ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 352-355

 ตอนที่ 352

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ กุมมือของเมิ่งเชี่ยนโยวแน่นขึ้นกว่าเดิม หันหน้าปรายตามองหมอตำแยสามคนและหมัวมัวทำคลอดสองคนแวบหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นอย่างไม่อ้อมค้อม “จงทำหน้าที่ของพวกเจ้าให้ดี! หากซื่อจื่อเฟยเป็นอะไร ข้าจะฝังพวกเจ้าเสีย”


 


 


ทั้งห้าคนหนาวสั่นในเวลาเดียวกัน แล้วเห็นภาพในอนาคตที่หากเกิดอะไรขึ้นกับซื่อจื่อเฟยในวันนี้ หัวและร่างกายของพวกนางแยกออกจากกัน


 


 


ชั่วขณะเดียว ปากไม่อ้า ตาไม่ค้าง และไม่นิ่งอึ้งอีกแล้ว กุลีกุจอลงมือทำงานโดยพร้อมกัน แต่ละคนมาที่ข้างกายของเมิ่งเชี่ยนโยว ซับเหงื่อ ตรวจสอบดู และบอกนางว่าอีกประเดี๋ยวจะทำอย่างไรบ้าง รุมเบียดเสียดจนผลักพระชายาฉีกับเมิ่งซื่อไปด้านข้าง


 


 


สถานการณ์วุ่นวายอย่างมาก หวงฝู่อี้เซวียนเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็น จับจ้องแต่เมิ่งเชี่ยนโยวโดยตลอด


 


 


พระชายาฉีโมโหจนเกือบจะบิดหูของหวงฝู่อี้เซวียน สูดหายใจเข้าแล้ว สูดหายใจเข้าอีก และสูดหายใจเข้าแรงๆ ถึงจะข่มความเดือดดาลลงได้ ขณะที่กำลังจะพูด หมัวมัวทำคลอดที่รับผิดชอบตรวจดูเอ่ยปากขึ้น “ปากมดลูกเพิ่งจะเปิดเพียงสามจื่อเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ต้องรออีกสักหน่อย พระชายาฉีให้คนต้มน้ำแกงโสมมาให้ซื่อจื่อเฟยดีกว่าเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาฉีได้สติกลับมา “ใช่แล้วๆๆ ต้องต้มแกงโสมให้โยวเอ๋อร์เสียก่อน” พูดจบก็สั่งหลิงหลง “รีบไปสั่งคนให้ไปต้มแกงโสมมาเดี๋ยวนี้”


 


 


หลิงหลงรับคำ เดินออกไป


 


 


มีคนที่มีประสบการณ์มากมายเช่นนี้อยู่ เมิ่งซื่อก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงพูดรับเอง “ข้าไปก็แล้วกัน”


 


 


พระชายาฉีห้ามนาง “ไม่ได้ เจ้าเป็นแม่ ต้องอยู่ข้างกายโยวเอ๋อร์ นางถึงจะมีแรงคลอด”


 


 


แล้วความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟันแน่น


 


 


เห็นสภาพที่นางทรมาน หวงฝู่อี้เซวียนก็ออกแรงกุมมือนางยิ่งขึ้น


 


 


ทันใดนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เพียงแต่รู้สึกว่าที่ท้องเจ็บ มือก็เจ็บด้วย เจ็บจนนางอยากจะด่าเขาแล้ว


 


 


หมอตำแยและหมัวมัวทำคลอดมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความสงสาร หวังว่าหลังจากที่ความเจ็บปวดระลอกนี้ผ่านไป มือของนางจะไม่ถูกซื่อจื่อที่ตื่นเต้นกว่านางบีบจนยุ่ย


 


 


พระชายาฉีก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไปอย่างชอบกล และอึดอัดอยู่ในใจ เมื่อครู่ โยวเอ๋อร์เพียงแค่ปวดจนกัดฟัน ไม่ส่งเสียงร้อง เหตุใดครั้งนี้นัยน์ตาถึงได้แทบจะลุกโชนเป็นไฟแล้วล่ะ ราวกับอยากจะฆ่าใครอย่างไรอย่างนั้น


 


 


คลื่นของความเจ็บปวดผ่านไป เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายลง แล้วหอบหายใจอย่างแรง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่ปล่อยมือนาง แต่กลับยังกุมแน่นขึ้นอีก


 


 


เผยรอยยิ้ม และส่งเสียงอ่อนโยน “อี้เซวียน!”


 


 


รับคำเสียงสั่น “โยวเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่”


 


 


“เจ้าทำข้าเจ็บแล้ว”


 


 


มองนางอย่างอึ้งๆ ไม่มีการตอบสนอง


 


 


“มือของขาดใกล้จะขาดแล้ว” เตือนด้วยเสียงเบา


 


 


มองนาง แล้วมองมือที่ผิดรูปร่างของนางเพราะถูกตัวเองกุมแน่น พลันก็ได้สติขึ้น แล้วจึงรีบปล่อยออก “โยวเอ๋อร์ ขอโทษ ข้า…ข้า…ข้า…ทำเจ้าเจ็บแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนลมหายใจออก เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าเป็นเพราะหวงฝู่อี้เซวียนห่วงตัวเองมากเกินไป ถึงได้กระทำผิดอย่างสมควรเช่นนี้ จึงอย่าได้โมโหเขาเป็นอันขาด


 


 


ไม่ใช่ว่าเขาอ่านตำราแพทย์หลายเดือนแล้วหรือ ไม่ใช่ว่าเขารู้ว่าเวลาผู้หญิงคลอดลูกจะเจ็บหรือ และไม่ใช่รับปากตัวเองแล้วว่าจะไม่ตื่นตระหนกหรือ แต่…โอแม่เจ้า เช่นนั้นตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่!


 


 


ความคิดในใจยังไม่ทันสิ้น เสียงตกตะลึงที่เกินปกติของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ลน จะไม่ลนลานแม้แต่นิดเดียว ข้าสงบนิ่งอย่างมาก”


 


 


ทุกคนตาค้างปากอ้าอีกครั้ง


 


 


พระชายาฉีโซเซไปจนเกือบจะล้มลงพื้น นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่รู้สึกว่าลูกชายของตัวเองเป็นเด็กโง่ และไม่ใช่โง่ธรรมดา เป็นประเภทที่โง่อย่างมากอย่างมากอีกด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มน้อยๆ ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลง “อี้เซวียน”


 


 


แล้วก็ตอบเหมือนเดิม “โยวเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่”


 


 


“ยื่นมือของเจ้าออกมา”


 


 


“ได้” เอื้อมมือออก วางไว้ตรงหน้านางโดยปราศจากความลังเลใดๆ


 


 


ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน ก็กัดลงไป


 


 


โอ๊ย! โอ๊ย! …เสียงร้องดังต่อเนื่องหลายครั้ง หมัวมัวทำคลอดและหมอตำแยล้วนตกใจจนตัวชาลงไปกับพื้น สวรรค์! พวกนางเห็นอะไรเข้าแล้ว นึกไม่ถึงว่าซื่อจื่อเฟยจะกัดมือซื่อจื่อต่อหน้าพวกนาง นี่…นี่…นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนที่ได้ยินต้องสะพรึงกลัว แต่เหตุการณ์นี้ถูกพวกนางเห็นเข้าแล้ว จะโดนฆ่าปิดปากหรือไม่


 


 


พระชายาฉีรู้สึกว่านั่นเป็นการระบายอารมณ์ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยว ครานี้ลูกชายโง่คนนี้ของนางก็น่าจะได้สติแล้วล่ะ


 


 


เมิ่งซื่อกลับร้องตกใจขึ้น “โยวเอ๋อร์ รีบปล่อยเดี๋ยวนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเจ็บจนร้อง ซี๊ด สติสัมปชัญญะก็ฟื้นคืนกลับมาบ้างแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคลายปากออก ถาม “เจ็บไหม”


 


 


พยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้าสุดชีวิต “ไม่เจ็บ” จากนั้นยื่นแขนไปตรงหน้านางอีกครั้ง ถามด้วยเสียงนุ่มนวล “ยังจะกัดอีกไหม”


 


 


หมัวมัวทำคลอดเบิกลูกตาของนางโพลง พวกนางเห็นอะไรเข้าแล้ว นึกไม่ถึงว่าซื่อจื่อจะเป็นฝ่ายยื่นมือไปตรงหน้าซื่อจื่อเฟยให้นางกัดด้วยตัวเอง ใครก็ได้มาตบนางสักที ให้นางตื่นขึ้น แล้วบอกนางว่านี่ไม่ได้กำลังฝันไป เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ไม่กัดแล้ว เหนื่อย”


 


 


ยังคงมีน้ำเสียงอ่อนโยน “ก็ได้ รอเจ้าพักให้พอแล้วค่อยกัด”


 


 


หมัวมัวทำคลอดตัวชาบนพื้นโดยไม่คิดสิ่งใดแล้ว พวกนางกลัวว่าต่อไปจะเกิดเรื่องใหญ่ที่สะเทือนฟ้าดินอื่นใดอีก จึงนั่งอยู่บนพื้นนิ่งๆ ดีกว่า แขนขาที่ชราก็ไม่อาจทนรับความทรมานได้อีกแล้วจริงๆ ลูกของซื่อจื่อเฟยยังไม่ได้เกิดมา พวกนางก็คงจะสะดุดล้มตายด้วยตัวเองก่อน


 


 


น่าเสียดาย ความคิดนั้นดีงาม ทว่า ความเป็นจริงกลับโหดร้าย หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ได้ที่จะย่นหัวคิ้ว ซื่อจื่อที่ตื่นเต้นเกินพอดีก็เข้าใจว่านางจะเจ็บปวดอีกแล้ว จึงหันหน้าไป ตวาดด่าแต่ละคนบนพื้น “ยังไม่ลุกขึ้นมาหาวิธีอีก โยวเอ๋อร์เจ็บจะตายอยู่แล้ว”


 


 


แล้วก็ปีนตัวขึ้นมาอย่างว่องไว ท่าทางนั้นรวดเร็วจนทำให้เมิ่งซื่อเบิกตาค้าง


 


 


เมื่อตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง ก็พบว่ายังคงสามจื่ออยู่ หมัวมัวทำคลอดพูด “ซื่อจื่อเฟยเจ้าคะ ยังสามจื่ออยู่เลยเจ้าค่ะ ในเมื่อเด็กยังไม่ขยับ ข้าน้อยต้องหาวิธีช่วยท่านสักหน่อย อาจจะเจ็บเล็กน้อย ขอให้ท่านอดทนไว้นะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เอื้อมมือไปคว้ามือของหวงฝู่อี้เซวียนไว้


 


 


เดิมทีหวงฝู่อี้เซวียนอยากจะกุมมือนาง แต่ครั้นนึกถึงที่ตัวเองทำให้นางเจ็บเมื่อครู่ จึงรีบปล่อยอย่างรวดเร็ว


 


 


หมัวมัวทำคลอดสองท่านเป็นผู้มากประสบการณ์ที่สุดภายในวังหลวง ไม่รู้ว่าทำคลอดให้แก่นายหญิงและผู้สูงศักดิ์มากมายมาแล้วแค่ไหน มือจึงย่อมมีความชำนาญคล่องแคล่ว เมื่อกดบนท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ ไม่กี่ครั้งจนรู้สึกถึงตำแหน่งที่เด็กอยู่ ก็ค่อยๆ เลื่อนดันลงจากตำแหน่งนั้นให้เด็กเคลื่อนตัวลงมาเพื่อจะได้คลอดเร็วขึ้นหน่อย


 


 


แม้ว่ามือจะชำนาญ แต่เจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อครู่ เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากแน่นขึ้น แล้วจับมือของหวงฝู่อี้เซวียนแน่น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เม้มริมฝีปากแน่นสนิท มองนางด้วยสีหน้าขาวซีด


 


 


หลังจากที่ดันออกมาอีกครั้งหนึ่งและระลอกของความเจ็บปวดผ่านไป ทั้งกายของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เหลือแรงแม้แต่น้อย ทั้งร่างเปียกชุ่มอีกครั้ง ทว่า เด็กกลับเคลื่อนออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา


 


 


หลิงหลงยกแกงโสมเข้ามา “พระชายาเจ้าคะ แกงโสมต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาฉีรับมายกอยู่ในมือ เดินมาที่หน้าเตียง อยากจะป้อนเมิ่งเชี่ยนโยวดื่มด้วยตัวเอง


 


 


“เสด็จแม่ ข้าเองขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยเสียงสั่น มือก็สั่นด้วย หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา เสื้อผ้าบนร่างก็เปียกปอน


 


 


พระชายาฉีมองเขาแวบหนึ่ง ถ้อยคำที่อยากจะคัดค้านก็กลืนกลับไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโค้งตัวลง อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวที่พลังฟื้นขึ้นเล็กน้อยพิงเข้ามาในอ้อมอก จากนั้นก็รับแกงโสมมา มือซ้ายยกชาม มือขวาหยิบช้อนขึ้น แล้วช้อนแกงโสมป้อนนางด้วยท่าทางคล่องแคล่ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มคำเล็กๆ


 


 


หมอตำแยและหมัวมัวทำคลอดก็อ้าปากตาค้างอีกครั้งหนึ่ง อย่าว่าแต่สถานะของหวงฝู่อี้เซวียนที่เป็นถึงซื่อจื่อเลย แม้แต่ผู้ชายทั่วไปในตระกูลอื่น ก็ไม่ทำเช่นนี้


 


 


ดื่มน้ำแกงเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่ามีพลังขึ้นเล็กน้อย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งแก้วให้แก่หลิงหลงที่รับใช้อยู่ด้านหนึ่ง พร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมออกมาซับปากให้นางจนสะอาด แล้วถึงจะพยุงนางให้นอนลง


 


 


พระชายาฉีเห็นสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวมีสีเลือดฝาด จึงถอนหายใจ ปลอบด้วยเสียงอ่อน “โยวเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัวนะ แม่เฝ้าเจ้าอยู่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียน “อี้เซวียน ให้เสด็จแม่ช่วยต้มดอกบัวสีเลือดออกมาเถิด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนราวกับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เม้มปากไม่ขยับและมองนางอย่างเงียบๆ ผ่านไปสักพักถึงจะเอ่ยปากด้วยเสียงแหบแห้ง “โยวเอ๋อร์ เจ้าจำไว้ ไม่ว่าจะขึ้นสวรรค์หรือไปปรโลก ข้าก็จะตามเจ้าไปทุกแห่งหน”


 


 


เพี้ยะ เสียงตบเข้าที่หลังคออย่างแรงดังขึ้น เสียงที่ปนด้วยความโกรธเคืองของพระชายาฉีก็ดังขึ้นเช่นกัน “พูดอะไรน่ะ โยวเอ๋อร์คลอดก่อนกำหนด ไม่ได้คลอดยาก จะมีอันตรายขนาดนั้นที่ไหนกัน”


 


 


บางทีอาจจะอยากตีเขาตั้งนานแล้ว ครั้งนี้พระชายาฉีจึงออกแรงไม่เบา หวงฝู่อี้เซวียนถูกตีจนนิ่งอึ้งไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้รู้สึกซาบซึ้ง ก็ส่งเสียงหัวเราะพรวดออกมา


 


 


ความรู้สึกเสียใจที่มาพร้อมประโยคนั้นของหวงฝู่อี้เซวียนได้หายวับไปทันใด


 


 


หมอตำแยกับหมัวมัวทำคลอดรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองได้เปิดโลกทัศน์แล้วจริงๆ หลังจากที่แอบครุ่นคิดกับตัวเองว่า หลังจากกลับไป จะต้องบอกให้ทุกคนรู้อย่างจริงจัง ว่าคนภายในจวนอ๋องไม่ใช่ถือตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้คน แต่เทียบกับคนสามัญชนธรรมดาแล้ว ยังอบอุ่นกว่ามาก


 


 


เมื่อได้สติคืนกลับมา หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้โกรธ ลุกขึ้น เปิด**บออก แล้วหยิบกล่องที่บรรจุดอกบัวสีเลือดออกมา ส่งให้พระชายาฉี แล้วพูดกับนางและเมิ่งซื่อ “เสด็จแม่ ท่านแม่ นี่เป็นดอกบัวสีเลือดขอรับ ใช้เพียงครึ่งหนึ่งก็พอแล้ว ขอรบกวนพวกท่านด้วยขอรับ”


 


 


ดอกบัวสีเลือดเป็นสมุนไพรที่ล้ำค่าและมีชื่อเสียง และมีแค่เพียงครึ่งช่อนี้ ถ้าส่งให้บ่าวรับใช้ อย่าว่าแต่หวงฝู่อี้เซวียนเลย แม้แต่พระชายาฉีก็ไม่ไว้วางใจ


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า และเดินออกไปกับเมิ่งซื่อ


 


 


ครั้นหมอหลวงเจียงได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวคลอดก่อนกำหนด ก็แบกกล่องยาตามคนที่พระชายาฉีส่งมาเชิญถึงจวน และเขาก็ได้รออยู่ภายในเรือนเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นพระชายาฉีอุ้มกล่องบรรจุดอกบัวสีเลือดออกมา จึงเดินเข้ามาบอกนางถึงวิธีที่จะต้มอย่างละเอียด แต่แล้วก็รู้สึกไม่วางใจ จึงพูดตรงๆ “หากพระชายาฉีไม่ถือสา ข้าน้อยขอไปต้มกับท่านด้วย”


 


 


พระชายาฉีย่อมรับปากอยู่แล้ว ทั้งสามคนเดินเข้าไปในห้องครัวเล็ก


 


 


อ๋องฉียืนอยู่ภายในลานบ้าน และไม่ได้ยินเสียงจากด้านในห้องเลย ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแล้วบ้าง ขณะที่เอ่ยปากจะถามไถ่ ก็เห็นพระชายาฉีเดินตรงไปที่ห้องครัวเล็ก ก็หยุดคำพูดเอาไว้ แล้วรออยู่ภายในลานต่ออย่างกระวนกระวาย


 


 


พวกหมอตำแยและหมัวมัวทำคลอดผลัดกันช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวดันท้อง ทำงานกันยุ่งจนถึงเวลาค่ำ มดลูกถึงจะเปิดออกเป็นห้าจื่อ


 


 


ทั้งห้าคนต่างเริ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถูกรบเร้าจนไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย


 


 


ใจของพระชายาฉีและเมิ่งซื่อร้อนรนราวสุมเพลิง


 


 


ขณะที่อ๋องฉีเดินวนไปวนมาอย่างกังวลอยู่ภายในลาน


 


 


หมอหลวงเจียงก็เงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง ใคร่ครวญว่าถ้าหากได้ยินว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเมิ่งเชี่ยนโยว ตัวเองก็จะรีบรุดเข้าไปช่วยชีวิตคนโดยที่ไม่สนใจว่านี่เป็นเวลาอะไรแล้ว


 


 


แกงโสมถูกส่งเข้าไปในห้องอย่างไม่ขาดสาย เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มจนดื่มไม่ไหวแล้ว เด็กน้อยภายในท้องยังคงไม่เคลื่อนออกมา


 


 


ในใจของหมอตำแยและหมัวมัวทำคลอดรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเช่นเดียวกัน มองตากันอย่างพร้อมเพรียง แล้วหมอตำแยท่านหนึ่งที่อายุอานามค่อนข้างมากสักหน่อยกลืนน้ำลายลงหลายอึก ถึงจะเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง “พระชายาเจ้าคะ ซื่อจื่อเจ้าคะ นี่เกรงว่าซื่อเฟยจะ…จะคลอดยากแล้ว…”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนใช้สายตาอันเฉียบคมที่ดุร้ายพุ่งเข้าไป หมอตำแยผวาจนร่างกายอ่อนเปลี้ยและเกือบจะล้มลงคุกเข่าบนพื้น คำพูดที่อยากจะพูดก็กลืนกลับไป


 


 


ละสายตากลับมามองทางเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนเวลานี้กลับสุขุมนิ่ง มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เอ่ยปากด้วยเสียงแหบแห้ง “โยวเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงความเจ็บปวดช่วงท้องที่กรุ่นๆ อยู่ รู้ว่าถ้ายังยืนหยัดต่อไปเป็นเวลานานเข้าแล้ว บาดแผลที่ช่องท้องจะต้องฉีกออก เมื่อนั้นแม้แต่เทพแห่งสวรรค์ก็ช่วยนางไม่ได้แล้ว


 


 


ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยปากด้วยเสียงไม่ช้าไม่เร็ว แต่กลับทำให้ใจที่ไม่สงบของหวงฝู่อี้เซวียนสลบลง “อี้เซวียน เอาเข็มออกมาเถอะ”


 


 


ตั้งแต่หมอหลวงเจียงบอกว่าตอนที่เมิ่งชี่ยนโยวคลอดอาจจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้ ทุกวันที่มีเวลาว่างนอกจากศึกษาตำราแพทย์แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนยังจะรบเร้าให้เมิ่งเชี่ยนโยวสอนวิธีฝังเข็มให้เขา


 


 


เวลานี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น จึงรีบลุกตัวขึ้นไปเปิด**บ แล้วหยิบห่อเข็มออกมาวางไว้ข้างเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


“ข้าพูด เจ้าทำตาม ลูกของพวกเราก็จะต้องออกมาอย่างรวดเร็วแน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าโดยไม่ลังเล


 


 


หันศีรษะสั่งทั้งห้าคน “พวกเจ้าออกไปพักสักหน่อย”


 


 


ยุ่งมาทั้งวัน แต่ละคนก็เหนื่อยแล้วจริงๆ จึงรับคำอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไป


 


 


“เสด็จแม่ ท่านแม่ พวกท่านก็ออกไปด้วยเถิดขอรับ จะได้ไม่รบกวนยามที่ข้าฝังเข็มให้โยวเอ๋อร์”


 


 


พระชายาฉีอยากจะพูด หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้ก้มหน้าลงแล้ว พร้อมกับเปิดผ้าห่มที่คลุมอยู่บนร่างของเมิ่งเชี่ยนโยว เผยให้เห็นท้องที่ใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อของนาง


 


 


ใบหน้าของเมิ่งซื่อเต็มไปด้วยความกังวล แต่นางรู้ว่าต่อให้ตัวเองอยู่ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ และไม่แน่ว่าจะยังทำให้หวงฝู่อี้เซวียนต้องเสียสมาธิ จึงส่ายหน้าให้พระชายาฉี แล้วเดินออกไปก่อน


 


 


พระชายาฉีมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความหวั่นวิตก หลังจากเห็นรอยยิ้มปลอบใจที่นางส่งให้ ก็เดินตามออกไปด้วย


 


 


ขณะที่เพิ่งออกจากประตูมา อ๋องฉีก็ถามด้วยความรีบร้อน “สถานการณ์ไม่ค่อยดีหรือ”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้าและส่ายหน้า “เด็กไม่ขยับเจ้าค่ะ เซวียนเอ๋อร์บอกว่าจะฝังเข็มให้โยวเอ๋อร์”


 


 


“เหลวไหล เขาเป็นคนที่ไม่รู้ทักษะการแพทย์แม้แต่อย่างเดียว จะฝังเข็มได้อย่างไร ข้าจะส่งคนไปวังให้เชิญหมอหญิงสองคนมาเดี๋ยวนี้”


 


 


พระชายาฉีห้ามเขา “โยวเอ๋อร์สอนเขาแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาหรอกเจ้าค่ะ พวกเรารอไปสักพักก่อนแล้วกันเพคะ”


 


 


คนภายนอกห้องร้อนใจราวสุมเพลิง


 


 


ขณะที่ภายในห้อง อารมณ์ของหวงฝู่อี้เซวียนนิ่งสงบและตั้งอกตั้งใจ ภายใต้การนำของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็แทงเข็มแต่ละเล่มลงบนตำแหน่งที่ถูกต้องอย่างแม่นยำและฉับไว


 


 


ความรุ่มร้อนแผ่ซ่านออกไป ดูเหมือนว่าเด็กจะเคลื่อนออกมาบ้างแล้วด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกดีใจ น้ำเสียงปนความตื่นเต้นยินดี “เซวียนเอ๋อร์ ขยับแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 353 มีทั้งคนที่ยินดีและมีคนที่...

 

บนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย


 


 


ความเจ็บปวดเริ่มถาโถมเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวอดทนกัดฟันแน่นโดยตลอด


 


 


คนด้านนอกไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ในใจก็กระวนกระวายอย่างมาก หมอตำแยและหมัวมัวทำคลอดยิ่งมองหน้ากันถี่ขึ้น แล้วเกิดความคิดไม่ดีแวบขึ้นภายในใจ แต่ก็แอบตบปากสะบัดมันออกไปทันที พร้อมกุมมือทั้งสองข้างอย่างเชื่อมั่น วิงวอนขอให้อย่าได้เกิดอะไรขึ้นกับซื่อจื่อเฟยเป็นอันขาด


 


 


เวลาที่ห่างจากระลอกความเจ็บปวดยิ่งกระชั้นชิดจนเกือบจะโถมเข้าอย่างต่อเนื่อง เมิ่งเชี่ยนโยวเจ็บจนไม่มีแม้แต่เวลาที่จะกำชับหวงฝู่อี้เซวียนให้เรียกคนเข้ามา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกถึงสถานการณ์เช่นนี้เช่นกัน จึงเอื้อมมือหยิบเข็มออกมา แล้วตะโกนไปด้านนอกเสียงดัง “เข้ามาเร็ว! โยวเอ๋อร์จะคลอดแล้ว”


 


 


จิตวิญญาณของทุกคนสั่นไหวโดยพร้อมกัน หมอตำแยสามท่าน หมัวมัวทำคลอดสองท่าน พระชายาฉี และเมิ่งซื่อวิ่งเข้ามาในห้องตามลำดับ แม้แต่อ๋องฉีก็ก้าวเข้ามาด้านหน้าหลายก้าว แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมจึงถอยกลับไป


 


 


เมื่อเห็นความเจ็บปวดที่มาเป็นระลอกอย่างต่อเนื่องของเมิ่งเชี่ยนโยว หมัวมัวทำคลอดก็รู้สึกยินดี ตรวจดูครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความดีใจ “ปากมดลูกเปิดออกหมดแล้วเจ้าค่ะ ใกล้จะออกมาแล้ว ซื่อจื่อเฟยเบ่งเลยเจ้าค่ะ”


 


 


ทรมานจนเกือบจะทั้งวันแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจะมีแรงเบ่งที่ไหนอีก ทำได้แต่เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และสูดหายใจออกตามความสามารถที่มีอยู่ แต่ก็ยังคงไร้เรี่ยวแรงที่จะเบ่ง


 


 


หมัวมัวทำคลอดร้อนใจอย่างมาก “ซื่อจื่อเฟย ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ เวลาผ่านไปนานแล้ว เด็กจะขาดอากาศหายใจตายได้เจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก นั่งลง แล้วเอามือแตะบนตัวของเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมส่งลมปราณเข้าสู่ภายในร่างกายของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่ขาดสาย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมีแรงขึ้นแล้ว ก็เบ่งตามที่หมอตำแยสั่ง ออกแรงแล้วออกแรงอีก เมื่อรู้สึกถึงตอนที่ออกแรงเฮือกสุดท้ายจนสิ้นแล้ว เสียงร้องไห้ที่ก้องกังวานและเสียงร้องยินดีของหมอตำแยก็ดังขึ้น “คลอดแล้วเจ้าค่ะ เป็นเด็กผู้หญิงเจ้าค่ะ”


 


 


พูดจบ ก็หยิบผ้าห่มที่เตรียมไว้แล้วอยู่ด้านข้างมาพันกายเด็กให้ดี


 


 


พระชายาฉียินดีแทบคลั่ง เดินเข้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าวแล้ว ‘แย่ง’ เด็กมาอุ้มไว้ในอ้อมอก


 


 


เมิ่งซื่อเดินเข้ามาก้าวหนึ่งเช่นกัน แล้วจ้องเด็กที่เนื้อตัวอ่อนนุ่มอย่างไม่ละสายตา


 


 


ใจของอ๋องฉีกลับไหวสั่น


 


 


ทว่า เด็กคนที่สองทำอย่างไรก็คลอดออกมาไม่ได้ ราวกับว่าจะเล่นซ่อนแอบกับพวกผู้ใหญ่ ขณะที่เผยศีรษะออกมาเล็กน้อย หมัวมัวทำคลอดยังไม่ทันได้ยินดี สายตาก็เห็นเด็กน้อยกลับเข้าไปอีก


 


 


หมัวมัวทำคลอดกังวลจนเหงื่อชุ่มศีรษะ และเร่งเร้าอยู่ตลอด “ซื่อจื่อเฟย ท่านออกแรงสิเจ้าคะ ออกแรงเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนี้ ท่านกับลูกจะเป็นอันตรายทั้งคู่นะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกแรงอย่างไม่หยุด แต่ก็ยังคงไม่เป็นผล


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนห้ามเสียงร้องของหมัวมัวทำคลอด แล้วพูดกับท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยท่าทีเข้มงวดและจริงจัง “ข้าจะนับหนึ่ง สอง สาม หากเจ้าออกมาอย่างว่าง่าย ต่อไปข้าจะเอ็นดูเจ้าอย่างมาก แต่หากเจ้าไม่ออกมา และทำให้แม่ของเจ้าต้องทรมานไปมากกว่านี้ ต่อไปพ่อจะโบยเจ้าวันละสามรอบ”


 


 


เด็กน้อยราวกับเข้าใจคำพูดของเขา จึงไม่งอแงอีกแล้ว ครั้นเมิ่งเชี่ยนโยวออกแรงเบ่งอีกครั้ง ก็ลื่น พลุบ ออกมา


 


 


“ออกมาแล้วเจ้าค่ะ ออกมาแล้วเจ้าค่ะ เป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกันเจ้าค่ะ” เสียงยินดีของหมัวมัวทำคลอดดังขึ้นอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่ออกแรงจนสุดเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าร่างกายมีความร้อนรุ่มถาโถมเข้ามาอีกครั้ง จึงปิดตาลงช้าๆ ขณะที่สติเลือนลาง ก็ได้ยินเสียงลนลานของหมัวมัวทำคลอด “แย่แล้ว ซื่อจื่อเฟยมีเลือดออกมากเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้ง แสงของท้องฟ้านั้นสว่างไสว ภายในห้องเงียบสงัด และรู้สึกว่ามือของตัวเองถูกใครกุมไว้ พอก้มหน้าลง ก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนหมอบอยู่ข้างเตียง


 


 


แล้วยิ้มน้อยๆ อีกครั้ง อยากจะเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของเขา


 


 


ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนสะท้าน แล้วลืมตาขึ้นโดยพลัน สายตารับกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนาง ขอบตาก็เปียกชุ่มขึ้นทันที และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้าตื่นแล้วหรือ”


 


 


พยักหน้าเบาๆ “ข้าหลับไปกี่วัน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ เงยหน้า ยืนขึ้นเล็กน้อย แล้วก้มตัวลงไปกอดนาง หยดน้ำตาร่วงหล่นบนหน้าอกนาง จนประทับเข้าสู่ใจของนางด้วย ดวงตาก็แดงขึ้น


 


 


ผ่านไปนานแสนนาน หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะปล่อยนางออก จ้องดวงตาของนาง แล้วถามเบาๆ “หิวแล้วสินะ ข้าจะไปยกข้าวต้มมาให้เจ้า”


 


 


เผยรอยยิ้ม พยักหน้า “หิวจะตายแล้ว กินวัวทั้งตัวได้เลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะออกมาขณะที่ตาแดง ก้มหน้าลงไปจูบหน้าผากนางครั้งหนึ่ง แล้วก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอกอย่างโซเซ


 


 


เสียงสั่งดังเข้ามา “บอกเสด็จแม่ โยวเอ๋อร์ฟื้นแล้ว”


 


 


เสียงรับคำที่ดีใจของหวงฝู่อี้ดังเข้ามา “ขอรับ ข้าจะไปบัดเดี๋ยวนี้” หลังจากนั้น เสียงฝีเท้าก็วิ่งออกไปอย่างรีบเร่ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกข้าวต้มกลับมาอย่างรวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะนั่งขึ้นมา ก็ถูกเขาห้ามไว้ “อย่าขยับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนอนไม่ขยับอย่างเชื่อฟัง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวางถาดลง หยิบหมอนสูงที่อยู่ด้านหนึ่งมาค้ำศีรษะนางไว้ แล้วยกชามขึ้นมา มือข้างหนึ่งก็หยิบช้อนเล็กป้อนข้าวต้มให้นางกินทีละช้อน


 


 


กินข้าวต้มหนึ่งชามหมดก็กินไข่อีกสองฟอง เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าอิ่มแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแสดงความไม่พอใจ “ไม่ใช่บอกว่ากินวัวทั้งตัวได้หรอ นี่กินไปแค่เท่าไหร่เอง”


 


 


“หลับไปนานขนาดนี้ ไม่ควรกินมากเกินไปสิ รอผ่านไปสองวัน ข้าจะกินวัวทั้งตัวให้เจ้าดู” หลังจากกินอิ่มและมีแรงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดล้อเล่น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้ายิ้ม กำลังจะพูดอะไรกับนาง


 


 


ม่านประตูก็ถูกเปิดออก พระชายาฉีกับเมิ่งซื่อก็รุดเข้ามาปานสายลม เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นแล้วจริงๆ ขอบตาก็ชื้นขึ้นและถามพร้อมกัน “โยวเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วหรือ”


 


 


“ท่านแม่ เสด็จแม่ ทำให้พวกท่านต้องเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“ฟื้นแล้วก็ดี ฟื้นแล้วก็ดี” เสียงของเมิ่งซื่อสะอื้น


 


 


“เด็กโง่ พูดอะไรกัน แม่เป็นห่วงเจ้ามิใช่เป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรอกหรือ” น้ำเสียงของพระชายาฉีอ่อนหวานอย่างยิ่ง


 


 


เห็นน้ำตาของทั้งสองคนใกล้จะไหลรินออกมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบเปลี่ยนหัวข้อ “ลูกล่ะเจ้าคะ ข้าอยากจะดูลูกเสียหน่อย”


 


 


“เด็กๆ หลับอยู่ แม่นมกำลังเฝ้าอยู่ ข้าจะสั่งพวกนางอุ้มมาเดี๋ยวนี้”


 


 


พูดจบ ก็สั่งหลิงหลงที่เฝ้าอยู่ด้านนอก


 


 


หลิงหลงรับคำ


 


 


ไม่นาน แม่นมสองคนก็อุ้มเด็กสองคนเข้ามาอย่างมั่นคง และทำความเคารพต่อเมิ่งเชี่ยนโยว “ขอแสดงเคารพซื่อจื่อเฟยเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “อุ้มเด็กมาให้ข้าดูหน่อย”


 


 


ทั้งสองคนเข้ามาด้านหน้า แล้วย่อตัวลงในเวลาเดียวกัน


 


 


เด็กน้อยที่หน้าตาเหมือนกันทั้งสองคนปรากฏอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ความรู้สึกที่แปลกประหลาดผุดขึ้นในความคิดของเมิ่งเชี่ยนโยวทันใด นี่เป็นลูกของตัวเอง เป็นคนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันกับตัวเอง เป็นคนในครอบครัว ‘ที่แท้จริง’ ของตัวเอง ความรู้สึกนี้ น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แล้วก็น่ายินดีด้วยเช่นกัน


 


 


เงยหน้า หอมแก้มเด็กแต่ละคน กลับรู้สึกว่าค่อนข้างแปลกไปจากตอนที่นางเห็นพวกเขายามแรกเกิด ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเหมือนตอนนี้อย่างแน่นอน จึงเอ่ยปากสอบถามด้วยน้ำเสียงที่แคลงใจ “ข้าหลับไปนานเท่าไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ


 


 


เมิ่งซื่อขอบตาแดง


 


 


พระชายาฉีตอบ “เซวียนเอ๋อร์ไม่ได้บอกเจ้าหรือ เจ้าหมดสติไปสิบวัน พวกเราล้วนคิดว่าเจ้า…” คำพูดต่อมาไม่ได้พูดออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าใจความหมายของนาง เงยหน้า มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน ครั้งนี้ถึงจะเข้าใจว่าอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ของเขาเมื่อครู่มาจากไหน จึงยื่นมือออกไปทางเขา เป็นสัญญาณให้เขานั่งลง


 


 


แม่นมอุ้มเด็กขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้นิ่มอย่างช้าๆ มองนางตาไม่กะพริบ


 


 


“อี้เซวียน” เสียงมีความตื่นเต้น


 


 


อืม เสียงรับคำเบาๆ ราวกับกลัวว่าจะทำให้เด็กตกใจ


 


 


“เจ้าเด็กน้อยสองคนนี้ทรมานภรรยาเจ้าขนาดนี้ เจ้าได้ต่อยพวกนางหรือไม่”


 


 


แม่นมอึ้ง มองทั้งสองคนอย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า น้ำเสียงรู้สึกน้อยใจ “เสด็จแม่ปกป้องอย่างเข้มงวด ข้าแตะต้องไม่ได้แม้แต่น้อย”


 


 


ดวงตาของแม่นมยิ่งโตขึ้นแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกล่อมเด็ก “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ให้เสด็จแม่กับท่านแม่ดูแลพวกเขาเถิด ต่อไปข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเท่านั้น ดีไหม”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับด้วยความไม่เชื่ออย่างชัดเจน “เจ้าพูดจริงหรือ”


 


 


พยักหน้าแรงๆ “จริงสิ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มที่เป็นสุข และพยักหน้า “ตกลง”


 


 


พระชายาฉีก็ดีใจแล้ว “นี่เป็นเรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองคนพูดแล้วนะ เด็กมอบให้ข้าแล้ว ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ามาแย่งอีก”


 


 


“ใช่ๆๆ ข้าก็ได้ยินชัดแล้ว พวกเจ้าเสียใจภายหลังไม่ได้แล้วนะ” เมิ่งซื่อดีใจเสียยิ่งกว่าพระชายาฉี รีบพูดคล้อยตาม


 


 


แม่นมสองคนมองตากัน ภายในสมองปรากฏความคิดเหมือนกันในเวลาเดียวกันว่า สมองของเจ้านายในจวนอ๋องล้วนไม่ได้ผิดปกติไปแล้วใช่หรือไม่


 


 


เมิ่งซื่อกับพระชายาฉีอุ้มเด็กแต่ละคนอย่างดีใจเดินจากไป แม่นมก็ตามออกไป ภายในห้องเหลือแค่เพียงสองคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปัดร่างกายตัวเอง หวงฝู่อี้เซวียนถอดเสื้อนอกออก ขึ้นไปนอนบนเตียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหน้าที่ผอมแห้งและมีโหนกที่โปนชัดขึ้นของเขา “อี้เซวียน เจ้าตกใจแย่เลยสินะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่เลย เจ้าอยู่ข้าก็อยู่ เจ้าตายข้าก็ตาย ไม่มีอะไรน่ากลัวทั้งนั้น” คำพูดหนักแน่น ทว่า น้ำเสียงกลับสั่นไหวเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ว่าเขาผ่านความทรมานสิบวันนี้มาได้อย่างไร ทุกครั้งที่ทนหลับไม่ไหว ก็มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นโดยพลัน จากนั้นก็วางมือทาบไว้ใต้จมูกนางเพื่อตรวจดูว่านางยังหายใจอยู่หรือไม่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขอบตาแดงก่ำ

 

 

 


ตอนที่ 354 อ๋องฉีที่สับสน

 

นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความโหยหา และเฝ้ารอคอยด้วยใจที่สุขอุรา


 


 


กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็น…


 


 


“ไสหัวไป!” เสียงตวาดด่าพลังดังขึ้น ฝ่ามือของเมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกของเขาอย่างแรงด้วยความเดือดดาลที่เต็มอก “ข้าสลบมาหลายวันขนาดนี้ จะมีแรงที่ไหนอีก”


 


 


พูดจบ ศีรษะก็ล้มฟุบกลับไปที่หมอน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตะลึงอย่างนิ่งอึ้ง ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง มองนางอย่างไม่เชื่อ ครั้นเห็นใบหน้าที่ฉุนเฉียวของเมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มน้อยๆ ทันที ยิ้มจนใจสั่นไหว ยิ้มแล้วหมอบตัวลงไปข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว ยิ้ม…หยดน้ำตาไหลริน พูดพึมพำที่ข้างหูของนาง “โยวเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้ว ดีจริงๆ ดีจริงๆ ดีจริง…”


 


 


หยดน้ำตาเม็ดใหญ่ไหลเผลาะลงบนไหล่ของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เม็ดน้ำตาก็ประทับใจลงที่ใจของนาง ทำให้ขอบตาของนางร้อน แม้ว่าใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่กลับสะอื้นออกมา “ข้าปลูกผักกาดขาวชั้นดีมาอย่างยากลำบาก ถ้าหากว่าข้าตาย ก็ต้องถูกแม่หมูตัวอื่นแย่งแล้วน่ะสิ ข้าไม่ทำเรื่องที่ขาดทุนแบบนั้นหรอก”


 


 


หลังจากอึ้งไป ก็ยิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้ง ยิ้มจนรู้สึกสะท้าน ยิ้มอย่างมีความสุข ยิ้มจนอดไม่ได้ที่จะจูบลงไปที่ริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยว และพูดพึมพำเสียงเบา “วางใจเถิด ผักกาดขาวชั้นดีนี้จะเป็นของเจ้าตลอดไป”


 


 


ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งห้อง


 


 


เวลาผ่านไปอย่างสงบ ไม่มีผู้ใดรบกวน


 


 


ภายในห้องหนังสือ มีกระดาษยับยู่ยี่แผ่เกลื่อนอยู่บนโต๊ะ บนนั้นเขียนชื่อของเด็กผู้ชายสองคนและเด็กผู้หญิงสองคน อ๋องฉีจ้องชื่อของเด็กผู้ชายสองคนที่อยู่ฝั่งซ้ายอย่างแน่นิ่ง พลางถอนหายใจยาว บนหัวปรากฏเป็นภาพตัวเองตอนที่ได้ยินว่าเป็นเด็กผู้หญิงทั้งสองคน ร่างกายก็โอนเอน และรู้สึกเหมือนท้องฟ้าได้ถล่มทลายลง


 


 


เฮ้อ! แล้วเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง พ่อบ้านที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก้มหน้าลง เป็นเวลาสิบวันแล้วตั้งแต่ที่รู้ว่าซื่อจื่อเฟยคลอดเด็กผู้หญิงสองคน อ๋องฉีก็รู้สึกสะเทือนใจจนไร้สติโดยตลอด ทว่า พระชายาฉีกลับดีใจจนเหมือนกับได้รับสมบัติจากสวรรค์ ทุกวันที่อยู่กับเด็กทั้งสองคนก็ยิ้มไม่หุบ และไม่ยอมห่างจากพวกนางแม้แต่ครึ่งก้าว กระทั่งละเลยอ๋องฉีไป และยังละเลยอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอ๋องฉีได้นอนอยู่ในห้องหนังสือหลายวันแล้ว ก็ไม่มีการส่งคนมาถามไถ่สักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมาหาด้วยตัวเองเลย


 


 


หลังจากที่ไม่รู้ว่าวันนี้ได้ถอนหายใจไปแล้วกี่ครั้ง อ๋องฉียังคงนั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องหนังสือ ราวกับพระที่บำเพ็ญเพียร ไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย


 


 


หลังจากได้จูบแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็โอบเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในอ้อมอกอย่างพอใจ กอดนางเอาไว้อย่างเงียบๆ ปรารถนาให้ได้อยู่แบบนี้ไปจนแก่เฒ่า น่าเสียดาย มีคนไม่ยอมให้เขาได้สมดั่งใจหวัง เสียงของหวงฝู่อวี้เจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นก็ดังขึ้นภายในเรือนอย่างดีใจแบบที่ไม่รู้จะพูดอย่างไร “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินบ่าวบอกว่าพี่สะใภ้ใหญ่ตื่นแล้ว เป็นความจริงหรือไม่ขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รับคำ


 


 


หวงฝู่อวี้อึดอัด จึงยิ่งแผดเสียงดังขึ้น “พี่ใหญ่ พี่ไม่ได้อยู่ในห้องหรือขอรับ”


 


 


ยังคงไม่มีคนรับคำ


 


 


เสียงร้องเรียกที่ดังเปลี่ยนเป็นเสียงเบื่อหน่าย “อี้เอ๋อร์ พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ในห้องหรือ ทำไมไม่มีคนตอบ”


 


 


นั่นก็เป็นเพราะซื่อจื่อไม่อยากสนใจเจ้าอย่างไรเล่า นี่เป็นคำพูดในใจของหวงฝู่อี้ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา และยิ้มตอบเขา “คุณชายรอง ซื่อจื่อดูแลซื่อจื่อเฟยมานานหลายวันเช่นนี้ คิดว่าน่าจะอ่อนล้ามาก จึงอาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ ท่านค่อยมาวันอื่นเถิดขอรับ”


 


 


“จริงๆ เลย กลางวันแสกๆ แบบนี้ จะนอนอะไรกัน ไม่รู้ว่าข้าเป็นห่วงพี่สะใภ้ใหญ่หรือ” เสียงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่กลับจนปัญญา แล้วพูดกับหวงฝู่อี้ “เจ้าบอกพี่ใหญ่ด้วยว่าข้ากับเยียนเอ๋อร์จะมาเยี่ยมพี่สะใภ้ใหญ่ในวันพรุ่งนี้”


 


 


พูดจบ เสียงฝีเท้าก็ไกลออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เงยหน้า มองตาเขา แล้วถามด้วยความสัพยอก “เสียใจไหมที่ไม่ได้ไล่เขาออกไป”


 


 


สิ่งที่ตอบนางก็เป็นการจูบอีกครั้งหนึ่ง


 


 


หลังจากนั้นสามวัน ร่างกายของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีขึ้น และค่อยๆ ลงจากเตียงมาเคลื่อนไหวได้แล้ว


 


 


ในสามวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พบลูกเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่ทันทีที่นางพูดถึง หวงฝู่อี้เซวียนก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อปิดปากนาง ให้นางพูดออกไม่ได้ จึงหมดหนทาง ได้แต่เพียงอดทนไว้


 


 


ในที่สุดวันนี้ก็ไม่อาจจะทนไว้อีกแล้ว และพูดวิงวอน “อี้เซวียน ข้าอยากจะไปดูลูก”


 


 


เป็นอย่างที่หวงฝู่อี้เซวียนคาดคิด จึงไม่ได้คัดค้าน และพูด อืม รับอย่างเบาๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจแทบคลั่ง แล้วหันกายจะเดินออกไปด้านนอก แต่กลับถูกหวงฝู่อี้เซวียนดึงไว้ “เจ้ากำลังอยู่ไฟ จะไปไหน ข้าจะสั่งให้คนอุ้มลูกมาเอง”


 


 


พูดจบ ก็สั่งออกไปด้านนอก “โจวอัน เจ้าไปบอกเสด็จแม่ว่าโยวเอ๋อร์คิดถึงลูกแล้ว”


 


 


โจวอันรับคำ เสียงฝีเท้าก็ไกลออกไป


 


 


ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้นิ่ม แล้วก็เดินไปโต๊ะด้านข้าง เพื่อรินน้ำที่อยู่บนโต๊ะมาส่งให้ที่มือนาง กระทั่งนางค่อยๆ ดื่มจนหมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะนั่งลงบนเก้าอี้นิ่มอย่างเงียบๆ


 


 


พระชายาฉีและเมิ่งซื่อแต่ละคนอุ้มเด็กหนึ่งคนที่พันกายอย่างแน่นหนา เข้าประตูมา และยิ้มพูด “แม่นมเพิ่งจะให้นม เด็กยังตื่นอยู่ เจ้ามาดูเร็ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นอย่างไม่รอช้า เข้าไปหาพระชายาฉี รับเด็กมา แล้วอุ้มมาไว้ในอกอย่างแข็งทื่อ


 


 


“คนนี้คือพี่สาว” พระชายาฉียิ้มพูด


 


 


เปิดผ้าห่มเล็กที่ปรกอยู่บนหน้าเด็กออกมา ใบหน้าของเด็กปรากฏอยู่เบื้องหน้าของนาง ดวงตาทั้งคู่ที่โตเหมือนกับหวงฝู่อี้เซวียน คิ้วที่คมสวยเหมือนนาง ริมฝีปากเล็กๆ และจมูกที่โด่งเป็นสัน ไม่มีตรงไหนที่ไม่วิจิตร ไม่มีส่วนไหนที่ไม่งดงาม ความรู้สึกภาคภูมิใจก็พุ่งเข้ามาในใจ จึงหันหน้า เรียกหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความยินดี “อี้เซวียน เจ้ารีบมาดูเร็ว ลูกสาวของพวกเรางดงามเกินไปแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาตรงหน้านาง เมื่อเห็นเด็กตัวเล็กๆ ที่เปิดตาโตทั้งสองคู่มองมาทางเขาอย่างใคร่รู้ ก็ได้อึ้งไป


 


 


หลังจากคลอดเด็กทั้งสองคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็มีเลือดออกมาก แม้ว่าจะป้อนดอกบัวสีเลือดไว้ได้ทัน กลับยังคงสลบไสลไม่ฟื้น ระหว่างที่รู้สึกสับสน ไหนเลยที่หวงฝู่อี้เซวียนจะสนใจลูกทั้งสองคน ภายในตามีแต่เพียงใบหน้าที่ซีดขาวนั่นของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงไม่มีกระจิตกระใจต่อสิ่งอื่นแม้แต่น้อย


 


 


ดังนั้น เขาจึงปฏิเสธที่จะเจอลูก และเฝ้าอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งวันทั้งคืนอย่างดื้อรั้น ในใจก็ตั้งมั่นด้วยความแน่วแน่ว่า ถ้านางไม่รอด เขาจะต้องตามนางไปอย่างแน่นอน แม้ว่าสามวันก่อนหน้านั้นที่เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นมาพบลูก เขาก็ไม่ได้มองเลย


 


 


วันนี้ เขาได้เห็นลูกเป็นครั้งแรกจริงๆ ความรู้สึกหนึ่งที่ประหลาดในใจก็เกิดขึ้น แล้วเอื้อมมือออกไป ลูบแก้มของเด็กน้อยเบาๆ


 


 


อาจจะเป็นเพราะว่ากินอิ่มแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะรู้ว่าเบื้องหน้าคือพ่อกับแม่ เด็กน้อยก็ฉีกปากเล็กๆ ยิ้มขึ้นมาทันใด


 


 


“ให้เจ้าลองอุ้มสักหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวถือโอกาสนี้พูดและยัดใส่อ้อมอกของเขาทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับมาอย่างลนลาน เมื่อรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มในมือก็ตกใจจนมือทั้งคู่ค้างอยู่ในท่าที่รับเด็กมา ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย


 


 


พระชายาฉีทนเห็นต่อไปไม่ได้ จึงเดินมาตรงหน้า “เจ้าอุ้มแบบนี้เด็กจะไม่สบายเอาได้ ท่าทางต้องเป็นธรรมชาติเสียหน่อย”


 


 


ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนชะงักงัน ทั้งแขน ทั้งท่าทาง และน้ำเสียงก็ล้วนแข็งทื่อ “สะ…เสด็จแม่…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา เดินมาที่ข้างกายเมิ่งซื่ออย่างยิ้มแย้ม แล้วอุ้มเด็กน้อยอีกคนหนึ่ง จนกระทั่งเห็นหน้านางชัดแล้ว ก็อึ้งไป “ท่านแม่ เหตุใดพวกนางจึงหน้าตาเหมือนกันเลยเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งซื่อหัวเราะออกมา “สิบวันนี้ เจ้านอนจนโง่แล้วหรือ ฝาแฝดก็ย่อมต้องเหมือนกันสิ”


 


 


“เช่นนั้นแล้วจะแยกแยะอย่างไรเจ้าคะ”


 


 


ขณะที่เมิ่งซื่อจะตอบ พระชายาฉีก็ยิ้มห้ามนางและโบกมือให้แก่เมิ่งซื่อราวกับเด็กน้อยที่ซุกซน “ชิ่นจยา ให้พวกเขาพินิจเองเถิด ถ้าหาความแตกต่างไม่เจอ พวกเราทั้งสองคนก็อุ้มเด็กคนละคนไปได้แล้ว”


 


 


เมิ่งซื่อยั้งปากไว้ ยิ้มส่งสายตาที่ช่วยไม่ได้ให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ภายใต้การชี้แนะของพระชายาฉี ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนรู้วิธีการอุ้มเด็กอย่างรวดเร็ว ทว่า น่าเสียดายนัก ยังไม่ทันรอให้เขาได้ลิ้มลองอย่างละเอียด พระชายาฉีก็เข้ามา ‘แย่ง’ เด็กในอ้อมอกเขา “ร่างกายของโยวเอ๋อร์ยังไม่ดี ไม่ควรจะอุ้มเด็กนานไป จะได้ป่วยง่ายเพราะขาดการอยู่ไฟ เจ้าน่ะก็ต้องเฝ้าดูแลนางให้มากๆ ส่วนเรื่องดูลูก ก็ให้เป็นหน้าที่ของข้ากับท่านแม่ของเจ้าเถิด”


 


 


เมิ่งซื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ก็อุ้มเด็กมาจากอ้อมอกของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพยักหน้าคล้อยตาม “ใช่ๆๆ เรื่องรักษาร่างกายสำคัญกว่า ส่วนเรื่องดูแลลูกก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถิดนะ”


 


 


เห็นท่าทางที่ไม่รอช้าของทั้งสองคน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปากอ้าตาค้างอีกครั้ง ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น ทำไมถึงรู้สึกว่า หลังจากนี้ต่อไปตัวเองจะได้เห็นหน้าลูกยากขึ้นนะ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ ขณะที่จะอ้าปากพูด พระชายาฉีกับเมิ่งซื่อก็อุ้มเด็กคนละคน เดินจากไปโดยไม่หันหน้ากลับมาแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน


 


 


“อี้เซวียน” เอ่ยปากเสียงเบา


 


 


ส่งเสียง อืม


 


 


“ยินดีกับเจ้าแล้ว ต่อไปก็ไม่มีใครมาแย่งภรรยาเจ้าอีกแล้ว” คำพูดนี้ฟังอย่างไรก็ไม่รู้สึกยินดี


 


 


แล้วก็ส่งเสียง อืม เบาๆ อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ห่อเ**่ยว แต่ทันใดนั้น ท่าทางก็กระชุ่มกระชวยอีกครั้ง แล้วลูบศีรษะนาง พูดความในใจของตัวเอง “วางใจเถิด ถ้าเจ้าคิดถึงลูก ข้าก็จะไปขโมยมาในยามวิกาล”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา พวกเขาทั้งสองคนคงจะเป็นพ่อแม่ที่น่าสงสารที่สุดแล้ว แม้แต่อยากจะพบหน้าลูกยังต้องไปขโมยมา อย่างไรก็ตาม เวลานี้เมิ่งเชี่ยนโยวคงจะคิดไม่ถึงว่า ต่อไปเรื่องการขโมยเด็กจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในจวนอ๋อง


 


 


ทั้งสองคนต่างคิดหาวิธี จึงไร้คำพูดไปช่วงขณะ ภายในห้องตกอยู่ในห้วงแห่งความเงียบ แล้วเสียงของหวงฝู่อวี้เจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นก็ดังกังวาลขึ้นเป็นพิเศษจากในเรือน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกพี่อยู่หรือไม่ขอรับ ข้ากับเยียนเอ๋อร์มาเยี่ยมพวกพี่แล้ว”


 


 


ยิ้มมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง พอเห็นเขาไม่ได้คัดค้าน ก็เปล่งเสียงพูดออกไปด้านนอก “เข้ามาเถิด”


 


 


เมื่อรับคำอย่างดีใจ ทั้งสองคนก็เดินเข้ามา


 


 


หวงฝู่อวี้เดินตรงเข้ามาหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พินิจดูนางจากบนลงล่างอย่างละเอียด ครั้นเห็นสีหน้าที่แดงฉ่ำ ดูกระฉับกระเฉง ก็ตบหน้าอกตัวเอง “พี่สะใภ้ใหญ่ ทำข้าตกใจแทบแย่ ข้าคิดว่าท่านจะไม่ตื่น…”


 


 


พูดยังทันไม่จบ เท้าหนึ่งก็ถีบเข้าที่ด้านหลังอย่างแรง ถีบจนเขาเกือบจะล้มคะมำลงพื้น “หากยังกล้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะไล่เจ้าออกไป”


 


 


หวงฝู่อวี้หุบปากสนิท ไม่กล้าพูดอะไร


 


 


ดูเหมือนว่าหลินหันเยียนจะตกใจแล้ว จึงก้าวถอยออกไปหนึ่งก้าวอย่างอดไม่ได้ สีหน้าพลันขาวซีด สายตาก็พร่ามัว แล้วก้มหน้าลงกล่าวขณะที่ร่างกายและน้ำเสียงสั่นระรัว “ขอแสดงความเคารพซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเจ้าค่ะ”


 


 


“ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น อย่าได้เกรงใจเลย เชิญคุณหนูหลินนั่งเถิด”


 


 


ร่างกายของหลินหันเยียนสะท้านอีกครั้ง ดวงตาที่เปียกชุ่มเงยขึ้นมามองนางอย่างไม่เชื่อ แล้วก้มลงกลับไปอย่างรวดเร็ว พร้อมพูดเสียงสั่น “ขอบพระคุณเจ้าค่ะซื่อจื่อเฟย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว


 


 


“เยียนเอ๋อร์ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่งลงสิ” หวงฝู่อวี้พูดกับนางโดยที่ไม่ได้เห็นท่าทางของนาง


 


 


หลินหันเหยียนก้มหน้าเดินมานั่งบนเก้าอี้ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว และนั่งลงอย่างเรียบร้อย


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะบอกท่านให้ หลานสาวสองคนนั้นของข้าน่ารักเหลือเกิน ทุกวันที่ข้ากลับมาก็ต้องหยอกล้อเล่นกับพวกนาง พวกนางสนิทกับอาคนนี้ทีเดียวขอรับ” น้ำเสียงของหวงฝู่อวี้ตื่นเต้นอย่างที่ปิดบังไว้ไม่ได้


 


 


ตั้งแต่ที่เรื่องของเขากับหลินหันเยียนมั่นคงขึ้น ก็เริ่มบริหารจัดการกิจการภายในจวน ทำให้ทุกวันต้องยุ่งอย่างไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนและหลังตรุษจีน อีกทั้งช่วงที่เมิ่งเชี่ยนโยวหมดสติไป เขาก็ยิ่งยุ่งมากขึ้นอีก ยุ่งจนแม้แต่เวลาที่จะอยู่เป็นเพื่อนหลินหันเยียนก็ไม่มี แต่เขากลับไม่ได้ลืมที่จะไปดูหลานสาวที่น่ารักทั้งสองคนนั่น


 


 


ร่างกายของหลินหันเยียนก็สะท้าน และก้มหน้าลงต่ำยิ่งขึ้นอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปรายตามองนางแวบหนึ่ง แล้วละสายตาของตัวเองกลับมา ถาม “คุณหนูหลินไม่สบายหรือ”


 


 


เงยหน้าอย่างประหลาดใจ แล้วก้มลงไปอีกครั้งโดยทันที พร้อมส่ายหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ราวกับเสียงยุงบิน “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยที่เป็นห่วง ข้าสบายดีเจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ขมวดคิ้วเช่นกัน


 


 


หวงฝู่อวี้ยังคงไม่พบถึงความผิดปกติของนาง แล้วพูด “ร่างกายของเยียนเอ๋อร์ดีอย่างมากเลยขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าบอกพวกพี่ให้…”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เดินออกไปด้านนอกโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว


 


 


หวงฝู่อวี้ผงะไป และถ้อยคำที่จะพูดก็ชะงักอยู่ที่ปาก


 


 


“อวี้เอ๋อร์ เจ้าตามข้ามา” หวงฝู่อี้เซวียนพูดโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา


 


 


“อ้อ ขอรับ” หวงฝู่อวี้รับคำ แล้วลุกขึ้นยืน พลางพูดกำชับ “เยียนเอ๋อร์ ข้าจะรีบกลับมา เจ้าพูดคุยเป็นเพื่อนพี่สะใภ้ใหญ่ก่อนนะ” พูดจบ ตัวคนก็ตามออกไปแล้ว


 


 


ภายในห้องเหลือแต่เพียงเมิ่งเชี่ยนโยวกับหลินหันเยียนสองคน


 


 


หลินหันเยียนถอนหายใจโล่งอกอย่างชัดเจน แล้วร่างกายก็ยืดตรงขึ้นเล็กน้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกกาน้ำชาเพื่อรินน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว จากนั้นส่งไปตรงหน้านางด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษด้วย ข้าไม่สามารถดื่มน้ำชาได้ คุณหนูหลินดื่มสักหน่อยเถิด”


 


 


หลินหันเยียนรับมา หลังจากพูดขอบคุณเบาๆ แล้ว ก็ยกถ้วยชาขึ้นวางไว้บนมือ และวนถ้วยอย่างลืมตัว


 


 


มองนางแวบหนึ่งแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มถาม “คุณหนูหลินมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าใช่หรือไม่”

 

 

 


ตอนที่ 355 คนที่บ้านมาถึงแล้ว

 

นัยน์ตาของหลินหันเยียนส่องประกายอ่อนๆ แวบหนึ่ง วางถ้วยชาบนมือแล้ว ก็ไถลตัวลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น “ซื่อจื่อเฟยเจ้าคะ ข้าอยากจะแต่งงานกับพี่อวี้เร็วขึ้นอีกหน่อยเจ้าค่ะ หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเหลือข้าได้”


 


 


ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย จ้องมองนางสักพัก จนกระทั่งหลินหันเยียนเกือบจะยอมแพ้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นมือทำเหมือนว่าจะพยุงนาง “คุณหนูหลินลุกขึ้นมาก่อนเถิด เรื่องงานแต่งของเจ้ากับน้องรองไม่ช้าเร็วก็ต้องจัดอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ข้าอยู่กำลังอยู่ไฟ แม้แต่ประตูก็ยังออกไม่ได้ ดังนั้น ถึงข้าจะอยากช่วย แต่ก็จนปัญญาจริงๆ”


 


 


หลินหันเยียนริมฝีปากสั่น อยากจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่า ระหว่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้อยู่ตลอด สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดออกมา แล้วก้มหน้าลง พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้าสร้อยอย่างชอบกล “หันเยียนล้ำเส้นแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“นี่เจ้าพูดอะไรน่ะ ล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น พูดอย่างสบายๆ หน่อยก็ได้ คุณหนูหลินมักจะทำเหมือนว่าตัวเองเป็นคนนอกอยู่ตลอดเลย แบบนี้ไม่ดีนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บมือกลับ พูดด้วยเสียงเรียบๆ


 


 


หลินหันเยียนไม่ได้พูด ศีรษะกลับยิ่งก้มต่ำลง


 


 


“คุณหนูหลินอยากจะให้ข้าพยุงเจ้าขึ้นมาหรือ” เห็นนางคุกเข่าไม่ขยับ เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา และพูดด้วยเสียงเย็นชา


 


 


ร่างกายของหลินหันเยียนสะท้านทันใด แล้วรีบยืนขึ้นมา “ซื่อจื่อเฟย ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า…ข้า…”


 


 


ท่าทางที่กลัวแต่เพียงเมิ่งเชี่ยนโยวจะต่อว่าและไม่รู้จะพูดอะไรดี ทำให้กระวนกระวายจนขอบตาแดง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางอย่างเงียบๆ


 


 


หลินหันเยียนลนลานอย่างยิ่ง แล้วโค้งตัวให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว “ซื่อจื่อเฟยโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ ข้าต้องการจะกลับแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองนางอย่างเงียบๆ จนกระทั่งนางรับความกดดันไม่ไหว ถึงจะเอ่ยปาก “ไปเถอะ ร่างกายของคุณหนูหลินอ่อนแอนัก ต้องรักษาตัวระยะหนึ่ง ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องมาแล้ว”


 


 


ร่างกายโอนเอน แล้วย่อเข่ารับคำ “เจ้าค่ะ” ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากอีกครั้ง ก็หันกายสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เห็นเงาร่างของนางรีบร้อน เมิ่งเชี่ยนโยวก็หรี่ตาลง


 


 


ด้านนอกมีเสียงของหวงฝู่อวี้ดังขึ้น “เยียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนพี่สะใภ้ใหญ่ให้มากหน่อยเล่า”


 


 


“ข้า…ร่างกายข้าไม่ค่อยสบาย กลัวว่าจะแพร่ให้แก่ซื่อจื่อเฟย”


 


 


“ไม่สบายอีกแล้วหรือ อยากให้ข้าเรียกหมอหลวงเจียงมาตรวจดูให้เจ้าสักหน่อยหรือไม่”


 


 


“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ อาจจะเพราะเมื่อคืนโดนลมเย็นเข้าแล้ว กลับไปนอนพักสักหน่อยก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”


 


 


“ก็ได้ ข้าจะพยุงเจ้ากลับไป”


 


 



 


 


เสียงพูดคุยไกลออกไป หวงฝู่อี้เซวียนกลับเข้ามาภายในห้อง ถามด้วยเสียงอ่อนโยน “เหนื่อยไหม”


 


 


เริ่มเหนื่อยบ้างแล้วจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หวงฝู่อี้เซวียนจึงประคองนางเดินมาที่ข้างเตียง แล้วอิงที่เตียงครึ่งตัว


 


 


อ้าปาก อยากจะพูดอะไรบางอย่าง หวงฝู่อี้เซวียนกลับลูบผมของนาง “อยู่ไฟให้ดีๆ เถิด ส่วนที่เหลือทั้งหมด เจ้าไม่ต้องกังวลแล้ว”


 


 


ถ้อยคำที่จะพูดก็กลืนกลับเข้าไป แล้วพยักหน้ายิ้ม


 


 


ผ่านไปหนึ่งวัน จนมาถึงใกล้เที่ยง แสงของดวงอาทิตย์ส่องตรงลงมาอย่างเต็มที่ ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่น ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังอยากจะให้คนอุ้มลูกมา เมิ่งซื่อก็เปิดม่านเดินเข้ามา


 


 


“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกอย่างดีใจ “ลูกล่ะเจ้าค่ะ เหตุใดจึงไม่อุ้มมาด้วย”


 


 


พูดถึงเด็ก น้ำเสียงของเมิ่งซื่อก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พระชายากำลังดูอยู่น่ะ ที่แม่มาเพราะมีเรื่องจะบอกเจ้า”


 


 


“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”


 


 


“ตอนที่เจ้าคลอดลูกเสร็จ แล้วสลบไสลไป แม่ตกใจมาก จึงสั่งคนให้ไปส่งข่าวให้พ่อเจ้า สุดท้าย ทั้งปู่ย่า ลุงใหญ่ และพี่สะใภ้สามล้วนมากันหมด หลังจากนั้น ตากับยายของเจ้าที่ไม่รู้ว่าได้ยินจากใคร ก็ให้ลุงใหญ่ของเจ้าเร่งรถม้าตามมา ตอนนี้พวกเขาทุกคนล้วนอยู่ในบ้านที่หนานเฉิง ข้าเห็นเจ้า…”


 


 


“พวกท่านตากับท่านยายก็มาแล้วหรือเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างประหลาดใจปนยินดี


 


 


“ไม่ใช่แค่พวกเขา ยังมีครอบครัวลุงใหญ่และอารองของเจ้าต่างก็มากันหมดแล้ว” ภายน้ำในเสียงของเมิ่งซื่อมีรอยยิ้ม เมื่อลูกสาวเกิดเรื่อง แล้วคนบ้านแม่ล้วนมาหมด ก็แสดงว่าในใจของพวกเขาให้ความสำคัญต่อลูกสาวตัวเองอย่างมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในใจของเมิ่งซื่อดีใจมากแค่ไหน


 


 


“เช่นนั้นข้าไปแต่งตัวสักประเดี๋ยว แล้วจะกลับไปเยี่ยมพวกเขาด้วยกันกับอี้เซวียน” น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นเต้นไปด้วย เป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้วที่ไม่ได้เจอคนในครอบครัว นางก็คิดถึงอย่างมาก


 


 


เมิ่งซื่อรีบห้ามนาง “เจ้ายังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ ไฉนจะออกจากบ้านได้เล่า ร่างกายของเจ้าต้องทนไม่ไหวแน่ ข้าจะให้คนไปส่งข่าวบอกให้พวกเขามาหา ถ้าหากไม่ได้ ก็รออีกสองวัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างดีใจ “ท่านแม่ ร่างกายของข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ ท่านให้คนส่งข่าวไปเถิด ไม่สิ ให้โจวอันไปส่งข่าวแล้วกันเจ้าค่ะ ท่าทางเขาว่องไวมากกว่า”


 


 


เมิ่งซื่อห้ามอีกครั้ง “ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว คนตั้งมากมายขนาดนี้ อย่างไรก็ไม่อาจมากินข้าวที่จวนอ๋องได้หรอก รอให้กินข้าวเสร็จแล้ว ค่อยส่งคนไปส่งข่าวก็ยังไม่สาย”


 


 


คนในครอบครัวมาจวนอ๋องทีหนึ่ง ต่างเป็นต้องหวาดกลัวจนตัวสั่นราวกับจะถูกเอาชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ถ้าหากมากินข้าวที่จวนอ๋อง ก็คงจะหยิบตะเกียบไม่เป็นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้แต่เพียงพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะท่านแม่ ว่าตามอย่างที่ท่านว่าเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อเดินยิ้มออกไป โดยแม้แต่พูดคุยถามไถ่อื่นๆ อีก ท่าทางอันรีบร้อนที่อยากจะกลับไปหาเด็กๆ นั่นทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าตัวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนางเสียแล้ว เด็กน้อยสองคนนั้นต่างหากที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ที่รักของนาง


 


 


เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ไม่ต้องให้เมิ่งซื่อเอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งโจวอันไปที่หนานเฉิงด้วยตัวเองเลย


 


 


สามีภรรยาเมิ่งเอ้ออิ๋นกับเมิ่งเสียนล้วนมากันแล้ว หลังจากที่รออยู่ในบ้านอย่างไม่เป็นสุขหลายวัน ในที่สุดก็มีข่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นแล้ว


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจจนร้องไห้ ซุนเชี่ยนกับหวังเยียนก็ตาแดง ส่วนเมิ่งเสียน เมิ่งฉีนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แทบอยากจะตรงไปลากหวงฝู่อี้เซวียนมาตียกใหญ่ หลังจากนั้นอีกหลายวัน เมื่อได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีอะไรโดยตลอด จิตใจถึงสงบลงได้ แล้วตั้งตารอเมิ่งซื่อส่งข่าวให้มาเยี่ยมเมิ่งเชี่ยนโยวที่จวนอ๋อง


 


 


ข่าวของโจวอันได้ส่งมาถึงแล้ว หลังจากที่คนในครอบครัวเพิ่งจะกินข้าวเสร็จและสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ก็รีบออกเดินทางอย่างเอิกเกริก คนจำนวนยี่สิบสามสิบคนกับรถม้าคันใหญ่ห้าหกคัน ทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นตกใจจนต้องชะโงกศีรษะออกมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับครอบครัวเมิ่งอีกแล้วใช่หรือไม่


 


 


คนบนรถม้าไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจพวกเขา โดยเฉพาะพ่อแม่ของจางจู้ พวกเขาตื่นเต้นจนเส้นผมล้วนจะตั้งชูขึ้นแล้ว ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาเมืองหลวง พวกเขาก็ไม่ได้พบนางหลายปี แม้จะบอกว่า เมื่อครั้งที่เมิ่งเสียวเถี่ยตาย เขาได้กลับไปหลายวัน ทว่า ทั้งสองคนเป็นผู้ใหญ่ จึงย่อมไม่ได้ร่วมแสดงความเสียใจกับรุ่นเล็ก ทำให้ไม่ได้เจอเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากนั้น นางก็จากไปอย่างฉุกละหุก ประสบกับเหตุลอบทำร้าย ได้รับบาดเจ็บ หายตัวไป แต่งงาน ท้อง คลอดก่อนกำหนด จนถึงคลอดยาก เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ที่ได้รับข่าวมา ทำให้คนชราทั้งสองคนเกือบจะแบกรับไว้ไม่ไหวแล้ว ดังนั้น ครั้นได้ยินข่าวนี้ก็วิ่งตรงกลับไปที่บ้าน บอกพวกเขาด้วยสีหน้าขาวซีดถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวเจอปัญหาคลอดลูกยากและทำให้สลบไสลไม่ฟื้น ทั้งสองคนก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ให้จางจู้เร่งรถม้ามาด้วยตัวเอง และถึงเมืองหลวงโดยที่เท้าของม้าไม่ได้หยุดพักเลย พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ฟื้น ก็คงไม่ต้องบอกว่าความกระวนกระวายในใจและความไม่เป็นอันสงบนั้นมีมากเพียงไหน


 


 


เวลานี้ที่นั่งอยู่บนรถม้า รถม้าใกล้จะเจอคนที่ถวิลหาแล้ว จะไม่ตื่นเต้นได้ที่ไหนกันเล่า


 


 


แล้วรถม้าก็มาถึงประตูด้วยความรู้สึกที่ประหม่าและคาดหวัง


 


 


ลงจากรถม้าแล้ว เห็นบรรยากาศประตูใหญ่ของจวนอ๋อง ด้านหน้ามีเสือหินที่น่าเกรงขาม จิตใจที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวและเปี่ยมด้วยความปรีดาของทุกคนเมื่อครู่ก็ล้วนกลายเป็นความลนลานอย่างมาก เหล่าเมิ่งซื่อและแม่ของเมิ่งซื่อผวาจนแทบอยากจะกลับขึ้นไปบนรถม้าอีกครั้ง


 


 


จวนอ๋องฉีน่ะนะ เป็นสถานที่พักอาศัยของท่านอ๋องฉีผู้เป็นอ๋องทรงศักดิ์ที่สุดแห่งรัฐอู่ และมีอำนาจที่จะคร่าชีวิตของทุกๆ คนได้ เพียงแค่เข้าใกล้เล็กน้อยก็ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกขนหัวลุก ถ้าเข้าไปแล้วล่ะก็… ทั้งสามคน ตัวหนาวสั่นและยื่นแข็งทื่อพร้อมกัน ถ้าหากเข้าไป แล้วเผลอทำให้อ๋องฉีโมโห การที่หัวของพวกเขาหายไปยังเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าพาลไปถึงโยวเอ๋อร์นั่นแล้วถึงจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ


 


 


คนชราหลายคนด้านนี้คิดกันต่างๆ นานา ขณะที่กำลังจะเคาะกลอง ฝีเท้าของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งซื่อเดินอย่างเร่งรีบออกมาจากในจวน


 


 


เมิ่งซื่อดีใจจนร้องเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่” พลางเดินมาที่ข้างกายคนชราทั้งสี่คน ซ้ายขวาแต่ละด้านประคองที่แขนของแม่และย่าของตัวเอง “โยวเอ๋อร์รู้ว่าพวกท่านจะมาก็ดีใจใหญ่เลยเจ้าค่ะ อยากจะวิ่งออกมา แต่ได้ถูกข้าห้ามเอาไว้แล้ว”


 


 


ได้อย่างไรกันเล่า เมื่อคำพูดของเมิ่งซื่อสิ้นลง ใจของเหล่าเมิ่งซื่อก็หล่นหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว “ใช่ๆๆ อย่าได้ให้นางออกมาเลย ถ้าหากโดนลมในช่วงอยู่ไฟก็จะลำบากแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้ามาด้วย แล้วร้องเรียกทุกคน


 


 


ทุกคนรับคำ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาคล้องแขนของเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ เข้าไปเถิดขอรับ”


 


 


แม้ว่าจะเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว เมิ่งจงจวี่ก็ยังคงรู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็พยายามทำหน้าหนาเดินไปในจวนอ๋องพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนที่มาช่วยพยุง ขณะที่เมิ่งต้าจินก็พยุงเขาอยู่อีกข้างหนึ่ง


 


 


พี่น้องจางจู้รีบประคองพ่อของตัวเองตามหลังไป


 


 


คนหลายสิบคนเดินเข้าไปในจวนอ๋อง


 


 


บ่าวรับใช้ภายในจวนมองพวกเขาด้วยความตกตะลึง แล้วก็เข้าใจในทันใดว่าเป็นครอบครัวของซื่อจื่อเฟยที่มา จึงเก็บอาการตกตะลึง แล้วก้มหน้าทำความเคารพต่อทุกคน


 


 


ไหนเลยที่ทุกคนจะเคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน ก็ยืดอกขึ้นอย่างลืมตัว ทำทีเดินวางมาดมาถึงยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว ภายในเรือนสะอาดและเงียบสงบ มีเพียงโจวอันกับหวงฝู่อี้ ครานี้ ทุกคนถึงจะรู้สึกผ่อนคลายลง


 


 


หวงฝู่อี้วิ่งมาทักทายเมิ่งจงจวี่และคนอื่นๆ อย่างยิ้มแย้ม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงฝีเท้าของทุกคน ก็อดใจรอไม่ไหวตั้งนานแล้ว จึงเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว แหวกม่านประตูออกเพื่อจะออกไปต้อนรับ แต่แล้วก็ถูกเสียงของเมิ่งซื่อตะโกนขู่อย่างดังเข้ามา จึงผงะและยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ


 


 


มีจำนวนคนมากมายเกินไป อีกทั้งยังอยู่ในช่วงอยู่ไฟของเมิ่งเชี่ยวโยว เมิ่งจงจวี่และคนอื่นย่อมไม่เหมาะสมที่จะเข้าไป เหล่าเมิ่งซื่อ แม่ของจางจู้ ภรรยาเมิ่งต้าจิน ภรรยาเมิ่งซานถง อาของจางจู้สองคน ซุนเชี่ยน และหวังเยียนก็เดินเข้าไปในห้อง ส่วนคนที่เหลือนั้น หวงฝู่อี้เซวียนได้พาไปที่ห้องรับแขกแล้ว


 


 


“โยวเอ๋อร์ เจ้าถอยไปนะ พวกเรากำลังจะเข้าไปแล้วเดี๋ยวนี้” เมิ่งซื่อเปล่งเสียงดัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอยหลังไปหลายก้าว เมิ่งซื่อเดินเข้ามาที่ข้างประตูและเปิดม่านออก เหล่าเมิ่งซื่อเดินเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รุดเข้ามาหาทันที โอบคอของนาง แล้วพูดเสียงหวานหยดย้อย “ท่านย่า ข้าคิดถึงท่านจะแย่แล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เหล่าเมิ่งซื่อได้ยินแล้วในใจก็เบิกบาน ตบหลังของนาง “ย่าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน”


 


 


แม่ของเมิ่งซื่อเดินเข้ามาในห้องตามมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ผละจากเหล่าเมิ่งซื่อ แล้วโอบคอของนาง พูดด้วยเสียงฉอเลาะออดอ้อน “ท่านยาย ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเจ้าค่ะ”


 


 


เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้น้ำตาของหญิงชราจางซื่อไหลลงมาอย่างอดกลั้นไม่ได้ พูดทั้งน้ำตาที่พร่ามัว “เด็กดี ให้ยายดูหน่อยสิ ผอมลงไปแล้วหรือยัง”


 


 


ปล่อยมือออก แล้วเอามือกลับมาหยิกแก้มที่อ้วนตุ๊ต๊ะของตัวเอง “ท่านยายเจ้าคะ ท่านดูสิ ไม่เพียงแต่จะไม่ผอมลง ยังจะอ้วนขึ้นอีกเจ้าค่ะ ข้าถูกอี้เซวียนเลี้ยงจนใกล้จะกลายเป็นหมูแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


คำพูดที่ซุกซนทำให้ทุกคนที่เดินตามเข้ามาหัวเราะเสียงดัง บรรยากาศที่เศร้าหมองก็หายไปโดยพลัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกแต่ละคนแล้ว ก็มาต้อนรับซุนเชี่ยนที่ดวงตาแดงก่ำ สองมือของเมิ่งเชี่ยนโยวกางออก แล้วกอดนางไว้ในอ้อมอก “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ”


 


 


ซุนเชี่ยนโอบนางกลับ “เจ้าเด็กบ้า ทำข้าเป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ซุนเชี่ยนเรียกนางเช่นนี้ แต่กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกสนิทสนมขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แล้วพ่นเสียงหัวเราะออกมา “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านแม่อยู่นี่นะเจ้าคะ เจ้ากล้าเรียกลูกสาวของนางแบบนี้ ระวังว่ากลับบ้านไปแม่จะคิดบัญชีด้วยนะ”


 


 


แล้วก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง เมิ่งซื่อตบหลังของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างยิ้มแย้ม “เชี่ยนเอ๋อร์ อย่าไปฟังนางนะ แม่รักเจ้ามากกว่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง เบิกตาโพลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “ท่านแม่ ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่านนะ”


 


 


ทุกคนหัวเราะเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวเราะนั้นดังออกไปไกล บ่าวรับใช้ในจวนได้ยินแล้ว ก็เผยรอยยิ้มตามออกมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินว่าครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยวล้วนมาแล้ว พระชายาฉีก็ส่งหลิงหลงให้นำสาวใช้ที่คล่องแคล่วหลายคนมาช่วย


 


 


เวลานี้ หลิงหลงพาสาวใช้ยกน้ำชาและขนมที่วิจิตรวางไว้ตรงหน้าทุกคน แล้วถอยออกไปเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างนอบน้อม


 


 


ทุกคนสอบถามสภาพร่างกายของเมิ่งเชี่ยนโยว ครั้นได้รู้ว่านางไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ อีกทั้งยังเห็นนางมีสีหน้าแดงอวบอิ่ม ก็ถอนหายใจ แล้วเริ่มมองซ้ายมองขวา เหล่าเมิ่งซื่อเอ่ยปากถาม “ลูกล่ะ อุ้มออกมาให้พวกเราดูสักหน่อย”


 


 


“ร่างกายของโยวเอ๋อร์ไม่ดี เด็กก็เลยอยู่ในเรือนของพระชายาฉีเจ้าค่ะ ท่านแม่รอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ข้าจะไปให้แม่นมอุ้มมาเจ้าค่ะ” เมิ่งซื่อพูด


 


 


เหล่าเมิ่งซื่อพยักหน้า “รีบไปเถิด อุ้มมาให้ข้าดูสักหน่อย”


 


 


เมิ่งซื่อเดินออกไป


 


 


ไม่นานก็พาแม่นมสองคนที่อุ้มเด็กมา


 


 


เหล่าเมิ่งซื่อไม่เหมือนกับเมิ่งซื่อ สิ่งที่เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือไม่มีลูกสาว จึงไม่มีเด็กหญิงตัวน้อยๆ ออดอ้อนอยู่ข้างกาย ดังนั้น ทันทีที่อุ้มเด็กมา ก็เอื้อมมือออกไปอย่างไม่รอช้า “ให้ข้าอุ้มคนหนึ่ง”


 


 


แม่นมสองคนได้รับคำสั่งจากพระชายาฉีแล้ว จึงไม่กล้ารีรอ คนหนึ่งวางเด็กคนหนึ่งไว้ในอ้อมอกของเหล่าเมิ่งซื่อ


 


 


เหล่าจางซื่อ ผู้เป็นยายทวดของเด็กทารกทั้งสองเอื้อมมือออกไปรับเด็กอีกคนมา


 


 


ทุกคนเข้ามาล้อมรอบ เพื่อแย่งกันดูเด็ก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถูกทิ้งไว้ด้านหลังอย่างเฉยชา


 


 


“รีบมาดูเร็ว เด็กน้อยคนนี้เหมือนกับโยวเอ๋อร์ตอนเด็กไม่ผิดเลย” เสียงของเหล่าเมิ่งซื่อมีความยินดี


 


 


“เด็กสองคนนี้หน้าตาดูฉลาดเฉลียวจริงๆ ใครเห็นใครก็รัก” เสียงของนางจางซื่อ


 


 


“ดูเร็ว ดูเร็ว ยิ้มให้ข้าด้วย” เสียงของภรรยาเมิ่งต้าจิน


 


 


“เด็กสองคนนี้ คนไหนพี่คนไหนน้องล่ะ” เสียงของภรรยาเมิ่งซานถง


 


 


“เสียดายที่ดูตัวเล็กกว่าเด็กที่คลอดตามกำหนดไปหน่อย” เสียงภรรยาจางจู้


 


 


คำพูดของนางสิ้นลง สายตาก็พุ่งมาที่ร่างนางโดยพร้อมกัน ทำให้ภรรยาจางจู้หนาวสั่น รู้สึกว่าตัวเองได้พูดผิดไปแล้ว จึงยิ้มแหะๆ แล้วรีบพูดแก้สถานการณ์ “แต่ก็ดูฉลาดเฉลียวกว่าเด็กคลอดตามกำหนด พวกเด็กที่คลอดตามกำหนดจะลืมตาเร็วขนาดนี้ที่ไหนกัน แล้วยังยิ้มให้พวกเราอีก”


 


 


แววตาของทุกคนก็ละกลับไป


 


 


ภรรยาจางจู้ตีตัวเอง นางตกใจจนหัวใจเต้นรัวดัง ตึกตัก ตึกตัก โล่งอกไปที คุณพระคุณเจ้า แววตาของทุกคนเมื่อครู่ราวกับจะกินนางอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ายิ้มอยู่ข้างๆ


 


 


ดูกันสักพัก แหย่เล่นกันสักพัก เด็กทั้งสองคนก็หาวแล้ว


 


 


ทุกคนจึงรีบส่งเด็กให้แก่แม่นม


 


 


แม่นมอุ้มและกล่อมให้เด็กนอน


 


 


ทุกคนพูดถึงเด็กอย่างออกรสออกชาติกันสองชั่วโมงกว่า ถึงจะกำชับให้เมิ่งเชี่ยวโยวรักษาตัวเองอย่างดีด้วยความดีใจอีกครั้ง แล้วถึงจะกลับหนานเฉิงไป


 


 


แล้วผ่านไปห้าหกวัน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เป็นอะไร ทุกคนก็ตั้งใจว่าจะกลับแล้ว เมิ่งซื่อช่วยจัดแจงสิ่งของอยู่ที่บ้าน จึงไม่ได้มาหา


 


 


อ๋องฉีที่นั่งถอนหายใจยาวอยู่ในห้องหนังสือโดยตลอด ในที่สุดก็ปล่อยวางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลานสาวหรือเป็นหลานชาย สุดท้ายแล้วก็เป็นสายเลือดจวนอ๋องของเขาอยู่ดี ตัวเองก็ควรจะไปดูเสียหน่อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)