ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 36.1-37.2
ตอนที่ 36-1 ซื่อจื่อใจดำอำมหิต
“ไม่ได้!” ในที่สุดหลินหันเยียนก็กรีดร้องออกมา “ซื่อจื่อ ขอให้ท่านเห็นแก่หน้าของข้า ปล่อยเฉี่ยวเยว่ไปสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ ข้ารับรองว่าวันแต่งงานจะไม่นำนางไปด้วยเป็นอันขาด”
นางไม่พูดประโยคนี้ออกมาเสียยังดีกว่า พอพูดประโยคนี้สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ่งมืดครึ้มลง ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “เอาตัวคุณหนูหลินไปชมการประหาร!”
องครักษ์สองนายรับคำสั่ง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าหลินหันเยียนกล่าวว่า “คุณหนูหลินเชิญขอรับ!”
“ข้าไม่ไป! ข้าไม่ไป!” หลินหันเยียนกรีดร้องพร้อมทั้งกระถดตัวถอยออกไป
เมื่อกี้นี้เหล่าองครักษ์เพียงแค่ชมการประลองฝีมือกันระหว่างเมิ่งเชี่ยนโยวกับหลินหันเยียน กลับโดนหวงฝู่อี้เซวียนลงโทษโดยการคุกเข่าจนถึงเดี๋ยวนี้ พอได้รับบทเรียนจากอดีต มีหรือจะกล้าละเลยอีก เมื่อเห็นหลินหันเยียนไม่ยินยอมจึงคิดที่จะเข้าไปลากตัวนางออกมาเอง
หวงฝู่อวี้เข้ามาขวางหน้าทั้งสองไว้ กางแขนออกเพื่อยับยั้งทั้งสองคน “พวกเจ้าแตะต้องตัวนางไม่ได้”
พูดจบก็หันไปขอร้องหวงฝู่อี้เซวียน “พี่ใหญ่ เยียนเอ๋อร์ไม่เคยเห็นฉากนองเลือดเช่นนี้มาก่อน นางจะตกใจจนสิ้นสติได้นะขอรับ”
“อวี้เอ๋อร์ หากไม่อยากโดนลงโทษก็จงถอยออกไป!” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว
หวงฝู่อวี้ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ขอร้องอย่างสุดชีวิต “พี่ใหญ่ ขอร้องท่านปล่อยเยียนเอ๋อร์ไปเถอะ ต่อไปนางไม่กล้ามาหาเรื่องแม่นางเมิ่งอีกแล้ว”
หวงฝู่อวี้เซวียนขมวดคิ้ว ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ไปดึงตัวคุณชายรองออกมา!”
แล้วก็มีองครักษ์อีกสองนายรับคำสั่ง ลุกขึ้นยืนจากนั้นก็เดินมาคิดจะดึงตัวหวงฝู่อวี้ออก
มีหรือที่หวงฝู่อวี้จะยอมถอย จึงลงมือกับองครักษ์ทั้งสอง
องครักษ์ทั้งสองนายเกรงว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บ จึงเอาแต่หลบหลีก ไม่กล้าสู้กลับ ในช่วงระยะเวลาอันสั้นจึงไม่อาจทำอะไรเขาได้เลย
หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามององครักษ์ที่ยังคุกเข่าอยู่แวบหนึ่ง
เหล่าองครักษ์ต่างก็เข้าใจความหมาย ทั้งหมดเดินเข้าไปแล้วใช้กำลังเข้ากดดันเขาเอาไว้
องครักษ์สองนายดึงตัวสาวใช้ออก แล้วลากตัวหลินหันเยียนที่กำลังกระถดถอยหลังไม่หยุดไปยังที่ที่จะลงโทษประหารชีวิตเฉี่ยวเยว่
เฉี่ยวเยว่ดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง ร้องโวยวายด้วยความหวาดกลัวว่า “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูช่วยข้าด้วย!”
หลินหันเยียนตกใจจนร่างกายเป็นอำมพาตไปแล้ว ไหนเลยจะกล้าขอร้องแทนนาง
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นอีกครา “กัวเฟย ลากลงมาข้างทาง อย่าให้มีรอยสกปรกเลอะพื้นที่ตรงนี้”
กัวเฟยรับคำสั่ง จากนั้นหิ้วเฉี่ยวเยว่เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงอีกด้าน หลังจากที่โยนนางลงไปแล้วก็ส่งสัญญาณให้องครักษ์สองนายที่ถือไม้พลองลงมือได้
องครักษ์ทั้งสองนายไม่กล้าทำอย่างลวกๆ เงื้อไม้พลองที่อยู่ในมือขึ้นสูงแล้วฟาดลงมาอย่างแรง
เฉี่ยวเยว่ร้องเสียงอู้อี้ขึ้นด้วยความเจ็บปวด
หลินหันเยียนได้แต่มองทั้งหมดนี้แต่มิอาจทำอะไรได้
ไม่นาน เฉี่ยวเยว่ก็ถูกตีจนผิวหนังหลุดลุ่ยเห็นชิ้นเนื้อและเศษเลือดเศษเนื้ออันน่าสะอิดสะเอียน เสียงร้องที่ร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดก็ค่อยๆ เบาลง มือที่ไขว่คว้าหาหลินหันเยียนเพื่อร้องขอให้ช่วยเหลือก็ค่อยๆ ลดต่ำลงอย่างไร้เรี่ยวแรงจนสิ้นใจในที่สุด มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เบิกตาโพลงจ้องมองหลินหันเยียนอยู่
หลินหันเยียนทนมองภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ นางหลับตาลงแล้วล้มกองไปกับพื้น ตกใจจนแทบหยุดหายใจ
“คุณหนู!” สาวใช้อีกคนหนึ่งร่ำไห้ร้องตะโกนขึ้นพร้อมกับคลานเข้าไปหาหลินหันเยียน พยายามเขย่าตัวของนางอย่างสุดความสามารถ
คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็ตื่นตระหนกจากการลงมืออย่างโหดเ**้ยมของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย
“เยียนเอ๋อร์!” หวงฝู่อวี้ร้องตะโกนขึ้น
องครักษ์ที่ควบคุมเขาไว้ต่างก็คลายมือออก
หวงฝู่อวี้ก้าวยาวๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหลินหันเยียนที่หมดสติอยู่ พอเห็นสีหน้าอันซีดเผือดของนางก็หันไปพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนเสียงทุ้มต่ำด้วยความโมโหและร้อนใจ “พี่ใหญ่ เยียนเอ๋อร์เป็นลมไปแล้ว คราวนี้ท่านพอใจแล้วหรือยัง”
หวงฝู่อี้เซวียนหน้านิ่วคิ้วขมวด ตำหนิเขาว่า “อวี้เอ๋อร์ ระวังวาจาของเจ้าด้วย!”
หวงฝู่อวี้รู้ตัวทันที หลินหันเยียนเป็นว่าที่ชายาของหวงฝู่อี้เซวียน จึงถอยหลังออกมาสองก้าว จากนั้นขอร้องอ้อนวอนว่า “พี่ใหญ่ ท่านรีบให้คนไปตามหมอมาช่วยเยียนเอ๋อร์ด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “นางเพียงแต่ตกใจจนหมดสติไปเท่านั้น ไม่ต้องไปตามหมอ หลับพักผ่อนสักพักก็ดีขึ้นแล้ว”
คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวกระตุ้นให้หวงฝู่อวี้ไร้สติไปจนสิ้น เขาแผดเสียงคำรามออกมาโดยไม่ยั้งคิด “เยี่ยนเอ๋อร์หมดสติไปแล้ว เฉี่ยวเยว่ได้รับโทษตาย คราวนี้เจ้าพอใจแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยักไหล่ “คุณชายรองกล่าวอะไรเช่นนั้น ข้าเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งอยู่ดีๆ แต่เจ้ากลับเป็นคนจงใจพาพวกนางมาหาเรื่องเอง เหตุใดถึงมาโทษว่าเป็นความผิดข้าเสียได้ ข้าเพิ่งจะเปิดกิจการได้ไม่กี่วันก็ต้องมาเจอเข้ากับเรื่องเช่นนี้ ข้าต้องยอมรับความโชคร้ายเองหรือ”
“เจ้า…” หวงฝู่อวี้ถูกย้อนกลับจนพูดไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียวสั่งกัวเฟยว่า “กัวเฟย พาคุณหนูหลินกับสาวใช้ของนางกลับจวนหลิน แล้วบอกกล่าวท่านราชเลขากับฮูหยินด้วยว่า ต่อไปถ้าขืนคุณหนูหลินมาก่อกวนที่ร้านอีก คราวหน้าสิ่งที่ส่งกลับไปจะไม่ใช่คนที่ยังมีลมหายใจอีก”
กัวเฟยรับคำสั่งแล้วชี้มือสั่งให้องครักษ์โยนร่างอันไร้วิญญาณของเฉี่ยวเยว่ขึ้นบนรถม้าของตระกูลหลิน และให้สาวใช้อีกคนประคองตัวหลินหันเยียนที่ตกใจจนเป็นลมขึ้นรถม้า
สาวใช้พยายามพยุงหลินหันเยียนขึ้นรถม้ากลับของตระกูลอย่างทุลักทุเล จนกระทั่งตอนที่เห็นเลือดกับเศษชิ้นเนื้ออันน่าสะอิดสะเอียนจากร่างของเฉี่ยวเยว่ก็ตกใจจนล้มคว่ำไปพร้อมกับหลินหันเยียนที่ตนกำลังประคองอยู่
“คุณ คุณชายรอง” สาวใช้ล้มกองกับพื้น พยายามประคับประคองตัวเองให้ลุกขึ้นหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เป็นผล จึงหันไปขอร้องอ้อนวอนต่อหวงฝู่อวี้
หวงฝู่อวี้กัดฟันพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เจ้าเข้าไปช่วยที”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับตัว แต่กลับไปโบกมือให้กับแม่นางที่อยู่ด้านหลังทั้งสามคน “พวกเจ้าไปช่วยพาแม่นางหลินขึ้นรถม้าเถอะ”
แม่นางทั้งสามคนก็ตกใจแทบแย่ ฝืนเข้าไปประคองด้วยขาอันสั่นเทา พยุงหลินหันเยียนกับสาวใช้ขึ้นมา
สาวใช้พรั่นพรึงจากศพอันอเนจอนาถของเฉี่ยวเยว่ จึงขอร้องหวงฝู่อวี้ว่า “คุณ คุณชายรองเจ้าคะ เรานั่งรถม้าของท่านได้ไหมเจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า สั่งให้สารถีนำรถมามาไว้ข้างหน้าของพวกนาง
ทุกคนร่วมแรงกันพาหลินหันเยียนที่เป็นลมอยู่ขึ้นรถม้าจนสำเร็จ สาวใช้ก็เดินตามขึ้นไปนั่ง
หวงฝู่อวี้ก็สาวเท้าเดินตรงไปหารถม้าของตนเอง ต้องการจะตามไปจวนหลิน
หวงฝู่อี้เซวียนเรียกให้เขาหยุดเสียงเข้ม “หยุด!”
หวงฝู่อวี้หันกลับมามองหน้าหวงฝู่อี้เซวียน แล้วร้องอ้อนวอนขึ้นว่า “พี่ใหญ่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา
หวงฝู่อวี้ไม่กล้าขัดคำสั่ง
กัวเฟยสั่งให้รถม้าของจวนหลินอยู่ข้างหน้า เขากับองครักษ์อีกสองคนตามอยู่ข้างหลังรถม้าของหวงฝู่อวี้ ขี่มุ่งตรงไปยังจวนหลิน
คนที่มุงดูอยู่รอบๆ เมื่อเห็นรถม้าจากไปไกลแล้วต่างก็แยกย้ายกันออกไป จนกระทั่งเดินไปไกลแล้ว จึงกล้าวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบากันขึ้น
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งอี้เห็นความดุดันโหดเ**้ยมอีกด้านของหวงฝู่อี้เซวียน เขายืนอึ้งอย่างตกใจไปนานแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวกับเมิ่งอี้ว่า “พี่รองยามบ่ายไม่ต้องเปิดร้านแล้ว ปิดร้านให้ทุกคนไปพักผ่อนช่วงบ่ายเถอะ”
เมิ่งอี้พยักหน้าด้วยอาการเหม่อลอย เดินเข้าไปในห้องราวกับร่างไร้วิญญาณ กำลังจะสั่งงานทุกคนแต่พอเห็นว่าในห้องไม่มีคนแม้แต่คนเดียว จึงนึกขึ้นได้ว่าทุกคนยังอยู่ข้างนอก จึงเดินกลับออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของเขาก็หัวเราะพร้อมกับส่ายหน้า แล้วเดินเข้าไปในร้านเป็นคนแรก
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็เข้ามาเถิด” หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับหวงฝู่อวี้อย่างอ่อนโยน
มีหรือที่หวงฝู่อวี้จะไม่กล้เชื่อฟัง เขาเดินตามเข้าไปในร้านอย่างว่าง่าย
แม่นางทั้งสามคนกับองครักษ์เหล่านั้นต่างก็เดินตามเข้าไปทีหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งแม่นามทั้งสามคนว่า “พวกเจ้าไปปรุงบะหมี่มันฝรั่งมาให้ทุกคนคนละชาม กินเสร็จแล้วพวกเราค่อยกลับจวน”
แม่นางทั้งสามคนตอบรับแล้วเดินไปยังห้องครัว
“ปรุงเพิ่มอีกสี่ชามด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวตามหลังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าเขากับหวงฝู่อี้ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง จึงไม่ได้คิดอะไร
บะหมี่มันฝรั่งปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่าบรรดาองครักษ์ต่างก็ยกขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก่อน
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกไปรับ แล้วบอกให้หวงฝู่อวี้นั่งลงตรงหน้าเขา แล้วถามขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “หิวแล้วใช่ไหม”
หวงฝู่อวี้มีความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ ทั้งพยักหน้าทั้งส่ายหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจในคำตอบของเขา แล้วเลื่อนชามบะหมี่มันฝรั่งทั้งสี่ชามไว้ตรงหน้าของเขา ยิ้มกริ่มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าหิวแล้วก็กินบะหมี่มันฝรั่งทั้งสี่ชามนี้เถอะ”
หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้นด้วยอาการตื่นตะลึง ทำตาโตมองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา พูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “พี่ พี่ใหญ่ ข้า…”
“เจ้าอุตส่าห์เปลืองแรงเพื่อจะได้รู้ที่อยู่ของร้านบะหมี่มันฝรั่งจากข้า ไม่ใช่ว่าจะพาคุณหนูหลินกับสาวใช้ทั้งสองคนของนางมากินบะหมี่มันฝรั่งหรอกหรือ เวลานี้พวกนางมีคนหนึ่งตายไป อีกคนหมดสติ ส่วนอีกคนก็ตกใจจนแทบเสียสติ ไม่มีใครที่ได้กินบะหมี่มันฝรั่งเลย เจ้าก็กินแทนพวกนางให้หมดเถอะ วางใจได้ เงินค่าบะหมี่มันฝรั่งประเดี๋ยวพี่ใหญ่จะจ่ายให้เจ้าเอง” หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มกริ่มอยู่เช่นเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่งเสียงออกมา
หวงฝู่อวี้มองนางอย่างคับแค้นใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวขอโทษขึ้นทันที “ขอโทษ ข้าควบคุมตัวไม่ได้เล็กน้อย เชิญพวกเจ้าต่อเลย เชิญต่อเลย”
ตอนที่ 36-2 ซื่อจื่อใจดำอำมหิต
หลังจากที่บรรดาองครักษ์ตกตะลึงกันแล้ว ต่างก็มองหวงฝู่อวี้ด้วยความเห็นใจ คนปกติทั่วไปนั้นกินบะหมี่มันฝรั่งชามเดียวก็อิ่มมากพอแล้ว แต่ตอนนี้นายท่านให้คุณชายรองกินเข้าไปถึงสี่ชาม คิดว่าพอกินเสร็จแล้วคงไม่อยากกินบะหมี่มันฝรั่งไปชั่วชีวิต ส่วนในใจนั้นก็แอบตักเตือนตัวเองไว้ว่าต่อไปห้ามทำให้นายท่านขุ่นเคืองเด็ดขาด วิธีการจัดการคนอันไม่ธรรมดาของเขา พวกเขาไม่ว่าใครก็ไม่อยากได้รับการสั่งสอนเช่นนั้น
ในใจของหวงฝู่อวี้ร่ำไห้ไปเรียบร้อยแล้ว แอบเสียดายว่าเมื่อกี้นี้ทำไมถึงไม่ฉวยโอกาสหลบหนีไปเสีย แต่กลับต้องมาอยู่รับกรรมเช่นนี้
หวงฝู่อวี้ถามขึ้นด้วยความระมัดระวังด้วยความหวังสุดท้ายว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่กินเยอะขนาดนี้ได้ไหม”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ได้”
หวงฝู่อวี้ยินดีปรีดา
เหล่าบรรดาองครักษ์เองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปด้วย
ต่อจากนั้นเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนที่ตังขึ้นมาก็ทำให้รอยยิ้มของหวงฝู่อวี้หยุดชะงัก “ข้ายอมให้เจ้าเลือกว่าจะกินบะหมี่มันฝรั่งหรือว่าจะถูกขังให้อดอาหารอยู่ในห้อง”
หวงฝู่อวี้โอดครวญเสียงดัง
พวกองครักษ์ต่างก็พากันถอยออกคนละก้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามกลั้นหัวเราะไม่ให้ส่งเสียงออกมา
เมิ่งอี้มองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างโง่งม
หวงฝู่อี้เซวียนเขม็งมองหวงฝู่อวี้ ถามขึ้นอย่างใส่ใจว่า “คิดได้หรือยัง เจ้าจะเลือกข้อไหน”
หวงฝู่อวี้กลืนน้ำลายเอื้อก กลั้นใจกัดฟันพูดขึ้นว่า “ข้า ข้ากินบะหมี่มันฝรั่ง”
“ดี” หวงฝู่อี้เซวียนนั่งตัวตรง ยังคงยิ้มกริ่มพร้อมกับกล่าวว่า “พอเจ้ากินเสร็จแล้วข้าจะให้อี้เอ๋ฮร์ไปส่งเจ้ากลับจวน”
นั่นเห็นได้ชัดว่าเขาจะดูเขากินจนหมดด้วยตัวเอง หวงฝู่อวี้ทราบดีว่าหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงตัดใจกินบะหมี่มันฝรั่งคำใหญ่ชามนั้น
เหล่าบรรดาองครักษ์ต่างก็ได้เรียนรู้แล้ว จึงไม่อยู่ในห้องนั้นต่อ ต่างก็ยกชามบะหมี่มันฝรั่งออกไปนั่งยองๆ กินที่นอกเรือนกันคนละชาม
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่สนใจกินบะหมี่มันฝรั่งเช่นกัน นางนั่งอยู่ข้างๆ มองดูหวงฝู่อวี้กินด้วยความสนใจ
หวงฝู่อวี้กินบะหมี่มันฝรั่งไปพลางร่ำไห้ในใจพลาง
กินสามชามในคราวเดียวนั้น หวงฝู่อวี้กินไม่ไหวจริงๆ แล้วเงยหน้าขี้นมาอ้อนวอนว่า “พี่ใหญ่ ข้าจะท้องแตกตายอยู่แล้ว กินไม่ลงจริงๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ก็ได้ ข้าจะไปบอกให้คนโยนเจ้าขังไว้ในห้อง”
หวงฝู่อวี้ตื่นตกใจมือไม้สั่น “ไม่ๆๆ ข้ากินหมด กินได้หมดเลย”
พูดจบก็รีบยกชามสุดท้ายเข้ามา ใช้ตะเกียบคีบใส่ปากคำโต
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา จนกระทั่งเขากินบะหมี่มันฝรั่งทั่งสี่ชามจนหมดแล้วถึงได้พยักหน้า สั่งหวงฝู่อี้ว่า “อี้เอ๋อร์ ไปส่งคุณชายรองกลับจวน”
หวงฝู่อี้รับคำสั่ง เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหวงฝู่อวี้แล้วกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายรอง เชิญขอรับ”
หวงฝู่อวี้อิ่มจนแม้แต่ขยับยังทำไม่ได้ ไหนเลยจะลุกขึ้นได้ บอกกับหวงฝู่อี้อย่างยากลำบากว่า “เจ้าพยุงข้าขึ้นหน่อยเถอะ”
หวงฝู่อี้กลั้นขำ แล้วเดินเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา
ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้องเรียกพวกเขาเอาไว้ “ช้าก่อน!”
ทั้งสองหันหน้ามองนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาที่โต๊ะคิดเงิน จากนั้นหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตำหรับยายาวเหยียด หลังจากวางพู่กันแล้วจึงหยิบกระดาษขึ้นส่งให้กับหวงฝู่อี้ “พวกเจ้าไปเอายาที่หอโอสถมาต้มให้คุณชายรองกินด้วย มิเช่นนั้นเขาจะท้องอืดท้องเฟ้อจนไม่สบายตัว”
หวงฝู่อี้รับคำ รับกระดาษมาเก็บไว้อย่างระวัง
หวงฝู่อี้เซวียนกลับสั่งเขาว่า “เจ้าไปส่งคุณชายรองกลับจวนแล้วก็เฝ้าเขาไว้ รอให้ข้ากลับไปก่อนค่อยสั่งคนต้มยา หากใครกล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า ก็ให้ผู้ดูแลบ้านขายมันออกไป”
นี่เขากำลังใจแข็งดัดนิสัยหวงฝู่อวี้อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ทราบแล้วขอรับซื่อจื่อ” หวงฝู่อี้ตอบรับด้วยความเคารพ จากนั้นประคองหวงฝู่อวี้พาเดินออกไปอย่างช้าๆ
ทางด้านสารถีประจำจวนหลินก็ตกใจจนสั่นไปทั้งตัว มือที่ต้องใช้บังคับรถม้าก็ควบคุมอย่างยากลำบาก ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อนำรถเข้ามาจอดที่หน้าประตูจวนหลินได้
กัวเฟยก็หยุดรถม้า พอสาวใช้ตะเกียกตะกายออกมาจากรถม้าได้ก็ตะโกนบอกคนที่เฝ้าประอย่างร้อนใจว่า “เร็ว รีบไปตามฮูหยิน คุณหนูเป็นลมไปแล้ว”
คนที่เฝ้าประตูเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจเสียยกใหญ่ รีบวิ่งเข้าไปรายงานข้างในเรือนอย่างลนลาน
สักพักเสียงวุ่นๆ ของฝีเท้าก็ดังขึ้น ฮูหยินราชเลขาก็ออกมาจากประตูโดยที่มีสาวใช้หลายคนช่วยประคองอยู่ ถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “เยียนเอ๋อร์เล่า เยียนเอ๋อร์อยู่ไหน”
สาวใช้ร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า “ฮู ฮูหยิน คุณหนูอยู่ในรถม้าคันนี้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินราชเลขารีบเดินเข้าไปหาทันที พอเห็นหลินหันเยียนที่นอนนิ่งไม่ขยับอยู่ในรถม้าก็กรีดร้องขึ้นว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
หลินหันเยียนไม่ตอบ
ฮูหยินราชเลขาหันหน้าไปสอบถามสาวใช้ “นี่มันเกินอะไรขึ้นกันแน่ เยียนเอ๋อร์อยู่ดีๆ นางหมดสติได้อย่างไร”
โดยไม่รอให้สาวใช้ตอบ กัวเฟยก็ตอบขึ้นด้วยกิริยานอบน้อมว่า “ฮูหยินขอรับ ซื่อจื่อขอเราบอกว่าถ้าหากครั้งหน้าคุณหนูหลินไปก่อกวนที่ร้านอีก สิ่งที่ส่งมาอาจจะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณก็ได้”
ฮูหยินราชเลขาตัวสั่นสะท้านขึ้นทันที เกิดความหวาดหวั่นขึ้นในใจ อ้าปากค้างต้องการจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ถามออกมา
กัวเฟยเตือนนางขึ้น “ฮูหยินขอรับ รีบเอาตัวคุณหนูหลินลงเถิด พวกเรายังต้องกลับไปรายงานอีก”
ฮูหยินราชเลขารีบชี้นิ้วสั่งงานสาวใช้ทันที “เร็ว รีบพาคุณหนูเข้ามา!”
สาวใช้เหล่านั้นต่างก็ช่วยกันเคลื่อนย้ายหลินหันเยียนออกมาจากรถม้าอย่างสบสนอลหม่าน พาเข้าประตูไป
ฮูหยินราชเลขาเดินตามหลังมาอย่างเป็นกังวลร้อนใจ พลางสั่งคนเฝ้าประตูว่า “รีบไปเชิญหมอมา!”
คนที่เฝ้าประตูรับคำสั่งแล้วก็รีบวิ่งไปหอโอสถทันที
ฮูหยินราชเลขายังไม่ได้ก้าวเข้าประตูไป เสียงอันสั่นเทิ้มจากสารถีก็ดังขึ้นด้านหลังของนาง “ฮู ฮูหยินขอรับ เฉี่ยวเยว่ยังอยู่บนรถม้าคันนี้ขอรับ”
ฮูหยินราชเลขาไม่ได้หยุดเท้า กล่าวขึ้นด้วยความรำคาญว่า “ให้นางกลิ้งลงมาเอง ขนาดแค่ดูแลคุณหนูยังทำไม่ได้ ดูสิว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร”
“ฮู ฮูหยินขอรับ เฉี่ยวเยว่ตายแล้ว!” เสียงของคนเฝ้าประตูดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัดว่าเจือแววหวาดผวา
ฮูหยินราชเลขาชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้าประตูไป พอได้ยินก็ซวนเซสูญเสียการทรงตัวจนเกือบจะล้มตึงที่หน้าประตู โชคยังดีที่สาวใช้หูตาว่องไวเข้ามาประคองนางไว้ได้ทัน
หันกลับไปถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เฉี่ยวเยว่ตายแล้ว”
สารถีพยักหน้าตอบรับอย่างลนลาน
ฮูหยินราชเลขาหมุนกายเดินกลับมา เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ รถม้า สาวใช้ขึ้นไปเปิดม่านรถม้าออก พอเห็นสภาพอันน่าอเนจอนาถของเฉี่ยวเยว่ก็กรีดร้องเสียงแหลม
ฮูหยินราชเลขาตกใจจากเสียงกรีดร้องของสาวใช้ จึงดุด่าขึ้นด้วยความโมโห “เจ้าเด็กบ้า ไม่เคยเห็นคนตายหรืออย่างไร มีอะไรถึงต้องตกใจ…” ทว่าพอเห็นเศษเลือดชิ้นเนื้ออันน่าสะอิดสะเอียนของเฉี่ยวเยว่ก็ผงะตกใจจนล้มกองอยู่ที่พื้น
“ฮูหยิน!” สาวใช้จะเข้ามาประคองนางขึ้น แต่ยังไม่ได้ประคองขึ้นมาก็ล้มกองไปด้วยกันกับนาง จากนั้นก็รีบลุกขึ้น คิดจะพยุงฮูหยินราชเลขาขึ้นมา แต่สองมือสองข้าของสาวใช้ทั้งคู่ก็อ่อนไร้เรี่ยวแรง พอจะลุกขึ้นได้ก็ล้มกลับไปกองที่พื้นเช่นเดิม
สาวใช้อยากจะร้องไห้ ทว่าฮูหยินราชเลขากลับจ้องร่างอันไร้วิญญาณของเฉี่ยวเยว่ไม่ยอมกะพริบตา ถามสารถีอย่างยากลำบากว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
กัวเฟยช่วยตอบด้วยหวามหวังดีว่า “สาวใช้จวนของท่านมีความรู้สึกอันเป็นการไม่สมควรต่อซื่อจื่อ ซื่อจื่อโกรธยิ่งนัก จึงสั่งให้คนลงโทษนางจนตายขอรับ”
เดิมที่เฉี่ยวเยว่เป็นคนที่ฮูหยินราชเลขาเตรียมมอบให้หวงฝู่อี้เซวียน คิดไว้ว่าหลังจากที่หลินหันเยียนแต่งงานแล้วหากนางไม่สามารถมัดใจหวงฝู่อี้เซวียนไว้ได้ ก็จะให้เฉี่ยวเยว่ขึ้นเป็นอนุภรรยา เพื่อช่วยเหลือนาง ไม่คิดว่าพอหวงฝู่อี้เซวียนทราบเข้าจะใช้ให้คนลงโทษเฉี่ยวจนตายเช่นนี้ ฮูหยินราชเลขาคิดแล้วก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นในใจ
กัวเฟยไม่ได้สนใจพวกนางอีก เขาขึ้นรถม้ากลับไปพร้อมกับองครักษ์อีกสองนาย
สาวใช้ต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงประคองให้ฮูหยินราชเลขาลุกขึ้นมาได้
ทั้งสองลุกขึ้นยืน ฮูหยินราชเลขาบังคับร่างกายของตนให้มั่นคง สั่งสาวใช้ว่า “เจ้าไปตามทหารประจำจวนเข้ามา ให้เอาศพของเฉี่ยวเยว่เข้าไปข้างใน”
สาวใช้รับคำแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในเรือน ร้องเรียกทหารประจำจวนสองนายเข้ามา
แม้ว่าทหารประจำจวนจะรู้สึกหวาดผวาอยู่บ้าง ทว่านิ่งสงบมากกว่าฮูหยินราชเลขากับสาวใช้กว่ามาก ยกศพของเฉี่ยวเยว่ลงมาจากรถม้า แล้วก็พาเข้าไปข้าในเรือนตามคำสั่งของฮูหยินราชเลขา
ตลอดทางผู้ที่เห็นศพของเฉี่ยวเยว่ทั้งสาวใช้ หญิงชรา ตลอดจนกุลีต่างก็ตกใจไม่น้อย ต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ นานาว่านางไปทำความผิดอะไรกันแน่ ถึงได้ถูกทุบตีจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้
ท้ายที่สุดฮูหยินราชเลขาที่ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาไม่น้อย สักพักก็สงบใจลงได้ ตีหน้าขรึม เม้มปากแล้วเดินตามอยู่ด้านหลัง จนกระทั่งทหารประจำจวนวางศพของเฉี่ยวเยว่ไว้ที่พื้นที่ว่างของจวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงสั่งทหารประจำจวนด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้ารีบไปบอกข่าวนายท่านกับคุณชายใหญ่ บอกวไปว่าที่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ ให้พวกเขารีบกลับให้เร็วที่สุด”
—————————-
ตอนที่ 37-1 ไปเอาเรื่องถึงหน้าประตูบ้าน
ทหารประจำจวนรับคำ แล้วก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
แล้วก็เหลือบมองร่างอันไร้วิญญาณของเฉี่ยวเยว่อีกแวบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งให้คนหาผ้ามาคลุมให้นาง ฮูหยินราชเลขาเดินมาถึงห้องของหลินหันเยียนโดยมีสาวใช้ช่วยประคองอยู่
หลินหันเยียนยังไม่ฟื้นขึ้นมา นอนอยู่บนเตียงใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
ฮูหยินราชเลขาทั้งกระวนกระวายทั้งปวดใจ ตะโกนสั่งสาวใช้ว่า “รีบออกไปดูหน่อยเถอะ เหตุใดท่านหมอยังไม่มาอีก!”
สาวใช้รับคำสั่งแล้วเดินออกไปอย่างลนลาน
เสียงคนเฝ้าประตูดังขึ้นว่า “ฮูหยินขอรับ ท่านหมอมาแล้ว”
“รีบเชิญเขาเข้ามาเร็วเข้า” ฮูหยินราชเลขากล่าวขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจ
สาวใช้เดินออกไปถึงหน้าประตูพอดีจึงได้รีบร้อนเปิดม่านประตูออก หมอชราหนวดเคราสีขาวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องยา
“เร็ว ท่านหมอ รีบมาตรวจดูอาการของเยียนเอ๋อร์เร็วเข้า ตกลงว่านางเป็นอะไรกันแน่” น้ำเสียงของฮูหยินราชเลขายิ่งดูร้อนรนกระวนกระวายใจขึ้นมาก
เห็นหลินหันเยียนมีสีหน้าซีดขาว นอนอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน หมอชราจึงคิดว่านางอาจจะป่วยหนักมาก จึงรีบวางกล่องยาไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบหมอนตรวจชีพจรออกมา จากนั้นนั่งลงบนตั่งที่อยู่ข้างเตียง ส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกสาวใช้ส่งแขนของนางมา
สาวใช้เอี้ยวตัวไปจับข้อมือของหลินหันเยียนมาวางไว้บนหมอนตรวจชีพจร จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดหน้าผืนบางมาวางทับข้อมือของนางไว้
หมอชราวางมือลงบนจุดชีพจรตรงข้อมือของหลินหันเยียนที่มีผ้าเช็ดหน้าผืนบางกั้นอยู่ตรงกลาง กลั้นหายใจและตรวจชีพจรให้นางอย่างละเอียด
ฮูหยินราชเลขามองเขาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
หมอชราตรวจชีพจรอยู่นานหลายอึดใจก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น จากนั้นชักมือกลับมาแล้วเอ่ยกับฮูหยินราชเลขาว่า “คุณหนูหลินหาได้เป็นอันใดไม่ เพียงแต่ได้รับการกระทบกระเทือนใจจากภายนอกจนเป็นลมไป มิได้มีอะไรหนักหนา เมื่อถึงเวลาจะฟื้นขึ้นมาเอง”
ฮูหยินราชเลขาถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวต่อเนื่องขึ้นว่า “ขอบคุณท่านหมอ ลำบากท่านแล้ว”
หมอชราโบกมือ จากนั้นเก็บหมอนตรวจชีพจร ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเก็บหมอนตรวจชีพจรไว้ในกล่องยา แล้วสะพายกล่องยาไว้ด้านหลัง
ฮูหยินราชเลขาสั่งสาวใช้ติดตามว่า “พาท่านหมอไปห้องบัญชีมอบเงินให้ห้าตำลึง”
หมอชราคำนับพร้อมกับกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณฮูหยิน”
สาวใช้พาหมอชราไปยังห้องบัญชี
ฮูหยินราชเลขาเดินมาถึงข้างเตียง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้หลินหันเยียน จึงหมุนตัวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ แล้วเอ่ยถามสาวใช้ของหลินหันเยียนว่า “ตกลงว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าจงเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด”
วันนี้สาวใช้ตกใจจนแทบเสียสติ จนถึงเดี๋ยวนี้จิตใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อได้ยินฮูหยินราชเลขาถามขึ้นจึงเล่าด้วยอาการสั่นระริกและเล่าตามจริงว่าหวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้คนลงโทษเฉี่ยวเยว่จนตาย แล้วบังคับให้หลินหันเยี่ยนไปดูการลงโทษให้เห็นกับตาตัวเอง
เมื่อฮูหยินราชเลขาได้ฟังถึงตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนบังคับให้หลินหันเยียนไปดูการลงโทษให้เห็นกับตาตัวเองก็โมโหเสียยกใหญ่ ตบเก้าอี้ดังฉาด แล้วกล่าวขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “รังแกกันเกินไปแล้ว! เยียนเอ๋อร์เป็นถึงคุณหนูจวนราชเลขา ให้เขาดูหมิ่นหยามเกียรติได้ง่ายๆ เช่นนี้หรือ”
สาวใช้ตกใจจนต้องทรุดกายลงคุกเข่าเสียงดังตุบ
ฮูหยินราชเลขายิ่งเกรี้ยวกราดมากขึ้น ตะโกนถามขึ้นเสียงดังลั่นว่า “สั่งพวกเจ้าไว้ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับหญิงชชาวบ้านคนนั้นห้ามบอกคุณหนูมิใช่หรือ พวกเจ้าเห็นคำพูดของข้าเป็นเพียงลมที่พัดผ่านเช่นนั้นหรือ”
สาวใช้กล่าวขึ้นอย่างลนลานว่า “ฮูหยินโปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เฉี่ยวเยว่เป็นคนบอกคุณหนูเอง บ่าวบอกนางแล้วแต่นางไม่ฟัง ดึงดันที่จะบอกคุณหนูให้ได้ อีกทั้งยังยุยงให้คุณหนูส่งจดหมายให้คุณชายรองด้วยว่าให้ไปสืบว่าร้านบะหมี่มันฝรั่งนั้นอยู่ที่ใด บอกว่าจะไปสั่งสอนนางคนนั้น”
เฉี่ยวเยว่มีหน้าตางดงาม อีกทั้งยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย เหตุผลที่ฮูหยินราชเลขาให้นางอยู่ข้างกายของหลินหันเยียนก็เพราะว่าจะให้นางไปตักเตือนบุตรสาวที่ใสซื่อไร้เดียงสาว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ หลายปีมานี้เฉี่ยวเยว่ปฏิบัติได้อย่างดีเยี่ยม แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้เอาชีวิตไปทิ้งได้ อีกทั้งยังทำให้เยียนเอ๋อร์ต้องมาตกใจจนเป็นลมไม่ยอมฟื้นไปด้วย
ฮูหยินราชเลขาไม่เข้าใจ จึงถามขึ้นต่อว่า “พวกเจ้าไปพูดอะไร ถึงได้ทำให้ซื่อจื่อโมโห”
สาวใช้ตอบทันทีว่า “ตอนที่พวกเราไปนั้นซื่อจื่อมิได้อยู่ในร้าน เป็นเฉี่ยวเยว่ที่บอกกับแม่นางคนนั้นว่า ว่า…”
“ว่าอะไร” ฮูหยินราชเลขาตำหนินางเสียงดัง
สาวใช้ตกใจรีบพูดทันใดว่า “บอกว่าต่อไปนางต้องแต่งเข้าจวนอ๋องฉีตามคุณหนูไป ต่อมาแม่นางคนนั้นจึงไปบอกกับซื่อจื่อ ซื่อจื่อจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงสั่งให้คนลงโทษนางจนตาย”
เหมือนกับว่าฮูหยินราชเลขาพอจะเข้าใจอะไรขึ้นบ้าง ขมวดคิ้วมุ่น กล่าวว่า “เจ้าบอกกับข้ามาว่าเวลานั้นนางพูดว่าอย่างไร”
สาวใช้เล่าอย่างละเอียด
ฮูหยินราชเลขาด่าทอเสียงดังว่า “นางโง่ เยียนเอ๋อร์ยังไม่ได้แต่งงานนางก็กล้ากล่าวเช่นนั้น นี่มิใช่ว่าหาเรื่องตายเองหรอกหรือ”
สาวใช้คุกเข่าลงบนพื้นไม่กล้าเอื้อนเอ่ย
ฮูหยินราชเลขายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ สีหน้าคล้ำลงเป็นอย่างยิ่ง
สาวใช้ที่อยู่กันเต็มห้องต่างก็ตกใจจนไม่กล้าหายใจแรง
หลินหันเยียนตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ส่งเสียงดังขึ้นเบาๆ
ฮูหยินราชเลขารีบลุกขึ้น แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของนาง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ ถามขึ้นเสียงเบาว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินหันเยียนยังสับสนมึนงงอยู่บ้าง ถามเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านแม่ ข้าอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินราชเลขานั่งลงข้างเตียง เอื้อมมือไปเก็บปอยผมที่ปรกระอยู่ตามหน้าผากอย่างแผ่วเบา แล้วกระซิบอย่างอ่อนโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว นี่เป็นห้องของเจ้าเอง ไม่มีอะไรแล้ว”
เหมือนกับว่าหลินหันเยียนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสักครู่ขึ้นได้ จึงขดตัวงอเข้า มีแววหวาดผวาอยู่เต็มใบหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาว่า “ท่านแม่ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เฉี่ยวเยว่ถูกตีตายทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ”
แม้ว่าในแต่ละวันหลินหันเยียนจะตามบิดาและพี่ชายไปฝึกซ้อมวิชาการต่อสู้เป็นประจำก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาว ราชเลขากับฮูหยินต่างก็เอาอกเอาใจนางมาก อีกทั้งอายุยังน้อย เรื่องน้อยใหญ่ต่างก็ไม่ยอมให้นางได้กระทบกระเทือนใจ ยิ่งการตีคนจนตายเช่นนี้ยิ่งยอมไม่ได้ เวลานี้บุตรสาวตกใจจนมีสภาพเช่นนี้ ฮูหยินราชเลขาปวดใจจนแทบจะทนไม่ได้ จึงก้มลงไปกอดบุตรสาวของตนเอง ยื่นมือไปตบหลังของนางพร้อมกับกระซิบปลอบโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้ว”
ทันใดนั้นหลินหันเยียนก็กอดฮูหยินราชเลขาจนแน่น อารมณ์ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บไว้ได้ระเบิดออกมา โหยไห้เสียงดัง ร้องไห้พลางพร่ำพูดไม่หยุดว่า “ท่านแม่ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน”
ตั้งแต่เด็กจนโตหลินหันเยียนไม่เคยร้องไห้เช่นนี้มาก่อน ฮูหยินราชเลขาเจ็บปวดหัวใจจนถึงขึ้นเกิดความคิดที่จะสังหารหวงฝู่อี้เซวียน แต่ก็กลัวอำนาจเบื้องหลังของเขา จึงกล่าวปลอบโยนเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว แม่อยู่นี่”
เมื่อด้านราชเลขาสองคนพ่อลูกได้ยินทหารประจำจวนรายงาน ก็รีบกลับจวนทันที ถึงเรือนหลินหันเยียนกำลังจะก้าวเข้าประตูเรือนก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ของหลินหันเยียนดังขึ้น จึงเร่งเดินเข้าไปทันที พอเดินเข้าไปในห้อง ราชเลขาก็ถามขึ้นว่า “เยียนเอ๋อร์เป็นอะไร เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นในบ้านหรือ”
ฮูหยินราชเลขาโบกไม้โบกมือให้เขา บอกเขาเป็นนัยๆ ว่าอย่าเพิ่งถาม
ราชเลขาเข้าใจ ถึงแม้จะกระวนกระวายใจ แต่ก็มิได้ซักไซ้อะไรขึ้นอีก ยืนอยู่ข้างเตียงมองบุตรสาวอันเป็นที่รักด้วยความปวดใจ
เสียงร้องไห้ของหลินหันเยียนค่อยๆ เงียบลงไปจนกลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้น
ฮูหยินราชเลขาตบหลังนางด้วยความอดทน
หลินหันเยียนร้องไห้จนเหนื่อยจนรู้สึกง่วงแล้วหลับลงไปอีก
ฮูหยินราชเลขาสั่งงานสาวใช้เสียงเบาว่าให้ไปเอาผ้าขนหนูเปียกมา แล้วเช็ดคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าของนางจนสะอาด กระซิบสั่งให้สาวใช้คอยดูแลนาง แล้วจึงบอกเป็นนัยๆ ว่าให้ราชเลขาสองคนพ่อลูกตามตนไปที่เรือนของตัวเอง
พอเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว ราชเลขาถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “ตกลงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้านกันแน่”
ฮูหยินราชเลขาเล่าเรื่องที่ทราบจากสาวใช้ให้พวกเขาสองคนพ่อลูกฟังอย่างรวดเร็ว
หลินจ้งยอมไม่ได้ จึงลุกขึ้นยืนทันที กล่าวด้วยความโมโหว่า “มันจะมากเกินไปแล้ว ลูกจะไปขอคำอธิบายจากจวนอ๋องฉีเดี๋ยวนี้”
ถึงแม้ราชเลขาก็เดือดเป็นฟืนเป็นไฟเช่นกัน แต่เป็นการที่เป็นขุนนางมานานหลายปีทำให้คุ้นเคยกับการที่ต้องเข้าใจเรื่องราวและไตร่ตรองอย่างละเอียดก่อนค่อยลงมือทำการอันใด จึงยกมือขึ้นห้ามบุตรชายของตนเอง “จ้งเอ๋อร์อย่าวู่วามไป เรื่องนี้พวกเราต้องปรึกษากันให้ดีก่อน ถึงค่อยไปเรียกร้องหาความยุติธรรม”
ถึงอย่างไรหลินจ้งก็ยังอายุน้อย นิสัยมุทะลุใจร้อน กล่าวว่า “มีอะไรต้องปรึกษาอีกเล่า ซื่อจื่ออ๋องฉีรู้อยู่เต็มอกว่าเยียนเอ๋อร์นางเป็นว่าที่ชายาของเขา ยังปฏิบัติต่อนางเช่นนี้อีก เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นเยียนเอ๋อร์อยู่ในสายตา หากเราไม่ใช้โอกาสนี้ทำให้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำให้ซื่อจื่อรับประกันแล้วล่ะก็ หลังจากแต่งงานไปแล้วอาจไม่เหลือเลยแม้แต่ฐานะตำแหน่ง”
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้มิอาจโทษว่าเป็นความผิดของซื่อจื่อได้ทั้งหมด เป็นเฉี่ยวเยว่เองที่ไม่อาจระงับความคิดเพ้อเจ้อของตัวเองได้ ยุยงเสี้ยมสอนให้เยียนเอ๋อร์ไปก่อเรื่อง สุดท้ายได้ไปเจอเข้ากับซื่อจื่อพอดี ถึงได้เสียชีวิตของตัวเองไปเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังทำให้เยียนเอ๋อร์เดือดร้อนไปด้วย” ถือว่าฮูหยินราชเลขายังกล่าวขึ้นอย่างมีสติดีอยู่
หลินจ้งยังไม่สามารถระงับโทสะได้ “ถึงแม้เฉี่ยวเยว่จะมีความผิดนานัปการ เขาก็สั่งให้คนลงโทษจนตายไปแล้ว เหตุใดถึงต้องบังคับให้เยียนเอ๋อร์ไปดูเฉี่ยวเยว่ถูกตีจนตายด้วยตาของตัวเองด้วยเล่า ข้าคิดว่าเขามีใจไม่ซื่อ ต้องการให้จวนราชเลขาของเรายกเลิกการหมั้นครั้งนี้เอง”
ฮูหยินราชเลขาตำหนิเขา “จ้งเอ๋อร์ หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว งานแต่งงานครั้งนี้ได้กำหนดไว้ก่อนแล้ว แม้แต่ไทเฮาที่อยู่ในวังหลวงยังเคยเข้ามาเกี่ยวข้อง มีอย่างหรือที่เขาบอกว่าจะยกเลิกก็ยกเลิกได้”
ถึงแม้ว่าหลินจ้งจะยังโกรธอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ราชเลขากล่าวว่า “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเกียรติของจวนราชเลขาเรา จึงไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ อย่างแน่นอน แต่ว่าไม่อาจทำการณ์อันใดโดยการวู่วาม ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกคนจับจุดอ่อนเอาได้ มีแต่เป็นโทษต่อเรา”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้าเห็นด้วย “นายท่านกล่าวถูกแล้ว ซื่อจื่อมีฐานะสูงส่ง การที่จะลงโทษสาวใช้คนหนึ่งที่ไม่เคารพเขาจนถึงแก่ความตายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากเราดื้อดึงจับเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย ไม่แน่ว่าอาจจะถูกคนอื่นว่าเอาได้ว่าจวนราชเลขาของเรามีกฎบ้านไม่เข้มงวดพอ ขนาดแค่สาวใช้ยังสั่งสอนได้ไม่ดี กลับต้องทำให้พวกเราเองถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่เสียหาย”
ราชเลขาไตร่ตรองสักพักแล้วกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเฉี่ยวเยว่ถูกซื่อจื่อตีจนถึงแก่ความตาย ก็ให้ใช้เสื่อฟางห่อแล้วโยนทิ้งไปที่สุสานอนาถา แสดงให้จวนอ๋องฉีได้เห็นท่าทีของเราก่อน ส่วนเรื่องที่จะไปถามหาความรับผิดชอบจากจวนอ๋องฉีนั้นขอให้ข้าไตร่ตรองดูสักพัก รอข้าพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เราค่อยไปหาที่จวน จะต้องจับจุดที่เจ็บปวดที่สุดของซื่อจื่อไว้ให้ได้ ต่อไปจะได้มิกล้ากำเริบเสิบสานกระทำความผิดต่อจวนราชเลขาของเราอีก”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า
อาการเดือดดาลของหลินจ้งก็สงบลงไปชั่วคราว
ฮูหยินราชเลขาสั่งให้คนไปตามผู้ดูแลบ้านมา แล้วสั่งงานลงไป
ตอนที่ 37-2 ไปเอาเรื่องถึงหน้าประตูบ้าน
หลังจากที่ผู้ดูแลบ้านรับคำสั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถอยออกไป จากนั้นชี้นิ้วสั่งให้คนห่อศพเฉี่ยวเยว่ แล้วตามไปดูการโยนศพไว้ที่สุสานอนาถาด้วยตัวเอง คิดแล้วก็รู้สึกปลง เด็กคนนี้ติดตามอยู่ข้างกายคุณหนูมาตั้งแต่ยังเล็ก คุณหนูกับฮูหยินต่างก็ให้ความสำคัญมาก มีสายตาเฉียบคม ความสามารถในการแยกแยะว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรล้วนแต่ทำได้ดีตลอดมา คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะมีจุดจบเช่นนี้ได้
ถือว่าหมากกระดานนี้จวนราชเลขาสามีภรรยานั้นวางได้ดี เริ่มด้วยการจัดการเรื่องศพของเฉี่ยวเยว่อย่างไร้ค่า ตัดความสัมพันธ์กับตนเองให้สะอาดหมดจด ทำให้คนนอกคิดว่าตัวของเฉี่ยวเยว่เองนั้นเกิดความคิดที่ไม่ควรมี ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา จากนั้นค่อยคิดหาวิธีคุกคามและบีบบังคับจวนอ๋องฉีให้รีบจัดงานแต่งงานโดยเร็ว ตราบใดที่พิธีแต่งงานได้ผ่านพ้นไปอย่างเป็นทางการ การแต่งงานครั้งนี้ก็จะเป็นสิ่งแน่นอนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก ไม่ว่าเขาซื่อจื่ออ๋องฉีก็ไม่กล้าเปลี่ยนใจได้อีก
พวกเขาเพียงแค่คิดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องมักไม่เป็นดั่งใจปรารถนา ในตอนที่พวกเขายังคิดไม่ตกว่าจะใช้เหตุผลข้อใดไปจวนอ๋องฉีนั้นเอง กลางดึกคืนนั้น สาวใช้ที่รับหน้าที่เฝ้าดูแลหลินหันเยียนในห้องก็วิ่งเข้ามาในเรือนด้วยท่าทางลุกลนอย่างเสียมารยาท ปลุกพวกเขาให้ตื่นจากความฝัน “นายท่าน นายหญิงเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูตัวร้อนมาก เอาแต่พูดจาไร้สติ พวกเราทำทุกอย่างอาการตัวร้อนก็ไม่ลดลงเลยเจ้าค่ะ”
ท่านราชเลขาและฮูหยินสองคนสามีภรรยาต่างก็เร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก ร้องเรียกสาวใช้ที่อยู่กะดึกหาเสื้อผ้ามาใส่ให้พวกเขา แล้วรีบเดินไปที่ห้องของหลินหันเยียนอย่างรีบร้อน เห็นนางหน้าแดงเถือก สองตาหลับใหล สองแขนชูขึ้นโบกสะเปะสะปะ ร้องตะโกนไม่หยุดว่า “ไม่เอา ไม่เอา ข้าไม่เอา!”
ฮูหยินราชเลขากระวนกระวายใจจนทนไม่ไหว ดุสาวใช้ขึ้นว่า “ไปเรียกผู้ดูแลบ้านมา บอกให้เขาไปเชิญท่านหมอมาเร็ว!”
สาวใช้ไม่มีเวลามารับคำ วิ่งออกไปอย่างเร่งรีบทันที
ฮูหยินราชเลขานั่งลงข้างเตียง สองมือจับมือของหลินหันเยียนที่กำลังโบกขึ้นอย่างสะเปะสะปะ กระซิบว่า “เยียนเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว ทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว แม่อยู่นี่แล้ว”
หลินหันเยียนสติเลือนรางไปหมดแล้ว ไหนเลยจะฟังคำพูดของนางรู้เรื่อง พลางร้องไม่ขาดปากว่า “ข้าไม่เอา ข้าไม่เอา!”
มองดูบุตรสาวที่มีท่าทางไร้สติสตังเช่นนี้ ฮูหยินราขเลขาก็รู้สึกปวดหัวใจจนน้ตาไหลออกมา กล่าวขี้นโดยไม่ยั้งคิดว่า “หากบุตรสาวของข้าเป็นอะไรไป ข้าจะให้พวกเขาจวนอ๋องฉีตายตามไปด้วย!”
ราชเลขายังพอมีสติอยู่บ้าง จึงตำหนินางว่า “ฮูหยิน อย่าพูดจาเหลวไหล หากคำพูดนั้นถึงหูของฮ่องเต้แล้วล่ะก็ ศีรษะของคนในจวนราชเลขาของเราจะรักษาไว้ไม่ได้”
ฮูหยินราชเลขาไม่กล่าวอะไรอีก กระซิบปลอบโยนบุตรสาวของตนเองด้วยน้ำตาไหลเอ่อ
ราชเลขาร้องตะโกนออกไปข้างนอกด้วยความร้อนรนว่า “รีบไปดูสิ เหตุใดท่านหมอยังมาไม่ถึงอีก”
มีเสียงตอบรับจากด้านนอก จากนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังไกลออกไป
ดูเหมือนว่าคราวนี้หมอชราคงจะถูกไปรับตัวมาจากบ้าน เห็นได้จากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ค่อนข้างหลุดลุ่ยสวมใส่ยังไม่เรียบร้อย และเสียงหายใจกระหืดกระหอบมาอีก
ฮูหยินราชเลขาไม่มีเวลามาสนใจว่าเขาไม่เรียบร้อยหรือไม่ กล่าวกับเขาอย่างร้อนใจว่า “เร็ว เร็ว รีบมาตรวจอาการเยียนเอ๋อร์เร็วเข้า”
หมอชราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ จัดการลมหายใจของตนเองเรียบร้อยแล้ว จึงเอากล่องยามาวางไว้บนโต๊ะอย่างว่องไว หยิบหมอนตรวจชีพจรออกมาตรวจให้หลินหันเยียน
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็ไม่กล้าหายใจเสียงดัง พุ่งสายตามองเขาเป็นจุดเดียวกัน
ผ่านไปนานหลายอึดใจหมอชราจึงพูดขึ้นว่า “ที่คุณหนูหลินเป็นคืออาการตกใจมากเกินไป ถึงทำให้ตัวร้อนขึ้น ข้าจะจดตำรับยาให้ แล้วพวกเจ้ารีบไปเอายามาต้มให้นางกิน เหงื่อออกแล้วก็จะไม่เป็นอันใดแล้ว”
“รีบไปเอากระดาษกับพู่กันมาให้ท่านหมอเร็วเข้า” ฮูหยินราชเลขาสั่งงานด้วยอาการลนลาน
สาวใช้คนหนึ่งวิ่งออกไปแล้วเอากระดาษกับพู่กันกลับมาอย่างรวดเร็ว
หมอชราเขียนตำรับยาเรียบร้อย
ราชเลขาสั่งผู้ดูแลบ้านที่เฝ้าอยูหน้าประตูว่า “ส่งคนไปเอายามา จำไว้ว่าอย่าทำให้ผู้คนรอบๆ แตกตื่น”
เวลากลางดึกหอโอสถปิดทำการแล้ว ไปเอายาเวลานี้คงต้องเจอกับผู้เฝ้าประตูหอโอสถอย่างแน่นอน ราชเลขาเกรงว่าพวกทหารประจำจวนจะทำงานอย่างบุ่มบ่าม จนทำให้คนในหอโอสถตกใจ หากไม่ใช่เรื่องจำเป็นคงไม่ออกคำสั่งเช่นนี้ออกไป
ผู้ดูแลบ้านเข้าใจในคำสั่งของเขา เรียกทหารประจำจวนคนหนึ่งเข้ามา กระซิบสั่งงานเขาสองสามประโยค
หลังจากที่ทหารประจำจวนตอบรับเสียงเบาแล้วก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หมอชราที่อยู่ในห้องสั่งให้พวกสาวใช้เอาผ้าชุบน้ำเย็นที่บิดจนหมาดแล้ววางไว้บนหน้าผากของหลินหันเยียนเรื่อยๆ เหมือนกับว่าจะทำให้ความร้อนลดลง
ทหารประจำจวนทำงานอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เอายากลับมาได้ หลังจากที่หมอชราตรวจสอบแล้วจึงพยักหน้า
ฮูหยินราชเลขาสั่งให้สาวใช้ไปต้มยาแล้วก็ตักใส่ชามมา คิดจะให้หลินหันเยียนได้ทานยา
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูป หน้าผากของหลินหันเยียนก็เริ่มมีเม็ดเหงือผุดซึมออกมา ใบหน้าที่แดงเถือกก็ค่อยๆ ลดลงไป คนก็เงียบสงบลงเช่นกัน
หมอชราลุกขึ้น เดินไปตรวจดูอาการของนางสักพัก แล้วกล่าวว่า “เริ่มมีเม็กเหงื่อผุดออกมาแล้ว อีกสักพักตัวที่ร้อนอยู่ก็จะลดลงไป อีกประมาณครึ่งชั่วยามคุณหนูหลินก็จะได้สติตื่นขึ้นมาแล้ว”
ฮูหยินราชเลขากล่าวขอบคุณ
หมอชราโบกมือกล่าวว่า “เป็นหน้าที่อยู่แล้ว ฮูหยินมิจำเป็นต้องเกรงใจ”
ราชเลขาสั่งให้ผู้ดูแลบ้านมอบตำลึงเงินเป็นสินน้ำใจ แล้วก็จัดหาคนไปส่งเขากลับจวน
แล้วก็เป็นไปตามที่บอกไว้ ครึ่งชั่วยามต่อมาหลินหันเยียนก็ได้สติลืมตาฟื้นขึ้นมา
ราชเลขาและฮูหยินสองสามีภรรยาต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลินหันเยียนถามขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า “ท่านแม่ ข้าเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
ฮูหยินราชเลขากล่าวปิดบังความจริงว่า “อาจเป็นเพราะวันนี้ออกไปจนทำให้ร่างกายได้รับความเย็น จึงตัวร้อนไม่สบายไปบ้าง แม่ให้เจ้ากินยาไปแล้ว เจ้านอนพักสักครู่ก็จะดีขึ้นเอง”
หลินหันเยียนพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง หลับตาลงแล้วนอนหลับไป
ราชเลขาและฮูหยินสองสามีภรรยาต่างก็คิดว่าหลินหันเยียนไข้ลดลงไปแล้ว นอนหลับสักพักก็จะดีขึ้น ไม่คิดเลยว่าอีกหลายวันถัดมาหลินหันเยียนก็ไม่สบายตัวร้อนขึ้นอีก หลังจากที่ทนทรมานอยู่หลายวัน หลินหันเยียนก็ผ่ายผอมลงไปอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินราชเลขาเห็นบุตรสาวผ่ายผอมลงทุกวันอย่างต่อเนื่อง คนทั้งคนดูซีดเซียวจนแทบไม่เป็นท่า นางทั้งโกรธทั้งร้อนใจ กล่าวกับราชเลขาว่า “นายท่าน ที่เยียนเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าซื่อจื่ออ๋องฉีเป็นคนทำ เราต้องไปเรียกร้องหาความยุติธรรมจากพวกเขานะเจ้าคะ”
ราชเลขาเห็นบุตรสาวมีสภาพเช่นนี้ก็รู้สึกปวดใจจนทนไม่ไหว จึงรักษาอาการสงบเช่นในวันวานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ได้ เราจะไปจวนอ๋องฉีเดี๋ยวนี้”
หลังจากที่สั่งให้สาวใช้ดูแลหลินหันเยียนเรียบร้อยแล้ว ราชเลขาและฮูหยินสองสามีภรรยาก็นั่งรถม้าเดินทางไปยังจวนอ๋องฉี
ทั้งสองคนลงจากรถม้า เดินตรงเข้าไปเห็นคนเฝ้าประตูที่อยู่ข้างหน้า สั่งเขาว่า “ไปรายงานท่านอ๋องของพวกเจ้ากับชายาด้วย บอกว่าพวกเราสองสามีภรรยามาเยี่ยมเยียน”
คนเฝ้าประตูไม่กล้าชักช้า รีบวิ่งเข้าไปทันที
เมื่ออ๋องฉีกับพระชายาได้ฟังคนเฝ้าประตูรายงานก็ออกมาพร้อมกัน ออกมาต้อนรับทั้งสองคนด้วยตัวเอง
พอทุกคนนั่งกันเรียบร้อย หลังจากที่สั่งให้สาวใช้ไปเอาน้ำชามา อ๋องฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองว่า “ที่ทั้งสองท่านมาด้วยกันวันนี้ มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ”
ราชเลขาก็ไม่พูดจาอ้อมค้อม กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านอ๋อง หลายวันก่อนเรื่องที่ซื่อจื่อลงโทษสาวใช้ที่จวนของเราจนตาย อีกทั้งยังบังคับให้บุตรสาวของเราไปดูการสังหารพวกท่านก็น่าจะทราบข่าวแล้ว หลังจากวันนั้นบุตรสาวของเราก็ตกใจจ้นล้มป่วย แค่เพียงไม่กี่วันก็ผ่ายผอมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย ที่เราสองคนสามีภรรยามาในวันนี้ก็เพื่อที่จะมาเรียกร้องความยุติธรรม ที่ซื่อจื่อปฏิบัติต่อบุตรสาวของเราเช่นนี้ตกลงว่าปรารถนาสิ่งใดกันแน่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น