ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 362-365

ตอนที่ 362

 

ดูเหมือนว่าภายในห้องจะมีเสียงผิดปกติดังขึ้นมา จากนั้นหลินหันเยียนก็เดินออกมาหน้าประตูในสภาพผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ สีหน้าขาวซีด เมื่อเห็นฮูหยินหลิน น้ำตาก็ไหลรินออกมา จับชายกระโปรงขึ้น จากนั้นก็รีบวิ่งเข้ามา “ท่านแม่!”


 


 


เห็นท่าทางนางเป็นเช่นนี้ สายตาของพ่อบ้านเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


 


นางพุ่งเข้ามาหาฮูหยิน พร้อมโอบกอดนางเอาไว้ ร้องไห้ออกมาอย่างไม่สนอะไรอีกแล้ว


 


 


ฮูหยินหลินไม่มีสติมาปลอบใจหลินหันเยียน ยิ้มกระอักกระอ่วนให้พ่อบ้าน พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “อย่าถือสาเลย เยียนเอ๋อร์นาง…”


 


 


ไม่รอให้พูดจบ พ่อบ้านรีบพูดว่า “แม่นางหลินไม่ได้พบกับฮูหยินมานานแล้ว จะดีใจเกินไปบ้างก็ไม่แปลก อย่างนั้นข้าน้อยไม่รบกวนแล้ว หากมีเรื่องอะไรก็ให้หงเอ๋อร์ไปบอกข้าเถิด”


 


 


คำที่ฮูหยินหลินกำลังจะพูดถูกกลืนลงไป พยักหน้า


 


 


พ่อบ้านหันหลังกลับ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


บัดนี้ฮูหยินหลินจึงได้ตบหลังหลินหันเยียนเบาๆ “เอาล่ะๆ มีเรื่องอะไรเราค่อยเข้าไปคุยกันด้านใน”


 


 


พ่อบ้านเดินออกจากบริเวณเรือน นึกถึงท่าทีของฮูหยินหลินและหลินหันเยียน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ จึงได้หยุดฝีเท้าคิดเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปอีกทาง มายังเรือนของพระชายา กวักมือเรียกหลิงหลงเข้ามา ให้นางแอบไปบอกเมิ่งเชี่ยนโยวว่าตนมีเรื่องจะรายงาน


 


 


วันนี้เป็นวันครบรอบร้อยวันของท่านหญิงน้อยทั้งสอง พ่อบ้านยุ่งไปหมด หากมีเรื่องมารายงานตอนนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมากเป็นแน่ หลิงหลงไม่รอช้า หันหลังกลับไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวทันที กระซิบรายงานข้างหูนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วลง เรื่องที่หลินฉงเหวินถูกขัง นอกจากคู่หลินจ้งและหวงฝู่อี้เซวียนกับตนแล้ว กระทั่งฝ่าบาทก็ยังไม่รู้ เนื่องจากหลินจ้งเขียนรายงานว่าหลินฉงเหวินล้มป่วย ต้องการพักผ่อน ฝ่าบาทส่งหมอหลวงจากตำหนักหมอหลวงมาดูอาการแล้ว ผลเป็นดังหลินจ้งว่าจริงๆ ร่างกายอ่อนแอ ไม่ควรใช้แรง ดังนั้น กระทั่งฝ่าบาทและท่านอ๋องฉีเองก็ยังเชื่อว่าเป็นจริงเช่นนั้น ตามหลักแล้วฮูหยินหลินควรจะอยู่ดูแลเขาที่บ้าน แต่วันนี้มาหาหลินหันเยียนถึงที่ด้วยท่าทีร้อนรนเช่นนี้ใยกัน


 


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ จึงถามว่า “คุณชายรองว่าอย่างไร”


 


 


“คุณชายไม่ได้ใส่ใจขอรับ ซ้ำยังดีใจมากที่มีคนมาเยี่ยมแม่นางหลินบ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมากกว่าเดิม พิจารณาเล็กน้อย สั่งโจวอันว่า “ไปจวนหลิน บอกคุณชายหลินว่าวันนี้เป็นวันครบรอบร้อยวันของท่านหญิงน้อย ให้เขาสองคนสามีภรรยามาร่วมงาน”


 


 


โจวอันตอบรับ จากนั้นก็รีบจากไป


 


 


“เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด ไม่ต้องสนใจแล้ว วันนี้เป็นวันสำคัญ นางมาเล่นแง่กับเราไม่ได้หรอก”


 


 


พ่อบ้านรับปาก ขอตัวจากไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินเข้าไปในเรือน


 


 


จวนอ๋องมีงานครบรอบร้อยวันของท่านหญิงน้อย หากเป็นเมื่อตอนหลินฉงเหวินยังรับตำแหน่งราชเลขาอยู่นั้น อย่างไรก็จะต้องมาแสดงความยินดีเป็นแน่ แต่เมื่อหลินฉงเหวินถูกกักบริเวณ ตำแหน่งของหลินจ้งไม่สูง ไม่มีสิทธิ์มาประจบประแจงอะไร ทั้งหลินหันเยียนยังอยู่ในจวนนี้ในสถานะที่ไม่ชัดเจน หลังจากหลินจ้งคิดทบทวนหลายวัน ก็คิดว่าไม่ไปดีกว่า ดังนั้นบัดนี้สองสามีภรรยานั่งอยู่ในห้องดอกไม้ พูดคุยกันเรื่องภายในจวน


 


 


เมื่อตอนที่พ่อบ้านของจวนพาตัวโจวอันเข้ามานั้น หลินจ้งยืนขึ้นด้วยความตกใจ ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเยียนเอ๋อร์หรือ”


 


 


โจวอันคำนับ “คุณชายหลิน ฮูหยินหลินไปยังจวนอ๋อง ซื่อจื่อเฟยรับสั่งให้ท่านสองสามีภรรยาไปร่วมงานร้อยวันที่จวนอ๋องด้วยขอรับ”


 


 


ท่านแม่ของตนไปยังจวนอ๋องงั้นหรือ หน้าผากของหลินจ้งมีเหงื่อผุดออกมา


 


 


หลังจากที่ท่านพ่อของตนถูกกักบริเวณ เขาก็จำกัดอิสรภาพของท่านแม่ กลัวว่าท่านแม่จะเอาเรื่องในบ้านไปบอกเยียนเอ๋อร์ ทำให้เยียนเอ๋อร์เกิดคิดสั้นขึ้นมา แต่ขนาดเขาป้องกันอย่างดีแล้ว ก็ยังไม่สามารถห้ามแม่ของตนไม่ให้แอบหนีออกไปได้อยู่ดี


 


 


เขาก้มคำนับ ถามด้วยความร้อนรนว่า “รบกวนไปบอกซื่อจื่อเฟยด้วยว่าข้าและภรรยาจะรีบตามไปทันที”


 


 


โจวอันพยักหน้า หันหลังเดินออกไป


 


 


“เร็วเข้า ไปหาของขวัญออกมาจากห้องเก็บสมบัติ เราจะไปจวนอ๋องกันประเดี๋ยวนี้เลย” หลินจ้งหันไปสั่งฮูหยินของเขา


 


 


ภรรยาหลินจ้งไม่รีรอ รีบเดินไปยังคลังสมบัติ ไม่มีเวลาคิดว่าของอะไรเหมาะสมหรือไม่แล้ว ตรงไปหยิบเครื่องหยกอย่างดีมาทันที จากนั้นก็รีบตรงออกไปด้านนอก


 


 


หลินจ้งสั่งให้คนเตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้ว สองสามีภรรยานั่งรถม้า สั่งให้คนรถรีบไปยังจวนอ๋องทันที


 


 


หวงฝู่อวี้อยู่ในห้อง


 


 


หลังจากพ่อบ้านจากไป ฮูหยินหลินพูดจบ หลินหันเยียนไม่เพียงแต่ไม่ยอมปล่อยมือ แต่กลับร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม


 


 


อย่างไรนางก็เป็นลูกสาวที่ตนรักและทะนุถนอมมาแต่เด็ก หากลูกอยู่อย่างไม่มีความสุข นางเองก็ไม่มีความสุข ฮูหยินหลินก็น้ำตาไหลรินลงมาเช่นกัน แต่วันนี้นางแอบหนีออกมาจากจวน หากหลินจ้งรู้เข้าแล้วจะต้องส่งคนมาตามกลับเป็นแน่ ตนเองไม่มีเวลาแล้ว


 


 


นางใจเย็นลง ปลอบโยนหลินหันเยียน รอจนเสียงสะอื้นของนางค่อยๆ หยุดลง จากนั้นก็เดินตามนางเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นว่าภายในห้องนั้นเละเทะวุ่นวายเช่นนี้ ก็ตกใจเป็นอย่างมาก “เยียนเอ๋อร์ นี่มัน…”


 


 


น้ำตาของหลินหันเยียนไหลออกมาอีกครั้ง สะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก


 


 


ฮูหยินหลินมองไปทางหงเอ๋อร์


 


 


หงเอ๋อร์ไม่กล้าปิดบัง จึงได้เรียนฮูหยินไปตามความจริงทุกประการ


 


 


ฮูหยินหลินจับมือของหลินหันเยียนเอาไว้ เตือนนางว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเดินมาถึงจุดๆ นี้ อยากจะหันหลังกลับก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ดูจากสถานการณ์วันนี้ ขอเพียงกล่อมให้คุณชายรองรีบสู่ขอเจ้า ให้เจ้าได้สถานะเป็นภรรยาเอก ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะทำอะไรตามใจก็ได้ ดังนั้น ก่อนจะถึงวันนั้น หากมีเรื่องใดไม่พอใจ น้อยใจ เจ้าต้องเก็บเอาไว้ในใจ อย่าให้ดูออกเป็นอันขาด”


 


 


พูดจบ ก็สั่งหงเอ๋อร์เสียงแข็งว่า “จะยืนบื้ออยู่ใยกัน ยังไม่รีบเก็บกวาดอีก”


 


 


หงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับและก้มลงเก็บของทันที


 


 


ฮูหยินหลินจูงมือหลินหันเยียน เดินข้ามเศษแก้วไปอย่างระมัดระวัง มายังเสื่อนิ่มข้างหน้าต่าง แล้วนั่งลง


 


 


ฮูหยินพิจารณาเครื่องประดับต่างๆ ในห้อง ไม่มีของสวยงาม ไม่มีของหรูหราเลย นอกจากโต๊ะเครื่องแป้งของสตรีแล้วนั้น ก็ไม่มีสิ่งที่ลูกสาวของนางชอบอีกเลย นางไม่พอใจ น้ำเสียงไม่สู้ดี ถามด้วยความโกรธว่า “เยียนเอ๋อร์ เหตุใดของในห้องจึงเป็นเช่นนี้ได้ อย่างไรเสีย เจ้าก็อยู่ในจวนอ๋องมานานแล้ว พวกเขาไม่สนใจจัดการกระทั่งเรื่องของใช้ของเจ้าเลยหรือ”


 


 


หลินหันเยียนส่ายหน้า พูดว่า “พี่อวี้บอกว่าให้เป็นเช่นนี้ไปก่อน รอแต่งงานกันแล้วค่อยตกแต่งใหม่เจ้าค่ะ”


 


 


“ข้าว่าเจ้าถูกล้างสมองเสียแล้วล่ะ” ฮูหยินหลินโมโหที่ลูกไม่ได้ดั่งใจ “คำก็พี่อวี้ สองคำก็พี่อวี้ หากมิใช่เพราะเขา เจ้าจะต้องตกที่นั่งลำบากเช่นทุกวันนี้หรือ” มาถึงบัดนี้ นางก็ยังไม่สำนึกว่าที่วันนี้หลินหันเยียนเดินมาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะแผนการณ์ของนางและหลินฉงเหวินต่างหาก


 


 


ฮูหยินหลินขมวดคิ้ว “เอาล่ะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว วันนี้ที่แม่มาก็เพราะมีเรื่องจะบอกเจ้า”


 


 


หลินหันเยียนเงนหน้าขึ้นด้วยความตกใจ รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา “เชิญท่านแม่พูดมาได้เลยเจ้าค่ะ”


 


 


น้ำเสียงร้อนรนของฮูหยินหลินดังขึ้น “ตั้งแต่เจ้ามาถึงจวนอ๋องนี้ ในจวนของเราก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย โดยเฉพาะพี่ชายเจ้า ถูกซื่อจื่อกดดันจนทำให้พ่อเจ้า…”


 


 


พูดได้ถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีเสียงของพ่อบ้านดังขึ้น “แม่นางหลิน คุณชายหลินและภรรยามาเยี่ยมท่านเช่นกันขอรับ”


 


 


สีหน้าของฮูหยินหลินเปลี่ยนไป ผุดลุกขึ้นยืน มองไปด้านนอกหน้าต่าง จากนั้นก็พูดด้วยความลนลานว่า “พวกเขามาได้อย่างไรกัน”


 


 


เมื่อพ่อบ้านรายงานเรียบร้อย หลินจ้งไม่รอให้คนในห้องตอบรับ เดินก้าวเท้ายาวเข้ามาด้านในทันที โดยมีภรรยาเดินตามมาด้านหลัง


 


 


พ่อบ้านคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงได้หันหลังเดินจากไป


 


 


“จ้งเอ๋อร์ พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน” น้ำเสียงของฮูหยินหลินเต็มไปด้วยความตระหนก


 


 


หลินหันเยียนรู้สึกแปลกใจ แม่ของตนกลัวพี่ชายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน


 


 


หลินจ้งยิ้มออกมา สีหน้าปกติ “เยียนเอ๋อร์จะแต่งงานกับคุณชายรองแล้ว จากนี้บ้านเราและจวนอ๋อง ก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว วันครบรอบร้อยวันของท่านหญิงน้อย หากพวกเราไม่มา จะไม่ถูกคนเขาหัวเราะเยาะกันได้หรือขอรับว่าตระกูลหลินเราไม่รู้จักธรรมเนียม”


 


 


ภรรยาเขาพยักหน้าเห็นด้วย “จริงด้วย ท่านแม่ ท่านมาที่นี่ก็ไม่บอกพวกเราสักคำ พวกเราจะได้มาพร้อมกับท่านด้วย”


 


 


สีหน้าของฮูหยินหลินผู้เป็นแม่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เม้มปากไม่พูดจา


 


 


ภรรยาหลินจ้งหันมาหาหลินหันเยียน กล่าวทักทายนางพร้อมรอยยิ้มบางๆ “น้องเล็ก ไม่ได้พบกันนานแล้ว”


 


 


หลินหันเยียนฝืนยิ้มออกมา “พี่สะใภ้”


 


 


มองไปรอบห้องที่เละเทะอย่างเงียบๆ นางมองหลินจ้ง


 


 


สองสามีภรรยาไม่พูดอะไร


 


 


ในห้องเต็มไปด้วยความเงียบสงบ


 


 


ณ เรือนหน้าจวน


 


 


ถึงเวลาอาหารแล้ว แขกที่มาแสดงความยินดีต่างก็ได้หาที่นั่งกัน แขกชายนั่งฝั่งหนึ่ง แขกหญิงนั่งฝั่งหนึ่ง ขณะที่หวงฝู่อวี้กำลังจะประกาศให้เริ่มรับประทานอาหารได้ ด้านนอกก็มีเสียงแหลมของขันทีดังขึ้นมา “ไท่จื่อเสด็จ!”


 


 


ผู้คนต่างผุดลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ นั่งคุกเข่ารอรับเสด็จ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเดินมาอย่างมั่นคง ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม ค่อยๆ ย่างกรายเข้ามา โบกมือให้ทุกคน “วันนี้ข้ามาแสดงความยินดี ทุกท่านไม่ต้องทำความเคารพหรอก ลุกขึ้นเถิด”


 


 


แขกเหรื่อกล่าวขอบคุณ ลุกขึ้น


 


 


หวงฝู่ซวิ่นกวาดตามองแขกเหรื่อ จากนั้นก็หันหลังเดินไปยังเรือนของพระชายา


 


 


บรรดาแขกเหรื่อนั่งลงที่เดิม เริ่มต้นงานเลี้ยง บ่าวรับใช้ในจวนนำอาหารมาวางอย่างไม่ขาดสาย


 


 


แขกเหรื่อกำลังกินอาหารอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ถูกเมิ่งซื่อใช้ให้ไปจัดโต๊ะที่เรือนตัวเองด้วยเช่นกัน


 


 


นางและเฝิงจิ้งเหวิน เฝิงจิ้งซู ซุนฮุ่ยและเด็กๆ กินไปพร้อมพูดคุยไปด้วย หัวเราะไปพลาง


 


 


เมื่อหวงฝู่ซวิ่นเข้ามา ทางนี้เหลือเพียงแค่พระชายาและเมิ่งซื่อสองคนเฝ้าเด็กน้อยอยู่


 


 


หลังจากทำความเคารพพระชายาเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่ซวิ่นก็เข้ามาดูเด็กๆ


 


 


เมื่อเห็นทารกน้อยน่ารักน่าทะนุถนอมแล้ว ก็ชอบใจยิ่งนัก เอื้อมมือมาหยอกล้อครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนที่เดินตามมาด้านหลังห้ามไว้ “เอามือเจ้าออกไป อย่ามาแตะต้องลูกข้า”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นผงะเล็กน้อย หันหลัง เบ้ปาก พูดอย่าไม่ใส่ใจว่า “ไม่แตะก็ไม่แตะ อย่างกับว่าคนอื่นไม่มีอย่างนั้นล่ะ”


 


 


“เจ้ามีหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามคำถามไม่รักชีวิต


 


 


“เจ้า…” หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนพูดไม่ออก


 


 


เขาและไท่จื่อเฟยแต่งงานกันมาหลายปี แถมยังรับสนมเข้ามาเพิ่มอีกสองคน แต่กลับมีตี๋จื่อแค่คนเดียว อย่าว่าแต่ลูกสาวเลย แค่ลูกชายอีกสักคนก็ไม่มี


 


 


แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมีถึงสองคน จะไม่ให้เขาเคืองได้อย่างไร


 


 


มองค้อนเขาด้วยความโกรธ หันหลัง ไม่สนใจเสียงห้ามจากหวงฝู่อี้เซวียน ยื่นมือไปแหย่เด็กคนหนึ่งเบาๆ เมื่อสัมผัสถึงผิวเนียนนุ่มของเด็กน้อยแล้ว ก็รู้สึกแปลกใจและชอบใจมากนัก


 


 


คงเป็นเพราะเขามือแรงไปหน่อย หรืออาจเป็นเพราะเด็กน้อยหิวแล้ว อยู่ดีๆ ก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา เมื่อคนหนึ่งร้อง อีกคนก็ร้องตามขึ้นมา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นยืนงงเป็นไก่ตาแตก ขณะที่เขายังไม่ได้สติกลับมา ก็มีมือยื่นออกมาจากด้านหลัง คว้าแขนเสื้อของเขาและลากเขาไปทิ้งด้านนอกทันที


 


 


ร่างของหวงฝู่ซวิ่นหมุนกลางอากาศ หล่นลงพื้น ขณะที่กำลังจะระบายความโกรธนั้น เขาก็พบกับใบหน้าเคร่งขรึมของอ๋องฉีอย่างชัดเจน


 


 


กลืนน้ำลายลงคอด้วยความกลัว “เสด็จ เสด็จอา”


 


 


“ไสหัวออกไป! ” อ๋องฉีตะโกนดัง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นอึ้งอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าตนทำอะไรให้อ๋องฉีไม่พอใจงั้นหรือ


 


 


เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับ สีหน้าของอ๋องฉีก็เครียดยิ่งกว่าเดิม พูดกับอากาศว่า “ส่งไท่จื่อออกไป และหากมีครั้งหน้าอีกให้จัดการได้เลย อย่าให้เขาเข้ามาในจวนอ๋องได้”


 


 


“เสด็จอา!” หวงฝู่ซวิ่ขอร้อง “ข้าทำอะไรผิดหรือขอรับ” เขาเพิ่งจะเข้ามา ยังไม่ได้พูดอะไรเลย และยังไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ


 


 


สิ่งที่ตอบกลับเขามาเป็นการโจมตีจากองครักษ์เงาของอ๋องฉี


 


 


แน่นอนว่าองครักษ์เงาของหวงฝู่ซวิ่นไม่มีทางยอมให้เขาถูกไล่ออกไปเป็นแน่ จึงได้ปรากฎตัว พุ่งเข้ามา


 


 


แต่ว่าวันนี้หวงฝู่ซวิ่นตั้งใจจะมาแสดงความยินดี ไม่ได้ตั้งใจจะมาต่อสู้ จึงได้พาองครักษ์มาเพียงสองนายเท่านั้น ไม่มีทางสู้กับฝั่งของอ๋องฉีที่มีถึงสิบนายได้เลย ไม่เพียงแค่องครักษ์เงาสองนายของเขาถูกโจมตีจนต้องร่นถอย แต่ตัวเขาเองก็ไม่ถูกไว้หน้า เป็นเช่นนี้ตลอดทาง จนพวกเขาแทบจะถูกต่อยออกไปนอกเรือนพระชายาแล้ว


 


 


พระชายาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแต่ไม่สนใจ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการปลอบเด็กทั้งสอง


 


 


แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับยืนมองหวงฝู่ซวิ่นด้วยท่าดีสะใจ แอบพูดว่า สมน้ำหน้า วันก่อนตอนที่ตนแอบอุ้มลูกๆ นั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพวกนางจึงร้องไห้ขึ้นมา อ๋องฉีไล่ตีเขาไปทั่วทั้งจวน หากมิใช่เพราะเขามีวิชาต่อสู้ล่ะก็ คงจะต้องโดนซ้อมจนหน้าบวมเป็นแน่ วันนี้เขากล้ามาทำให้เด็กร้องไห้ต่อหน้าเสด็จพ่อ ถูกไล่ออกจากจวนก็ไม่แปลก


 


 


ตั้งแต่เล็กองครักษ์เงาถูกอบรมให้เชื่อฟังคำสั่ง ดังนั้น เขาจะไม่หยุดจนกว่าพวกของหวงฝู่ซวิ่นจะออกจากจวนไป ยืนอยู่หน้าประตู มองพวกเขาด้วยสายตาดุร้าย ราวกับจะบอกว่า หากพวกเขายังกล้าเข้ามาเหยียบที่จวนอ๋องอีก พวกเขาก็จะไม่ไว้มือเช่นกัน


 


 


เสื้อผ้าของหวงฝู่ซวิ่นยับเยิน หายใจหอบ แต่เขาไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเสด็จอาจึงต้องโมโหร้ายเพียงนี้ ซ้ำยังประกาศว่าไม่ให้เขาเข้ามาที่นี่อีก


 


 


คิดจนหัวจะแตกก็คิดไม่ออก หวงฝู่ซวิ่นไม่กล้าบุกเข้ามาในจวน จึงได้โบกมือด้วยความผิดหวัง “กลับวัง”


 


 


องครักษ์ และสาวรับใช้ในตำหนักต่างแปลกใจ ไท่จื่ออกไปร่วมแสดงความยินดีปกติ เหตุใดจึงถูกไล่ออกมาได้เล่า


 


 


หวงฝู่ซวิ่นจากไปพร้อมความไม่เข้าใจ


 


 


อ๋องฉีโกรธมาก กัดฟันกรอดพูดว่า “กล้าทำให้หลานสาวของข้าร้องไห้ ดูเถิดว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”

 

 

 


ตอนที่ 363 หวงฝู่ซวิ่นผู้น่าสงสาร

 

ไท่จื่อผู้สูงศักดิ์ของเรา ไปด้วยความปรารถณาดี คิดแต่ว่าจะไปยินดีในวันครบร้อยวันของเด็กๆ แต่ของขวัญยังไม่ทันถูกส่งเข้าไป กลับถูกองครักษ์เงาของอ๋องฉีไล่ออกมาเสียแล้ว


 


 


กลับตำหนักไปด้วยความผิดหวัง ทีแรกคิดว่าเรื่องนี้จะจบเพียงเท่านี้ แต่น่าเสียดาย ที่เขาดูถูกความรักที่ท่านอ๋องมีต่อหลานสาวเสียแล้ว


 


 


งานร้อยวันจบลงด้วยความคึกครื้น ของขวัญที่เตรียมมาก็ได้ส่งมอบเป็นที่เรียบร้อย คนที่อยากประจบก็ได้ประจบเต็มที่แล้ว เหล่าขุนนางที่มาร่วมแสดงความยินดีหลังจากกินจนอิ่มดื่มจนพอใจแล้ว ก็พาฮูหยินของตนกลับบ้านไปอย่างมีความสุข แน่นอนว่านี่รวมไปถึงคู่ของหลินจ้งและฮูหยินหลินที่มีเรื่องจะบอกหลินหันเยียนด้วย


 


 


คู่ของเหวินซื่อและเปาอีฝาน รวมไปถึงคู่ของฉู่เหวินเจี๋ยก็ได้กลับไปแล้ว จวนอ๋องเงียบขึ้นมาทันที บ่าวรับใช้ในจวนยุ่งอยู่กับการทำความสะอาด


 


 


เหนื่อยติดต่อกันมาหลายวัน หวงฝู่อวี้ก็เหนื่อยแล้ว หลังจากส่งแขกคนสุดท้ายกลับไป จึงได้สั่งพ่อบ้านว่า “ทำความสะอาดจวนให้ดี ข้าขอกลับไปพักผ่อนก่อน”


 


 


พ่อบ้านรับคำ


 


 


หวงฝู่อวี้หันหลังเดินกลับเรือนของตนเองไป


 


 


บ่าวรับใช้ทั้งหมดกำลังเก็บกวาดอยู่ที่เรือนหน้า ยังไม่ได้กลับมา บริเวณเรือนของตนจึงได้เงียบสนิท หน้าประตูไม่มีคนเฝ้าสักคน


 


 


หวงฝู่อวี้เปิดม่านออก เดินเข้าไป เห็นหงเอ๋อร์กำลังทำความสะอาดอยู่ด้านใน จึงสั่งว่า “ออกไปก่อน”


 


 


หงเอ๋อร์มองหลินหันเยียน ไม่ขยับ


 


 


หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว น้ำเสียงเริ่มมีความรำคาญ “ไสหัวออกไป!”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่เคยพูดเช่นนี้กับนางมาก่อน หงเอ๋อร์กลัวจนตัวสั่น จากนั้นก็เดินออกไปด้วยความกลัว


 


 


คิ้วของหวงฝู่อวี้ขมวดลงมากกว่าเดิม ไม่มีสาวใช้คนใดในจวนอ๋องที่ไม่รู้จักกาลเทศะถึงเพียงนี้ ได้ยินคำสั่งจากเจ้านายแต่กล้าไม่ทำตาม หากนางมิใช่คนที่เยียนเอ๋อร์พาเข้ามาล่ะก็ เขาคงจะไล่นางไปทำงานกับคนใช้ระดับสามแล้ว


 


 


หลินหันเยียนเองก็ดูเหมือนจะตกใจเช่นกัน น้ำเสียงสั่นเครือ “พี่อวี้ หงเอ๋อร์ทำอะไรให้ท่านไม่พอใจหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงดุนางเช่นนี้”


 


 


หวงฝู่อวี้นวดขมับที่ปวดของตนเอง จากนั้นก็พยายามพูดด้วยเสียงนุ่มนวล ฝืนยิ้มให้หลินหันเยียนว่า “เตรียมงานร้อยวันจนเหนื่อยติดกันมาหลายวัน อารมณ์ข้าจึงไม่ค่อยดีเท่าใดนัก”


 


 


พูดจบ ก็ไม่มองนางแม้แต่น้อย เดินตรงไปยังเตียง ล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มมาคลุมตัว ปิดตาลงพักผ่อน


 


 


หลินหันเยียนเม้มปาก ยืนขึ้น เดินไปข้างเตียง มองเขาจากมุมสูงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มแกะกระดุมเสื้อของตน


 


 


ในความงัวเงีย หวงฝู่อวี้ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จึงได้พยายามลืมตาขึ้น เมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดแล้วก็ตกใจมาก ความงัวเงียที่มีอยู่ได้หายไปทันที เบิกตาโพลง ผุดลุกขึ้นนั่งทันที รีบเอาผ้าห่มบนตัวห่มให้หลินหันเยียน น้ำเสียงมีความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย “เยียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้ หากเป็นหวัดขึ้นมาจะป่วยเอาได้”


 


 


สีหน้าหลินหันเยียนแดงก่ำ ลำคอร้อนขึ้น กัดปาก รวบรวมความกล้า พูดเสียงเบาว่า “พี่อวี้ เรามาทำลูกด้วยกันเถิด”


 


 


หวงฝู่อวี้ผงะไป จ้องมองนาง ไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่


 


 


หลินหันเยียนก้มหน้าลง เมื่อไม่มีบทสนทนาต่อจึงได้เงยหน้าขึ้น แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นแววตาแปลกใจ ในใจมีเสียง ตุบ ดังขึ้นมา น้ำตาไหลรินออกมาทันที พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พี่อวี้ ท่านไม่เต็มใจหรือ”


 


 


หวงฝู่อวี้ได้สติกลับมา จึงเอื้อมมือไปแตะหัวนาง จากนั้นก็มาแตะหน้าผากตัวเอง เมื่อแน่ใจว่าหลินหันเยียนไม่ได้ป่วยจึงได้โล่งใจ รีบเอาผ้าห่มนางให้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม “เยียนเอ๋อร์ พูดอะไรกัน พวกเรายังมิได้แต่งงานกันเลย หากเจ้าตั้งท้องเข้า จะถูกคนเย้ยหยันเอาได้นะ”


 


 


หลินหันเยียนกัดปากตัวเองจนเลือดแทบซึมออกมา ค่อยๆ เปิดปากพูดว่า “ข้าได้ถูกผู้คนเย้ยหยันไปแล้ว จะมีเรื่องน่าอายเพิ่มอีกสักเรื่อง ก็คงไม่ต่างกัน”


 


 


“ข้ามิได้หมายถึงเจ้า ข้าหมายความถึงลูก รอจนลูกเกิดมาแล้วจะถูกคนเย้ยหยันเอาได้” หวงฝู่อวี้อธิบายอย่างอ่อนโยน คิดเองว่าได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าคำนี้ได้ทำร้ายจิตใจของหลินหันเยียนเป็นอย่างมาก


 


 


น้ำตาไหลรินลงมาทันที พูดว่า “ในใจของพี่อวี้ ข้ายังสำคัญสู้ลูกมิได้เลยหรือเจ้าคะ”


 


 


เอาอีกแล้ว หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว ตั้งแต่พวกเขาอยู่ด้วยกันมา ก็ราวกับว่าเยียนเอ๋อร์ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างนั้น เอะอะอะไรก็ต้องร้องไห้ เยียนเอ๋อร์คนเดิมที่เข้มแข็ง ร่าเริง หายไปไหนเสียแล้ว


 


 


เขาอดทน ปลอบเสียงเบาว่า “ไม่ร้องแล้ว พี่อวี้พูดผิดไปแล้ว พี่ขอโทษ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่สำคัญเท่าลูก แต่ว่าบัดนี้พวกเรา…เจ้ารอก่อนเถิด รอจนอีกสองสามวันเมื่อข้าขอร้องเสด็จพ่อและเสด็จแม่เรื่องงานแต่งของพวกเราแล้ว เราค่อยทำตอนนั้นก็ไม่สาย”


 


 


ดวงตาของหลินหันเยียนมีประกายเล็กน้อย “พี่อวี้ ท่านพูดจริงหรือ พวกเราจะได้แต่งงานกันเมื่อใด”


 


 


“เด็กๆ ครบร้อยวันแล้ว ในจวนก็ไม่มีงานอะไรอีก คงจะเร็วๆ นี้ เจ้าอดทนรออีกสักหน่อยเถิด”


 


 


หลินหันเยียน พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ พี่อวี้ ข้าจะรอเจ้าค่ะ”


 


 


เขาก้มจูบลงบนหน้าผากของนาง หวงฝู่อวี้ชมนาง “เยียนเอ๋อร์เด็กดีของพี่”


 


 


หลินหันเยียนก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย


 


 


หวงฝู่อวี้เอียงข้าง หยิบเสื้อผ้ามาให้นางใส่ “รีบใส่เสื้อผ้าเร็ว เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้”


 


 


สีหน้าของหลินหันเยียนเปลี่ยนไป ผุดลุกขึ้นทันที นางทำถึงเพียงนี้แล้ว ยังยั่วยวนเขาไม่สำเร็จอีกหรือ


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของนางเช่นนั้น ก็รู้ว่านางคิดมากอีกแล้ว หวงฝู่อวี้จึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด โยนเสื้อผ้าทิ้งไปเงียบๆ จากนั้นร่างกายก็ไม่ทำตามหัวใจ เขาเอนตัวลง ทับบนร่างหลินหันเยียน


 


 


สองวันต่อมา เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดอบอุ่นสาดส่องเข้ามาบนร่างคน ช่างสบายเหลือเกิน


 


 


เนื่องจากเมิ่งซื่อมีธุระที่บ้านจึงไม่ได้เข้ามา พระชายาถูกพ่อบ้านเรียกตัวไป อ๋องฉีจึงได้ว่างงาน เดินเข้าไปยังห้องเด็กอ่อนอย่างใจเย็น


 


 


แม่นมทั้งสองรีบลุกขึ้นทำความเคารพ


 


 


อ๋องฉีโบกมือ “ไม่มีธุระอะไรของพวกเจ้าอีกแล้ว กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถิด”


 


 


เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้ เมื่อป้อนนมจนอิ่มแล้ว ก็ไม่ใช้งานพวกนางอีกเลย แม่นมทั้งสองตอบรับ แล้วก็จากไป


 


 


เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของแม่นมห่างไปเรื่อยๆ อ๋องฉีจึงได้รีบลุกขึ้น อุ้มเด็กคนหนึ่งขึ้นมาวางไว้ในรถเข็นเด็กที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำเอง จากนั้นก็อุ้มอีกคนวางไว้ด้านในเช่นกัน ห่มผ้าให้พวกนางอย่างดี จากนั้นก็รีบเดินออกไปด้านนอก


 


 


บ่าวรับใช้ในจวนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จนชินตาเสียแล้ว เนื่องจากทุกครั้งที่อากาศดี อ๋องฉีและพระชายาก็มักจะเข็นเด็กๆ ออกมาเดินเล่นในจวนเช่นนี้ จึงได้ก้มหน้าลงทำงานของตนเองไป


 


 


แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ ครั้งนี้อ๋องฉีเข็นเด็กๆ ออกไปนอกประตูจวน มือทั้งสองออกแรง ค่อยๆ ยกรถเข็นเด็กขึ้นด้วยความระมัดระวังวางบนรถม้าที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ตนก็ตามขึ้นไปด้วย จับรถเข็นเด็กไว้ให้มั่นคง จากนั้นก็สั่งคนรถว่า “ไปพระราชวัง”


 


 


คนขับรถง้างมือหวดแซ่ลงบนตัวม้าเบาๆ รถม้าเคลื่อนไปยังพระราชวังอย่างช้าๆ


 


 


รถม้าเคลื่อนตัวไปช้าๆ อ๋องฉีนั่งอยู่ในรถม้า มองดูเด็กน้อยสองคนที่เป่าน้ำลาย ร้องอ้อแอ้อยู่ในรถเข็นด้วยสายตาเอ็นดู


 


 


เมื่อถึงประตูวัง ขันทีที่กำลังเฝ้าประตูอยู่เห็นชัดว่าเป็นท่านอ๋องฉี ก็รีบเข้าไปต้อนรับ ก้มคำนับ “คารวะท่านอ๋อง”


 


 


อ๋องฉีเดินลงมาจากรถม้าด้วยท่าทีสง่างาม


 


 


ขันทีผายมือออกมา ทำท่าทางเรียนเชิญ “เชิญท่านอ๋อง…”


 


 


ยังไม่ทันพูดคำว่าเข้าไป ก็ต้องทำตาโต เขาเห็นอะไรหรือ อ๋องฉีที่ท่าทางฉลาดหลักแหลม และสง่างาม กลับกำลังออกแรงยกของบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้จัก หนำซ้ำในรถยังมีเด็กทารกอีกสองคนด้วยกัน


 


 


ขันทีตะลึง ตัวแข็งทื่อไป


 


 


อ๋องฉีไม่ได้สนใจผู้ใดทั้งสิ้น เข็นรถเด็กอ่อนตรงเข้าไปในวัง


 


 


ขันทีได้สติกลับมา ก็รีบเดินเข้าไป พูดอย่างประจบประแจงเช่นเคยว่า “ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยทำเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พูดจบก็ยื่นมาออกมา เมื่อกำลังจะไปสัมผัสกับรถเข็นเด็ก สายตาเย็นชาของอ๋องฉีก็มองมา ทำเอาเขาตกใจกลัว หยุดการกระทำ และยืนนิ่งอยู่กับที่เช่นเคย มองดูอ๋องฉีเข็นรถเข็นเด็กเข้าไปด้านในวังด้วยความงุนงง


 


 


ในห้องทรงพระอักษร ฝ่าบาทกำลังอ่านฎีกาอยู่ หัวหน้าขันทีเดินเข้ามารายงานด้วยสีหน้าประหลาดและน้ำเสียงที่แปลกไป “ฝ่า ฝ่าบาท ท่านอ๋องฉีมาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


รับใช้ข้างกายเขามาหลายปี ฝ่าบาทยังไม่เคยได้ยินเสียงที่แสดงความตกใจได้ชัดเจนเช่นนี้ของหัวหน้าขันทีมาก่อน จึงได้เงยหน้ามองเขา ขมวดคิ้วลง “เกิดอะไรขึ้นหรือจึงได้ตกใจถึงเพียงนี้”


 


 


หัวหน้าขันทีกลืนน้ำลายลงคอ “ฝ่าบาท เชิญท่านเสด็จมาทอดพระเนตรเองเถิด ท่านอ๋องท่าน…”


 


 


“ไร้ประโยชน์สิ้นดี” ฝ่าบาทตำหนิเขา “รับใช้ข้างกายข้ามานานหลายปีแล้ว เกิดเรื่องขึ้นยังตื่นตระหนกเพียงนี้ได้”


 


 


มิใช่ว่าตื่นตระหนก แต่คือตกใจพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หัวหน้าขันทีคิดในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา ยืนคำนับอยู่ข้างโต๊ะ รอคำตอบจากฝ่าบาท ไม่กล้าพูดกระไร


 


 


ฝ่าบาทหรี่ตาลง ตรัสด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เชิญเขาเข้ามาด้านใน” เขาเองก็อยากเห็นกับตาว่าอ๋องฉีจะมีแผนการอะไรอีก จึงได้ทำให้หัวหน้าขันทีผู้ที่ปกติแล้วทำงานละเอียด มิเคยเกิดเรื่องพลาดขึ้นให้ตกใจได้ถึงเพียงนี้


 


 


หัวหน้าขันทีโล่งใจ หันหลังเดินออกไป พูดกับอ๋องฉีด้วยความนอบน้อมว่า “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทเรียนเชิญด้านในพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


กลัวก็เพียงแต่ว่าจะเสียงดังรบกวนเด็กๆ อ๋องฉีจึงได้ตอบเสียงเบาว่า อืม จากนั้นก็เข็นรถเข็นเด็กเข้าไปด้านใน


 


 


หัวหน้าขันทีลังเลอยู่เล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไป เมื่อครู่ตนทำท่าตระหนกทำเอาฝ่าบาทไม่พอพระทัยแล้ว หากเข้าไปเห็นท่าทางที่ฝ่าบาทตกพระทัยอีกล่ะก็ เห็นที เส้นทางการเป็นขันทีสูงสุดของเขาก็คงจบสิ้นแล้ว เมื่อเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองของของตัวเองแล้ว ยืนรออยู่ด้านนอกดีกว่า


 


 


เมื่อหัวหน้าขันทีออกไปแล้ว ฝ่าบาทจึงได้วางฎีกาในมือลง ผ่อนคลายอิริยาบถ ประทับลงบนเบาะ สายพระเนตรจับต้องไปที่ประตูห้องหนังสือ รอดูว่าอ๋องฉีจะทำอะไรกันแน่


 


 


ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก สิ่งที่เข้ามาเป็นอันดับแรกคือสิ่งของหน้าตาประหลาดที่มีล้อหมุนอยู่ ฝ่าบาทเบิกตาโต ถึงได้เห็นชัดว่า ของหน้าตาประหลาดนี้คือเด็กสองคน


 


 


จึงได้แอบถอนหายใจเบาๆ ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อ๋องฉีก็เดินตามเข้ามาด้วยความอบอุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความรัก


 


 


ฝ่าบาทผงะไป หากมิใช่การฝึกฝนหลายปีทำให้เขาพยายามควบคุมตัวเองได้ มิเช่นนั้นเขาคงจะยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเอง เพื่อดูให้แน่ชัดว่าตาฝาดไปหรือไม่ คนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มผู้นี้เป็นน้องชายคนเดียวกันกับที่นำทัพทหารนับหมื่น กล้าหาญชาญชัย ร่างอาบไปด้วยเลือด บุกเข้ามาในวัง จนทำให้คนในวังเห็นแล้วฮึกเหิมคนนั้นอยู่หรือไม่


 


 


เมื่ออ๋องฉีเห็นฝ่าบาททำหน้างงราวกับไก่ตาแตกอย่างที่ตนวาดเอาไว้ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิ เข็นรถเข็นเด็กเข้ามา เดินตรงไปยังหน้าโต๊ะหนังสือ หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็เรียนฝ่าบาทที่ยังไม่ได้สติกลับมาว่า “เสด็จพี่ทรงงานยุ่งมาก จนขนาดวันครบรอบร้อยวันของหลานสาวยังไม่มีเวลามาร่วม น้องจึงพาพวกนางมาเข้าเฝ้าท่านเอง”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางโอ้อวดของเขา ฝ่าบาทอยากจะด่าเขาว่า อย่างนี้เรียกว่ามาดูข้าหรือ นี่เรียกว่ามาอวดต่างหากเล่า


 


 


เมื่อได้สติกลับมา ก็ทำเสียงไม่พอใจเบาๆ ในลำคอ ไม่ได้รับสั่งอะไร มองอ๋องฉีนิ่งๆ ดูว่าเขาจะทำอย่างไร


 


 


อ๋องฉีก็ไม่ได้หวังว่าฝ่าบาทจะตอบรับเขา จงได้โน้มตัวลง อุ้มหลานขึ้นมาไว้ในอกแล้วโยกตัวไปมา


 


 


กระทั่งฝ่าบาทเบิกพระเนตรอีกครั้ง อ๋องฉีก็เดินไปตรงหน้าเขา โน้มตัวลง ให้ฝ่าบาทได้มองเด็กในอ้อมอกเขาให้ชัด พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “เสด็จพี่ อิจฉาหรือไม่”


 


 


ร่างของฝ่าบาทตึงเกร็ง พระหัตถ์กำฎีกาไว้แน่น พยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ตนฟาดใส่เขาไป


 


 


อ๋องฉีทำเป็นมองไม่เห็น หันหลัง วางเด็กในมือลง จากนั้นก็อุ้มอีกคนขึ้นมา ก้มลงเช่นเดิม ให้ฝ่าบาทเห็นได้ชัด ปกปิดความภาคภูมิในสายตาไม่อยู่ “เหมือนกันราวกับแกะ ลูกชายข้าเก่งใช่หรือไม่”


 


 


พูดจบ ก็ไม่มองสีหน้าคร่ำเครียด และแววตาโกรธเคืองของฝ่าบาท เขาวางเด็กลงไปในรถเข็นดังเดิม และเข็นออกไปโดยไม่ได้ทำความเคารพ


 


 


ประตูห้องทรงพระอักษรปิดลง ฎีกาเล่มหนาในมือของฝ่าบาทก็หล่นลงที่หน้าประตู เสียงด่าทอด้วยความโกรธตามมา “สารเลว ต่อจากนี้ห้ามให้เขาเข้ามาเหยียบที่นี่อีกเป็นอันขาด”


 


 


น่าโมโหเสียจริง ก็แค่หลานสาวสองคนมิใช่หรือ มีอะไรน่าโอ้อวดนัก ข้ามีลูกชาย ข้าเองก็มีหลานสาวได้เช่นกัน ของเจ้ามีสองคน ลูกข้าจะมีสามคนให้ได้ ฮึ!


 


 


ดังนั้น ด้วยความโกรธ ฝ่าบาทจึงได้เสียสติกระทั่งมีรับสั่งที่แปลกประหลาดที่สุดตั้งแต่ได้รับตำแหน่งฮ่องเต้มา ประกาศให้ไท่จื่อเข้าวัง รับสั่งเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ตั้งแต่บัดนี้ไป ห้ามออกจากตงกงอีก มีลูกสาวได้เมื่อไรค่อยว่ากัน มิเช่นนั้น เจ้าก็อย่าอยู่ในตำแหน่งไท่จื่ออีกเลย”

 

 

 


ตอนที่ 364 อ๋องฉีผู้น่าสงสาร

 

ดวงตาของหวงฝู่ซวิ่นเบิกกว้าง มองไปทางฮ่องเต้ด้วยความตกใจ เข้าใจว่าหูตนเองฝาดไป ท่านผู้นี้เป็นเสด็จพ่อของเขาที่ชาญฉลาด ปกครองบ้านเมืองได้อย่างดีผู้นั้นหรือไม่ มิใช่ตัวปลอมแน่หรือ


 


 


ฝ่าบาทกำลังมีไฟโกรธสุมอยู่ เมื่อเห็นท่าทางเงอะงะของเขา ไฟโกรธก็ลุกโชนขึ้น ทำเสียงไม่พอใจเสียงดัง


 


 


หลังจากหวงฝู่ซวิ่นกลัวจนตัวสั่นไปแล้วนั้น ก็มีรับสั่งหัวหน้าขันทีว่า “เจ้าติดตามไท่จื่อไปตงกง หากไท่จื่อไม่พยายาม เจ้าก็เตรียมออกจากตำแหน่งหัวหน้าขันทีได้เลย”


 


 


เขาเป็นหัวหน้าขันทีของตน แต่เมื่อตอนที่อ๋องฉีมากลับไม่ได้รายงานได้อย่างชัดเจน ทำให้ตนได้ต้องขายหน้าเช่นนี้ หากไม่ลงโทษเขา ไฟโกรธในใจก็ยากจะหายไปได้


 


 


หัวหน้าขันทีแอบบ่นใจใน แต่รู้ดีว่าฝ่าบาทโกรธลามมาถึงเขา หลังจากทำความเคารพ คำนับแล้ว ก็ผายมือให้หวงฝู่ซวิ่นที่ยังไม่ได้สติกลับมา พูดด้วยเสียงแหลมว่า “ไท่จื่อ เรียนเชิญพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นได้สติกลับมา กำลังจะอ้าปากประท้วง แต่เมื่อเห็นสิหน้าของฝ่าบาทแล้วนั้น คำที่ต้องการจะพูดก็ถูกกลืนลงคอ เสด็จพ่อกำลังโกรธมาก หากไปกวนท่านตอนนี้ ตนจะต้องตกที่นั่งลำบากเป็นแน่


 


 


เขาตอบรับอย่างนอบน้อม หันหลังเดินออกไปด้านนอก แต่ขณะที่เดินไปถึงหน้าประตูนั้น ฝ่าบาทก็เสริมว่า “เอาครั้งเดียวให้ได้สองคน หน้าตาเหมือนกันนะ”


 


 


ไท่จื่อผู้สูงศักดิ์ เดินเซ สะดุดเข้ากับธรณีประตู ใบหน้าล้มคว่ำไปกับพื้นหน้าประตูด้านนอก


 


 


ขันทีที่คอยรับใช้ และเหล่านางกำนัลต่างพากันตกใจมาก


 


 


ฝ่าบาทส่งเสียงไม่พอใจอีกครั้ง


 


 


ยั่วให้ฝ่าบาทโกรธเล็กน้อย เมื่อคิดถึงตอนหวงฝู่ซวิ่นถูกลงโทษแล้ว อ๋องฉีก็ดีใจขึ้นมา ระหว่างทางกลับยังร้องเพลงกล่อมเด็กน้อยทั้งสอง คนรถได้ยินเข้า ตกใจเสียจนเกือบตกจากรถม้า


 


 


เมื่อเดินทางมาจนถึงจวนอ๋อง ท่านอ๋องฉีลงรถไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ย้ายรถเข็นเด็กลงมา เดินเข้าจวนไปด้วยความสุข มายังเรือนของพระชายา เมื่อเข้าประตูใหญ่มา ก็รับรู้ได้ถึงพลังของความโกรธ จึงเงยหน้าขึ้น เห็นพระชายายืนอยู่หน้าประตู มองดูเขาด้วยสายตาพิฆาต


 


 


ใจของท่านอ๋องสั่นเล็กน้อย ขณะที่ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร พระชายาก็เดินมาตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว แย่งรถเข็นเด็กไปจากมือเขา จากนั้นก็สั่งหลิงหลง “เข็นไปด้านใน”


 


 


หลิงหลงตอบรับ พาเด็กน้อยทั้งสองเข้าไปด้านใน ไม่นานก็หอบผ้าห่ม กระเป๋าเสื้อผ้า และของใช้ประจำวันของท่านอ๋องออกมา


 


 


พระชายาเดินถึงหน้าประตู พูดทั้งๆ ที่ไม่หันมาว่า “ท่านอ๋อง สุขภาพของหม่อมฉันคงจะแย่ลงสักช่วงหนึ่ง เพื่อจะไม่เป็นการรบกวนท่าน ท่านกลับไปพักที่เรือนของท่านเองเถิดเพคะ”


 


 


พูดจบ ก็เดินเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ปิดประตูลงกลอน


 


 


ตนถูกไล่ออกมาแล้ว อ๋องฉียืนงงอยู่ในบริเวณลานของเรือน ครู่ใหญ่ จึงได้ลูบจมูกตัวเอง มองไปทางห้องเด็กอ่อนด้วยความถวิลหา เดินจากไปด้วยความโศกเศร้า หลิงหลงพาสาวใช้สองคนหอบของเดินตามหลังไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ


 


 


หลายวันต่อจากนั้น พระชายาคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเด็กน้อยไม่ห่าง พ่อบ้านมาส่งข่าวอะไรต่างก็ปฏิเสธทั้งสิ้น ให้เขาไปหาซื่อจื่อเฟยโดยตรง อ๋องฉีคิดหาทุกวิธีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถมาพบหน้าเด็กๆ ได้ จึงนั่งลง ถอนหายใจอยู่ในห้องหนังสือเช่นเดิม


 


 


แต่เมิ่งซื่อกลับดีใจเป็นอย่างมาก ไม่มีการแย่งชิงจากอ๋องฉีแล้ว พระชายาและนางแบ่งกันอุ้มเด็กๆ คนละคนช่างมีความสุขเหลือเกิน


 


 


วันเวลาแห่งความสุขผ่านไปเช่นนี้หลายวัน


 


 


วันนี้ เมิ่งซื่ออาศัยช่วงที่เด็กทั้งสองนอนหลับ ไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้าปลอดภัยดีแล้ว เด็กๆ ก็แข็งแรงดี แม่ควรกลับบ้านได้แล้ว”


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าแม่เองก็มีความคิดอยากกลับบ้านด้วยเช่นกัน เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไป ริมฝีปากขยับเล็กน้อย หวังจะรั้งนางไว้


 


 


เมิ่งซื่อโบกมือ “แม่รู้ว่าเจ้าไม่อยากให้แม่ไป แต่ว่าปู่กับย่าของเจ้า ตากับยายของเจ้าอายุมากแล้ว แม่ต้องกลับไปดูแลพวกเขา และยังมีพ่อของเจ้าอยู่บ้านคนเดียว แม่เองก็เป็นห่วงไม่น้อย”


 


 


“แต่ ท่านแม่ ท่านไม่คิดถึงเด็กทั้งสองคนหรือเจ้าคะ” เมื่อรู้ว่าเมิ่งซื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อาจห้ามได้ จึงถามคำถามแทงใจดำไปตรงๆ หวังจะให้นางเห็นแก่เด็กๆ บ้าง


 


 


“ต้องคิดถึงอยู่แล้วสิ” สีหน้าของเมิ่งซื่อเต็มไปด้วยความอาวรณ์ “แต่ว่าพวกนางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจวนอ๋อง ควรจะเติบโตในจวนอ๋อง ต่อให้ข้าไม่อยากจากไปก็ต้องตัดใจให้ได้ แต่ว่า เจ้าวางใจเถิด รอจนทำนาเสร็จแล้ว หากมีเวลาว่าง แม่และพ่อของเจ้าจะมาอยู่เมืองหลวงสักช่วงสั้นๆ ถึงตอนนั้นก็มาหาเด็กๆ ได้แล้วล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร


 


 


พระชายาเมื่อทราบว่าเมิ่งซื่อจะกลับไป ก็รั้งไว้เช่นเดียวกัน แต่เมิ่งซื่อปฏิเสธ


 


 


พระชายาจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เตรียมของให้เมิ่งซื่อจำนวนไม่น้อย ก่อนจะส่งนางกลับบ้าน


 


 


เมิ่งซื่อจากไปแล้ว อ๋องฉีก็เริ่มทำปฏิบัติการณ์อีกครั้ง ครั้งนี้ไม่หลบซ่อนอีกแล้ว เขาเดินเอามือไพล่หลังเข้ามาในเรือนของพระชายา ราวกับจะบอกว่า หากเจ้าไม่ให้ข้าเจอหลาน ข้าก็จะแย่งมาให้จนได้


 


 


ที่พระชายาโกรธก็เพราะว่าเขาพาเด็กๆ ออกไปนอกจวนโดยไม่บอกไม่กล่าว หลายวันมานี้ที่ไม่ให้เขามาเยี่ยมเด็กๆ เห็นว่าเขาร้อนอกร้อนใจ คิดหาทางออกต่างๆ นานา ก็รู้ได้ว่าเขาชอบเด็กจริงๆ จึงได้อนุญาตให้เขาเข้าไปในห้องเด็กอ่อนโดยปริยาย


 


 


อ๋องฉีดีใจแทบแย่ กลับมามีความสุขดังเดิม


 


 


คนอื่นในจวนรวมทั้งพ่อบ้านโล่งใจไปตามๆ กัน อารมณ์ที่กดดันมาตลอดทั้งวันในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลงแล้ว ในจวนอ๋องกลับมามีบรรยากาศสงบสุขเช่นเคย


 


 


บ่าวรับใช้ต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง หวงฝู่อวี้ก็ยุ่งเรื่องค้าขายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พริบตาเดียวผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว หลินหันเยียนเริ่มร้อนใจ รอจนพลบค่ำ หวงฝู่อวี้กลับมาด้วยร่างกายอ่อนเพลีย หลินหันเยียนเดินไปหาเขา ถามว่า “พี่อวี้ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”


 


 


หวงฝู่อวี้ลืมตา นวดขมับตัวเองเบาๆ “ว่ามาสิ”


 


 


“พวกเราจะแต่งงานกันเมื่อใดหรือเจ้าคะ”


 


 


มือที่นวดขมับตัวเองของหวงฝู่อวี้หยุดชะงัก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “เยียนเอ๋อร์ หลายวันมานี้พี่ยุ่งเหลือเกิน รออีกหน่อยเถิด รอพี่จัดการธุระเรียบร้อยแล้ว พี่จะไปเรียนเสด็จแม่ ให้นางช่วยเราจัดงานแต่งให้มีขึ้น”


 


 


เลื่อนอีกแล้ว หลินหันเยียนกัดปากตัวเองแน่นกว่าเดิม “กิจการของจวนยุ่งหรือเจ้าคะ”


 


 


“อื้ม” เขาอธิบายสั้นๆ “นาที่ให้เช่าทางนอกเมืองใกล้จะหมดสัญญาแล้ว ช่วงนี้ข้ายุ่งอยู่กับการต่อสัญญาให้พวกเขา คงจะยุ่งเช่นนี้ไปอีกพักหนึ่ง”


 


 


“ให้ผู้อื่นทำแทนมิได้หรือเจ้าคะ” หลินหันเยียนพูดอย่างระวัง ถามพร้อมเตรียมร้องไห้


 


 


ถอนหายใจยาวเหยียดในใจ “เยียนเอ๋อร์ ปีที่แล้วข้าเพิ่งจะรับช่วงต่อกิจการของจวน และยังมีเรื่องของเจ้ามาทำให้เสียเวลาไปถึงสองเดือน ยังไม่มีเวลาฝึกงานให้คนใหม่ รอข้าจัดการเรื่องยุ่งๆ แล้ว ข้าจะหาคนมาทำ ต่อไปนี้ก็คงสบายขึ้น”


 


 


ประโยคนี้เมื่อเข้ามาในหูของหลินหันเยียนก็เปลี่ยนความหมายเสียแล้ว น้ำตาเม็ดโตไหลรินลงมา “พี่อวี้โทษข้าหรือเจ้าคะ”


 


 


ทำงานข้างนอกเหนื่อยมาทั้งวัน กลับบ้านมาหลินหันเยียนไม่แม้แต่จะรินน้ำไว้รอเขา เอาแต่ถามเรื่องงานแต่ง หวงฝู่อวี้เบื่อหน่ายถึงขีดสุด แต่ก็ยังคงอดทนปลอบใจนาง “เยียนเอ๋อร์ จากนี้ห้ามพูดอะไรเช่นนี้อีก ข้าได้เจ้ามา เป็นสิ่งที่ใจข้าถวิลหา ข้าเต็มใจ”


 


 


หลินหันเยียนหยุดร้องไห้ ถามทั้งน้ำตาอย่างไม่มั่นใจว่า “จริงหรือเจ้าคะ พี่อวี้ ท่านคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ”


 


 


เขาถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้น เดินไปหานาง โอบนางไว้ในอ้อมกอด “เยียนเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในจวนทั้งวัน คงจะคิดไปเรื่อยเปื่อย เอาอย่างนี้ วันพรุ่งเจ้ากลับไปอยู่ที่จวนหลินสักสองสามวัน ไปคุยกับคนที่บ้านดีๆ รอข้าจัดการธุระยุ่งๆ เหล่านี้แล้วข้าจะไปรับกลับ ดีหรือไม่”


 


 


ร่างของหลินหันเยียนสั่น รีบผลักเขาออก พูดด้วยเสียงแหลม สั่นไม่หยุด “พี่อวี้จะทิ้งข้าแล้วหรือ”


 


 


“เจ้า…” ไฟโกรธของหวงฝู่อวี้กำลังจะปะทุแล้ว แต่เมื่อเห็นร่างที่สั่นเทิ้มของหลินหันเยียน เขาก็ใจอ่อน กอดนางอีกครั้ง ปลอบว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับ หากเจ้ายินดี วันพรุ่งนี้พี่จะพาเจ้าไปเดินเล่นนอกเมือง”


 


 


เมื่อคิดถึงภาพสายตาแปลกใจของคนบนถนน หลินหันเยียนส่ายหน้าลูกเดียว “ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ในจวนนี้ไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น”


 


 


หวงฝู่อวี้กดหัวของนางลงบนอกของตน รีบปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไรๆ ไม่ไป ไม่ไปแล้ว”


 


 


ครู่ใหญ่ หลินหันเยียนจึงสงบสติลงได้


 


 


หวงฝู่อวี้ค่อยๆ อุ้มนาง วางบนเตียง พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าพักสักหน่อย กินข้าวเสร็จแล้ว พวกเราไปเดินเล่นที่สวนกัน”


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้า


 


 


ผ่านไปหลายวัน ในที่สุดหวงฝู่อวี้ก็จัดการเรื่องยุ่งๆ เสร็จเสียที


 


 


วันนี้ เวลาล่วงเลยมาจนมืดแล้ว หลังกลับจวนมา ก็ไปทำความเคารพพระชายาที่เรือนของนาง และไปเยี่ยมคนตัวเล็กทั้งสองเช่นเคย จากนั้น ก็ไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวที่เรือนนาง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังตรวจสอบบัญชีอยู่


 


 


พักงานไปแล้วสามเดือน เมื่อครรภ์แข็งแรงดีแล้ว ชิงหลวนและจูหลีที่ดื้อรั้นจะกลับมาทำงาน ยืนฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้มา ชิงหลวนรายงานว่า “นายหญิง คุณชายรองมาเจ้าค่ะ”


 


 


“เข้ามาสิ” เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังออกมาจากในห้อง


 


 


หวงฝู่อวี้เดินเข้าไป ยิ้มทักทาย “พี่สะใภ้ใหญ่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชี ถามว่า “จัดการธุระเสร็จแล้วหรือ”


 


 


หวงฝู่อวี้พ่นลมออกมา “เสร็จเสียที หลายวันมานี้ข้าเหนื่อยแทบตาย”


 


 


“สมควร!” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เพียงไม่ปลอบใจเขา แต่ยังพูดอย่างไม่ได้ดั่งใจว่า “เป็นถึงคุณชายแห่งจวนอ๋อง แค่เรื่องสัญญาก็ต้องเข้าไปทำเอง ไม่เหนื่อยสิแปลก”


 


 


หวงฝู่อวี้เบ้ปาก นั่งลงบนเก้าอี้ “ข้ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้นี่นา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าอ่านสมุดบัญชีอีกครั้ง “ว่ามา วันนี้มีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


“ไม่มีธุระแล้วข้ามาหาพี่สะใภ้ใหญ่มิได้หรือขอรับ” หวงฝู่อวี้ไม่รีบร้อน ถามอย่างใจเย็น


 


 


“ชิงหลวน!” เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้น


 


 


ชิงหลวนตอบรับพร้อมเดินเข้ามา “เจ้าค่ะนายหญิง”


 


 


“เชิญคุณชายรองออกไป”


 


 


ชิงหลวนไม่ตอบ หวงฝู่อวี้รีบพูดว่า “อย่า อย่า อย่า พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่านขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ชิงหลวนถอนออกไป


 


 


“เรื่องอะไรกัน”


 


 


“ข้าและเยียนเอ๋อร์ควรจะแต่งงานกันได้แล้ว ข้าอยากรบกวนให้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นธุระให้ขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ขมวดคิ้ว “เจ้าจะจัดการอย่างไร”


 


 


“จะทำอย่างไรข้าเองก็ยังไม่ได้คิดให้ดี จึงได้มาขอร้องให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยขอรับ” หวงฝู่อวี้ตอบ


 


 


เมื่งเชี่ยนโยวพิจารณาเล็กน้อย พูดว่า “แม้ตอนนั้นหลินฉงเหวินจะประกาศว่าไล่หลินหันเยียนออกจากบ้าน แต่สุดท้ายก็มิได้ทำถึงขั้นนั้น บัดนี้คนที่จัดการดูแลจวนหลินคือหลินจ้ง อย่างนั้นเจ้าและแม่นางหลินลองไปถามดูว่ายามพวกเจ้าแต่งงานกันจะยกขบวนมาจากจวนหลินได้หรือไม่ แน่นอนว่าสินสอดทองหมั้นพวกเราไม่ให้น้อยหน้า ส่วนสินเดิมจากฝั่งทางตระกูลหลินจะเท่าไรก็ตามใจ จวนอ๋องของเราไม่ได้ขาดเหลืออะไร”


 


 


พูดถึงตรงนี้ ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้ พูดว่า “ปีที่แล้วหลินจ้งมอบเงินให้ข้าและพี่ชายเจ้าหนึ่งแสนตำลึง บอกว่าจะมอบให้แม่นางหลิน เผื่อเอาไว้ให้นางใช้ยามฉุกเฉิน ข้ามอบให้เสด็จแม่แล้ว หากแม่นางหลินต้องการใช้ อีกครู่ข้าจะไปขอจากเสด็จแม่มาให้”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นโบกมือ “ไม่ต้องหรอกขอรับ ฝากไว้ที่เสด็จแม่ก่อนเป็นดี เดี๋ยวข้าจะกลับไปคุยกับเยียนเอ๋อร์เสียก่อน ว่านางยินดีกลับจวนหลินหรือไม่ หากว่าไม่ยอม รบกวนพี่สะใภ้ใหญ่คิดหาวิธีใหม่ให้พวกเราด้วย อย่างไรคงไม่ถึงขนาดต้องยกขันมาจากจวนอ๋องหรอกใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นพวกขี้นินทาในเมืองหลวง ก็คงได้พูดกันไปต่างๆ นาๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ


 


 


หวงฝู่อวี้กลับเรือนของตนเอง เล่าให้หลินหันเยียนฟังเรื่องที่เขาไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวเพื่อคุยเรื่องงานแต่ง พร้อมถามนางว่ายอมกลับจวนหลินเพื่อรอการสู่ขอหรือไม่


 


 


วันที่รอคอยมานาน ในที่สุดก็มาถึงจนได้ หลินหันเยียนดีใจเสียจนน้ำตาไหล พยักหน้าติดกัน “ข้ายินดี ข้ายินดีเจ้าค่ะ”


 


 


“ดีแล้ว อย่างนั้น เจ้าเก็บข้าวเก็บของ พวกเราจะไปจวนหลินกันเดี๋ยวนี้เลย”


 


 


หลินหันเยียนดีใจเหลือเกิน เช็ดน้ำตา จากนั้นก็เก็บของใช้ของตนเล็กน้อย แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “พี่อวี้เราไปกันเถิด”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า ทั้งสองเดินออกไปด้านนอก หงเอ๋อร์เดินตามหลัง


 


 


ชิงหลวนออกมารับหน้า “คุณชายรองเจ้าคะ นายหญิงสั่งให้คนไปเตรียมรถม้าและของกำนัลแล้ว รออยู่ที่หน้าจวนเจ้าค่ะ”


 


 


“ฝากขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย” หวงฝู่อวี้กล่าว


 


 


ชิงหลวนตอบรับ หันหลังเดินกลับ


 


 


หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนเดินมาถึงหน้าจวน ขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปจวนหลิน


 


 


ไม่ได้กลับบ้านมานานหลายเดือนแล้ว หลินหันเยียนทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น ในใจคาดเดาไปต่างๆ ไม่รู้ว่าท่านพ่อหายโกรธแล้วหรือยัง จะให้นางเข้าจวนหรือไม่ ยังมีท่านแม่ที่มาครั้งก่อน เหมือนว่ามีเรื่องจะพูด ครั้งนี้จะต้องถามนางให้ชัดเจน


 


 


กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนรถด้านนอก ยังไม่ทันได้สติ ก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกอย่างรุนแรง คนในรถก็โอนเอนตามกัน


 


 


หลินหันเยียนร้องด้วยความตกใจ คว้ามือของหวงฝู่อวี้เอาไว้


 


 


“เกิดอะไรขึ้น” หวงฝู่อวี้ถามเสียงดุ


 


 


“มีรถม้าคันหนึ่งม้าเกิดพยศ ชนเข้ากับรถของเราขอรับ” คนรถตอบด้วยความกลัว


 


 


บนท้องถนนมีคนเดินเดินมา หากม้าเกิดพยศขึ้น ต้องทำร้ายคนบริสุทธิ์เป็นแน่ หวงฝู่อวี้รีบเปิดม่านดู มองไปยังม้าพยศตัวนั้น ในความเคลื่อนไหวนั้น เขาเห็นสัญลักษณ์คำว่า ‘เจียง’

 

 

 


ตอนที่ 365 ช่วยชีวิตคน

 

คนที่จะพอมีรถม้าใช้ได้ก็มีแต่เหล่าขุนนางและพ่อค้าเท่านั้น หวงฝู่อวี้รับช่วงต่อกิจการของจวน พอจะรู้จักเหล่าพ่อค้าในเมืองหลวงอยู่บ้าง ไม่มีพ่อค้าที่แซ่เจียง ส่วนเหล่าขุนนางก็ไม่มีคนแซ่เจียงด้วย คนเดียวที่มีแซ่เจียง ก็คือหมอเจียงจากสำนักหมอหลวงเท่านั้น


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวงฝู่อวี้ดันหลินหันเยียนออก สั่งว่า “เจ้ารออยู่บนรถม้านี่” จากนั้นก็รีบออกไปทันที พุ่งตรงไปยังม้าที่พยศอยู่


 


 


เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไร หลินหันเยียนจึงได้ตะโกนร้องว่า “พี่อวี้!”


 


 


คนรถก็รีบหยุดรถรีบตะโกนร้องว่า “คุณชายรอง!”


 


 


เฮ่ออีตกใจ จากนั้นก็รีบติดตามไปด้านหลังของหวงฝู่อวี้


 


 


เมื่อเห็นว่าม้าหลุดการควบคุม คนบนถนนต่างก็หาที่หลบ แต่ว่ามีเจ้าโง่นั่น เห็นอยู่ว่าม้ากำลังวิ่งเข้ามาหาตน แต่กลับลืมที่จะหลบ ดูท่าเกือบจะตายอยู่ใต้กีบเท้าม้าเสียแล้ว


 


 


หวงฝู่อวี้และเฮ่ออีต่อยไปที่ม้าพร้อมกัน รถม้าเอียงข้าเอนล้มไปด้านหนึ่ง พ้นจากชาวบ้านบนถนน แต่ในรถกลับมีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังออกมา เงาร่างหนึ่งกระเด็นออกมาจากรถม้า เกือบจะหล่นลงพื้นอยู่แล้ว หากไม่ตายก็คงพิการ


 


 


หวงฝู่อวี้ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว กระโดดรับคนนั้นเอาไว้กลางอากาศ จากนั้นก็ค่อยๆ หล่นลงพื้น


 


 


อาจเป็นเพราะตกใจ หรือเป็นเพราะคิดว่าตนเองได้เข้าไปเฉียดความตายมาแล้ว หรือเพราะการเอาตัวรอดเป็นสัญชาตญาณหลักของมนุษย์ หญิงสาวโอบกอดคอของหวงฝู่อวี้ไว้แน่น แน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขาใบหน้าซีดเผือด


 


 


ผู้คนตรงนั้นโล่งใจไปตามๆ กัน ชี้ไปทางม้าและวิพากษ์วิจารณ์


 


 


หญิงสาวได้สติกลับมา เมื่อเห็นว่าตนอยู่ในอ้อมอกของชายแปลกหน้า มือทั้งสองของตนยังโอบคอเขาอยู่ ใบหน้าซีดเผือดแดงก่ำขึ้นทันที รีบปล่อยมือลง ตะเกียกตะกายออกจากอ้อมกอดเขา


 


 


อาจเป็นเพราะเพิ่งเจอเรื่องน่าตกใจมา ขาทั้งสองอ่อนแรง พอผละห่างจากหวงฝู่อวี้ ก็ล้มลงไปบนพื้นทันที


 


 


หวงฝู่อวี้รีบเข้าไปพยุงนางเอาไว้ ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณหนูเจียง เจ้ามิเป็นไรใช่หรือไม่”


 


 


เป็นครั้งที่สองที่ถูกชายแปลกหน้าต้องตัว ลำคอของหญิงสาวก็แดงไปหมด พยายามสะกดอารมณ์ ยืนให้มั่นคง


 


 


หวงฝู่อวี้ปล่อยมือ


 


 


หญิงสาวกล่าวขอบคุณเขาทั้งปากที่สั่น “ขอบ ขอบคุณ คุณ คุณชาย ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”


 


 


หวงฝู่อวี้โบกมือ “เรื่องง่ายๆ เท่านั้น คุณหนูเจียงอย่าใส่ใจเลย”


 


 


หญิงสาวตกใจ “คุณชายทราบได้อย่างไรว่าข้าแซ่เจียง”


 


 


หวงฝู่อวี้ชี้นิ้วไปป้ายบนยังรถม้าที่นอนตะแคงอยู่บนถนน


 


 


หญิงสาวนึกออกแล้ว หน้าแดงขึ้นอีกครั้ง


 


 


สาวใช้สองคนรีบวิ่งมาแต่ไกล หนึ่งในสาวใช้วิ่งเร็ว เมื่อเห็นรถม้าคว่ำอยู่ สีหน้าก็ซีดเผือดขึ้นทันที มองซ้ายมองขวา เห็นหญิงสาว จึงได้รีบพุ่งเข้ามาหา ตรวจดูร่างกายนาง พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “คุณหนู ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”


 


 


“หลิ่วเอ๋อร์ ข้าไม่เป็นไร คุณชายท่านนี้ช่วยข้าเอาไว้” หญิงสาวอธิบายเสียงหวาน


 


 


สาวใช้มองไปทางหวงฝู่อวี้ ก้มลงคำนับขอบคุณ “ขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยเหลือคุณหนูของพวกเราเอาไว้ ขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยคุณหนูของพวกเราเอาไว้เจ้าค่ะ”


 


 


กลุ่มคนที่ตามมาด้านหลังเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้กล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณคุณชาย”


 


 


หลิ่วเอ๋อร์ทำความเคารพอีกครั้ง “มิทราบว่าคุณชายชื่อแซ่อะไรเจ้าคะ วันหลังนายท่านของพวกเราจะต้องไปขอบคุณท่านถึงที่จวนเป็นแน่”


 


 


หวงฝู่อวี้ยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องหรอก คุณหนูเจียงปลอดภัยก็ดีแล้ว ข้ายังมีธุระอีก ขอตัวไปก่อน”


 


 


พูดจบ ไม่รอให้สาวใช้พูดอะไร ก็เดินกลับไปยังรถม้าของตน


 


 


หลินหันเยียนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ไกลๆ กัดปากตัวเองแน่น


 


 


มองดูรถม้าของหวงฝู่อวี้แล่นออกไปไกล หลิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้ว พูดเองเออเองว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าคุณชายผู้นี้คุ้นหน้าเหลือเกินนะ ราวกับว่าเคยเจอกันที่ใดมาก่อน”


 


 


รถม้าของหวงฝู่อวี้ไม่มีป้ายชื่อ แต่รถม้าดูหรูหรากว่าของตนมาก ก็รู้ได้ว่าเขาต้องไม่ใช่คุณชายทั่วๆ ไปเป็นแน่ จึงได้เอ็ดหลิ่วเอ๋อร์ไปเบาๆ ว่า “อย่าพูดส่งเดชไป ดูท่าทางสถานะของคุณชายผู้นั้นจะสูงกว่าพวกเรา คนอย่างพวกเราจะไปพบหน้าเขาได้ง่ายๆ ได้อย่างไรกัน”


 


 


หลิ่วเอ๋อร์ฟังอย่างว่าง่าย พยุงหญิงสาวขึ้นรถม้าไป


 


 


ขณะที่รถกำลังล้มลง คนรถกระโดดออกมาจากรถได้ทันเวลา จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ บัดนี้กำลังมองรถม้าที่คว่ำอยู่อย่างอารมณ์เสีย หญิงสาวเดินเข้ามา ตกใจจนหน้าซีด รีบพูดว่า “บ่าวควบม้าไม่ดี ทำให้คุณหนูตกใจ คุณหนูโปรดอภัยด้วยขอรับ”


 


 


“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดม้าจึงได้พยศเช่นนี้ได้” หญิงสาวถาม


 


 


คนรถส่ายหน้า “บ่าวก็ไม่ทราบขอรับ”


 


 


“รถม้ายังใช้ได้อีกอยู่หรือ”


 


 


คนรถมองดูม้าที่นอนแน่นิ่ง หายใจอยู่บนพื้น และส่ายหน้าเป็นครั้งที่สอง “เมื่อครู่คุณชายผู้นั้นลงมือหนักไปเสียหน่อยอาจะเพราะตกใจ ม้าตัวนี้น่ากลัวว่าจะใช้ไม่ได้เสียแล้วขอรับ”


 


 


หลิ่วเอ๋อร์ทั้งโกรธทั้งร้อนใจ กล่าวโทษคนรถ “อย่างนั้นจะทำอย่างไร จะให้คุณหนูเดินกลับไปไม่ได้นะ เจ้าหนาเจ้า แค่รถม้ายังควบให้ดีไม่ได้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี”


 


 


คนรถไม่กล้าพูด ก้มหน้าลง


 


 


“เอาล่ะ หลิ่วเอ๋อร์ เรื่องนี้เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เจ้าก็อย่าพูดอะไรอีกเลย เอาเงินให้เขาสองตำลึง ให้เขาไปเช่ารถม้ามาคันหนึ่ง พวกเราไปรอที่ร้านชาด้านหน้าเถิด” หญิงสาวตัดบทนาง


 


 


หลิ่วเอ๋อร์หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อด้วยอารมณ์โกรธ วางบนมือคนรถ พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีว่า “เร็วหน่อย อย่าให้คุณหนูต้องรอนาน”


 


 


คนรถตอบรับ รับเงินมา จากนั้นก็รีบไปทันที


 


 


หลิ่วเอ๋อร์สั่งบ่าวไพร่คนหนึ่งว่า “เจ้ารอรถม้าอยู่ที่นี่ รอคนจากจวนมาเอารถม้ากลับไป”


 


 


บ่าวไพร่รับปาก ยืนอยู่ข้างรถม้าอย่างว่าง่าย


 


 


หลิ่วเอ๋อร์มองคุณหนูเดินไปทางร้านน้ำชา เดินไปไม่กี่ก้าว ในหัวก็มีภาพหนึ่งผุดขึ้นมา จึงพูดว่า “คุณหนูข้ารู้แล้วว่าคุณชายผู้นั้นคือใคร คุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉีเจ้าค่ะ”


 


 


หญิงสาวชะงัก สองตาเบิกโต ถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “คุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี หวงฝู่อวี้? ”


 


 


หลิ่วเอ๋อร์พยักหน้า “ไม่ผิดแน่ เป็นเขาแน่ๆ ปีก่อนฮูหยินพาท่านไปเยี่ยมที่จวนอ๋อง ข้าพบเขาโดยบังเอิญ ตอนนั้นข้ายังสังเกตหน้าตาเขาอย่างละเอียด ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ”


 


 


สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าลง พูดกับหลิ่วเอ๋อร์เสียงเบาว่า “เรื่องนี้กลับจวนไปบอกท่านปู่ก็พอ ส่วนท่านพ่อนั้น อย่าพูดไปเด็ดขาด”


 


 


ปีที่แล้วฮูหยินพานางไปเยี่ยมที่จวนอ๋องฉี นางก็เข้าใจความคิดของท่านแม่แล้ว


 


 


แต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิม หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนเป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้ว และคงจะแต่งงานกันอีกในไม่ช้า ตอนนี้จะให้ท่านแม่รู้เรื่องที่หวงฝู่อวี้ช่วยเหลือตนจนเกิดมีความคิดที่ไม่ควรมีขึ้นมาไม่ได้


 


 


หลิ่วเอ๋อร์เข้าใจดี จึงตอบรับ “คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ บ่าวกลับไปแล้วจะไม่ปริปากพูดแม้แต่น้อย”


 


 


รถม้ามาถึงจวนหลินแล้ว ประตูจวนหลินเปิดกว้าง นายประตูยกตั่งตัวเล็กมานั่งอาบแดดจนผล็อยหลับไป เมื่อได้ยินเสียงกีบม้า จึงได้เปิดตาขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นรถม้าของหวงฝู่อวี้นั้น ก็เบิกตาโต รีบลุกขึ้นทันที


 


 


จากนั้นหลินหันเยียนก็เดินลงมาจากหลังรถม้า เห็นนายประตูมองมาอย่างดีใจ รีบเดินเข้ามาหา “คุณหนู ท่านกลับมาแล้วหรือ”


 


 


“ท่านพ่อ ท่านแม่อยู่ในจวนหรือไม่” หลินหันเยียนถาม


 


 


แววตาของนายประตูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอบด้วยความเคารพว่า “นายท่านและฮูหยินอยู่ในจวนทั้งหมดขอรับ มีเพียงคุณชายที่ออกไปทำงาน”


 


 


“พี่อวี้ ไปกันเถิดเจ้าค่ะ ไปทักทายท่านพ่อและท่านแม่กับข้า” น้ำเสียงของหลินหันเยียนเต็มไปด้วยความยินดี


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า เดินเข้าไปด้านใน


 


 


หงเอ๋อร์พยุงหลินหันเยียนเดินตามหลัง


 


 


นายประตูขมวดคิ้ว ดูท่าทางคุณหนูจะผอมลงกว่าตอนที่จากบ้านไปเสียอีก ลมพัดแรงคงจะปลิวไปตามลม หรือว่าตอนอยู่ในจวนอ๋องถูกรังแกหรือ จากนั้นก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตนต้องมาใส่ใจ หน้าที่ของตนก็คือเฝ้าประตู และก็…


 


 


นายประตูตกใจจนเหงื่อตก คุณชายเคยพูดว่า หากในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะต้องรายงานเขาทันที หากเกิดอะไรขึ้นมาจะตัดหัวเขาให้ดู


 


 


จึงได้รีบวิ่งเข้าไปในจวน ไม่ได้การแล้ว เขาจะต้องรีบไปรายงานพ่อบ้าน ให้พ่อบ้านส่งคนไปรายงานคุณชายให้กลับมา


 


 


เมื่อพ่อบ้านจวนหลินได้รับรายงานแล้ว สีหน้าซีดขาว ถีบนายประตูด้วยความโกรธ “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบมารายงาน แล้วคุณหนูเล่า”


 


 


นายประตูถูกถีบจนเจ็บ แต่ไม่กล้าโอดครวญ “คุณหนูน่าจะไปหาฮูหยินที่เรือนแล้วขอรับ”


 


 


“หากวันนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าจะถลกหนังเจ้าออกมา” พ่อบ้านตะคอกใส่เขาด้วยความโกรธ จากนั้นก็ลกแขนเสื้อและเดินไปยังเรือนฮูหยินด้วยความร้อนใจ


 


 


นายท่านถูกกักบริเวณ ไม่เพียงเขาและคุณชายและฮูหยินของทั้งสองเท่านั้นที่รู้ นอกนั้นจะบอกแค่ว่านายท่านป่วยหนัก แล้วคุณหนูกลับมาไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ หากฮูหยินบอกเรื่องนายท่านล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง


 


 


เมื่อร้อนใจ จึงเร่งฝีเท้าขึ้น วิ่งไปครู่หนึ่งจึงคิดได้ว่า เรื่องนี้ควรไปรายงานฮูหยินของคุณชายใหญ่ จึงได้หยุดฝีเท้า เรียกบ่าวไพร่แถวนั้นมาคนหนึ่ง “เจ้าไปรายงานฮูหยินของคุณชายใหญ่ บอกว่าคุณหนูกลับมาแล้ว ไปเรือนฮูหยินแล้ว”


 


 


เมื่อเห็นเขาตื่นตระหนก คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว จึงพยักหน้า หันหลัง วิ่งตรงไปยังเรือนของหลินจ้ง


 


 


เมื่อภรรยาของหลินจ้งได้รับรายงาน สีหน้าซีดเผือด รีบเดินออกจากห้องด้วยความร้อนใจ พลางสั่งสาวใช้ว่า “เร็ว ส่งคนไปบอกคุณชายว่าให้เขารีบกลับมา”


 


 


สาวใช้รีบรับปาก หันหลังเดินไปอีกทาง


 


 


พรรยาของหลินจ้งสาวเท้าเร็วขึ้น จากนั้นก็ยกชายกระโปรงขึ้นมา เริ่มออกวิ่ง


 


 


ขณะที่กำลังจะเข้าไปในเรือนของฮูหยิน แต่พ่อบ้านกลับวิ่งตามมาด้วยความเหนื่อยหอบ ขวางหลินหันเยียนไว้ ทำความเคารพทั้งสองพร้อมหายใจหอบ “คุณชายรอง คุณหนู พวกท่านมาแล้วหรือ”


 


 


“พ่อบ้าน มีเรื่องอะไรหรือท่านจึงตื่นตระหนกเพียงนี้” หลินหันเยียนรู้สึกแปลกใจ จึงถามกลับ


 


 


พ่อบ้านชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มและอธิบายว่า “คุณหนู ข้าได้ยินว่าท่านกลับมาแล้ว จึงดีใจนัก เลยรีบวิ่งมาดูขอรับ”


 


 


พ่อบ้านเห็นนางมาตั้งแต่เล็ก ไม่เจอกันหลายเดือน จะคิดถึงนางก็ไม่แปลก หลินหันเยียนไม่ได้คิดมาก จึงยิ้มและพูดว่า “ครานี้ข้ากลับมา เพื่อจะมาตกลงกับท่านพ่อท่านแม่ ว่าจากนี้ข้าจะมาอาศัยอยู่ในจวนสักพัก อีกหน่อยพ่อบ้านคงจะได้เจอข้าทุกวันแล้ว”


 


 


พ่อบ้านชะงักไปอีกรอบ มองหวงฝู่อวี้ จากนั้นก็มองหลินหันเยียน เผยรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดกว่าการร้องไห้เสียอีก พูดไม่ตรงกับใจว่า “อย่างนั้นก็ดีขอรับ อย่างนั้นก็ดี”


 


 


“เจ้าไปเตรียมตัวก่อนเถิด วันนี้พี่อวี้จะอยู่กินข้าวเย็นด้วย”


 


 


พ่อบ้านรับปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี มองทั้งสองคนเดินไปด้านใน ขณะที่กำลังลนลานเสียจนเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผาก ภรรยาของหลินจ้งก็ได้ตะโกนเรียกมาจากด้านหลัง “น้องเล็ก ช้าก่อน”


 


 


หลินหันเยียนหันกลับไป เห็นว่าพี่สะใภ้ของตนกำลังวิ่งตามมาด้วยความเหนื่อยหอบ จึงขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจ


 


 


เมื่อเห็นหลินหันเยียนมองมาทางตน นางจึงได้ปล่อยชายกระโปรงลง ค่อยเดินช้าลง เดินมาตรงหน้าของทั้งสอง ถอนสายบัวเคารพหวงฝู่อวี้ “คารวะคุณชายรอง”


 


 


หวงฝู่อวี้พยุงนาง “คนกันเองแท้ๆ พี่สะใภ้อย่าเกรงใจเลย”


 


 


ฮูหยินลุกขึ้น ยิ้มให้ทั้งสองและพูดว่า “สองสามวันนี้ท่านพ่อและท่านแม่เป็นไข้หวัด ไม่สะดวกรับแขกจริงๆ น้องเล็กและคุณชายไปห้องรับแขกกับข้าเถิด”


 


 


“ท่านพ่อ ท่านแม่ป่วยหรือ” หลินหันเยียนตกใจ


 


 


“เพียงแค่ไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น กินยาก็ดีขึ้นมากแล้ว”


 


 


“อย่างนั้นข้าต้องรีบเข้าไปดูพวกเขา” หลินหันเยียนพูดพลางหันหลังเดินเข้าไปด้านใน


 


 


ภรรยาของหลินจ้งรั้งนางไว้ “น้องเล็ก ท่านพ่อและท่านแม่เพิ่งจะดื่มยาเข้าไป ตอนนี้พวกเจ้าไม่ควรเข้าไปรบกวนพวกท่าน เจ้าและคุณชายรองตามข้าไปห้องรับรองแขกเถิด รอพวกท่านตื่นแล้วค่อยพบกันก็ไม่สาย”


 


 


“นี่…” หลินหันเยียนมองหวงฝู่อวี้


 


 


“ในเมื่อท่านพ่อตา แม่ยายเพิ่งพักผ่อน อย่างนั้นพวกเรารอหน่อยดีกว่า เรื่องของเราก็ไม่ต้องรีบร้อนอะไร” หวงฝู่อวี้กล่าว


 


 


ฮูหยินโล่งใจ ผายมือให้ทั้งสอง “คุณชายรอง น้องเล็ก เชิญทางนี้”


 


 


หลินหันเยียนรู้สึกแปลกๆ หันไปมองเรือนของฮูหยินหลิน จากนั้นก็เดินตามพี่สะใภ้ของตนไปอย่างไม่เต็มใจ


 


 


สั่งให้คนยกชามาให้ นางยิ้มและพูดว่า “วันนี้คุณชายรองและน้องเล็กมา มีธุระอะไรหรือ”


 


 


สีหน้าของหลินหันเยียนเขินอายเล็กน้อย “พี่สะใภ้ วันนี้ข้าและพี่อวี้กลับจวนมาด้วยกัน ก็เพื่อจะมาคุยเรื่องออกเรือนเจ้าค่ะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)