ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 370-375
ตอนที่ 370 ข่มขู่
หลินหันเยียนเงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตา แล้วมองไปที่ฮูหยินหลินด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“ลุกขึ้นมา!” เมื่อเห็นว่านางไม่เข้าใจในความหมายของตน ฮูหยินหลินก็รีบร้อนตะคอกใส่นาง
หลินหันเยียนลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่”
“ไป!”
ฮูหยินหลินไม่พูดอะไรทั้งสิ้น รุดเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
หลินหันเยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินออกจากเรือนตามไป หงเอ๋อร์ก็ไม่เข้าใจ แล้วจึงเดินตามออกไปเช่นกัน
เมื่อเข้ามาที่เรือนของพระชายาฉี หลิงหลงก็เห็นพวกนาง เลยออกมาต้อนรับ “ฮูหยินหลิน พวกท่าน…”
“ซู่อิงอยู่หรือไม่ ข้ามีเรื่องพบนาง”
“พระชายากำลังดูเด็กน้อยอยู่ อย่างนั้นฮูหยินหลินรอประเดี๋ยวก่อนค่อยมาใหม่ได้หรือไม่” หลิงหลงปฏิเสธอ้อมๆ
ฮูหยินหลินได้ยินดังนั้นก็รู้ว่านางต้องการสื่ออะไร แต่ก็ไม่ได้สนใจ ตะโกนเข้าไปด้านในจวน “ซู่อิง ข้ามาถึงจวนอ๋องแต่เจ้ากลับไม่ออกมาพบข้า เช่นนี้เจ้ากำลังหยามข้าอยู่อย่างนั้นหรือ”
เด็กน้อยทั้งสองคนกำลังผล็อยหลับไปในอ้อมอกของอ๋องฉีและพระชายาฉี เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนี้ ตัวก็กระตุกเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมา
สีหน้าอ๋องฉีไม่พอใจเป็นอย่างมาก รอบตัวแผ่ความเกรี้ยวโกรธออกมา อ้าปากอยากที่จะออกคำสั่งให้องครักษ์เงาจับตัวฮูหยินหลินออกไป
พระชายาฉีหูตาไวก็ห้ามเขาเอาไว้ได้ทัน ส่ายหน้าให้กับอ๋องฉี คนทั้งเมืองต่างรู้ว่านางและเตี๋ยชิงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นดีงามต่อกัน ถ้าให้คนจับตัวนางออกไปตอนนี้ เกรงว่าทุกคนจะคิดว่าเป็นเพราะจวนราชเลขากำลังจะล้ม จวนอ๋องจึงเห็นพวกนางกลายเป็นคนไร้ค่าไปเสียแล้ว
“ให้นางไปไกลๆ เสีย” น้ำเสียงของอ๋องฉีไม่พอใจเป็นอย่างมาก
พระชายาฉีตอบรับอย่างเบาๆ แล้วเอาเด็กวางลงบนรถเข็นเด็ก ออกไปต้อนรับ แล้วยิ้มแย้มทักทายว่า “ข้าเตรียมจะไปหาเจ้าวันพรุ่งนี้ คิดไม่ถึงว่านี่ก็ดึกแล้วเจ้าจะมา ไปกันเถอะ พวกเราไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถิด”
ฮูหยินหลินข่มตัวเองแล้วข่มตัวเองอีก บอกกับตนเองว่าอย่าวู่วาม แต่ก็ยังไม่สามารถข่มเอาไว้ได้ หลุดพูดออกมาว่า “นี่ ใช่สิ หงส์จะมาเทียบกับกาได้อย่างไร เมื่อก่อนที่ข้ามาที่นี่ มีครั้งไหนที่ไม่ไปพูดคุยที่ห้องของเจ้าบ้าง มาวันนี้เหตุใดถึงไม่ได้แล้วล่ะ”
“อ๋องฉีอยู่ในห้องน่ะ ไม่สะดวกจริงๆ พวกเราไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถิด” พระชายาฉียิ้มแล้วพูดเพื่อไม่ให้ไปกันใหญ่
ฮูหยินหลินก็รู้สึกผิดในสิ่งที่ตนพูดออกไป เมื่อได้ยินพระชายาฉีพูดเช่นนั้น ก็รีบแถว่า “ที่ข้าพูด ก็เพราะเห็นว่าพวกเราก็รู้จักกันมากว่าสิบปีแล้ว เจ้าก็ไม่น่าทำเรื่องอะไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราขุ่นหมองหรอก ข้าปากไวไปเอง ผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อยเลย เจ้าอย่าคิดมากไปเลย”
พระชายาฉีไม่พูดอะไร ก็มุ่งไปที่ห้องรับแขกทันที
ฮูหยินหลินและหลินหันเยียนตามอยู่ด้านหลัง
ในจวนเงียบสงบ อ๋องฉีตะโกนเรียก “องครักษ์!”
องครักษ์เงาก็ออกมาทันที “ขอรับนายท่าน”
“ไปจับตาดูไว้ ถ้าหากว่านางกล้าโวยวายไร้สาระใส่พระชายา ก็จับนางออกไปได้เลย”
องครักษ์เงาตอบรับ แล้วรีบไปที่ห้องับแขกอย่างรวดเร็ว
นั่งลง แล้วสั่งให้คนยกน้ำชา พระชายาเป็นห่วงก็แต่เด็กน้อยทั้งสอง ไม่มีเวลามานั่งพร่ำเพรื่อ จึงถามตรงๆ ถึงประเด็นเลยว่า “เตี๋ยชิง เจ้ามาที่นี่ดึกดื่นมีเรื่องอันใดกัน”
ข้ามีเรื่องอะไรเจ้าจะไม่รู้งั้นหรือ ฮูหยินหลินแอบบ่นในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา แล้วยิ้มตอบกลับไปว่า “ซู่อิง พวกเรามาเปิดใจคุยกันดีกว่า เจ้าคงรู้ถึงสถานการณ์ของจวนข้าแล้ว วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อที่จะให้เจ้าช่วยข้าขอร้องเสียหน่อย ให้ซื่อจื่อออมมือ ละเว้นนายท่านของพวกเรา เห็นแก่ที่เขาเคยเป็นราชเลขากรมทหารมาแต่เก่า วันนี้เขามาถึงจุดที่โดนกักขังกุมตัว อย่าพูดถึงจิตใจของเขาเลย จิตใจของข้าก็รับไม่ได้เช่นกัน”
“เรื่องนี้เกรงว่าข้าจะช่วยเจ้าไม่ได้” พระชายาฉีปฏิเสธ “เวลาที่เซวียนเอ๋อร์ทำเรื่องอันใดเขามีความคิดของเขา ข้าไม่สามารถก้าวก่าย และจะไม่ก้าวก่ายด้วย”
“นี่เจ้า…” ฮูหยินหลินก็ชะงักไป นางกลายเป็นคนที่พูดอะไรไม่ออกไปได้เสียเมื่อไร วันนี้นางกลายเป็นเสือที่โดนสุนัขขย้ำได้แต่อย่างใดกัน ขนาดน้ำใจแค่นี้ยังให้นางไม่ได้
หายใจเข้าลึกๆ แล้ว หายใจเข้าลึกๆ อีกพยายามที่จะกดความโกรธที่อยู่ภายในใจเอาไว้ สีหน้าก็ยังคงรักษารอยยิ้มอยู่ดังเดิม “ซู่อิง ถ้าหากว่าเจ้าไม่เห็นแก่หน้าของข้า ก็เห็นแก่หน้าของเยียนเอ๋อร์เสียหน่อยเถิด นางกับคุณชายรองกลายเป็นคู่สามีภรรยากันแล้ว อีกไม่นานก็จะแต่งงานกัน ถ้าหากว่าคนเอาไปพูดว่าลูกเขยตระกูลหลิน คุณชายรองแห่งจวนอ๋องกับซื่อจื่อพี่ชายของเขา บังคับขู่เข็ญให้ลูกชายกักตัวพ่อของเขาเอาไว้ ไม่ทราบว่าฮ่องเต้จะคิดเช่นไร ขุนน้ำขุนนางต่างๆ ในราชสำนักจะคิดเห็นอย่างไร ทุกคนรู้จะคิดเช่นไร”
พระชายาฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ชิงเตี๋ย เจ้าอย่าคาดเดาสุ่มๆ ไปเองเลย ตอนนี้อวี้เอ๋อร์เป็นคนดูแลกิจการของจวนอ๋อง ไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าราชสำนัก เพราะฉะนั้นเรื่องเช่นนี้เขาจะไม่มีทางข้องเกี่ยวแน่ อีกอย่าง ที่เซวียนเอ๋อร์จะให้กักขังหลินฉงเหวิน เพราะว่าหลินฉงเหวินสติฟั่นเฟือนไปจากเดิม ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป จะเกิดเรื่องใหญ่ได้ คงจะต้องปิดจวนหลินเป็นแน่ ดังนั้น… …”
เมื่อเห็นว่าพระชายาฉีไม่ให้ความช่วยเหลือ ฮูหยินหลินก็ไม่ปั้นหน้าอีกต่อไป แล้วพูดแทรกนางขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ต้องหาคำพูดอะไรมาสาธยายอีกแล้ว อะไรที่บอกว่าสติฟั่นเฟือน ข้าอยู่ข้างกายท่านพี่ตลอดเวลา เหตุใดข้าถึงไม่รู้ ข้ารู้หรอกว่าเป็นเพราะตอนแรกพวกข้าไม่ได้ตอบรับการถอนหมั้นแต่โดยดี พวกเจ้าเลยใช้โอกาสนี้แก้แค้นพวกเราก็เท่านั้น”
พระชายาฉีลุกขึ้นยืน “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะมาอยู่กับเยียนเอ๋อร์สักระยะหนึ่ง พวกเราจะต้อนรับอย่างดีที่สุด แต่ถ้าหากมาขอความช่วยเหลือ ก็ต้องขอโทษด้วย ไม่สามารถช่วยได้จริงๆ ตอนนี้เด็กๆ ผวาร้องไห้ตอนนอน ท่านอ๋องคนเดียวเอาไม่อยู่ ข้าต้องกลับแล้ว”
เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไป
ฮูหยินหลินก็ลุกขึ้น แล้วเดินไปขวางทางพระชายาฉี แล้วขู่ว่า “ซู่อิง ถ้าหากว่าวันนี้เจ้าไม่ช่วยข้า วันพรุ่งข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮา ให้นางเป็นผู้ตัดสิน”
สีหน้าของพระชายาฉีก็นิ่ง “ตามใจ ขอแค่ให้เจ้าเข้าเฝ้าไทเฮาได้ก็พอ”
ฮูหยินหลินโกรธจนแทบกระอักเลือด ฐานะของนางในวันนี้ อย่าว่าแต่เข้าวังเลย เกรงว่าประตูวังยังจะเข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
พระชายาฉีไม่สนใจนางอีกต่อไป เดินอ้อมตัวนางแล้วเดินออกมา
เห็นว่าเดินจะถึงประตูอยู่แล้ว ฮูหยินหลินก็ตะเบ็งเสียงว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
พระชายาฉีไม่ฟัง แล้วเดินออกไป
ฮูหยินหลินก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมือเอื้อมไปถึงบ่าของพระชายาฉี ก็มีเงาดำๆ พุ่งมาจากทางด้านนอก นำตัวของฮูหยินหลินออกไป
“ท่านแม่!” หลินหันเยียนที่เห็นทุกกอย่างก็ร้องออกมา รีบวิ่งตามไปโดยทันที แล้วโบกมือบอกว่า “เจ้าจะทำอะไร ปล่อยแม่ของข้าเดี๋ยวนี้นะ”
ฮูหยินหลินก็ร้องเรียกออกมาเช่นเดียวกัน แล้วใช้กำปั้นของตนทุบคนเสื้อดำ แล้วพูดว่า “เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
มือของคนเสื้อดำก็ยังจับมือของนางอยู่ไม่ปล่อย หันหลังไปจับหลินหันเยียนมาด้วย
เขาไม่ขยับเลยสักนิด หลินหันเยียนก็ถอยหลังลงไป ตึกๆๆ
คนเสื้อดำก็จับคนเดินออกไปด้านนอก
พระชายาฉีก็ห้ามเขาไว้ “ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
คนเสื้อดำคือองครักษ์เงา โดนฝึกมาตั้งแต่เล็กว่าให้ฟังคำสั่งแค่เจ้านายของตนเท่านั้น ถ้าเป็นแต่ก่อน เขาก็จะทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วจับคนออกไป แต่ว่าเนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าพระชายาฉีจะใหญ่กว่าท่านอ๋อง ถ้าหากว่าเขาไม่ฟังคำสั่งล่ะก็ พระชายาฉีเอาไปฟ้องท่านอ๋อง ตนก็จะหมดหนทางทำมาหากินแน่นอน จึงหยุด แล้วปล่อยมือฮูหยินหลิน
ฮูหยินหลินนั่งกองลงกับพื้น แล้วหอบไม่หยุด
หลินหันเยียนรีบเข้ามาพยุงตัวนางขึ้น “ท่านแม่เจ้าคะ”
หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “พระชายา!” ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธกล่าวโทษ คนที่มีหูต่างก็ฟังออก
พระชายาฉีแอบถอนหายใจ คิดว่าหลังจากนี้ เกรงว่าเยียนเอ๋อร์จะมีอคติกับตน ก็จ้องไปที่หลินหันเยียน แล้วพูดว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าพยุงแม่ของเจ้าไปพักที่เรือนเสียก่อน ส่วนเรื่องจวนหลิน ข้าก็ยังยืนยันคำเดิม ข้าไม่สามารถช่วยได้”
หลินหันเยียนเม้มปาก สายตามีความโกรธเคือง ภายใต้คืนที่มืดมิด พระชายาฉีมองไม่ชัดแต่ก็รู้สึกได้ จึงถอนหายใจออกมา แล้วไม่สนใจนางสองแม่ลูกอีก หันหลังเดินกลับไปที่จวนของตนเอง
ฮูหยินหลินยืนอยู่กับที่ สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น ถ้าหากว่าไม่มีองครักษ์เงาที่คอยจ้องจะเขมือบอยู่ข้างๆ ล่ะก็ จะต้องมีเรื่องกับพระชายาฉีให้ได้เป็นแน่ นังซู่อิง มีฐานะตำแหน่งสูงกว่าตนตั้งแต่ยังเด็ก ตนคิดหาวิธีที่จะได้ใกล้ชิดนาง ทำดีกับนาง เสแสร้งใส่นาง ตอนแรกก็เอาลูกของตนที่ยังไม่คลอดมาตบปากรับคำจะให้แต่งงาน ก็คิดเพียงแต่ว่าจะมีสักวันหนึ่ง ตัวเองเดือดร้อน จากนิสัยของนางแล้ว จะต้องให้การช่วยเหลือแน่นอน แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า สุดท้ายแล้วจะสูญเปล่า ตนเองกลับไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง แถมยังทำให้นางไม่พอใจอีก ทำให้ลูกของนางมาแก้แค้นจวนหลิน แค้นนี้นางจำฝังใจ นางจะต้องหาโอกาสแก้แค้นให้ได้อย่างแน่นอน
พระชายาฉีหายไปแล้ว สองแม่ลูกก็เก็บสายตาของตน หลินหันเยียนพยุงฮูหยินหลิน “ท่านแม่ ไปกันเถอะ”
หงเอ๋อร์รีบเข้ามาช่วยพยุง
ฮูหยินหลินตกใจจนแทบทรุด ทั้งสองคนต้องพยุงเดินออกไป
สายตาขององครักษ์เงาคมเยี่ยงมีด มองทั้งสามคนตลอดเวลา เมื่อเห็นพวกนางหายไปจากห้องรับแขกแล้ว ถึงกลับไปที่เรือนของพระชายาฉี แล้วหายตัวกลับไปที่ลับของตน
ณ จวนหลิน
สาวใช้ที่ดูแลฮูหยินหลิน หลังจากที่ฟังคำสั่งของพ่อบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาที่จวน พบว่าฮูหยินหลินไม่อยู่แล้ว ก็ตกใจเป็นอย่างมากจึงรีบไปรายงานพ่อบ้าน
พ่อบ้านได้ยินดังนั้น เหงื่อก็ไหลออกมา รีบวิ่งไปบอกข่าวกับหลินจ้งโดยทันที
หลินจ้งสองสามีภรรยานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกไม่ขยับ กำลังครุ่นคิดว่าต่อไปจำทำเช่นไรดี เมื่อฟังคำรายงานของพ่อบ้านแล้ว ก็ตกใจจนลุกขึ้นยืน รีบวิ่งไปที่จวนที่กักตัวของหลินฉงเหวินทันที
บอกว่ากักตัว แต่แท้จริงแล้วก็แค่กุมตัวหลินฉงเหวินไม่ให้ใช้กำลัง ให้คนคอยดูตลอดเวลาเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นก็เหมือนเดิมทุกประการ ก็ยังคงอยู่ที่จวนเดิม กินนอนก็ยังเหมือนเดิม เมื่อเห็นหลินจ้งเข้ามา หลินฉงเหวินที่สติไม่ดีก็กำเริบพุ่งตัวเข้าไปหาหลินจ้ง แล้วด่าทอว่า “เจ้าลูกเนรคุณ ในเมื่อกล้าคุมตัวข้า ข้าก็จะบีบคอเจ้าให้ตาย”
พ่อบ้านย่อมไม่ให้เขาเข้าถึงตัวหลินจ้งได้อยู่แล้ว สองคนพุ่งตัวเข้ามา หยุดเขาเอาไว้
หลินฉงเหวินไม่ยอม “เจ้าลูกเนรคุณ เจ้าทำเรื่องเดรัจฉานเช่นนี้ จะต้องได้รับกรรมที่เจ้าก่อไว้แน่นอน”
“ท่านพ่อ!” หลินจ้งพูด น้ำเสียงมีความเจ็บปวดรวดร้าว “ถ้าหากท่านยังดึงดันคิดไม่ได้เช่นนี้ เกรงว่าจวนหลินจะต้องล่มสลายไปกับท่านอย่างแน่นอน”
ฮาๆๆ หลินฉงเหวินแหงนหน้ามองฟ้าแล้วหัวเราะ “จวนหลินนี้ข้าสร้างมันขึ้นมากับมือ มันจะต้องล่มสลายด้วยมือของข้าอยู่แล้ว”
“ท่านไม่คิดถึงร้อยชีวิตในจวนเลยอย่างนั้นหรือ” หลินจ้งถามด้วยความเจ็บปวด
“ชีวิตที่ไร้ค่าของพวกมันข้าเป็นคนให้ ข้าให้มันมีชีวิต มันก็ต้องมีชีวิต ถ้าข้าให้มันตาย มันก็ต้องตาย”
เห็นหลินฉงเหวินที่กำลังเป็นบ้า หลินจ้งก็แทบจะหมดแรง หลับตา แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ไม่สนใจเสียงด่าทอของหลินฉงเหวินอีก ทั้งในนอกจวน ก็หาทั่วแล้ว ก็หาไม่พบ จนกระทั่งเห็นบันไดเล็กๆ ในใจก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงออกคำส่งพ่อบ้าน “ให้คนในจวนออกไปตามหาฮูหยินเดี๋ยวนี้”
พ่อบ้านตอบรับ แล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไปออกคำสั่ง
ส่งคนออกในจวนออกไปตามหาจำนวนมาก หาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็หาไม่เจอ
หลินจ้งร้อนรนกลับไปที่ห้องรับแขกเดินไปเดินมา ในหัวมีแต่ความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังร้อนรนอยู่นั้น พ่อบ้านก็พาโจวอันเข้ามา โจวอันก็พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ฮูหยินหลินไปที่จวนอ๋อง ซื่อจื่อเฟยมีคำสั่งให้คุณชายหลินส่งคนไปรับกลับด้วย”
จิตใจของหลินจ้งก็สงบลง ท่านแม่หายตัวไปตั้งหลายชั่วยาม ซื่อจื่อเฟยเพิ่งจะส่งคนมาบอก เกรงว่าจะก่อเรื่องอะไรที่ในจวนอย่างแน่นอน คิดได้เช่นนี้ ก็ขอบคุณโจวอัน รอให้โจวอันกลับไปก่อน ก็รีบสั่งให้คนจูงม้ามา กระโดดขึ้นหลังม้า แล้วรีบมาที่จวนอ๋อง ลงจากม้า โยนเชือกจูงม้าทิ้ง แล้วมุ่งตรงเข้าไปยังด้านใน
โจวอันมารออยู่ที่ด้านหน้าจวน พูดว่า “คุณชายหลิน ฮูหยินหลินอยู่ที่เรือนของคุณชายรอง ซื่อจื่อเฟยออกคำสั่งว่าเมื่อท่านมาแล้วให้ไปที่นั่น ไม่ต้องเข้าไปหาซื่อจื่อกับนาง”
หลินจ้งพยักหน้า “ช่วยขอบคุณซื่อจื่อเฟยแทนข้าด้วย”
แล้วรีบเดินมาที่จวนของหวงฝู่อวี้อย่างรวดเร็ว
ฟ้ามืดแล้ว ในห้องส่องสว่างด้วยแสงตะเกียง เงาในหน้าต่างมีเงาของคนสองคน เสียงของฮูหยินหลินที่ดังออกมาไม่หยุด “เยียนเอ๋อร์ เจ้าฟังให้ดี นับแต่นี้เจ้าเป็นเมียของคุณชายรองแล้ว จะต้องยืดอกตรงเข้าไว้ จะต้องไม่ให้พวกนางมากดเจ้าได้ มิเช่นนั้น กระทั่งแม่ก็จะไม่ได้รับความเคารพจากพวกนาง ดูจากวันนี้เจ้าก็น่าจะเข้าใจแล้ว… …”
หลินจ้งใจหล่นลงไปยันตาตุ่ม เรื่องที่กังวลมาตลอดได้เกิดขึ้นแล้ว ท่านแม่มาล้างสมองน้องเล็กนี่เอง
หงเอ๋อร์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเห็นหลินจ้งเข้า ก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจว่า “คุณชาย!”
ในห้องไม่มีความเคลื่อนไหว ฮูหยินหลินได้ยินดังนั้น ว่าหงเอ๋อร์ตะโกนว่าหลินจ้ง ก็รีบลุกขึ้นยืน วิ่งไปที่ประตูจวน อยากจะปิดประตู ห้ามไม่ให้หลินจ้งเข้าไป แล้วรีบตะโกนไปที่หงเอ๋อร์ว่า “อย่าให้เจ้าเนรคุณนั่นเข้ามาเป็นอันขาด”
ตอนที่ 371 ไม่กลับจวน
ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน มือของหลินจ้งขัดอยู่ช่องประตู เสียงกดลงต่ำด้วยความโกรธกริ้ว “ท่านแม่!”
ฮูหยินหลินใช้แรงเป็นอย่างมากเพื่อปิดประตู แล้วยังเรียกหลินหันเยียนมาอีก “รีบมาสิ มาช่วยแม่หยุดเจ้าลูกเนรคุณนี้สะ”
หลินหันเยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็จะเดินมาช่วย หลินจ้งใช้แรงผลักประตูออก
ฮูหยินลื่นถอยหลังไปจนแทบจะยืนไม่ไหว เลยตัดสินใจไม่ใช้กำลัง ลุกขึ้นยืนตรง แล้วชี้ไปที่หน้าของหลินจ้งอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าลูกเนรคุณ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย ดูสิว่าเจ้าจะมีหน้าไปเจอใครอีกไหม”
หลินจ้งไม่ขยับ ฝ่ามือของฮูหยินหลินได้ประทับลงบนใบหน้าของเขา นิ้วมือยาวๆ ของนางตบผ่านหน้าของเขาไป เสียงแห่งความเจ็บปวดรวดร้าวได้ดังขึ้น
หลินหันเยียนไม่เคยเห็นด้านที่ท่านแม่ผู้สูงส่งของตนกลายเป็นหญิงที่ไร้ซึ่งเหตุผลขนาดนี้มาก่อน จึงตะลึงยืนอยู่กับที่
แต่หลินจ้งแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านแม่ขอรับ สบายใจหรือยัง กลับจวนกับลูกได้หรือไม่”
เมื่อครู่เป็นเพียงแค่อารมณ์โกรธชั่ววูบเท่านั้น เมื่อเห็นว่าบนใบหน้าของหลินจ้งเกิดเป็นรอยนิ้วมือขึ้น แล้วยังมีเลือดไหลซิบๆ ออกมาอีก ก็ชะงักไป เก็บมือของตนเข้ามาอย่างไม่เชื่อว่านั่นเป็นตัวเอง เงยหน้ามองหลินจ้ง แล้วเกิดความรู้สึกผิดอยากยื่นมือของตนออกไปอีกครั้งเพื่อจะลูบรอยบนใบหน้าเหล่านั้น “จ้งเอ๋อร์ แม่… …”
หลินจ้งหลบ “ข้าไม่เป็นอะไร ถ้าหากว่าท่านแม่หายโกรธแล้ว อย่างไรเสียก็กลับจวนไปกับลูกเถิดขอรับ”
เมื่อได้ยินคำว่ากลับจวนสองคำนี้ ฮูหยินหลินก็เก็บมือของตนเข้ามา แล้วถอยกลับไป “ไม่ได้ ข้ากลับไปไม่ได้”
“ท่านแม่ควรจะรู้ ว่าฐานะของน้องสาวตอนนี้ช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก ท่านอยู่ที่นี่ไม่เหมาะสม จะโดนคนในเมืองนินทาว่าร้ายเอาได้นะขอรับ” หลินจ้งลองหยั่งเชิงแนะนำ
ฮูหยินหลินมีท่าทีไม่สนใจ โบกมืออย่างไม่ไยดี แล้วบอกว่า “ใครอยากจะพูดอะไรก็ช่าง ใครอยากจะเยาะก็เยาะ ข้าจะอยู่ที่จวนอ๋องแห่งนี้ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“แม้กระทั่งท่านพ่อก็ไม่สนใจแล้วอย่างนั้นหรือ” หลินจ้งที่กำลังข่มความโกรธไว้เอ่ยถาม
เมื่อพูดถึงหลินฉงเหวิน ฮูหยินหลินก็โกรธขึ้นมา ตะคอกออกมาว่า “เจ้าลูกเนรคุณ ยังมีหน้ามาพูดถึงท่านพ่อของเจ้าอีกนะ ถ้าหากว่าเจ้าไม่กุมตัวเขาไว้ พ่อของเจ้าตอนนี้ก็ยังคงเป็นขุนนางน้ำดี ข้าก็จะไม่ต้องมาถึงจุดๆ นี้ เป็นเพราะเจ้า เป็นเพราะเจ้าลูกเนรคุณอย่างเจ้า ฟังคำยุแยงของพวกมัน แล้วทำเรื่องเนรคุณเช่นนี้ขึ้นมาได้”
หลินจ้งหลับตาลง พยายามข่มความโกรธเอาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “ท่านแม่ขอรับ สถานการณ์ของท่านพ่อตอนนี้ท่านก็เห็นแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่ซื่อจื่อห้ามไว้ เกรงว่าจวนตระกูลหลินของพวกเราตอนนี้คงไม่มีแล้ว ข้าไม่ได้ฟังคำยุแยงของซื่อจื่อแต่อย่างใด แต่ทำเพื่ออีกร้อยชีวิตในจวนตระกูลหลินต่างหากขอรับ”
ฮูหยินหลินก็เสียงดังขึ้นไปอีก “อย่ามาพูดอะไรเช่นนี้กับข้า ท่านพ่อของเจ้าก็แค่ผิดพลาดครู่เดียวเท่านั้น ผ่านไปก็ดีขึ้น เป็นเพราะไอ้สารเลวหวงฝู่อี้เซวียนนั่นแท้ๆ ที่พอไม่ได้ดั่งใจก็กัดไม่ปล่อย เขากำลังแก้แค้นที่ตอนนั้นข้ากับพ่อของเจ้าไม่ได้ตอบรับถอนหมั้นอย่างโดยดีต่างหากเล่า… …”
“ท่านแม่!” หลินจ้งตวาด พูดแทรกนางขึ้นมา “ท่านอย่าพูดจาซี้ซั้ว เรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น… …”
ตั้งแต่เล็กจนโต ต่อให้หลินจ้งจะโมโหแค่ไหน ก็ไม่เคยเสียงดังใส่ตนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พอเกิดเรื่องการกุมตัวไม่กี่วันนี้ เขาก็จะไปที่เรือนของตนถามไถ่หลินฉงเหวินกับตนเช้าเย็น ไม่เคยขาด แต่ตอนนี้มาตวาดใส่ตน ในสมองของฮูหยินหลินมีแต่เสียงตวาดนั้นที่ดังก้อง ไม่ได้ยินเสียงหลินจ้งเลยว่ากำลังพูดอะไรอยู่ แล้วจึงเบิกตาโพรง สีหน้าโกรธเคืองเป็นอย่างมาก “จ้งเอ๋อร์ เจ้าถึงขั้นตวาดแม่เลยงั้นรึ เหตุใดเจ้าถึงทำเพื่อคนอื่น แล้วเนรคุณแม่เช่นนี้”
หลินหันเยียนอดใจไม่ไหวแล้ว ต่อว่าหลินจ้งว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้กับท่านแม่ได้”
เมื่อเห็นแม่ของตนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย อีกทั้งน้องก็ไม่รู้เรื่อง หลินจ้งก็หมดแรง “น้องเล็ก คำพูดของท่านแม่เมื่อสักครู่นี้เป็นการไม่ให้เกียรติอย่างรุนแรง เจ้าก็ได้ยินแล้ว ถ้าหากว่าคำพูดนี้ได้ยินถึงหูของซื่อจื่อล่ะก็ เจ้าคิดว่าจวนหลินของพวกเรายังจะรอดหรือไม่”
หลินหันเยียนกัดปากเล็กน้อย สักพักจึงจะพูดว่า “แต่พี่ก็ไม่ควรตวาดท่านแม่นี่”
“น้องเล็ก เรื่องกุมตัวนั้น ไว้วันหลังข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด วันนี้ไม่ว่าท่านแม่จะว่าอย่างไร เจ้าลืมไปเสีย ถือเสียว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
หลินหันเยียนอ้าปากอยากจะพูดอะไร หลินจ้งไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูดเลย แล้วพูดต่อว่า “อย่าลืมฐานะของเจ้าในตอนนี้ อย่าว่าจะไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นเลย ถึงมีการแต่งงาน ก็อย่าไปทะเลาะกับคุณชายรองที่ดีกับเจ้าขนาดนี้เลย ทำเรื่องอะไรที่ไม่ควรทำ บั่นทอนน้ำใจที่คุณชายรองมีให้เจ้า พอถึงเวลานั้นเจ้าจะไม่ทันได้เสียใจเลยล่ะ”
สีหน้าของหลินหันเยียนก็ซีดลง น้ำตาไหลพรากลงมา ปากสั่น แล้วร้องไห้พูดออกมาว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงแช่งข้าอย่างนั้นล่ะ”
“พี่ใหญ่ไม่ได้แช่งเจ้า พี่แค่เตือนเจ้า อยู่ในจวนอ๋อง ขอแค่เจ้าอยู่ในกฎเกณฑ์ของที่นี่ ทำเรื่องที่เจ้าพึงจะทำ จะไม่มีใครมาปองร้ายเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ต้องกังวลเลยว่าเจ้าจะอยู่เช่นไร มิเช่นนั้นแล้ว พี่ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
พูดจบ ไม่ทันรอหลินหันเยียนตั้งตัว แล้วยื่นมือออกมาสะกดจุดฮูหยินหลินที่ยืนนิ่งไม่ขยับ แล้วพูดว่า “ท่านแม่ขอรับ อภัยให้ลูกด้วยด้วย”
ดวงตาของฮูหยินหลินก็เบิกโตขึ้น
หลินหันเยียนตกใจจนร้องออกมา “พี่ใหญ่ ท่านลงมือเช่นนี้ได้อย่างไร”
หลินจ้งคุกเข่าลง แบกร่างของฮูหยินหลิน ยืนขึ้น แล้วพูดว่า “น้องเล็ก ที่พี่จะพูดนั้นมีเท่านี้ เจ้าจะต้องเข้าใจด้วย วันหลังเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลหลินเจ้าอย่ายุ่งอีกเลย อยู่เป็นภรรยาคุณชายรองของเจ้าไปเสียโดยดีจะดีกว่า”
พูดจบ ก็แบกฮูหยินหลินมุ่งหน้าเดินออกไปจากจวน ในใจรู้สึกหนักหน่วงเป็นอย่างมาก ไม่อยากจะคิด แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าคนในจวนอ๋องนี้เป็นอย่างไร แต่เขารู้ว่า เรื่อของหลินหันเยียนใกล้จะถึงจุดจบแล้ว ถ้าหากว่านางไม่รู้จักรักษาไว้ให้ดี ผลลัพธ์…
นอกจวน มีรถม้าของตระกูลหลินจอดอยู่ ภรรยาของหลินจ้งยืนชะโงกมองเจ้าไปที่ด้านในจวน เมื่อเห็นหลินจ้งเดินออกมา ก็รีบเข้าไปรับโดยทันที เมื่อมองเห็นคนบนหลังของเขาแล้ว ก็พูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพาท่านแม่กลับบ้านไม่ได้ ก็เลยสั่งให้คนขับรถม้ามาที่นี่”
หลินจ้งพยักหน้า ไม่พูดอะไร เดินไปที่ข้างรถม้า วางฮูหยินหลินไว้บนรถม้า รอให้ภรรยาของตนขึ้นบนรถม้าแล้ว ก็สั่งให้คนขับกลับไปที่จวน ส่วนตนเดินไปที่ม้าที่ตนผูกไว้ กระโดดขึ้นหลังม้า ตามหลังรถม้ากลับไปที่จวนหลิน
บทสนทนาของคนแซ่หลินทั้งสามคนก็ดังไปถึงหูของหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวรวมไปถึงหวงฝู่อวี้ด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “หลินจ้งคนนี้ถึงแม้ว่าจะอารมณ์ร้าย ก็มีเหตุผลอยู่พอสมควร รู้จักกาลเทศะ เป็นคนที่ใช้ได้จริงๆ”
หวงฝู่อวี้ไร้ซึ่งคำพูด
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อได้รับสายตากดดันจากหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อวี้ก็ชะงักไป ไม่รู้ว่าตนไปยั่วโมโหเขาตั้งแต่ตอนไหน
เมื่อเห็นท่าทางของเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลุดขำออกมา
เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อวี้ยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ขยับ หวงฝู่อี้เซวียนก็อดไม่ได้ถีบเขาออกไป เจ้านี่ช่างไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่รู้ว่าหลายวันนี้ตนยุ่งมากแค่ไหน กลับจวนดึกแทบทุกวัน โยวเอ๋อร์ก็หลับไปแล้ว วันนี้ดีที่จัดการธุระเสร็จแล้ว ได้กลับจวนเร็ว เขายังนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่มีทีท่าจะไปเลยสักนิด
หวงฝู่อวี้ก็ชะงักไป มองหน้าอ้าปากค้างใส่หวงฝู่อี้เซวียนที่ทำหน้าดำคร่ำเครียดใส่ ในสมองก็ยังงุนงงอยู่
“คนของตระกูลหลินกลับไปแล้ว เจ้ายังไม่กลับไปปลอบใจคนของเจ้าที่จวนอีก” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
หวงฝู่อวี้ถึงได้สติกลับมา ว่าตอนนี้เขาเป็นก้างขวางคอ จึงรีบลุกขึ้นมา เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนก่อนจะเกิดออกก็บอกว่า “พี่ใหญ่ขอรับ ท่านกับพี่สะใภ้ใหญ่จะทำอะไรก็ทำ ข้าไม่กวนพวกท่านแล้วล่ะ”
เพล้ง! มีของถูกปาแตกลงบนประตู ดีที่หวงฝู่อวี้มือไม้ไวปิดลงไป แล้วมีเสียงด่าแกมหัวเราะดังออกมาว่า “ไอ้สารเลว!”
ราวกับเด็กน้อยที่แกล้งคนสำเร็จอย่างใดอย่างนั้น หวงฝู่อวี้หัวเราะเสียงดังออกมา
เมื่อเดินออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป เขาไม่เข้าใจ เป็นกิ่งทองใบหยกเช่นเดียวกัน แต่ทำไมพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่รักใคร่กลมเกลียวกันดังเช่นแต่ก่อน แต่ตนกับหลินหันเยียนกลับมีความรู้สึกว่าอีกไกลแค่ไหนคือใกล้
เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือนของตน เห็นแสงสว่างในเรือน สะท้อนเงาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้ว่าเหตุใด หวงฝู่อวี้ไม่มีความรู้สึกอยากเข้าไปเลยสักนิด คิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันหลังกลับไปที่เรือนของพระชายาฉี
คืนนี้ หลินหันเยียนนั่งรอเขาทั้งคืน แต่หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้กลับมา หลินหันเยียนก็ประหม่า เสียงของหลินจ้งก็ดังขึ้นในหัว ก็ยิ่งลนเข้าไปใหญ่ ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ก็เปิดประตูออก อยากจะออกไปตามหาหวงฝู่อวี้ ก็โดนหงเอ๋อร์ที่ไม่กล้าหลับดึงเอาไว้ “คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ”
น้ำเสียงของหลินหันเยียนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าก็พูดขึ้นว่า “ข้าจะไปหาพี่อวี้ ข้าจะถามเขา เหตุใดเมื่อคืนถึงไม่กลับเรือน”
ความง่วงของหงเอ๋อร์ก็หายไปโดยทันที ตื่นขึ้นมาแล้วพูดว่า “คุณหนูเจ้าคะ ฟ้ายังไม่สว่าง คนในจวนอ๋องยังหลับกันอยู่เลย ถ้าหากว่าท่านเอะอะจนคนทั้งจวนอ๋องตื่นขึ้น คุณชายรองจะยิ่งกล่าวโทษคุณหนูนะเจ้าคะ”
หลินหันเยียนลนลาน จับมือของหงเอ๋อร์อย่างแน่น “หงเอ๋อร์ แล้วข้าควรทำเช่นไรดี พี่อวี้ไม่ได้กลับมาทั้งคืน จะต้องทิ้งข้าแล้วอย่างแน่นอน ไม่ชอบข้าแล้วแน่ๆ ข้าควรทำเช่นไรดี”
“คุณหนูอย่าเพิ่งรีบร้อนเจ้าค่ะ คุณชายยังไม่กลับ จะต้องมีเรื่องเร่งด่วนเป็นแน่ ท่านจะต้องใจเย็นๆอย่าบุ่มบ่าม รอวันพรุ่ง บ่าวจะออกไปสืบมาให้เจ้าค่ะ” คำพูดปลอบใจนี้พูดออกมา ตัวหงเอ๋อร์เองก็ไม่เชื่อ เพราะนางเข้าใจ คุณชายรองจะต้องเจตนาไม่กลับจวนแน่นอน เพราะเมื่อวานนางเห็นเงาของคุณชายรองยืนอยู่ที่ด้านนอกด้วยตาของตน ยืนอยู่ครู่เดียวก็ไป แต่ว่านางไม่กล้าบอก แล้วก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะตอนนี้ที่พึ่งสุดท้ายของนางและคุณหนูก็คือคุณชายรอง ถ้าหากว่าทำให้คุณชายรองเบื่อหน่ายล่ะก็ ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย
แต่หลินหันเยียนก็ฟังนาง มองฟ้าที่มืดมิด เลยลากมือของหงเอ๋อร์กลับเรือนไป นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในวันที่ไม่มีหวงฝู่อวี้อยู่ในเรือนจะเงียบเหงาขนาดนี้ เงียบเหงาเสียจนแทบจะหยุดหายใจ
เมื่อยามฟ้าสาง บ่าวรับใช้ในจวนก็ทยอยกันตื่นนอน มีหน้าที่เตรียมสำรับก็เตรียมสำรับ กวาดพื้นก็กวาดพื้น ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน
ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หลินหันเยียนที่กำลังสะลึมสะลือก็ลุกตื่นขึ้นมา แล้วผลักหงเอ๋อร์ที่นอนอยู่ข้างกายของตน เรียก “หงเอ๋อร์ ตื่นเร็วเข้า ฟ้าสว่างแล้ว เจ้าไปสืบมาสิว่าพี่อวี้ไปที่ใด”
หงเอ๋อร์ที่กำลังหลับใหลก็ตกใจตื่นขึ้น รีบลุกขึ้น ตอบรับ เดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
“เจ้ารอเดี๋ยว!” หลินหันเยียนตะโกนรั้งท้ายไป
หงเอ๋อร์หยุดฝีเท้า หลับหันหน้ามา
“เจ้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำเสียก่อน อย่าให้พี่อวี้เห็นเจ้าสภาพมอมแมมเช่นนี้” หลันหันเยียนสั่ง
หงเอ๋อร์ได้สติ ตอบรับ แล้วไปที่ห้องเสื้อ อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนของพระชายาฉีโดยทันที
เมื่อคืนนี้หวงฝู่อวี้ไปที่เรือนของพระชายาฉี ในขณะที่ท่านอ๋องฉีมองเขาด้วยสายตาไม่ยินดีนัก เขาทำได้แค่เล่นกับเด็กๆ แล้วบากหน้ากินข้าวเย็นด้วย หลังจากนั้นก็จะกลับเรือนของตน แต่พอคิดถึงท่าทางของหลินหันเยียนเมื่อตอนกลางวัน ก็ปวดหัวขึ้นมาทันที ไม่อยากกลับไปนั่งมองนางที่ร้องไห้ไม่มีวันจบสิ้น เลยตัดสินใจไปเอนกายลงที่ห้องรับแขก
ไม่มีหลินหันเยียนอยู่ข้างกาย ก็ไม่มีเรื่องมาให้กวนใจได้ชั่วคราว ในที่สุดหวงฝู่อวี้ก็ได้นอนหลับเต็มอิ่มเสียที
เมื่อรู้ว่าหวงฝู่อวี้ไม่ได้กลับเรือน พระชายาฉีก็ขมวดคิ้ว สั่งหลิงหลง “เจ้าไปถามคนในจวนว่ารู้หรือไม่ว่าหวงฝู่อวี้ไปที่ใด”
หลิงหลงตอบรับ รีบออกสืบโดยเร็ว ไม่นานก็กลับมา “พระชายาเจ้าคะ คุณชายรองไปพักที่ห้องรับแขกเจ้าค่ะ”
“เจ้าลูกพูดจาไม่รู้ความ เจ้าไปเรียกเขากลับไปที่เรือนเสีย บอกว่าข้าเป็นคนสั่ง วันนี้ไม่อนุญาตให้ออกจากเรือน อยู่กับหลินหันเยียนไปเลยทั้งวัน” พระชายาฉีออกคำสั่ง
หลิงหลงตอบรับ แล้วเดินออกไปจากจวนอีกรอบ
หงเอ๋อร์คำนับพระชายาฉี แล้วเดินตามหลังไป
มาถึงที่ห้องรับแขกของจวนอ๋อง ภายในไม่มีเสียงอันใด หลิงหลงก็รู้ว่าคุณชายรองยังไม่ตื่น แต่ว่าคำสั่งของพระชายาฉีก็ไม่สามารถไม่สั่งได้ จึงรวบรวมความกล้า แล้วตะโกนเข้าไปว่า “คุณชายรองเจ้าคะ ท่านอยู่ด้านในหรือไม่”
ในขณะที่กำลังหลับใหล มีคนเรียกตนเอง หวงฝู่อวี้ไม่ได้ตอบอะไร หยิบผ้าห่มมาห่มคลุมโปงตนเอง นานทีจะได้นอนหลับสบาย ใครกันเหตุใดจึงไม่รู้ความตะโกนเรียกอยู่หน้าเรือน รอเขาตื่นก่อนเถอะ จะถลกหนังนางให้ดู
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ หลิงหลงก็ตะโกนเสียงดังขึ้นอีก “คุณชายรองเจ้าคะ ท่านอยู่หรือไม่”
ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
หงเอ๋อร์ลนลาน ก็เลยตะโกนเรียกด้วย “คุณชายรองเจ้าคะ ท่านอยู่ด้านในหรือไม่เจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้โดนรบกวนจนตื่นในที่สุด ลืมตาขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจอย่างมาก ในใจก็โกรธเป็นอย่างมาก แล้วตะโกนออกไปว่า “จะไปไหนก็ไป!”
หลิงหลงกับหงเอ๋อร์ไม่กล้าเอ่ยปากอีก
ไม่มีเสียงตอบรับ หวงฝู่อวี้อยากจะนอนต่ออีกเสียหน่อย หลิงหลงก็พูดเบาๆ เข้าไปด้านในว่า “คุณชายรองเจ้าคะ พระชายามีรับสั่งให้ท่านกลับไปอยู่กับคุณหนูหลินเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ตอนที่ 372 ผลกระทบอันร้ายแรง
ในห้องเงียบสงัด
หลิงหลงกับหงเอ๋อร์ทั้งสองคนไม่กล้าพูดอะไรอีก ยืนอยู่ในเรือนเงียบๆ รอเสียงตอบกลับ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในเรือนถึงจะมีเสียงเบื่อหน่ายของหวงฝู่อวี้ดังออกมาว่า “รู้แล้ว เจ้าไปบอกเสด็จแม่ด้วย อีกประเดี๋ยวข้าจะกลับเรือนของตนเอง”
หลิงหลงตอบรับ แล้วหันหลังเดินออกไปจากเรือน
ส่วนหงเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วก็ตามออกมา
แม้ว่าหวงฝู่อวี้จะตอบรับแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่อยากไปอยู่ดี เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของทั้งสองคนห่างออกไปแล้ว ก็หลับตา ตอนแรกก็อยากจะกลับไปทั้งๆ ที่ยังงัวเงียอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด สักพักหนึ่งก็หลับไปอีก
หงเอ๋อร์กลับไปบอกให้หลินหันเยียนฟัง หลินหันเยียนก็ดีใจ จัดระเบียบตัวเองให้เรียบร้อย นั่งลงรออยู่ที่เก้าอี้ คิดไว้ว่า เมื่อหวงฝู่อวี้กลับมา ตนจะไม่เอาแต่ใจอีก แล้วก็จะไม่โวยวายไร้สาระอีกแล้ว จะต้องพูดกับเขาดีๆ ให้เขาให้อภัยนางในสิ่งที่นางทำลงไปเมื่อวานให้ได้
แต่รอแล้วรอเล่า รอไปครึ่งชั่วยาม หวงฝู่อวี้ก็ยังไม่กลับมา หลินหันเยียนก็รีบร้อน เร่งให้หงเอ๋อร์ไปเรียกกลับมาอีกรอบ
เมื่อครู่หงเอ๋อร์ได้ยินน้ำเสียงของหวงฝู่อวี้ที่เต็มไปด้วยความโกรธ แล้วใครจะยังกล้าไปอีก ถ้าหากว่าไปยั่วโมโหคุณชายรองอีกล่ะก็ โดนไล่ออกจากเรือนไป นางก็อนาถน่าดู ทำได้เพียงอดทนปลอบใจหลินหันเยียนไปว่า “คุณหนูเจ้าขา พระชายาสั่งให้คุณชายรองห้ามออกนอกเรือนเป็นเวลาหนึ่งวัน ให้อยู่กับท่านทั้งวัน ท่านอย่ารีบร้อนไปเลย รอด้วยใจเย็นๆ เสียจะดีกว่า ไม่แน่ว่าคุณชายรองอาจจะไปคารวะท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีอยู่ก็ได้ อีกประเดี๋ยวเดียวก็คงจะมา”
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หวงฝู่อวี้ยังไม่กลับมา หลินหันเยียนก็อดทนไม่ไหวในที่สุด ยืนขึ้น แล้วพูดว่า “เหตุใดพี่อวี้ถึงยังไม่กลับมา ข้าจะไปหาเขา”
หงเอ๋อร์ห้ามนางเอาไว้
หลินหันเยียนเดินออกไป ยังไม่ทันออกจากประตูเรือน หวงฝู่อวี้ก็เดินเข้ามา
“พี่อวี้!” หลินหันเยียนวิ่งเข้าไปด้วยความดีใจ
แววตาของหวงฝู่อวี้เปล่งประกาย โอบกอดนางเอาไว้ แล้วพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง”
หลินหันเยียนส่ายหน้า มองเขาด้วยท่าทางดีใจกล่าวว่า “ยังเลยเจ้าค่ะ รอให้พี่อวี้กลับมากินด้วยกัน”
ไม่เห็นหลินหันเยียนเป็นสาวน้อยน่ารักเช่นนี้มานานแล้ว หวงฝู่อวี้ถึงกับชะงักไป
หลินหันเยียนโอบคอของเขา
หวงฝู่อวี้ถึงได้สติ สั่งหงเอ๋อร์ “จัดสำรับ”
หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้วไปที่ครัว
ไม่นานสำรับก็จัดเสร็จ
หวงฝู่อวี้คีบกับข้าวใส่ลงในชามของหลินหันเยียน
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่อวี้” หลินหันเยียนขอบคุณด้วยน้ำเสียงดีใจ ราวกับว่าเมื่อวานที่ทะเลาะกันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้พูดถึง ก้มหน้าก้มตากินข้าว
ในขณะที่เขาไม่ได้สนใจ หลินหันเยียนลองหยั่งเชิงดู เพราะเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีอันใด เลยเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ กลืนข้าวลงคอ แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า “พี่อวี้เจ้าคะ เมื่อวานข้า… …”
หวงฝู่อวี้พูดแทรกนาง แล้วคีบสำรับให้นางอีก “เรื่องเมื่อวานก็ปล่อยมันผ่านไปเถิด พวกเราไม่ต้องพูดถึงมันอีกแล้ว กินข้าวกันเถอะ ดูเจ้าสิ ผอมลงไปเยอะเลย กินเยอะๆ สิ”
คำพูดเอาใจใส่เช่นนี้ แต่หลินหันเยียนกลับรู้สึกถึงความไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ในใจจึงตระหนัก สำรับที่หอมหวนก็ไร้ซึ่งกลิ่นหอมอีกต่อไป
ข้าวมื้อนี้กินไปอย่างหน่วงๆ จนเสร็จ แล้วสั่งให้หงเอ๋อร์ให้นำคนมาเก็บให้เรียบร้อย ทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้อง เงียบเชียบไร้ซึ่งเสียงสนทนา
หวงฝู่อวี้ไม่อยากพูด หลินหันเยียนก็กัดปากไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไร
ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง หวงฝู่อวี้ก็ออกคำสั่งกับด้านนอกว่า “เฮ่ออี ไปเอาบัญชีมาให้ข้า วันนี้ข้าไม่ออกนอกเรือน จะได้คิดบัญชีในเรือนได้”
เฮ่ออีตอบรับ ไม่นานก็ยกเอาบัญชีเล่มหนาๆ เข้ามา วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของหวงฝู่อวี้ โค้งคำนับแล้วออกไป
หวงฝู่อวี้หยิบเล่มที่อยู่บนสุด แล้วตั้งใจดู
หลินหันเยียนกัดปาดตนเอง แล้วลองพูดหยั่งเชิงดูว่า “พี่อวี้เจ้าคะ พี่สอนข้าดูบัญชีได้หรือไม่ ไว้วันหน้าข้าจะได้ช่วยท่าน”
มือของหวงฝู่อวี้ที่ถือบัญชีอยู่ก็กำแน่นขึ้น นิ้วมือบีบไปที่มุมของเล่มบัญชี พยายามข่มความโกรธที่อยู่ในใจเอาไว้ เงยหน้าขึ้น แล้วฝืนยิ้มออกมาว่า “ไม่ต้องหรอก คิดบัญชีมันต้องใช้พลังสมองเยอะ ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรทำก็คือดูแลรักษาสุขภาพของตนให้ดี รอคอยวันที่เราแต่งงานกัน”
หวงฝู่อวี้คนก่อนไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่ตนขอเลย หลินหันเยียนกัดปากตนเองจนเลือดแทบออก อยากที่จะเอาสมุดบัญชีที่อยู่ในมือของเขาเอามาโยนทิ้ง แล้วถามเขาว่าเบื่อนางแล้วอย่างนั้นหรือ แต่ก็ไม่กล้า นางกลัวว่าถ้าหวงฝู่อวี้ยอมรับล่ะก็ นางไม่รู้ว่าตนเองจะทำเรื่องบ้าบออะไรอีกหรือเปล่า เพื่อเขาแล้ว นางละทิ้งความสำรวม ละทิ้งคุณค่าของตัวเอง ละทิ้งหน้าของตนเอง แล้วทำเรื่องน่าอับอายขายขี้หน้าเช่นนั้นออกมาได้อย่างไม่ละอาย ตอนนี้ยังไม่มีงานแต่ง หวงฝู่อวี้ก็เบื่อนางเสียแล้ว แล้วนาง…
ไม่กล้าที่จะคิดต่อลงไปอีก แล้วก็ไม่กล้ารบกวนเขาอีก หลินหันเยียนถอยออกมา อยากไปนั่งสงบสติที่เก้าอี้ คิดว่าต่อไปนี้ตนเองจะทำเช่นไร เมื่อหันหลัง ท้องก็เกิดอาการปวดขึ้นมาโดยทันที ฝืนเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เดินยังไม่ทันถึงที่เก้าอี้ ก็ปวดจนทนไม่ไหว บนหน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาเป็นจำนวนมาก ทนไม่ไหวแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “พี่อวี้เจ้าขา… ข้า… ” เจ็บจนพูดออกมาไม่ไหว
หวงฝู่อวี้ได้ยินก็รู้ถึงความผิดปกติ เงยหน้าขึ้น เห็นท่าทางของนางก็ตกใจเป็นอย่างมาก ลุกขึ้นมาโดยทันที แล้วเดินไปที่ข้างกายนาง แล้วถามนางด้วยความร้อนรนว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
“ข้า… ปวด… ท้อง!” มือจับที่ท้อง แล้วพูดจนจบ หลินหันเยียนปวดจนทนไม่ไหว นอนกองลงไปกับพื้น
หวงฝู่อวี้โอบกอดนางเอาไว้ แล้วอุ้มนางไปไว้ที่เตียง แล้วออกคำสั่ง “เฮ่ออี เอาตราประจำตำแหน่งของข้าไปเชิญหมอหลวงเจียงมา”
เฮ่ออีตอบรับ เดินเข้ามา หวงฝู่อวี้เอาตราประจำตำแหน่งส่งให้เขา เฮ่ออีรับไป แล้วเดินออกไปจากจวนอ๋องอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อวี้หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา แล้วเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าของหลินหันเยียนอย่างเบามือ ปลอบใจว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอดทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวหมอหลวงเจียงก็มาแล้ว”
หลินหันเยียนพยักหน้า ตอนนี้เจ็บจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว
เฮ่ออีออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว เป็นธรรมดาที่จะเป็นจุดสนใจของคนในจวน พ่อบ้านจึงมารายงานกับเมิ่งเชี่ยนโยว
วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ไปไหน ยากนักที่จะได้อยู่บ้าน เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับรายงานแล้วนั้น มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน เห็นเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดอะไร ก็รู้ว่าเขาไม่อยากให้นางเข้าไปยุ่งเรื่องของทั้งสองคน จึงพูดว่า “ข้ารู้แล้วล่ะ ออกไปได้”
พ่อบ้านตอบรับ แล้วออกไป เมื่อออกมาก็ถอนหายใจเฮือกยาว เมื่อก่อนนี้ซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยเมื่อรู้ว่าเกิดเรื่องกับคุณชายรองก็จะรีบไปทันที แต่ตอนนี้… …
พ่อบ้านส่ายหน้า แล้วไปทำหน้าที่ของตน
เฮ่ออีไปเชิญหมอหลวงเจียง ผ่านไปครึ่งชั่วยามถึงจะกลับมา หลินหันเยียนปวดจนแทบจะสลบ
เมื่อเห็นนางจะสลบไป หมอหลวงเจียงก็ไม่รอช้า วางกระเป๋ายาลง แล้วรีบจับไปที่ชีพจรของหลินหันเยียน
หวงฝู่อวี้รีบจนเหงื่อไหลท่วม มองไปที่หมอหลวงเจียงอย่างร้อนรน
หมอหลวงเจียงขมวดคิ้ว ท่าทางก็ขึงขังขึ้นมาทันที
ใจของหวงฝู่อวี้ก็หน่วงขึ้น แล้วเรียกด้วยความร้อนรนว่า “เยียนเอ๋อร์.. …”
หมอหลวงเจียงยื่นมือออกมาห้ามเขาเอาไว้ หมายความว่าไม่ให้เขาพูด
หวงฝู่อวี้ก็เลยทำได้แค่เก็บคำพูดของตนลงไป ทางหนึ่งก็คอยเช็ดเหงื่อให้หลินหันเยียนไป แล้วลุ้นผลทางหมอหลวงเจียงไปด้วย
เมื่อจับเสร็จข้างหนึ่ง หมอหลวงเจียงก็ทำมือให้นางยื่นอีกมือนึงออกมา แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างช้าๆ หมอหลวงเจียงปล่อยมือ แล้วมองไปที่หวงฝู่อวี้ ท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เยียนเอ๋อร์เป็นอะไรกันแน่” หวงฝู่อวี้ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
เห็นหลินหันเยียนที่นอนปวดท้องเหงื่อไหลอยู่บนเตียง หมอหลวงเจียงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ คุณชายรองให้คนไปหามา ต้มเสร็จก็ให้คุณหนูหลินดื่มโดยทันที”
“ได้ ท่านรีบเขียนเร็วเข้า!” เมื่อพูดจบ ก็สั่งหงเอ๋อร์ “เตรียมพู่กันกับน้ำหมึก”
หงเอ๋อร์เห็นบนโต๊ะของหวงฝู่อวี้มีพร้อมทั้งพู่กันและน้ำหมึก ก็จัดเตรียมให้ดี ท่านหมอหลวงเจียงก็ลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะ แล้วเขียนใบสั่งยาให้
“เฮ่ออี เจ้ารีบไปหามาโดยเร็ว!” หวงฝู่อวี้ออกคำสั่ง
เฮ่ออีเข้ามารับใบสั่งยาไป แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
พอจัดหายามาได้ ต้มเสร็จ หวงฝู่อวี้ก็ป้อนหลินหันเยียนด้วยตนเอง แล้วรอครึ่งชั่วยาม เมื่อยาออกฤทธิ์ ความเจ็บปวดของหลินหันเยียนก็ค่อยๆ หายไป ร่างกายสบายขึ้นทันตาเห็น และเปียกโชกราวกับแช่น้ำมาอย่างไรอย่างนั้น
หวงฝู่อวี้เป็นห่วงมาก ได้แต่โทษตนเอง ไม่เข้าใจว่าเมื่อคืนตนเองไปโดนตัวไหนมา ถึงได้ไม่กลับมาพักผ่อนที่เรือน เยียนเอ๋อร์ต้องร้อนรนมากแน่ๆ เลยส่งผลให้ร่างกายเป็นเช่นนี้
ยื่นมือออกไปเช็ดเหงื่อหยดสุดท้ายบนหน้าผากของนางแล้วถามว่า “ยังปวดอีกหรือไม่”
หลินหันเยียนรู้สึกว่าตนเองเหมือนได้ไปเยือนยมโลกมาแล้วรอบหนึ่ง แล้วรอดกลับมาได้อย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกกลัวต่างๆ นาๆ ต่างก็ประเดประดังเข้ามา น้ำตาไหลริน ได้แต่พยักหน้า
หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่าร้องไห้เลย เป็นเพราะพี่ไม่ดีเอง วันหลังพี่จะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว เจ้าเพิ่งกินยาเข้าไป อย่าร้องไห้เลยนะ”
หลินหันเยียนอยากร้องไห้ฟูมฟายออกมา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีหมอหลวงเจียงอยู่ด้วย เลยข่มความรู้สึกตัวเองไว้ แต่ก็ยังร้องสะอื้นออกมาอยู่
หวงฝู่อวี้แตะที่ตัวของนางเบาๆ แล้วพูดปลอบประโลมนางเบาๆ ไม่นาน หลินหันเยียนก็หยุดร้องไห้
หมอหลวงเจียงที่ยืนมองอยู่อีกฟากก็ได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อย คุณหนูตระกูลหลินคนนี้แต่ก่อนก็เป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่ตอนนี้กลับทำตัวเองจนมีสภาพเช่นนี้ไปเสียได้ ถ้าหากว่ารู้ว่าตนเองไม่สามารถ… คิดได้เช่นนี้ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว เฮ้อ
เสียงนี้ ทำให้หลินหันเยียนที่เพิ่งจะสงบลงและหวงฝู่อวี้ที่เพิ่งจะโล่งอก ทั้งสองคนมองไปที่เขา
หลินหันเยียนพูดว่า “ขอบพระคุณหมอหลวงเจียงเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าข้าเป็นโรคใด เหตุใดถึงปวดได้ขนาดนี้เจ้าคะ”
หมอหลวงเจียงมองไปที่ทั้งสองคน ขยับปากอยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดเช่นไร
“ไม่เป็นไร มีเรื่องใดท่านหมอหลวงพูดตามตรงได้เลยขอรับ” หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้คิดไรมาก เลยพูดออกมาตามนั้น
มองไปที่ทั้งสองคน ท่าทางของหมอหลวงเจียงก็นิ่งขึ้น
ในใจของหลินหันเยียนมีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างไรก็บอกไม่ถูก แล้วถามด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ว่า “หมอหลวงเจียงเจ้าคะ ข้าคงไม่ได้เป็นโรคที่รักษาไม่หายหรอกนะเจ้าคะ”
หมอหลวงเจียงโบกมือ “คุณหนูหลินคิดมากไปแล้ว โรคของเจ้านี้ไม่ได้มีผลทำลายร่างกาย”
หลินหันเยียนก็โล่งอก แล้วถามต่ออีกว่า “แล้วข้าเป็นอะไรกันแน่เจ้าคะ”
หมอหลวงเจียงไม่ได้ตอบ แต่บอกว่า “คุณหนูหลินเหงื่ออกเต็มตัวไปหมด อย่างไรเสียก็ไปล้างเนื้อล้างตัวเสียก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จะได้ไม่เป็นหวัด”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ หลินหันเยียนก็รู้สึกได้ว่าตัวเหนียวเช่นนี้รู้สึกไม่ดีมากๆ มองหวงฝู่อวี้ สายตาแสดงถึงความอยากอาบน้ำอย่างชัดเจน
หมอหลวงเจียงยังไม่ทันไป หวงฝู่อวี้มีความกลุ้มใจเล็กน้อย
หมอหลวงเจียงก็แบกกระเป๋ายาขึ้นแล้วพูดว่า “คุณชายรองสั่งให้คนนำข้าไปที่ห้องรับแขกเถิด รอท่านทำธุระเสร็จค่อยมาก็ได้”
คำพูดนี้ของหมอหลวงเจียงนั้นหมายความชัดเจนว่าให้หวงฝู่อวี้จัดการเรื่องหลินหันเยียนให้เรียบร้อย แล้วให้ไปที่ห้องรับแขกเสียหน่อย ตนมีเรื่องจะคุยกับเขานั่นเอง
แต่น่าเสียดาย ใจที่เป็นห่วงแต่หลินหันเยียน ทำให้หวงฝู่อวี้ไม่เข้าใจในความหมายของเขา เลยสั่งคนให้นำหมอหลวงเจียงไปที่ห้องรับแขก แล้วสั่งให้คนไปต้มน้ำร้อน แล้วอุ้มนางไปที่ห้องอาบน้ำด้วยตนเอง เห็นว่านางปวดท้องมาทั้งวันแล้ว ไม่มีแรง เลยจัดการอาบน้ำให้นาง สระผมให้นาง ใส่เสื้อผ้าให้นาง แล้วอุ้มกลับมาที่ห้องของตน แล้วให้นางนอนอยู่ที่เตียง ห่มผ้าให้นางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าจะไปพบหมอหลวงเจียง ประเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
หลินหันเยียนดึงมือของเขาเอาไว้ สายตาอ้อนวอนไม่อยากให้ไป “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านให้หมอหลวงเจียงมาที่นี่เถอะ ข้าไม่อยากห่างจากท่านแม้เพียงเสี้ยวเวลาเดียว”
หวงฝู่อวี้จูบลงไปที่หน้าผากของนางด้วยความอ่อนโยน แล้วพยักหน้า “ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก”
ดังนั้น ตอนที่ท่านหมอหลวงเจียงมาทีนี่อีกครั้ง ในใจก็ด่าหวงฝู่อวี้ว่าไม่มีสมองไปแล้วเป็นร้อยรอบ คนก็พูดเสียชัดเจนขนาดนั้นแล้ว เขาไม่มีสมองงั้นหรือ เหตุใดถึงฟังไม่รู้เรื่อง
ก่นด่าในใจมาตลอดทางจนถึงห้องของหวงฝู่อวี้ ครั้งนี้ไม่เกรงใจอีกต่อไป และก็ไม่อ้อมค้อม พูดตรงๆ เลยว่า “ไม่ทราบว่าคุณหนูหลินเคยใช้ยาคุมกำเนิดหรือไม่”
ประโยคเดียวเท่านั้น ทำหลินหันเยียนและหวงฝู่อวี้ชะงักไป
สักพัก หลินหันเยียนก็หน้าซีด แล้วจับมือของหวงฝู่อวี้ไว้แน่น
สีหน้าของหวงฝู่อวี้ก็ละอายขึ้นมา ครั้งที่แล้วที่หลินหันเยียนตั้งครรภ์ แท้จริงแล้วนางซื้อยาคุมมาจากข้างนอกในราคาสูง จุดประสงค์เพื่อที่จะบังคับให้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนคิดหาวิธีให้ไทเฮาถอนราชโองการกลับไป เงยหน้าขึ้น มองไปที่หมอหลวงเจียง แล้วพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง “เคยใช้เจ้าค่ะ!”
“การใช้ยาคุมเกินขนาดของคุณหนูหลินในครั้งที่แล้ว ทำให้มดลูกได้รับความเสียหาย เกรงว่าต่อไปนี้จะไม่สามารถมีลูกได้อีก!”
ตอนที่ 373 จะตายให้ดู
‘คุณหนูหลินเคยใช้ยาคุมเกินขนาดในครั้งก่อน ส่งผลให้มดลูกได้รับความเสียหาย เกรงว่าต่อแต่นี้ไปจะไม่สามารถมีลูกได้อีก!’
เสียงนี้ดังก้องอยู่ในสมองของหลินหันเยียน ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างใดๆ ทั้งนั้น มีแต่เพียงแค่ประโยคนี้ของหมอหลวงเจียงวนเวียนอยู่ในหัวนาง
หวงฝู่อวี้ก็ชะงักไปเช่นกัน เบิกตาโพลงด้วยสีหน้าท่าทางไม่เชื่อเป็นอย่างมาก มองจ้องไปที่หมอหลวงเจียงตลอดเวลา เพื่อหวังว่าความน่าเกรงขรามของตนจะทำให้เขาถอนคำพูดเมื่อสักครู่นี้กลับไป เยียนเอ๋อร์ไม่สามารถมีลูกได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกัน
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่เชื่อ หมอหลวงเจียงก็ถอนหายใจออกมา “คุณชายรองรอง คุณหนูหลิน ข้าน้อยไร้ความสามารถ ถ้าอย่างนั้นให้…”
กรี้ดดดด
ยังไม่ทันพูดจบ หลินหันเยียนก็กรีดร้องออกมาเสียงดัง ทำให้หมอหลวงเจียงตกใจจนขวัญเสีย แล้วหยุดพูดไป
หวงฝู่อวี้ก็ตกใจเช่นกัน รีบเข้าไปโอบกอดหลินหันเยียน “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอย่างเพิ่งร้องไห้ๆ นี่จะต้องไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน ไม่จริงแน่นอน”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมกัน” หลินหันเยียนจับเสื้อของหวงฝู่อวี้ไว้แน่น น้ำเสียงพูดด้วยความสิ้นหวัง แล้วกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ “แล้วต่อจากนี้ข้าจะทำเช่นไร ทำเช่นไร”
หวงฝู่อวี้ก็กอดนางขึ้นไปอีก “ไม่ สวรรค์ไม่ทำกับเราเช่นนี้แน่ ท่านหมอหลวงเจียงจะต้องตรวจผิดแน่นอน”
“ใช่ๆ!” หลินหันเยียนพยักหน้าไม่หยุดในขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของหวงฝู่อวี้ “ใช่แน่นอนๆ เหตุใดข้าถึงจะมีลูกไม่ได้กันเล่า ใช่แล้ว เขาจะต้องตรวจผิดเป็นแน่” พูดจบ ก็ผลักหวงฝู่อวี้ออก ลงจากเตียง แล้วเดินไปที่หมอหลวงเจียง จ้องไปที่เขาแล้วเค้นถามว่า “เจ้าหมอไร้น้ำยา เจ้าตรวจผิดใช่หรือไม่ ข้าแข็งแรงดีจะตาย ทำไมจะมีลูกไม่ได้กัน”
ไม่ว่าผู้หญิงผู้ใดเมื่อได้ยินเรื่องเหล่านี้ก็รับไม่ได้ทั้งนั้น หมอหลวงเจียงเข้าใจ ไม่ได้โทษหลินหันเยียน แต่กลับพูดว่า “คุณหนูหลิน ข้าน้อยไร้ความสามารถจริงๆ สู้ให้ซื่อจื่อเฟยมาตรวจเถิดขอรับ”
“ใช่ๆ” หวงฝู่อวี้ได้สติกลับมา ตอบรับทันควัน “เชิญพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะไปตามพี่สะใภ้ใหญ่มาช่วยดูเจ้า” พูดจบ ก็เอ่ยปากออกคำสั่งทันที
“ไม่ได้!” หลินหันเยียนพูดเสียงดัง แล้วเดินกลับไปหาหวงฝู่อวี้ แล้วขอร้องเขาว่า “พี่อวี้เจ้าคะ อย่าให้นางมาเลยเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้โดนเรื่องที่หลินหันเยียนมีลูกไม่ได้เล่นจนเสียสติ งุนงงไปชั่วขณะ จึงไม่ได้เข้าใจในความหมายของคำพูดนาง จึงบอกนางว่า “เยียนเอ๋อร์ หมอหลวงเจียงบอกแล้วว่า วิชาแพทย์ของพี่สะใภ้ใหญ่นั้นล้ำเลิศยิ่งนัก นางจะต้องตรวจได้แน่ว่าเจ้าเป็นอะไรกันแน่”
“ข้าบอกว่าไม่ต้อง!” หลินหันเยียนน้ำตาไหลนอง แล้วพูดด้วยความขาดสติ “ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม!”
หวงฝู่อวี้ก็รีบรับนางมาไว้ในอ้อมกอด “ได้ๆ ข้าไม่ไปเรียกพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว เจ้าใจเย็นก่อนนะ!”
หลินหันเยียนผลักเขาออก แล้วเค้นถามเขาว่า “ให้ข้าใจเย็นได้อย่างไรกัน เป็นเพราะเจ้า เป็นความผิดของเจ้า เป็นเพราะเจ้าข้าถึงต้องทำเช่นนี้ แต่สุดท้ายคนที่รับกรรมดันเป็นข้า เพราอะไรกัน เพราะอะไร!”
หลินหันเยียนที่สภาพขาดสติเช่นนี้ เรื่องที่ควรพูด ไม่ควรพูดล้วนแล้วแต่จะต้องเป็นที่ครหากันด้านนอกอย่างแน่นอน หมอหลวงเจียงจึงสะพายกระเป๋ายาของตน แล้วพูดด้วยความเร่งด่วนว่า “คุณชายรองรอง คุณหนูหลิน ในวังยังมีเรื่องให้ข้าจัดการ ข้าไปก่อนขอรับ”
พูดจบ ก็หันหลังจะเดินออกไป
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” หลินหันเยียนตะโกนตามไปด้านหลัง
หมอหลวงเจียงหยุดชะงัก
หลินหันเยียนเดินไปที่ด้านหลังของเขาด้วยความรวดเร็ว แล้วดึงกระเป๋ายาของเขาออกด้วยความรุนแรง รุนแรงเสียจนแทบจะล้มลงกับพื้น “เจ้าห้ามไป ห้ามไปไหนทั้งนั้น ถ้าหากว่าเจ้ากล้าออกไปบอกคนอื่นล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้าเสีย!”
กระเป๋ายาถูกดึงจนเปิดออก ของข้างในนั้นกระจัดกระจายออกมา จนทำให้บ่าวรับใช้ในเรือนต่างก็ตกใจกันไปหมด มองหน้ากันไปมา ไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่คุณชายรองรองกับคุณหนูหลินยังสุภาพอ่อนโยนอยู่เลย เหตุใดผ่านไปเพียงประเดี๋ยวเดียวถึงได้ทำลายข้าวของเช่นนี้แล้ว
หวงฝู่อวี้รีบเดินมา แล้วกอดหลินหันเยียนเอาไว้แน่น “เยียนเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นๆ ก่อน หมอหลวงเจียงไม่เอาออกไปพูดหรอก”
“ข้าไม่เชื่อ!” หลินหันเยียนพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของเขา แล้วโวยวายว่า “ข้าไม่เชื่อ เขารอดูความย่อยยับของข้ามาตลอด แล้วเหตุใดจะไม่ออกไปป่าวประกาศล่ะ”
หงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงของหลินหันเยียนที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ก็รีบโบกมือ ให้คนในเรือนต่างก็ออกไปให้หมด ส่วนตนก็ไปเฝ้าที่ประตูเรือน ห้ามไม่ให้คนนอกเข้าไป
ในเรือน เมื่อหมอหลวงเจียงฟังจบ ก็รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้ว่าตอนนี้หลินหันเยียนกำลังขาดสติ ไม่รู้หรอกว่าตนเองกำลังพูดอะไรออกมา เขายังคิดไม่ทันเสร็จ หลินหันเยียนก็ดิ้นออกจากอ้อมกอดของหวงฝู่อวี้อีกครั้ง แล้วก็ตรงดิ่งมาที่เขา ตะคอกใส่ว่า “ข้ารู้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้ เจ้าอยากใช้วิธีนี้ ให้พี่อวี้ทิ้งข้า แล้วให้หลานสาวของเจ้าเข้ามาแทนล่ะสิ ข้าจะบอกให้ อย่าฝันไปหน่อยเลย ชาตินี้ พี่อวี้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว มีข้าเป็นเมียได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินหันเยียนจะพูดจาเช่นนี้ออกมาได้ หวงฝู่อวี้ก็ตวาดนางโดยทันที “เยียนเอ๋อร์ หยุดพูดเหลวไหลเดี๋ยวนี้นะ!”
หมอหลวงเจียงเป็นถึงหัวหน้าของสำนักหมอหลวง มีหมอในใต้บังคับบัญชาตั้งกี่ร้อยคน ขนาดนางสนมผู้สูงส่งต่างๆ ในวังเจอเขายังต้องทำความเคารพ วันนี้โดนหลินหันเยียนพูดจาเช่นนี้ใส่ ก็โกรธเป็นอย่างมาก ยับยั้งสติไม่อยู่แล้ว “คุณหนูหลิน ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ถึงแม้ว่าตระกูลเจียงของเราจะไม่ใช่ตระกูลที่ใหญ่โตอะไร แต่ก็มีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองหลวง หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ส่งลูกหลานสาวของตระกูลมาเป็นเมียใครหรอก”
แต่ก็ไม่รู้ว่าประโยคไหนที่ไปกระตุ้นหลินหันเยียน เลยทำให้นางยิ่งขาดสติไปกันใหญ่ หัวเราะออกมา แล้วพูด “ก่อนที่หมอหลวงเจียงจะพูดออกมา ดูหน้าตัวเองก่อนเถิดว่ายังมีหรือไม่ เมื่อวันนั้นข้าเห็นกับตา หลังจากที่หลานสาวของเจ้าได้รับความช่วยเหลือจากพี่อวี้ ก็กอดคอพี่อวี้ไม่ปล่อย”
“เจ้า…” หมอหลวงเจียงโกรธจนหน้ามืดโซเซไปหมด
หวงฝู่อวี้เดินมา แล้วลากหลินหันเยียน พร้อมตวาดใส่นางว่า “เยียนเอ๋อร์ พอได้แล้ว! เจ้าอย่าพูดจาเช่นนี้ ที่คุณหนูเจียงทำนั่นเป็นสัญชาติญาณเอาตัวรอดเท่านั้น ไปกอดโอบข้าตอนไหนกัน”
หลินหันเยียนจับคำพูดนั้น แล้วบอกกับหมอหลวงเจียงว่า “ฟังสิๆ พี่อวี้ก็ยอมรับแล้ว เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าเจ้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ถ้าให้ข้าเดา วันนั้นที่รถม้าเกิดปัญหาก็เป็นเพราะพวกเจ้าวางแผนเอาไว้แล้วด้วยต่างหากล่ะ”
เพี้ยะ! มือหวงฝู่อวี้ตบลงไปที่ใบหน้าของหลินหันเยียน “เยียนเอ๋อร์ พอได้แล้ว เลิกพูดเลอะเทอะได้แล้ว!”
หลินหันเยียนชะงักไป ตาทั้งสองข้างมองจ้องไปที่หวงฝู่อวี้อย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
หมอหลวงเจียงก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน ลืมไปเลยว่าหลินหันเยียนพูดอะไรไปบ้าง
หวงฝู่อวี้ชะงักไปยิ่งกว่า มองไปที่มือของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา แล้วก็มองไปที่รอยแดงบนใบหน้าของหลินหันเยียน จึงได้สติกลับมา อยากจะขอโทษหลินหันเยียน “เยียนเอ๋อร์ ข้า… …”
ตาทั้งสองข้างของหลินหันเยียนมองจ้องจนแทบจะถลนออกมา แล้วกล่าวโทษด้วยน้ำเสียงที่โกรธว่า “พี่อวี้ ท่านตบข้างั้นหรือ”
“เยียนเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้า … …”
เขายังไม่ทันพูดจบ หลินหันเยียนเดินไปด้านหน้าเขาด้วยความขาดสติ แล้วผลักเขาออกไปอย่างรุนแรง
หวงฝู่อวี้โดนผลักจนเซถอยไปกระแทกกับโต๊ะที่อยู่ทางด้านหลัง
โต๊ะโดนชนจนล้มลงไป เล่มบัญชีและพู่กันน้ำหมึกต่างก็ตกลงกระจุยกระจายลงพื้น ทั้งยังมีเสียงดัง
หงเอ๋อร์ทนไม่ไหวจนต้องเข้ามาดู ถ้าคุณหนูอาละวาดอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าจะไม่มีที่ให้นายบ่าวทั้งสองนี้ได้ซุกหัวนอนในเรือนอ๋องแห่งนี้อย่างแน่นอน แต่เมื่อก้าวเข้าไปได้หนึ่งก้าว เสียงเตือนของหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้น นางเลยถอยหลังกลับไปอย่างเงียบๆ แล้วคอยดูอยู่ข้างนอกด้วยความเป็นห่วง
ในเรือน
ดีทีหมอหลวงเจียงพยุงไว้ได้ทัน หวงฝู่อวี้เลยไม่ได้ล้มลงไป
หลินหันเยียนก็ยังไม่พอใจ เดินเข้าไปด้านหน้าเขา แล้วพูดชัดๆ ว่า “การใช้ยาคุมนั้นเป็นความคิดของเจ้า ยาก็เป็นเจ้าที่ซื้อมา วันนี้เจ้ายังตบข้า หรือว่าเจ้าคิดไว้นานแล้วว่าจะใช้วิธีนี้ทำร้ายข้า ทำให้ข้าออกไปจากจวนอ๋องเอง…” พูดถึงตรงนี้ ก็ยื่นมือออกมาชี้ไปที่หมอหลวงเจียง “จะได้มีพื้นที่ให้นังหลานไร้ยางอายคนนั้นของตาแก่นี่ ข้าจะบอกเจ้าให้ อย่าฝันไปเลย ชาตินี้ ข้าจะตามจองล้างจองผลาญ ถ้าข้าลำบาก เจ้าก็อย่าหวังว่าจะสบาย”
“เยียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดอะไรน่ะ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” หวงฝู่อวี้รู้สึกว่าคนๆ นี้ไม่ใช่หลินหันเยียนคนก่อนเลย เลยเบิกตาโพรงแล้วถามด้วยความประหลาดใจ
หลินหันเยียนพยักหน้า “ใช่ ข้าบ้าไปแล้ว ข้าถูกเจ้าบังคับให้บ้า ข้าคิดแต่อยากจะอยู่กับเจ้า ทำทุกวิถีทางให้ได้อยู่กับเจ้า ยอมทิ้งทั้งชื่อเสียงและความบริสุทธิ์ของตนเองเพื่อที่จะได้อยู่กับเจ้า แต่ว่าเจ้า คนในจวนแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่ดูถูกข้า เวลาที่ข้าพูดกับพวกเขา พวกเขายังทำท่าทีรังเกียจข้า นั่นช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าล่ะ เจ้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร เจ้าเอาแต่ยืดงานแต่งออกไป ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา แล้วยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังลงมือกับคนของตระกูลข้า ทำให้แม้แต่ที่พึ่งสุดท้ายของข้าก็ไม่มี แล้วมาวันนี้ การที่ข้าจะมีลูกยังไม่ได้เลย จะไม่ให้ข้าเป็นบ้าได้อย่างไร”
เมื่อเห็นนางเสียสติจนขีดสุดแล้ว ท่าทางราวกับจะเป็นบ้าได้ตลอดเวลา หวงฝู่อวี้ก็ยืนขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน น้ำเสียงอยากแนะนางว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าตั้งสติก่อน มีลูกไม่ได้ ไม่เพียงแต่เจ้าที่เจ็บปวด ข้าก็เช่นกัน ฟังข้านะ เจ้าใจเย็นๆ ก่อน พวกเราไปเชิญพี่สะใภ้ใหญ่มาตรวจก่อนดีไหม ไม่แน่หมอหลวงเจียงอาจจะตรวจผิดก็ได้”
หลินหันเยียนผลักเก้าอี้อย่างแรง โกรธจนแทบจะหายใจไม่ทัน แล้วตะวาดใส่ว่า “ไม่ได้ ข้าบอกว่าไม่ได้ นังสารเลวเมิ่งเชี่ยนโยวนั่น ครั้งที่แล้วก็ตรวจว่าข้าไม่ได้ท้อง แล้วยังไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอีก มองว่าพวกเรากำลังแสดงเป็นคนไร้ค่าน่ารังเกียจต่อหน้านาง ถ้าหากว่านางรู้ว่าข้าไม่สามารถมีลูกได้อีก นางจะต้องดีใจจนนอนไม่หลับเป็นแน่ ข้าไม่อยากให้นางมา อย่าให้นางมา”
“ก็ได้ๆ” หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกมาช้าๆ อยากที่จะห้ามให้นางไม่เสียสติอีก “พวกเราไม่เรียกพี่สะใภ้ใหญ่มาแล้ว ให้หมอคนอื่นมาตรวจดีไหม”
“ไม่ได้ ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น” หลินหันเยียนเซถอยไปด้านหลัง ส่ายหน้า แล้วเท้าก็เหยียบเข้ากับเศษกระเบื้อง เลือกสีแดงสดไหลออกมา จนกระเบื้องนั้นเป็นสีแดงจนหมดแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ได้แต่บอกว่า “ไม่ได้ๆ จะให้นางมาไม่ได้”
หวงฝู่อวี้เจ็บปวดจนถึงที่สุด รีบเดินเข้าไปเอาตัวหลินหันเยียนที่หมดสติไปหลังจากที่เสียสติอยู่ตั้งนานไปนอนที่เตียง แล้วเรียกหมอหลวงเจียงเสียงดังว่า “ยังไม่รีบเข้ามาทำแผลอีก”
“ได้ๆ ขอรับ” หมอหลวงเจียงได้สติ โค้งตัวลงไปเก็บยาที่อยู่เกลื่อนกลาดบนพื้น หาอันที่ต้องใช้ แล้วเดินไปที่ข้างเตียง
เศษกระเบื้องเจาะลงไปลึกมา หมอหลวงเจียงจับกระเบื้องส่วนที่อยู่ด้านนอกเอาไว้ แล้วพยักหน้าให้กับหวงฝู่อวี้ “คุณชายรองรอง จับคุณหนูหลินเอาไว้ให้ดีนะขอรับ” พูดจบ ก็ออกแรงดึง เศษกระเบื้องนั้นหลุดออกมาแล้ว เลือดก็ไหลพุ่งออกมาเช่นกัน
หวงฝู่อวี้กอดหลินหันเยียนเอาไว้แน่น กลัวว่านางจะปวดจนตะเกียกตะกายจนหมอหลวงเจียงทายาให้ไม่ได้
แต่หลินหันเยียนกลับไม่มีท่าทีเจ็บปวดใดๆ เลย ขนาดท่าทีเจ็บปวดเล็กน้อยก็ไม่มี เอาแต่มองเศษกระเบื้องที่หมอหลวงเจียงโยนลงพื้นเท่านั้น
หมอหลวงเจียงรีบเอายาห้ามเลือดที่ตนถืออยู่เทลงบนแผลของหลินหันเยียน เลือดก็หยุดไหลอย่างรวดเร็ว หมอหลวงเจียงก็หันหลังไปหยิบผ้าตาข่ายออกมาจากกระเป๋ายา แล้วแปะลงไปบนแผลของนางอย่างเบามือ แล้วกำชับหวงฝู่อวี้ว่า “คุณชายรองรองขอรับ แผลของคุณหนูหลินค่อนข้างลึก จะต้องพักฟื้นหลายวันแผลถึงจะสมาน ช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งให้นางโดนน้ำเป็นอันขาด”
หวงฝู่อวี้พยักหน้าตอบรับ “ทราบแล้วขอรับ”
หมอหลวงเจียงยืนขึ้น แล้วเดินไปที่โต๊ะที่ล้มอยู่กับพื้น แล้วหากระดาษจากกองระเกะระกะตรงนั้น วางลงบนเก้าอี้ข้างๆ ก็ยังหยิบพู่กันกับแท่นฝนหมึกมา จุ่มลงไปที่หมึกอันน้อยนิดในแท่นหมึก เขียนใบสั่งยาเสร็จ ก็ลุกขึ้น “คุณชายรองรอง นี่เป็นยาขับความร้อน รบกวนท่านสั่งให้คนไปหายานี้มาต้มเสีย ถ้าหากว่าคุณหนูหลินตัวร้อนล่ะก็ ให้นางกินยานี้เสีย”
หวงฝู่อวี้ก็สั่งให้เฮ่ออีไปจัดหายา
หลินหันเยียนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มองเหม่อไปที่เพดานห้อง
หมอหลวงเจียงถอนหายใจหนึ่งเฮือก แล้วแบกกระเป๋ายาของตนขึ้นอีกครั้ง “คุณชายรองรองขอรับ ข้าขอตัว ถ้าหากว่าคุณหนูหลินมีเรื่องอะไรอีกล่ะก็ ขอแค่ท่านใช้คนไปตามข้ามาก็พอ”
หวงฝู่อวี้กล่าวขอบคุณ แล้วปล่อยตัวหลินหันเยียน ลุกขึ้นนึกอยากจะไปส่งหมอหลวงเจียงด้วยตนเอง
หลินหันเยียนก็พรวดพราดลุกขึ้นจากเตียง ลงมาอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบเศษกระเบื้องที่หมอหลวงเจียงโยนลงพื้นเมื่อสักครู่นี้ พาดลงไปที่คอของตนเอง แล้วขู่ว่า “หากมีใครออกจากเรือนแห่งนี้ ข้าจะตายให้ดู”
ตอนที่ 374 ทวงบุญคุณ
หมอหลวงเจียงหยุดชะงัก หวงฝู่อวี้ก็ตกใจเป็นอย่างมาก อยากจะพุ่งตัวเข้าไปเอาเศษกระเบื้องที่อยู่ในมือของนางออก “เยียนเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไร” คาดไม่ถึง เมื่อก้าวเพียงแค่ก้าวเดียว มือของหลินหันเยียนที่กำลังกำเศษกระเบื้องอยู่ก็ออกแรงกดลงไปที่คอ มีเลือดสีแดงสดไหลออกมา “อย่าเข้ามา ถ้าหากว่าเข้ามาแม้ก้าวเดียว ข้าจะตายให้เจ้าดูเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อวี้ที่ก้าวเท้าออกไปแล้วก็เก็บเท้ากลับมา “ได้ๆ ข้าไม่ขยับ พวกเราคุยกันดีๆ เจ้าวางเศษกระเบื้องนั้นลงก่อนเถิด”
หลินหันเยียนไม่ได้ขยับ ชี้ไปที่หมอหลวงเจียง แล้วขู่หวงฝู่อวี้ว่า “เจ้าจะต้องให้เขารับปาก ห้ามเอาเรื่องที่ข้ามีลูกไม่ได้ไปพูดเด็ดขาด มิเช่นนั้น ข้าจะตายให้ดูเดี๋ยวนี้”
“ได้ๆ ข้ารับปาก ข้าจะให้หมอหลวงเจียงพูด เจ้าใจเย็นๆ ก่อน เอาเศษกระเบื้องนั้นวางลงก่อน”
หลินหันเยียนก็ยังคงท่าทางเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “เจ้าพูดสิ ข้าฟังอยู่”
หวงฝู่อวี้ยังไม่ทันพูด หมอหลวงเจียงก็เอ่ยปาก “คุณหนูหลิน ในฐานะหมอ จะต้องคิดแทนคนไข้อยู่แล้ว แล้วจะไม่มีการแพร่งพรายเรื่องของคนไข้เป็นอันขาด ต่อให้ท่านไม่พูด ข้าก็ไม่มีทางออกไปป่าวประกาศอยู่แล้ว”
หลินหันเยียนหัวเราะ หึหึ แล้วพูดว่า “ถ้าหากว่าเป็นคนอื่น ข้าเชื่อ แต่เป็นเจ้า ต่อให้ตีข้าให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ เพราะว่าเจ้าซาบซึ้งในพระคุณของนังเมิ่งเชี่ยนโยวมากเสียเหลือเกิน ถ้าหากว่านางถามเจ้า เจ้ารับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าจะไม่บอกนาง”
“คุณหนูหลิน ศาสตร์การแพทย์ของซื่อจื่อเฟยนั้นล้ำเลิศ ต่อให้ข้าไม่บอกนาง วันหลังนางก็ต้องรู้ แล้วอีกอย่าง นางเป็นถึงเจ้านายของจวนอ๋อง เรื่องบางเรื่องนั้นก็ควรให้นางรู้”
มือของหลินหันเยียนก็ใช้แรงกดลงไปที่คออีก เลือดสีแดงไหลลงมาตามลำคอของนางอย่างรวดเร็ว “ไหนเจ้าลองพูดอีกทีสิ เชื่อไหมว่าข้าจะตายให้เจ้าดูเดี๋ยวนี้”
“เจ้า…” หมอหลวงเจียงโกรธจนพูดไม่ออก
หวงฝู่อวี้ตกใจจนขวัญเสีย พูดเสียงสั่นเครือ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าวู่วาม เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถิด รับรองว่าไม่ว่าใครก็ตามจะไม่รู้เรื่องนี้”
หลินหันเยียนก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ “ได้ ว่ามาสิ”
หวงฝู่อวี้เอือมระอา หันหลังไปบอกว่า “หมอหลวงเจียง อย่างไรเสียข้าก็เคยช่วยเหลือหลานสาวของท่าน พวกเราถือว่าแลกกัน นับแต่นี้ต่อไป ข้ากับเยียนเอ๋อร์จะไม่พูดถึงเรื่องที่เคยช่วยเหลือหลานสาวของท่านอีก ส่วนท่านก็จะบอกเรื่องที่เยียนเอ๋อร์ไม่สามารถมีลูกได้กับผู้ใด รวมถึงเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้า พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย”
“คุณชายรอง นี่…” หมอหลวงเจียงมีความแคลงใจ เขาไม่ได้อยากเอาใจเมิ่งเชี่ยนโยวแต่อย่างใด แต่ก็ต้องบอกเรื่องที่หลินหันเยียนมีลูกไม่ได้ให้นางรู้ แต่กลับบอกไม่ได้ ถ้าหากว่าคุณชายรองและคุณหนูหลินแต่งงานกันแล้ว คนในจวนเพิ่งจะมารู้เรื่องนี้ ซื่อจื่อเฟยไม่เท่าไร ท่านอ๋องฉีต่างหากไม่แน่อาจจะไปทำลายตระกูลของเขาได้เลยก็ได้
เมื่อเห็นเขาหวั่นใจ หวงฝู่อวี้ก็เข้าใจถึงความลำบากใจของเขา เลยบอกว่า “หมอหลวงเจียงโปรดวางใจเถิด ถ้าหากว่าวันหนึ่งเรื่องนี้ถูกเปิดเผยแล้วล่ะก็ เสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้า และพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่รู้แล้วล่ะก็ พวกเรารับรอง ว่าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนอย่างแน่นอน”
พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้ายังไม่ตอบรับ ตนก็จะต้องถูกสงสัยว่าเอาใจคนในจวนนี้อยู่อย่างแน่นอน หมอหลวงเจียงถอนหายใจเฮือกยาว แล้วบอกว่า “เอาล่ะ คุณชายรอง ข้ารับปาก ต่อให้ภายภาคหน้าท่านอ๋องรู้แล้ว ข้าก็จะช่วยท่านรับรองว่าท่านเคยช่วยชีวิตหลานสาวของข้า ข้าก็จะใช้ชีวิตนี้ของข้าทดแทน นับแต่นี้ต่อไปพวกเราไร้ซึ่งความติดค้างต่อกัน”
“หมอหลวงเจียง ข้า… …” หวงฝู่อวี้ก็รู้ว่าการที่ทวงบุญคุณเช่นนี้ เป็นการทำเกินกว่าเหตุ แต่ในเมื่อสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าเขาไม่ทำเช่นนี้ ถ้าหากว่าเยียนเอ๋อร์บุ่มบ่ามปาดคอตัวเองขึ้นมา เขาอยากเสียใจไปก็ไม่ทันเสียแล้ว ดังนั้น ทำได้เพียงทำเช่นนี้กับหมอหลวงเจียงแล้วล่ะ
หมอหลวงเจียงโบกมือ ห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ “คุณชายรอง ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก นับแต่นี้ต่อไป พวกเราไม่ติดค้างกันแล้ว ข้าก็สบายใจ”
หวงฝู่อวี้ก็ยิ่งละอายใจเข้าไปอีก มองหมอหลวงเจียงสะพายกระเป๋ายาของเขา เดินออกไปอย่างช้าๆ
หลินหันเยียนไม่ได้ห้าม แล้วนั่งลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง มือก็ปล่อยกระเบื้องลงตกลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง กระเบื้องตกแตกมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปหานางอย่างรวดเร็ว ใช้เท้าเตะเศษกระเบื้องเหล่านั้นออกไปไกลๆ โค้งตัวลงไปอุ้มนางไปไว้ที่เตียง แล้วตะโกนออกไปด้านนอก “หงเอ๋อร์ รีบจัดการเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย”
หงเอ๋อร์ได้ยินเสียงเรียก ก็วิ่งเข้ามา เห็นสีหน้าของหลินหันเยียนที่ซีดเซียว ไร้ชีวิตชีวานอนอยู่บนเตียง ก็ตกใจพูดออกมาว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
หลินหันเยียนก็กลับไปมองเหม่อเพดานอีกครั้ง คำพูดที่พูดกับนางต่างก็ไร้ซึ่งคำตอบ
หงเอ๋อร์ยังอยากจะเข้าไปใกล้อีก แต่โดนหวงฝู่อวี้ห้ามเอาไว้ “รีบเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาดูคุณหนูของเจ้า”
เท้าของหงเอ๋อร์ก็หยุด ตอบรับ ก้มหน้าเดินออกไปเก็บกวาดห้อง นางตั้งโต๊ะขึ้นก่อน จัดเรียงให้ดี แล้วค่อยเอาของที่อยู่ที่พื้นมาจัดเรียงกลับที่เดิมตามที่ตนจำได้ สุดท้ายไปเอาที่ไม้กวาด มากวาดเศษกระเบื้อง หลังจากที่กวาดเรียบร้อยก็รีบกลับเข้าไปในห้องทันที
“ดูคุณหนูของเจ้าให้ดีๆ ข้าจะออกไปเสียหน่อย ประเดี๋ยวเดียวก็กลับ” เมื่อหวงฝู่อวี้พูดจบ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก
หลินหันเยียนที่ไม่รู้ตัวก็ลุกขึ้นทันที แล้วถามเสียงดังว่า “ท่านจะไปไหน”
“เมื่อครู่หมอหลวงเจียงไปอย่างรีบร้อน ไม่ได้ทิ้งยาห้ามเลือดเอาไว้ให้ ข้าจะไปเอาที่ห้องยา ไม่นานก็กลับ” หวงฝู่อวี้หันกลับไปอธิบาย
มองที่เขาทีหนึ่ง หลินหันเยียนก็ไม่ได้ว่าอะไร นอนกลับลงด้วยท่าทางลักษณะเดิม
หวงฝู่อวี้เดินออกมาจากเรือน ไม่ได้ไปที่ห้องยาของในจวน แต่รีบไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่รอให้ชิงหลวนเข้าไปรายงาน ก็เดินเข้ามาที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว เปิดม่านประตูออกแล้วพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วพูดด้วยท่าทางร้อนรน “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าขอยาห้ามเลือดดีๆ หน่อยขอรับ เยียนเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชี้ไปที่ขวดดินเผาที่วางอยู่บนโต๊ะ “เอาไปสิ”
“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่” หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หยิบขวดดินเผา แล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
มองม่านประตูที่พริ้วไหว สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร เรือนของหวงฝู่อวี้ทะเลาะกันเรือนแตกขนาดนั้น แม้พวกนางจะไม่ส่งคนไปติดตามเป็นพิเศษ ก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น ที่เมื่อครู่นางเอายาห้ามเลือดออกมาวางไว้ ก็เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องให้ต้องใช้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะต้องใช้จริงๆ
นวดไปที่หน้าผากที่ปวดร้าว ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนนั้นเป็นเฉกเช่นกิ่งทองใบหยก ทั้งสองคนรักใคร่ปรองดองกัน ดังนั้นจึงหาทำทุกวิถีทางให้พวกเขาได้แต่งงานกัน ต่อให้สุดท้ายแล้วหลินหันเยียนจะเข้าจวนอ๋องมาด้วยวิธีพรรค์นั้นก็ตาม ก็ไม่มีใครมองนางไม่ดีเลย ขอแค่นางและหวงฝู่อวี้พอใจก็พอ แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านางจะเป็นดั่งมอดที่กัดกินให้คนในจวนเริ่มเบื่อนาง แต่ก็ช่างเถอะ แต่วันนี้มันอะไรกัน เหตุใดถึงขั้นเลือดตกยางออกกันเลยทีเดียว
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงโกรธเกรี้ยวและดุดันของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “ไปเอาตัวหมอหลวงเจียงมาเดี๋ยวนี้”
นานๆ ทีจะได้อยู่จวนกับเมิ่งเชี่ยนโยวสองต่อสอง แต่ก็ต้องมาเจอเรื่องหนักใจเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนถึงขั้นคิดอยากจะไล่หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนออกไปจากจวนเลยทีเดียว แล้วก็ทั้งสองคนนั้นกำลังรอให้หมอหลวงเจียงมารายงานด้วย ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่ออกมาจากจวนของหวงฝู่อวี้ ตาแก่นั่นก็ออกไปเลย ไม่เห็นเขาที่เป็นซื่อจื่ออยู่ในสายตาเลยสักนิด หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ สั่งด้วยน้ำเสียงดุดันกว่าเดิม
โจวอันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีแทนหมอหลวงเจียงไปเรียบร้อย แล้วรีบออกตามไปโดยทันที
หมอหลวงเจียงรีบออกมาจากจวน เห็นว่าไม่มีคนห้าม เลยโล่งอก นั่งรถม้าออกมาก็พอสมควร เลยสั่งให้คนรถกลับไปที่โรงหมอหลวง ออกไปไม่ทันไร ก็เห็นเงาดำๆ ของคนหนึ่ง ตนเองก็สะดุ้งทันที แล้วถอนหายใจออกมา สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้น หลับตา แล้วให้โจวอันนำตัวเขาไปแต่โดยดี หิ้วตัวเขามาจนถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนแล้วถึงจะปล่อยตัว
หมอหลวงเจียงที่คุ้นชินกับการกระทำแบบนี้ไปเสียแล้ว ร่างกายที่ถึงพื้นก็ไม่มีการเสียหลักแต่อย่างใด สะพายกระเป๋ายาอย่างดี จัดท่าทีของตนให้จงได้ แล้วเดินเข้าไปในจวน ทำการคำนับทั้งสองคนเป็นอย่างแรก “ขอคารวะซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่รอช้า ถามตรงๆ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
หมอหลวงเจียงได้คิดคำตอบเอาไว้แล้ว พูดว่า “ซื่อจื่อโปรดอภัย ที่ข้าไม่สามารถพูดได้ เพราะว่าคุณชายรองมีบุญคุณต่อหลานสาวของข้าเป็นการแลกเปลี่ยน บอกให้ข้าห้ามพูดออกไปเด็ดขาด ข้าก็รับปากแล้ว หลังจากนี้ข้ากับคุณชายรองไม่ติดค้างต่อกันอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร ใช้สายตาที่แหลมคมมองจ้องไปที่เขา รอบกายเปล่งออกมาด้วยรังสีอำมหิต
หมอหลวงเจียงโดนรังสีนี้บีบเค้นจนเหงื่อไหล แต่ก็นั่งอยู่กับที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ไม่เลยแม้แต่คำเดียว
“เกี่ยวกับร่างกายของคุณหนูหลินใช่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะถาม
“ตอบซื่อจื่อเฟย ข้าไม่สามารถบอกได้” หมอหลวงเจียงก็ยังยืนยันคำเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วส่ายหน้า แล้วบอกให้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ต้องเปล่งรังสีอำมหิตนั่นแล้ว ในขณะที่หมอหลวงเจียงยื่นมือออกมาเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ก็ถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เรื่องที่คุณหนูหลินไม่สามารถมีลูกได้งั้นรึ”
“หืม?” หมอหลวงเจียงตาโต เงยหน้าขึ้น ท่าทางตกใจอย่างมาก แล้วถึงจะก้มหน้าลง พูดตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยไม่สามารถพูดอะไรได้”
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตามอง ในใจได้แต่บ่นว่าตาเฒ่าเอ๋ย
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วบอกว่า “ในเมื่อหมอหลวงเจียงไม่รู้อะไรทั้งนั้น ก็เชิญกลับไปเถิด แต่ว่าระหว่างสำนักหมอหลวงกับจวนอ๋องนั้นช่างห่างไกลกันยิ่งนัก อย่างไรเสียก็ให้โจวอันไปส่งท่านดีกว่า”
ครั้งนี้หมอหลวงเจียงตกใจจริงๆ แล้วล่ะ ได้แต่ร้องโอดโอยในใจ เขาก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูด ก็ไม่ได้ผลอะไรหรอก แต่ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะใช้วิธีนี้ในการลงโทษเขาต่างหาก ให้โจวอันจับเขาแล้วเดิน ทำอย่างกับเขาเป็นคนนอก แต่ว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองขาแข้งแรงน้อย ถ้าหากว่าจะต้องทำแบบนี้อีกหลายๆ รอบ เกรงว่าจะต้องตัดทิ้งเสีย
เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวของเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้แต่แอบยิ้มในใจ แต่ก็ยังไม่เปลี่ยนคำ เพราะคำว่า “หืม?” ของหมอหลวงเจียงเมื่อครู่นั้น แสดงว่าตนเองนั้นทายถูกต้องแล้ว ถ้าหากว่าส่งเขากลับไปดีๆ หลินหันเยียนรู้เข้า ก็จะต้องสงสัยเป็นแน่ ไม่แน่อาจจะอาละวาดขึ้นมาอีกก็เป็นได้ แต่ถ้าหากให้โจวอันไปส่ง นั่นก็สามารถชี้ได้ว่าเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับตนจริงๆ
หมอหลวงเจียงก็โดนกุมตัวออกไปอีกครั้ง
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่น่าดูเข้าไปใหญ่ หันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้สายตาถามนางว่ารู้ได้อย่างไร
หลินหันเยียนไม่สามารถมีลูกได้ นี่ไม่ใช่เรื่องดี สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน บอกว่า “หมอหลวงเจียงเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวง เขารู้ดีว่าหลังจากที่ตรวจโรคให้คุณหนูหลินเสร็จก็จะต้องมารายงานให้พวกเราฟัง แต่นี่ไม่ได้มา กลับออกไปจากจวนทันที แสดงว่าโรคของหลินหันเยียนนั้นต้องเป็นอะไรที่บอกกับผู้อื่นไม่ได้ แต่ว่า ข้าอยู่ในจวน อวี้เอ๋อร์ก็ไม่ได้ส่งคนมา ก็แสดงว่าโรคของคุณหนูหลินไม่ใช่โรคที่หาสาเหตุไม่ได้ แต่เป็นโรคที่บอกผู้อื่นไม่ได้ ข้าคิดไปคิดมา ก็มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ทำให้พวกเขารวมหัวกันปิดบังพวกเรา”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ขึงขังยิ่งขึ้น หลับตาลง ครุ่นคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไรดี
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจในความคิดของเขาดี จึงแนะว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของอวี้เอ๋อร์ พวกเราไม่ควรก้าวก่าย พวกเราทำเป็นไม่รู้เถอะ ส่วนเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ ก็ไม่ต้องไปบอกพวกท่านหรอก”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ถามว่า “พวกเราปล่อยพวกเขาเกินไปหรือเปล่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังต้องปิดบังงั้นรึ”
“บอกแล้วจะเป็นเช่นไรล่ะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าไล่พวกเขาออกไปจากจวน หรือว่าบังคับให้อวี้เอ๋อร์ไม่ต้องแต่งงานกับคุณหนูหลินล่ะ ไม่ว่าจะทำเช่นไร ก็โดนคนครหาอยู่ดี เจ้าควรข่มความโกรธของเจ้าเอาไว้ก่อน ดูสิว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกันต่อ แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ยอมพยักหน้า
หวงฝู่อวี้หยิบยามา แล้วรีบกลับไปที่จวนอย่างรวดเร็ว เปิดขวดยาออก แล้วเทลงไปที่แผลของหลินหันเยียน เลือดก็หยุดไหลทันที แต่สีหน้าของหลินหันเยียนก็ยังคงซีดเซียวอยู่
ยื่นขวดยาส่งไปให้กับหงเอ๋อร์ที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ หวงฝู่อวี้ลุกขึ้น เดินไปที่กะละมังน้ำ ชุบผ้าขนหนูให้เปียก แล้วนำไปเช็ดเลือดที่คอของหลินหันเยียนจนสะอาด แล้วโยนผ้าขนหนูลงพื้น พยุงนางขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วสั่งหงเอ๋อร์ “หาเสื้อให้เยียนเอ๋อร์หน่อย”
หงเอ๋อร์ตอบรับ เปิด**บเสื้อออก แล้วหยิบเสื้อตัวโปรดของหลินหันเยียนมาวางไว้ที่เตียง
“เจ้าออกไปก่อน” หวงฝู่อวี้สั่ง
หงเอ๋อร์ออกไป
ให้นางพิงไปที่ตัวของตน หวงฝู่อวี้ก็ค่อยๆ ถอดเสื้อที่เปื้อนเลือดของนางออก แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อที่หงเอ๋อร์หยิบให้ตัวนั้น
หลินหันเยียนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย แววตาว่างเปล่ามองไปข้างหน้าที่จุดใดสักจุด ไม่ให้ความร่วมมือ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยหวงฝู่อวี้จะทำอะไรก็ทำ
กว่าจะเปลี่ยนเสื้อให้นางเสร็จเหงื่อก็แตกท่วมตัวไปหมด เขาค่อยๆ พยุงนางกลับไปนอนที่เดิม แล้วถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก หวงฝู่อวี้ก้มโค้งลงไปเก็บเสื้อเปื้อนเลือดที่โยนกองไว้ที่พื้น กำลังจะเรียกให้หงเอ๋อร์แอบเอาไปเผาทิ้งเสีย
หลินหันเยียนก็ลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “ท่านห้ามไปไหนทั้งนั้น”
ตอนที่ 375 เป็นตัวแทน
เมื่อเห็นที่คอของนางเริ่มมีเลือดไหลออกมาอีก หวงฝู่อวี้ก็โยนเสื้อที่เปื้อนลงบนพื้นอย่างเร็ว แล้วพูดว่า “ได้ๆ ข้าจะไม่ไปที่ใดทั้งนั้น จะอยู่กับเจ้าในเรือนแห่งนี้”
พูดจบ ก็กลับไปนั่งที่เตียงดังเดิม
หลินหันเยียนก็นอนลงไปอีกครั้ง หันหลังให้กับหวงฝู่อวี้ ยื่นมือออกมากอดตัวเองแล้วหดตัว ราวกับตนเองเป็นสัตว์น้อยตัวเล็กที่ได้รับบาดเจ็บไร้ที่พึ่งพาอย่างใดอย่างนั้น
หวงฝู่อวี้เห็นแล้วปวดใจเป็นที่สุด เลยถอดรองเท้า แล้วนอนลงไปกอดนางจากทางด้านหลัง แล้วใช้ร่างกายที่อบอุ่นกอดไปที่ตัวของนางที่เย็นยะเยือก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ พักสายตาเถอะนะคนดี ตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป”
หลินหันเยียนก็หลับตาลงอย่างเชื่อฟัง ขนตาสั่นเครือ
หวงฝู่อวี้ก็กอดนางแน่น ไม่พูดอะไรอีก ในห้องเงียบสงัด
หงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านนอก หัวใจเต้นตุบๆ คุณหนูได้รับบาดเจ็บ มันเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้คุณหนูถึงทำแบบนี้
ความเคลื่อนไหวทางนี้ แน่นอนจะต้องไปถึงหูของท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีแล้ว
แต่ท่านอ๋องฉีกลับทำเป็นเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยังคงเล่นอยู่กับเด็กๆ ไม่เปลี่ยน เด็กน้อยอายุได้ห้าเดือนแล้ว เริ่มรู้เรื่องแล้ว แก้วตาดำดวงโตมองไปที่ท่านอ๋องฉี แล้วยังดิ้นใช้เท้าถีบแขนของตนอยู่ตลอด อีกทั้งยังมีเสียงร้องหวานๆ ออกมาด้วย
พระชายาฉีก็ถอนหายใจออกมา โบกมือให้กับคนที่มารายงานให้ออกไป แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้งพูดว่า “ท่านอ๋องเจ้าคะ ท่านว่า… …”
“มองแล้วขัดลูกหูลูกตา ก็ไล่มันออกไปเสีย ทำไมยังจะต้องมากลุ้มใจกับพวกเด็กไม่รู้จักโตพวกนี้ด้วย” สายตาของท่านอ๋องฉีก็ยังคงอยู่กับเด็กๆ
ตั้งแต่มีเด็กสองคนนี้ การจัดการเรื่องของท่านอ๋องฉีก็เรียบง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ พระชายาฉีมองเขาที่มีหลานเป็นแก้วตาดวงใจจนไม่สนใจสิ่งอื่นใดแล้ว ก็ถอนหายใจออกมา
อ๋องฉีก็ไม่พอใจ “อย่ามาถอนหายใจต่อหน้าเด็ก มันจะกระทบต่ออารมณ์ของเด็กได้”
พระชายาฉีก็หัวเราะออกมา “พวกเขาเพิ่งจะกี่เดือนเอง ไม่รู้เรื่องหรอกเจ้าค่ะ แล้วจะได้รับผลกระทบได้อย่างไร”
“นั่นก็ไม่แน่หรอก หลานสาวของข้าฉลาดจะตาย” พูดจบ ก็ถามเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกว่า “ใช่หรือไม่ เย่ว์เอ๋อร์”
เด็กน้อยก็หัวเราะออกมา จนท่านอ๋องฉีก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจไปด้วย
สิ่งที่พระชายาฉีกังวลก็แล้วกันไป ช่างเถอะ ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันให้พอ พอทะเลาะกันเสร็จ ก็จะเลิกทะเลาะกันไปเอง ท่านอ๋องพูดถูก เขาสองคนตอนนี้เป็นห่วงแค่เด็กน้อยก็พอ
เมื่อคืนก็นอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้ยังมาเจอเรื่องมากระทบทั้งกายทั้งจิตใจอีก พอหลินหันเยียนหลับตาลง ไม่นานก็ผล็อบหลับไป แต่ก็หลับได้ไม่สนิทนัก ในขณะที่ฝันเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความฝัน รวมไปถึงเสียงของหมอหลวงเจียงที่ยืนยันก็ยังดังก้องอยู่ในหัวของนาง เกรงว่าต่อไปนี้คุณหนูหลินจะไม่สามารถมีลูกได้ จึงกรีดร้องออกมา แล้วลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ไปไหน รู้สึกได้ว่านางหลับได้ไม่ค่อยสนิทนัก ก็ได้แต่โทษตัวเองและตำหนิตัวเองว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาคนเดียว ถ้าหากว่าเขาไม่คิดวิธีเลวๆ เช่นนั้นออกมา เยียนเอ๋อร์ก็ไม่ต้องมารับผลกระทบเช่นนี้
หลินหันเยียนตกใจตื่นขึ้น หวงฝู่อวี้ก็ตกใจลุกขึ้นเช่นกัน แล้วถามว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร ฝันร้ายงั้นหรือ”
หลินหันเยียนหันมาด้วยความเหม่อลอย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ
หวงฝู่อวี้ก็ยกแขนเสื้อของตนขึ้นมาเช็ดหน้าให้นาง
“พี่อวี้เจ้าคะ” หลินหันเยียนพูดเสียงเบา
“ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่มาตลอด” หวงฝู้อวี้ตอบกลับ
“ข้ามีลูกไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ”
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ตอบอะไร
ดวงตาของหลินหันเยียนก็มีน้ำตา “ท่านบอกข้าที ว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง”
“เยียนเอ๋อร์” น้ำเสียงของหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยความสงสารอย่างประมาณมิได้ “ข้าสัญญา ไม่ว่าเจ้าจะมีลูกได้หรือไม่ได้ ชีวิตนี้ข้ามีเจ้าเป็นเมียแค่เพียงผู้เดียว จะไม่แต่งงานกับใครอีก แล้วจะไม่มีวันทิ้งเจ้าด้วย”
“เจ้าค่ะ” หน้าของหลินหันเยียนที่กำลังร้องไห้ก็มร้อยยิ้มผลิออกมา เปรียบเสมือนดอกสาลี่ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน พยักหน้าแล้วบอกว่า “ข้าเชื่อท่านเจ้าค่ะพี่อวี้”
เห็นท่าทางพยายามฝืนความเจ็บปวดของนาง ท่าทางที่กำลังฝืนยิ้มของนาง หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ”
หลินหันเยียนส่ายหน้า “ข้าไม่ร้อง ขอแค่ท่านรับปากข้ามาก่อนเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าว่ามาเลย!”
หลินหันเยียนขยับตัวลงจากเตียง ตอนที่เท้าแตะถึงพื้นนั้น ก็มีความรู้สึกเจ็บขึ้นมา ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าต้องการอะไร บอกข้าสิ ข้าช่วยเอาให้” หวงฝู่อวี้พูดออกมาด้วยความปวดใจเป็นที่สุด
น้ำตาของหลินหันเยียนก็ยังคงคาอยู่บนใบหน้า แต่ก็ยังยิ้มออกมาได้ ใส่รองเท้า แล้วเดินไปที่โต๊ะ กางกระดาษออกในขณะที่หวงฝู่อวี้อมงด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ฝนหมึก แล้วเดินกลับมาที่เตียง แล้วลากหวงฝู่อวี้ลุกขึ้น จูงมือเขามาที่โต๊ะ แล้วเงยหน้ามองตาของหวงฝู่อวี้ แล้วขอร้องออดอ้อนว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านเอาที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้เขียนออกมาได้หรือไม่”
“ได้!” หวงฝู่อวี้ทำอย่างไม่ลังเล “ขอแค่เจ้าดีใจ ข้าจะเขียนให้เดี๋ยวนี้”
หลินหันเยียนก็ยิ้มมากกว่าเดิม
หวงฝู่อวี้ก้มหัว หยิบพู่กันมา แล้วเขียนคำพูดที่ตนพูดเมื่อครู่นี้ลงไปโดยไม่ตกหล่นแม้ตักอักษรเดียว เขียนเสร็จ ก็เอาให้หลินหันเยียน “เยียนเอ๋อร์ เจ้าดูสิ”
หลินหันเยียนส่ายหน้า “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านเขียนผิดแล้ว”
หวงฝู่อวี้ชะงักไป แล้วมองไปที่ตัวหนังสือที่ตนเขียนอย่างละเอียด ไม่ผิด เป็นคำพูดเมื่อครูนี้จริงๆ ไม่ตกหล่นแม้ตัวอักษรเดียว
หลินหันเยียนก็ชี้ไปที่กระดาษ “พี่อวี้ควรเขียนคำว่าสัญญาไว้ที่ด้านบนด้วยเจ้าค่ะ แล้วก็ ลงนามที่ด้านล่าง แบบนี้ข้าถึงจะสบายใจ”
“ได้”
หวงฝู่อวี้ตอบรับอย่างไม่ลังเลอีกครั้ง “ขอแค่เยียนเอ๋อร์พอใจ ข้าจะเขียนใหม่ให้เดี๋ยวนี้”
“ข้ากางกระดาษให้ ฝนหมึกให้พี่อวี้เองเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนยิ้มเพราะว่าไม่เห็นท่าทีลังเลของหวงฝู่อวี้เลยสักนิด จึงกางกระดาษให้ใหม่ แล้วฝนหมึกอีกครั้ง
หวงฝู่อวี้ก้มหน้า แล้วเขียนใหม่ตามที่นางบอกอีกครั้ง ลงนาม แล้วเอาตราประทับประจำตัวออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปที่ตรงหน้านาง “เยียนเอ๋อร์ เจ้าดูนี่ เช่นนี้แล้วเจ้าพอใจหรือยัง”
หลินหันเยียนก็รับมา แล้วตรวจดูอย่างละเอียด แล้วคุกเข่าลงไปที่พื้น “พี่อวี้เจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะขอท่านอีกหนึ่งเรื่อง”
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าจะทำอันใดอีก มีเรื่องขอร้องอะไรเจ้าพูดมาเถิด ไม่ว่าอะไรพี่ก็จะทำให้เจ้าทุกอย่าง” หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกมาอย่างรวดเร็ว อยากที่จะพยุงนางขึ้นมา
“พวกเราย้ายออกจากจวนกันเถอะเจ้าค่ะ!” หลินหันเยียนพูดแล้วมองไปที่เขาโดยไม่ขยับเลยสักนิด
หวงฝู่อวี้ชะงักไป มือที่ยื่นออกมาก็แข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แล้วถามว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไรนะ”
หลินหันเยียนก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง ไม่ตกหล่นเลยแม้คำเดียว “พวกเราย้ายออกจากจวนกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้!” หวงฝู่อวี้ปฏิเสธทันควัน “ข้ารับปากเจ้าได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้ที่ไม่ได้ พี่ใหญ่เคยบอกเอาไว้ พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน จะต้องประคับประคองจวนอ๋องแห่งนี้ไปด้วยกัน ข้าไม่มีวันย้ายออกจากจวนอ๋องเด็ดขาด”
หลินหันเยียนก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง “แต่ว่า ถ้าหากว่าท่านอ๋องและพระชายารู้ว่าข้าไม่สามารถมีลูกได้ล่ะก็ จะต้องขับไล่ข้าออกจากจวนแน่ๆ ถึงตอนนั้นจะทำเช่นไรล่ะเจ้าคะ”
“ไม่มีทาง” หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “จวนอ๋องไม่จำเป็นต้องสืบสกุล ถ้าหากพวกเราไม่มีลูก เสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็ไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”
เห็นเขาไม่ยอมท่าเดียว หลินหันเยียนก็น้ำตาไหลนอง “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านบอกว่าท่านจะทำเพื่อข้าทุกอย่างมิใช่หรือ แล้วใยเรื่องนี้จึงรับปากข้าไม่ได้”
“เรื่องใดก็ได้ ยกเว้นเรื่องนี้! เยียนเอ๋อร์ ข้าจะบอกให้เจ้าเข้าใจ ชีวิตนี้ ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ข้าจะไม่ทอดทิ้งจวนอ๋องเด็ดขาด จะไม่มีวันทรยศต่อพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ และจะไม่มีวันทำให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ต้องเสียใจเด็ดขาด” หวงฝู่อวี้มองจ้องไปที่ตาของหลินหันเยียน เป็นครั้งแรกที่ใช้น้ำเสียงดุดันเช่นนี้พูดความในใจกับนาง
น้ำตาของหลินหันเยียนก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย น้ำเสียงก็เริ่มดังขึ้น “แล้วข้าล่ะ ท่านคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ ให้ข้าอยู่ที่จวนอ๋องแห่งนี้ด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าถ้าหากพวกเขารู้เรื่องนี้เข้าในสักวัน แล้วไล่ข้าออกไป ข้าไม่มีที่ไหนให้ไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่มีวัน ข้ารับรอง ถ้าหากว่าพวกเขารู้เรื่องที่เจ้าไม่สามารถมีลูกได้แล้วขับไล่เจ้าออกจากจวน ข้าจะไม่ลังเลที่จะเดินไปกับเจ้า” หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และไม่ลังเลใดๆ
แต่หลินหันเยียนกลับไม่เชื่อ แล้วเริ่มฟูมฟายออกมา “พี่อวี้ ท่านหลอกข้า ข้ารู้ ว่าท่านไม่ทำแบบนั้นแน่”
“เยียนเอ๋อร์ ข้าจะต้องทำอย่างไรให้เจ้าเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด”
“พวกเราต้องแต่งงานกัน วันพรุ่งนี้เลย งานเลี้ยงก็เชิญแขกเหรื่อชั้นสูงในเมืองหลวงมาให้หมด เชิญขุนนางราชสำนักมาเป็นสักขีพยาน ข้าต้องการให้ท่านสัญญากับข้าต่อหน้าทุกคน ว่าชีวิตนี้จะมีข้าเป็นเมียแต่เพียงผู้เดียว จะไม่นอกใจ จะไม่ทอดทิ้งข้า”
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าไร้เหตุผลไปหน่อยเลย พวกเรายังไม่ได้เตรียมอะไรเลย จะแต่งกันพรุ่งนี้ได้อย่างไร”
หลินหันเยียนก็ลุกขึ้นด้วยความโกรธ แล้วตวาดกล่าวโทษเขา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านเสแสร้ง พวกท่านคนเยอะขนาดนี้ มีอะไรจะทำไม่ได้ ท่านไม่อยากแต่งงานกับข้าต่างหาก ถึงได้ยืดงานแต่งงานออกไปเรื่อยๆ เช่นนี้ แล้วก็ เมื่อคืนวานที่ท่านไม่กลับมาเลยทั้งคืน นั่นเป็นเพราะเบื่อข้าแล้ว อยากให้ข้าทนไม่ไหวแล้วถอยออกไปเอง ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง”
หลินหันเยียนกำลังจะเริ่มก่อเรื่องอีกครั้ง หวงฝู่อวี้ก็เริ่มโมโหด้วยเช่นกัน เลยพูดออกมาว่า “ข้ายอมรับ ว่าเมื่อวานข้าตั้งใจไม่กลับห้อง แต่ว่าข้าไม่ได้เบื่อเจ้าหรือจะทิ้งเจ้า แต่ว่าข้าต้องการคิด ว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้เจ้าหายแคลงใจข้า ทำให้เจ้าเป็นเหมือนกับเมื่อก่อน ที่สดใสร่าเริงใช้ชีวิตไปกับข้า ไม่ใช่มานั่งร้องไห้ฟูมฟาย น่าบึ้งตึงทั้งวี่วัน”
“ท่านหลอกข้า ท่านเบื่อข้าและจะทิ้งข้าต่างหาก ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง” หลินหันเยียนตะโกนออกมาด้วยความขาดสติ
เมื่อเห็นว่าหลินหันเยียนเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ หงเอ๋อร์ร้อนรน เปิดม่านประตูแล้วเสียมารยาทเดินเข้ามา แล้วพูดโน้มน้าวว่า “คุณหนูเจ้าขา ท่านยังบาดเจ็บอยู่ อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ”
เพียะ! ฝ่ามือประทับลงบนหน้าของหงเอ๋อร์ แล้วหลินหันเยียนก็เริ่มด่า “อย่ามายุ่ง นังทาสเนรคุณ ถ้าหากว่าไม่ใช่แผนการของเจ้า ที่เอายาใส่ลงในสุราของข้าล่ะก็ ทำให้ข้าไม่สามารถควบคุมตัวเองแล้วทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้ ข้าก็ไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้”
หงเอ๋อร์โดนตบจนมึน ยื่นมือออกมาจับที่หน้าของตน แล้วตาโต ไม่อยากจะเชื่อคนที่อยู่ตรงหน้าคือหลินหันเยียน อยู่กับคุณหนูมาหลายสิบปี คุณหนูไม่เคยด่าทอตนแรงๆ เลยแม้สักนิดเดียว วันนี้ถึงขั้นตบตน
เห็นนางมองจ้องมาที่ตนเอง หลินหันเยียนก็โกรธมากยิ่งขึ้น ด่าต่อว่า “นังขี้ข้า ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก อยากจะทำร้ายข้าอีกรอบอย่างนั้นหรือ”
หงเอ๋อร์คุกเข่าลงกับพื้น อดไม่ได้ที่จะพูดอธิบาย “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวไม่เคยทำร้ายท่านเลย ครั้งนั้น เป็นท่านเองที่บอกให้ข้าทำ”
“หุบปาก เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” หลินหันเยียนตวาดใส่นาง แล้วยื่นเท้าไปถีบ “ออกไป เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ ถ้ายังกล้าพูดอีก ข้าจะขายเจ้าทิ้งเสีย!”
ในขณะที่กำลังโกรธ แรงของหลินหันเยียนก็มากขึ้น หงเอ๋อร์โดนถีบจนกระเด็นไปด้านหลังเสียงดัง ตุบ หัวกระแทกกับพื้น จนงุนงงไปหมด
แต่หวงฝู่อวี้กลับได้ยินถึงบางสิ่งบางอย่างในคำพูดนั้น หรี่ตา แล้วถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “หงเอ๋อร์ เจ้าพูดอีกรอบสิ”
น้ำเสียงอันดุดันของเขาทำให้หงเอ๋อร์กลัวจนตัวสั่น สติก็กลับคืนมา แล้วลุกขึ้นคุกเข่าโดยลืมความเจ็บปวดไปเสียหมดสิ้น “คุณชายยรองเจ้าคะ บ่าวพูดออกมาด้วยความโกรธ ท่านปล่อยข้าไปเถิด ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดของหงเอ๋อร์ ทำให้สมองของหลินหันเยียนได้สติกลับมา แล้วพูดผสมโรงอย่างใจเย็นว่า “ใช่แล้ว พี่วอี้เจ้าคะ นังนี่ปกติก็ชอบพูดจาเลอะเลือนอยู่แล้ว ท่านอย่าไปฟังนางเลยเจ้าค่ะ”
พูดจบ แล้วจ้องไปหงเอ๋อร์ ตวาดใส่ว่า “ยังไม่รีบออกไสหัวออกไปอีก”
หงเอ๋อร์ก็รีบลุกขึ้นแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
หลินหันเยียนมองจ้องไปที่นาง ในขณะที่กำลังจะก้าวพ้นประตู ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น แล้วบอกให้นางหยุด “ช้าก่อน!”
หงเอ๋อร์หยุด แล้วหันหลังกลับมา มองไปที่นางด้วยสายตากล้าๆ กลัวๆ พูดตะกุกตะกักออกมาว่า “คุณ คุณหนูเจ้าคะ”
“เจ้ามานี่สิ!” หลินหันเยียนโบกมือให้กับนาง
หงเอ๋อร์ใจเต้นตุบๆ เดินมาที่ตรงหน้านาง
หลินหันเยียนจับมือนาง แล้วทั้งสองก็คุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่อวี้ ขอร้องว่า “พี่อวี้เจ้าคะ คืนนี้ ท่านรับหงเอ๋อร์เป็นภรรยาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น