ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 366-369
ตอนที่ 366
ภรรยาของหลินจ้งชะงักไป เรื่องในจวนหลิน ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยรู้แจ้งกระจ่างชัด แล้วเหตุใดยังให้หลินหันเยียนกลับบ้านมารอออกเรือน ไม่รู้ว่าพวกเขามีแผนการอะไรในใจ
เมื่อเห็นสีหน้าไม่ชอบใจของนาง สีหน้ายินดีของหลินหันเยียนจึงได้หายไป กัดริมฝีปาก ถามว่า “พี่สะใภ้ เป็นอะไรไปหรือ ท่านไม่เห็นด้วยหรือ”
ฮูหยินได้สติกลับมา ยิ้มและพูดว่า “น้องเล็ก พูดอะไรกัน น้องเล็กได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ข้าดีใจเสียจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว”
หลินหันเยียนสงสัย สีหน้าของนางเมื่อครู่ดูไม่เหมือนคนกำลังดีใจ แต่ว่า นางไม่คัดค้านก็ดีแล้ว ตอนที่นางเดินทางมายังเป็นกังวลใจอยู่ ท่าทีของท่านพ่อยังไม่ชัดเจน หากพี่ใหญ่และพี่สะใภ้คัดค้านขึ้นมา นางคงไม่มีที่จะออกเรือนเป็นแน่
หวงฝู่อวี้สังเกตอาการผิดปกติของฮูหยิน จึงแอบมองนางอยู่หลายหน แต่ไม่ได้พูดอะไร ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม
หลินจ้งได้รับรายงานจากบ่าวรับใช้แล้ว ก็ไม่รอช้า วางมือจากงานที่ทำอยู่รีบควบม้ากลับมายังจวนทันที เมื่อลงจากม้า พันเชือกไว้บนพื้น จากนั้นก็เดินก้าวเท้ายาวเข้าไปในจวนทันที
พ่อบ้านรออยู่หน้าประตู ออกมาต้อนรับ “คุณชาย คุณหนูถูกฮูหยินพาไปห้องรับรองแขกแล้วขอรับ”
ใจที่กดดันมาตลอดทางจึงได้ผ่อนคลายลง เดินไปพลางถามว่า “เหตุใดคุณหนูจึงกลับมากะทันหันเช่นนี้”
“เห็นว่าจะแต่งงานกับคุณชายรองแล้ว จึงกลับจวนมาเจรจาเรื่องการออกเรือนขอรับ” พ่อบ้านรายงานด้วยเสียงร้อนใจ
ฝีเท้าของหลินจ้งหยุดลง ขมวดคิ้ว “แต่งออกจากจวนหรือ”
พ่อบ้านพยักหน้า “ได้ยินคุณหนูว่าอย่างนั้นนะขอรับ”
ใจของหลินจ้งเครียดเล็กน้อย เรื่องในจวนหากถูกคนภายนอกรู้เอาได้ ผลลัพธ์ไม่อาจคาดคิด แค่ความผิดเรื่องการหมิ่นหยามฮ่องเต้ ก็มากพอจะให้จวนหลินถูกทำลายได้
หันหลัง เดินไปยังห้องรับแขกด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
ขณะที่ฮูหยินหลินกำลังพูดอยู่กับหลินหันเยียนนั้นก็มองออกไปด้านนอกไม่หยุด เมื่อเห็นร่างของหลินจ้งปรากฎอยู่หน้าประตู ก็ลุกขึ้น ออกไปต้อนรับ พูดว่า “คุณชายรองและน้องเล็กกำลังมาเจรจาเรื่องงานแต่ง ข้ากำลังจะส่งคนไปเรียกท่านอยู่พอดี”
ประโยคเดียวแต่พูดสองเรื่อง เรื่องแรก คือบอกเหตุผลที่หลินหันเยียนกลับมากะทันหัน อย่างที่สองก็เพื่อจะลบความแคลงใจของหลินหันเยียนออกไปได้ว่าหลินจ้งนั้นกลับมาเอง มิใช่ว่ามีใครไปเรียกเขากลับมา พวกเขาทั้งสองไม่ได้มีเรื่องอะไรปิดบังอยู่
หลินหันเยียนก็ยืนขึ้น ยิ้มทักทาย “ท่านพี่!”
หลินจ้งฝืนยิ้มออกมา พยักหน้า กำหมัดคารวะหวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง”
หวงฝู่อวี้เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน “พี่ใหญ่ ไม่ต้องเกรงใจ เรียกข้าว่าอวี้เอ๋อร์ก็พอ”
“ข้าน้อยไม่กล้า!” หลินจ้งตอบอย่างหวาดกลัว
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ใส่ใจ
ทั้งหมดนั่งลง
หลินจ้งเริ่มเปิดประเด็น “คุณชายรอง ไม่ทราบว่างานแต่งของท่านและน้องข้าจะจัดขึ้นเมื่อใดหรือ”
หวงฝู่อวี้ชะงักไปเล็กน้อย ยิ้ม “เรื่องนั้นยังไม่ได้กำหนด หากเยียนเอ๋อร์สามารถแต่งจากจวนได้ เมื่อส่งนางอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็จะรีบกลับจวนไปกำหนดวันแต่ง”
สีหน้าของหลินจ้งค่อนข้างลำบากใจ “สุขภาพของท่านพ่อไม่สู้ดี ไม่ได้ออกจากจวนมานานแล้ว ท่านแม่ดูแลท่านพ่อก็เหนื่อยมาก หากตอนนี้ไปคุยเรื่องการแต่งงานคงไม่เหมาะ จะรออีกสักหน่อยได้หรือไม่ รอให้ท่านพ่อท่านแม่หายดีแล้ว แล้วเราค่อยเจรจากันเรื่องนี้”
หลินหันเยียนเบิกตาโต มองหลินจ้งอย่างไม่เชื่อสายตา ตะโกนเสียงดังว่า “พี่ใหญ่!” นางรอแล้วรอเล่า รอมานานหลายเดือนให้หวงฝู่อวี้พูดเรื่องแต่งงาน แต่พี่ใหญ่กลับให้รอไปอีก เขาไม่รู้หรือว่าสถานะนางที่อยู่ในจวนอ๋องนั้นไม่ชัดเจน จนทำให้นางไม่กล้าออกจากเรือน
หลินจ้งก็รู้สึกผิดเต็มประดา ชีวิตของน้องเป็นอย่างไรคงไม่ต้องถาม เขารู้ดีว่าลำบากเพียงใด แต่ว่าสถานการณ์ของนางเมื่อเทียบกับหลายร้อยชีวิตในจวนหลินแล้วนั้น ก็ช่างเทียบไม่ได้เลย ตนเป็นเจ้านายของจวนหลิน ก็ควรจะคำนึงถึงความเป็นอยู่ของคนในจวนเป็นหลัก
แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลินจ้งพูดว่า “น้องเล็ก ความกตัญญูมาก่อนสิ่งอื่นใดบนโลก ท่านพ่อ ท่านแม่ป่วยหนัก เวลาเช่นนี้เรามาคุยเรื่องงานแต่ง จะเป็นเรื่องตลกของคนในเมืองหลวงเอาได้ ฟังคำของพี่ รอสักหน่อย รอจนท่านพ่อท่านแม่หายดีแล้วพี่จะไปรับเจ้ากลับมาด้วยตัวพี่เอง”
เช่นนี้หมายความว่าแม้แต่จวนนี้ก็ไม่ให้นางอยู่แล้ว สีหน้าของหลินหันเยียนซีดเผือดลง น้ำตาไหลรินลงมา พูดเสียงอู้อี้ว่า “พี่ใหญ่ เพราะท่านพ่อยังไม่ให้อภัยข้าใช่หรือไม่ หรือว่าเขาไม่รับข้าคนนี้เป็นลูกอีกแล้ว ท่านจึงพูดเช่นนี้”
หลินจ้งขมวดคิ้ว เหลือบมองหวงฝู่อวี้ เห็นว่าสีหน้าของเขามีความรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ไม่มีความรู้สึกอยากจะปลอบใจหลินหันเยียนเลยแม้แต่น้อย
ในใจของหลินจ้งหนักหน่วงเหลือเกิน ตอนที่น้องเล็กอยู่ที่จวน ได้รับการเอาอกเอาใจจากทุกคน ทุกเรื่องตามใจนางไปเสียหมด เห็นทีหลายเดือนมานี้ในจวนอ๋องนางก็ยังคงแผลงฤทธิ์เช่นเดิม มิเช่นนั้นท่าทีของหวงฝู่อวี้คงจะไม่ต่างจากหลายเดือนก่อนมากถึงเพียงนี้ เพราะเมื่อก่อนหากเขาเห็นน้องเล็กน้ำตาไหลแม่แต่หยดเดียวก็เป็นห่วงแทบแย่
คิดถึงตรงนี้ เขาไม่ได้ตอบคำถามของหลินหันเยียน แต่กลับถอนหายใจออกมาเบาๆ พูดด้วยความหนักแน่นว่า “น้องเล็ก ไม่ว่าจะมีงานแต่งหรือไม่ เจ้าและคุณชายรองก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เขาจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี เจ้าอย่าทำตัวเช่นเด็กน้อยอย่างที่เคยทำตอนที่อยู่ในจวนนี้อีก เจ้าจะต้องทำตัวให้สมกับเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้ได้”
หลินหันเยียนชะงักไป น้ำตาไหลลงมาแอบแก้ม แต่นางไม่สนใจจะเช็ด ถามด้วยความสงสัยว่า “พี่ใหญ่ ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
หลินจ้งถอนหายใจแรง ตอนหลินหันเยียนยังเล็ก ท่านพ่อ ท่านแม่ ก็หวังเอาไว้ว่านางจะได้เป็นซื่อจื่อเฟย จึงได้เอาอกเอาใจนางเป็นพิเศษ ไม่ได้ใส่ใจอบรมสั่งสอนนางเรื่องมารยาทมากเท่าที่ควร ต่อมาเมื่อหวงฝู่อี้เซวียนกลับมา ก็เริ่มพูดถึงการถอนหมั้น ท่านพ่อ ท่านแม่ลนลาน คิดหาวิธีต่างๆ มาขัดขวางการถอนหมั้น แต่ต่อมาก็เกิดเรื่องถอนหมั้นขึ้นจนได้ หลินหันเยียนล้มป่วยหนักไม่มีท่าทีดีขึ้น ผอมซูบลงทุกคืนวัน จึงไม่มีผู้ใดไปอบรมสั่งสอนนาง หลายเรื่องมารวมกัน ทำให้นางกลายเป็นดอกไม้ในห้องกระจก โดนแดดโดนลมไม่ได้ จากเด็กสาวที่ร่าเริงแจ่มใส กลายเป็นคนเจ้าน้ำตาเช่นทุกวันนี้
หลินจ้งถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง กำหมัดให้หวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง หากน้องข้ามีที่ใดที่ไม่ถูกไม่ควร ขอให้ท่านอภัยนางด้วย รอท่านพ่อและท่านแม่หายป่วยดีแล้ว ข้าจะไปรับนางกลับมาสั่งสอนอย่างดี”
เอียงคอไปมองหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของหลินหันเยียน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจของหวงฝู่อวี้กลับไม่มีความรู้สึกสงสารนางเช่นเคย แต่กลับกลายเป็นความผิดหวังแทน ตอนแรกคิดว่านางจะสามารถอยู่ที่จวนหลินได้ คิดไม่ถึงว่าสองสามีภรรยาหลินฉงเหวินจะป่วยกันทั้งสองคน ดูท่าทีวันนี้คงจะต้องพานางกลับไปเช่นเคย จึงได้ถอนหายใจออกมายาวเหยียด โบกมือ “พี่ใหญ่พูดอะไรกัน เยียนเอ๋อร์เป็นคนที่ข้ารัก นางมีข้อเสียอะไรข้าก็ยอมรับได้ทั้งสิ้น”
หลินจ้งฟังความหมายโดยนัยน์ของเขาออก ในใจจึงยิ่งหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม พูดอะไรไม่ออกในทันที
หวงฝู่อวี้ยืนขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว วันนี้ข้ากับเยียนเอ๋อร์ก็ขอตัวกลับก่อน หวังว่าท่านพ่อตาและแม่ยายจะหายดีโดยเร็ว”
หลินจ้งรีบยืนขึ้น คารวะ “ขอบคุณคุณชายรองที่เป็นห่วง หากอาการของท่านพ่อและท่านแม่ดีขึ้นเมื่อใด ข้าจะรีบส่งคนไปรับเยียนเอ๋อร์กลับมาขอรับ”
หวงฝูอวี้พยักหน้า กดความรู้สึกหงุดหงิดในใจเอาไว้ หันหน้าไปพูดกับเยียนเอ๋อร์ด้วยความอ่อนโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ เรากลับกันเถิด วันหลังค่อยมาใหม่นะ”
หลินหันเยียนท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ นั่งไม่ขยับ พูดว่า “ข้าอยากอยู่ที่จวนนี้”
“เยียนเอ๋อร์!” หลินจ้งตวาดนาง “เหตุใดเจ้าจึงรั้นเช่นนี้”
หลินหันเยียนตกใจ ร่างของนางสั่นเล็กน้อย มองหลินจ้งอย่างไม่เชื่อสายตา น้ำตาไหลรินออกมา “พี่ พี่ใหญ่…”
หลินจ้งไม่ใจอ่อน น้ำเสียงแข็งยิ่งกว่าเดิม “เจ้ามีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว วันๆ รู้จักแต่จะร้องห่มร้องไห้เหมือนเด็ก จะเป็นแม่บ้านแม่เรือนได้อย่างไร เช็ดน้ำตาเสีย กลับไปพร้อมคุณชายรอง”
ประโยคนี้ของหลินจ้งแม้จะดูเหมือนเป็นการดุ แต่ที่จริงแล้วเป็นการเตือนสตินาง แต่หลินหันเยียนกลับจมอยู่กับคำดุของหลินจ้งอยู่อย่างนั้น พี่ใหญ่ที่ปกติแล้วไม่เคยดุว่าใครกลับสั่งสอนนางต่อหน้าคนมากมาย เขาคิดว่าเรื่องที่ตนทำลงไปทำให้จวนหลินขายหน้า ไม่อยากพบหน้าตนแล้ว ไม่อยากในตนอยู่ที่นี่แล้วหรือ
คิดถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลออกมามากกว่าเดิม และยังไม่ยอมยืนขึ้น
เมื่อเห็นว่านางยังไม่เข้าใจความหมายของเขา หลินจ้งกำลังจะโมโหขึ้นมา ฮูหยินจึงได้กดแขนของเขาไว้ และส่ายหน้า ส่วนตนก็เดินไปหานาง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้ จากนั้นก็ดึงนางขึ้น ตบมือนางเบาๆ “น้องเล็ก เจ้าอย่าน้อยใจไปเลย ท่านพ่อและท่านแม่ป่วยอยู่ พี่ของเจ้าต้องดูแลจวนของเราเพียงผู้เดียว เมื่อเกิดเรื่องไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะโมโหร้ายสักหน่อย ไม่ใช่เพราะเป็นเจ้าหรอก กับข้าเขาก็โมโหร้ายเช่นนี้ทั้งวัน น้องเล็กอย่าเอาเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย วันนี้เจ้ากลับไปกับคุณชายรองเสียก่อน รอวันหลังมีเวลาแล้ว พี่สะใภ้จะไปรับเจ้ากลับมาเอง”
ประโยคนี้ของนางปลอบใจหลินหันเยียนได้ดี จึงพูดเสียงอู้อี้ว่า “ข้าก็เพียงอยากจะอยู่ที่นี่ดูแลท่านพ่อท่านแม่เท่านั้นเอง”
“ข้ารู้ว่าเจ้ากตัญญู แต่อย่างไรเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นคนของคุณชายรองแล้ว จะมาอยู่ที่บ้านนานๆ ก็ไม่เหมาะสม จะเป็นที่ติฉินนินทาเอาได้ อย่างไรเสียน้องเล็กก็กลับไปพร้อมกับคุณชายเถิด”
หลินหันเยียนจนปัญญา จึงได้แต่พยักหน้า
หวงฝู่อวี้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ขมวดคิ้วลง มองคู่สามีภรรยาหลินจ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร
ฮูหยินหลินค่อยๆ เช็ดคราบน้ำตาให้หลินหันเยียน แต่ก็ไม่ได้ให้นางไปล้างหน้าล้างตา ยิ้มพร้อมพูดว่า “เวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว ข้าและพี่ของเจ้าไม่รั้งเจ้าและคุณชายไว้กินข้าวเย็นที่นี่แล้วกัน กลับจวนกันดีๆ ล่ะ”
เช่นนี้ก็คือการส่งแขก หวงฝู่อวี้เข้าใจแล้ว จึงได้ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก ฮูหยินของหลินจ้งประคองหลินหันเยียนเดินตามหลัง หลินจ้งเดินอยู่หลังสุด เดินออกจากจวนหลินไป
เมื่อเห็นรถม้าของทั้งสองแล่นออกไปไกล ฮูหยินก็โล่งใจขึ้นมา ถามหลินจ้งว่า “เรื่องนี้จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ เรื่องงานแต่งเราจะยื้อกันไปเรื่อยๆ ไม่ได้หรอกนะ”
หลินจ้งไม่พูดไม่จา เดินกลับเข้าไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฮูหยินเดินตามมาติดๆ
รถม้าจากไปอย่างไม่รีบร้อน ราวๆ หนึ่งก้านธูป หลินหันเยียนจึงได้สงบลง คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางมา จึงได้เอียงตัว เข้าไปซบในอ้อมกอดของหวงฝู่อวี้ ถามว่า “พี่อวี้ แม่หญิงที่ท่านช่วยเอาไว้ตอนที่เราเดินทางมา ท่านรู้จักนางหรือ”
หวงฝู่อวี้เล่นผมของนางพร้อมส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”
“อย่างนั้นเหตุใดจึง…” อยากจะถามว่าเหตุใดจึงอุ้มคนนั้นเอาไว้ในอก แต่ก็คิดว่าไม่ควร จึงเปลี่ยนเป็น “ข้าเห็นบนรถมีป้ายเขียนว่าเจียง เป็นรถม้าของหมอเจียงใช่หรือไม่”
“ข้ามิได้ถาม หลังจากช่วยคนเสร็จแล้ว ข้าก็เดินจากมา ไม่รู้ว่านางนั่งรถม้าของใครมา”
ดูออกว่าจิตใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลินหันเยียนจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่อวี้ ท่านมีเรื่องในใจหรือเจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้ได้สติกลับมา ก้มมองใบหน้าจิ้มลิ้มของนาง ยิ้มพร้อมส่ายหน้า ปิดบังเรื่องในใจของตน “มีเรื่องในใจที่ใดกันเล่า เรื่องกิจการของจวนก็เท่านั้นเอง”
หลินหันเยียนไม่รู้เรื่องการค้าขาย จึงไม่ได้ถามอะไรต่อ ซบอยู่บนอกเขาเงียบๆ
ในรถม้าเงียบสงัด
หวงฝู่อวี้ปิดตาลง ปล่อยอารมณ์ไปกับช่วงเวลาแสนสงบที่หาได้ยากเช่นนี้
รถม้ามาถึงหน้าประตูจวน พยุงหลินหันเยียนลงรถ เดินเข้าไปในจวน หวงฝู่อวี้กล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่และพี่สะใภ้เสียก่อน”
สีหน้าของหลินหันเยียนตระหนกขึ้นมาทันที อยู่ไม่สุขอย่างเห็นได้ชัด “ซื่อจื่อเฟยจะไม่โทษข้าใช่หรือไม่”
“เจ้าคิดไปถึงไหนกัน นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย พี่สะใภ้ไม่กล่าวโทษเจ้าหรอก”
หลินหันเยียนโล่งใจ หวงฝู่อวี้ส่งสายตาให้หงเอ๋อร์ หงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามา พยุงหลินหันเยียนไปยังเรือนของตน
หวงฝู่อวี้ยืดตัวขึ้น เดินทะลุทางเดิน ไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน รอชิงหลวนรายงานเสร็จแล้วจึงได้เดินเข้าไปด้านใน พอเข้าไปด้านใน จึงรีบถามอย่างอดไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้ จวนหลินเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น พูดว่า “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”
หวงฝู่อวี้นั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่รอให้เชิญ “วันนี้พวกเรากลับไปที่จวนหลิน แต่ไม่ได้พบหน้าหลินฉงเหวินและฮูหยินของเขา ไม่เพียงเท่านี้ ขนาดเยียนเอ๋อร์ขออยู่ที่จวนต่อยังถูกปฏิเสธ เรื่องนี้แปลกมาก อีกอย่าง เยียนเอ๋อร์จะได้แต่งงานเป็นเรื่องน่ายินดี แต่เมื่อหลินจ้งและฮูหยินได้ยินแล้วนั้น กลับไม่มีสีหน้ายินดีเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีความตื่นตระหนกแทน เรื่องนี้แปลกเหลือเกิน”
“ใช่ จวนหลินเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ทีแรกข้าคิดว่าวันนี้หลินจ้งจะบอกความจริงกับพวกเจ้าเสียอีก”
ตอนที่ 367 กระโดดข้ามกำแพงหนีไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่ หวงฝู่อี้เซวียนออกหน้าให้หลินจ้งกักบริเวณหลินฉิงเหวินที่สติแตกให้หวงฝู่อวี้ฟังทั้งหมด
หวงฝู่อวี้ฟังจบ อึ้งไป
เขาไม่เคยคิดเลยว่า หลินฉงเหวินจะมีจุดจบเช่นนี้
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ที่ข้าให้เจ้าไปจวนหลินก็เพื่ออยากจะให้หลินจ้งบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าเอง คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขายังปิดบังอยู่อีก อย่างนี้ ข้าก็คงต้องบอกเจ้าเอง แต่ว่าปิดบังกันอยู่เช่นนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา ช้าเร็วอย่างไร วันหนึ่งคุณหนูหลินก็จะต้องรู้เรื่องนี้ หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้นางจะโกรธจะแค้นอย่างไร พวกเราก็ไม่อาจรู้ได้”
“นางไม่เป็นเช่นนั้นหรอก” หวงฝู่อวี้พูดกับตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “เรื่องยังไม่ถึงขั้นนั้น นางจะมีท่าทีเช่นไรเราก็ไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางก็อยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าจะทำเรื่องให้นางเสียใจมิได้”
หวงฝู่อวี้พยักหน้าอย่างงุนงง นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดไม่จา ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับคำพูดเมื่อครู่
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าทำบัญชี ไม่สนใจเขาอีก
ในห้องเงียบสนิท ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หวงฝู่อวี้ยืนขึ้น “พี่สะใภ้ ข้าขอตัวกลับก่อน”
“คิดดีแล้วหรือว่าจะบอกแม่นางหลินอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถามทั้งไม่ได้เงยหน้าขึ้น
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า “ยังขอรับ ข้ากลับไปคิดอีกที ว่าจะบอกนางอย่างไรไม่ให้นางตกใจ”
นางถอนหายใจออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น “ที่หลินจ้งไม่พูดออกไป ก็เพราะหากคนอื่นรู้เข้า ชีวิตของคนในจวนหลินจะมีอันตราย หากวันนี้เจ้ารับบทตัวร้าย เจ้าจะต้องสังเกตท่าทางของคุณหนูหลินอย่างดี อย่าให้นางทำเรื่องที่เป็นภัยต่อจวนอ๋องและจวนหลินได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หวงฝู่อวี้ตอบรับ ก้าวเท้าเดินออกไป
ลังเลมาทั้งวัน คิดมาตลอดวัน หวงฝู่อวี้ก็ยังไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดอย่างไร
หมอเจียงกลับหอบของกำนัลมากมายมาแสดงความขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องที่หวงฝู่อวี้ช่วยแม่นางเจียงเอาไว้ เมื่อได้ยินว่าหมอเจียงขอพบ จึงคิดว่าจะถามเรื่องโรคหายากที่เขาจนปัญญารักษา จึงได้มาขอความเห็นจากนาง จึงได้สั่งด้วยรอยยิ้มว่า “พาเขาไปห้องรับรองแขกเถิด อีกครู่ข้าจะตามไป”
พ่อบ้านพาเขามายังห้องรับรองแขก หลังจากบ่าวรับใช้ทั้งหกนำของกำนัลที่หอบหิ้วมาวางลงบนโต๊ะแล้ว ก็โบกมือสั่งให้พวกเขาออกไป ส่วนตนนั่งรออยู่ในห้องรับรองแขก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา เห็นของกำนัลเหล่านั้น จึงได้หัวเราะ “ของกำนัลเยอะเพียงนี้ เห็นทีโรคนี้คงจะรักษายากจริงๆ”
หมอเจียงก้มคารวะ “ครานี้ข้าน้อยมิได้มาถามเรื่องอาการป่วยขอรับ แต่มาแสดงความขอบคุณที่คุณชายรองได้ช่วยชีวิตหลานสาวของข้าเอาไว้”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไป “ช่วยชีวิตของหลานสาวท่านเอาไว้? เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่ได้เคยได้ยินหวงฝู่อวี้พูดถึงมาก่อน”
“เมื่อวานเจียงจิ่นหลานสาวของข้าเดินทางโดยรถม้า แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดม้าจึงเกิดพยศขึ้น ม้าตัวนั้นกำลังจะเอาชีวิตคนไปอยู่แล้วเชียว แต่คุณชายรองไม่กลัวอันตราย ช่วยหลานสาวข้าไว้ได้ ข้าน้อยซาบซึ้งเหลือเกิน วันนี้จึงได้นำของกำนัลมาขอบคุณ”
เห็นที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นระหว่างทางที่หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนกำลังเดินทางไปจวนหลินเป็นแน่ เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลังอวี้เอ๋อร์กลับมาแล้ว กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ก็คงเพราะไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร หมอเจียงอย่างเอาไปใส่ใจเลย คำขอบคุณข้ารับไว้แทนแล้ว ส่วนของกำนัลเหล่านี้ท่านเอากลับไปเถิด”
หมอเจียงโบกมือ “มิได้ มิได้ บุญคุณเพียงเล็กน้อยยังต้องตอบแทนอย่างยิ่งใหญ่ แล้วบุญคุณที่ช่วยชีวิต พวกเรายิ่งไม่รู้ว่าจะตอบแทนเช่นไร ข้ารู้ว่าจวนอ๋องมีทุกอย่างแล้ว แต่อย่างไร พวกเราก็หวังจะให้ซื่อจื่อเฟยรับของพวกนี้ไว้แทนคุณชายรองด้วย บอกว่าข้าขอขอบพระคุณที่เขาช่วยชีวิตหลานสาวข้าเอาไว้ ภายหน้า หากมีเรื่องเดือดร้อน ขอให้บอกข้า หากข้าพอจะช่วยได้ ข้าจะช่วยอย่างเต็มกำลัง”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว หากไม่รับของกำลังไว้ก็คงไม่เหมาะ เมิ่งเชียนโยวให้ชิงหลวนเรียนพ่อบ้านเข้ามา สั่งว่า “นี่คือของกำนัลที่หมอเจียงมอบให้คุณชายรองเพื่อเป็นการขอบคุณ เจ้าสั่งคนไปส่งให้ที่เรือนของพวกเขาที นอกจากนี้ ดูเหมือนเมื่อวานหลานสาวของหมอเจียงตกใจ เจ้าไปหาโสมร้อยปีที่ห้องเก็บสมบัติ มาให้หมอเจียงนำกลับไป หลานสาวหมอเจียงจะได้ใจสงบลง”
ของกำนัลที่ตนนำมา มีค่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของโสมร้อยปีด้วยซ้ำ หมอเจียงรีบโบกมือปฏิเสธ “ซื่อจื่อเฟย เช่นนี้ไม่ได้ขอรับ นี่ นี่ นี่…”
รีบเสียจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ยิ้มพูดว่า “ทีแรกข้าจะเอายาให้เจ้าสองเม็ด แต่คิดว่าเวลาแบบนี้มอบยาให้คงไม่เหมาะสม โสมนี่คือของที่เราให้ตอบแทน หากเจ้าไม่รับไว้ ของกำนัลเหล่านี้เจ้าก็เอากลับไปเถิด”
เมื่อได้ยินคำว่ายา แววตาของหมอเจียงก็เป็นประกายขึ้นมา แต่เมื่อได้ยินประโยคด้านหลัง แววตาก็หม่นลงเช่นเดิม แอบเสียดายในใจ อย่างไรก็ต้องรับไว้ “ซื่อจื่อเฟย นี่ นี่ นี่…”
พูดจนลิ้นพันกันอีกรอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมบอกพ่อบ้านให้ทำตาม
พ่อบ้านเข้าใจดังนั้น จึงเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา สั่งให้พวกเขาเอาของกำนัลไปส่งให้หวงฝู่อวี้ ส่วนตนไปยังของเก็บสมบัติ เพื่อเลือกโสมด้วยตัวเอง
หลังจากหมอเจียงปฏิเสธต่างๆ นานา ก็ยังสู้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ จึงจำต้องรับโสมเอาไว้ กลับไปด้วยสีหน้าละอาย
บ่าวรับใช้หอบของกำนัลไปส่งที่เรือนหวงฝู่อวี้ แน่นอนว่าของเหล่านี้จะต้องมอบให้หลินหันเยียน
“นี่คือของที่หมอเจียงมอบให้คุณชายรองเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยชีวิตหลานสาวของเขาเอาไว้ ซื่อจื่อเฟยจึงได้สั่งให้พวกเรานำมามอบให้คุณชายรองขอรับ” หลินหันเยียนทำหน้าไม่เข้าใจ คนที่นำของมาจึงได้รีบอธิบาย
หลินหันเยียนเข้าใจทันที รับของไว้ สั่งให้บ่าวรับใช้กลับไป
นางมาจากจวนราชเลขา ถูกตามใจตั้งแต่เด็ก มีของดีที่ไหนที่หลินหันเยียนไม่รู้จักบ้าง ตามหลักแล้วนางไม่สนใจของเหล่านี้หรอก แต่ว่านางเบื่อเหลือเกิน ตั้งแต่เล็กนางถูกฝึกวิชากับพี่ของท่านพ่อ ทำงานเย็บปักถักร้อยอย่างหญิงอื่นไม่เป็น อยู่ในจวนนี้ยังมีสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรื่องในจวนก็ไม่มีเรื่องใดที่นางจะต้องไปจัดการใส่ใจ วันๆ จึงได้แต่นั่งเหม่อ ไม่มีเรื่องอะไรจะทำ เมื่อเห็นกล่องสวยๆ งามๆ ตรงหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะแกะออกมาดู
เมื่อหวงฝู่อวี้จะกลับมา เห็นภายในห้องมีสภาพรกรุงรัง จึงขมวดคิ้ว ถามว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“พี่อวี้ ที่แท้หญิงสาวที่ท่านช่วยเมื่อวานเป็นหลานสาวของหมอเจียงนี่เอง ของพวกนี้ เป็นของที่พวกเขาให้ไว้เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านเจ้าค่ะ” จัดของกำนัลมาทั้งวัน นางอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย จึงได้พูดอย่างอารมณ์ดี
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้วมากกว่าเดิม กำลังจะอ้าปากต่อว่านาง แต่เมื่อเห็นสีหน้ายินดีของหลินหันเยียนแล้ว คำที่ต้องการต่อว่าก็ถูกกลืนเข้าไป พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มีของที่เจ้าชอบหรือไม่”
หลินหันเยียนส่ายหน้า “ข้าก็เพียงแต่อยู่ว่างๆ จึงได้แกะกล่องพวกนี้ แต่ของข้างในข้าไม่สน ไม่ประณีตเลยสักนิด”
“อย่างนั้นก็ให้บ่าวรับใช้เอาเถิด ห้องนี้จะไม่มีทางเดินอยู่แล้ว”
หลินหันเยียนตอบรับ เรียกหงเอ๋อร์และสาวใช้อีกสองคนมาเก็บไป
สาวใช้สามคนเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ออกไป
หวงฝู่อวี้นั่งลงบนเก้าอี้ คิดหาคำพูดมาทั้งวัน กำลังจะพูดออกไป แต่เมื่อเห็นใบหน้ามีความสุขของหลินหันเยียนแล้ว จึงทอดถอนใจ ไม่กล้าพูดออกมา คิดในใจว่า รออีกสองสามวันเถิด นานๆ ทีจะได้เห็นนางมีความสุขเช่นนี้
คิดไม่ถึงเลยว่า เพียงสองวันเท่านั้น ก็เกิดเรื่องขึ้น จนทำให้หลินหันเยียนเป็นบ้าขึ้นมาจนได้
วันนั้น หลังจากที่ทั้งสองออกจากจวนหลินแล้ว หลินจ้งไปหาพ่อบ้าน กำชับอย่างเด็ดขาดว่า ให้พ่อบ้านปิดปากบ่าวรับใช้ให้ดี อย่าให้ฮูหยินหลินผู้เป็นแม่รู้เรื่องที่หลินหันเยียนกลับจวนมาเด็ดขาด
พ่อบ้านรู้ดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ พูดต่อหน้าบรรดาบ่าวรับใช้ที่เรียกมาว่า “เรื่องวันนี้ที่คุณหนูหลินกลับจวนมา ห้ามผู้ใดไปบอกฮูหยินหลินเด็ดขาด หากผู้ใดปากพล่อยล่ะก็ จะถูกโบยให้ตายตรงนั้นเลย”
บ่าวรับใช้ตอบรับด้วยความกล้าๆ กลัวๆ แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าแพร่ข่าวไป แต่ไม่มีใครคิดถึงว่า ตอนที่พ่อบ้านกำลังอบรมบ่าวรับใช้อยู่นั้น ฮูหยินหลินที่ออกจากเรือนมาเพราะมีธุระมาหาหลินจ้งได้ยินเข้าพอดี จึงกัดฟันกรอด คิดด้วยความโกรธว่า เจ้าคนไม่รักดี ที่แท้ไม่เพียงแต่จะกักบริเวณพ่อของตน กระทั่งแม่ก็ยังถูกกักบริเวณด้วยเช่นกัน ไม่ให้นางติดต่อกับโลกภายนอก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จึงได้โกรธจนลุกเป็นไฟ แผดเผาสติไปจนสิ้น อาศัยช่วงที่คนในจวนเผลอ แอบกระโดดกำแพงหนีออกไปด้านนอก หารถม้าคันหนึ่ง มอบปิ่นเงินที่ปักบนหัวให้กับคนรถ บอกให้ไปส่งนางที่จวนอ๋อง
คนรถเป็นคนใช้แรงงาน วันธรรมดาอย่างดีก็ได้แค่เพียงเหรียญอีแปะเท่านั้น ไม่เคยเห็นปิ่นเงินหนักสองตำลึงเช่นนี้มาก่อน จึงดีใจเป็นอย่างมาก เชิญฮูหยินหลินขึ้นรถ จากนั้นก็รีบตรงไปยังจวนอ๋องทันที
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวน ก็หยุดรถม้า เมื่อฮูหยินหลินลงรถไปแล้วกลัวว่านางจะเปลี่ยนใจ จึงได้รีบหันรถกลับไปทันที
นายประตูจวนอ๋องจำฮูหยินหลินได้ เมื่อเห็นนางมาด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดรุ่ย จึงได้รีบเข้าไปถามว่า “ฮูหยิน นี่มันอะไรกัน”
“เยียนเอ๋อร์อยู่ในจวนหรือไม่” ฮูหยินถามราวกับว่าไม่ได้ยินคำถามของเขาอย่างนั้น
“คุณหนูหลินอยู่ขอรับ แต่ว่าคุณชายรองออกไปแล้ว ยังไม่กลับ” นายประตูตอบอย่างนอบน้อม
สิ้นเสียงเขา ฮูหยินก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในทันที
นายประตูยื่นมือไปห้าม “ฮูหยิน รอก่อนขอรับ รอให้ข้าน้อยไปรายงานเสียก่อน แล้วท่านค่อยเข้าไป”
ฮูหยินหลินทำเสียงไม่พอใจ วางมาดของฮูหยินจวนราชเลขา ถามอย่างมีอำนาจว่า “ทำไมหรือ ข้ามาจวนอ๋องต้องไปรายงานตั้งแต่เมื่อใดกัน”
แต่ก่อนฮูหยินหลินมักจะพาคุณหนูหลินมาที่นี่บ่อยๆ ไม่ต้องรายงาน ก็สามารถเข้าไปด้านในได้ทันที นายประตูรู้ดี จึงได้ลังเลเล็กน้อย ตอนนี้เอง ทำให้ฮูหยินหลินได้โอกาส แอบลอดเข้าไปในจวนด้วยความรวดเร็ว
นายประตูตกใจ พร้อมกับจะเข้าไปห้าม แต่ว่าไม่ทันเสียแล้ว ฮูหยินหลินจัดแจงเสื้อผ้าตัวเอง เดินนวยนาดตรงไปยังเรือนของหวงฝู่อวี้
นายประตูก็ตามเข้าไป รายงานพ่อบ้าน
พ่อบ้านได้ยินดังนั้น ก็รีบมารายงานให้เมิ่งเชี่ยนโยวทราบ “ซื่อจื่อเฟย ฮูหยินหลินมาขอรับ ไปเรือนของคุณชายรองแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “มากันกี่คน”
“มีเพียงฮูหยินมาผู้เดียวขอรับ”
คิดเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ปล่อยนางไปเถิด เจ้าส่งคนไปจับตาดูไว้ อย่าให้พวกนางวางแผนทำอะไรได้”
พ่อบ้านตอบรับ ขอตัวออกไป จากนั้นก็แอบส่งคนไปเฝ้าไว้ที่หน้าประตูเรือนของหวงฝู่อวี้ สั่งพวกเขาว่า “หากพบว่ามีอะไรผิดปกติ รีบมารายงานข้าทันที”
ฮูหยินหลินดินตรงมาที่เรือนของหวงฝู่อวี้ ในลานของเรือนเงียบสงัด หน้าเรือนมีเพียงหงเอ๋อร์เฝ้าอยู่ผู้เดียว เมื่อเห็นว่าฮูหยินหลินเข้ามา จึงเบิกตาโตด้วยความตกใจ พูดด้วยความดีใจว่า “ฮูหยิน ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ”
หลินหันเยียนที่กำลังนั่งพิงเบาะอยู่ในห้องได้ยินเสียงหงเอ๋อร์เข้า จึงรีบวิ่งออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใส่รองเท้า ใส่เพียงถุงเท้าเดินออกมาเปิดม่าน พุ่งเข้าใส่อ้อมอกของฮูหยินหลิน “ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็มาเสียที”
ฮูหยินตบหลังหลินหันเยียนเบาๆ ปลอบใจนาง แต่แววตากลับมองไปรอบๆ พบว่าในเรือนไม่มีใครอื่นอยู่จริงๆ จึงได้โล่งใจ ยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ โตจนป่านนี้แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่ได้ รีบกลับไปเร็ว ไปใส่รองเท้าให้ดี เดี๋ยวจะป่วยเอาได้”
มือที่หลินหันเยียนกอดฮูหยินหลินเอาไว้เปลี่ยนเป็นจูงมือนางแทน ยิ้มพร้อมจูงนางเข้าไปด้านใน สั่งหงเอ๋อร์ให้ไปนำชามาให้ จากนั้นตนจึงได้เดินไปใส่รองเท้าข้างๆ เบาะ ถามว่า “วันก่อนข้ากับพี่อวี้กลับไปที่จวน พี่ใหญ่และพี่สะใภ้บอกว่าท่านแม่ไม่ค่อยสบาย เพิ่งจะดื่มยาไป พวกเราจึงไม่สะดวกจะไปรบกวน วันนี้เห็นสีหน้าของท่านแม่สดใสขึ้น เห็นทีจะหายดีแล้ว”
นางไม่พูดก็ยังดีอยู่ แต่เมื่อพูดขึ้นมาก็ทำให้ไฟโกรธลุกขึ้นอีกครั้ง ทำเสียงไม่พอใจ “อย่าพูดถึงเจ้าคนไม่รักดีนั้นต่อหน้าข้าเลย ตั้งแต่เขาดูแลจวนหลินเป็นต้นมา ก็ยิ่งไม่สนใจแม่คนนี้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินหันเยียนหายไป ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ท่านแม่ พี่ใหญ่ทำอะไรผิดหรือ ท่านจึงได้โมโหเช่นนี้”
ฮูหยินหลินโกรธมากกว่าเดิม เบิกตาโต ราวกับว่าจะถลกหนังของหลินจ้งออกมาอย่างนั้น “เจ้าไม่รักดีคนนี้ เชื่อฟังคำของหวงฝู่อี้เซวียน กักบริเวณพ่อของเจ้า แล้วยังคิดจะขังแม่ด้วยอีกคนด้วย หากไม่ใช่ว่าข้าแอบได้ยินที่พ่อบ้านพูด ข้าก็คงไม่รู้เรื่องที่เจ้ากลับจวนมา”
ดพล้ง! แก้วชาในมือหลินหันเยียนร่วงลงกับพื้น ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่น ร่างสั่นหลายครั้ง จึงได้ถามด้วยเสียงสั่นว่า “ท่านแม่ ที่ท่านพูดเป็นจริงหรือ”
ตอนที่ 368 เสี้ยม
“แม่จะหลอกเจ้าได้อย่างไร ลูกที่ข้าเลี้ยงมากับมือ พี่ชายที่แสนดีของเจ้า ก็อยากขังข้าให้อยู่ในจวนนี้ กระทั่งเรื่องที่เจ้ากลับไป ยังสั่งให้บ่าวรับใช้ทั้งหลายไม่ต้องบอกข้า แถมยังกำชับไม่ให้ข้าออกมาได้อีก วันนี้ข้าปีนกำแพงออกมาต่างหากล่ะ”
หลินหันเยียนถึงได้สังเกตเห็นว่าเสื้อของฮูหยินหลินไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เดินเซไปมา เกือบจะล้มลง แล้วใช้มือจับโต๊ะพยุงตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วฝืนตัวยืนให้มั่น ถามด้วยความกริ้วโกรธว่า “พี่ใหญ่จะทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน! เหตุใดเขาถึงอกตัญญูเช่นนี้ ขังท่านพ่อและท่านได้อย่างไร”
ฮูหยินหลินถอนหายใจแรงๆ หนึ่งเฮือก “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าข้าเลี้ยงลูกออกมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เพื่อลาภยศสรรเสริญ กระทั่งพ่อแม่ของตนก็ไม่สนใจแล้ว ถึงทำเรื่องอกตัญญูแบบนี้ออกมาได้”
หลินหันเยียนได้แต่ส่ายหน้า เหมือนจะไม่เชื่อ “พี่ใหญ่ไม่ทำเรื่องเช่นนี้แน่ ไม่ทำแน่เจ้าค่ะ”
“เขาไม่ทำ หรือเจ้าว่าที่แม่พูดเป็นเรื่องโกหกงั้นรึ” ฮูหยินหลินถาม
คิดถึงตอนที่ตนกลับมาที่จวนวันนั้น ท่าทางของสองสามีภรรยาหลินจ้ง จึงทำให้หลินหันเยียนเชื่อสนิทใจ จึงหันหลังแล้ววิ่งออกไป “ไม่ได้การ ข้าจะต้องกลับไปถามพี่ใหญ่ เหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้น”
“หยุด!” ฮูหยินหลินก็ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วห้ามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เหมือนว่าหลินหันเยียนจะไม่ได้ยิน วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“หงเอ๋อร์ รีบห้ามเยียนเอ๋อร์เร็วเข้า!” ฮูหยินหลินตะโกนเรียกอย่างร้อนรน
เมื่อเห็นว่าหลินหันเยียนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หงเอ๋อร์ก็ชะงักไป ตอนได้ยินเสียงคำสั่งของฮูหยินหลินถึงได้สติกลับมา แล้วรีบตามไปอย่างรวดเร็ว แล้วกอดนางไว้ “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ”
“เจ้าปล่อยข้า ข้าจะกลับจวนไปถามพี่ใหญ่ ว่าเหตุใดเขาถึงได้ขังท่านพ่อและท่านแม่” หลินหันเยียนใช้แรงดื้อดึงที่จะออกจากหงเอ๋อร์ ในขณะนั้นก็ร้องออกมาด้วย
หงเอ๋อร์ชะงักไป ฮูหยินหลินก็รีบเดินออกมาจากในห้อง แล้วมายืนอยู่ตรงหน้านาง แล้วตบไปที่หน้าของหลินหันเยียน แล้วด่าทออย่างรุนแรง “เจ้าใจเย็นๆ ก่อนสิ!”
มือที่ตบลงไป ทำให้หลินหันเยียนชะงัก หงเอ๋อร์ก็ชะงัก ฮูหยินหลินเองก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน แล้วมองไปที่มือของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เชื่อว่ามือที่ตบลงไปนั้นจะเป็นมือของตน เงยหน้า ก็เห็นรอยมือสีแดงที่บนใบหน้าของหลินหันเยียน ก็เกิดความเสียใจ ยื่นมือออกมาลูบลงไปที่ๆ ตนเองตบลงไป แล้วอยากจะอธิบาย “เยียนเอ๋อร์ แม่…”
หลินหันเยียนนิ้ง มองไปที่นาง แล้วถามอย่างไม่น่าเชื่อว่า “ท่านแม่ ท่านตบข้า?”
ฮูหยินหลินรีบอธิบาย “เยียนเอ๋อร์ แม่ไม่ได้เจตนา แม่แค่เป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าบุ่มบ่ามวิ่งออกไปเช่นนี้จะไปก่อเรื่องอะไรเข้า ฟังแม่เถอะ เจ้ากลับห้องก่อน แล้วพวกเราค่อยมาหารือกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ”
ดวงตาของหลินหันเยียนเริ่มมีน้ำไหลออกมา หงเอ๋อร์จึงปล่อยนาง แล้วบอกว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านฟังที่ฮูหยินพูดเถอะ กลับห้องก่อน มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”
เมื่อเห็นหน้าของฮูหยินหลินที่แสดงถึงความเป็นห่วง หลินหันเยียนยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม แล้วก็โดนหงเอ๋อร์พยุงกลับไปที่เรือน แล้วไปนั่งร้องไห้อยู่บนเก้าอี้
หงเอ๋อร์เก็บเศษแก้วที่พื้น แล้วก็เอาแก้วใบใหม่มาวางไว้ที่ตรงหน้าของหลินหันเยียน แล้วออกไป ปิดประตูจวนอย่างระมัดระวัง แล้วยืนเฝ้าอยู่ที่ตรงหน้าประตู เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนมาแอบฟัง ในใจก็เกิดเต้นแรงขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก เมื่อนายน้อยขังนายท่านและฮูหยินเอาไว้ในจวน นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อใดกัน เหตุใดนางและคุณหนูถึงไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียว
ด้านในเรือน หลินหันเยียนร้องไห้เบาๆ จนฮูหยินหลินรู้สึกรำคาญ ความรู้สึกผิดที่มีเมื่อสักครู่ก็หายไป บอกว่า “พอได้แล้ว แม่ก็ขอโทษแล้วมิใช่หรือ เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว พวกเรามาหารือกันดีกว่าจะช่วยพ่อของเจ้าออกมาอย่างไรดี”
น้ำตาของหลินหันเยียนก็ยังคงไม่หยุดไหล เงยหน้า แล้วถามด้วยความสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่จะทำเช่นไรหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินหลินขมวดคิ้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตนรู้สึกว่าลูกสาวของตนคนนี้ก็ทำได้เพียงแค่ร้องไห้เท่านั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าหากว่าตนรู้ว่าจะทำเช่นไร แล้วจะคิดหาวิธีปีนกำแพงออกมาหานางทำไมกัน จึงกดความโกรธเอาไว้ในใจ แล้วพูดว่า “แม่ก็คิดวิธีไม่ออก ก็เลยมาปรึกษาเจ้าอย่างไรล่ะ เจ้าใจเย็นๆ ก่อน ช่วยแม่คิดหน่อย มีวิธีใดที่จะช่วยพ่อของเจ้าออกมาได้บ้าง”
หลินหันเยียนก็ลุกลี้ลุกลน ไม่มีความคิดใดๆ บวกกับเมื่อครู่ได้โดนฮูหยินหลินตบเข้าไป จิตก็ยิ่งตกเข้าไปใหญ่ แล้วจะคิดวิธีดีๆ ออกมาได้อย่างไร จึงส่ายหน้า “ข้าคิดไม่ออก สู้รอให้พี่อวี้กลับมาก่อน แล้วให้เขาช่วยคิดหาวิธีจะดีเสียกว่าเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดถึงหวงฝู่อวี้ ฮูหยินหลินก็โกรธเข้าไปใหญ่ แล้วตะคอกใส่ “ให้เขาช่วยคิดหาวิธีงั้นรึ หวงฝู่อี้เซวียนกับเขาเป็นพี่น้องกัน สั่งให้พี่ใหญ่ของเจ้าขังพ่อกับแม่ไว้ ไม่แน่ก็อาจจะเป็นความคิดของเขา เขาน่ะหรือจะช่วยคิดหาวิธี”
หลินหันเยียนก็หน้าซีดขึ้นมาทันที แล้วส่ายหัวไม่หยุด น้ำตาไหลริน “ท่านแม่ ไม่มีทาง พี่อวี้ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินยืนขึ้นแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่หัวของนาง เพื่อที่จะให้นางคิดได้ “ข้าเลี้ยงเจ้าโตมาโง่เยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน เจ้าไม่คิดหน่อยหรือว่า ถ้าหากว่าเขาไม่รู้เรื่องละก็ เหตุใดหลายวันมานี้เขาถึงไม่พาเจ้าเข้าไปเยี่ยมพวกข้าล่ะ”
หลินหันเยียนอยากที่จะเถียงกลับ “นั่นเป็นเพราะว่าๆ…”
“เพราะว่าอะไร” ฮูหยินหลินถามแกมบังคับ
หลินหันเยียนตอบไม่ได้ น้ำตาก็ไหลออกมา
ฮูหยินหลินโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่เข้าใจว่าตนมีลูกที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เอาล่ะๆ แม่ไม่พูดมากแล้ว วันนี้เขากลับมาเมื่อไร เจ้าถามเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว ดูสิว่าแม่พูดถูกหรือไม่”
หลินหันเยียนไม่พูดอะไรอีก เรียกหงเอ๋อร์เข้ามา แล้วสั่งให้นางนำคนเข้ามาเก็บกวาดห้อง
หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้วออกไป ไม่นานก็กลับมารายงานว่าเก็บกวาดห้องเสร็จแล้ว ฮูหยินหลินจึงลุกขึ้น แล้วเดินไปกับหงเอ๋อร์ เดินไปถึงประตูก็หันกลับมาบอกว่า “อ่อ เสื้อที่แม่กำลังใส่อยู่ใส่ไม่ได้แล้ว เจ้าสั่งคนไปซื้อให้ข้าใหม่ด้วยล่ะ”
หลินหันเยียนตอบรับ
ฮูหยินหลินถึงได้เดินมาที่ห้องที่เก็บกวาดเสร็จแล้วกับหงเอ๋อร์ แล้วสั่งให้หงเอ๋อร์นำน้ำมาให้นาง หลังจากที่ทำความสะอาดแล้ว นางก็หลับตานอนลงไปที่เตียง หงเอ๋อร์ก็ได้ห่มผ้าห่มให้นางอย่างเบามือ แล้วนางก็เคลิ้มหลับไป
หงเอ๋อร์สั่งให้สาวใช้ที่ใช้ได้มาเฝ้าที่ประตู รอให้ฮูหยินหลินตื่นแล้วก็เข้าไปดูแลได้ตลอดเวลา ส่วนตนก็รีบกลับไปหาหลินหันเยียน เมื่อเปิดม่านประตูเดินเข้ามา ก็ถามด้วยความร้อนรนว่า “คุณหนูเจ้าคะ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี”
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งผู้ดูแลเรียบร้อยแล้ว ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงวางสมุดบัญชีที่อยู่ในมือลง ลุกขึ้นแล้วไปที่เรือนของพระชายาฉี
ในเรือน ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีต่างกำลังอุ้มเด็กคนหนึ่งเดินเล่นไปมา ฝึกมาตั้งหลายวัน ท่านอ๋องฉีก็ชำนาญการอุ้มเด็กขึ้นแล้วระดับหนึ่ง เวลานี้ แขนซ้ายโค้ง ไปจับหัวของเด็กและอุ้มตัวเด็ก ส่วนแขนขวาอีกข้างก็พยุงตัวเด็กไว้ ก้มหน้า มองเด็กที่อยู่ที่อ้อมอกด้วยสีหน้าเอ็นดูเป็นที่สุด
ภาพนี้ช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นแล้วกลับมีความรู้สึกแปลกๆ
เอ่ยปากว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ อุ้มเด็กแบบนี้จะเหนื่อยเอาเสียได้ อย่างไรเสียวางเด็กลงที่รถเข็นเด็กเถิดเจ้าค่ะ”
“เด็กเพิ่งจะสี่เดือนเองจะหนักแค่ไหนกันเชียว แม่อุ้มขึ้นมา เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก ไปยุ่งงานของเจ้าเถิด” คำพูดเดิมๆ หมายถึงการไล่ออกไปแบบอ้อมๆ เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏตัวเมื่อไร พระชายาฉีก็จะพูดเช่นนี้ เพราะกลัวว่าเขาสองคนจะมาแย่งเด็กไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคิดเหมือนเดิม ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีรักเด็กจนเกินไป แล้วต่อไปจะสอนได้อย่างไร แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับบอกว่า เสด็จพ่อและเสด็จแม่ท่านรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก
เพราะเช่นนี้ พวกเขาที่เป็นพ่อแม่แท้ๆ อยากที่จะอุ้มลูกนั้นยากกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก เพราะว่าท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีไม่ปล่อยเด็กเลย กระทั่งตอนที่เด็กหลับ ก็จะมีคนหนึ่งมาเฝ้าที่ห้องของเด็กน้อย
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่เจ้าคะ ข้ามีเรื่องสำคัญอยากที่จะคุยกับพวกท่าน อย่างไรก็วางเด็กลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ไม่ได้มาแย่งเด็กแต่อย่างใด ท่านอ๋องและพระชายาฉีก็ถอนหายใจพร้อมกัน แล้วโค้งตัวลงเอาเด็กวางลงไปที่รถเข็นเด็ก เด็กทั้งสองคนก็ลงไปนอนที่ในนั้นอย่างง่ายดาย
แล้วดันรถเข็นเด็กมาที่ด้านข้างของเก้าอี้ นั่งลง พระชายาฉียิ้มแล้วถามว่า “มีเรื่องอะไร เจ้าพูดเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนพบว่าท่าทางของหลินฉงเหวินนั้นผิดปกติไป แล้วสั่งให้หลินจ้งกักตัวของเขาไว้บอกกับทั้งสองคน
อ๋องฉีขมวดคิ้ว พระชายาฉีแปลกใจ จึงถามว่า “มาถึงขั้นที่จะต้องทำเช่นนี้แล้วอย่างนั้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จะต้องทำเช่นนี้เจ้าค่ะ มิเช่นนั้น คนในจวนตระกูลหลินจะต้องตายไปด้วยอย่างแน่นอน เป็นเพราะอี้เซวียนเห็นว่าหลินจ้งนั้นเป็นคนมีความสามารถ จึงคิดหาวิธีแบบนี้มา”
พระชายาฉีพยักหน้า “ในเมื่อจะต้องเป็นเช่นนี้ ก็ทำเช่นนี้เถอะ อย่างไรก็เห็นแก่มิตรภาพของข้าและฮูหยินหลิน ก็ถือเสียว่าช่วยนางก็แล้วกัน”
“แต่ว่าฮูหยินหลินไม่คิดเช่นนี้เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“เหตุใด นางจะทำเช่นไร” พระชายาฉีถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าเรื่องที่นางเจตนาให้หวงฝู่อวี้พาหลินหันเยียนกลับมาที่จวน หลินจ้งไม่เพียงแต่ไม่ได้บอกความจริงแก่พวกเขา แต่กลับไม่ให้พวกเขาเข้าไปพบสองสามีภรรยาหลินฉงเหวิน แล้วก็เรื่องที่ฮูหยินหลินมาที่จวนอ๋องด้วยเสื้อขาดๆ บอกไปทั้งหมด
สุดท้าย เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่า “ดูเหมือนว่าฮูหยินหลินคนนี้จะไม่พอใจที่หลินจ้งกักตัวหลินฉงเหวินเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วจะไม่มาที่นี่สภาพเช่นนี้แน่นอน”
รู้จักกันมานานนม เหตุใดพระชายาฉีจะไม่รู้ว่าฮูหยินหลินผู้นี้เป็นคนอย่างไร จึงพูดว่า “ฮูหยินหลินคนนี้ เล่ห์เหลี่ยมจัดนัก มาถึงขั้นนี้แล้วแต่ผลกลับไม่สมดังหวัง จะต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน จะมีการบ่นว่าก็ไม่แปลก ถ้าหากว่านางรู้ถึงเรื่องราวพวกนี้ นางก็ควรจะเงียบไปเสียดีกว่า แล้วแนะนำเยียนเอ๋อร์ว่าอย่าคิดจะทำอะไรอีก ถ้าหากว่ายืนหยัดที่จะทำสิ่งที่ไม่ดีต่อไป เกรงว่าในเมืองหลวงแห่งนี้จะสูญสิ้นตระกูลหลินไปเสียแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้พูด พระชายาฉีก็พูดต่ออีกว่า “คิดถึงตอนนั้น ตระกูลของฮูหยินหลินก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากเช่นกัน แต่หลังจากที่นางแต่งมากับหลินฉงเหวินนั้น ตระกูลของนางก็ค่อยๆ ล้มลงไป นางกับหลินฉงเหวินไม่เพียงแต่ไม่ช่วยอะไร แถมยังทำตัวเหินห่างกับตระกูลของนางไปเสียอีก โดยเฉพาะตอนที่พ่อกับแม่ของนางป่วยตายไป นางก็ไม่เคยกลับไปที่บ้านของนางอีกเลย ตอนงานแต่งของเยียนเอ๋อร์ถึงได้เสียเปรียบถึงขนาดนี้ ทำให้หลินฉงเหวินต้องตกต่ำถึงเพียงนี้”
คำพูดของพระชายาฉี ทำให้ห้องเงียบสงัด
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้น จึงบอกว่า “ที่ข้ามาบอกท่าน เป็นเพราะรู้สึกว่าในเมื่อฮูหยินหลินมาที่จวนอ๋องแล้ว จะต้องไม่จากไปง่ายๆ อย่างแน่นอน จะต้องมาหาท่านอย่างแน่นอน เลยหวังว่าท่านจะต้องเตรียมพร้อมเสียหน่อย”
พระชายาฉีพยักหน้า “ข้ารู้แล้วล่ะ ข้าจะรับมือกับนางเอง เรื่องในจวนเจ้าก็ยุ่งพอแล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น แล้วกลับไปที่จวนของตนเอง
ฮูหยินหลินเหนื่อยมากจริงๆ นอนหลับลึกอยู่ในจวน
แต่หลินหันเยียนกลับลุกลี้ลุกลน เดินไปเดินมาในจวนไม่หยุดหย่อน แล้วเร่งหงเอ๋อร์ตลอดเวลาว่า “เจ้าวิ่งไปดูที่ประตูจวนที่สิ พี่อวี้กลับมาหรือยัง”
หงเอ๋อร์วิ่งแล้ววิ่งเล่า จนกระทั่งรอบที่ห้า ในที่สุดก็เห็นว่าหวงฝู่อวี้นั่งรถม้ากลับมาแล้ว จึงรีบเข้าไปต้อนรับทันที แล้วบอกกับหวงฝู่อวี้ที่เพิ่งลงจากรถม้าว่า “คุณชายรอง คุณหนูมีเรื่องจะคุยกับท่านเจ้าค่ะ จึงบอกว่าเมื่อท่านกลับมาเมื่อใด ให้รีบไปหานางที่เรือนทันที”
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว เสด็จพ่อ เสด็จแม่ยังอยู่ สิ่งแรกหลังจากที่เขากลับมาทำในทุกวันก็คือการไปเยี่ยมเยียนพวกท่าน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และก็เป็นความกตัญญูของลูก เยียนเอ๋อร์ก็ควรจะรู้ ก็รีบเดินเข้าไปในจวนอ๋องอย่างรวดเร็ว เดินไปพูดไปว่า “ไปบอกเยียนเอ๋อร์ ข้าจะไปคารวะเสด็จพ่อและเสด็จแม่ก่อน แล้วจะรีบกลับเรือน”
“แต่ว่าคุณหนูรอท่านมาหนึ่งชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ รอจนแทบไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์พูดด้วยใจร้อนรน แต่ไม่ได้มองสีหน้าของหวงฝู่อวี้ พูดออกไปอย่างไม่คิด
“บังอาจนัก!” หวงฝู่อวี้ด่าด้วยความเกรี้ยวโกรธ
หงเอ๋อร์ตกใจจนหน้าซีดเซียว แล้วมองเขาด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนของเยียนเอ๋อร์แล้วข้าจะไม่กล้าลงโทษเจ้า จำไว้ให้ดี เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องก็ต้องเคารพกฎระเบียบของจวนอ๋อง ถ้าวันหลังยังกล้าพูดแบบนี้กับข้าอีก ข้าจะไล่เจ้าออกไปทันที”
หงเอ๋อร์หวาดกลัว นั่งคุกเข่าลงไปด้วยความรวดเร็ว “บ่าวสำนึกแล้วว่าทำเกินไป วันหลังจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ถอนหายใจ แล้วมุ่งหน้าเดินไปที่เรือนของพระชายาฉี
เมื่อเห็นเขาเดินไปไกลแล้ว หงเอ๋อร์ถึงได้กล้าลุกขึ้นมา แล้วเดินกลับไปที่เรือนของหวงฝู่อวี้ด้วยความหวาดระแวง แล้วรายงานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ไปคารวะท่านอ๋องฉีกับพระชายา อีกประเดี๋ยวก็กลับเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนใจร้อนรน เลยไม่ได้สังเกตว่าหงเอ๋อร์เปลี่ยนไป
หลังจากที่หวงฝู่อวี้เยี่ยมเยียนเสร็จ ก็ได้หยอกล้อเด็กน้อยทั้งสองคน แล้วถึงกลับมาที่เรือนของตน เมื่อเขาเข้ามา หลินหันเยียนก็เข้าไปหาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ แล้วรีบถามว่า “พี่อวี้ เรื่องที่พ่อกับแม่ของข้าโดนกักบริเวณ ท่านรู้แล้วหรือยังเจ้าคะ”
ตอนที่ 369 โวยวายไร้สาระ
ฝีเท้าของหวงฝู่อวี้หยุดลง สีหน้าแปลกไป แล้วมองไปที่หงเอ๋อร์
หงเอ๋อร์ตื่นกลัวจนก้มหน้าลง
“ออกไป!” หวงฝู่อวี้ตะเบ็งเสียงใส่
หงเอ๋อร์ตัวสั่นไปทั้งตัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า แล้วหันหลังเดินออกไป
หวงฝู่อวี้เดินหน้าไปหนึ่งก้าว อยากที่จะโอบกอดหลินหันเยียนไว้ในอ้อมอกแล้วอธิบายให้นางฟังอย่างช้าๆ
หลินหันเยียนถอยหลังออกไป หลบท่าทางที่จะเข้ามาของเขา แล้วถามว่า “ท่านบอกข้ามาสิ ว่าท่านรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว”
มือที่หวงฝู่อวี้ยื่นออกมาจับลมเปล่า จึงบีบมือ แล้วเก็บมือกลับไป แล้วตอบอย่างไม่ปิดบังว่า “ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อน วันนั้น… …”
“เหตุใดท่านถึงไม่บอกข้า” หลินหันเยียนถามด้วยน้ำเสียงสะอื้น แล้วพูดกับหวงฝู่อวี้ว่า “เหตุใดท่านจึงไม่บอกข้า เพราะเหตุใดกัน!”
หวงฝู่อวี้อยากจะอธิบาย “เยียนเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าก่อน…”
“ข้าไม่ฟัง! ข้าไม่ฟัง!” หลินหันเยียนอุดหูของตน แล้วถอยหลังร้องไห้กลับไป พูดออกมาไม่เป็นภาษา “ข้าคิดมาตลอดว่าท่านพี่อวี้เป็นคนที่ดีกับข้าที่สุดในโลก จะรักข้า และดูแลข้าเป็นอย่างดี และจะบอกข้าทุกเรื่อง ข้าผิดเอง แต่ท่าน! ท่านไม่ใช่!”
“เยียนเอ๋อร์!” หวงฝู่อวี้ก้าวขึ้นมา แล้วรีบอธิบาย “เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด หลายวันมานี้ข้าอยากจะบอกเจ้า แต่ข้าไม่รู้จะบอกเจ้าอย่างไร ข้ากลัวว่าเจ้าจะรับไม่ได้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
หึๆ! หลินหันเยียนหัวเราะแกมร้องไห้ออกมา ในน้ำเสียงมีความโกรธแค้นซ่อนอยู่ “กลัวว่าข้าจะรับไม่ได้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นงั้นรึ ตอนที่พี่กับพี่ชายแสนดีวางแผนจะขังพ่อของข้า เหตุใดจึงไม่คิดถึงว่าข้าจะรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้กันล่ะ ตอนนี้มาเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ ท่านคิดว่าข้าจะเชื่องั้นหรือ”
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว แล้วตะคอกใส่ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าพูดบ้าอะไรน่ะ ข้าไปวางแผนกันพี่ใหญ่ของข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้าก็เพิ่งรู้ตอนที่กลับไปจวนหลินกับเจ้าเมื่อวันก่อนเช่นกัน”
หลินหันเยียนมองจ้องไปที่เขาด้วยความโกรธ ในดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตาแทบจะทะลักออกมาเป็นไฟ เดินก้าวไปข้างหน้า แล้วหยุดตรงหน้าของหวงฝู่อวี้ มองจ้องไปที่ดวงตาของเขา แล้วบีบเค้นถามว่า “ท่านคิดว่าข้าจะเชื่องั้นหรือ ในสายตาของท่าน พี่ใหญ่ของท่าน พี่สะใภ้ใหญ่ของท่านนั้นสำคัญที่สุดอยู่แล้ว ขนาดข้ายังต้องหลบให้ เขาทำ ‘เรื่องที่ดี’ แบบนี้จะไม่บอกท่านงั้นหรือ”
“เจ้า…” หวงฝู่อวี้โกรธเป็นอย่างมาก นิ่งอยู่นานจนพูดออกมาว่า “เจ้าช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย!”
หลินหันเยียนหัวเราะออกมา น้ำตาไหลริน “นี่น่ะหรือคำพูดในใจของท่าน ช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่ท่านคอยจะยืดงานแต่งงานไปเรื่อยๆ แท้จริงแล้วในใจของท่านไม่ยินยอมตั้งนานแล้วล่ะสิ”
หวงฝู่อวี้ก็โกรธขึ้นมาเช่นกัน ก็ตะคอกออกมาว่า “ถ้าหากว่าข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้า แล้วยังจะกลับจวนตระกูลหลินไปหารือเรื่องงานแต่งงานของเรางั้นรึ! เจ้าอย่าตีโพยตีพายไปก่อนได้หรือไม่”
“นั่นเป็นเพราะว่าท่านจะส่งข้ากลับจวนตระกูลหลินต่างหาก ให้ข้าโดนกุมตัวขังไว้กับท่านพ่อท่านแม่ของข้า!” หลินหันเยียนตะคอกเถียงใส่
“ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นเลย ข้าเพียงต้องการแค่ได้แต่งงานกับเจ้าก็เท่านั้น”
“อย่ามาหลอกข้าให้ดีใจหน่อยเลย ข้าจะบอกให้ ข้าไม่เชื่อ!”
หวงฝู่อวี้โกรธจนสะบัดแขนเสื้อ นั่งลงบนเก้าอี้ “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า!”
เมื่อเห็นเขาไม่ได้มาปลอบตนเอง ความโกรธของหลินหันเยียนก็ทวีขึ้นอีก หัวร้อนจนเอาแก้วชาที่วางอยู่บนโต๊ะมาปาลงพื้น “หวงฝู่อวี้ เจ้าอย่าเกินไปหน่อยเลย!”
เสียง เพล้ง! ดังขึ้น แก้วชากระจายลงที่พื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ หงเอ๋อร์ตกใจจนตัวสั่น แล้วมองเข้าไปที่ด้านในด้วยความตื่นกลัว แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป
บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ด้านในต่างก็มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง ทุกคนต่างก็วางสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ลง แล้วถอยออกไป
คนที่พ่อบ้านส่งให้มาตรวจสอบดูก็ได้ยินเสียงที่ดังขึ้น จึงเหลือไว้หนึ่งคน ส่วนอีกหนึ่งคนก็รีบวิ่งไปรายงาน
ฮูหยินหลินที่กำลังหลับอยู่ก็ได้ยินเสียงนี้จนสะดุ้งตื่นขึ้น จึงลุกขึ้นนั่ง แล้วเกิดอาการเวียนศีรษะ จึงลงนอนลงไปอีกครั้ง พักอยู่ครู่ใหญ่ จึงจะลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ที่นอกประตูก็ได้ยินความเคลื่อนไหว จึงเดินเข้ามา ย่อเข่าคำนับ “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านตื่นแล้วหรือ มีรับสั่งหรือไม่เจ้าคะ”
“เสียงเมื่อครู่นี้มันอะไรกัน” ฮูหยินหลินถามแล้วใช้มือจับไปที่หัวของตน
“ดูเหมือนว่าคุณหนูหลินกับคุณชายรองจะทะเลาะกันเจ้าค่ะ ไม่ทราบเลยว่าใครเป็นคนทำของแตก” สาวใช้รายงานตามความจริง
ฮูหยินหลินชะงักไป แล้วรีบสั่งว่า “เร็วเข้า รีบพยุงข้าไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
สาวใช้ตอบรับ แล้วพยุงฮูหยินหลินเดินออกไปด้านนอก
ฮูหยินหลินเดินไป ก็ก่นด่าไปในใจว่า ช่างไม่รู้อะไรเลยเสียจริงๆ เมื่อช่วงนั้นเอ็นดูนางเกินไปจริงๆ จึงตามใจนางจนเป็นคนไม่มีสมองเช่นนี้ จวนก็กลับไม่ได้ ทุกวันนี้ที่พึ่งพาได้ก็เหลือแค่หวงฝู่อวี้นี่แหละ นางไม่เพียงแต่ไม่เอาใจแล้วยังหาเรื่องทะเลาะอีก ถ้าหากว่าไปยั่วโมโหเขามากๆ ในจวนแห่งนี้ก็จะไม่เหลือที่ให้พวกเราแม่ลูกได้อยู่ต่ออีกเป็นแน่
คิดเช่นนี้ ก็เดินมาถึงที่เรือนของหวงฝู่อวี้ ยังไม่ทันได้เข้าไป หวงฝู่อวี้ก็เดินออกมาจากเรือนด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นฮูหยินหลินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเข้าใจได้ว่านางรู้เรื่องหลินฉงเหวินโดนกักตัวได้อย่างไร
หวงฝู่อวี้ข่มความโกรธเอาไว้ แล้วคำนับฮูหยินหลิน “ท่านแม่ยายมาตั้งแต่เมื่อใดขอรับ”
ฮูหยินหลินยังไม่ทันตอบกลับ หลินหันเยียนก็รีบเดินมาที่ประตู เปิดม่านออกแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกัน ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกว่าแม่ยาย”
ฮูหยินหลินอยากเอามีดมาแล้วผ่าสมองของหลินหันเยียนออกมาดู ว่าข้างในนั้นมีแต่แป้งเปียกหรืออย่างไร เวลานี้ที่หวงฝู่อวี้เรียกแม่ยาย เป็นเพราะว่าเขาเห็นว่าหลินหันเยียนเป็นภรรยาของตนแล้ว ยัยโง่เอ้ย ยังจะกล้าพูดเช่นนี้อีก คิดได้เช่นนี้แล้วก็ข่มความคิดของตนเอาไว้ แล้วยิ้มเจื่อนพูดว่า “คุณชายรอง เยียนเอ๋อร์ถูกตามใจจนเสียนิสัย ไม่ว่าเรื่องอะไร ท่านก็อย่าถือสาไปเลย”
“ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงพูดเช่นนี้ ก็เห็นอยู่ว่าเขา…” หลินหันเยียนพูดด้วยความโกรธ
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินหลินตะคอกใส่นาง
หลินหันเยียนชะงักไป
ฮูหยินหลินมองไปที่หวงฝู่อวี้แล้วยิ้มให้ “คุณชายรอง ท่าน…”
“เยียนเอ๋อร์กำลังโกรธ ท่านแม่ยายพูดกับนางหน่อยเถิด ข้าจะออกไปก่อน”
“ได้ๆ” ฮูหยินหลินพยักหน้า แล้วพูดว่า “คุณชายรองวางใจเถิด ข้าจะสั่งสอนนางอย่างแน่นอน”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า แล้วเดินออกไปจากจวนอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินหลินชักมือออกจากมือของสาวใช้ แล้วสั่งว่า “เจ้าก็ออกไปก่อน ถ้าไม่มีคำสั่งห้ามเข้ามา”
สาวใช้อยากให้เป็นเช่นนี้ใจจะขาด ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบรับ แล้วเดินออกไป
ฮูหยินหลินก็ส่งสายตาให้กับหงเอ๋อร์ หงเอ๋อร์รับทราบ จึงไปยืนที่นอกเรือน คอยกันไม่ให้คนมาเข้าใกล้เรือนเพื่อแอบฟัง
ฮูหยินหลินเดินเข้าไปด้านในเรือน
หลินหันเยียนหลบทางให้ รอนางเดินเข้าไปก่อน แล้วเรียก “ท่านแม่” ด้วยเสียงที่เศร้าสลดน่าสงสาร
ฮูหยินหลินหยุดเดิน หันหลังกลับ ง้างมือ แล้วประทับลงไปบนหน้าของหลินหันเยียน “นังเด็กโง่!”
หลินหันเยียนงุนงง จนลืมร้องไห้ไปเสียสิ้น ชะงักมองไปที่ฮูหยินหลิน ไม่เชื่อสายตาว่านางจะตบตนอีก เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ฮูหยินหลินไม่เคยทำร้ายนางเลยแม้แต่ปลายนิ้ว
“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินหลินตะคอกใส่อย่างไม่สนท่าทีตอบสนองของนางทั้งสิ้น
หลินหันเยียนก็คุกเข่าลงโดยทันที
ฮูหยินหลินใช้นิ้วจิ้มขยี้ไปที่หัวของนางแล้วพูดว่า “นังเด็กโง่ ใครใช้ให้เจ้าไปทะเลาะกับคุณชายรอง”
“ท่านแม่” หลินหันเยียนถึงได้สติกลับมา แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่สับสนว่า “เขากับหวงฝู่อี้เซวียนบังคับพี่ใหญ่ของข้าให้กักตัวท่านพ่อกับท่านเอาไว้ ข้าไม่ควรทะเลาะกับเขาหรือ”
“เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูจวนราชเลขาอยู่อย่างนั้นหรือ ถึงได้ใช้อารมณ์ทำตัวคุณหนูที่นี่” ฮูหยินหลินจิ้มลงไปแรงกว่าเดิม แล้วด่าทอว่า “พ่อของเจ้าโดนกักตัวอยู่ในจวน ส่วนพี่ใหญ่ของเจ้าก็เป็นแค่หัวหน้าเล็กๆ ที่กรมทหารเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเจ้าไม่คิดเสียตัวให้กับคุณชายรอง ฐานะของเจ้าตอนนี้ขนาดคุณสมบัติความเป็นเมียของเขายังไม่มี เจ้ายังกล้าจะหาเรื่อง อยากโดนไล่ออกจากจวนหรืออย่างไร”
หลินหันเยียนชะงักไป ตาทั้งสองได้แต่จ้องมองเขม็ง นางไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย นางแค่รู้สึกว่า นางกับหวงฝู่อวี้เป็นกิ่งทองใบหยก รู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก ระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีปัญหาพวกนี้อยู่เลย ขอเพียงแค่นางยินยอม หวงฝู่อวี้จะรักนางแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นนางไม่พูดอะไร ฮูหยินหลินก็ยิ่งโกรธ ตอกย้ำตนเองว่า เมื่อหลายปีนั้นไม่ควรคิดว่านางจะแต่งเข้าจวนอ๋องแล้วได้เป็นซื่อจื่อเฟยเลย คิดแต่ให้นางใช้ความน่ารักสดใสเย้ายวนใจไปทำดีกับซู่อิง เลยไม่ได้สอนสั่งนาง ห่างเหินกันไป จึงทำให้นางทำเรื่องโง่ๆ อย่างนี้ขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว ฮูหยินหลินนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความอ่อนแรง ขนาดแรงจะพูดยังไม่มี
หลินหันเยียนกำลังครุ่งคิดถึงสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป จึงไม่ได้พูดอะไร
ในห้องเงียบสงัด
หงเอ๋อร์เห็นว่าในห้องนั้นเงียบสงัด รู้สึกหัวใจจึงเต้นแรง จึงชะเง้อเข้ามาดูภายในห้องเป็นระยะ
หวงฝู่อวี้เดินออกมาจากเรือนด้วยความโกรธ มุ่งหน้าไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรวดเร็ว เพิ่งเดินได้ครึ่งทาง จึงรู้สึกว่าตนเองอารมณ์ไม่ดี จึงเดินช้าลง แล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ หลายเฮือก แล้วเดินไปจวนอย่างช้าๆ
ฟ้ามืดลง ในเรือนมีแสงไฟส่องสว่างจนเห็นเงาของทั้งสองคน
ชิงหลวนกับจูหลีมีคนรักก็คือเหวินซงและกัวเฟยมารับไปแล้ว ในจวนมีก็แต่หวงฝู่อี้และโจวอันเป็นคนดูแล เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อวี้เดินเข้ามา แล้วได้แต่มองเข้าไปที่ด้านในโดยไม่พูดอะไร จึงเกิดความสงสัย
หวงฝู่อี้เดินมาตรงหน้าเขา แล้วถามเบาๆ ว่า “คุณชายรองขอรับ ท่านมีเรื่องอันใดงั้นรึ”
หวงฝู่อวี้ได้สติ แล้วถามว่า “พี่ใหญ่กลับมาแล้วงั้นรึ”
“ซื่อจื่อเพิ่งจะกลับมาขอรับ”
หวงฝู่อวี้ อืม เบาๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตะโกนเข้าไปว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
มีเงาหนึ่งมองออกมาทางด้านนอก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีว่า “เข้ามาเถอะ ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้ากำลังพูดถึงเจ้าอยู่พอดี”
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปด้านใน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่สองฝั่งซ้ายขวา
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่” หวงฝู่อวี้เรียก
“ข้าได้ยินว่าเจ้ากับคุณหนูหลินทะเลาะกันงั้นรึ เป็นเพราะเจ้าไม่ได้บอกนางเรื่องที่หลินฉงเหวินโดนกักตัวใช่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วถาม
หวงฝู่อวี้อิดโรย แล้วถอยหายใจหนึ่งเฮือก นั่งลงบนเก้าอี้ พยักหน้า
“ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องดี อย่างน้อยๆ ก็ได้เห็นแล้วว่าคุณชายรองของเราโตขึ้นมากแล้ว” เห็นท่าทางอิดโรยของเขาแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มเยาะ
“พี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ ท่านเลิกล้อข้าได้แล้ว ตอนนี้ข้าผิดหวังจะตายอยู่แล้ว ถ้าหากรู้ว่าเรื่องมันจะบานปลายเช่นนี้ วันที่รู้วันแรกก็บอกนางไปแล้ว มัวแต่คิดอยู่ตั้งนาน สุดท้ายนางก็เข้าใจผิดอยู่ดี” หวงฝู่อวี้กลับมาโกรธอีกครั้ง แล้วบ่นออกมา
“สมควร!” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
หวงฝู่อวี้อ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่กล้าเถียง
“แล้วนี่เจ้าออกมา แล้วทิ้งให้คุณหนูหลินอยู่ในจวนคนเดียวงั้นรึ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า “แม่ของนางก็อยู่ด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วถามว่า “เหตุใดนางถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น เสียงร้องโวยวายลั่นจวนอ๋องจนใครๆ เขาก็ได้ยิน”
หวงฝู่อวี้ตอบอย่างไม่ได้คิดว่า “นั่นเป็นเพราะนางคิดว่าข้ากับพี่ใหญ่…” ดูเหมือนว่าประโยคหลังจะคิดได้พอดีจึงไม่ได้พูดออกไป แล้วเปลี่ยนเป็น “ก็เป็นเพราะโทษว่าข้าไม่ได้บอกนางแหละ”
“นางคงสงสัยว่าเรื่องที่กักตัวตัวหลินฉงเหวินเอาไว้ เป็นเรื่องที่เจ้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าร่วมมือกันล่ะสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงยิ้มอยู่
หวงฝู่อวี้ไม่ได้พูดอะไร
“คุณหนูหลินไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น น่าจะเป็นฮูหยินหลินเป็นคนบอกนางเป็นแน่ นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของเจ้า จริงๆ แล้วข้าไม่อยากยุ่ง แต่นางดันก่อเรื่องเสียจนอยู่กันดีๆ ไม่ได้ คนๆ นี้ก็เก็บเอาไว้ไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ
หวงฝู่อวี้ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้หลินหันเยียนจะมีนิสัยลูกคุณหนู แต่ก็ไม่ได้หาเรื่องแบบไร้เหตุผลเช่นนั้น ถ้าหากว่าฮูหยินหลินไม่ได้คาดเดาแล้วพูดซี้ซั้วกับนาง วันนี้นางคงไม่มาร้องไห้โวยวายเช่นนี้
เห็นว่าหวงฝู่อวี้เงียบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เรียก “โจวอัน!”
โจวอันตอบรับ แล้วเดินเข้ามา “นายหญิงขอรับ”
“เจ้าไปที่จวนหลินบอกกับหลินจ้งว่าฮูหยินหลินอยู่ที่จวนของพวกเรา บอกให้เขามารับกลับไปโดยเร็ว”
โจวอันตอบรับ หันหลังแล้วเดินออกไป
ฮูหยินหลินสั่งสอนนางอยู่นานสองนาน นั่งอยู่บนเก้าอี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ วันนี้เยียนเอ๋อร์ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ คนในจวนควรจะต้องรู้กันทั่ว แต่ไม่มีใครมาดูเลยสักคน ก็แสดงว่าซู่อิงและนังเมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากจะสนใจเรื่องของครอบครัวพวกนาง นั่นไม่ได้สิ ไม่ง่ายเลยที่นางจะเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องได้ จะต้องไม่สูญเปล่าเช่นนี้ ดังนั้นจึงลุกขึ้น แล้วสั่งหลินหันเยียนว่า “เจ้าลุกขึ้น ไปกับข้า ไปหาแม่สามีของเจ้า”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น