ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 356-361
ตอนที่ 356 ท่าทางมีพิรุธของอ๋องฉี
รับสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำสำหรับอาบชำระร่างกาย เมื่ออาบน้ำจนสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อย อ๋องฉีที่คิดได้แล้วก็สาวเท้ายาวเดินมายังเรือนของพระชายาด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจจะมาสานความสัมพันธ์กับหลานสาวตัวน้อยทั้งสองของตน
แต่น่าเสียดาย ความหวังนั้นสวยงาม แต่ความจริงช่างโหดร้าย
เด็กน้อยทั้งสองหลับไปเสียแล้ว พระชายาจึงอาศัยเวลาช่วงนี้ เอนร่างลงบนเสื่อนิ่ม ชื่นชมบรรยากาศในบริเวณเรือน พลางอาบแดดไปด้วย
เมื่ออ๋องฉีย่ำเท้าเข้ามาในเรือนพระชายา ก็ถูกจับได้เสียแล้ว
พระชายารีบยืดตัวขึ้น รีบเดินไปยังหน้าประตู อ๋องฉียังไม่ทันเดินมาถึงหน้าประตู นางก็เปิดม่านกั้นประตูออกไป ‘ต้อนรับ’ ก่อนแล้ว
“ท่านอ๋อง วันนี้ลมอะไรพัดท่านมาถึงที่เรือนของหม่อมฉันหรือเพคะ” พระชายาถามด้วยความแปลกใจ
หลายปีมานี้ พระชายาไม่เคยใช้คำพูดเช่นนี้กับเขา แม้จะเป็นตอนที่พระชายารองเฮ่อยังมีชีวิตอยู่ นานทีปีหนเขาจะมาเยือนเรือนของพระชายาเสียที นางก็มิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน อ๋องฉีขมวดคิ้ว หยุดฝีเท้าลง มองนางด้วยความสงสัย
ในใจของพระชายาฉุกคิดขึ้นมา ตอนที่เด็กทั้งสองคลอด เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นลมหมดสติไป นางเองก็ยุ่งอยู่กับการดูแลเด็กๆ จึงไม่ได้สังเกตท่าทีของอ๋องฉี แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ สังเกตได้ถึงความผิดปกติ ตามหลักแล้ว หากเด็กๆ อยู่ในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว ท่านอ๋องคงไม่สะดวกไปเยี่ยม ก็ยังสมเหตุสมผล แต่บัดนี้เด็กๆ อยู่ที่เรือนของนาง เขาจะมาเยี่ยมหาเมื่อใดก็ย่อมได้ หากแต่เขากลับไม่เคยปรากฎตัวมาเลย เช่นนี้จึงทำให้รู้สึกผิดแปลกไป เมื่อคิดย้อนไปถึงท่าทางของอ๋องฉีตอนที่ทราบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวคลอดลูกสาวออกมานั้น พระชายาจึงได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
ดูทีคงจะมีคนไม่พอใจเมิ่งเชี่ยนโยวคลอดลูกสาวออกมากระมัง เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไฟโกรธในใจของพระชายาจึงสุมขึ้นมา เขาไม่รัก แต่นางรักหลานของนาง ดังนั้น บัดนี้เมื่อเห็นอ๋องฉี พระชายาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก
“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงมองหม่อมฉันเช่นนี้เจ้าคะ หรือว่ามิได้พบกันหลายวัน ท่านลืมหน้าหม่อมฉันไปเสียแล้ว” พระชายากะพริบตาเล็กน้อย เลียนแบบท่าทางงุนงงของอ๋องฉี
อ๋องฉีนำมือมาบังไว้ที่ปาก จากนั้นก็กระแอมเบาๆ ปกปิดความเขินอายของตน จากนั้นก็พูดช้าๆ ว่า “เอ่อ… ข้ามาถามหาเด็กสองคนนั้น”
“เด็กๆ สบายดีเจ้าค่ะ ไม่ร้องไห้งอแง ท่านอ๋องมิต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ ท่านกลับไปยุ่งเรื่องงานราชการของท่านเถิด”
เมื่อพระชายาพูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง ปิดม่านลง ปิดประตู ลงกลอนอย่างดีในคราวเดียว เรียกได้ว่าทำการอย่างเด็ดขาด ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
อ๋องฉียืนมองประตูที่ถูกปิดสนิทอย่างงุนงง ในหัวเต็มไปด้วยคำว่า ‘งง’ ครู่ใหญ่จึงได้สติกลับคืนมา เขาถูกปฏิเสธไว้ด้านนอกและยังถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยด้วย
เหล่าบรรดาสาวใช้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถอยหลังออกมาทันที คิดในใจว่าท่านอ๋องกำลังโกรธอยู่ คงจะไม่เห็นว่าพวกนางขัดหูขัดตา แล้วเอาพวกนางไปขายใช่หรือไม่
ในใจคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งก้มหัวให้ต่ำลง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง กลัวแต่ว่าตนจะกลายเป็นคนที่โชคร้ายผู้นั้น
ในเรือนเงียบสงัด เงียบเสียจนอ๋องฉีได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นด้วยความโกรธของตน
เขาเป็นถึงท่านอ๋อง ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ มีแต่ผู้คนมาประจบ แต่กลับต้องมาเสียหน้าเพราะพระชายาของตน ความรู้สึกในใจนั้นราวกับมีลมพายุโถมเข้าใส่ พัดพาเขาลอยขึ้น จากนั้นก็ทิ้งร่างเขาลง จนร่างเขาแหลกสลาย ถึงจะดับไฟโกรธในใจของเขาได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาเริ่มขยับตัว เดินหน้าไป หวังจะผลักประตูด้านหน้าออก จากนั้นพังเข้าไปสั่งสอนพระชายาของเขาเสียหน่อย
หลิงหลงและสาวใช้อีกคนที่อยู่ด้านหน้าประตู รับรู้ได้ถึงแรงโกรธของท่านอ๋อง กลัวเสียจนขาสั่น ใจเต้นรัว ไม่มีแม้แต่เสียงที่จะใช้ขานเรียกพระชายา
ขณะเดียวกันกับที่ไฟโกรธของอ๋องฉีกำลังปะทุ กำลังจะผลักประตูออกไปนั้น เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยก็ดังขึ้นมา น่าแปลก ท่าทางของท่านอ๋องฉีหยุดชะงักลง ยืนอยู่ที่หน้าประตูในท่าที่มือจับประตูเอาไว้ ไฟโกรธได้มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เสียงอันอ่อนโยนราวกับสายน้ำของพระชายาดังขึ้น “โอ๋ๆ แก้วตาดวงใจของย่า ไม่ร้องนะลูกนะ ย่าเห็นแล้วสงสารหนูเหลือเกิน”
เสียงร้องของทารกดังขึ้นกว่าเดิม
อ๋องฉียืนอยู่น่าประตู ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กตัวน้อยคนนี้กำลังร้องไห้ให้ตนอยู่ ริมฝีปากจึงได้ฉีกรอยยิ้มออกมา พูดพึมพัมด้วยความพึงพอใจว่า “เจ้าตัวน้อยนี่ช่างใส่ใจคนเก่งเสียจริง รู้จักเห็นใจปู่ตั้งแต่ยังตัวเท่านี้”
บัดนี้เขาลืมไปแล้วว่าตนเองเคยผิดหวังเพราะพวกเด็กๆ เกิดมาเป็นผู้หญิง จนเสียสติไปหลายวัน
หากพระชายาได้ยินคำนี้จากปากของเขา คงจะถอดโขนของผู้ดีผู้สูงศักดิ์ แล้วมาเยาะเย้ยเขาให้สมใจ
บัดนี้ไฟโกรธในใจของอ๋องฉีได้มลายหายไปแล้ว บรรยากาศกดดันคนรอบตัวก็หายไปด้วย บ่าวรับใช้ที่คอยรับใช้อยู่ในจวนก็ค่อยๆ วางใจลง ขณะเดียวกันก็เช็ดเหงื่อบนหัวตนออกด้วย ในที่สุดก็ไม่ต้องกลัวจะถูกเอาไปขายแล้ว
เสียงร้องงอแงของทารกน้อยเงียบลงแล้ว ดูทีแม่นมคงจะป้อนนมอยู่ หากตนเข้าไปตอนนี้ก็คงไม่เหมาะสม อ๋องฉีคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงได้หันหลังเดินออกไป
เห็นแม่นมป้อนนมหลานตัวน้อย กล่อมพวกเขานอนหลับแล้ว พระชายาจึงได้คิดถึงอ๋องฉีที่อยู่ด้านนอกประตูขึ้นมา เมื่อมองไปด้านนอกไม่เห็นผู้ใด จึงเข้าใจว่าเขารับท่าทางของนางไม่ได้ จึงได้กลับไปแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจเขา
อ๋องฉีกลับมาที่ห้องหนังสือ นั่งลงบนเก้าอี้ หลับตาลง ในหัวเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเด็กน้อย ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งรู้สึกว่าไพเราะยิ่งนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะรีบไปพบหน้าพวกเขา ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงมากเสียจนอ๋องฉีผุดลุกขึ้นมา ตะโกนเสียงดังว่า “รีบไปเรียกพ่อบ้านมาเร็ว”
เมื่อพ่อบ้านได้รับคำสั่งดังนั้น ก็รีบวิ่งเข้ามา คารวะด้วยความนอบน้อม “ท่านอ๋อง เรียกพบข้าน้อยมีอะไรหรือขอรับ”
“หาทางให้พระชายาออกจากเรือนของตัวเองสักครึ่งชั่วยาม หากทำไม่ได้ เจ้าก็ออกจากตำแหน่งพ่อบ้านไปเสีย” อ๋องฉีสั่งอย่างเด็ดขาด
พ่อบ้านตกใจยิ่งนัก ตั้งแต่ท่านอ๋องฉีย้ายเข้ามาในจวนอ๋อง เขาก็ทำหน้าที่พ่อบ้านมาตลอด แล้วบัดนี้เกิดเรื่องใดขึ้น เขาพิจารณาในใจ แต่ก็ไม่รีรอ รีบตอบรับทันที จากนั้นก็รีบออกไปหาทางออก
“เจ้าตามไปด้วย หากพระชายาออกมาแล้ว รีบมารายงานข้า” อ๋องฉีรับสั่งกับอากาศ
ในอากาศมีเสียงตอบรับขึ้นมา จากนั้นก็มีเงาของคนตามหลังพ่อบ้านไป
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปผ่านไป ก็ได้กลับมารายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาออกไปแล้วขอรับ”
อ๋องฉีรีบเดินออกจากห้องหนังสือไป ตรงไปยังเรือนพระชายาด้วยฝีเท้า เร่งรีบ
เมื่อเห็นว่าเขากลับมาอีกครั้ง บ่าวรับใช้ในจวนต่างตกใจกันหมด มองมาทางเขาพร้อมกัน
อ๋องฉีไม่สนใจ เดินตรงเข้าไปด้านใน ตรงไปยังห้องเด็กอ่อนทันที
แม่นมทั้งสองนั่งเฝ้าเด็กน้อยอยู่ไม่ห่าง เมื่อเห็นว่าอ๋องฉีเดินเข้ามา จึงได้ยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็คุกเข่าทำความเคารพ “หม่อมชั้นคารวะท่านอ๋อง”
สายตาของอ๋องฉีจับจ้องไปยังเด็กน้อยทั้งสอง ไม่ชายตามองแม่นมเลยแม้แต่น้อย โบกมือ สั่งว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด”
แม่นมทั้งสองมองตากัน มองเห็นแววตาเกรงกลัวของกันและกัน เพราะตั้งแต่พวกนางเข้ามาในจวนอ๋อง ก็ยังไม่เคยเห็นอ๋องฉี ในใจของพวกนางพอจะเดาได้ว่าท่านอ๋องไม่ค่อยชอบใจเด็กน้อยทั้งสองเท่าใด แต่บัดนี้เข้ามาในช่วงที่พระชายาไม่อยู่ ทั้งยังไล่นางทั้งสองออกไป หรือว่า…ยิ่งคิดยิ่งกลัว ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ จนเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผาก
แม่นมผู้หนึ่งพูดด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่านอ๋อง นี่…” นี่อะไร นางยังคิดไม่ออก จึงไม่ได้พูดออกมา ร้อนใจจนปากสั่นไปหมด
แม่นมอีกคนฉลาดกว่า รีบเปิดปากพูดว่า “เด็กน้อยหิวแล้วเจ้าค่ะ พวกหม่อมชั้นกำลังจะป้อนนมพอดี”
คิดว่านี่คงจะเป็นข้ออ้างที่ดีพอแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อครู่อ๋องฉียืนอยู่หน้าประตู รู้ดีว่าเด็กๆ กินนมไปแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น จึงหันมา มองทั้งสอง ราวกับว่าต้องการฉีกทั้งสองออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไรอย่างนั้น “ไสหัวออกไป อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีก”
อะไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตอีกแล้ว แม่นมทั้งสองไม่สนใจอะไรอีก รีบตะเกียกตะกายวิ่งออกไป
เมื่อบ่าวรับใช้ในจนเห็นท่าทีของแม่นมเป็นเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าซีด
ในห้อง
คงเพราะว่ากินอิ่มแล้ว ทารกทั้งสองนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงน้อยๆ มิได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลย
อ๋องฉีย่างเท้าช้าๆ ไปยังเด็กน้อยทั้งสอง มองลงมายังเด็กน้อย มองพวกนางด้วยความแปลกใจ ในใจมีความรู้สึกประหลาดใจปะทุเข้ามา ความรู้สึกนี้ช่างอบอุ่น และอิ่มเอมในใจ เอ่อล้นนักแต่ก็ทำให้ไม่อยากปฏิเสธ
เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง มองเด็กน้อยทั้งสองไม่ละสายตา พิจารณาหน้าตาของเด็กน้อยทั้งสอง ปากนิด จมูกหน่อย ตาน้อยๆ ช่างไร้ที่ติ ไม่มีที่ใดที่ไม่งดงามเลย
มือของเขายกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ลูบไปบนใบหน้าของเด็กน้อยคนหนึ่ง ทั้งนุ่มและนิ่มยิ่งนัก นุ่มลื่นเสียยิ่งกว่าใยไหมเสียอีก ดวงตาของอ๋องฉีราวกับว่ามีเพชรกำลังสะท้อนแสงอยู่
ครานั้นเมื่อตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนคลอดออกมา ก็หายตัวไป เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เห็นหน้าลูกสักครั้ง หลังจากนั้นหวงฝู่อี้ก็คลอดออกมา แต่เขากลับต้องช่วยงานฮ่องเต้ในวัง อาศัยอยู่ในวังไม่ได้กลับจวน เมื่อรู้ว่าพระชายารองเฮ่อคลอดลูกชายออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีใจ แต่ว่าทำได้เพียงแค่รีบกลับจวนมาดูเล็กน้อย จากนั้นก็ต้องรีบกลับไปทำงานต่อ เป็นเช่นนี้อยู่หลายปี กว่าเรื่องในวังจะสงบลง ก็เพียงไม่กี่ปีให้หลังมาเท่านั้น หากพูดจริงๆ แล้ว เขาได้พลาดโอกาสเห็นลูกชายทั้งสองของตอนยังเล็กที่สุดไป เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่ม น่ารักเพียงใด
อาจเป็นเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนมาสัมผัสตัว หรืออาจเป็นเพราะนอนอิ่มแล้ว เด็กน้อยคนหนึ่งลืมตาขึ้นมา และยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
บัดนั้น ใจของอ๋องฉีละลายลงทันที เขามองดวงตาสดใสไร้เดียงสาของเด็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ข้าเป็นปู่ของเจ้า เร็วเรียกปู่สิ เรียกให้ปู่ได้ยิน”
เด็กน้อยตอบรับเขาด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม
อ๋องฉีทนไม่ไหวแล้ว เขาโน้มตัวลง หวังจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาเล่น แต่เมื่อสัมผัสร่างนุ่มๆ ของเด็กน้อยนั้น เขาก็เก็บมือลง รู้สึกใจหายขึ้นมา เขามองมือหยาบหนาของตน จากนั้นก็มองเด็กน้อยที่ตัวโตเท่าแขนของตนเท่านั้น มือที่ยื่นออกไปก็หดกลับมา พวกนางตัวเล็กเกินไป เขาไม่กล้า
อ๋องฉีจึงได้แต่ยืนมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยความรู้สึกอยากอุ้มแต่ก็ไม่กล้า ปู่หลานมองตากันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง ด้านนอกมีเสียงกล่าวโทษของพระชายาดังเข้ามา “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วเด็กๆ เล่า”
“ท่าน…ท่านอ๋องอยู่…อยู่ด้านในเจ้าค่ะ” เมื่อคิดถึงอารมณ์ตอนที่อ๋องฉีจะดึงทึ้งพวกนางนั้น แม่นมตอบกลับอย่างไรสติ
พระชายาตกใจมาก รีบก้าวเท้าเดินไปด้านใน
อ๋องฉีเองก็นึกขึ้นได้ จึงได้รีบลุกขึ้น จากนั้นสายตาเย่อหยิ่งสูงส่งก็กลับมาดังเดิม เอามือไพล่หลังไว้ ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
พระชายาเดินเข้ามาในห้อง เห็นภาพตรงหน้าทั้งหมด ขณะนั้นทั้งโกรธและเอ็นดู จากนั้นก็เดินเข้ามาอย่างใจเย็น ไม่ลืมที่จะเย้ยอ๋องฉี “ท่านอ๋อง เด็กน้อยยังไม่รู้ประสาอะไร ท่านทำท่าทางเช่นนี้ให้ใครดูหรือ”
อ๋องฉีหันไปมองนาง จากนั้นก็หันมามองเด็กน้อย กล่าวด้วยสายตาเย็นชา “เด็กน้อยยังเล็กอยู่ ควรจะมีคนดูแลใกล้ชิด นับแต่บัดนี้ไป ข้าจะย้ายมาอยู่ที่นี่กับเจ้า”
ต่อให้เป็นเมื่อตอนที่ทั้งสองยังรักกันหวานชื่นนั้น อ๋องฉีก็มิเคยพูดเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่จะมาค้างคืนที่เรือนของนางเป็นครั้งคราวเท่านั้น บัดนี้กลับอ้างว่าเป็นเพราะเด็กน้อยต้องการคนดูแล ต้องการย้ายเข้ามาอยู่ด้วย จะไม่ให้พระชายาตกใจได้อย่างไร
แต่อ๋องฉีกลับไม่ไม่รู้ตัวว่าตนพูดอะไรออกมา หันหลังมามองเด็กน้อยทั้งสองอย่างใจเย็น จากนั้นก็เดินออกจากเรือนไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พระชายากำลังตกใจอยู่ จึงไม่ได้มีความเห็นใด หากนางสังเกตดีๆ จะพบว่ามือที่อ๋องฉีแอบไว้ด้านหลังนั้น กำลังสั่นอยู่
เมื่อพูดจบ อ๋องฉีก็จากไป
แต่พระชายากลับอยู่ไม่สงบ ขวมดคิ้วคิดทบทวน อ๋องฉีไปโดนลมอะไรมา จึงได้คิดว่าจะมาดูแลเด็กๆ เขามิชอบหลานสาวมิใช่หรือ
ตอนที่ 357 ท่าทางลับๆ ล่อๆ ของซื่อจื่อ
คืนนั้น อ๋องฉีย้ายเข้ามาพักที่เรือนของพระชายาจนได้
ขณะที่บ่าวรับใช้ในจวนกลัวจนขนหัวลุกนั้น เนื้อหนังตามลำตัวก็เกร็งไปตามๆ กัน อ๋องฉีมาอยู่ที่นี่ก็หมายความว่าพวกเขาจะแอบอู้งานไม่ได้อีกแล้ว ต้องรู้ว่าท่านอ๋องไม่ชอบคนไร้ประโยชน์ หากถูกท่านอ๋องรู้ว่าพวกเขาทำงานชักช้า คงจะต้องถูกเอาไปขายเป็นแน่ ดังนั้น บรรดาบ่าวรับใช้ของเรือนพระชายาจึงได้ปวดหัวไปตามๆ กัน
พระชายาเองก็ไม่พอใจเท่าใดนัก ไม่ใช่เหตุผลอื่นใด หากเป็นเพราะท่านอ๋องมาถึงก็ตรงไปยังห้องเด็กอ่อนทันที นั่งจ้องเด็กน้อยทั้งสองอยู่นานเป็นชั่วยาม ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความอดทนเช่นนั้นมาจากที่ใด แม้กระทั่งตอนดึก เรียกเขากลับห้อง เขาก็ยังโบกมือ บอกว่า “ข้ายังไม่ง่วง เจ้านอนก่อนเถิด”
พระชายาไม่พอใจ เดินกลับห้องไปด้วยความโกรธ พูดในใจว่า “แน่จริง คืนนี้ไม่ต้องกลับมานอนเลยสิเพคะ”
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างที่พูดเสียจริง นอนหลับไปหนึ่งคืน ลืมตาขึ้นมาตอนเช้ากลับพบว่าข้างๆ ไม่มีคน กระทั่งผ้าห่มก็ยังไม่มีร่องรอยว่าถูกขยับเลย
เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน พระชายารับรู้ได้ถึงบางสิ่ง พอเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
แขกที่มาเยี่ยมเยือนกลับไปหมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาปรนนิบัติเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยวิธีเช่นเดิม ในทุกวันไม่มีอะไรนอกจากอาหารสำหรับคนอยู่ไฟเท่านั้น ทำเอาปากของเมิ่งเชี่ยนโยวจืดไปไม่น้อย แต่ละวันนางเอาแต่คิดหาวิธีขอร้องหวงฝู่อี้เซวียนให้ทำอาหารรสจัดเสียหน่อยให้นาง
แต่นางใช้เล่ห์กลจนหมดสิ้นแล้ว กระทั่งมารยายั่วยวนก็งัดเอามาใช้แล้ว แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่เปลี่ยนไปเลย ทำอาหารอย่างที่เคยทำ นางควรจะกินอะไรก็จำต้องกิน มิเช่นนั้นเขาก็จะหาวิธีมาบังคับนางจนได้
มองดูร่างกายที่อวบอ้วนขึ้นเรื่อยๆ ของตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวที่จนปัญญา ใช้วิธีที่ใครก็คิดไม่ถึง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมดื่ม นางบีบจมูกตัวเอง ทำราวกับว่าได้กลิ่นแล้วจะอาเจียนออกมาอย่างนั้น นางโบกมือ “เอาออกไป เอาออกไป ข้าเลี่ยนเหลือเกิน ไม่ดื่มแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก จ้องนางตาไม่กะพริบ
เมิ่งเชี่ยนโยววางแผนเอาไว้ดีแล้ว วันนี้ให้ตายนางก็จะไม่ยอมดื่มอีกแล้ว นางเงยหน้าขึ้น ถลึงตาใส่หวงฝู่อี้เซวียน ใช้สายตาบอกเขาอย่างชัดเจน ว่าวันนี้นางไม่ดื่ม ไม่ดื่ม อย่างไรก็จะไม่ยอมดื่มเด็ดขาด
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจความหมายที่สายตานางสื่อแล้ว ไม่ได้เอาใจนาง แต่ก็ไม่ได้บังคับนาง เพียงแต่ใช้คำพูดไร้ความรู้สึกพูดว่า “ไม่ดื่มแน่หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขนหัวลุก นางกลัวหวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าตาเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะไม่สามารถเดาได้เลยว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ก็ยังคงพยักหน้าอย่างมั่นใจ
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางอีกครั้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ถือยาสำหรับคนอยู่ไฟเดินออกไป เหลือไว้เพียงเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอึ้งอยู่คนเดียว เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้เขาถึงได้พูดง่ายเพียงนี้
หวงฝู่อี้เซวียนถือยาบำรุงกลับไปยังห้องครัว จากนั้นก็เททิ้งลงไปในท่อระบายน้ำทันที จากนั้นก็สั่งแม่ครัวว่า “ต่อจากนี้ไม่ต้องต้มอีกแล้ว ซื่อจื่อเฟยกินไม่ลงแล้ว”
แม่ครัวตอบรับ
จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าห้องตัวเองไป สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นดังเดิม ไม่มีท่าทีว่าเขาไม่พอใจใดๆ ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวเดาทางไม่ถูก แต่ว่า ในที่สุดก็ไม่ต้องดื่มยาบำรุงที่แทบจะกลืนไม่ลงนั่นอีกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเสียจนอยากจะไปจุดพลุฉลอง ไม่ได้พิจารณาความคิดของหวงฝู่อี้เซวียนเลย
ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวนับวันเวลา ยังเหลืออีกสองวันก็เป็นอิสระแล้ว เมื่อออกจากอยู่ไฟแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนอาศัยช่วงที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังหลับสนิท สั่งหวงฝู่อี้ว่าให้คอยฟังเสียงในห้อง หากเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นมาแล้วให้บอกนาง ว่าตนมีธุระอออกด้านนอกแล้ว จากนั้น ก็พาโจวอันออกจากจวนอ๋อง ควบม้าไปยังร้านยาเต๋อเหริน
เรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวคลอดบุตรยากนั้น รู้กันไปทั่วทั้งเมือง เหวินซื่อเองก็รู้ข่าวมาบ้าง ตอนนั้นจึงตรงไปยังจวนอ๋องทันที แต่ตอนนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฟื้น คนในจวนกระวนกระวายกันยกใหญ่ อ๋องฉีมีคำสั่งห้ามให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยม เพื่อนที่สนิทเช่นเขาเองก็ยังถูกปฏิเสธ กระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นขึ้นมาแล้วนั้น เขาก็เข้ามาเยี่ยมพร้อมกับเฝิงจิ้งเหวิน ก็ยังคงถูกหวงฝู่อี้เซวียนไล่กลับโดยอ้างว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังพักผ่อนอยู่
บัดนี้เห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนมายังร้านยาเต๋อเหริน เหวินซื่อตกใจมาก รีบถามด้วยความกังวลว่า “เจ้าเด็กดื้อนั่นเป็นอะไรไปอีกหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบเขา นั่งลงบนเก้าอี้
เหวินซื่อร้อนใจยิ่งว่าเดิม น้ำเสียงเริ่มไม่ค่อยดีเท่าใด “พูดมาสิ เด็กนั่นเป็นอะไรไป”
ว่ากันว่าเป็นกังวลมากไปจะทำให้วุ่นวาย หากบัดนี้เหวินซื่อให้หัวคิดสักหน่อยก็คงไม่ถามคำถามเช่นนี้ออกมา หวงฝู่อี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นดั่งเจ้าของชีวิต เขามาปรากฎตัวตรงนี้ได้อย่างสบายใจ แสดงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เป็นอะไร แต่ที่น่าเสียดายก็คือ คุณชายเหวินของพวกเราคิดไม่ถึงตรงนี้ กลับถามย้ำไปย้ำมา
หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบตาขึ้น มองเขาอย่างใจเย็น จากนั้นก็หลบสายตาลง เอ็ดเขาอย่างไม่เกรงใจว่า “ในหัวเจ้ามีแต่แกลบหรืออย่างไร หากโยวเอ๋อร์ไม่สบายแล้วข้าจะออกมาได้อย่างไร”
เหวินซื่อเงียบปากลง พ่นลมออกมาด้วยความโกรธ ถลึงตาใส่เขา ถามด้วยอารมณ์ร้อนว่า “อย่างนั้นเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด”
“มาเอายา” หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างไม่รีบร้อน
ดวงตาของเหวินซื่อเบิกโพลง “มาเอายา? เจ้าบอกว่าเด็กนั่นไม่เป็นอะไร แล้วเจ้ามาเอายาทำอะไรกัน”
เงยหน้า มองเขาอย่างไม่ใส่ใจ เหวินซื่อรู้สึกเหมือนโดนดูถูกจากเขา ขณะที่กำลังจะเอาเรื่องเขานั้น เขาก็หยิบรายการยาออกมาจากแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะ “รีบจัดยาตามนี้ ส่วนยาสูตรนี้ข้ายกให้”
เสียงที่เหวินซื่อเตรียมจะตะคอกใส่เขาถูกกลืนหายไป หยิบรายการยาออกมาอย่างไม่พอใจ อ่านเล็กน้อย จากนั้นก็อ่านย้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง จากนั้นก็มองหวงฝู่อี้เซวียน ถามว่า “สูตรยานี้เจ้ายกให้ข้า? ”
หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบตามองเขาเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “คิดเอาเอง”
เมื่อเหวินซื่อเริ่มร้อนใจนั้น เขาก็เสริมอีกประโยคว่า “ขอปริมาณเท่าเดิม”
เหวินซื่อพูดอะไรไม่ออก รีบหยิบสูตรยาขึ้นมา จากนั้นก็เดินออกไป “เจ้ารอข้าก่อน อีกครู่ข้าจะรีบสั่งคนไปจัดยา”
พูดจบ ก็เดินออกไปด้านนอก ออกไปได้ไม่นาน ก็รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงได้ถอยหลังกลับมา จ้องหวงฝู่อี้เซวียนตาไม่กะพริบ ไม่คลาดสายตาจากสีหน้าของเขาแม้แต่น้อย “เด็กนั่นรู้เรื่องสูตรยานี้หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาราวกับมองคนโง่อยู่ ถามว่า “ข้าเขียนสูตรยาเป็นหรืออย่างไรเล่า”
ก็จริง นอกจากเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว คงไม่มีใครคิดสูตรยานี้ออกมาได้ เหวินซื่อเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ จึงได้เดินสาวเท้ายาวออกไปด้านนอก กว่าจะรู้ว่าตนเองถูกเจ้าคนเจ้าเล่ห์ผู้นี้หลอกเข้า ก็คงเป็นตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดไล่ฟันเขาไปทั่วเมือง
เหวินซื่อถือสูตรยาลงไปจัดเตรียมที่ห้องยาอย่างอารมณ์ดี เมื่อจัดยาที่ต้องการได้แล้ว ก็สั่งให้คนงานบดปั่น ตลอดกระบวนการนี้ตนได้จับตาดูอยู่ตลอด
คุณชายมีท่าทีเช่นนี้ เห็นทีคงจะมีสูตรยาใหม่มาเป็นแน่ แสดงว่าร้านยาเต๋อเหรินของเราก็กำลังจะรวยอีกแล้ว เงินเดือนของตนก็กำลังจะเพิ่มขึ้น คนงานดีใจกันมาก ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง หนึ่งชั่วยามผ่านไป เม็ดยาเสร็จทำเรียบร้อยแล้ว จึงส่งให้เหวินซื่อ
เหวินซื่อรับยามา ขึ้นไปด้านบน วางไว้ตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน “เรียบร้อยแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนรับมาถือไว้ ยืนขึ้น จากนั้นก็พูดว่า “ทำเพิ่มอีกหน่อยสิ ข้าจะมาเอาอีกเรื่อยๆ” พูดจบก็เดินสาวเท้ายาวออกไป
เหวินซื่อเบ้ปาก หยิบสูตรยาขึ้นมา อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าเงินทองกำลังโบยบินเข้ามาหาตนอย่างไรอย่างนั้น
หวงฝู่อี้เซวียนกลับมายังจวน เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นแล้ว แปลกใจที่เขาออกไปในเวลาเช่นนี้ จึงยิ้มและถามว่า “ไปไหนมาหรือ”
“เหวินซื่อส่งข่าวมาว่าเขาค้นพบยาดีหลายอย่าง ให้ข้ารีบไปดู” หวงฝู่อี้เซวียนโกหกอย่างแนบเนียน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงพยักหน้า พูดว่า “อีกสองวันข้าก็จะอยู่ไฟครบแล้ว ในที่สุดข้าก็สามารถอาบน้ำ กอดลูกสาวข้าได้เสียที”
แววตาของหวงฝู่อี้เซวียนสั่นคลอนเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็มาถึงวันที่อยู่ไฟครบกำหนด เช้าตรู่ เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นมา ก็สวมใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เปิดประตูออก จากนั้นก็เดินออกไปยังลานของเรือน สูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นขึ้นมา ตื่นเต้นอย่างเป็นที่สุด
หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ในครัวได้ยินเสียงแห่งความยินดีของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงชะโงกหน้าออกมา ยิ้มพร้อมมองท่าทางมีความสุขของนาง จากนั้นก็กลืนน้ำลายลงอย่างลืมตัว สายตาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็หดตัวกลับไปเช่นเดิม
“อี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งเข้ามาในครัวพร้อมรอยยิ้ม ตะโกนเรียกเขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความปีติ “ข้าอยู่ไฟครบแล้ว ออกมาด้านนอกได้แล้วล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังมา มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก “ยินดีด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเหลือเกิน เดินเข้าไปในครัว ยื่นมือออกมา โอบกอดเขาจากด้านหลัง จากนั้นก็ใช้จมูกสูดกลิ่น “หอมจังเลย วันนี้ข้าไม่ต้องกินอาหารของคนอยู่ไฟแล้วใช่หรือไม่”
ร่างของหวงฝู่อี้เซวียนหดเกร็ง กลืนน้ำลายลง พยายามกดอารมณ์ตัวเอง จากนั้นก็ตอบเบาๆ ว่า “อื้มม ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย อีกครู่ก็ได้เวลากินข้าวแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกอดเขาแน่น เอาใบหน้าน้อยๆ ถูไปถูมาบนแผ่นหลังของเขา ถึงยอมปล่อย “เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปอาบน้ำ กินอิ่มแล้วจะได้ไปดูลูกของเรากัน” พูดจบ ก็เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้สังเกตสายตาน่ากลัวของหวงฝู่อี้เซวียนด้านหลัง
แม้ว่าอาหารเช้าจะมีเพียงข้าวต้มและกับข้าวไม่กี่อย่าง แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกว่าอร่อยเหลือเกิน จึงกินไปสองถ้วย จากนั้นก็วางตะเกียบลง ลูบท้องป่องๆ ของตนอย่างไม่สง่างาม จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “อี้เซวียน เหมือนว่าข้าจะจุกแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก อีกครู่ออกกำลังหน่อยก็ดีขึ้น” จากนั้นก็มองนางเล็กน้อย แล้วก็หลบสายตาไป
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าเขาหมายถึงเรื่องที่จะไปหาลูกสาว จึงได้ยิ้มและพยักหน้า “ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ลูกของเราคงโตขึ้นไม่น้อย ตอนอุ้มขึ้นมาคงต้องออกแรงเสียหน่อย”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร สั่งให้หวงฝู่อี้เก็บถ้วยชาม แล้วพูดว่า “ข้าสั่งให้คนครัวเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว อีกครู่อาบน้ำก่อนค่อยไปดูลูกๆ ดีหรือไม่”
หนึ่งเดือนเต็มๆ แล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็รู้สึกว่าตนนั้นเหม็นจะแย่ หวงฝู่อี้เซวียน สั่งคนให้ไปยกถังน้ำมาไว้ที่ห้องชำระล้าง เทน้ำร้อนลงไป ใช้มือทาบลงไปดูความร้อนของน้ำ จากนั้นก็โบกมือ “ออกไปได้ หากไม่มีคำสั่งจากข้าก็ห้ามเข้ามาเด็ดขาด”
บ่าวรับใช้ตอบรับ ถอยออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา “เจ้าออกไปเถิด รอข้าอาบเสร็จแล้วเราไปดูลูกกัน”
“ให้ข้าช่วยหรือไม่” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยสีหน้าปกติ
“ไม่ต้องหรอก ข้าทำเองได้” เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนกลืนน้ำลาย เตือนนางว่า “เจ้าไม่ได้อาบน้ำมาเดือนนึงแล้ว”
ความหมายก็คือตัวนางสกปรก ควรมีคนขัดถูหลังให้นาง หน้าที่ขัดหลังแต่ก่อนเป็นหน้าที่ของชิงหลวนและจูหลี แต่บัดนี้ทั้งสองไม่อยู่ ตนก็ไม่ได้อาบน้ำมาเดือนหนึ่งแล้ว หากไม่มีคนมาช่วย นางคงจะอาบได้ไม่สะอาดจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้คิดมาก “อย่างนั้นเจ้าอย่าไปไหนไกล อีกครู่ข้าจะเรียก”
หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มได้ใจออกมา จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
ในที่สุดก็ได้อาบน้ำอย่างสบายอารมณ์เสียที เมิ่งเชี่ยนโยวปิดตาลง นั่งลงบนถังน้ำใหญ่ มีความสุขเหลือเกิน อย่าว่าแต่ชาติที่แล้วเลย ขนาดย้อนเวลากลับมาชาตินี้ แม้ว่าที่บ้านจะยากจนเพียงใด แต่นางก็ไม่เคยไม่ได้อาบน้ำนานถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่เพราะหวงฝู่อี้เซวียนนั่งเฝ้าอยู่ทุกคืนวัน นางคงแอบมาอาบน้ำตั้งนานเสียแล้ว ไม่สนว่าจะป่วยหรืออะไรก็ตาม ขอสบายกายก่อนค่อยว่ากัน
ฟังเสียงน้ำกระเซ็นในห้องน้ำ มือของหวงฝู่อี้เซวียนก็เริ่มเกร็งขึ้นมา ขณะที่เสียงเรียกของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นนั้น เขาก็ได้เดินก้าวเท้ายาวเข้าไปแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจที่เขามาได้เร็วเหลือเกิน แต่ก็คิดได้ว่า คงเพราะเขายืนอยู่หน้าประตูมาตลอด เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมยื่นผ้าขนหนูให้เขา จากนั้นก็หันหลังให้เขาขัดหลังให้ตน
หวงฝู่อี้เซวียนรับผ้าขนหนูมา จากนั้นก็ขัดหลังให้นางอย่างชำนาญ เมิ่งเชี่ยนโยวปิดตาลง เสพความสุขจากการอาบน้ำ จากนั้นก็รู้สึกถึงความแปลกไป เนื่องจากมือของหวงฝู่อี้เซวียนขยับไปมาอย่างซุกซน จึงได้ลืมตาขึ้น ร้องดังว่า “อี้…” คำต่อมา ถูกริมฝีปากของหวงฝู่อี้เซวียนที่ประทับลงมากลืนหายไปแล้ว
ตอนที่ 358 ยินดีปรีดา
อดทนมานานหลายเดือน ตั้งตารอจนวันนี้ มีหรือหวงฝู่อี้เซวียนจะปล่อยนางไปโดยง่าย
วันนี้ทั้งวัน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ออกไปไหน เมิ่งซื่อและพระชายาเป็นกังวลใจ จึงได้มาหาด้วยตัวเอง ถูกโจวอันดักไว้ด้านนอก “ซื่อจื่อเฟยกำลังพักผ่อนขอรับ ซื่อจื่อไม่อนุญาตให้ใครรบกวนขอรับ”
ทั้งสองผงะไป ไม่ได้คิดไปไกลอื่น ตอนที่โยวเอ๋อร์คลอดลูกทรมานไม่น้อย ร่างกายอ่อนแอกว่าคนอื่น พักผ่อนอีกสักสองสามวันก็คงไม่เป็นไร จากนั้นก็หันหลังกลับมายังเรือนของพระชายาด้วยกัน
เมื่อถึงอีกวัน ก็ยังคงไม่ออกจากเรือน
แต่ไม่มีใครมาถามไถ่อีกแล้ว
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับร้อนใจ ฝืนดึงผ้าห่มที่คลุมร่างตัวเองออก ไม่ให้หวงฝู่อี้เซวียนได้ใจ “ไม่ได้เห็นหน้าลูกหลายวันแล้ว ข้าคิดถึงพวกนาง”
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยความเคือง พูดว่า “เจ้าเคยบอกแล้ว ว่าจากนี้จะอยู่กับข้าเท่านั้น จะไม่อยู่กับพวกนาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป นางพูดเช่นนี้จริงตอนฟื้นขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่า…คิดถึงตรงนี้ นางตกใจมาก หวงฝู่อี้เซวียนอาศัยช่วงที่นางเผลอ ทำตามใจอีกครั้ง
รวมแล้วสามวันเต็ม ที่ไม่ได้ออกจากเรือน เมิ่งซื่อร้อนใจแล้ว ตามประเพณี หลังจากอยู่ไฟเสร็จแล้ว ลูกต้องกลับบ้านแม่ไปอยู่ไฟต่อ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ยอมออกจากเรือน แต่นางก็จนปัญญาจะพูดกับนาง
ที่จริงแล้วหากเป็นสถานการณ์ดังหลายวันก่อน เมิ่งซื่อเองก็ไม่ร้อนใจที่จะพาเมิ่งเชี่ยนโยวและลูกๆ กลับบ้าน ในจวนอ๋องมีคนมาก ดูแลเป็นอย่างดี นางเองก็อยู่ที่นี่จนชินเสียแล้ว นางยินดีที่จะมาอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ราวกับว่าท่านอ๋องฉีเป็นบ้าไปแล้ว วันทั้งวันเอาแต่เฝ้าอยู่ในห้องเด็กอ่อน กระทั่งตอนเด็กๆ หลับเขาก็ยังเฝ้าอยู่ข้างๆ พระชายายังดี สามารถไปมาหาสู่ได้ แต่นางทำเช่นนั้นไม่ได้ มองเห็นเด็กๆ อยู่ตรงหน้าแท้ แต่อุ้มไม่ได้ นางร้อนใจเหลือเกิน หลังจากที่ทนมาแล้วสามวันแล้ว ในที่สุด นางทนต่อไปไม่ไหวเสียแล้ว อาศัยช่วงที่พระชายาไปแย่งอุ้มเด็กกับอ๋องฉีนั้น รีบเดินไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ถามโจวอันว่า “โยวเอ๋อร์ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
โจวอันไม่รู้จะตอบเช่นไร ขณะที่กำลังกระวนกระวายนั้น เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังออกมาจากด้านในว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
สามวันแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว จึงได้ปล่อยนางออกมา ยอมให้นางเรียกเมิ่งซื่อเข้ามาในเรือน
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงนอนหมดแรงอยู่บนเตียง เมิ่งซื่อตกใจ ถามว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ายังไม่สบายที่ใดอีกหรือ ให้แม่เรียกหมอหลวงมาหรือไม่”
ถูกรังแกมาหลายวันเช่นนี้ ไม่สบายไปทั้งตัว เมิ่งเชี่ยนโยวบ่นในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา ยิ้มพร้อมพูดว่า “ร่างกายข้ามิเป็นไรแล้วเจ้าค่ะ แต่อี้เซวียนเป็นกังวล จึงได้ให้ข้าพักผ่อนอีกสองสามวัน”
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เมิ่งซื่อวางใจลง ถามอย่างรีบร้อนว่า “พวกเราจะกลับบ้านแม่ไปอยู่ไฟเมื่อไรกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป แต่ก็นึกถึงธรรมเนียมนี้ขึ้นมาได้ จึงพูดว่า “ท่านแม่อยากกลับเมื่อใดก็เมื่อนั้นเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อดีใจมาก “ดีเลย วันนี้ดึกแล้ว วันพรุ่งรอแดดร่มลมตกแล้วแม่จะให้พี่รองของเจ้าเอารถม้ามารับพวกเจ้ากลับบ้าน เจ้าเตรียมของใช้เอาไว้ให้พร้อม กลับไปอยู่บ้านสักพัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับปาก
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด
วันพรุ่งเด็กทั้งสองก็เป็นของนางผู้เดียวแล้ว เมิ่งซื่อดีใจเสียจนยิ้มไม่หุบ เดินจากไปด้วยความยินดี
ในที่สุด ตกดึกก็สามารถนอนได้อย่างสงบเสียที เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับสบายจนถึงฟ้าสาง หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว ก็เก็บของที่จะนำไปด้วย และมายังเรือนของพระชายาพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน มาพบกับลูกสาวของตน
เห็นนางปลอดภัยดี พระชายาวางใจไปไม่น้อย พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่างไรเสียเจ้าก็เจ็บตัวไม่น้อย จะต้องพักผ่อนดูแลตัวเองอย่างดี เรื่องเด็กๆ เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย แม่รับรองว่าจะดูแลเป็นอย่างดี”
เด็กทั้งสองนอนหลับสนิทอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากปลุกพวกนาง จึงยืนมองนิ่งๆ อยู่ข้างเตียง ยิ้มพร้อมพูดว่า “เสด็จแม่ เดือนนี้ท่านดูแลเด็กๆ คงจะเหนื่อยแย่แล้ว วันนี้พี่รองของข้าจะมารับข้าและท่านแม่กลับบ้านไปพักสักช่วงหนึ่ง ท่านเองก็จะได้พักผ่อนด้วยนะเจ้าคะ”
“แม่ไม่เหนื่อยหรอก แม่ไม่เหนื่อย เด็กสองคนนี้…” พระชายาพูดถึงตรงนี้ จึงได้นึกขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอะไรออกมา นางเบิกตาโต พูดเสียงดังว่า “เจ้าจะพาลูกๆ กลับบ้านแม่เจ้าหรือ”
อ๋องฉีที่นั่งเงียบอยู่อีกฝั่งขมวดคิ้วลง หันมามอง พูดอย่างไม่พอใจว่า “เสียงเบาหน่อย เดี๋ยวเด็กๆ ตกใจ”
พระชายารู้ตัวว่าตนเสียงดังกว่าปกติ แต่นางอดไม่ได้ จึงจูงมือเมิ่งเชี่ยนโยวไปด้านนอก ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงจะต้องกลับบ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา “เสด็จแม่ นี่เป็นธรรมเนียมนะเจ้าคะ ลูกสาวทุกบ้านต่างก็ต้องทำเช่นนี้เจ้าค่ะ”
พระชายานึกขึ้นได้ทันที เมื่อก่อนตอนตนคลอดลูกเสร็จ แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะหายตัวไป แต่ก็ยังคงถูกรับตัวกลับไปอยู่ที่จวนแม่ทัพ จึงได้หัวเราะออกมา พูดว่า “ดูความจำของแม่สิ ใช่จริงด้วยต้องกลับบ้านแม่ไปพักบ้าง เอาอย่างนี้ ให้อี้เซวียนไปเป็นเพื่อนเจ้า ส่วนเด็กๆ เอาไว้ที่นี่เดี๋ยวแม่ดูแลให้เอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป ไม่พาลูกกลับบ้านไปด้วย นางไม่เคยได้ยินว่าผู้ใดเคยทำเช่นนี้มาก่อน
แต่พระชายากลับไม่สนใจ อย่างไรเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่สามารถให้นมลูกเองได้ ลูกจะอยู่กับนางหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เมื่อพูดจบ ก็ย่างเท้าเดินไปยังห้องเด็กอ่อน เมิ่งเชี่ยนโยวดึงนางไว้ “เสด็จแม่ ข้าว่าอย่างนี้ไม่สมควรนะเจ้าคะ ไม่เอาลูกไปด้วย แล้วข้าจะกลับบ้านได้อย่างไร ที่บ้านข้ามีคนรออยู่นะเจ้าคะ”
พระชายาหยุดฝีเท้าลง รู้สึกได้ว่าประโยคนี้แปลกไป หันมา จ้องเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกนางจ้องจนขนลุก ถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เสด็จแม่ ข้าพูดอะไรผิดหรือเจ้าคะ”
พระชายาพยักหน้า “เจ้าพูดผิดแล้ว ไม่เอาลูกไปก็กลับบ้านได้ อีกอย่าง เจ้าจะอยู่กี่วันก็ตามแต่ใจเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไปอีกครั้ง ฟังน้ำเสียงดูแล้ว พระชายาดูไม่มีท่าทีจะให้นางพาลูกไปจริงๆ
เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไปอีกครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้ยิ้มพร้อมส่ายหน้า เดินมาช่วยพูดอีกแรง “เสด็จแม่ หากโยวเอ๋อร์ไม่พาลูกๆ ไปด้วย คนภายนอกจะมองได้ว่านางคลอดลูกสาว ทำให้ท่านและเสด็จพ่อไม่ชอบใจ จึงถูกไล่ออกจากจวนไปนะขอรับ”
“หากใครกล้าพูดเช่นนี้ แม่จะส่งคนไปฉีกปากมันทิ้งเสีย” อยู่กับเมิ่งซื่อนานเสียแล้ว พระชายาติดคำพูดหยาบคายของชาวบ้านมา บัดนี้นางพูดออกมาได้โดยไม่ลังเล
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนก็ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “เสด็จแม่ คำคนน่ากลัวนัก หากข่าวลือแพร่ไปแล้ว ยากที่จะหยุดรั้งได้ ท่านจะฉีกปากของคนทั้งเมืองหลวงเลยหรือ”
พระชายาอ้าปาก พูดอะไรไม่ออก
น้ำเสียงอ่อนโยนของหวงฝูอี้เซวียนพูดว่า “เสด็จแม่ขอรับ นี่เป็นธรรมเนียม พวกเราต้องทำตาม จะได้ไม่ถูกคนเขานินทาเอาได้และจะได้ไม่หาเรื่องเดือนร้อนให้จวนอ๋อง ท่านวางใจเถิด พวกเรากลับไปอยู่ที่หนานเฉิงไม่นานก็กลับมาแล้วขอรับ”
เมื่อคิดได้ว่ามีผู้คนมากมายคอยจับผิดจวนอ๋องอยู่ พระชายาก็ถอนใจออกมา ไม่ได้พูดอะไร
ท่านอ๋องฉีมองนางเล็กน้อย ในใจพึมพำด้วยความไม่พอใจ ตอนเถียงเขานั้นนางปากเก่งเหลือเกิน เหตุใดเมื่อพูดกับลูกชายแล้วนั้นจึงได้พูดไม่ออกเล่า อย่างนี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่กำลังหลอกล่อนางอยู่
เมื่อไม่พอใจ สีหน้าก็ไม่สู้ดี แต่เขาก็ไม่อาจออกหน้าห้ามปรามได้ ลุกยืนขึ้นด้วยความโกรธ ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ สะบัดแขนเสื้อ จากนั้นก็เดินจากไป
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจดี จึงได้แต่แอบยิ้มอยู่ผู้เดียว
เมิ่งฉีควบรถม้ามายังหน้าประตูจวนพร้อมด้วยเมิ่งซื่ออย่างตรงเวลา
แม่นมสองคนอุ้มเด็กๆ เดินเข้ามา พระชายาอยู่ด้านหลังอย่างอาลัยอาวรณ์ เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเองก็เดินตามมาด้านหลัง เดินมายังหน้าประตู
ท่านอ๋องสีหน้าหม่นหมอง ยืนมองจากที่ไกลๆ อย่างไม่พอใจ แผ่เอาบรรยากาศแบบไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ไปโดยรอบ ทำให้คนในจวนกลัวจนต้องหลบหนีห่างเขา เดินอ้อมไปอีกด้าน
แต่เมิ่งซื่อกลับดีใจเสียแทบแย่ ไม่ได้สนใจกระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยว นางเดินตรงไปเปิดผ้าม่านรถ จากนั้นก็ให้แม่นมทั้งสองขึ้นรถเสียก่อน จากนั้นจึงได้พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “รถม้านี้คับแคบ ไม่พอพวกเจ้านั่งหรอก พวกเจ้านั่งรถม้าของจวนไปเถิด”
ขณะที่มองดูรถม้าที่เหลือที่พอให้คนนั่งได้อีกสิบชีวิต เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ว่านางกำลังถูกทิ้งแล้ว หากมิใช่เพราะตนเป็นแม่ของเด็กๆ น่ากลัวว่าประโยคครู่นี้เมิ่งซื่อก็คงคร้านจะพูดกับนาง และคงให้เมิ่งฉีควบรถม้าออกไปเลย
หลังจากที่ทำความเคารพพระชายาเรียบร้อยแล้ว เมิ่งฉีก็ควบรถม้ากลับไป
พระชายายืนอยู่ที่หน้าประตู ราวกับว่าดวงใจถูกขโมยไปชิ้นหนึ่งอย่างนั้น เจ็บปวดเหลือเกิน อดไม่ได้ที่จะวิ่งไปแย่งเด็กๆ กลับมา
ในรถม้า เด็กๆ นอนหลับสบาย เมิ่งซื่อมองคนนั้นที คนนี้ที มีความสุขเหลือเกิน
รถม้าที่เมิ่งฉีควบค่อนข้างช้า ช้าเสียยิ่งกว่าคนเดินถนน เพราะว่าแม่ที่ทะนุถนอมพวกเขาแต่เล็กกำลังข่มขู่เขาอยู่ว่า “หากเจ้ากล้าควบม้าเร็ว กระทบถึงเด็กสองคนนี้ล่ะก็ กลับไปข้าจะไล่เจ้าออกจากบ้าน”
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ตนถูกไล่ออกจากบ้าน กลายเป็นคนไร้บ้าน เมิ่งฉีจึงได้ควบรถม้าอย่างช้าและระวัง จนทำเมิ่งเชี่ยนโยวบนรถม้าที่ตามหลังมาร้อนใจ เปิดม่านออกจะโกนถามว่า “พี่รอง ช้าอยู่ใยกัน หากช้าเช่นนี้ค่ำมืดเราก็ไม่ถึงบ้านหรอกเจ้าค่ะ”
จวนอ๋องห่างจากหนานเฉิงหากควบม้าเร็วก็เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่หากตามความเร็วของเมิ่งฉีแล้วล่ะก็ ฟ้ามืดแล้วก็คงยังกลับไม่ถึงบ้าน
เมิ่งฉีร้อนใจยิ่งกว่านางเสียอีก ไม่เพียงร้อนใจเท่านั้น แต่ยังเหนื่อยมากอีกด้วย รถม้าควบให้เร็วไม่ยาก แต่ควบให้ช้านั้นเหนื่อยทั้งคนและเหนื่อยทั้งม้า
หากเป็นแต่ก่อน เมิ่งซื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ จะต้องให้เมิ่งฉีควบม้าให้เร็วขึ้นเป็นแน่ แต่วันนี้ราวกับนางไม่ได้ยินคำนางอย่างไรอย่างนั้น ไม่สนใจแม้แต่น้อย ยิ้มและมองเด็กๆ เช่นเดิม
เมื่อแม่ของตนไม่พูดอะไร เมิ่งฉีก็ไม่กล้าเพิ่มความเร็ว รถม้ายังคงช้าดังเดิม
คนบนถนนต่างมองมายังรถม้าสองคันนี้อย่างประหลาดใจ ถึงขนาดมีคนชี้นิ้วชี้ไม้มาหา
เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวแล้ว จึงได้สั่งโจวอันว่า “เจ้าไปเปลี่ยนตำแหน่งกับคุณชายรอง”
โจวอันตอบรับ มอบเชือกในมือให้หวงฝู่อี้ จากนั้นจึงวิ่งไปหาเมิ่งฉี “คุณชายขอรับ ให้ข้าควบแทนเถิด”
เมิ่งฉีรีบส่งมอบเชือกให้เขาและสะบัดแขนด้วยความเมื่อยหล้า โล่งใจ ตนไม่ได้ควบรถม้าแล้ว หากวิ่งเร็วไป แม่ก็คงไม่ไล่เขาออกจากบ้านใช่ไหม
เมิ่งซื่อรู้สึกได้ว่าความเร็วของรถม้าเพิ่มขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไป เปิดม่านออก กำลังจะเตรียมเอ็ดตะคอกเมิ่งฉี แต่เมื่อเห็นว่าคนควบม้าเป็นโจวอัน จึงได้กลืนคำพูดลงไป ถลึงตาใส่เมิ่งฉีเล็กน้อย และกลับมานั่งในรถม้าดังเดิม
เมิ่งฉีแทบจะร้องไห้ออกมา นั่นแม่แท้ๆ ของเขาเชียวนะ แล้วสายตาน่ากลัวเมื่อครู่คืออะไรกัน
รถม้าใกล้ถึงหนานเฉิงแล้ว หวังเยียนพาเซิ่งเอ๋อร์มารอที่หน้าบ้าน เมื่อเห็นรถม้าแล่นมาก็ยิ้มต้อนรับ แต่ต้อนรับเมิ่งซื่อและเด็กๆ ไม่ได้สนใจเมิ่งเชี่ยนโยว
“ท่านแม่ แล้วเด็กๆ เล่า เอามาให้ข้าอุ้มที”
“ยังไม่ตื่นเลย ให้แม่นมอุ้มไปก่อนเถิด พวกเรารีบเข้าบ้านกันก่อน แดดแรง เดี๋ยวเด็กจะถูกแดดเผาเอา”
หวังเยียนตอบรับ พาเซิ่งเอ๋อร์และเมิ่งซื่อพร้อมทั้งแม่นมเข้าบ้าน
มองแสงอาทิตย์อ่อนๆ บนหัว และมองกลุ่มคนที่เดินเข้าบ้านไป เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลัง เดินไปหาหวงฝู่อี้เซวียนพร้อมพูดว่า “ครานี้ข้ากลายเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงจริงๆ เสียแล้ว”
ตอนที่ 359 เล่ห์กล
สิ้นคำของนาง หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะออกมา ลูบหัวนาง พร้อมปลอบโยนด้วยรอยยิ้ม “อย่าเสียใจไปเลย ไม่ต้องสนว่าเจ้าจะเป็นลูกแท้ๆ หรือถูกเก็บมาเลี้ยง ตำแหน่งของเจ้าในใจข้าไม่มีวันเปลี่ยนไป”
คำพูดลึกซึ้งกินใจเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการชื่นชมจากเมิ่งเชี่ยนโยว แต่กลับถูกนางกลอกตาใส่ พร้อมทำเสียงคลื่นไส้ “พูดหวานใส่ข้าให้มันน้อยๆ หน่อย ข้ายังไม่รู้อีกหรือว่าในใจเจ้าน่ะคิดอะไรอยู่ ฟังนะ นี่บ้านของข้า หากเจ้ายังกล้าทำกับข้าเช่นนั้น ข้าจะให้พี่รองเอามีดมาไล่ฟันเจ้าออกจากบ้าน”
พูดจบ ก็หันหลังลงม้าไปอย่างคล่องแคล่ว ไปทักทายเมิ่งฉีที่มีอาการเช่นเดียวกัน
รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนแข็งทื่ออยู่บนหน้า คลำจมูกตนเองอย่างเบื่อหน่าย และลงจากม้าตามลงมา
สองคนเดินนำ หนึ่งคนเดินตาม สามชีวิตเดินเข้ามาในบ้าน เดินมายังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน ถามบ่าวรับใช้จึงได้รู้ว่าเมิ่งซื่อพาแม่นมไปยังเรือนของนางแล้ว
ทั้งสามหันหลัง เดินมายังเรือนของเมิ่งซื่อเช่นเดียวกัน ยังไม่ทันเข้ามา ก็ได้ยินเสียงร่าเริงของหวังเยียนว่า “ท่านแม่ เด็กตั้งสองคน ท่านดูแลไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ ให้ข้าย้ายเข้ามาดูแลกับท่านเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งฉี ตบบ่าเขา แสดงออกถึงความเห็นใจแบบเงียบๆ
เมิ่งฉีหน้าขรึมลง
หวงฝู่อี้เซวียนตัวแข็งทื่อ
มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวเท่านั้นที่ยังดูปกติดี พูดด้วยความไม่พอใจว่า “ท่านแม่ อย่างไรข้าก็เป็นลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วเพิ่งกลับบ้าน ท่านจะแสดงท่าทีว่ายินดีหน่อยไม่ได้หรือเจ้าคะ”
เมิ่งซื่อตอบอย่างไม่เกรงใจว่า “แม่เห็นเจ้ามาตั้งหลายปีแล้ว ทำเอาข้าเบื่อหน้าเต็มทน เจ้าไปหาที่ชอบที่ชอบอยู่เถิด อย่ามาขัดขวางแม่ดูแลดวงใจน้อยๆ ของแม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป
เมิ่งฉีรู้สึกถึงความยุติธรรม หลายปีมานี้แม่ลำเอียงไปทางน้องเล็กมากกว่า บัดนี้ตำแหน่งของนางก็ไม่ต่างกับตนเท่าใด
เซิ่งเอ๋อร์วิ่งออกมา เงยใบหน้าไร้เดียงสาพูดว่า “ท่านอา ท่านอา ถึงท่านย่าไม่รักท่านแล้ว แต่เซิ่งเอ๋อร์รักท่านอานะ”
ถือว่าไม่เสียแรงที่รักเจ้าตัวน้อยนี่ เมิ่งเชี่ยนโยวสบายใจขึ้นเล็กน้อย ยิ้มพร้อมลูบหัวเขาเล็กน้อย “ได้สิ จากนี้อาจะอยู่กับเซิ่งเอ๋อร์ไปตลอด”
“อย่างนั้นท่านอายกน้องให้ข้าคนหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ” ถามด้วยเสียงเล็กๆ ไร้เดียงสา
บัดนี้สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวซีดลงจริงๆ
เมิงฉีหัวเราะพร้อมยืดเอวขึ้น ชูนิ้วโป้งให้ลูกชายตัวเอง
เซิ่งเอ๋อร์กะพริบตาใส ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นน่าขันอย่างไร จึงได้ทำเอาเมิ่งฉีหัวเราะได้เช่นนี้
เมิ่งซื่อไม่มองมาทางพวกเขาอีก หวังเยียนเองก็ไม่มีเวลามาสนใจทั้งสามคน หากยังอยู่ต่อไปก็คงน่าเบื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับทันที เดินกลับเรือนของตนด้วยความไม่พอใจเหมือนอย่างเด็กๆ กระโดดขึ้นเตียงเอาผ้าห่มมาคลุมตัวไว้
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าพร้อมยิ้ม เดินมานั่งข้างเตียง วางมือลงบนตัวของนางหวังจะปลอบโยน
คิดไม่ถึงว่า เมิ่งเชี่ยนโยวจะทำท่าราวกับว่าตกใจกลัว ม้วนตัวในผ้าห่มแน่นกว่าเดิม แล้วพลิกตัวไปอีกด้านของเตียงอย่างคล่องตัว ออกห่างจากเขา จากนั้นเงยหน้าขึ้นมา พูดกับเขาอย่างระวังตัวว่า “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนอึ้งไป จากนั้นจึงได้คิดได้ว่านางคงจะถูกตนรังแกจนกลัวไปแล้ว จึงหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างอดไม่ได้ ยื่นมือใหญ่ออกไป จากนั้นก็ดึงคนพร้อมผ้าห่มมาไว้ในอ้อมกอดของตัวเองอย่างง่ายดาย จงใจถามว่า “ข้าอยากทำอะไร ซื่อจื่อเฟยไม่รู้หรือ”
พักไปวันเดียว บัดนี้เอวของเมิ่งเชี่ยนโยวยังปวดอยู่ นางตกใจกลัว ยื่นมือออกมาทุบเขา “หากเจ้าคิดจะทำอะไรบ้าๆ ล่ะก็ ข้าจะหนีออกจากบ้าน”
ถึงจะเป็นคำที่พูดออกมายามกลัว แต่กลับทำให้สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนไป
ความเจ็บปวดครั้งตอนที่นางหายตัวไปแปดเดือนถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ใช้มือข้างหนึ่งปลดเข็มขัดของตนเอง กัดฟันพูดว่า “เห็นทีสามีอย่างข้ายังไม่ได้ทำให้เจ้าพอใจ เจ้าจึงคิดจะหนีออกจากบ้านอีก”
บัดนี้เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้สติกลับมา แต่เมื่อกำลังจะดิ้นรนนั้น ก็ได้ถูกหวงฝู่อี้เซวียนมัดไว้จนไม่สามารถขยับได้แม่แต่น้อย
ราวกับว่าเขาต้องการจะลงโทษนาง รังแกนางครานี้หวงฝู่อี้เซวียนใช้วิธีการต่างๆ บังคับให้นางขอร้อง สาบาน ว่าตนจะอยู่ข้างกายเขาไปตลอด
มีหรือเมิ่งเชี่ยนโยวจะยอมโดยง่าย อย่างน้อยชาติที่แล้วนางก็ได้ชื่อว่าเป็นนักฆ่าดาวเด่น ไม่เคยถูกใครบังคับ จึงกัดฟัน ไม่พูดไม่จา
หวงฝู่อี้เซวียนมีความอดทนสูง เขาค่อยๆ ใช้แรงกับนาง ทำให้ตนเองพอใจไปด้วย พร้อมกับทำโทษนางไปด้วย
“คนเลว!”
“เจ้าบ้า!”
“ออกไปนะ! ”
หลังจากคำด่าเป็นพรวนแล้ว น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ค่อยๆ กลายเป็นคำร้องขอและสาบาน
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงยิ้มมุมปากอย่างน่ากลัว ภายในรอยยิ้มเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แปลว่าหากไม่ได้ดั่งใจจะไม่หยุดพักเด็ดขาด “โยวเอ๋อร์ ข้าเคยพูดแล้วว่าห้ามพูดเรื่องจะทิ้งข้าไปเป็นอันขาด เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เหลือแรงแม้แต่น้อย ขณะที่กำลังปล่อยให้เขาทำตามใจนั้น ก็ใช้แรงทั้งหมดพยักหน้าตกลง พูดด้วยเสียงเบาราวกับเสียงแมลงวันว่า “อี้เซวียน ได้อี้เซวียน ข้าจะจำไว้ ข้าจำได้แล้วจริงๆ จากนี้ข้าไม่กล้าพูดเช่นนี้อีกแล้ว”
“หืม?” น้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับเต็มไปด้วยความอันตรายที่คาดไม่ถึง ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจนใจสั่น รีบแก้ตัวว่า “ข้าจะไม่พูดเช่นนี้อีกเด็ดขาด”
เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว ทั้งร่างกายก็สุขสมใจแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้ปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยวไปแต่โดยดี
เมิ่งเชี่ยนโยวหมดแรงลงบนเตียง ไม่มีแรงแม้แต่จะคิดเรื่องที่ว่าจะไม่ทำให้เขาโกรธอีก ผล็อยหลับไปในทันที
มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ที่กำลังหลับสนิทของนาง หวงฝู่อี้เซวียโน้มลงจูบหน้าผากของนางด้วยความรัก พึมพำเสียงเบาว่า “โยวเอ๋อร์ ชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหน ทุกภพทุกชาติไป ข้าจะผูกติดกับเจ้าไปตลอดกาล”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับสนิทไปแล้ว ไม่ได้ยินคำของเขา แต่ร่างกายกลับมุดเข้ามาในอกเขาโดยสัญชาตญาณ
ค่อยๆ ขยับร่างออก สวมใส่เสื้อผ้า จากนั้นก็ไปนำน้ำอุ่นมาจากครัว เช็ดเนื้อตัวให้นางเรียบร้อยแล้วก็ห่มผ้าให้ ส่วนตัวเองก็หยิบหนังสือการแพทย์มาจากกระเป๋า นั่งลงบนเสื่อนิ่มข้างหน้าต่าง ค่อยๆ เปิดอ่านหนังสืออย่างช้าๆ
ณ จวนอ๋อง
เมื่อเด็กๆ จากไปแล้ว ดวงใจของพระชายาราวกับถูกควักออกไป ถอนหายใจเข้าถอนหายใจออกทั้งวี่ทั้งวัน นั่งไม่เป็นสุข หลิงหลงและสาวใช้อีกคนมองหน้ากัน ไม่รู้จะปลอบใจเช่นไร
ส่วนอ๋องฉีก็กลับไปนั่งนิ่งในห้องหนังสือดังเคย แต่ในหัวกลับคิดถึงแต่รอยยิ้มของเด็กๆ
เสียงถอนหายใจ ดังออกมาจากห้องหนังสือไม่หยุด พ่อบ้านตกใจเหลือเกิน ในใจคิดว่าท่านอ๋องเป็นอะไรไป พบปัญหาใดเข้าแล้วหรือ เสียงถอนหายใจหลายปีมานี้รวมกันยังไม่เท่ากับของวันนี้เลย
บรรยากาศภายในจวนอ๋องเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
แต่เมิ่งซื่อกลับดีใจเสียจนไม่อยากหลับไม่อยากนอน อยากเฝ้าอยู่ข้างกายเด็กๆ ไปตลอด หลายวันมาแล้วที่ท่านอ๋องคอยเฝ้าอยู่ข้างกายเด็กๆ นางไม่มีโอกาสได้อุ้มเด็กๆ เลย บัดนี้โอกาสมาแล้ว เด็กทั้งสองอยู่กับนาง นางอยากจะกอดเมื่อไรก็ย่อมได้ ไม่มีใครมาแย่ง นางดีใจเสียเหลือเกิน
แม่นมทั้งสองแปลกใจมาก เกิดมาเพิ่งเคยเห็นผู้ใดหลงหลานถึงเพียงนี้ คราแรกที่พวกนางถูกเรียกตัวมาเป็นแม่นมในจวนอ๋อง ยังเป็นกังวลอยู่ ว่าหากซื่อจื่อเฟยคลอดลูกสาวออกมาคนในบ้านคงจะไม่ดีใจกัน แต่ไม่กล้าเอาอารมณ์ไปลงที่ซื่อจื่อเฟย จึงมาลงที่พวกนาง หากทำไม่ดีอาจจะสูญเสียชีวิตไปเลยก็ได้ แต่คิดไม่ถึงว่า ไม่เพียงแต่พระชายาจะไม่มีการไม่ยินดี แต่ฝั่งบ้านแม่ของซื่อจื่อเฟยก็ยินดีเสียเหลือเกิน ทำให้ปฏิบัติตัวกับพวกนางดียิ่ง ได้รับการตอบแทนดีเหลือเกิน
เด็กทั้งสองเป็นที่รัก ตำแหน่งของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ถูกลดทอนลง ราวกับว่านางจะมาแย่งเด็กๆ อย่างไรอย่างนั้น เมิ่งซื่อเห็นนางอยู่กับเด็กๆ เมื่อไร ก็จะต้องหาวิธีมากำจัดนางออกไป
“เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนอี้เซวียนไป”
“เจ้าไปเดินเล่นไป”
“แม่อยากกินอาหารที่เจ้าทำ เจ้าทำเยอะๆ หน่อย ให้ทุกคนกินอิ่มหนำสำราญ”
“พี่สะใภ้เจ้าไม่ว่าง เจ้าพาเซิ่งเอ๋อร์ไปเล่นข้างนอกไป”
…….
คำพูดต่างๆ นานาไม่หมดไม่สิ้น มีมาไม่ซ้ำกัน
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้ว่าในใจแม่ของตนมีคนอื่นแล้ว จึงไม่พอใจ ประท้วงว่า “ท่านแม่ นี่เป็นลูกสาวของข้านะ ควรให้ข้าดูแลเองมิใช่หรือเจ้าคะ”
“เจ้าดูแลเป็นหรือ”
“เจ้ารู้หรือว่าต้องดูแลอย่างไร”
“เจ้ารู้หรือว่าตอนลูกร้อง ตอนลูกหัวเราะพวกเขาต้องการอะไร”
คำถามยาวเหยียดโถมเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไป
เมิ่งซื่อโบกมือด้วยความรำคาญ “ไปๆๆ มีอะไรทำก็ไปทำ อย่ามาขวางข้าดูแลเด็กๆ”
ถูกไล่ออกมาอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจ แต่ก็จนปัญญา
แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับดีใจกว่าใคร ไม่สนใจสิ่งอื่นยิ่งกว่าเดิม
พริบตาเดียวสามวันผ่านไปแล้ว เด็กทั้งสองดูโตขึ้นไม่น้อย เวลาตื่นนอนเริ่มนานขึ้นเรื่อยๆ เมิ่งซื่อเองก็ชอบใจยิ่งกว่าเดิม อุ้มไว้ในอกไม่ยอมวาง ทำเอาแม่นมคิดว่าการมีอยู่ของตนนั้นเป็นเพียงการประดับเท่านั้น
เช้าตรู่ของวันที่สี่ หลังจากที่ทุกคนตื่นนอน กำลังเก็บของอยู่ ยังไม่ได้กินอาหารเช้า นายประตูก็วิ่ง ตึก ตึก ตึก มายังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว น้ำเสียงมีความตระหนก รายงานด้วยเสียงหอบเหนื่อยว่า “นายท่าน ท่านอ๋องฉีและพระชายามาขอรับ! ”
มองตากับหวงฝู่อี้เซวียนเล็กน้อย ทั้งสองยืนขึ้นพร้อมกันพร้อมเดินออกไปด้านนอก เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปด้วยกังวลใจไปด้วย “เสด็จพ่อและเสด็จแม่มาเช้าเพียงนี้ มีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพอจะเดาได้บ้างแล้ว จึงได้พ่นออกมาสองคำว่า “เด็กๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป แล้วก็คิดขึ้นมาได้ จากนั้นก็ไม่อยากเชื่อ “เจ้าบอกว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่มาหาเด็กๆ อย่างนั้นหรือ”
หันไปมองนางเล็กน้อย ยื่นมือไปลูบหัวนาง “เจ้าคิดในแง่ดีเกินไปเสียแล้ว ดูทีคงจะมาแย่งเด็กๆ ไปแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินสะดุดทันที เกือบจะล้มลงกับพื้นแล้ว ยังดีที่หวงฝู่อี้เซวียนคว้าไว้ได้ทัน เมื่อยืนมั่งคงแล้ว ก็เบิกตาโต ถามด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “มา มาแย่งเด็กๆ ไป ไม่ ไม่ขนาดนั้นหรอกกระมัง”
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
ทั้งสองยืนอยู่หน้าประตู
ท่านอ๋องฉียืนเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ข้างรถม้าด้วยสีหน้าปกติ แต่พระชายากลับชะเง้อมองดูด้านในด้วยสีหน้าร้อนรน เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้รีบเดินเข้าไปหา คว้าแขนของเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้อยู่ในจวนหลายวัน แม่คิดถึงเจ้า มาเร็ว กลับไปเก็บของ กลับไปพร้อมแม่เถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไป
หวงฝู่อี้เซวียนปิดปากหัวเราะ ในใจแอบยกนิ้วโป้งให้ท่านแม่ของตน รู้ดีว่าหากดื้อรั้นมาแย่งเด็กๆ ไปอาจจะไม่สำเร็จ จึงได้หันมาขอร้องอีกคน บอกว่าคิดถึงโยวเอ๋อร์ เพราะหากแม่ของเด็กๆ จะไปแล้ว เด็กๆ ยังจะอยู่ที่นี่ได้อีกหรือ
เมิ่งเชี่ยนโยวได้สติกลับมา อยากจะทุบหน้าผากตัวเองสักที สติจะได้กลับคืนมาบ้าง ปกติแล้วไม่คิดเลยว่าแม่สามีและแม่ของตนจะเป็นคนมีเล่ห์กลเช่นนี้ เหตุใดเมื่อนางมีลูกแล้วทุกคนกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้ไปได้
ยิ้มและเดินเข้ามา โอบแขนของพระชายาเอาไว้ พูดว่า “เสด็จแม่ อากาศยังเย็นเช่นนี้ ท่านมาตั้งแต่เช้าตรู่จะเป็นหวัดเอานะเจ้าคะ เข้าบ้านดื่มน้ำร้อนให้ร่างกายอบอุ่นก่อนเถิด”
พระชายาไม่ได้ปฏิเสธ เดินตามนางเข้ามาในบ้าน แต่ท่านอ๋องฉีกลับยืนอยู่กับที่
หวงฝู่อี้เซวียนจึงทำได้เพียงอยู่ตรงนั้นกับเขา
เมื่อเมิ่งซื่อได้รับรายงานแล้ว จึงได้ออกมาต้อนรับ เห็นร่างของพระชายาเดินยิ้มมาแต่ไกล “เด็กน้อยทั้งสองเพิ่งจะตื่น ท่านมาดูกับข้าสิ”
พระชายาเร่งฝีเท้า อยากจะบินไปให้ถึงข้างกายเด็กน้อยโดยเร็ว
เมิ่งซื่อยังไม่เข้าใจการมาของพระชายา จึงได้เอาแต่พูดว่าเด็กทั้งสองนั้นน่ารักเพียงใด
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบเบ้ปากอยู่ผู้เดียว เด็กทั้งสองเพิ่งออกจากจวนอ๋องมาได้สามวัน จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างไรกัน แต่แม่ของตนกลับพูดอย่างมีความสุข แม่สามีก็ฟังอย่างมีความสุข ไม่สนใจนาง เดินเข้าไปในห้องกันสองคน
คิดเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินตามเข้าไปด้วย หากเป็นเช่นตอนนี้ แม่ของตนไม่มีทางให้ตนไปเด็ดขาด ส่วนแม่สามีก็คงบังคับให้ได้ อีกครู่หากแย่งชิงกันขึ้นมา คนที่ลำบากก็คือตัวเอง
ในห้องพระชายาได้พบกับหลานๆ ที่นางคิดถึงทุกคืนวัน ยื่นมือออกมาอุ้มเด็กคนหนึ่งทันที จูบไปบนหน้าผากด้วยความยินดี ปากพูดว่าดวงใจน้อยไม่หยุด
เมิ่งซื่ออุ้มอีกคนขึ้นมา เดินขึ้นมาคู่กับนาง ถามด้วยความสุขว่า “ท่านดูสิ เด็กน้อยเริ่มโตกันแล้ว ยิ่งโตยิ่งสวย”
พระชายาพยักหน้า “จริงด้วย โชคดีที่บ้านของชิ่นจยาดูแลแม่ลูกได้อย่างดีเช่นนี้ ลำบากแย่เลย วันนี้ที่เราและท่านอ๋องมาก็เพื่อจะมารับพวกนางกลับไปนี่ล่ะ”
ตอนที่ 360 เหวินซื่อโดนซ้อม
รอยยิ้มบนในหน้าของเมิ่งซื่อหายไป อ้าปากค้างยืนอยู่ที่เดิม
คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะมารับตัวเด็กๆ ไป
พระชายาเข้าใจความรู้สึกของเมิ่งซื่อ เมื่อพูดจบ จึงไม่กล้ามองสีหน้าของนาง แต่กลับก้มหน้าทำเป็นว่ากำลังโอ๋หลาน
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเปิดปากพูด แต่เมิ่งซื่อได้สติกลับมาก่อน “พระ พระชายา พวกนางเพิ่งจะกลับมาอยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้นเอง ตามหลักแล้ว อย่างไรก็ควรจะอยู่ถึงเดือนนะเจ้าคะ”
พระชายาไม่สนธรรมเนียม ใบหน้าเผยความเหนียมอายเล็กน้อย ยิ้มกระอักกระอ่วน “ในจวนอ๋องของเราไม่มีธรรมเนียมเช่นนั้นหรอก วันนี้ให้ข้ารับพวกนางกลับไปด้วยกันเถิด”
เมิ่งซื่ออ้าปากค้าง ราวกับมีเรื่องจะพูด แต่เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของพระชายาแล้ว คำที่อยากจะพูดออกมาก็ถูกกลืนลงไป
อย่างไรก็เป็นแม่ของตนเอง เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะอ้าปากช่วยแม่พูด
แต่ครานี้เมิ่งซื่อกลับตอบรับออกมา “ก็ได้ ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเก็บของให้พวกนางสักหน่อย”
น้ำเสียงหม่นหมองของเมิ่งซื่อทำให้พระชายาอดใจไม่ไหว พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “เจ้าเองก็ไปเก็บของตัวเองด้วยเถิด ไปจวนอ๋องกับข้า มีเด็กสองคนข้าดูแลคนเดียวไม่ไหวหรอก”
เมิ่งซื่อพยักหน้า “ได้ๆๆ ข้าจะรีบไปเก็บของเดี๋ยวนี้ ท่านรอสักครู่” พูดจบ ก็หันหลังกลับเข้าห้องตนไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลังไป โอบไหล่ของนาง พูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ หากท่านไม่เต็มใจ ข้าจะอยู่ที่บ้านต่ออีกสักสองสามวันก็ได้นะเจ้าคะ”
เมิ่งซื่อตบมือของนาง “สุขภาพของเจ้าแม่ก็ยังไม่มั่นใจ ข้ากังวลมาตลอดว่าหากเจ้าคลอดลูกสาวออกมา พระชายาและท่านอ๋องจะไม่ชอบใจเจ้า คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะรักเด็กๆ ถึงเพียงนี้ เช่นนี้แม่ก็วางใจแล้ว อย่างไรเสียแม่ก็ต้องไปจวนอ๋องทุกวัน ขอเพียงได้พบหน้าเจ้าและหลานทุกวันก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบไป ค่อยๆ คลายมือที่โอบคอเมิ่งซื่ออยู่ลง ยืนหลบอยู่อีกด้าน มองดูเมิ่งซื่อเก็บของใช้ของเด็กๆ
เมิ่งซื่อยิ้มพร้อมเดินมาตรงหน้านาง และพูดเสียงเบาว่า “ฝีมือเย็บปักของแม่ดีว่าพระชายาเป็นไหนๆ หากมิใช่เพราะสองคนนี้คลอดออกมาเร็วกว่ากำหนด แม่ก็คงเอาของพวกนี้ออกมาตั้งนานเสียแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ถือเอาไว้ในมือของตน เดินกลับไปยังห้องเด็กอ่อนพร้อมเมิ่งซื่อ
แม่นมได้ทำการห่อเด็กๆ เรียบร้อยแล้ว อุ้มออกมาจากห้องคนละคน พระชายายิ้มตาหยีอยู่ด้านหลัง เดินมาหาเมิ่งซื่อ ยื่นมือออกมา จากนั้นก็เอื้อมขวามือนางมา “ไปกันเถิด”
เมิ่งซื่อตอบรับด้วยความยินดี ทั้งสองเดินตามหลังแม่นมไป
เห็นแม่นมเดินอุ้มเด็กมาแต่ไกล ท่านอ๋องฉีเริ่มตื่นเต้น มือไม้เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ ฝีเท้าเริ่มขยับ
หวงฝู่อี้เซวียนสังเกตเห็นท่าทางทั้งหมด แต่ไม่ได้กล่าวอะไร
รถม้าจากจวนอ๋องมาทั้งหมดสามคัน ทีแรกจะให้พระชายาและท่านอ๋องนั่งด้วยกัน แม่นมอุ้มเด็กๆ นั่งกับเมิ่งซื่ออีกคัน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอีกคัน แต่เมื่อเห็นหน้าเด็กๆ พระชายาก็ลืมท่านอ๋องไป ไปขึ้นนั่งรถม้าพร้อมด้วยแม่นมและเมิ่งซื่อ
ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย หันหลังขึ้นรถม้าด้านหลังตนไป สั่งให้คนรถรีบควบม้ากลับจวน
รถม้าจอดสนิทภายหน้าประตูจวนอ๋อง ทั้งหมดลงจากรถม้าเรียบร้อย อ๋องฉีเดินนำเข้าไปด้านในจวนก่อน พระชายาและเมิ่งซื่อเดินตาม แม่นมทั้งสองเดินตามหลังไป
ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั้น ไม่มีใครสนใจ ทั้งสองส่ายหน้า เดินตามหลังทุกคนเข้าไป
อ๋องฉีนำขบวน เดินนำมายังเรือนพระชายา
ทิ้งหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ที่ทางเดิน คนตัวโตถลึงตาใส่คนตัวเล็ก ครู่ใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้หลุดหัวเราะออกมา ตบบ่าหวงฝู่อี้เซวียน พูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจอย่างยิ่งว่า “เซี่ยงกง ยินดีกับเจ้าด้วย เจ้าเองก็ถูกเสด็จพ่อเสด็จแม่ทิ้งอย่างเป็นทางการแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เพียงแต่ไม่ผิดหวัง แต่ยังกลับยิ้มพร้อมเดินไปด้านหน้านาง พร้อมพูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำที่สุดว่า “ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่มีเจ้าอยู่ข้างกายข้าเป็นพอแล้ว”
คนผีทะเล!
เมิ่งเชี่ยนโยวก่นด่าเขาในใจ คงเป็นเพราะได้ลิ้มลองครั้งหนึ่งแต่ก็ต้องอดใจไปหลายเดือน คงจะอดอยากไม่น้อย หรือบางทีคงเป็นเพราะอยู่ในช่วงอายุที่ร่างกายกำลังมีแรงมากที่สุด หวงฝู่อี้เซวียนจึงอยากจะจับนางกดลงบนเตียงทุกวันและตลอดเวลา ไม่อยากให้นางออกจากบ้านเลยทีเดียว
ท่าทางง้องอนของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงกลายเป็นท่าทางยั่วยวนในสายตาของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่พูดอะไรให้เสียเวลา เขาลากมือของเมิ่งเชี่ยนโยวตรงไปยังเรือนของตนเองทันที กว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะได้สติกลับมา จะดิ้นให้หลุดก็สายไปเสียแล้ว นางถูกหวงฝู่อี้เซวียนกดลงบนเตียงจากนั้นก็เริ่มจัดการนางอีกครั้งก่อนนอนก็ยังถูกป้อนยาไปเม็ดหนึ่ง ในหัวมีภาพอะไรบางอย่างปรากฎขึ้นมา
สำหรับเรื่องของสองคนนี้แล้ว ท่านอ๋อง พระชายา และเมิ่งซื่อไม่มีใครว่างพอจะมาสนใจ เมื่อวางเด็กทั้งสองดีแล้ว อ๋องฉีก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปนั่งข้างเตียงน้อยๆ ยื่นมือออกมา ลูบไล้ใบหน้าเนียนละเอียดของเด็กน้อย รอยยิ้มในสายตาของเขาแม้แต่คนตัวน้อยก็ยังรู้สึกได้ จึงได้ส่งเสียงร้องอ้อแอ้ออกมา
อ๋องฉีราวกับทุกไฟดูดอย่างไรอย่างนั้น ตื่นเต้นเสียจนสั่นไปทั้งตัว
พระชายาเองก็แปลกใจ เบิกตาโตเดินมาตรงหน้าเด็กทั้งสอง ยิ้มพร้อมพูดว่า “เร็วเข้า พูดอีกทีสิ พูดให้ย่าฟังหน่อย”
ราวกับว่าคนตัวน้อยฟังคำของนางออก จึงส่งเสียงร้องอ้อแอ้ออกมาอีกครั้ง พระชายาจึงได้โอบกอดไล่ของอ๋องฉีไว้ด้วยความตื่นเต้น “ท่านอ๋อง เห็นหรือไม่ พวกนางฟังคำของข้าออก”
แม่นมทั้งสองงงเป็นไก่ตาแตก พระชายาเป็นถึงลูกสาวท่านแม่ทัพคนก่อนมิใช่หรือ ตามหลักแล้วไม่ควรจะไม่ฉลาดเพียงนี้ เด็กอายุเดือนกว่า จะฟังคำของผู้ใหญ่ออกได้อย่างไร นอกเสียจากว่าตอนนี้อารมณ์ดี จึงได้ส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างตั้งใจเท่านั้นเอง จะต้องดีใจถึงเพียงนี้เลยหรือ หรือว่านางไม่เคยมีลูกมาก่อน ไม่รู้หรือว่านี้เป็นเรื่องธรรมดาแสนธรรมดา พวกนางคิดไม่ถึงว่า ตอนนั้นหลังจากที่พระชายาคลอดลูกออกมาแล้ว ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้ากัน ลูกก็หายไปเสียแล้ว นางจึงไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนเห็นลูกเติบโตได้อย่างไรกัน
สิ่งที่ทำให้แม่นมทั้งสองตกใจจนลูกตาแทบจะหลุดออกมานั้นคือ ท่านอ๋องกลับเห็นดีเห็นงามด้วย ซ้ำยังเลียนแบบท่าทางของพระชายาเดินมาตรงหน้าของเด็กน้อยด้วยความตื่นเต้นอีกด้วย “เร็ว พูดอีกเร็ว พูดให้ปู่ฟังหน่อย”
สิ่งที่ตอบกลับพวกเขาคือฟองน้ำลายที่พ่นออกมาจากปากของเด็กน้อย
ท่านอ๋องและพระชายายิ่งแปลกใจไปใหญ่
เมิ่งซื่อเห็นแล้วยิ่งปวดใจ ไม่ว่าแต่ก่อนจะยากจนเพียงใด แต่ลูกๆ ของตนนั้นอย่างน้อยก็ได้เติบโตข้างกายตน ภาพพวกเขาแต่เล็กจนโต นางจำได้ชัดเจน ไม่เหมือนท่านอ๋องและพระชายา พลาดสิบปีแรกของชีวิตหวงฝู่อี้เซวียนไป คิดถึงตรงนี้ ความคิดที่อยากจะแย่งเด็กมาจากสองคนนี้ก็น้อยลงไปทันที เดินกลับห้องพระชายาไปเงียบๆ นั่งลงบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่าง หยิบเสื้อตัวน้อยที่นางถักได้ครึ่งหนึ่งออกมาจากนั้นก็ค่อยๆ ถักต่ออย่างประณีต
หลายวันมานี้ เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนกลายเป็นคนที่ว่างที่สุด นอกจากไปเยี่ยมลูกสาวของตัวเองที่เรือนพระชายาบ้าง เพื่อให้พวกนางไม่ลืมตนเอง สิ่งที่พวกเขาทำก็คือจัดการเรื่องต่างๆ ในจวน
ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรต้องจัดการมากนัก บ่าวรับใช้ต่างก็ทำหน้าที่กันอย่างดีแล้ว หลินหันเยียนเองก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรต่อหน้าพวกเขา หวงฝู่อวี้ก็ได้จัดการกิจการนอกจวนได้อย่างดี ทุกอย่างดำเนินการได้ตามปกติ
วันนี้ หวงฝู่อี้เซวียนที่ว่างมาหลายเดือนถูกหวงฝู่ซวิ่นเรียกตัวไปตงกง เพื่อไปเจรจาธุระบางอย่าง เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ว่างๆ หลังจากมาเยี่ยมลูกน้อยแล้ว ก็กลับห้องตนไป นั่งอยู่บนเสื่อนิ่ม อาบแดดอ่อนๆ นอนปิดตาลงอย่างสบายใจ ปล่อยวางเรื่องในสมอง
จากนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้นมาทันที กัดฟันพูดว่า “รอดูข้าก่อนเถิด”
พูดจบ ก็ยืนขึ้นทันที เดินก้าวเท้ายาวออกไปด้านนอก
โจวอันติดตามหวงฝู่อี้เซวียนไปยังตงกง เหลือเพียงหวงฝู่อี้คอยอยู่รับใช้ เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมา กำลังจะเปิดปากถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “เตรียมม้า ไปกับข้าที”
คำที่หวงฝู่อี้กำลังจะถามก็ถูกกลืนลงไป เดินเร็วไปยังหลังจวน เตรียมรถม้าออกมารอที่หน้าประตู
เมิ่งเชี่ยนโยวรออยู่แล้ว ขึ้นรถม้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี สั่งว่า “ไปร้านยาเต๋อเหริน”
หวงฝู่อี้ไม่กล้ารีรอ ยกแซ่ขึ้นหวดม้า จากนั้นก็ควบม้าตรงไปยังร้านยาเต๋อเหริน
ไม่รอให้รถม้าจอดสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดลงมาก่อน เดินก้าวเท้ายาวเข้าไปด้านในร้าน ไม่มีแม้แต่คำทักทายให้หมอและคนงาน เดินตรงไปยังชั้นสองทันที ยกขาถีบประตูออก
เหวินซื่อกำลังดูสมุดบัญชีอยู่ เสียงดังของประตูทำให้เขาตกใจ จึงเงยหน้าขึ้น กำลังจะอ้าปากด่า แต่เมื่อเห็นชัดว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็ยืนขึ้น ถามด้วยความสงสัยว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงโมโหข้าถึงเพียงนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหาเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา แต่กลับหยิบสมุดบัญชีฟาดลงไปกลางหัวของเขา
เหวินซื่อไม่ได้ป้องกันตัว เมื่อถูกทำร้าย จึงได้ถอยหลังไปเล็กน้อย ในปากก่นด่าว่า “เจ้าเด็กบ้านี่ เป็นบ้าอะไรกัน มาถึงก็มาทำร้ายข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดจา เดินตามเขามาติดๆ และทำร้ายเขาจากด้านหลัง
เหวินซื่อไม่กล้าเอาคืน ทำได้เพียงถอยห่าง กระทั่งไม่มีทางถอยแล้ว จึงได้อ้อมโต๊ะไป แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะข่มขู่ว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้ อย่ามาทำร้ายกันเช่นนี้ ข้าเองก็โกรธเป็น หากทำข้าไม่พอใจแล้วล่ะก็ ข้าจะตีเจ้าคืนบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน โยนสมุดบัญชีในมือมาใส่เขา เหวินซื่อเอนตัวหลบ
จากนั้นก็อีกเล่ม เขาหลบอีกครั้ง
ชั้นล่างได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านบนพร้อมด้วยเสียงข่มขู่จากเหวินซื่อ ต่างก็ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ไปทำอะไรมา ทำให้ซื่อจื่อเฟยโกรธเข้า จึงได้ถูกสั่งสอนเช่นนี้
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย เหวินซื่อเองก็ยังไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจ อยากจะถาม แต่กลับไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย กระทั่งสมุดบัญชีเล่มหนาบนโต๊ะถูกโยนมาจนหมดแล้ว เหวินซื่อจึงได้โล่งใจ หยุดอยู่กับที่ “เจ้านี่มัน…”
แท่นบดหมึกอันหนึ่งลอยเข้ามา น้ำหมึกด้านในกระเซ็นออกมาด้วย
เหวินซื่อตกใจมาก รีบหาที่หลบ เนื่องจากท่าทางคล่องแคล่วจึงรอดพ้นจากแท่นบดไปได้ แต่ว่าน้ำหมึกหกราดเขาไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เมิ่งเชี่ยนโยว!” เสียงตะคอก ทำเอาคนงานชั้นล่างกลัวจนตัวสั่น เสียงดังมากเสียจนคนตามท้องถนนต้องหยุดฝีเท้าลงอย่างลืมตัว ดังเสียจนหวงฝู่อี้เกือบจะทิ้งเชือกในมือลงเสียแล้ว
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยืนแน่นิ่ง ขอเพียงบนบโต๊ะยังมีของให้ปาใส่เขาได้ หากไม่ใช่เพราะคนไร้น้ำยานี่ทำยาให้หวงฝู่อี้เซวียน เขาจะมารังแกตนได้ตลอดเวลาเช่นนี้หรือ หากไม่อัดเขาให้หลาบจำ ไฟโกรธในใจนางก็ยากจะหายไป
เหวินซื่อหลบไปด้านขวา ไม่มีท่าทางเกรงกลัวสักนิด กระทั่งของบนโต๊ะถูกโยนมาจนหมดแล้ว จึงได้หยุดพร้อมหายใจหอบ ไม่มีแม้แต่แรงจะตะโกนว่านาง กลายเป็นคำขอร้องแทน “นี่ มีเรื่องอะไรพูดกันดีๆ สิ เราไม่ลงไม้ลงมือกันแล้วดีหรือไม่” คำที่เหลือเขาไม่ได้พูดออกมา อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงเถ้าแก่ของร้านยาเต๋อเหริน มีคนมากมายมาประจบเอาใจ จะเห็นแก่หน้าเขาบ้างมิได้หรือ
สิ้นคำเขา ก็ต้องเบิกตาโต มองเมิ่งเชี่ยนโยวยกเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะบัญชีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นก็ถอยหลัง พลางโบกมือ “นี่เจ้า อย่า อย่า อย่านะ…”
เก้าอี้ลอยมาแล้ว หล่นลงตรงหน้าห่างจากเหวินซื่อไปเพียงคืบเดียว เก้าอี้หักพัง เศษไม้กระเด็นไปไกล
เหวินซื่อตกใจจนต้องถอยออกไปนอกประตู เกือบต้องวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เมื่อคิดได้ว่าทำเช่นนี้จะถูกลูกน้องหัวเราะเยาะเอาได้ จึงได้กัดฟันไม่ปล่อยให้ตนทำเรื่องน่าอายเช่นนั้นลงไป
หลังจากระบายไปยกใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า นั่งลงบนเก้าอี้ สั่งว่า “ข้ากระหายน้ำแล้ว”
อาละวาดเสร็จก็บอกว่าตนหิวน้ำ ซ้ำยังให้ตนไปยกน้ำชามาให้ เหวินซื่ออยากจะมีความกล้าตอบกลับไปว่า ไม่มีแรงจะปรนนิบัติเจ้าแล้ว แต่น่าเสียดาย ที่เขาไม่กล้า นิสัยเมิ่งเชี่ยนโยวเขารู้ดี จึงได้แต่ถามเสียงเบาว่า “ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำชาเล่า”
“น้ำชา”
เหวินซื่ออยากจะสั่งคนให้ทำ แต่เมื่อคิดได้ว่าตนนั้นเปื้อนหมึกทั้งตัว จึงได้ถอนหายใจ “เจ้ารอข้าประเดี๋ยว ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกครู่ข้าจะลงไปเอาน้ำชามาให้”
“เร็วเข้า ข้ากระหายจะแย่แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งอย่างไม่เกรงใจ
เหวินซื่อรู้สึกเสียดายที่ตนได้รู้จักกับคนไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้นางโกรธ ตอบรับด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี จากนั้นก็เดินลงไป
หมอและคนงานและคนไข้ที่โถงชั้นหนึ่งต่างมองมาทางเขา มองอย่างตาไม่กะพริบ เห็นว่าเหวินซื่อเดินลงมาด้วยหมึกเต็มตัว ในหัวก็จินตนาการภาพไปด้วย
ไม่กล้าระบายอารมณ์กับเมิ่งเชี่ยนโยว แต่สำหรับคนพวกนี้แล้วเหวินซื่อไม่เกรงใจ จึงมองกลับไปด้วยสายตาเย็นชา ทุกคนจึงก้มหน้าลงด้วยความกลัว
ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ จากนั้นก็สั่งว่า “ไปรินน้ำชามา” จากนั้นก็เดินไปยังห้องพักชั่วคราวด้านหลังเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คนงานก็เตรียมน้ำชาเสร็จแล้ว ยืนรอเหวินซื่ออยู่ด้านหน้าประตูรอเขาออกมา เมื่อรับชามาแล้ว ก็ถือขึ้นไปชั้นบน วางไว้ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เปิดฝาน้ำชา เป่าใบน้ำเบาๆ เล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ยกขึ้นดื่ม
หลังจากชาในแก้วหมดแล้ว เหวินซื่อก็รีบเทให้เต็มเช่นเดิม สังเกตสีหน้านาง ‘ไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อครู่แล้ว’
เมื่อลองเปิดปากถาม “ข้าทำอะไรผิดหรือ จึงทำให้เจ้าโกรธมากเพียงนี้”
ตอนที่ 361 ฉลองวันเกิดครบร้อยวัน
นางชำเลืองมองเขาเล็กน้อย แววตาของเมิ่งเชี่ยนโยวมีประกายความน่ากลัวอีกครั้ง เหวินซื่อกลัวจนตัวสั่น “ก็ได้ๆ ข้าไม่ถามแล้ว เจ้าดื่มน้ำชาเสียก่อน เดี๋ยวข้าขอเก็บกวาดเสียหน่อย”
บนพื้นเต็มไปด้วยสมุดบัญชี กว่าจะเก็บกวาดให้เป็นเช่นเดิม เหวินซื่อก็หมดแรงไปไม่น้อย เหลือเพียงแต่เศษไม้และคราบหมึกที่กระเซ็นลงพื้น พวกนี้อย่างไรก็ต้องเรียกให้บ่าวรับใช้มาเก็บกวาด
ทั้งหมดกลับมาเป็นปกติแล้ว บ่าวรับใช้ก็ยกเก้าอี้ที่ยังใช้งานได้เข้ามาให้ เหวินซื่อนั่งลงด้านหลังโต๊ะทำงานอย่างสงบเสงี่ยม ไม่พูดไม่จา
หลังจากระบายอารมณ์ ดื่มน้ำชาไปหลายแก้ว ไฟในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวได้มลายหายไปแล้ว นางยืนขึ้นเดินออกไปด้านนอก ก่อนจะออกพ้นประตูไป นางหันกลับมาพูดว่า “ต่อไปหากอี้เซวียนมาขอของเช่นนั้นจากเจ้าอีก ให้รีบบอกข้าทันที”
พูดจบ ก็หันหลังเดินจากไปทันที
เหวินซื่อไม่ขยับ ขมวดคิ้วหวนนึก หวงฝู่อี้เซวียนมาเอาอะไรไปจากเขากันหรือ คิดอยู่นานก็คิดไม่ออก อึดอัดอยู่ในใจ กำลังจะหยิบสมุดบัญชีมาเปิดดู ความทรงจำหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว จึงได้ผุดยืนขึ้นทันที ด่าเสียงดังว่า “แม่เจ้า พวกเจ้าสองคนผัวเมียนี่ร้ายกับข้าเสียจริง”
คนหนึ่งมาขอยาคุมกำเนิด เอาสูตรยามาล่อลวงเขา ส่วนอีกคนมาถึงไม่พูดไม่จา อาละวาดใส่เขาทันที ก่อนออกไปยังทิ้งคำเอาไว้ เขาคิดอยู่นานทีเดียว แค่ด่าพวกเขายังน้อยไปเสียอีก น่าจะไปอัดพวกเขาถึงที่จวนจึงจะสาสมใจ
ความคิดนี้ดี แต่น่าเสียดาย เขาไม่กล้าทำเช่นนั้น แต่ว่า ในหัวของเหวินซื่อมีความคิดชั่วร้ายอันหนึ่งปรากฎขึ้นมา เจ้าไม่ให้ข้าให้ใช่ไหม ได้ ข้าจะให้ ให้ไปทีละมากๆ ด้วย ทางที่ดีให้เจ้าลงจากเตียงไม่ได้ ออกจากบ้านไม่ได้เลยทีเดียว
หากเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ความคิดของเขา คงจะต้องหันกลับมาอัดเขาจนน่วมอีกเป็นแน่
วันเวลาอันแสนสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงวันครบรอบร้อยวันของเด็กๆ แล้ว
เด็กในจวนอ๋องอายุครบร้อยวัน นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่
เหล่าบรรดาเจ้าขุนมูลนายทั้งหลายในเมืองหลวง ต่างก็ยืดคอยาว จับตามองดูความเคลื่อนไหวของจวนอ๋อง รอดูว่าอ๋องฉีผู้เก็บตัวจะจัดงานวันเกิดครบร้อยวันหรือไม่ หากว่ามี พวกเขาก็จะได้มีโอกาสมาประจบท่านอ๋องอีก
ตั้งหน้าตั้งตารอคอย คอยแล้วคอยเล่า กระทั่งก่อนวันงานสามวัน จึงได้เห็นประตูจวนอ๋องเปิดออก บ่าวรับใช้ในจวนพรูออกมา ทำความสะอาดถนนหนทางด้านหน้าจวน สิงโตหน้าประตูถูกขัดถูเสียจนเงาจนส่องแทนกระจกได้ บนประตูแขวนโคมไฟสีแดงอันใหญ่เอาไว้ สร้างบรรยากาศรื่นเริงดีนัก
เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการเตรียมการเพื่องานครบรอบร้อยวัน ผู้คนต่างวุ่นวายขึ้นทันที ค้นตู้ รื้อเตียง ไปหาของในห้องเก็บสมบัติ ก็เพื่อจะหาของขวัญที่เหมาะสมให้กับคุณหนูตัวน้อยแห่งจวนอ๋อง
ร้านทอง ร้านเครื่องประดับในเมืองต่างเต็มไปด้วยผู้คนจนละลานตา สั่งทำสร้อยข้อมือ สร้อยข้อเท้า สร้อยคอรูปแบบต่างๆ
คนในจวนอ๋องเองก็มีความสุขกันมาก ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือบ่าวรับใช้ ต่างก็ยุ่งกับการจัดงานกันไปหมดไม่ได้หยุดพัก แม้กระทั่งอ๋องฉีเองก็ยุ่งกับเขาเช่นกัน ยุ่งอยู่กับการเรียนวิธีการอุ้มเด็กๆ ภายใต้การอบรมของพระชายา ครั้งแรก ตอนที่เด็กน้อยที่ทั้งตัวเล็กและนุ่มนิ่มมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา อ๋องฉีตกใจจนไม่กล้าขยับตัว กลัวว่าตนจะทำให้พวกนางเจ็บตัว
ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม…หลังจากพระชายาได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว อ๋องฉีไม่ตื่นเต้นแล้ว อุ้มเด็กน้อยได้ถูกวิธี ซ้ำยังสามารถอุ้มเด็กเดินไปเดินมาในห้องได้อีกด้วย ทุกคนจึงได้วางใจลง มองดูท่านอ๋องอุ้มเด็กน้อยยังดูไม่คุ้นตาเสียยิ่งกว่าเห็นเขาถือมีดไปไล่ฟันคนเสียอีก
หวงฝู่อวี้ผู้นี้ยิ่งดีใจกว่าใคร เสด็จพ่อและเสด็จแม่กำลังยุ่งอยู่กับการแย่งชิงเด็กๆ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ยุ่งอยู่กับการโอ้อวดความรักกัน มีเพียงเขาที่เป็นคนจัดงานร้อยวันได้ดีที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เพียงใด ต่างต้องมาลงที่เขา ทำให้เมื่อเขากลับเรือนมาตอนดึก หัวถึงหมอนก็หลับไปในทันที ไม่มีแม้แต่แรงจะพูดคุยกับหลินหันเยียน เขาไม่ใส่ใจนาง แต่คนข้างกายไม่ยินดีเช่นนั้น เมื่อเห็นท่าทางเขานอนหลับสนิท ก็อดไม่ได้ที่อยากจะใช้มือฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้หวงฝู่อวี้ไม่รู้เลย ฟ้าเพิ่งสาง เขาก็ตื่นมาด้วยความเคยชิน ค่อยๆ สวมเสื้อผ้าและรองเท้า จากนั้นก็ออกไปด้านนอก ไม่รู้เลยว่าคนข้างกายนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว สายตาประกายเอาความรู้สึกโกรธออกมา
ยุ่งเรื่องงานติดกันหลายวัน ในที่สุดวันครบร้อยวันของเด็กๆ ก็มาถึง
ฟ้าเริ่มจะสว่าง ปลายฟ้าเพิ่งจะมีแสงสีขาวประกายออกมา ประตูจวนอ๋องก็เปิดออกแล้ว พ่อบ้านนำบ่าวรับใช้พรั่งพรูกันออกมา สาดเหล้า ทำความสะอาด เก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อยรอการมาของแขกเหรื่อ
ท่านอ๋องฉีและพระชายาตื่นแต่เช้าแล้ว หลังรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย ก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสวยๆ ให้เด็กน้อยทั้งสอง จากนั้นจึงค่อยไปจัดการตัวเอง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็มาถึงแล้ว หยอกเล่นกับลูกๆ ไปพลาง ระหว่างรอบรรดาแขก
พ่อบ้านนำบ่าวรับใช้และสาวใช้มายืนคอยที่หน้าประตู เพื่อมารอต้อนรับผู้ที่มาแสดงความยินดี
บ้านแรกที่มาคือฉู่เหวินเจี๋ยและเฝิงจิ้งซู ทั้งสองนั่งรถม้ามา หลังลงรถม้าแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยให้ลูกขี่คอตนเอง จูงมือเฝิงจิ้งเหวินเข้าไปในจวน ตรงไปยังเรือนของพระชายา
หลังจากทำความเคารพกันและกันแล้ว ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนพาฉู่เหวินเจี๋ยไปยังห้องรับรองแขก เฝิงจิ้งซูเดินตรงมาหาเด็กๆ เบิกตาโตมองเด็กน้อยน่ารักทั้งสองที่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด อิจฉาขึ้นมาทันที “พี่โยวเอ๋อร์ พี่ช่างโชคดีเสียจริง มีลูกสาวที่หน้าตาน่ารักเพียงนี้”
แม่นมทั้งสองคนถูกเชิญให้ออกไปจากห้องนานแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวและเฝิงจิ้งซูสองคน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาด้านหน้า มองลูกสาวของตน จากนั้นก็หยอกนางด้วยรอยยิ้ม “อยากโชคดีเช่นนี้จะไปยากกระไรกัน เจ้าก็คลอดอีกคนสิ”
เฝิงจิ้งซูหน้าแดง
ที่ตามมาคือคู่ของเหวินซื่อ
จากนั้นก็เป็นคู่ของเปาอีฝาน
เมิ่งซื่อและเมิ่งฉี คู่ของเมิ่งเหริน เมิ่งอี้ และโจวเสี้ยวต่างก็มากันหมด
เหล่าบรรดาเจ้าขุนมูลนายที่ตั้งตารอก็พาฮูหยินของตนมาด้วยเช่นกัน
ท่านอ๋องฉี ฉู่เหวินเจี๋ย หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้วุ่นอยู่กับการต้อนรับแขก ภายในจวนอ๋องคึกครื้นขึ้นมา มีเพียงเรือนของหวงฝู่อวี้ที่เงียบเหงาวังเวง วันนี้คือวันครบรอบร้อยวัน บ่าวรับใช้ในเรือนถูกเรียกตัวไปใช้งานจนหมด เหลือเพียงหงเอ๋อร์คอยอยู่รับใช้หลินหันเยียนผู้เดียว
หลินหันเยียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เป็นชุดที่หวงฝู่อวี้เลือกแบบ และสั่งตัดเอาไว้ให้นาง เมื่อแต่งหน้าเรียบร้อย ก็นั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ รอให้หวงฝู่อวี้มาเรียกนางไป
ในจวนวุ่นวายมาก เต็มไปด้วยผู้คนที่มาแสดงความยินดี เหล่าผู้ชายก็จับกลุ่มคุยกันเรื่องต่างๆ นานา ส่วนผู้หญิงก็เตรียมของขวัญไปเยี่ยมท่านหญิงตัวน้อย
เนื่องจากเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งงานไม่มีผิดพลาดใดๆ บ่าวรับใช้และสาวใช้ในจวนทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี
หลังจากหวงฝู่อวี้กล่าวทักทายกับคนในงานเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมาหาเมิ่งเชี่ยนโยวที่เรือนพระชายา “พี่สะใภ้ เยียนเอ๋อร์ไม่ค่อยสบาย ไม่เหมาะถ้าจะมาสถานที่เช่นนี้ ท่านว่า นางไม่ต้องมาได้หรือไม่ขอรับ”
มองเขาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อย่าลืมเอาหมี่อายุยืนไปให้นางด้วยเล่า”
“ขอบคุณขอรับพี่สะใภ้” หวงฝู่อวี้ตอบรับด้วยความยินดี เรียกสาวใช้มาคนหนึ่ง ให้นางไปส่งข่าวที่เรือนของคนว่า “เจ้าไปบอกนายหญิงว่าหากนางไม่สะดวกมาก็ยังไม่ต้องมา รอถึงเวลาอาหาร ข้าจะสั่งให้คนเอาหมี่อายุยืนไปให้”
สาวใช้ตอบรับ เดินมายังเรือนของหวงฝู่อวี้ นำคำเขาบอกหงเอ๋อร์ทุกคำ
สีหน้าของหงเอ๋อร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดว่า “รับทราบ”
สาวใช้ทำความเคารพ จากนั้นก็เดินออกจากเรือนไป
หงเอ๋อร์เปิดม่านประตูเดินเข้าไปด้านใน พูดอย่างระวังว่า “คุณหนู คุณชายบอกว่าท่านไม่ค่อยสบาย ไม่อยากให้ท่านไปในงานเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนผงะไป มองมาอย่างไม่อยากเชื่อ สีหน้าค่อยๆ ซีดลง ริมฝีปากสั่น ราวกับว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
หงเอ๋อร์ไม่พอใจ บ่นเสียงเบาว่า “คุณชายนี่ก็ ไม่รู้ว่าวันนี้มีคนมามากมายเพียงใด เป็นโอกาสที่ดีที่คุณหนูจะได้ออกไปพบเจอผู้คนมิใช่หรือ เขา…”
สิ้นคำ ก็มีเสียง เพล้ง หลินหันเยียนกวาดของทุกอย่างบนโต๊ะลงบนพื้น
หงเอ๋อร์ตกใจแทบแย่ ร้องว่า “คุณหนู ท่าน…”
ราวกับว่าหลินหันเยียนเสียสติไปแล้ว นางยืนขึ้น คว่ำโต๊ะลงกับพื้นอย่างบ้าคลั่ง ทุบของทุกอย่างในห้องที่สามารถทุบให้แตกได้จนละเอียด
หงเอ๋อร์ตกใจจนเบิกตาโต พยายามห้ามปรามนาง น้ำเสียงลนลานว่า “คุณหนู คุณหนู หยุดเถิดเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนทำหูทวนลม กระทั่งทุบของทิ้งจนหมด จึงได้ทรุดลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาไหลรินออกมา พึมพำว่า “พี่อวี้ ท่านไม่เห็นค่าของข้าเช่นนี้เลยหรือ”
หงเอ๋อร์อึ้งไป นานครู่ใหญ่จึงนึกได้ว่าควรพยุงนางขึ้นมา
หวงฝู่อวี้ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ยังคงต้อนรับแขกเหรื่อด้วยท่าทีเป็นมิตร คิดในใจว่ารอจนส่งแขกเรียบร้อยแล้ว ทำธุระเสร็จ ค่อยกลับไปคุยกับหลินหันเยียนว่าทั้งสองก็มีลูกด้วยกันสักคนเถิด หลานสาวของเราทั้งสองน่ารักเหลือเกิน แต่ว่ากลับถูกเสด็จพ่อ เสด็จแม่ครอบครองเสียแล้ว ตนอยากจะกอดสักนิดยังยาก หากตนมีลูกเอง จะอุ้มอย่างไรก็ได้ และอุ้มได้ตลอดเวลาด้วย
ยามใกล้เพล ญาติผู้ใหญ่และบรรดาขุนนางก็มากันพอประมาณแล้ว หวงฝู่อวี้กำลังจะสั่งให้เริ่มอาหารได้ แต่พ่อบ้านก็รีบวิ่งเข้ามา รายงานข้างหูของหวงฝู่อวี้ว่า “คุณชายรอง ฮูหยินหลินมาขอรับ”
หวงฝู่อวี้ยังนึกไม่ออกว่า ฮูหยินหลินคือผู้ใดกัน จึงได้มองพ่อบ้านด้วยความสงสัย
พ่อบ้านเข้ามาใกล้กว่าเดิม กดเสียงต่ำลง “เป็นท่านแม่ของหลินจ้งขอรับ”
หลินหันเยียนอาศัยอยู่ในจวนมาหลายเดือน สถานะไม่ชัดเจน พ่อบ้านจึงไม่กล้าเรียกนาง จะเรียกนายหญิงหรือ ทั้งสองก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน เรียกเช่นนี้ไม่เหมาะสม จะเรียกแม่นางหลินหรือ นางเองก็พำนักร่วมกับหวงฝู่อวี้ พ่อบ้านจนปัญญา จึงได้ตอบไปเช่นนี้
หวงฝู่อวี้ถลึงตาใส่เขา ดุเสียงเบาว่า “ท่านแม่ของหลินจ้งอะไรกัน นั่นคือท่านแม่ของนายหญิงเจ้า แม่ยายข้า หากยังไม่เชื่อฟังกันเช่นนี้ เจ้าก็อย่ามาเป็นพ่อบ้านอีกเลย”
พ่อบ้านตอบรับถามด้วยเสียงเบาว่า “นี่…”
หวงฝู่อวี้สาวเท้ายาวเดินไปด้านนอก “ข้าจะไปต้อนรับพวกเขาเข้ามา”
พ่อบ้านเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก รีบเดินตามไปด้านหลัง
ด้านนอกจวน ฮูหยินหลินยืนรออยู่ด้านหน้าด้วยท่าทีร้อนใจ มองซ้ายมองขวาไม่หยุดราวกับว่ากลัวใครจะตามมา
พ่อบ้านเองก็สงสัยจุดนี้เช่นกัน ตามหลักแล้ว หลินหันเยียนอยู่ที่นี่ในสถานะไม่ชัดเจนเช่นนี้ ครอบครัวหลินไม่ควรจะมาให้เสียเรื่อง ต่อให้คนในจวนไม่คิดอะไรมาก แต่น้ำลายของบรรดาภริยาของพวกขุนนางทั้งหลายก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาจมดินแล้ว มองอีกมุม ตระกูลหลินนี่ก็ช่างหน้าด้านหน้าทนเสียจริง ถ้าหากต้องมาร่วมงานให้ได้ ก็ควรให้คู่ของหลินจ้งมา ไม่ใช่ว่าฮูหยินหลินมามือเปล่า พร้อมสีหน้าตื่นตระหนกเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อวี้ออกมา ฮูหยินหลินจึงได้เดินเข้าไปหา ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “คุณชาย ข้าอยากพบเยียนเอ๋อร์”
หวงฝู่อวี้ไม่ได้สังเกตความผิดปกติของนาง คิดว่านางไม่ได้พบหน้าหลินหันเยียนนานแล้ว คงจะคิดถึงมาก จึงได้รอคอยจะพบหลินหันเยียนอย่างอดไม่ได้ จึงพูดว่า “ท่านแม่ยายพูดอะไรกัน เยียนเอ๋อร์เป็นลูกสาวของท่าน ท่านอยากพบเมื่อใดก็ย่อมได้เสมอ ข้าจะไปพาท่านไปหานางเดี๋ยวนี้”
นางคิดไม่ถึงว่าหวงฝู่อวี้จะเรียกตนเช่นนี้ ฮูหยินหลินอึ้งไปเล็กน้อย แววตาสั่นคลอน โบกมือ “ขอบคุณคุณชายรองนะเจ้าคะ แต่มิเป็นไรหรอก เราสองแม่ลูกไม่ได้พบกันนานแล้ว อยากจะคุยเรื่องส่วนตัวกันเสียหน่อย”
ฮูหยินหลินปฏิเสธ หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้คิดมาก จึงสั่งว่า “พ่อบ้าน เจ้าไปส่งให้ถึงเรือนด้วยตัวเอง”
พ่อบ้านตอบรับ ผายมือออก “ฮูหยินหลิน เชิญขอรับ”
ฮูหยินหลินเดินเข้ามาในจวนอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจพ่อบ้านที่นำทาง เดินตรงไปยังเรือนของหวงฝู่อวี้อย่างร้อนรน กลายเป็นพ่อบ้านที่ต้องเดินตามหลัง
ภายในบริเวณเรือนของหวงฝู่อวี้เงียบสงัด ไม่มีแม้แต่บ่าวรับใช้ สีหน้าของฮูหยินหลินเปลี่ยนไป
พ่อบ้านรีบอธิบายว่า “วันนี้เป็นงานร้อยวันของท่านหญิงน้อย ทุกคนถูกส่งตัวไปทำงานที่จวนหน้าทั้งหมดขอรับ ดังนั้นวันนี้จึงได้เงียบเหงากว่าเคย”
พูดจบ พ่อบ้านก็ถามอย่างนอบน้อมว่า “แม่นางหลิน อยู่ในเรือนหรือไม่ขอรับ ฮูหยินหลินมาหาท่าน”
ในเรือนมีเสียงดังขึ้น หงเอ๋อร์ปรากฎตัวขึ้นข้างประตู เมื่อเห็นว่าเป็นฮูหยินหลินจริง จึงได้ตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจว่า “คุณหนู ฮูหยินมาจริงๆ เจ้าค่ะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น