 


“วันนี้อวี้เอ๋อร์มีเรื่องอันใดงั้นรึ” ไทเฮาทรงตรัสถาม


 


 


กูกูผู้ดูแลไม่ได้ตอบโดยทันที แล้วกลับขอร้องว่า “ไทเฮาเพคะ ให้ทุกคนออกไปก่อนได้หรือไม่ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ไม่สามารถแพร่งพรายได้เพคะ”


 


 


เมื่อได้ยินนางพูดดังนี้ ไทเฮามีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที นั่งหลังตรงโบกมือบอกให้ทุกคนออกไป “ออกไปให้ไกลๆ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด”


 


 


คนทั้งหมดในตำหนักก็ตอบรับ แล้วออกไปทั้งหมด


 


 


“ว่ามาเถอะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


กูกูผู้ดูแลนำคำพูดที่ฮูหยินหลินเล่าบอกกับไทเฮาโดยไม่ตกหล่นเลยสักนิด


 


 


ไทเฮาตกใจจนลุกขึ้น “มีเรื่องแบบนี้ด้วยงั้นรึ เจ้าหลินจ้งเหตุใดจึงบังอาจได้ถึงเพียงนี้”


 


 


นี่ก็เป็นเรื่องที่กูกูผู้ดูแลคิดมาตลอดทางเช่นกัน ตามหลักแล้ว แม้หลินฉงเหวินจะโดนลดตำแหน่งลงสามขั้น แต่ก็ยังมีตำแหน่งที่ใหญ่กว่าหลินจ้ง อีกอย่าง หลายปีมานี้หลินฉงเหวินดูแลกรมทหารได้ไม่เลว ที่ฮ่องเต้ลงโทษเขาก็เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับขุนนางคนอื่นๆ ไม่แน่ว่าผ่านไปสักสามหรือห้าเดือน อาจจะหาโอกาสคืนตำแหน่งให้กับเขาก็ได้ แล้วเหตุใดหลินจ้งถึงได้กุมตัวหลินฉงเหวินล่ะ


 


 


แต่ว่า ในเมื่อตอนนี้ได้ทูลถวายไทเฮาแล้ว กูกูผู้ดูแลก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ส่ายหน้าแล้วจึงบอกว่า “ตอนที่หม่อมฉันไปจวนหลิน ไม่ได้พบหลินจ้ง เลยไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไรบ้าง แต่ว่าเรื่องที่เขากุมตัวหลินฉงเหวินและฮูหยินหลินนั้นเป็นเรื่องจริงเพคะ”


 


 


“เช่นนี้เองรึ ในเมืองหลวงแห่งนี้ ภายใต้การปกครองขององค์ฮ่องเต้ ได้เกิดเรื่องเลวทรามต่ำช้าแบบนี้ขึ้น ถ้าหากว่าไม่ลงโทษให้หลาบจำ แล้วแพร่งพรายออกไป เกรงว่าราชนิกุลอย่างพวกเราคงต้องขายหน้าเป็นแน่”


 


 


กูกูผู้ดูแลไม่ได้พูดอะไร


 


 


“ผู้ดูแล!” ไทเฮาออกคำสั่งไปด้านนอก


 


 


ขันทีผู้ดูแลตอบรับแล้วเดินเข้ามา “เจ้าไปทูลรายงานฮ่องเต้ บอกให้เขามาเสวยพระกายาหารที่ตำหนักนี้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ไทเฮา”


 


 


หลังจากที่ขันทีผู้ดูแลตอบรับ รีบรุดมาที่ห้องทรงพระอักษร แล้วนำคำพูดของไทเฮาบอกกับหัวหน้าผู้ดูแล


 


 


หัวหน้าขันทีพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปด้านใน โค้งคำนับแล้วถวายรายงานกับฮ่องเต้อย่างเบาๆ


 


 


ไม่ได้ไปเสวยพระกายาหารที่ตำหนักของไทเฮานานแล้ว ฮ่องเต้จึงตอบรับ


 


 


ไทเฮาได้ยินดังนั้น จึงออกคำสั่ง ให้เตรียมสำรับที่ฮ่องเต้ทรงโปรด


 


 


ทางนี้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว รอฮ่องเต้เสด็จ


 


 


 


 


จวนอ๋องทางนั้น หวงฝู่อวี้ไม่ได้กลับมาทานข้าวที่จวน คนรถก็ยิ่งร้อนใจ ในขณะที่ไม่รู้จะทำเช่นไร เลยขับรถม้าไปตามหาตามร้าน หวังว่าจะหาเขาเจอ


 


 


ขณะที่หลินจ้งกำลังโกรธ เลยไปที่เรือนของฮูหยินหลิน


 


 


เมื่อเข้าไป เห็นฮูหยินหลินมองมาที่เขาด้วยสายตาได้ใจและร้ายกาจ


 


 


หลินจ้งเดินเข้าไป โค้งคำนับ “ท่านแม่”


 


 


“อย่าเรียกข้าว่าแม่ ข้าไม่มีลูกเยี่ยงเจ้า” ฮูหยินหลินยืดอก กัดฟันพูด


 


 


หลินจ้งยืนตรง เงยหน้าขึ้น แล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “ท่านแม่ วันนี้ลูกเกรงว่าจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้มาเยี่ยมท่าน ต่อจากนี้ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด ก็ขอให้ท่านดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี ดูแลท่านพ่อให้ดีด้วยขอรับ”


 


 


ฮูหยินหลินชะงักไป


 


 


แล้วหลินจ้งก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


“จ้ง……” ฮูหยินหลินพูดยังไม่ทันจบ หลินจ้งก็เดินออกไปด้านนอกเสียแล้ว


 


 


ฮูหยินหลินชะงักยืนอยู่กับที่ ในใจมีความกระวนกระวายพิลึก


 


 


สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินหน้าซีดเผือด รออยู่ที่เรือนของตนด้วยกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นหลินจ้งเดินเข้ามา ก็รีบออกไปหาทันที “ท่านพี่… …”


 


 


ช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วงเสียเหลือเกิน ภรรยาของเขาผอมซูบลงไปมาก หลินจ้งก็รู้สึกผิดมิใช่น้อย ยื่นมือออกมา ลูบลงไปที่หัวของนาง แล้วบอกว่า “หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า เจ้าไม่ต้องอยู่ที่นี่เพื่อรองรับอารมณ์ท่านแม่หรอก พาหลินเอ๋อร์กลับไปที่บ้านแม่ยาย ข้าจะสั่งให้พ่อบ้านเก็บเงินเอาไว้ให้พวกเจ้าสองแม่ลูก พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลกับครึ่งชีวิตที่เหลือ”


 


 


ภรรยาหลินจ้งน้ำตาไหลนองหน้า ส่ายหน้า “ไม่ ท่านพี่ ท่านจะต้องไม่เป็นอะไร”


 


 


หลินจ้งถอนหายใจออกมา บอกว่า “ข้าภูมิใจในตัวท่านพ่อมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพราะเขาต่อสู้มาตั้งแต่ตัวเปล่า จนกระทั่งได้ตำแหน่งราชเลขากรมทหาร แต่ข้านั้นไร้ความสามารถ ข้าเคยคิดอาศัยบารมีของท่านพ่อ มีชีวิตที่ดีไปตลอด แต่ชะตาฟ้าหรือจะสู้มนุษย์ลิขิต ท่านพ่อ ท่านแม่ เห็นแก่ตัวเกินไป เลยทำตนเองตกต่ำจนถึงเพียงนี้ ข้าไร้ความสามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ ตอนนี้ก็ทำได้แต่เพียงมองตระกูลหลินล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาของข้าเอง”


 


 


“ท่านพี่ พวกเราสามารถไปขอร้องซื่อจื่อได้ เขาจะต้องช่วยพวกเราอย่างแน่นอน” สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินพูดไปสะอื้นไป


 


 


หลินจ้งส่ายหน้า “แม้ว่าจะขอร้องซื่อจื่อให้ช่วยได้ก็เถอะ ท่านพ่อ ท่านแม่และน้องเล็กต่างก็อยากจะทำลายตระกูลหลิน มีเพียงเจ้ากับข้าสองคนมันเหนื่อยเกินไป คิดเสียว่าครั้งนี้พวกเราทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริงเถอะ นับแต่นี้เป็นต้นไป ในเมืองหลวงจะไม่มีจวนหลินอีก และข้าก็จะหายไปต่อหน้าพวกเขาด้วย”


 


 


สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินร้องไห้โฮออกมาด้วยความเจ็บปวด


 


 


หลินจ้งกลับนิ่งสงบ แล้วตบลงไปที่บ่าของนางเบาๆ “หลายวันที่ผ่านมา ข้าเหนื่อยมามากแล้ว แบบนี้น่ะดีแล้ว ไม่ว่าฮ่องเต้จะลงโทษเช่นไร ข้าก็ไม่ต้องมีชีวิตที่เป็นลูกอกตัญญูดังที่ผ่านมาอีกแล้ว”


 


 


สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินก็ร้องไห้ออกมาอีก


 


 


 


 


ในพระราชวัง หลังจากฮ่องเต้เสวยพระกายาหารกับไทเฮาเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนไปนั่งที่ตำหนักของไทเฮา แล้วพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในวัง แล้วไทเฮาก็บอกเรื่องจวนหลินให้กับฮ่องเต้ได้รับทราบ


 


 


หลังจากที่ฮ่องเต้ฟังแล้วแปลกใจ แต่ไม่ได้มีทีท่าแตกตื่นดังเช่นไทเฮา ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เสด็จแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือขอรับ”


 


 


“จริงแท้แน่นอน วันนี้หลี่ชิงเยียนไปสืบเรื่องนี้ที่จวนหลินด้วยตนเอง” พูดจบ ก็เรียกกูกูผู้ดูแลให้เข้ามาตอบ


 


 


กูกูผู้ดูแลก็นำเรื่องราวของวันนี้มากราบทูลแด่ฮ่องเต้โดยไม่ตกหล่นเลยสักนิด


 


 


ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วออกคำสั่ง “สั่งการราชองครักษ์ ให้ไปล้อมจวนหลินเอาไว้ ช่วยหลินฉงเหวินออกมา แล้วจับกุมตัวหลินจ้ง”


 


 


หัวหน้าขันทีตอบรับแล้วออกไป


 


 


ราชองครักษ์ได้ล้อมรอบจวนหลินเอาไว้หมดแล้ว หลังจากที่กุมตัวหลินจ้งที่ไม่มีการตอบโต้ใดๆ ออกไปแล้ว หลินหันเยียนที่นอนกองอยู่ที่ตรงหน้าประตูก็ฟื้นขึ้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าก็อ้ำอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก แล้วนอนกองลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ได้แต่มองหลินจ้งถูกราชองครักษ์กุมตัวออกไป ถึงมีสติ ว่าตนเองนั้นทำเรื่องโง่เขลาลงไป แล้วตะโกนเรียก “พี่ใหญ่เจ้าคะ” แล้วก็สลบลงไปอีกครั้ง


 


 


ฮ่องเต้เพียงสั่งให้กุมตัวหลินจ้งเอาไว้ ไม่ได้ให้ทำการอื่นใด ดังนั้นราชองครักษ์จึงมองข้ามนางไป ไม่ได้สนใจนาง


 


 


หงเอ๋อร์อยากพยุงนางขึ้นมา แต่นางก็ตกใจจนตัวสั่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขนาดแรงที่คลานเข้ามายังไม่มี ก็เลยได้แต่มองหลินหันเยียนล้มฟุบลงไปอีกครั้ง


 


 


ราชองครักษ์ก็เข้าไปหาหลินฉงเหวินที่กำลังนอนหลับจากที่กินยาระงับเข้าไป แล้วพยุงร่างของเขาออกมา


 


 


ฮูหยินหลินยังไม่รู้ว่าหลินจ้งโดนกุมตัวไปแล้ว เลยได้แต่ขอร้องราชองครักษ์อยู่ทางด้านหลังว่า “นายท่านของพวกเราร่างกายไม่ค่อยดีนัก พวกท่านเบามือหน่อยเถิด”


 


 


ราชองครักษ์ก็ไม่ฟังแต่อย่างใด


 


 


ฮูหยินหลินปวดใจยิ่งนัก อยากห้าม แต่ก็โดนราชองครักษ์ชักดาบออกมาหยุดไว้


 


 


ฮูหยินหลินมองหลินฉงเหวินที่โดนพาตัวไปต่อหน้าต่อตา ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี นี่ไม่เหมือนกับที่ตนคิดเอาไว้เลย ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้จะเชิญท่านพี่เข้าวังอย่างเกรงอกเกรงใจอย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดถึงได้ถูกหามไปราวกับจะนำไปประหารอย่างใดอย่างนั้น


 


 


ถึงตอนนี้ คนรถก็หาตัวหวงฝู่อวี้เจอ แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง


 


 


หวงฝู่อวี้ถึงได้ตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วหลินหันเยียนกำลังหลอกใช้ตน ความรู้สึกที่มีต่อนางได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้วจริงๆ


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่กล้ารอช้า ออกคำสั่งกับเฮ่ออี “เจ้ากลับจวนไปเดี๋ยวนี้ บอกกับพี่ใหญ่เรื่องจวนหลิน เดี๋ยวข้าจะตามกลับไป”


 


 


เฮ่ออีตอบรับ แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


แล้วหวงฝู่อวี้ก็ตามหลังกลับมาที่จวนอ๋องอย่างติดๆ


 


 


หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนฟังรายงานของเฮ่ออีแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ร่างกายมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาโดยรอบ บรรยากาศรอบข้างก็เต็มไปด้วยความกดดัน


 


 


เฮ่ออีรู้สึกได้ถึงความกดดันนั้น เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก ไม่กล้าขยับทำอะไรทั้งสิ้น


 


 


ทันใดนั้น รังสีอำมหิตนั้นก็หายไป หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มออกมาแล้วถามว่า “แล้วเจ้านายของเจ้าล่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 383 เอาคืน

 

เฮ่ออีตกใจจนตัวแข็งทื่อ ปากสั่น ตอบกลับไปว่า “คุณ คุณชายรองจะตามกลับมาทีหลังขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะออกมาดังกว่าเดิม “งั้นรึ”


 


 


เฮ่ออีก็พยักหน้าแทบไม่ทัน “ขอรับ คุณชายรองสั่งเช่นนี้ขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไปรอต้อนรับเขาที่หน้าประตูดีกว่า”


 


 


เฮ่ออีเหงื่อไหลตอบกลับว่า “ซื่อ ซื่อจื่อขอรับ คุณชายรองเขา……”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ชายตามองไปที่เขา แล้วพูดเสียงลากยาว “หืม……?”


 


 


เฮ่ออีตกใจจนแทบทรุด แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ประเดี๋ยวคุณชายรองก็มาถึงที่ประตูขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็หันกลับไป


 


 


เฮ่ออีก็รู้สึกแคลงใจในตนเอง เป็นองครักษ์เงามาแต่ไหนแต่ไร โดนอบรบมาตั้งแต่เด็กว่าให้ซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย ถึงแม้ว่าหลังจากที่ไปลอบฆ่าซื่อจื่อเฟยแล้วโดนขังคุกเมื่อปีนั้น เขาจากที่เป็นองครักษ์เงาก็กลายเป็นองครักษ์ธรรมดา แต่ว่าความห้าวหาญของตนนั้นไม่ควรจะเปลี่ยนไป แล้วเหตุใดวันนี้เพียงได้ยินคำพูดของซื่อจื่อแค่คำเดียว ก็กลัวจนขายเจ้านายของตนเสียแล้วล่ะ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยความอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก “โยวเอ๋อร์ เจ้าชอบกินแบบค่อยๆ นึ่งหรือว่าค่อยๆ ตุ๋นกันล่ะ”


 


 


เฮ่ออีได้ยินดังนั้นก็เกาหัวเบาๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้ถึงความหมาย จึงยิ้มแล้วส่ายหัวว่า “สมองของเขานั้นกลวงนัก เกรงว่าจะไม่อร่อยนะเจ้าคะ”


 


 


เฮ่ออีก็เบิกตาโพลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินออกไปด้านนอก


 


 


เฮ่ออีที่ขาแข้งอ่อนแรงก็เดินตามอยู่ด้านหลัง


 


 


ทั้งสามคนมาถึงประตู หวงฝู่อวี้ก็ลงมาจากรถม้าพอดี เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ที่ประตู ก็รีบเดินเข้ามาทันที แล้วพูดอย่างร้อนรนว่า “พี่ใหญ่ เกิดเรื่องที่จวนหลิน หลิน… …”


 


 


เขายังพูดไม่ทันจบ เฮ่ออีก็ปิดตา ยื่นมือทั้งสองข้างออกมา กอดเข้าไปที่หวงฝู่อี้เซวียนจากทางด้านหลัง แล้วตะโกนบอกหวงฝู่อวี้ว่า “คุณชายรอง รีบหนีเร็วเข้าขอรับ ซื่อจื่ออยากจะกินสมองของท่าน”


 


 


โจวอันชะงักไป


 


 


หวงฝู่อวี้ก็อึ้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็โกรธ แล้วหัวเราะออกมา “ปล่อย”


 


 


เฮ่ออีไม่กล้าปล่อย แล้วตะโกนใส่หวงฝู่อวี้ที่ยังอ้ำอึ้งอยู่ว่า “คุณชายรอง รีบหนีไปสิ ที่ซื่อจื่อมารอก็เพื่อจัดการท่านน่ะขอรับ”


 


 


หวงฝู่อวี้ได้สติ เข้าใจในความหมายที่เขาพูด แต่ก็ร้อนรนทำอะไรไม่ถูก เลยเดินเข้าไปด้านใน


 


 


เฮ่ออีก็ร้องออกมาว่า “คุณชายรอง ไม่ใช่ขอรับ ท่านควรหนีออกไปสิ รอให้ซื่อจื่อหายโกรธก่อนแล้วค่อยกลับมาะเถอะขอรับ”


 


 


“โจวอัน!” หวงฝู่อี้เซวียนเรียก


 


 


โจวอันถึงได้สติ ก้าวเท้าออกมานำตัวเฮ่ออีออก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เฮ่ออี แล้วเดินเข้าไปที่ด้านใน


 


 


เมื่อเห็นสายตาเช่นนั้น เฮ่ออีก็รู้ตัวดีว่าจะพบจุดจบที่น่าอนาถอย่างแน่นอน ขาแข้งอ่อนแรงล้มลงกับพื้น


 


 


โจวอันชายตามองเขาเล็กน้อย แล้วจึงเดินตามหวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปด้านใน


 


 


เฮ่ออีกัดฟันแล้วลุกขึ้น เดินตามเข้าไป อย่างไรเสียก็มาขนาดนี้แล้ว จะโดนซื่อจื่อทำโทษทั้งที ก็ขอให้ได้รักษาชีวิตเจ้านายไว้ได้ก่อนแล้วกัน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้รีบร้อน เดินตามทางที่หวงฝู่อวี้วิ่งหนีไปอย่างช้าๆ จวนอ๋องก็มีแค่นี้ ดูสิว่าเขาจะวิ่งไปได้แค่ไหนกันเชียว


 


 


หวงฝู่อวี้ก็รู้ตัวดีว่าตนนั้นทำเกินไป แต่ก็ลนลานจริงๆ เลยวิ่งมาตะโกนเรียกที่เรือนของพระชายาฉี “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ขอรับ ช่วยด้วยขอรับ”


 


 


ถ้าหากเป็นวันธรรมดา หวงฝู่อวี้มาขอความช่วยเหลือที่นี่นั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดายที่วันนี้ดวงซวยจริงๆ เป็นเพราะเด็กน้อยทั้งสองคนกินอิ่มแล้วเพิ่งหลับไป เมื่อหวงฝู่อวี้มาตะโกนเรียก เลยทำให้เด็กน้อยทั้งสองตกใจสะดุ้งโหยง ลืมตาขึ้น แล้วเปิดปากร้อง อุแว้ๆๆ ออกมา


 


 


ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีก็เจ็บใจ อย่าว่าแต่ร้องไห้เสียงดังแบบนี้เลย ในวันปกติทั้งสองคนก็ไม่เคยอยากให้เด็กน้อยทั้งสองร้องไห้ออกมาสักแอะหนึ่ง


 


 


พระชายาฉีเลยโน้มตัวลงไปอุ้มเด็กขึ้นมาหนึ่งคน


 


 


แต่ท่านอ๋องฉีกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับหันหลังไป หยิบท่อนไม้ที่หน้าประตูที่เอาไว้ใช้สำหรับตีหวงฝู่อี้เซวียนที่คอยจะมาขโมยเด็กไป แล้วเดินควงไม้ออกมา ด่าว่า “เด็กเปรต บังอาจมาทำให้หลานรักของข้าตกใจ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่คิดว่าจะมาเจอสถานการณ์เช่นนี้ จึงชะงักไป ภาพที่หวงฝู่อี้เซวียนโดนไล่ตีจนวิ่งไปทั่วเรือนก็ลอยเข้ามา เลยขนลุกขึ้นโดยทันที หันหลังวิ่งออกไป วิ่งไปตะโกนไปว่า “พี่ใหญ่ขอรับ ช่วยด้วยขอรับ”


 


 


ดังนั้น ทั้งสามคนที่ยังเดินไม่ทันถึงเรือนของพระชายาฉีก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก แล้วก็เห็นหวงฝู่อวี้วิ่งกุมขมับหนีออกมาจากเรือน


 


 


แล้วหลังจากนั้น ก็เห็นอีกคนหนึ่งวิ่งออกมา ความเร็วพอๆ กับหวงฝู่อวี้ แล้วควงไม้ในมือไปมาจนเกิดเสียง แล้วตะโกนเรียกออกมาอย่างดุดันว่า “เด็กเปรต หยุดเดี๋ยวนี้นะ”


 


 


หวงฝู่อวี้คนหน้าโง่ก็วิ่งไปพูดไปว่า “พี่ใหญ่ยังไม่หยุด แล้วเหตุใดข้าถึงต้องหยุดด้วยเล่า”


 


 


เฮ่ออีก็เกิดลนลานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง


 


 


แต่โจวอันกลับทำตัวปกติ มองภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร


 


 


หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมองภาพตรงหน้าแล้ว ก็เดินเข้าไปที่ห้องของพระชายาฉี แล้วเข้าไปอุ้มเด็กน้อยที่หยุดร้องไห้แล้วอีกคนหนึ่งขึ้นมาอย่างชำนาญ พร้อมกับจูบลงไปที่หน้าผากของเขา มองดวงตากลมโตของนางที่มีความละม้ายคล้ายตน แล้วถามว่า “เมิ่งเอ๋อร์ อยากออกไปสนุกหรือไม่”


 


 


เหมือนเด็กน้อยจะฟังที่เขาพูดออก จึงถีบเท้า หมายความว่าเห็นด้วย


 


 


“เสด็จแม่ขอรับ ข้าอุ้มออกไปนะขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


 


 


พระชายาฉีก็ยิ้มๆ แล้วส่ายหน้า “เจ้าก็ เดี๋ยวก็ได้โดนเสด็จพ่อของเจ้าไล่ฆ่าเสียหรอก”


 


 


“ไม่หรอกขอรับ ตอนนี้เขากำลังไล่ตามอวี้เอ๋อร์อยู่อย่างเมามัน ไม่มีเวลามาสนใจหรอกขอรับ”


 


 


พระชายาฉีก็หัวเราะออกมา ตั้งแต่เด็กสองคนนี้ครบหนึ่งร้อยวันก็สามารถอุ้มออกไปได้ พ่อลูกสองคนนี้ก็คอยแต่จะมาแย่งกันพาเด็กๆ ออกไปจนเป็นเรื่องเป็นราว เลยทำให้บรรยากาศของจวนแห่งนี้ดีขึ้นมามาก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเด็กออกมานอกเรือน เห็นเงาของสองคนนั้นที่กำลังไล่ล่ากันอยู่ ก็อุ้มเด็กไว้แน่น แล้ววิ่งตามไป


 


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กน้อยโดนอุ้มแล้ววิ่ง เลยรู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก เอาแต่หัวเราะอยู่ในอ้อมอกของหวงฝู่อี้เซวียน โบกมือไปมาอย่างมีความสุข


 


 


ไม่ง่ายเลยที่วันนี้จะสามารถอุ้มลูกได้อย่างสบายใจ ไม่โดนท่านอ๋องฉีไล่ตาม หวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก จึงเร่งความเร็วขึ้นอีก


 


 


แล้วเรื่องก็เป็นเช่นนี้ บ่าวรับใช้ในจวนอ๋องเมื่อเห็นภาพที่แปลกประหลาดเช่นนี้ หวงฝู่อวี้อยู่ข้างหน้า กุมขมับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ท่านอ๋องฉีอยู่ตรงกลาง ถือท่อนไม้ควงไปมา ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนอุ้มลูกตามอยู่ด้านหลัง เด็กในอ้อมอกก็เอาแต่หัวเราะเพราะมีความสุข


 


 


ทุกคนก็อึ้ง แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น เจ้านายเช่นนี้สิถึงจะน่าประทับใจ


 


 


จะมีก็แต่เฮ่ออีที่มองภาพหวงฝู่อวี้วิ่งหลบท่อนไม้ของท่านอ๋องฉีอย่างซื่อบื้อทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ลุ้นตอนที่ท่อนไม้ในมือของท่านอ๋องฉีจะฟาดลงบนตัวของหวงฝู่อวี้ ก็จะร้องเรียกออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า “คุณชายรองขอรับ รีบวิ่งสิขอรับ ท่อนไม้ของท่านอ๋องฉีจะตามท่านทันแล้ว”


 


 


ทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้ ขนาดพระชายาฉีได้ยินเสียงนั้นยังอุ้มเด็กน้อยอีกหนึ่งคนออกมาดูอะไรน่าสนุกเลย


 


 


ท่านอ๋องฉีตามอยู่หลายรอบ แต่ก็ตามหวงฝู่อวี้ไม่ทัน ท่านอ๋องฉีจึงหยุดพักหายใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้ามา แล้วส่งเด็กน้อยให้กับเขา บอกว่า “เสด็จพ่อขอรับ อุ้มไว้ให้ดีนะขอรับ ข้าจะจัดการเขาแทนท่านเอง”


 


 


“ดี ตีให้หนักๆ ตีจนเขาต้องร้องขอชีวิต”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แอบยิ้มแล้วถือท่อนไม้ตามไป


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ร้องออกมา หันหลังกลับมาแล้ววิ่งเร็วมากขึ้นกว่าเดิม แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ขอรับ ไม่เล่นแบบนี้สิขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แล้วท่อนไม้ในมือก็ได้ตกลงไปที่ตัวของหวงฝู่อวี้


 


 


หวงฝู่อวี้ร้องออกมาเสียงดัง ขนาดคนด้านนอกที่เดินผ่านยังได้ยิน


 


 


พระชายาฉีก็สงสาร จึงตะโกนบอกทั้งสองคนว่า “เซวียนเอ๋อร์ พอได้แล้ว อวี้เอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว”


 


 


ในที่สุดก็มีคนสงสารตนแล้ว หวงฝู่อวี้หันตัววิ่งไปหลบที่หลังของพระชายาฉี


 


 


การแกล้งเขาในครั้งนี้ ความกลัดกลุ้มภายในใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้ระบายออกมาไม่น้อย กระนั้นจึงหยุดแล้วเดินกลับมาอย่างช้าๆ


 


 


“อวี้เอ๋อร์ทำอะไรงั้นรึ ถึงได้ทำให้เจ้าโมโหได้ขนาดนี้” พระชายาฉีนั้นเข้าใจลูกของตนเป็นอย่างดี เห็นสีหน้าของเขาที่ยังไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก็รู้ทันทีว่าหวงฝู่อวี้จะต้องทำอะไรผิดเป็นแน่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่หวงฝู่อวี้


 


 


หวงฝู่อวี้ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ


 


 


ท่านอ๋องฉีก็พอจะรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ปกติ จึงพูดว่า “ไปพูดในเรือนเถิด” พูดจบ ก็อุ้มเด็กน้อยเข้าไปในเรือน


 


 


พระชายาฉีก็อุ้มเด็กน้อยเดินตามหลังเข้าไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามไป และคนสุดท้ายก็คือหวงฝู่อวี้


 


 


เมื่อเดินเข้าไปด้านใน ก็เรียกแม่นมเข้ามา สั่งให้พวกนางพาเด็กออกไป ท่านอ๋องฉีก็ถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็มองไปที่หวงฝู่อวี้


 


 


หวงฝู่อวี้ก็เล่าเรื่องที่หลินหันเยียนหลอกใช้ตนให้นัดพบกับกูกูผู้ดูแล แล้วพาไปที่จวนหลินให้ฟัง


 


 


ท่านอ๋องฉีก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ตอนนี้จวนหลินเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“เมื่อข้าได้ยินข่าวก็รีบกลับมาหาท่านพี่ใหญ่ ยังไม่ทันได้ส่งคนไปดูสถานการณ์เลยขอรับ” หวงฝู่อวี้บอก


 


 


“ไม่ต้องไปแล้ว ถ้าคำนวณเวลาดู เสด็จลุงน่าจะส่งราชองครักษ์ไปล้อมจวนหลินไว้แล้ว ถึงจะส่งคนไปตอนนี้ ก็ตรวจสอบอะไรไม่ได้หรอก” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


พระชายาฉีก็บอกว่า “เตี๋ยชิงเป็นบ้าไปแล้วหรือ ถึงได้ใช้ให้ชิงเยียนมาช่วยเหลือตนเอง นางไม่คิดบ้างหรือ ว่าถ้าหากฮ่องเต้รู้เรื่องหลินฉงเหวินตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่คืนตำแหน่งให้กับเขา พลอยหลินจ้งยังจะโดนข้อกล่าวหาหลอกลวงฮ่องเต้ไปด้วย คราวนี้จวนหลินไม่รอดแน่”


 


 


“ฮูหยินหลินวางแผนเก่งเสียเหลือเกิน นางคงไม่ได้บอกกูกูชิงเยียนว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนเสนอแนะ มิเช่นนั้นแล้วกูกูชิงเยียนจะไม่ช่วยนางง่ายๆ เช่นนี้แน่ แต่ว่า นางเหมือนกับแบกหินทับเท้าตนเอง ทำเองรับผลเอง เกรงว่าตอนนี้คงกำลังเสียใจอยู่เป็นแน่ น่าเสียดาย เสียใจตอนนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดได้ถูกต้อง ตอนนี้ฮูหยินหลินกำลังเสียใจ เพราะว่าบ่าวรับใช้รายงานกับนางว่า หลินจ้งถูกองครักษ์กุมตัวไปแล้ว


 


 


ฮูหยินหลินถึงได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเอง แต่ว่า นางก็ยังคงคิดว่าเมื่อฮ่องเต้ได้พบหลินฉงเหวินแล้ว คงเห็นแก่คุณงามความดีที่เขามีต่อราชสำนัก ก็คงจะคืนตำแหน่งให้กับเขา ถึงตอนนั้น พวกเขาสองสามีภรรยาก็คงจะขอร้องให้ปล่อยตัวหลินจ้งได้ บอกว่าเป็นเพียงแค่ความคิดชั่ววูบของเขา เลยทำให้ผิดพลาด ให้ฮ่องเต้อภัยให้กับความผิดของเขาก็เพียงพอแล้ว


 


 


แต่น่าเสียดาย ว่าต่อให้นางคำนวณแผนการไว้ละเอียดเท่าใด ก็มีช่องโหว่อยู่ดี


 


 


หลินฉงเหวินถูกองครักษ์กุมตัวไปที่พระราชวังทันที


 


 


ฮ่องเต้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ในตำหนักหยางซินด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก แล้วมองไปที่หลินฉงเหวินที่กำลังมึนงงนั่งอยูที่พื้น ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ย “เรียกตัวหัวหน้าหมอหลวงมาทำให้เขาได้สติเสีย”


 


 


เมื่อหมอหลวงเจียงได้รับราชโองการ ก็ถือกระเป๋ายามาทันที เห็นหลินฉงเหวินที่นอนอยู่กับพื้น ก็มีสีหน้าแปลกใจ แล้วถึงจะทำหน้าปกติเดินเข้าไป คารวะฮ่องเต้


 


 


“ลุกขึ้นเถอะ ไปตรวจดูสิว่าเหตุใดเขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้


 


 


เหตุใดหลินฉงเหวินถึงกลายเป็นเช่นนี้ หมอหลวงเจียงย่อมรู้ดี เพราะว่ายาระงับสตินี้เป็นเขาเองที่ออกให้ แต่เขากล้าพูดซะที่ไหน จึงแกล้งเป็นไม่รู้เดินเข้าไป จับชีพจรหลินฉงเหวินอยู่นาน จึงลุกขึ้นตอบกลับว่า “ทูลฝ่าบาท หลินฉงเหวินใช้ยาระงับสติถึงได้เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“จะทำอย่างไรเขาถึงได้สติ”


 


 


“เอ่อ กระหม่อมก็จนปัญญาพ่ะย่ะค่ะ ทำได้เพียงแต่รอให้ฤทธิ์ยาของเขาหมดเองพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเจียงปาดเหงื่อบนหน้าผากของตนเอง ตอบกลับไปด้วยความกระอักกระอ่วน


 


 


ฮ่องเต้หรี่ตามอง


 


 


หมอหลวงเจียงก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


ในตำหนักหยางซินเงียบสงัด เงียบเสียจนได้ยินแต่เสียงร้องอันบาดหูของหลินฉงเหวิน


 


 


ไม่นาน ฮ่องเต้จึงกล่าวว่า “เอามันออกไป รอให้ได้สติแล้วค่อยให้เข้ามาเอง”


 


 


ขันทีทั้งสองก็ตอบรับ แล้วเดินเข้าไปลากหลินฉงเหวินออกไปด้านนอก ราวกับลากหมาตายอย่างใดอย่างนั้น


 


 


ฮ่องเต้ก็ออกคำสั่งกับหมอหลวงเจียงอีกครั้ง “เจ้าก็ออกไปรอด้านนอกด้วย”


 


 


หมอหลวงเจียงรีบตอบรับ หลังจากที่ออกมาจากตำหนักหยางซินแล้ว ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ มองไปที่หลินฉงเหวินที่โดนโยนกองอยู่กับพื้น แล้วมองไปที่ท้องฟ้า รู้สึกว่าแสงอาทิตย์วันนี้ช่างจ้าตาเสียเหลือเกิน


 


 


หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลินฉงเหวินก็ยังไม่ฟื้น


 


 


หมอหลวงเจียงก็ถอนหายใจออกมา


 


 


สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ที่อยู่ในตำหนักหยางซินก็ยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่


 


 


และแล้วก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หลินฉงเหวินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นชัดบรรยากาศรอบข้างตน ก็สะดุ้งลุกขึ้นนั่งทันที แล้วร้องเรียก “ฮ่องเต้ ช่วยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ซื่อจื่อจะฆ่ากระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)