ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 376-379

ตอนที่ 376 เสด็จอา ข้าผิดไปแล้ว

 

เมื่อหงเอ๋อร์ได้ฟังชัดเจน ก็ตกใจจนแทบสลบ แล้วร้องออกมาว่า “คุณหนู!”


 


 


เหตุใดคุณหนูจึงทำเช่นนี้ นางเคยรับปากกับตนเองไว้แล้วว่าให้รอนางกับคุณชายรองแต่งงานกันก่อน ก็จะยกนางให้กับซุนเต๋อ


 


 


หวงฝู่อวี้ก็เบิกตาโต มองหลินหันเยียนอย่างไม่เชื่อสายตา อีกทั้งยังสงสัยว่าตนได้ยินผิดไปหรือเปล่า จึงถามอีกรอบ “เยียนเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ”


 


 


หลินหันเยียนก็รีบอธิบายให้หวงฝู่อวี้ฟังโดยที่ไม่ได้มองหงเอ๋อร์เลยสักนิด “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านฟังข้านะ ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านรับหงเอ๋อร์เข้ามาเป็นเมีย แต่ข้าเพียงแค่ต้องการให้ท่านรับนางเอาไว้ รอให้นางตั้งครรภ์ คลอดลูกออกมา เราก็เอาลูกนางมาเลี้ยง ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่มีใครรู้ว่าข้าไม่สามารถมีลูกได้


 


 


“คุณหนู!” หงเอ๋อร์ร้องเรียกออกมาอีกครั้ง แล้วหันไปหานาง ก้มลงกราบนางหลายรอบ มีเสียง ตึกตัก ดังขึ้นจนหน้าผากแดงไปหมด อีกนิดเดียวก็มีเลือดซิบออกมาแล้ว “ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ บ่าวมีคนที่ชอบแล้ว ท่านเคยรับปากว่าจะให้พวกเราได้อยู่ด้วยกันนะเจ้าคะ”


 


 


“เจ้าหุบปากเสีย!” หลินหันเยียนหันไปตะวาดใส่นาง “เจ้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ของตระกูลหลินเท่านั้น จะเป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอันใด ณ ที่แห่งนี้”


 


 


หงเอ๋อร์ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและความสิ้นหวัง


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ชะงักไป ราวกับว่าไม่รู้จักหลินหันเยียนอย่างใดอย่างนั้น มองเหม่อไปที่นาง สงสัยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ นางที่ไร้เดียวสา น่ารัก ไม่มีพิษภัย เยียนเอ๋อร์คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลาเหตุใดถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้


 


 


หลินหันเยียนก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วดึงชายเสื้อของหวงฝู่อวี้ เงยหน้า ขอร้องเขาว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ขอท่านทำตามที่ข้าขอเถิดเจ้าค่ะ ข้า… …”


 


 


หวงฝู่อวี้สลัดมือนางออก แล้วถอยหลังไป สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เยียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ เจ้าทำแบบนี้ เห็นข้าในสายตาหรือไม่”


 


 


หลินหันเยียนก็ขยับเข้าไปใกล้อีก อยากจะเข้าไปจับชุดของเขาแล้วพูดโน้มน้าวเข้าอีกรอบ “พี่อวี้เจ้าคะ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด ขอแค่มีลูกของพวกเรา ฐานะของข้าในจวนอ๋องแห่งนี้ก็จะมั่นคง ท่านกับข้าถึงจะได้อยู่กันอย่างเป็นสุข ไม่มีใครมารังแกได้”


 


 


หวงฝู่อวี้ส่ายหน้าแล้วถอยหลังไปอีก “ไม่ เยียนเอ๋อร์ เจ้าคิดผิดแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะไม่มีความสุข ข้าจะไม่ทำเช่นนั้น”


 


 


พูดจบ เห็นหลินหันเยียนขยับเข้าใกล้ ก็ถอยหนี


 


 


หลินหันเยียนจับเขาไม่ได้ ในใจกระวนกระวาย ก็ขยับเข้าไปอีก อยากที่จะจับชุดของเขาให้ได้ “พี่อวี้เจ้าคะ”


 


 


เหมือนหวงฝู่อวี้กำลังหลบเชื้อโรคอย่างใดอย่างนั้น หลบหลีกไม่ให้นางจับได้ “เยียนเอ๋อร์ วันนี้เจ้าได้รับเรื่องหนักหนาสาหัสเกินไปแล้ว เจ้าเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าพูดอะไรออกมา ให้หงเอ๋อร์ดูแลเจ้าไปก่อน ข้า…จะออกไปเดินข้างนอก ไปตั้งสติเสียหน่อย”


 


 


พูดจบ ก็หันหลัง เดินออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


“พี่อวี้เจ้าคะ ท่านกลับมาก่อน!” หลินหันเยียนร้องเสียงหลง


 


 


แต่หวงฝู่อวี้กลับวิ่งเร็วขึ้นอีก เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไป


 


 


หลินหันเยียนนั่งอยู่ที่พื้นอย่างสิ้นหวัง


 


 


หงเอ๋อร์ก็ร้องไห้อยู่ข้างๆ


 


 


หลินหันเยียนได้สติ ก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วเดินไปที่หงเอ๋อร์ แล้วถีบเอาถีบเอา “นังขี้ข้า ได้นอนกับคุณชายรองนั้นเป็นบุญกี่ชาติของเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังกล้าที่จะไม่ยินยอม วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”


 


 


หงเอ๋อร์โดนถีบจนนอนกองกับพื้น เจ็บจนขดตัวขึ้น แต่ก็ได้แต่กัดฟันไม่ร้องขอชีวิตเลย


 


 


หลินหันเยียนก็โกรธมากขึ้น หลังจากที่ถีบเสร็จ ก็หยุดพักหายใจแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้ เรื่องนี้เป็นไปตามนี้ เจ้ายอมก็คือยอม ถึงเจ้าไม่ยอมก็ต้องยอม ถ้าหากว่าเจ้ายังกล้าที่จะทำอะไรล่ะก็ ข้าจะขายเจ้าไปให้กับหอนางโลมชั้นต่ำซะ”


 


 


พูดจบ ก็หันหลัง แล้วกลับไปนั่งที่เตียงด้วยความโกรธ มองจ้องไปที่หงเอ๋อร์ด้วยความดุดัน หายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดออกมาด้วยความรำคาญว่า “ไสหัวออกไป อย่ามานอนแกล้งตายอยู่ที่พื้น”


 


 


หงเอ๋อร์ลุกขึ้นมาช้าๆ ค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วเดินโซเซออกไป


 


 


หลินหันเยียนถอนหายใจ แล้วนอนลงไปที่เตียง ห่มผ้า หลับตา ในหัวคิดแต่เรื่องที่ตนคิดเอาไว้ ยิ่งคิดก็ว่าแผนการนี้ใช้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกพอใจ


 


 


หวงฝู่อวี้หนีออกมาจากจวน มาที่สวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว เงยหน้ามองฟ้าแล้วตะโกนออกไป จนนกในสวนดอกไม้ต่างก็ตกใจกระพือปีกบินว่อน บ่าวที่กำลังทำความสะอาดสวนอยู่ก็ตกใจจนขาอ่อนแรง หวงฝู่ซวิ่นที่หนีจากตงกงมาที่จวนอ๋องก็ตกใจจนขาอ่อนแรงด้วยเช่นกัน อีกนิดเดียวก็จะล้มเขม่นลงไปกองที่พื้นอยู่แล้ว


 


 


ใช้แรงเป็นอย่างมากกว่าตัวเขาจะยืนตรงได้ หวงฝู่ซวิ่นสั่งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงว่า “เจ้าไปดูสิ ว่ามันผู้ใดบังอาจมาเสียงดังในจวนอ๋องแห่งนี้”


 


 


องครักษ์เงารับคำสั่ง แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


พ่อบ้านได้รับรายงาน เลยรีบออกมาต้อนรับ ทำความเคารพ “ไท่จื่อ ท่านมาแล้ว”


 


 


พยักหน้านิ่งๆ แล้วถามว่า “พ่อบ้าน เสด็จอากับเสด็จอาสะใภ้อยู่หรือไม่”


 


 


“อยู่ขอรับ ข้าน้อยจะพาท่านไปเอง”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่เป็นไร ข้าไปเองได้” วันนี้เขามาเพื่อขอโทษ ถ้าหากว่าให้พ่อบ้านเห็น เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน


 


 


พ่อบ้านตอบรับ แล้วหลบทางให้หวงฝู่ซวิ่นเข้าไป


 


 


เห็นเขาเดินโซเซไม่ตรงทาง ในใจก็คิด ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน เหตุใดไท่จื่อถึงมีสภาพเช่นนี้ได้ ไม่ใช่ว่าเป็นโรคอะไรล่ะ แต่ว่า เขาควรจะไปหาซื่อจื่อเฟยสิ เหตุใดถึงไปที่เรือนของพระชายาเสียล่ะ


 


 


เดินตามทางที่ทอดยาวมา ในที่สุดก็มาถึงที่จวนของพระชายาฉีได้ ถ้าเป็นแต่ก่อนหวงฝู่ซวิ่นเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง แต่ตอนนี้ต้องใช้พละกำลังเป็นอย่างมาก กว่าจะเดินมาถึงได้


 


 


ขาที่สั่น กำลังลากร่างกายที่อ่อนแรงเข้าไปที่ด้านใน หลิงหลงเห็นเขา จึงรีบออกมาทำความเคารพ “ไท่จื่อเพคะ”


 


 


“เสด็จอากับเสด็จอาสะใภ้อยู่หรือไม่” หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้มีมาดหรือความสูงส่งอันใดเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ได้แต่ถามอย่างไร้เรี่ยวแรง


 


 


“ทูลซื่อจื่อ ท่านอ๋องและพระชายาอยู่ด้านในเพคะ บ่าวจะเข้าไปรายงานเดี๋ยวนี้”


 


 


“ไม่ต้อง” หวงฝู่ซวิ่นห้ามนาง “ข้าเข้าไปเองได้”


 


 


หลิงหลงก็ถอยหลบไปอีกทาง


 


 


สาวใช้ที่ดูแลอยู่หน้าประตูก็เปิดม่านประตูออก หวงฝู่ซวิ่นเดินเข้ามา เห็นท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ต่างก็กำลังอุ้มเล่นกับเด็กน้อยอยู่ จึงดึงสติของตนเองกลับมา แล้วอ้อนวอนว่า “เสด็จอา ข้าผิดไปแล้ว ท่านปล่อยข้าไปเถิด”


 


 


มือของท่านอ๋องฉีที่กำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่ก็หยุดลงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็กลับมาหยอกล้อเด็กน้อยเหมือนเดิม ราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด


 


 


พระชายาฉีเงยหน้ามองไปที่เขา เห็นใบหน้าที่อวบอ้วนของหวงฝู่ซวิ่น ขาแข้งอ่อนแรง ท่าทางที่ดูเหมือนกับจะล้มลงไปตลอดเวลา ก็ตกใจอย่างมาก แล้วถามว่า “ซวิ่นเอ๋อร์ เจ้าไปทำอะไรมาน่ะ มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”


 


 


“ข้า… ข้า…” หวงฝู่ซวิ่นหลบสายตา ตอบคำถามนั้นไม่ได้


 


 


จะตอบว่าตนมีความต้องการในเรื่องนั้นมากเกินก็ไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยินยอมก็ตามเถอะ


 


 


พระชายาฉีเป็นคนที่มองคนออก เมื่อเห็นเขาไม่พูด ก็รู้ทันทีว่าไม่สะดวกที่จะตอบ เลยรีบสั่งให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ในเรือน “รีบไปยกเก้าอี้มาให้ไท่จื่อเดี๋ยวนี้”


 


 


เก้าอี้ถูกยกมา หวงฝู่อวี้ก็รีบนั่งลง เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาตรงหน้าผาก แล้วพูดกับอ๋องฉีที่ไม่สนใจตนเลยสักนิดอีกครั้งว่า “เสด็จอา ข้าผิดไปแล้ว ปล่อยข้าไปเถิด”


 


 


ท่านอ๋องฉีถึงได้มองไปที่เขาเล็กน้อย แล้วถามว่า “ผิดที่ใด”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก็ดีใจ แล้วพูดตอบกลับไปอย่างเอาใจว่า “เสด็จอาว่าข้าผิดที่ใด ข้าก็ผิดเช่นนั้น”


 


 


ท่านอ๋องฉีก็ถอนหายใจ หันกลับมา แล้วพูดพึมพำว่า “ดูแล้ว ข้าจะต้องพาเด็กๆ เข้าวังอีกรอบเสียแล้วสิ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก็ตกใจจนแทบทรุด อีกนิดเดียวก็จะลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว ร้องอ้อนวอนอย่างไม่อาย “เสด็จอาขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำผิดไปแล้วทุกอย่าง ขอให้ผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อยเลยขอรับ ปล่อยข้าไปเถิด” พูดเป็นเล่นไป เสด็จอาเพิ่งจะเข้าวังไปแค่ครั้งเดียว ส่วนตนก็สองเดือนแล้วที่ไม่ได้ออกมาจากตงกง วันๆ ก็โดนบังคับให้นอนอยู่กับชายาและสนมในห้องตลอด อีกนิดเดียวก็จะตายอยู่แล้ว ถ้าหากว่าให้เขาเข้าวังไปอีกครั้งล่ะก็ เกรงว่าตนยังไม่ทันขึ้นครองราชย์ก็น่าจะได้ตายเสียก่อน


 


 


ท่านอ๋องฉียกมุมปากขึ้น เหมือนกับกำลังยิ้มอยู่


 


 


พระชายาฉีมองทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวงฝู่ซวิ่นถึงได้กลัวอ๋องฉีเข้าวังขนาดนี้


 


 


“ถ้าหากครั้งหน้ายังกล้าทำผิดอีกล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เช่นนี้แน่” ท่านอ๋องฉีอุ้มเด็กน้อยในอ้อมอกไปมา เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กน้อยแล้วถึงเอ่ยปากพูด


 


 


หวงฝู่ซวิ่นตาค้างไปเลย สีหน้าท่าทางคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก นี่น่ะหรือเสด็จอาที่เขาเคยรู้จัก นี่เป็นเพียงแค่คนแก่คนหนึ่งที่คลั่งหลานตัวเองเท่านั้น ดังนั้น จึงลืมตอบรับไปเลย


 


 


“ทำไม ไม่ยอมงั้นรึ” เมื่อไม่ได้ยินคำตอบ ท่านอ๋องฉีที่กำลังอุ้มเด็กอยู่ก็หันไปมองเขา แล้วถามด้วยเสียงแข็ง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นได้สติ ได้ยินชัดเจนแล้วว่าท่านอ๋องฉีบอกว่าอะไร ก็ดีใจลุกขึ้นยืนโดยทันควัน ถ้าหากว่าไม่มีตำแหน่งมากีดกันล่ะก็ ก็แทบจะคุกเข่าก้มกราบเลยทีเดียว “ขอบพระคุณเสด็จอาขอรับ”


 


 


“อืม” ท่านอ๋องฉีตอบรับเบาๆ แล้วไม่สนใจเขาอีก


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก็ไม่กล้าอยู่ต่อ ตอนนี้เขากำลังงุนงงสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าตนทำผิดอะไร ถึงได้ไปยั่วโมโหเข้ากับท่านอ๋องฉี เลยโดนเขาเล่นงาน ถ้าขืนอยู่ต่อล่ะก็ ไปทำให้เขาโกรธอีก เช่นนั้นแล้วผลก็จะ… …


 


 


ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วรีบบอกว่า “เสด็จอา เสด็จอาสะใภ้ขอรับ หลานขอตัวลาก่อนนะขอรับ” ตกใจจนคำว่า ข้า ยังไม่กล้าใช้เลย


 


 


“วันนี้โยวเอ๋อร์กับเซวียนเอ๋อร์อยู่ที่จวนทั้งคู่ เจ้าเข้าไปสิ” ไม่รู้จะบอกกับเขาอย่างไรดีว่าให้ไปดูอาการ พระชายาฉีก็ได้แอบกำชับเขาเช่นนี้


 


 


หวงฝู่ซวิ่นยิ้มตอบรับ


 


 


ท่านอ๋องฉีไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


หวงฝู่ซวิ่นออกจากเรือนมาด้วยความรวดเร็ว แล้วถอนหายใจเฮือกยาว วันนี้เขาจะได้พักผ่อนจริงๆ เสียที


 


 


องครักษ์เงาก็กลับมารายงาน “ไท่จื่อ เสียงเมื่อสักครู่นี้เป็นเสียงของคุณชายรองพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เขากำลังเป็นบ้าเตะตนไม้อยู่ที่สวนดอกไม้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก็สนใจ ลืมไปเลยว่าตอนนี้ตนไม่มีแรงที่จะทำอะไรทั้งนั้น บอกว่า “ไป ไปดูอะไรน่าสนุกกัน ดูสิว่าคุณชายรองแห่งจวนอ๋องจะเตะต้นไม้ยังไงให้ล้ม” แล้วก็คิดในใจเพิ่มเข้าไป แล้วดูสิว่าจะโดนเสด็จอาลงโทษอย่างไร


 


 


พอมีใจคิดจะไปดูอะไรน่าสนใจ ก็กลายเป็นคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ขนาดเดินยังกลับมาสงาผ่าเผย ไม่โซเซ มุ่งหน้าไปที่สวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว


 


 


ยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็ได้ยินเสียง ปุกปุกปุก หวงฝู่ซวิ่นก็ดีใจเมื่อได้ยินเสียงนี้ ก็รู้ว่าใช้แรงไม่น้อยเลยทีเดียว ดูท่าแล้วไม่นานก็จะโดนเสด็จอาลงโทษ


 


 


ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว หวงฝู่อวี้ไม่สามารถระบายออกมาได้เลย จึงใช้แรงทั้งหมดที่มีลงไปที่ขา แล้วเตะไปที่ต้นไม่ที่น่าสงสาร


 


 


หวงฝู่ซวิ่นหัวเราะออกมา แล้วมองเขาด้วยท่าทางสะใจ “ข้าว่าน้องอวี้เนี่ย จะต้องไปเจอเรื่องใหญ่อะไรมาแน่เลย หาทางออกไม่ได้ เลยมาระบายกับต้นไม้นี้แทน”


 


 


เมื่อได้ยินเสียง หวงฝู่อวี้ก็หยุดการกระทำ แล้วหันมาเพ่งมอง เป็นหวงฝู่ซวิ่นนั่นเอง จึงโค้งคำนับ “คารวะไท่จื่อ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก็เดินเข้าไป ตบไปที่บ่าของหวงฝู่อวี้ ทำท่าทางปลอบใจว่า “น้องอวี้ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้ ข้าดูแล้ววันนี้เจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก บอกพี่มาสิ ใครทำให้เจ้าโกรธ ข้าจะไปจัดการมันแทนเจ้า”


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ยังคงโค้งคำนับอยู่เช่นนั้น ดึงมุมปากขึ้นเพื่อฝืนยิ้มออกมา “ขอบพระทัยไท่จื่อที่ใส่ใจ จะมีใครมายั่วโมโหข้ากัน ข้าเพียงแต่ไม่ได้ฝึกซ้อมฝีมือมานานมากแล้ว วันนี้มีเวลาว่าง เลยมาที่สวนดอกไม้แห่งนี้เพื่อฝึกซ้อมเท่านั้น”


 


 


“งั้นรึ” หวงฝู่ซวิ่นมองไปที่ปากของเขาที่กำลังยิ้ม แล้วถามเขาด้วยความสงสัย


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า “เป็นเรื่องจริงขอรับ ไม่กล้าปิดบังไท่จื่อแน่นอน”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นปล่อยเขา แล้วบอกว่า “งั้นก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะช่วยเจ้าก็แล้วกัน ให้องครักษ์เงามาช่วยเจ้าฝึกซ้อมเป็นไง”


 


 


หวงฝู่อวี้โบกมือปฏิเสธ “ขอบพระทัยไท่จื่อ แต่ไม่เป็นไร ข้าซ้อมมาได้สักพักหนึ่งเริ่มเหนื่อยแล้ว ต้องกลับไปพักผ่อนแล้วขอรับ”


 


 


นานทีจะมีเรื่องน่าสนุก หวงฝู่ซวิ่นจะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร “น้องอวี้ อย่าเพิ่งรีบกลับไปเลย ถ้าหากว่าเจ้าไม่ยอมประลองกับองครักษ์เงาล่ะก็ ข้าเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าก็ได้” ตอนนี้ลืมสิ้นเลยว่าร่างกายของตนเป็นเช่นไร


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ได้พูดอะไร ก็มีองครักษ์เงาของท่านอ๋องฉีพุ่งเข้ามา มองหน้าทั้งสองคนแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องฉีบอกว่า ถ้าท่านทั้งสองคนยังกล้าส่งเสียงดังรบกวนเด็กน้อยทั้งสองคนพักผ่อนล่ะก็ เขาจะขอราชโองการจากฮ่องเต้ ให้ท่านทั้งสองคนไปจัดการภัยหนาวที่ต้าซีเป่ยขอรับ”


 


 


พูดจบ ไม่ทันได้มองสีหน้าของทั้งสองคนที่ซีดเซียวก็หายไปเสียแล้ว


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


แต่หวงฝู่ซวิ่นกลับครุ่นคิดในหัวสมองแล้วพูดออกมาว่า “ไม่ใช่ว่าครั้งที่แล้วข้าไปแตะโดนตัวของเด็กน้อยสองคนนั้น จนทำให้ข้าโดนเสด็จอาเล่นงานจนอนาถขนาดนี้หรอกนะ”

 

 

 


ตอนที่ 377 จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกงั้นรึ

 

หวงฝู่อวี้เม้มปาก ไม่พูดอะไร


 


 


หลังจากที่หวงฝู่ซวิ่นพูดจบ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองทายถูก อ้าปากกำลังจะโวยวายขึ้นมา ก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้อยู่ในจวนอ๋อง ถ้าหากว่าองครักษ์เงาได้ยินเข้า แล้วเอาไปรายงานเสด็จอาล่ะก็ ตนจะต้องโดนเล่นงานอย่างแน่นอน


 


 


เขาค่อยๆ หันตัว ค่อยๆ เดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ในใจรู้สึกไม่พอใจแทบจะทะลุออกมาด้านนอก ตนเองเป็นถึงไท่จื่อของแผ่นดิน แต่เทียบกับเด็กน้อยที่ยังพูดไม่ได้ในใจของเสด็จอาไม่ได้เลยสักนิด


 


 


หวงฝู่อวี้เดินตามเงียบๆ อยู่ด้านหลัง มองดูไท่จื่อที่นิ่งเงียบ แต่เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเขาน่าสงสารกว่าตัวเองนัก


 


 


ทั้งสองคนก็เดินมาอย่างเงียบๆ จนถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


“สมควร!” หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดอออกมาหลังจากที่ได้ยินหวงฝู่ซวิ่นแอบบ่นอย่างกับผู้หญิง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนทำตาเขม็ง แล้วพูดระบายออกมาด้วยความคับแค้นใจ “เป็นเพราะเจ้า จะคลอดออกมาทำไมตั้งสองคน นี่ยังดี ที่ข้ายังไม่ได้ตายคาเตียงกับไท่จื่อเฟยหลังจากที่โดนขังอยู่ข้างในนั้นตั้งสองเดือน”


 


 


พูดจบ ก็มีลมพัดผ่านมาทางด้านหน้า เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็มีเก้าอี้เตะออกมาจากทางด้านหลัง แล้วมีคนเดินตามมา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นตกใจสติแทบหลุด แล้วรีบไปดึงตัวคนมา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นตกใจจนหน้าซีดไปเสียหมด ถ้าหากเป็นแต่ก่อน หวงฝู่อี้เซวียนไม่สามารถทำร้ายเขาได้เลย แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาอ่อนแอ ขนาดแรงที่จะต่อสู้ยังไม่มี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรทั้งนั้น มองฉากที่น่าสนุกที่อยู่ตรงหน้า มองหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังระบายอารมณ์กับหวงฝู่ซวิ่นผู้โชคร้าย


 


 


“หวง ฝู่ อี้ เซวียน!” หวงฝู่ซวิ่นยืนขึ้น แล้วเรียกชื่อพร้อมนามสกุลออกมาอย่างชัดเจนด้วยความโกรธ “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ มายั่วโมโหข้า ข้าจะ… …”


 


 


“เจ้าจะทำอะไร” หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ


 


 


“ข้าจะสู้กับเจ้าให้ดุเดือดสมน้ำสมเนื้อเลยทีเดียว”


 


 


มองไปที่ตาของเขา แล้วก็หันไปทางอื่นอย่างไม่แยแส


 


 


หวงฝู่ซวิ่นที่ผู้สูงส่งก็รู้สึกว่าตนเองโดนดูถูกเป็นอย่างมาก เลยโกรธจนปัดมือของหวงฝู่อวี้ทิ้ง แล้วลุกขึ้นมาว่า “เจ้าอย่าได้ใจไปหน่อยเลย แต่ก่อนนี้ข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ เป็นเพราะข้าเห็นว่าเจ้ายศต่ำกว่าข้าเลยอ่อนข้อให้ต่างหากล่ะ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ก็เข้ามาเลย ออกไปกับข้า ดูสิว่าถ้าวันนี้ข้าไม่ตีเจ้าให้ตาย ข้าจะเปลี่ยนแซ่เป็นแซ่เดียวกับเจ้าเลย[1]”


 


 


หึ เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา แล้วเตือนด้วยเสียงเยาะเย้ยว่า “พี่ใหญ่ ท่านกับอี้เซวียนแซ่เดียวกันอยู่แล้ว”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นชะงักไป ถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่ตนพูดจาโง่ๆ ออกไป จึงเคาะหัวตัวเอง แล้วเปลี่ยนเป็น “ถ้าหากว่าข้าไม่ชนะเจ้า เดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับน้องสะใภ้ข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็มอง แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสมเพช “ฝันไปเถอะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก็โกรธเป็นอย่างมาก ก็ยืดอกถามว่า “เจ้านี่มันอะไร มันยังไงกันแน่” โกรธจนพูดได้แค่สองประโยคนี้เท่านั้น ที่เหลือก็พูดไม่ออก


 


 


“ก่อนที่จะว่าข้า คิดให้ดีก่อนว่าเมื่อครู่นี้พูดว่าอะไร” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


หวงฝู่ซวิ่นกะพริบตาด้วยความงุนงงกับคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ ไม่ใช่ว่าเขาพูดว่าอีกนิดเดียวก็จะตายอยู่บนเตียงกับไท่จื่อเฟยมิใช่รึ ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ ช้าก่อน ไม่สิ เขาเป็นพี่ใหญ่ พูดแบบนี้ต่อหน้าน้องๆ นั้นไม่ค่อยเหมาะสม เลยเข้าใจว่าเหตุใดหวงฝู่อี้เซวียนถึงได้โกรธ อารมณ์พิโรธของเขาก็สลายหายไปโดยทันที แล้วพูดขอโทษต่อเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสะใภ้ พี่ใหญ่โกรธจนหน้ามืดตาบอด บางคำพูดก็พูดออกมาเพราะความโกรธ เจ้าก็คิดซะว่าเมื่อครู่นี้พี่ไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วพยักหน้า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไว้วันหลังข้าเจอพี่สะใภ้ไท่จื่อเฟย ไว้พูดให้นางฟัง คิดว่านางจะต้องจัดการแทนข้าอย่างแน่นอน”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นพูดด้วยร้ำเสียงเว้าวอนกับทั้งสองคน “พวกเจ้ามันคนใจดำ อยากจะบีบให้ข้าตายหรือยังไง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ส่ายหัวอย่างจริงจัง แล้วพูดด้วยความโกรธ “พี่ใหญ่ ท่านผิดแล้วล่ะ พวกข้าไม่ได้อยากบีบให้ท่านตาย แต่อยากบีบให้ท่านเป็นบ้า”


 


 


“เจ้า…” หวงฝู่ซวิ่นพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ยิ้ม ความหม่นหมองในใจสลายหายไป


 


 


มองไปที่เขาด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วก็เก็บสายตากลับมาในขณะที่เขานั้นไม่รู้สึกตัว


 


 


จะทำอย่างไรก็ไม่เหนือกว่าสักที หวงฝู่ซวิ่นก็ยอมรับว่าตนเองปอดแหก ถอนหายใจยอม แล้วนั่งลงบนเก้าอี้แต่โดยดี


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก ฟังดูแล้วก็เหมือนจะปลอบใจ “เด็กทั้งสองคนนั้นเป็นเหมือนกับของเล่นของเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ อย่าว่าแต่เจ้าเลย ถึงเป็นข้าทำให้พวกเขาร้อง เสด็จพ่อก็พร้อมที่จะเอามีดปังตอมาไล่ฆ่าด้วยเช่นกัน”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด ก็เบะปาก “อย่าใช้คำพูดเช่นนี้มาปลอบใจข้าเลย เจ้าเป็นพ่อของลูก เสด็จอาจะทำเช่นนั้นกับเจ้าได้อย่างไร”


 


 


หวงฝู่อวี้ที่นิ่งเงียบมาตลอดก็หลุดหัวเราะออกมา ยกมือทั้งสองข้างขึ้น เสียงหัวเราะก็ดังออกมาไม่หยุด “ข้าเป็นพยานได้ พี่ใหญ่เคยโดยเสด็จพ่อไล่ในจวนด้วย แต่ว่าไม่ได้ถือมีดปังตอ แต่ถือท่อนไม้ต่างหาก” คิดถึงตอนนั้นที่ตนกลับมาเห็นหวงฝู่อี้เซวียนกำลังหาที่หลบหัวซุกหัวซุน ก็หัวเราะออกมาด้วยความสะใจเข้าไปอีก


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่เคยโกหกตน หวงฝู่ซวิ่นเลยเชื่อในคำพูดของเขา เลยเกิดความคิด หันไปพูดกับเขาว่า “มาๆ น้องอวี้ เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าใครกันที่โดนไล่กวดจนวุ่นวายไปหมดทั้งจวน มองดูแล้วเพลินน่าดูเลยสิ”


 


 


หวงฝู่อวี้กำลังจะเอ่ยปากบอกเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็กระแอมเบาๆ


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ส่ายหน้าโดยทันที “เอ่อ เรื่องน่าอับอายไม่ควรเล่าสู่คนนอกฟัง เรื่องนี้ข้าบอกท่านไม่ได้หรอก”


 


 


คำพูดเดียวก็ผิดใจได้สองคน


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก็พูดด้วยความไม่ยินดีนัก “น้องอวี้ คำพูดนี้ของเจ้าดูขัดหูจัง ใครเป็นคนนอก ข้าเป็นคนนอกงั้นรึ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ตะคอกใส่เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไสหัวมานี่!”


 


 


หวงฝู่อวี้ลูบจมูกของตนเอง แล้วออกห่างจากหวงฝู่ซวิ่น ไม่พูดอะไรอีก


 


 


ไม่ได้ยินเรื่องน่าอายของหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่ซวิ่นก็ผิดหวังเล็กน้อย วางแผนไว้วันหลังถ้าตนมีเวลาว่างก็จะมาเดินเล่นที่นี่บ่อยๆ ไม่แน่อาจจะได้เห็นหวงฝู่อี้เซวียนโดนไล่ตีจนหนีหัวซุกหัวซุนก็ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งได้ใจ ตอนนี้ก็ลืมเรื่องที่ตนโดนเล่นงานก่อนหน้านี้ไปเสียหมด


 


 


ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาไม่ได้นอนดีๆ เลยสักคืน หวงฝู่ซวิ่นก็รู้สึกล้าและง่วงขึ้นมา ก็ปิดปากหาวออกมา ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าเหนื่อยมากแล้ว กลับตงกงก่อนล่ะ หลายวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำ น้องเซวียนก็พักผ่อนเสียล่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้น ทั้งสามคนโค้งคำนับส่งหวงฝู่ซวิ่นออกจากจวน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับไปที่เรือนของตนตามเดิม หวงฝู่อวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตามกลับมาด้วย


 


 


เพิ่งนั่งลงที่เก้าอี้ไม่ทันไร หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดถามด้วยน้ำเสียงปกติ “จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกงั้นรึ”


 


 


หวงฝู่อวี้มองเขาด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่มองท่าทางไม่ร้อนไม่หนาวของเขาใจก็เต้นตุบๆ ขยับปาก แล้วถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “พี่ใหญ่รู้แล้วหรือขอรับ”


 


 


“รู้อะไร” สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ล้ำลึกขึ้น มองจ้องไปที่เขา ถามเขาอย่างช้าๆ


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ปากสั่น แต่ก็ก้มหน้าก้มตาไม่ได้พูดอะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้บีบเค้น เก็บสายตากลับมา “ไว้เจ้าตัดสินใจให้ดีเสียก่อน ค่อยมาบอกข้า เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ทางนั้นไม่ต้องเป็นห่วง”


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงกัดฟันแล้วเงยหน้า “พี่ใหญ่ขอรับ ข้าขออะไรท่านอย่างหนึ่ง”


 


 


“ว่ามาสิ”


 


 


“ข้าอยากจะแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์ให้เร็วที่สุด” หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ไม่มีลังเล


 


 


“ได้” หวงฝู่อี้เซวียนก็ตอบรับแต่โดยดี “อีกประเดี๋ยวข้าจะไปรายงานให้เสด็จแม่ทราบ เลือกวันมงคลที่ใกล้ที่สุดแล้วจัดเตรียมให้เจ้า แต่ว่าจะไม่เร็วมากนัก งานแต่งงานของคุณชายรองแห่งจวนอ๋องทั้งที จะต้องไม่ดูไส้แห้งเกินไป จะทำให้คนอื่นเอาไปนินทาได้”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า “ข้ารู้แล้วขอรับ ขอบพระคุณพี่ใหญ่”


 


 


บทสนทนาจบลง กำหนดงานแต่งงานได้แล้ว แต่ใบหน้าของทั้งสามคนกลับไม่มีแม้รอยยิ้มเลยสักนิด คิดถึงสภาพตอนที่เยียนเอ๋อร์ยัดเยียดหงเอ๋อร์ให้กับตน ความทุกทรมานในใจของหวงฝู่อวี้ก็ไม่มีทางที่จะข่มเอาไว้ได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคิดถึงตอนนั้นที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สามารถตั้งครรภ์ได้แล้วออกไปเดินข้างนอก ตอนนั้นตนเองก็ไร้ซึ่งชีวิตชีวาเหมือนศพเดินได้ เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เขาไม่อยากให้หวงฝู่อวี้ต้องมาเผชิญกับมันอีก แต่ว่า ดูจากการกระทำของหลินหันเยียนแล้วนั้น เขาไม่รู้ว่าการตัดสินใจของเขาในวันนี้นั้นถูกต้องหรือไม่


 


 


ทั้งสามคนต่างมีเรื่องหนักใจ ต่างคนต่างไม่พูดอะไร


 


 


เงียบสงัดทั้งห้อง


 


 


พูดถึงหลินหันเยียน กำลังนอนอยู่บนเตียง ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตนนั้นใช้ได้ การอุ้มบุญเรื่องนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งในเมืองหลวงนี้ก็มีแค่ไม่กี่ตระกูล คนอื่นทำได้ เหตุใดนางจะทำไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่หวงฝู่อวี้และหงเอ๋อร์ทั้งสองคนต่างไม่สมยอม นางควรทำเช่นไร ทำเช่นไรดี


 


 


ทันใดนั้น ก็เกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ลุกข้นมานั่งโดยทันที แล้วออกคำสั่งเสียงดังว่า “หงเอ๋อร์ เจ้าเข้ามานี่หน่อย”


 


 


หงเอ๋อร์เดินโซเซเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า “คุณหนูเจ้าคะ”


 


 


มองเหยียดนาง แล้วเบะปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เอาล่ะๆ เจ้าไม่ยอมก็ไม่เป็นไร เมื่อครู่นี้ข้ากำลังโกรธ เลยลงมือหนักไปหน่อย ข้าจะชดใช้ให้ดีไหม”


 


 


หงเอ๋อร์เงยหน้าด้วยความดีใจ น้ำตาไหลนองหน้า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ”


 


 


“พูดจริงสิ ในจวนอ๋องแห่งนี้ เรามีกันแค่นี้ จะต้องช่วยเหลือกันถึงจะก้าวต่อไปได้ ถ้าหากว่าเจ้าไม่ยอม ข้าก็ไม่ฝืนใจเจ้า แต่ว่า ข้าขอเตือนไว้ก่อน ในจวนแห่งนี้มีหญิงสาวมากมายอยากจะขึ้นมานอนบนเตียงนี้กับพี่อวี้ พอถึงตอนนั้นก็โดนแย่งสิ่งที่ควรจะเป็นของเจ้าไปจนหมดสิ้น เจ้าอย่ามาบ่นข้าก็แล้วกัน”


 


 


หงเอ๋อร์รีบโบกไม้โบกมือ “ไม่หรอกเจ้าค่ะ บ่าวกับหวางเต๋อรักใคร่ปรองดองกัน ขอเพียงแค่ท่านอนุญาตให้เราสองคนแต่งงานกัน บ่าวจะเป็นทาสรับใช้ให้คุณหนูเพื่อทดแทนบุญคุณไปตลอดชีวิตเลยเจ้าค่ะ”


 


 


“เอาล่ะ อย่ามาพูดจาทำอย่างกับข้าเป็นคนนอก ในเมื่อข้าตอบรับคำขอของเจ้าแล้ว จะต้องให้สิ่งที่ดีกับเจ้าอย่างแน่นอน เอาอย่างนี้ ข้าจะเขียนจดหมาย เจ้าเอาไปส่งให้กับพี่ใหญ่ของข้า ให้เขาหาของสิ่งหนึ่งมาให้กับข้า”


 


 


“เจ้าค่ะ คุณหนู” หงเอ๋อร์ตอบรับด้วยความดีใจ


 


 


“แล้วก็​ หลังจากที่เจ้ากลับไป ไปหาท่านแม่ของข้า บอกว่าตอนนี้ข้าไม่สะดวกจะกลับไปเยี่ยมเยียนนาง รอให้ผ่านไปก่อนหนึ่งเดือนสิบวัน ข้าจะไปเยี่ยมนางอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นข้าจะบอกกล่าวกับนางเอง”


 


 


หงเอ๋อร์ตอบรับ


 


 


หลินหันเยียนยื่นมือออกมา หงเอ๋อร์เข้าไปพยุงนางเดินไปที่โต๊ะ หงเอ๋อร์กางกระดาษออกอย่างดี แล้วฝนน้ำหมึกให้ใหม่


 


 


หลินหันเยียนหยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเขียนจดหมายต่อหน้าหงเอ๋อร์ ยื่นให้นางแล้วบอกว่า “หลังจากกลับจวนแล้ว ถ้าหากว่าคนในจวนถามเจ้า ว่าเจ้าเป็นอะไร ให้เจ้าบอกไปว่าเจ้าไม่ทันระวังหกล้มลงไป เลยทำให้ได้รับบาดเจ็บ ห้ามพูดนอกเหนือจากนี้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”


 


 


หงเอ๋อร์พยักหน้า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู จะไม่พูดอะไรนอกเหนือจากนี้เลยเจ้าค่ะ”


 


 


แล้วหลินหันเยียนก็ยังพูดอีกว่า “ร่างกายของเจ้าไม่ค่อยดีนัก เดินกลับไปข้าก็เป็นห่วง เอาอย่างนี้ ข้าจะไปบอกพ่อบ้าน ให้เขาจัดรถม้าให้เจ้าสักคัน”


 


 


“ขอบพระคุณคุณหนูที่ใส่ใจเจ้าค่ะ” พูดขอบคุณด้วยความเต็มใจ ตอนนี้หงเอ๋อร์ลืมไปหมดสิ้นที่เมื่อครู่โดนตีแทบตาย


 


 


หลังจากที่หงเอ๋อร์ได้รถม้าไปที่จวนหลินแล้ว พ่อบ้านก็เอาเรื่องนี้ไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียนโดยทันที


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ยังคงอยู่ที่จวนของหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อวี้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย อยู่ดีๆ หลินหันเยียนก็ส่งหงเอ๋อร์กลับไปที่จวนหลิน ไม่รู้ว่ากำลังจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตา ไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปาก “รู้แล้วล่ะ ออกไปได้แล้ว”


 


 


พ่อบ้านออกไป


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ลุกขึ้น “ข้าจะกลับไปดูหน่อย”


 


 


“เจ้ากลับไปตอนนี้ก็จะมีแต่ทำให้หลินหันเยียนสงสัยว่าพวกเราคอยสืบนางอยู่ มีแต่โทษไม่มีประโยชน์ อย่างไรเสียก็ทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากห้าม


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อวี้ละอายใจยิ่งนัก “พี่สะใภ้ใหญ่ ขออภัยขอรับ ข้าทำเรื่องให้พวกท่านวุ่นวาย ถ้าอย่างนั้น…”


 


 


ถ้าอย่างนั้นอะไร เขาไม่ได้พูดออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หลังจากแต่งงานกัน ก็ย้ายออกจากจวน ไปอยู่ที่จวนที่ซีเฉิงเสีย ประเดี๋ยวข้าจะออกคำสั่ง ให้คนรีบไปทำความสะอาดให้”


 


 


“ขอรับ” หวงฝู่อวี้ไม่ได้เอะใจ ดูจากนิสัยของหลินหันเยียนแล้ว จะไม่ก่อเรื่องอะไรอีกเป็นแน่ อยู่ห่างจากคนหมู่มาก ก็ยิ่งดี จะได้ไม่ทำให้ทุกคนพาลไม่สบายใจไปด้วย


 


 


หงเอ๋อร์กลับมาที่จวนหลิน เอาจดหมายในมือยื่นให้กับหลินจ้ง “นายน้อยเจ้าคะ คุณหนูส่งข้ากลับมาเพื่อส่งจดหมายฉบับนี้ให้กับท่าน”


 


 


หลินจ้งรับมา เปิดออก หลังจากที่อ่านเนื้อหาจดหมายเสร็จ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที


 


 


 


 


 


 


[1] เปลี่ยนเป็นแซ่เดียวกัน ในที่นี้หมายถึงการลดระดับตัวเอง เปรียบเปรยกับการที่ผู้หญิงเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับสามี 

 

 

 


ตอนที่ 378 ทะลุปรุโปร่ง

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินเห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก ก็เดินไปเอาจดหมายมาดูอย่างละเอียด ก็ตกใจเช่นเดียวกัน น้องสาวต้องการปลุกกำหนัดนี่มัน นี่มันเกินไปแล้ว นางไปเอาเรื่องเลวทรามพวกนี้มาจากที่ใดกัน บอกว่าเป็นการกระชับสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา  


 


 


เห็นหลินจ้งสีหน้าท่าทางทำอะไรไม่ถูก ฮูหยินก็ตะโกนเรียก “เซี่ยงกงเจ้าคะ” 


 


 


หลินจ้งได้สติ สีหน้าแสดงอาการโกรธ ดึงจดหมายจากมือของฮูหยินมา ฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันโกรธเกรี้ยวอย่างมิอาจข่มไว้ได้ “ต่อให้นางต้องตายก็อย่ามาทำให้คนในจวนต้องเดือดร้อนไปด้วย” 


 


 


หงเอ๋อร์ตกใจ ขาแข้งอ่อนแรง จนนั่งคุกเข่าลงไปกับพื้น  


 


 


หลินจ้งถามด้วยเสียงดุดัน “นอกจากให้เจ้ามาส่งจดหมายแล้ว แล้วยังกำชับอะไรเจ้าอีก” 


 


 


หงเอ๋อร์ผู้ไม่เคยเห็นหลินจ้งโกรธขนาดนี้มาก่อน ก็ตกใจจนร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แล้วตอบอย่างตะกุกตะกัก “คุณหนูบอกว่า ให้ข้าไปเยี่ยมฮูหยิน บอกกับฮูหยินว่า คุณหนูไม่ค่อยสบายนัก รอให้ผ่านไปอีกสักสองสามวันแล้วจะมาเยี่ยมนางเจ้าค่ะ” 


 


 


“นอกจากนี้ ยังมีอีกหรือไม่” หลินจ้งไม่เพียงแต่ใช้น้ำเสียงดุดันเท่านั้น ความกดดันก็แผ่ออกมาด้วย จนหงเอ๋อร์หายใจไม่ทั่วท้อง 


 


 


“ไม่มี ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูบอกมาเท่านี้เจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ส่ายหน้า พูดอย่างรวดเร็ว บนร่างกายนางที่ยังมีแผลอยู่ โดนความกดดันที่นายน้อยส่งมากดจนทำให้เจ็บปวดเข้าไปอีก 


 


 


หลินจ้งเก็บความกดดันที่ปล่อยออกมา หลับตาข่มความโกรธเก็บเข้าไปไว้ในใจ แล้วสั่งว่า “หลังจากที่เจอฮูหยินแล้ว รู้หรือไม่ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด” 


 


 


“ข้ารู้ๆ เจ้าค่ะ บ่าวก็แค่เป็นตัวกลางสื่อสารจากคุณหนูเท่านั้น พูดจบ ก็จะกลับทันทีเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ตอบรับ 


 


 


หลินจ้งโบกมือ ขาที่กำลังสั่นของหงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา เดินออกไปอย่างโซเซ ในใจหวาดกลัวเป็นอย่างมาก คุณหนูเขียนอะไรลงไปในนั้นกันแน่ เหตุใดนายน้อยถึงโกรธถึงเพียงนี้ 


 


 


เนื้อหาในจดหมายทำให้หลินจ้งและฮูหยินโกรธเป็นอย่างมาก เลยไม่ได้สังเกตว่าท่าทางการเดินของหงเอ๋อร์เซไม่เป็นปกติ แต่ฮูหยินหลินที่สายตาเฉียบคมสังเกตเห็น หรี่ตาแล้ววางมาดความเป็นฮูหยินราชเลขาถามว่า “ขาของเจ้าเป็นอะไรงั้นรึ” 


 


 


“ขอรายงานฮูหยิน บ่าวเดินไม่ระวังเลยหกล้มเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินหลินยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาอย่างสง่างาม ค่อยๆ ดื่ม แล้ววางลง “อ่อ งั้นหรือ” 


 


 


หงเอ๋อร์ก้มหน้า ไม่กล้าที่จะมองตานาง แล้วตอบกลับไปเบาๆ ว่า “เจ้าค่ะ” 


 


 


“หงเอ๋อร์ ข้าจำได้ว่าซุนเต๋อเป็นคนรักของเจ้าใช่หรือไม่” 


 


 


หงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น มีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ แล้วร้องเรียกออกมาด้วยความร้อนรน “ฮูหยินเจ้าคะ” 


 


 


“รนอะไรเล่า ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะขายเขา” ฮูหยินหลินค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ ทีละคำๆ จนจบ ในประโยคพยายามเน้นคำว่า ‘ขาย’ คำนี้ 


 


 


หงเอ๋อร์เข่าอ่อน คุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนและหวาดกลัว “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านอยากรู้อะไร บ่าวจะบอกท่านทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


“ขาเจ้าไปโดนอะไรมา” 


 


 


หงเอ๋อร์ไม่กล้าปิดบัง เลยตอบกลับไปตามตรง “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูตีเจ้าค่ะ” 


 


 


“เพื่ออันใด” 


 


 


“เพื่อ เอ่อ เพื่อ…” หงเอ๋อร์หลบสายตา พูดตะกุกตะกัก พูดไม่ออก 


 


 


“พูด!” ฮูหยินหลินเสียงดังตะคอกออกมา  


 


 


หงเอ๋อร์ตกใจจนแทบสติหลุด หลุดปากพูดออกมาว่า “คุณหนูอยากให้คุณชายรองรับบ่าว แต่บ่าวไม่ยอมเจ้าค่ะ” 


 


 


เพล้ง! เสียงหล่นลงพื้นของถ้วยชาที่อยู่ในมือของฮูหยินหลินเมื่อครู่นี้ ตกลงแตกละเอียด แล้วเสียงด่าก็ตามมา “นังทาส กล้าพูดเหลวไหลได้อย่างไร อย่างเจ้าเป็นคนถือรองเท้าให้เยียนเอ๋อร์ยังไม่เหมาะเลย แล้วนางจะให้คุณชายรองรับเจ้าได้อย่างไรกัน เหลวไหลทั้งเพ ข้าว่าเจ้าอยากตายเสียมากกว่า” 


 


 


หงเอ๋อร์ก้มกราบเสียงดัง ตึกตัก “ฮูหยินได้โปรดไว้ชีวิตบ่าวเถิด สิ่งที่บ่าวพูดเป็นความจริงเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินหลินถอนหายใจ หึ ออกมา “หรือเป็นเพราะเจ้าอยากจะนอนกับคุณชายรองแต่ไม่สำเร็จ อีกทั้งข้าไม่ได้ออกจากจวน เลยไม่รู้ความจริง เจ้าจึงตั้งใจพูดเช่นนี้ล่ะสิ” 


 


 


“ที่บ่าวพูดเป็นความจริงเจ้าค่ะ ไม่มีตรงไหนปิดบังฮูหยินเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


“งั้นเจ้าว่ามาสิ ทำไมเยียนเอ๋อร์ถึงต้องทำเช่นนี้” 


 


 


“เพราะว่า…” 


 


 


ฮูหยินหลินหรี่ตามองไปที่นางอีกครั้ง แล้วขู่ว่า “อย่างไรเสียข้าก็ยังเป็นฮูหยินของจวนแห่งนี้อยู่ การที่จะเอาคนใช้ออกสักคนสองคนนั้นก็ยังทำได้อยู่ เจ้าอยากลองหรือไม่” 


 


 


ภาพที่ฮูหยินหลินจัดการกับคนใช้เมื่อก่อนก็ลอยมา หงเอ๋อร์ก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ เลยพูดออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “เพราะว่าคุณหนูไม่สามารถมีลูกได้เจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ฮูหยินหลินตกใจจนลุกขึ้นยืน ตะคอกถาม 


 


 


หงเอ๋อร์ก็ตกใจจนตัวสั่นไปหมด แล้วพูดตามจริง “เมื่อวานร่างกายของคุณหนูไม่ค่อยสบายนัก เลยเชิญหมอหลวงจากในวังมาตรวจเจ้าค่ะ หมอหลวงเจียงบอกมาตามนี้เจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินหลินถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง จนล้มนั่งลงไปที่เก้าอี้ตามเดิม แล้วพูดพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ๆ” 


 


 


หงเอ๋อร์ก็ขยับตัวเล็กน้อย เพราะเมื่อครู่ที่ถ้วยน้ำชาตกลง มีบางส่วนที่อยู่ใต้หัวเข่าของนาง ทิ่มลงไปจนนางเจ็บปวด 


 


 


“นอกจากเจ้า แล้วยังมีใครรู้เรื่องนี้อีกหรือไม่” ฮูหยินหลินหันมาตวาดถามนาง 


 


 


“มีเพียงข้าและคุณหนู แล้วก็คุณชายรองรวมไปถึงหมอหลวงเจียงเจ้าค่ะ” 


 


 


ยังไม่แพร่กระจายออกไป ฮูหยินหลินก็โล่งอก ในสมองได้แต่คิดเรื่องเยียนเอ๋อร์ไม่สามารถมีลูกได้ ก็แสดงว่าไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่านางจะอยู่ในจวนอ๋องได้ ถ้าหากหวงฝู่อวี้เบื่อขึ้นมาล่ะก็ แล้วไปขอหญิงผู้อื่น แล้วถ้ายังมีลูกด้วยแล้วล่ะก็ เผลอๆ ตำแหน่งเมียหลวงของเยียนเอ๋อร์ก็จะรักษาไว้ไม่ได้ ไม่ได้ล่ะ นางจะไม่ให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด 


 


 


คิดได้เช่นนี้ ก็มองไปที่หงเอ๋อร์ 


 


 


หงเอ๋อร์ก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ตัวก็สั่นขึ้นมาอีกรอบ  


 


 


ฮูหยินหลินก็ถามด้วยน้ำเสียงปกติ “แล้ววันนี้ที่เจ้ากลับมาทำอันใดงั้นรึ” 


 


 


“คุณหนูให้บ่าวมาส่งจดหมายให้กับนายน้อยเจ้าค่ะ” 


 


 


“แล้วจดหมายล่ะ เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ” 


 


 


“ให้นายน้อยไปแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่า หลังจากที่นายน้อยอ่านจบ สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก เลยฉีกจดหมายไปแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


ฉีกจดหมาย ฮูหยินหลินขมวดคิ้ว ได้แต่คิดว่าเยียนเอ๋อร์เขียนอะไรในจดหมายถึงได้ทำให้หลินจ้งโกรธได้ขนาดนี้ 


 


 


หงเอ๋อร์ก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฮู ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูยังรอบ่าวกลับไปรายงาน ถ้าหากว่าท่านไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยก็จะกลับแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินหลินก็คิดอะไรออกขึ้นมา ทันใดนั้นก็เข้าใจทันทีว่าหลินหันเยียนเขียนอะไรให้หลินจ้ง แล้วมองไปที่หงเอ๋อร์อีกครั้ง พบว่านางก็ใบหน้าสะสวยอยู่เหมือนกัน กำลังคิดว่าจะบอกเยียนเอ๋อร์ตอนนี้เลยดีหรือไม่ ว่าพอถึงเวลานั้นก็ฆ่าแม่แล้วเหลือลูกเอาไว้ เพื่อจะได้ตัดไฟแต่ต้นลม 


 


 


หงเอ๋อร์โดนนางมองจนทำตัวหดลง อดไม่ได้ที่จะบิดไปมา สายตาของฮูหยินนั้นร้ายกาจ เย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างกับมองคนตาย 


 


 


“เอาล่ะ เรื่องวันนี้ข้าผิดเอง ที่โทษเจ้า” พูดจบ ก็ลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เปิด**บเครื่องประดับออก ค้นไปหามา ถึงหากำไรเงินอันหนึ่งเจอ ยื่นให้หงเอ๋อร์ “อันนี้ ถือเสียว่าเป็นเครื่องชดใช้จากข้าแล้วกัน” 


 


 


หงเอ๋อร์ชะงักไป เงยหน้า มองไปที่ฮูหยินหลินผู้สูงส่ง ตกใจจนไม่กล้าตอบรับ “ฮู ฮูหยินเจ้าคะ” 


 


 


“เอาไปเถอะ ข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าเปล่าๆ วันหลังถ้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเยียนเอ๋อร์ เจ้าต้องหาวิธีมาบอกข้าให้เร็วที่สุด แล้วก็ อีกประเดี๋ยวช่วยนำคำพูดของข้าไปบอกเยียนเอ๋อร์ด้วย” 


 


 


“ฮูหยินมีคำพูดอะไรบอกบ่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ บ่าวจะบอกกับคุณหนูทั้งหมด ส่วนกำไลชิ้นนี้บ่าวรับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ตกใจจนใจเต้นแรง ก้มหน้าลงพูดเสียงเบา 


 


 


ฮูหยินหลินนั่งย่อลงมา จับมือของนาง แล้วใส่กำไลเงินให้นางด้วยตนเอง แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ “แม้ว่ามือของเจ้าจะสากไปหน่อย แต่ฝ่ามือก็ขาวสะอาด ทำให้กำไลเงินชิ้นนี้ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่” 


 


 


แต่หงเอ๋อร์กลับรู้สึกว่ากำไลที่ใส่อยู่ที่ข้อมือนั้นร้อนแรงยิ่งกว่าอะไร ร้อนจนหนังของตนเจ็บปวดไปหมด แต่ก็ไม่กล้าถอดออกมา แล้วพูดขอบคุณเสียงสั่นว่า “ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินหลินลุกขึ้น กลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม “ลุกขึ้นเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” 


 


 


หงเอ๋อร์ลุกขึ้น ก็รู้สึกว่าขานั้นเมื่อยเป็นอย่างมาก แทบจะยืนไม่ไหว 


 


 


ฮูหยินหลินดูถูกอยู่ในใจ แกมันก็แค่ตัวสำรอง แต่ใบหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่กลับยังยิ้มให้ “เจ้ากลับไปบอกเยียนเอ๋อร์ บอกให้นางคิดหาวิธีให้คุณชายรองช่วยเหลือ คิดหาวิธีขอเข้าพบกูกูผู้ดูแลข้างกายไทเฮาให้ได้ แล้วบอกเรื่องในจวนของข้าตามความจริง ให้นางคิดหาวิธีช่วยเหลือ ส่วนเรื่องอื่น ไม่ต้องพูดแล้ว” 


 


 


หงเอ๋อร์ตอบรับ  


 


 


ฮูหยินหลินโค้งตัวลงไป แล้วหยิบ**บหนึ่งขึ้นมาจากใต้โต๊ะ เปิดออก หยิบกระเป๋าออกมา แล้วกวักมือเรียกหงเอ๋อร์เข้ามา 


 


 


หงเอ๋อร์เดินเข้าไป ฮูหยินหลินเอากระเป๋าวางไว้ในมือของนาง แล้วตีเบาๆ พูดว่า “เจ้ากลับไปบอกเยียนเอ๋อร์ สิ่งที่นางต้องการอยู่ข้างในนี้” 


 


 


หงเอ๋อร์ถือกระเป๋านั้นเอาไว้อย่างแน่น พูดว่า “ฮูหยินโปรดวางใจเจ้าค่ะ หลังจากที่บ่าวกลับไปแล้ว จะรีบมอบให้กับคุณหนูทันทีเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินหลินส่ายหน้า บอกให้หงเอ๋อร์แบมือออก แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมา ในขณะที่นางกำลังประหลาดใจอยู่นั้น ฮูหยินหลินก็เอากระเป๋ายัดลงไปที่หน้าอกของนาง แล้วจัดรูปให้เรียบร้อย เมื่อรู้สึกว่าจะไม่มีใครมองออกแล้ว ถึงพยักหน้าอย่างพอใจว่า “ในนี้เป็นของล้ำค่า เจ้าจะต้องเก็บมันไว้ให้ดี อย่าให้ใครก็ตามเจอมัน รวมไปถึงนายน้อยและภรรยาของเขาก็ให้เห็นไม่ได้” พูดจบ แล้วตบเบาๆ ที่บ่าของหงเอ๋อร์ “ขอแค่เจ้าทำเรื่องนี้ให้ดี ข้าไม่เพียงแต่จะให้เจ้าได้แต่งงานกับหวางเต๋อของเจ้า แต่รวมไปถึงสัญญาการซื้อตัวของพวกเจ้าข้าก็จะคืนให้” 


 


 


เมื่อได้ยินชัดเจนแล้ว หงเอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างมาก ไม่มีกะจิตกะใจจะไปคิดว่าเหตุใดฮูหยินหลินถึงทำเช่นนี้ ทำแต่เพียงโค้งคำนับ “ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะๆ” 


 


 


ฮูหยินหลินโบกมือ “เอาล่ะ กลับไปเถอะ เยียนเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” 


 


 


หงเอ๋อร์เดินออกไปอย่างหน้าชื่นตาบาน  


 


 


ฮูหยินหลินมองไปที่นาง ก็หัวเราะออกมา รอให้เยียนเอ๋อร์ฆ่าแม่เพื่อเอาลูกเสร็จแล้ว นางก็ใจดีจะส่งซุนเต๋อไปอยู่เป็นเพื่อนนางด้วย ถึงตอนนั้นสัญญาการซื้อตัวก็จะเผาส่งให้ด้วยเช่นกัน 


 


 


คนที่ได้รับคำสั่งจากหลินจ้งให้มาคอยติดตามนาง เมื่อเห็นนางเดินออกมา ก็ยังคงเดินโซเซไม่ปกติ นอกจากอารมณ์ดีแล้ว ก็ไม่มีอะไรติดตัวออกมา เลยรีบกลับไปรายงานให้หลินจ้ง 


 


 


หลินจ้งฟังจบ ก็โบกมือให้เขาออกไป “ในเมื่อไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ไม่ต้องไปสนใจนางแล้ว แต่ว่าท่านแม่ทางนั้น พวกเจ้าต้องคอยสังเกตตลอดเวลา” 


 


 


ทหารตอบรับ แล้วออกไป 


 


 


สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินกลับรู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็พูดออกมาไม่ได้ 


 


 


ไม่มีใครมาห้าม หงเอ๋อร์ก็ออกจากจวนหลินได้อย่างราบรื่น ขึ้นรถม้ากลับจวน แล้วเอากระเป๋าที่ฮูหยินหลินฝากมา ให้กับหลินหันเยียนก่อน “คุณหนูเจ้าคะ หลังจากที่นายน้อยอ่านจดหมายของท่านจบ ก็โกรธจนฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ อันนี้ฮูหยินหลินให้ท่านมา บอกว่าในนี้เป็นสิ่งที่คุณหนูต้องการเจ้าค่ะ” 


 


 


หลินหันเยียนรับมา คลำๆ ดู รู้สึกว่าข้างในจะเป็นผงยา เลยโล่งอก แล้วถามต่อว่า “ท่านแม่ยังบอกว่าอะไรอีกหรือไม่” 


 


 


หงเอ๋อร์ก็เอาคำพูดที่ฮูหยินหลินพูดบอกให้กับนางอย่างไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย  


 


 


หลินหันเยียนฟังจบก็ขมวดคิ้ว ท่านแม่กับพระชายาฉีอีกทั้งกูกูผู้ดูแลไทเฮาทั้งสามคนเป็นเพื่อนสนิทกันนั้นนางรู้ แต่จะว่าไป กูกูเป็นแค่สาวรับใช้แก่ในวังคนหนึ่ง จะช่วยอะไรได้ แล้วก็โบกมือ “รู้แล้วล่ะ เจ้าก็เหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด วันนี้ไม่ต้องมาดูแลข้าแล้ว” 


 


 


หงเอ๋อร์ก็กลับไปพักผ่อนอย่างน่าชื่นตาบาน  


 


 


หลินหันเยียนเปิดกระเป๋าออก สอดมือเข้าไป หยิบห่อกระดาษออกมา กางออกมาที่มือ แล้วยิ้มมุมปากออกมาด้วยความดีใจ 


 


 


หลายวันต่อมา หวงฝู่อวี้ไม่ได้กลับมาที่เรือนของตนเลย กลางวันก็ยุ่งอยู่กับกิจการการค้าของจวน ส่วนกลางคืนก็กลับไปนอนที่ห้องรับแขกตามเดิม 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ถามอะไร 


 


 


หลินหันเยียนก็ไม่ได้ส่งคนไปสืบเสาะ นางไม่ออกไปไหน ไม่ส่งเสียงโวยวาย กลับมาเป็นคุณหนูที่สดใสตามเดิม 


 


 


คนที่ดูแลอยู่ในเรือนต่างก็โล่งอก แต่หวงฝู่อวี้กลับรู้สึกแปลกๆ ยิ่งไม่อยากกลับเรือนของตนเองเข้าไปใหญ่ ในทุกวันจะกลับก็ต่อเมื่อปิดประตูจวนแล้วเท่านั้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไปหาพระชายาฉี ปรึกษาเรื่องวันแต่งงานของทั้งสองคน “หลังจากนี้หนึ่งเดือน ฤดูใบไม้ผลิ อากาศแจ่มใส เป็นวันมงคลเหมาะแก่การแต่งงาน” 


 


 


หลังจากที่หวงฝู่อวี้รู้ ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร แล้วส่งคนไปบอกหลินหันเยียน 


 


 


หลินหันเยียนดีใจเป็นอย่างมาก น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มไหลริน แล้วสั่งหงเอ๋อร์ว่า “เร็วเข้า รีบไปเชิญคุณชายรองกลับมาเร็วเข้า ให้คนครัวจัดสำรับเพิ่ม คืนนี้พวกเราจะมาฉลองกัน” 


 


 


หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้ววิ่งไปที่หาหวงฝู่อวี้ที่ห้องรับแขก รายงานคำพูดที่หลินหันเยียนบอกกับเขา 


 


 


วันแต่งงานได้ถูกกำหนดแล้ว ต่อจากนี้พวกเขาก็จะกลายเป็นสามีภรรยาจริงๆ แล้ว หวงฝู่อวี้ก็ดีใจ ลืมสิ้นความโศกเศร้าเมื่อหลายวันที่ผ่านมา บอกว่า “เจ้ากลับไปบอกคุณหนูของเจ้า อีกประเดี๋ยวข้าจะกลับไป” 

 

 

 


ตอนที่ 379 โกรธจนถึงขีดสุด

 

หงเอ๋อร์กลับไปรายงานให้กับหลินหันเยียน 


 


 


หลินหันเยียนจึงหัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะที่ออกมาจากหัวใจ ตัวนางราวกับปกคลุมไปด้วยความปีติยินดี  


 


 


หงเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจจนตาทั้งสองข้างถลนออกมา จึงพูดออกมาว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านไม่ได้หัวเราะออกมาแบบนี้นานมากแล้วนะเจ้าคะ” 


 


 


“งั้นหรือ” 


 


 


หงเอ๋อร์พยักหน้าไม่หยุด เหมือนกลัวว่าหลินหันเยียนจะไม่เชื่อตน 


 


 


หลินหันเยียนก็หัวเราะออกมายิ่งกว่าเดิม “หงเอ๋อร์ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้ากับข้าจะต้องใกล้ชิดกันยิ่งกว่านี้เสียอีก” 


 


 


หงเอ๋อร์ไม่เข้าใจความหมายแฝงของคำพูดนั้น จึงยิ้มแล้วพยักหน้า “เจ้าค่ะ ต่อจากนี้ถ้าคุณชายรองไม่อยู่ที่จวน ข้าจะไม่อยู่ห่างจากคุณหนูเลยแม้แต่นิดเดียวเจ้าค่ะ” 


 


 


หลินหันเยียนก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม แล้วยื่นมือเข้าไปจับผงยาที่อยู่ในชายเสื้อของตน แล้วสั่งว่า “เจ้าเข้าไปดูในห้องครัวว่าเตรียมสำรับเสร็จหรือยัง ไปเอาเหยือกสุราจากพ่อบ้านมาด้วย” 


 


 


หงเอ๋อร์เดินออกไปด้วยความดีใจ  


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินหันเยียนหายไป แล้วมองไปที่โต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คิดว่าอีกครู่หนึ่งตนจะลงมือเช่นไรดี จะเอายาใส่ลงในสุราหรือในสำรับดี  


 


 


สั่งให้คนนำน้ำมา ชะล้างร่างกายของตนจนสะอาด แล้วหวงฝู่อวี้ก็เดินออกมาจากห้องรับแขกอย่างอารมณ์ดี เตรียมพร้อมที่จะเดินไปที่เรือนของตน  


 


 


และโจวอันก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขา แล้วยื่นขวดดินเผาให้ “คุณชายรองขอรับ ซื่อจื่อเฟยสั่งให้ข้าเอาสิ่งนี้มาให้ท่าน ถ้าหากว่าท่านตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ให้ท่านกินยาที่อยู่ในนี้ก็พอ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ประหลาดใจ คิดอยากถามให้ชัดเจนว่าเหตุใดถึงให้ยาเม็ดนี้มา แต่โจวอันประสานมือแล้วขอตัวลาไปอย่างรวดเร็ว  


 


 


คิดไปคิดมา หวงฝู่อวี้ก็เอาขวดยาเก็บเข้าไปในชายเสื้อตน พี่สะใภ้ใหญ่ให้ยากับตน จะต้องมีเหตุผลของนางเป็นแน่ อย่างไรเสียเก็บไว้ให้ดีๆ กว่า  


 


 


เขาในตอนนี้ยังไม่รู้ว่าหลินจ้งสองสามีภรรยาหลังจากที่คิดอยู่หลายวัน จึงส่งคนมารายงานเรื่องที่หลินหันเยียนกลับจวนมารบเร้าขอยาปลุกกำหนัดกับเมิ่งเชี่ยนโยว  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้เจตนาของหลินหันเยียนทันที จึงสั่งให้คนคอยสอดส่องนางอยู่ตลอดเวลา จนมาถึงวันนี้ที่นางอาศัยโอกาสที่หวงฝู่อวี้กลับไปกินข้าวที่จวน นางเลยสั่งให้โจวอันนำยาแก้มาให้กับเขา ขณะเดียวกันก็ถอนหายใจ และหวังว่าหลินหันเยียนจะไม่ทำเรื่องเช่นนั้น มิเช่นนั้นเขาทั้งสองคนคงต้องถึงจุดจบเป็นแน่ อีกทั้งในจวนแห่งนี้จะไม่มีที่ให้นางยืนอีกต่อไป 


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเคร่งขรึมเกินจะบรรยาย ถึงขั้นเรียกว่าโกรธจนพายุเข้ารุนแรงเลยก็ว่าได้ หลินหันเยียนช่างไม่รู้จักประมาณตน ในเมื่อกล้าที่จะทำร้ายอวี้เอ๋อร์ครั้งแล้วครั้งเล่า นางคิดว่าเขาเอ็นดูอวี้เอ๋อร์ แล้วจะไม่กล้าทำโทษนางหรือไร 


 


 


สำรับจากห้องครัวทยอยออกมา หงเอ๋อร์นำสุราชั้นดีมาจากพ่อบ้าน จัดสำรับอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินออกไป 


 


 


“หงเอ๋อร์ เจ้าเฝ้าอยู่ด้านนอกไปก่อน ถ้าข้ามีเรื่องอันใดจะเรียกเจ้า” 


 


 


หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้วออกไป 


 


 


หลินหันเยียนเอาห่อกระดาษออกมา แล้วโรยผงยาลงไปในสำรับที่หวงฝู่อวี้ชอบกิน  


 


 


ผงยาละลายได้ดีในสำรับที่กำลังร้อนๆ ไม่มีร่องรอยเลยแม้นิดเดียว  


 


 


แล้วหงเอ๋อร์ก็ร้องเรียกออกมาด้วยความยินดี “คุณชายรอง กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” 


 


 


พูดจบ ม่านประตูเปิดออก หวงฝู่อวี้เดินเข้ามา  


 


 


หลินหันเยียนก็ยิ้มออกมา ทั้งดีใจทั้งเขินอาย “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านกลับมาแล้ว” 


 


 


นานแล้วที่ไม่ได้เจอหลินหันเยียนมีท่าทางทั้งเขินทั้งอาย หวงฝู่อวี้ห่อไหล่ สีหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกผิด “เยียนเอ๋อร์ ข้าขอโทษ หลายวันนี้ข้า… …” 


 


 


“ข้าไม่โทษท่านพี่เจ้าค่ะ ล้วนเป็นความผิดของข้า เป็นเพราะข้าทำให้ท่านต้องลำบากใจ ข้าจะชดใช้ให้พี่อวี้เองเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนยิ้มให้หวงฝู่อวี้เห็นถึงรอยยิ้มบนใบหน้าที่มาจากใจของตน  


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ เดินเข้าไปกอดนางเอาไว้ในอ้อมอก “เยียนเอ๋อร์ ข้าขอรับประกัน ว่านี่เป็นครั้งแรก และจะเป็นครั้งสุดท้าย ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว” 


 


 


หลินหันเยียนก็พยักหน้าในขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของหวงฝู่อวี้ น้ำเสียงออดอ้อน “ข้าเชื่อพี่อวี้เจ้าค่ะ” 


 


 


พูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม แล้วออกจากอ้อมกอดของหวงฝู่อวี้ ลากเขาไปนั่งที่โต๊ะ ยกตะเกียบขึ้น คีบอาหารที่เขาชอบวางลงในจานให้กับเขา แล้วพูดว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ข้าสั่งให้แม่ครัวจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ เป็นของที่ท่านชอบทั้งนั้นเลย กินเยอะๆ เลยนะเจ้าคะ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ยกตะเกียบขึ้นด้วยความดีใจ แล้วกินเข้าไปจนหมดอย่างสง่างาม 


 


 


แต่หลินหันเยียนไม่ได้กิน ได้แต่นั่งมองจ้องไปที่เขา ดวงตากลมโตของนางแอบแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและความหวานหยาดเยิ้ม ดวงตาคู่นั้นเปล่งกระกาย ทำให้หวงฝู่อวี้ใจเต้นแรงเป็นอย่างมาก  


 


 


หวงฝู่อวี้กินสำรับที่อยู่ในจานอย่างไม่ลังเล แล้ววางตะเกียบลง 


 


 


แล้วหลินหันเยียนก็คีบให้เขาอีก แล้วเติมสุราจนเต็มอีกสองจอก ยกจอกสุราในมือของตนขึ้น “พี่อวี้เจ้าคะ จอกนี้เพื่อท่าน เมื่อหลายวันก่อนเยียนเอ๋อร์ไม่รู้ความ จอกนี้ถือว่าข้าขอโทษท่านเจ้าค่ะ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ขยับ แล้วพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ได้กินข้าว ท้องว่างแล้วดื่มสุรามันไม่ดีนะ” 


 


 


“พี่อวี้วางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าแค่เพียงจิบๆ เท่านั้น ไม่เป็นผลต่อร่างกายหรอก แต่ท่านสิดื่มเยอะหน่อยเถอะเจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันดีที่หาได้ยากยิ่งนักเจ้าค่ะ” 


 


 


“เยียนเอ๋อร์มีข่าวดีอะไรอย่างนั้นหรือ” หวงฝู่อวี้ฟังจากคำพูดนางแล้วถาม 


 


 


“รอจนในที่สุดพี่อวี้ก็กลับมา นับเป็นเรื่องดีหรือไม่” หลินหันเยียนถามกลับอย่างหยอกล้อ 


 


 


หน้าของหวงฝู่อวี้แดงขึ้น ไม่พูดอะไร ยกจอกสุราขึ้น เงยหน้าขึ้นกระดกดื่มจนหมดจอก 


 


 


หลินหันเยียนเติมให้เขาอีก แล้วขอร้องเขาว่า “พี่อวี้เจ้าคะ หลายวันก่อนข้าได้ทำร้ายจิตใจของหงเอ๋อร์ ข้าอยากอาศัยโอกาสวันนี้ ชดใช้ให้กับนางต่อหน้าท่าน ได้หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


แต่ก่อนตอนที่พระชายารองเฮ่อเป็นผู้ดูแลจวน กฎระเบียบต่างๆ นั้นเข้มงวดเป็นที่สุด เจ้านายก็คือเจ้านาย บ่าวก็คือบ่าว ต่อให้เจ้านายทำผิด แต่ก็ไม่เคยมีใครต้องชดใช้ให้กับบ่าวเลย ความคิดเช่นนี้ได้แทรกซึมเข้ายันกระดูกของหวงฝู่อวี้มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อฟังจบ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จนรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของหลินหันเยียนหายไป แล้วจึงพยักหน้า 


 


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่อวี้ใจดีที่สุดเลย” รอยยิ้มกลับไปอยู่บนใบหน้าของหลินหันเยียนอีกครั้ง น้ำเสียงก็ใสแจ๋วขึ้นมาทันที 


 


 


ความเคลือบแคลงใจของหวงฝู่อวี้ก็หายไปหมดสิ้น แล้วยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


“หงเอ๋อร์!” หลินหันเยียนตะโกนเรียก 


 


 


หงเอ๋อร์ตอบรับแล้วเข้ามา “เจ้าคะคุณหนู!” 


 


 


หลินหันเยียนก็ตบลงไปที่เก้าอี้ด้านข้างตน แล้วพูดว่า “มานั่งตรงนี้สิ” 


 


 


หงเอ๋อร์รีบโบกมือ “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ” 


 


 


“เยียนเอ๋อร์ให้เจ้านั่ง ก็นั่งเสีย” หวงฝู่อวี้พูดเพราะไม่อยากเห็นท่าทางผิดหวังของหลินหันเยียน  


 


 


หงเอ๋อร์รีบปฏิเสธโดยทันที “คุณชายรอง อย่างไรเสียก็ไม่เหมาะสม บ่าวไม่บังอาจเจ้าค่ะ” 


 


 


“ช่างเถอะ” หลินหันเยียนห้าม “ถ้าหากว่าพี่อวี้ไม่ถือสา ข้าจะนำอาหารลงไปให้หงเอ๋อร์กินด้านหลังได้หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


สิ่งนี้ตรงกับที่หวงฝู่อวี้คิด จึงพยักหน้าอนุญาต  


 


 


หลินหันเยียนหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบสำรับให้กับนาง แล้วยื่นให้กับหงเอ๋อร์ที่ชะงักและกำลังงุนงงกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดว่า “ข้ายอมขอโทษเจ้าต่อหน้าพี่อวี้ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมนั่งกินข้าวกับพวกเรา ข้าก็จะไม่ฝืนเจ้า เจ้าเอาพวกนี้กลับไปกินที่ห้องเถิด ที่นี่ไม่มีอะไรให้เจ้าดูแลแล้ว” 


 


 


หงเอ๋อร์รับไป ทำความเคารพ แล้วยกถาดเดินออกไป 


 


 


แล้วหลินหันเยียนก็คีบสำรับที่หวงฝู่อวี้ชอบ วางลงบนจานที่อยู่ตรงหน้าเขา หลังจากนั้นก็คีบเอาสิ่งที่ตนชอบกินเข้าไปเพียงเล็กน้อย  


 


 


หวงฝู่อวี้ดีใจเป็นอย่างมาก กินเข้าไปอย่างไม่ลังเล 


 


 


หลินหันเยียนยิ้มมุมปาก แล้วคีบสำรับให้เขาเรื่อยๆ  


 


 


ดังนั้น สำรับส่วนมากก็ได้ตกลงไปในท้องของหวงฝู่อวี้นั่นเอง 


 


 


รอยยิ้มมุมปากของหลินหันเยียนก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ 


 


 


หวงฝู่อวี้สังเกตได้ถึงความผิดปกติ ในใจก็ได้แต่สงสัย ความร้อนในร่างกายก็เริ่มวูบวาบขึ้นทันที  


 


 


“เยียนเอ๋อร์!” เสียงตะเกียบที่อยู่ในมือหล่นลงบนโต๊ะ หวงฝู่อวี้มองหลินหันเยียนอย่างไม่เชื่อสายตา 


 


 


หลินหันเยียนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วยิ้มถามว่า “พี่อวี้มีอะไรหรือเจ้าคะ” 


 


 


“เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร” ความอารมณ์ดีของหวงฝู่อวี้ได้มลายหายไปในพริบตา เจ็บใจจนถึงที่สุด กัดฟันถาม ในใจไม่อยากจะเชื่อว่าหลินหันเยียนจะทำเช่นนี้ 


 


 


หลินหันเยียนยังคงยิ้มอยู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่อวี้เจ้าคะ ข้าก็ไม่อยากจะทำเช่นนี้แต่จำใจจะต้องทำ ใครใช้ให้ท่านไม่ทำตามข้า ไม่รับหงเอ๋อร์กันเล่า” 


 


 


โครม! หวงฝู่อวี้โกรธจนคว่ำโต๊ะลง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า… …” ยังพูดไม่ทันจบ ร่างกายก็ร้อนรุ่มเป็นที่สุด ภาพตรงหน้าก็เริ่มเลือนราง 


 


 


หงเอ๋อร์เดินกลับไปที่ห้องของตนเองอย่างเชื่อฟัง บ่าวที่คอยดูแลอยู่ในจวนเมื่อได้ยินความเคลื่อนไหว ก็มองหน้ากันไปมา ไม่รู้จะทำเช่นไรดี  


 


 


เฮ่ออีตกใจ จึงตะโกนเรียก “คุณชายรอง” แล้วมีเสียงฝีเท้ากำลังจะก้าวเข้าไปที่ด้านใน  


 


 


“อย่าเข้ามา!” หลินหันเยียนพูด ราวกับว่านางและหวงฝู่อวี้กำลังทำอะไรที่ห้ามให้คนอื่นเห็นอย่างไรอย่างนั้น  


 


 


เมื่อได้ยินเสียงของนาง เฮ่ออีก็หยุด แล้วหน้าแดงถอยออกไป แอบดีใจที่ตนไม่ได้พุ่งเข้าไปโดยทันที ถ้าหากว่าได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นล่ะก็ คอของตนต้องหลุดจากบ่าอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ จึงเดินถอยออกไปให้ห่างจากตัวเรือน  


 


 


ภายในห้อง ความร้อนในร่างกายของหวงฝู่อวี้ก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว หลินหันเยียนไม่ได้เข้าไปพยุง แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเรียกหงเอ๋อร์มาให้เจ้าค่ะ” 


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ได้สนใจนาง อาศัยจังหวะที่ยังมีสติอยู่ ก็ใช้มือที่สั่นเทาของตนล้วงเข้าไปที่ชายเสื้อหยิบขวดดินเผาออกมา เปิดออก แล้วเงยหน้ากินยาที่อยู่ในขวดนั้นเข้าไป 


 


 


หลินหันเยียนเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา แล้วร้องตะโกนออกมาว่า “พี่อวี้ ท่านกินอะไรเข้าไป” 


 


 


หวงฝู่อวี้หลับตา กลืนยาเม็ดนั้นลงไป รอให้ความร้อนในร่างกายหายไป 


 


 


หลินหันเยียนลนลาน รีบขึ้นมาจับตัวของหวงฝู่อวี้เขย่าไปมา “พี่อวี้ คายออกมาเดี๋ยวนี้นะ คายออกมา!” 


 


 


หวงฝู่อวี้สะบัดอย่างแรงหนึ่งที หลินหันเยียนล้มลงจนร้องโอ้ย ร่างกายไปชนกับสิ่งของที่อยู่ในเรือนจนกระจายระเนระนาด 


 


 


ครั้งนี้บ่าวทั้งหลายก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ล้วนวางสิ่งที่ตนทำอยู่ลง แล้ววิ่งหนีไปจากบริเวณเรือนนั้น ล้อเล่นไป ขนาดเฮ่ออียังหลบ แล้วบ่าวทั้งหลาย หากพวกนางยังแอบฟังอยู่ที่กำแพงล่ะก็ จะต้องโดนเจ้านายเล่นงานจนน่าอนาถเป็นแน่ 


 


 


ดังนั้น ไม่มีใครได้ยินเสียงครวญครางของหงเอ๋อร์ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ที่อยู่ห้องข้างๆ เลย 


 


 


ยานั้นทำให้ความร้อนในร่างกายค่อยๆ สลายหายไป หวงฝู่อวี้ก็เบิกตาโต มองไปยังหลินหันเยียนที่กองอยู่กับพื้นอย่างไม่มีเยื่อใย  


 


 


หลินหันเยียนรู้สึกถึงสายตาของเขา จึงหยุดร้อง แล้วเงยหน้ามองเขา ในขณะที่มองไปที่ดวงตาอันไร้เยื่อใยของเขา ใจก็ประหวั่น น้ำเสียงสั่นเครือ “พี่ พี่อวี้ เจ้าคะ” 


 


 


เขาลุกขึ้นมา เดินไปตรงหน้านาง หวงฝู่อวี้คุกเข่าลง มองไปที่นาง พูดออกมาทีละคำอย่างชัดถ้อย “เยียนเอ๋อร์ นับแต่นี้ไป เจ้ากับข้าขาดกัน! ข้าจะจัดคนส่งเจ้ากลับจวนหลิน นับแต่นี้ไปเจ้าจะเป็นหรือตายล้วนไม่เกี่ยวกับข้า” 


 


 


หลินหันเยียนเบิกตาโพลง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน  


 


 


หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นมาอย่างไม่ไยดี อยากเดินออกไปจากที่ตรงนั้น 


 


 


หลินหันเยียนก็รู้สึกได้ เข้าไปกอดขาของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วพูดขอร้องอ้อนวอน “พี่อวี้เจ้าคะ ข้าผิดไปแล้วๆ ที่ข้าทำลงไปเช่นนี้ เป็นเพราะข้ารักท่านมาก ข้ากลัวว่าจะเสียท่านไป” 


 


 


“ปล่อย!” หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด  


 


 


หลินหันเยียนส่ายหน้าร้องไห้ น้ำตาไหลริน หยดลงเสื้อของหวงฝู่อวี้ “ข้าไม่ปล่อยๆ พี่อวี้เจ้าคะ ท่านให้อภัยข้าด้วยเถิด ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว” 


 


 


หวงฝู่อวี้หันกลับมามองไปที่นาง 


 


 


หลินหันเยียนนึกว่าเขาจะใจอ่อนอีกครั้งหนึ่งให้อภัยนาง หวงฝู่อวี้โน้มตัวลง ยื่นมือออกมาแกะมือของหลินหันเยียนออกจากขาของเขาทีละนิ้วๆ ไม่พูดอะไรเลยสักคำ แล้วมุ่งเดินออกไปที่ด้านนอก 


 


 


“พี่อวี้ ท่านจะบีบให้ข้าตายอย่างนั้นหรือ” หลินหันเยียนพูดตะโกนตามออกไปด้วยความเจ็บปวด 


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของนาง แล้วเดินออกไป 


 


 


“ได้ ในเมื่อท่านไร้เยื่อใยกับข้าเช่นนี้ ข้าจะตายให้ท่านดู ให้ท่านเสียใจไปตลอดชีวิต” พูดจบ ก็มีเสียง ตุบ ชนเข้าไปที่กำแพง 


 


 


หวงฝู่อวี้หันหลังกลับไป ร่างกายของหลินหันเยียนล้มลงไปกองกับพื้น ที่หน้าผากมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด  


 


 


มองนางที่ล้มลงกับพื้น อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย สุดท้ายก็สงบลง กลับมาเย็นชาดังเดิม  

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)