ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 348-351
ตอนที่ 348 ครั้งสุดท้าย
หวงฝู่อี้เซวียนอึ้งไปอย่างไม่เชื่อ เม้มปาก เดินมาตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ แล้วก้มหน้าลงจ้องเขา
“พี่ใหญ่” หวงฝู่อวี้ร้องเรียกอีกครั้ง เผยรอยยิ้มที่ขื่นขมอย่างอ่อนล้า “ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรหลอกพวกพี่ บอกว่าเยียนเอ๋อร์…”
“ครั้งสุดท้าย” หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากขึ้นแทรกคำพูดของเขา
หวงฝู่อวี้ผงะไป แล้วก็ลิงโลดขึ้นมาทันที ใบหน้าเบิกบานด้วยรอยยิ้มราวกับยกภูเขาออกจากอก ถามอย่างรีบร้อน “พี่ใหญ่ พี่ให้อภัยข้าแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
“กลับไปแช่น้ำอุ่นเสีย ถ้าหากกล้าป่วยอีกแล้วล่ะก็ ข้าจะไล่เจ้าออกไปจากจวน” พูดจบ ก็หันกายเดินมุ่งไปทางห้องครัว
“ไม่ป่วยแน่นอนขอรับ ร่างกายของข้าแข็งแรงทีเดียวเชียวขอรับ ต่อให้คุกเข่าอีกสองวันก็ไม่มีปัญหา พี่ใหญ่วางใจเถิด” หวงฝู่อวี้ร้องอย่างดีใจอยู่ด้านหลัง
มองเข้าไปในห้องครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ย่นหัวคิ้ว จึงหันหน้ากลับมา พูดทิ้งท้าย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็คุกเข่าต่อไปเถอะ”
หวงฝู่อวี้ที่กำลังจะลุกขึ้นก็ชะงักไปอีกครั้ง แล้วมองหวงฝู่อี้เซวียนที่เดินเข้าไปในห้องครัวด้วยความซื่อบื้อ
เงยหน้า ถามโจวอันที่เฝ้าตัวเองตลอดอย่างสงสัย “เจ้าว่า ที่พี่ใหญ่พูดเป็นความจริงหรือไม่”
ใบหน้าของโจวอันเรียบเฉย ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง สายตานั้นราวกับกำลังมองคนโง่
ภายในสายตาของเขาแสดงความหมายออกมาอย่างชัดเจน หวงฝู่อวี้อยากจะเพิกเฉยแต่ก็อดไม่ได้ และฉุนเฉียวจนอยากจะลุกขึ้นมา “โจวอัน เจ้า…” กลับเป็นเพราะว่าคุกเข่าเป็นเวลานานเกินไป ขาจึงไม่มีความรู้สึกแล้ว จึงล้ม ตุ้บ กลับลงไป ความเจ็บปวดที่ล้มทำให้ร้อง โอยๆ ไม่หยุด
หวงฝู่อี้เซวียนใบหน้าถมึงทึง โผล่หน้าออกมาจากในห้องครัวเล็ก สั่งด้วยเสียงเย็นชา “โจวอัน หิ้วเขากลับไปทิ้งที่เรือนเขา”
โจวอันก็ไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงพูดรับคำ ดึงตัวหวงฝู่อวี้ที่ไร้เรี่ยวแรงจะดิ้นรนเดินออกไปด้านนอก
“โอย ปล่อย ข้าเดินเองได้ เจ้าปล่อยข้า…” เสียงร้องโวยวายที่พยายามขัดขืนของหวงฝู่อวี้ดังไกลออกไป
มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัว แล้วเขาจะไม่ใส่ใจด้วยได้อย่างไรล่ะ
ตอนเด็กๆ เขาประสบกับความยากลำบากและทุกข์ทรมานมากมาย กลับยังคงรักและเอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้อย่างมาก เพียงเพราะเขารู้สึกว่านั่นเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของเขา เป็นคนที่มีเลือดเนื้อเชื้อสายเดียวกับเขา
หลังจากที่ได้มาพบกับครอบครัวเมิ่ง ความอบอุ่นที่คนในครอบครัวเมิ่งทำให้เขารู้สึกโหยหาจนขาดความมั่นใจ และกลัวการสูญเสียอยู่ทุกเมื่อ
ครั้นกลับจวนอ๋องที่เป็นบ้านที่แท้จริงของตัวเองมาแล้ว นิสัยที่เงียบขรึมไม่แสดงออกก็ทำให้เขาเข้ากับใครไม่ได้ มีแต่เพียงน้องชายคนนี้ที่ปรากฏตรงหน้าเขาอยู่ร่ำไป ร้องเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อย่างใคร่รู้ จนถึงบัดนี้ก็ไม่อาจลืมวันแรกที่เพิ่งกลับมาที่จวนได้ เด็กชายตัวน้อยๆ ที่อายุห่างจากตนเองไม่เท่าไรคนนั้น วิ่งกระหืดกระหอบมาตรงหน้าเขา เบิกดวงตาทั้งคู่ที่ละม้ายคล้ายกับตัวเองอยู่มากออก ความดีใจทั้งร่างกายที่ปิดบังไว้ไม่ได้ ส่งเสียงถามอย่างตื่นเต้น “เจ้าคือพี่ใหญ่ของข้าหรือ”
ในเวลานั้น เขาก็รู้ทันทีว่า ไม่ว่าเวลาใดเขาจะต้องปกป้องน้องชายคนนี้ แม้ว่าเขาจะทำผิดอย่างร้ายแรง เขาก็พร้อมจะให้อภัยเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไป ถ้าหากเขายังทำกระทำผิดอีก เขาจะลงโทษโดยไม่เหลือความปรานีอีก
น้ำในเตาเดือดแล้ว ความคิดของหวงฝู่อี้เซวียนถูกขัดจังหวะลง พอได้สติกลับมา ก็เริ่มต้มข้าวต้มอย่างตั้งอกตั้งใจ
เสียงแรกของหวงฝู่อวี้ดังขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ มุมปากก็เผยรอยยิ้ม แล้วจึงพลิกตัวนอนหลับไปอย่างสนิทอีกครั้ง
ทันทีที่หลับไป ตื่นมาอีกครั้งก็กลายเป็นช่วงเวลาเช้าแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนยังคงนั่งอ่านตำราแพทย์อยู่ ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงเงยหน้ามองมา บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “ตื่นแล้วหรือ จะลุกขึ้นไหม”
ส่งเสียง อืม ด้วยรอยยิ้ม เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามออกแรงลุกขึ้นมานั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนวางตำราแพทย์บนมือลงอย่างรีบร้อน เดินมาช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้า “ท่านแม่มาแล้ว แต่เห็นเจ้านอนหลับอย่างสบาย ก็เลยไปที่เรือนเสด็จแม่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย กระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนเก็บเตียงแสร็จ ก็ล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด แล้วยิ้มมองเขา “ข้าหิวแล้ว”
“เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะไปยกอาหารมา”
หวงฝู่อี้เซวียนสาวเท้าไปยังห้องครัวเล็ก ยกอาหารมากินเป็นเพื่อนนาง
“ห่างจากวันฉลองตรุษจีนเพียงไม่กี่วันแล้ว ถือโอกาสนี้จัดงานแต่งแบบกลุ่มให้แก่พวกคนงานเถิด ทุกคนจะได้ฉลองข้ามปีอย่างมีความสุข” หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เสนอด้วยรอยยิ้ม
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้คัดค้าน “ดี พรุ่งนี้ให้พี่รองมาหา พวกเราจะปรึกษารายละเอียดของงาน แล้วที่เหลือก็ให้พี่ชายรองจัดการเสีย ส่วนสาวใช้สองคนนี้ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลแล้วเหมือนกัน ยังมีท่านแม่กับเสด็จแม่อยู่”
“ตกลง”
ส่วนเรื่องของหวงฝู่อวี้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามแม้แต่คำเดียว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียวเช่นกัน ราวกับเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยอย่างไรอย่างนั้น
วันถัดมา เมิ่งฉีมาที่จวนอ๋อง หลังจากที่ปรึกษากับเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนทุกเรื่องแล้ว ก็อยู่รับประทานอาหารกลางวันในจวนอ๋อง แล้วจึงกลับไปจัดการเรื่องทั้งหมดที่โรงงาน
แล้วผ่านไปอีกสองวัน ทั้งสองคนพาชิงหลวนและจูหลีกลับหนานเฉิง ปลายเท้าหน้าของพวกเขาเพิ่งเพยียบลงถึงที่ ภรรยาเหวินเปียวก็ได้เดินนำแม่สื่อ พร้อมถือของขวัญมาสู่ขอถึงที่แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกลงรับด้วยความยินดี จากนั้นก็ให้ภรรยาเหวินเปียวกลับไปเลือกฤกษ์ยามดีที่จะมาสู่ขอ
กัวเฟยได้ยินแล้ว ก็มิได้ซื้ออะไรทั้งสิ้น แต่นำเงินทั้งหมดที่ตัวเองหามาได้หลายปีนี้ มาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิง นี่เป็นเงินเก็บของข้าทั้งหมด ข้าก็ต้องการสู่ขอจูหลีด้วยขอรับ”
การกระทำอย่างเปิดเผยของเขา ทำให้จูหลีขวยเขินจนหน้าแดง แต่กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชมอย่างมาก “เป็นองครักษ์ก็ต้องมีความอาจหาญเช่นนี้ ขอบอกทุกท่านเอาไว้ ต่อไปนี้ ผู้ใดมีหญิงสาวอยู่ในใจ ก็ต้องเป็นเหมือนกับผู้บัญชาการกัวแบบนี้ ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ จะได้ไม่ถูกคนมาแย่งตัดหน้าไป”
เรื่องใหญ่ของชีวิตชิงหลวนและจูหลีก็ได้ตกลงท่ามกลางเสียงหัวเราะเรียบร้อยแล้ว กัวเฟยรีบร้อนจนแม้แต่ขั้นตอนที่เชิญคนมาคำนวณฤกษ์ยามก็ปล่อยข้ามไป “นายหญิงขอรับ สามวันหลังจากนี้เป็นวันดี ขอให้ท่านรับปากให้พวกเราแต่งงานด้วยกันในวันนั้นเถิดขอรับ”
ทุกคนเบิกตาโตมองกัวเฟย ภายในห้องไร้เสียงเคลื่อนไหว
กัวเฟยเอียงศีรษะ “ทำไม ไม่ได้หรือขอรับ”
ป้าบ! เมิ่งเชี่ยนโยวตบโต๊ะดังแล้วลุกขึ้นยืน
กัวเฟยสะดุ้งจนถอยออกไปตามสัญชาตญาณ “นาย…นายหญิง”
หวงฝู่อี้เซวียนย่นหัวคิ้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้ากัวเฟย ตบบ่าของเขา และพูดชื่นชม “ดี กล้าหาญนัก! สามวันก็สามสามวัน ข้ารับปากเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนหน้าดำบึ้งตึง
กัวเฟยดีใจจนเกือบจะหัวเราะออกมา แล้วร้องเรียกจูหลีอย่างลืมตัว “จูหลี เจ้าได้ยินหรือไม่ สามวันหลังจากนี้พวกเราก็จะได้แต่งงานกันแล้ว”
ใบหน้าของจูหลีแดงราวกับจะหยดออกมาเป็นเลือดโดยทันที เขม่นตามองกัวเฟย แล้วหันกายวิ่งออกไป
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง
กัวเฟยนิ่งอึ้งไป ใบหน้าก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา และตามออกไปอย่างรีบเร่งโดยไม่ได้ทำความเคารพ “จูหลี เจ้าคอยก่อน เจ้าไม่ได้เฝ้ารอแต่งงานมาโดยตลอดหรือ ทำไมไม่พอใจแล้วเล่า”
ทุกคนที่อยู่ในห้องหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง
มองทุกคนภายในห้องรอบๆ แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “พวกเจ้าว่า คืนที่เข้าหอ กัวเฟยจะถูกตีจนตายหรือไม่”
ทุกคนชะงักไป จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังขึ้นทั้งห้อง
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ยืนขึ้นมา ดึงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวมากุมไว้แน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวเจ็บ มองไปทางเขาและเห็นสีหน้าเขาดูไม่พอใจ ถึงจะนึกได้ภายหลังว่าตัวเองทำอะไรลงไปเมื่อครู่ จึงคว้ามือของหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มแหะๆ อย่างเอาใจ “อี้เซวียน เจ้าว่าพวกเราไปร่วมส่งคู่บ่าวสาวเข้าเรือนหอด้วยดีไหม”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งดำทะมึนแล้ว มองดูนางที่ท้องใหญ่กว่าคนอื่นหลายเท่านั่น นัยน์ตาก็ส่งสัญญาณเตือนอย่างรุนแรง
เมิ่งเชี่ยวโยวผวาจะหดคอลง ไม่กล้าพูดอะไรอีก
คนในห้องล้วนดื่มด่ำอยู่กับบรรยากาศที่สนุกสนาน ไม่มีใครสังเกตเห็น ‘คลื่นพายุ’ ระหว่างพวกเขา
ภรรยาเหวินเปียวก็ไม่สะเพร่า หลังจากที่กลับไปก็เชิญคนมาคำนวณฤกษ์ยาม ทว่า กลายเป็นต้องช้าออกไปหลายวัน เพราะผลปรากฏว่าต้องเป็นวันที่ยี่สิบหกเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ
พระชายาฉีได้ยินว่าวันแต่งงานของทั้งสองคนได้กำหนดแล้ว จึงปรึกษากับเมิ่งเชี่ยนโยวว่าจะให้ทั้งสองคนออกเรือนที่จวนอ๋อง “ปีนี้ภายในจวนเกิดเรื่องมากมาย จัดงานมงคลสักหน่อยให้ชะล้างความอัปมงคลก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับคำ
แม้ว่าจูหลีจะเป็นบ่าวรับใช้ แต่เคยช่วยชีวิตเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ และยังปกป้องอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวโดยตลอด พระชายาฉีจึงจัดเตรียมเครื่องแต่งงานที่ไม่ด้อยค่าหลายกล่อง และยังสั่งพ่อบ้านให้ติดป้ายมงคล พร้อมแขวนโคมไฟสีแดงใบใหญ่ที่หน้าประตูใหญ่
ผู้คนรอบๆ ที่เดินผ่านเห็นป้ายมงคลก็เข้าใจว่าภายในจวนอ๋องกำลังจะจัดงานมงคล ต่างพากันสืบว่าเป็นใคร ครั้นได้ยินว่าเป็นเพียงสาวใช้ติดตามของเมิ่งเชี่ยนโยวคนหนึ่ง ก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก สาวใช้เพียงคนเดียวจะออกเรือน ก็ได้รับการปฏิบัติอย่างดีถึงขนาดนี้ ทำให้พวกเขาล้วนอยากจะขายตัวเองมาเป็นบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องฉีทีเดียว
แต่เดิมกัวเฟยเป็นหัวหน้าองครักษ์ แม้ว่าจะพิการ อำนาจบารมียังคงมีอยู่ในบรรดาองครักษ์ลับ การที่เขาแต่งงานจึงเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจจะกระทำอย่างมักง่ายได้ ดังนั้น พวกองครักษ์ลับที่รับใช้โจวอันอยู่ในเมืองชิงซีเมื่อปีก่อนๆ นั้น ก็รวมกลุ่มกันเป็นขบวนมาสู่ขอเจ้าสาว
วันแต่งงานได้มาถึงแล้ว หลังจากเสร็จขั้นตอนหวีผม แต่งกาย แต่งหน้าเหล่านี้ทั้งหมดตั้งแต่เช้าตรู่ รถม้าที่ตกแต่งอย่างงดงามของกัวเฟยก็บรรเลงเพลงมารับเจ้าสาวอย่างเอิกเกริก
ครานี้ผู้คนที่มามุงดูก็ยิ่งคึกคักไปด้วย ไม่รู้ว่าสาวใช้คนนี้กำลังจะแต่งงานกับชายดีๆ แบบไหน ดังนั้น บรรยากาศการสู่ขอล้วนแตกต่างจากบ้านอื่น
ในที่สุดก็จะได้เวลาอุ้มเจ้าสาวกลับแล้ว กัวเฟยดีใจจนมุมปากฉีกยิ้มออกจนเกือบถึงหู แล้วเป็นเช่นนี้ตลอดทาง กระทั่งมาหยุดลงตรงหน้าประตูจวนอ๋องฉี
องครักษ์ลับทุกคนแยกกันยืนออกเป็นสองฝั่งอย่างเรียบร้อย
ตามธรรมเนียมแล้ว เจ้าสาวจะต้องให้พี่ชายของบ้านฝ่ายหญิงแบกออกมา แต่จูหลีไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ จึงยิ่งไม่มีคนในครอบครัว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงออกคำสั่งโดยตรง “ให้กัวเฟยเข้ามาแบกนางออกไป”
นายหญิงออกคำสั่ง กัวเฟยก็ไม่กล้าที่จะไม่ทำตาม ทว่า ในใจเขาก็ได้ผลิบานด้วยความเปรมปรีดิ์ดั่งดอกไม้แล้ว เมื่อเดินก้าวยาวๆ เข้าภายในจวนจนมาถึงห้องของจูหลี แล้วเห็นท่าทางนางที่ปิดหน้าและนั่งอยู่บนเตียงรอคอยตัวเองอย่างสง่า จิตใจก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้น เดินเข้ามา ย่อตัวลง และกำลังจะแบกนางออกไป
ไหนเลยที่ชิงหลวนจะให้เขาได้สมดั่งใจหวัง ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวเข้าไปขวางอยู่ระหว่างทั้งสองคน และยื่นมือออกมาท่ามกลางสายตาที่ประหลาดใจของกัวเฟย “คงไม่อาจให้รับเจ้าสาวไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้หรอก เอาอั่งเปามา”
กัวเฟยอึ้ง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่มีกฏว่าต้องให้อั่งเปาในยามที่มารับเจ้าสาว
ชิงหลวนแอบหัวเราะอยู่ในใจ จูหลีออกเรือนทั้งที แต่นายหญิงไม่อาจมาร่วมพิธีได้ จึงรู้สึกคับอกคับใจอย่างมาก เมื่อวานตอนค่ำที่แยกจากจูหลีมาแล้ว ก็แอบบอกถึงวิธีการที่จะทำให้กัวเฟยรู้สึกยากลำบากนี้
มือของชิงหลวนยื่นออกมาตรงหน้าตัวเองโดยตลอด กัวเฟยไม่มีอั่งเปาให้ควัก ก็อายจนหน้าแดงก่ำ เหล่าสาวใช้ที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็ป้องปากแอบหัวเราะ
รู้ว่าชิงหลวนจงใจแกล้ง จูหลีที่ปิดหน้าอยู่จึงเอาเท้าข้างหนึ่งเตะข้างหลังนาง “เจ้าเด็กบ้า อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
“โอ้โห ใครๆ ต่างก็บอกว่าผู้หญิงที่แต่งเป็นดั่งน้ำที่ราดออกไป คำพูดนี้ไม่ผิดแผกไปแม้แต่นิดเดียว พวกเจ้าลองดูเถิด นี่ยังไม่ได้ถึงพิธีคำนับกันระหว่างบ่าวสาวนะ ก็ออกมาปกป้องก่อนแล้ว แม้แต่ข้าที่เป็นพี่น้องที่อยู่ด้วยกันมาตลอดก็ไม่สนใจแล้ว” ชิงหลวนดัดเสียงเล่นละครเพื่อจงใจเย้าแหย่นาง
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง
ใบหน้าของกัวเฟยยิ่งแดงขึ้นแล้ว เอียงศีรษะ “เอ่อ…อั่งเปานี่สามารถติดไว้ก่อนได้หรือไม่ แล้วข้าจะชดใช้ให้เจ้าทีหลัง”
ชิงหลวนได้สติคืน ก็เข้าไปกอดจูหลี “เช่นนั้นเจ้าสาวคนนี้ก็ติดไว้ก่อนแล้วกัน ไว้เจ้ามีอั่งเปาแล้ว ก็ค่อยส่งให้เจ้า”
เสียงหัวเราะของทุกคนยิ่งดังขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตการเคลื่อนไหวทางด้านนี้อยู่ตลอด เมื่อรู้สึกว่าพอสมควรแล้ว จึงสั่งหวงฝู่อี้ให้มาส่งข่าว “แม่นางชิงหลวนขอรับ ซื่อจื่อเฟยบอกว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว อย่าได้ทำให้เวลาฤกษ์พิธีล่าช้าเลยขอรับ”
ชิงหลวนปล่อยจูหลี “ก็ได้ อั่งเปานี้ติดไว้ก่อน เจ้าแบกเจ้าสาวไปเถิด”
กัวเฟยราวกับยกภูเขาออกจากอก ถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบย่อตัวแบกจูหลีขึ้น เดินนอกจวนไปด้วยแขนเสื้อที่ห้อยโตงเตงและว่างเปล่า
นอกประตูจวน เหล่าองครักษ์ลับที่ยืนตัวตรงดูกระฉับกระเฉงอย่างมาก เชื้อเชิญให้สายตาของหญิงน้อยหญิงใหญ่มองมาอย่างเป็นประกาย
ในใจของเหล่าองครักษ์กระหยิ่มยิ้มย่อง และยืนนิ่งตรงกว่าเดิม
กัวเฟยออกมา และวางจูหลีบนรถม้าอย่างระมัดระวัง มือขวาหยิบบังเ**ยนม้าขึ้น แล้วเร่งม้ากลับไปยังหนานเฉิงด้วยตัวเอง
เหล่าองครักษ์ลับก็ตามหลังไปติดๆ
เมิ่งซื่อเตรียมโต๊ะกินเลี้ยงให้แก่องครักษ์ลับแล้ว รอกระทั่งให้กัวเฟยกราบไหว้ฟ้าดิน บ่าวสาวทำความเคารพต่อกัน และเข้าเรือนหอแล้ว ก็เริ่มกินเลี้ยงทันที เพื่อให้องครักษ์ลับเหล่านี้ได้ถือโอกาสนี้กินดื่มอย่างเต็มที่
เดิมทีเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยากจะตามไปที่หนานเฉิงด้วย แต่หวงฝู่อี้เซวียนห้ามเอาไว้ “เจ้าเป็นนายหญิง พวกเขาเป็นบ่าว จะไปวุ่นวายส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าเรือนหอได้อย่างไรกัน อยู่ภายในจวนดีๆ เถิด”
ประโยคเดียว ก็ทำให้ความคิดของนางทั้งหมดสูญสลายไป แล้วนั่งกลับไปบนเก้าอี้อย่างฉุนเฉียว ประเดี๋ยวก็บอกว่ากระหายน้ำ ประเดี๋ยวก็บอกว่าหิวแล้ว และอีกประเดี๋ยวก็บอกว่าปวดเอว ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนถูกนางชี้สั่งจนวิ่งวุ่น ความอึดอัดภายในใจก็ค่อยๆ มลายหายไป
ตอนที่ 349 กลับบ้าน
เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงวันแต่งงานแบบกลุ่มของเหล่าคนงานในโรงงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นเช้ากว่าวันปกติเล็กน้อย
ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนยังคงเหมือนทุกวัน หลังจากทำอาหารเช้าเสร็จและรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ก็สั่งโจวอันให้ควบรถม้ามาถึงเป่ยเฉิง
คนงานในโรงงานทั้งหมดได้หยุดงานสามวัน ดังนั้นจึงลงกลอนขนาดใหญ่ที่ประตูใหญ่ของโรงงาน
เมิ่งฉีและผู้จัดการอันล้วนไปยังพื้นที่ว่างหน้าศาลาว่าการ เพื่อช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมงานล่วงหน้าให้เรียบร้อย
เปาชิงเหอมีความสุขจนหนวดเคราตั้งชูขึ้นอีกครั้ง
เป็นเวลาผ่านมาหนึ่งปีกว่านี้ เป่ยเฉิงที่เขาอยู่แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมาก ทุกสถานที่ ทุกสินค้า ล้วนเพียงพอที่จะสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังได้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผลงานความสำเร็จของเขา แต่ใครใช้ให้เป่ยเฉิงนี้อยู่ในขอบเขตการดูแลของเขากันเล่า แน่นอนว่าก็ต้องรู้สึกภาคภูมิไปด้วยอยู่แล้ว
รถม้าของจวนอ๋องมีเครื่องหมายสัญลักษณ์ที่ทุกคนสามารถเห็นได้แต่ไกล จึงเปิดทางให้ตั้งแต่เนิ่นๆ
รถม้ามาถึงประตูศาลาว่าการอย่างราบรื่นปราศจากอุปสรรคขวางกั้น เมื่อหยุดลง เมิ่งเชี่ยนโยวที่ท้องกลมโตก็มีหวงฝู่อี้เซวียนช่วยประคองลงมาอย่างระมัดระวัง ซุนฮุ่ยที่รอคอยอยู่หน้าประตูศาลาว่าการตั้งนานแล้ว ก็รีบสาวเท้าวิ่งเข้ามาหา แล้วคล้องแขนของนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมาแน่ๆ เลยเตรียมที่นั่งไว้ให้เจ้าแล้ว ข้าจะประคองเจ้าเข้าไปนั่งด้านในนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยมือ แล้วทั้งสองคนเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
เมื่อนั่งลงแล้ว เห็นหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตามเข้ามา ซุนฮุ่ยก็วางมือลงบนท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว “นี่แค่ห้าเดือนเองใช่ไหม ท้องของเจ้านี้ทำไมถึงได้ใหญ่จนน่าสะพรึงเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบท้องของตัวเอง และยิ้มตอบ “ข้าก็ไม่รู้ คงเพราะกินของดีๆ มากเกินไปกระมัง”
“เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้นะ ถึงเวลาคลอดเมื่อไรเจ้าจะลำบากเอาได้ เจ้าพยายามกินให้น้อยลงเสียหน่อยเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือยิ้ม “ท่านแม่ของข้า เสด็จแม่ แล้วก็อี้เซวียนล้วนจับจ้องข้าอยู่ทุกวัน แทบอยากจะให้ข้าคนเดียวกินเท่ากับปริมาณของพวกเขาสามคนเลย หากข้ากินน้อยลงหน่อยจริงๆ พวกเขาสามคนต้องตกใจแย่แน่ๆ”
ซุนฮุ่ยหมดคำพูด ได้แต่เพียงมองท้องของนางด้วยสายตาที่เป็นห่วง แล้วถอนหายใจออกอย่างไม่รู้ตัว
“เป็นอะไรไป คุณชายเปารังแกเจ้าหรือ” ได้ยินเสียงถอนหายใจของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพูดหยอกเล่น
“เขาน่ะนะ จะมีเวลามารังแกข้าที่ไหนกัน ตั้งแต่ได้ไปค่ายทหารแล้ว แต่ละวันก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคน”
“โอ้โห น้ำเสียงไม่พอใจน่าดู เจ้าคอยก่อนเถิด รอให้เรื่องวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะบอกท่านนาให้ใต้เขาลาหยุดสามวัน เพื่อจะได้อยู่บ้านเป็นเพื่อนเจ้าอย่างเต็มที่ รับรองว่าเจ้าไม่ได้ลงจากเตียงแน่นอน”
สีหน้าของซุนฮุ่ยแดงพล่านขึ้นโดยพลัน แล้วตีนาง “เหตุไฉนเจ้ายิ่งไม่สุภาพขึ้นทุกวัน ถ้อยคำนี้เป็นสิ่งที่เจ้าควรพูดอย่างนั้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโพลง ถามอย่างใสซื่อ “เช่นนั้นข้าควรจะพูดอย่างไร เป็นเจ้าที่ทำให้คุณชายเปาลงจากเตียงไม่ได้หรือ”
“เจ้า…” ซุนฮุ่ยโกรธจนกระทืบเท้า “ถ้าไม่ใช่เห็นแก่ที่เจ้ากำลังตั้งท้องอยู่ ข้าจะต้องตีเจ้าแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะออกมา
ได้ยินเสียงหัวเราะของนาง ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
ถึงเวลาแล้ว พิธีกรรมได้เริ่มขึ้น
พื้นที่ว่างเปล่าอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยบรรดาเจ้าบ่าวที่ใบหน้าอิ่มเอบด้วยความปิติยินดีและเจ้าสาวที่ปิดบังใบหน้า ท่ามกลางเสียงร้องเพลงในพิธีกรรม ก็ดำเนินการกราบไหว้ฟ้าดิน คู่บ่าวสาวกราบไหว้ต่อกัน และเข้าเรือนหอไป แน่นอนว่า เรือนหอนี้เป็นเรือนหอที่เจ้าบ่าวแต่ละคนผูกเชือกเอาไว้แล้ว จึงพาเจ้าสาวของตัวเองเข้าไปภายในห้องที่แต่ละคนเตรียมไว้แล้ว
แม้ว่าคนมาก จะทำให้มีเสียงดังอื้ออึง แต่กลับเป็นระบบระเบียบ ไม่ได้เกิดสถานการณ์ที่อลหม่าน นี่เป็นสิ่งที่เปาชิงเหอปรารถนาจะเห็น และก็เป็นสิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนหวังเอาไว้
ทว่า ยังมีคนหนึ่งที่ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา นั่นก็คือผู้จัดการอัน เจ้าสาวรับแล้ว สินสอดก็มอบแล้ว แต่เขาไม่ได้แต่งงานก่อนวันตรุษจีน เนื่องจากงานแต่งงานของเหวินซงกับชิงหลวนกำหนดในวันที่สิบหก งานแต่งของเขากับเหวินเหลียนจึงได้แต่เพียงเลื่อนไปหลังจากตรุษจีน
เขาหาซินแสช่วยดูวันแล้ว ช่วงปีใหม่ไม่มีวันที่ฤกษ์ดี ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรออุ้มสาวงามกลับไปในเดือนสอง จึงถอนหายใจอย่างแรง และถอนหายใจอีกครั้ง มองพวกเจ้าบ่าวด้วยความอิจฉาริษยาอย่างมาก
งานแต่งงานแบบกลุ่มที่ใหญ่โตเสร็จสิ้นลงแล้ว ก็ถึงเวลาเที่ยง หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยว และเมิ่งฉีก็ถูกซุนฮุ่ยเชิญไปที่บ้านเพื่อรับประทานอาหารกลางวันโดยปริยาย เมื่อสนทนากันครู่หนึ่งแล้ว แต่ละคนถึงจะกลับบ้านของตัวเอง
เรื่องงานแต่งงานของเหล่าคนงานได้จัดการเรียบร้อยแล้ว เรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดในใจก็ไม่มีอีก ทั้งกายก็ฟื้นคืนกลับสู่วันที่กินๆ ดื่มๆ ตามแบบฉบับของการขุนสุกร
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนล่วงเลยมาถึงวันที่ยี่สิบหก ซึ่งเป็นวันที่ชิงหลวนแต่งงาน
สำนักคุ้มภัยเพิ่งจะฟื้นคืน เรื่องของเหวินซงเป็นเรื่องมงคลเรื่องแรกของสำนักคุ้มภัย ทุกคนจึงให้ความสำคัญอย่างมาก ไม่เพียงแต่ทำความสะอาดภายในสำนักคุ้มภัยจนไม่เหลือใบไม้กระทั่งใบเดียว แม้แต่กลุ่มที่รับเจ้าสาวก็ไม่ด้อยไปกว่ากัวเฟย แต่ละคนล้วนเป็นชายฉกรรจ์แข็งแกร่ง รูปร่างสูงใหญ่กำยำ สีหน้านำมาด้วยรอยยิ้ม ย่อมทำให้คนที่มามุงดูต่างออกปากเชยชม และยังชื่นชมว่าเหตุใดสาวใช้ในจวนอ๋องฉีถึงได้โชคดี แต่ละคนแต่งงานกันได้ดิบได้ดี
แน่นอนว่า การจัดสถานการณ์ต้องใหญ่โตกว่าจูหลีอย่างมาก อย่างไรก็เป็นนายน้อยของสำนักคุ้มภัยที่จะสู่ขอแต่งงาน ถ้าดูยากจนคดแค้นเกินไป ก็ทำให้คนอื่นดูถูก และไม่เป็นผลดีต่อกิจการที่จะสืบทอดของสำนักคุ้มภัย ดังนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงให้เหวินเปียว ‘ยืม’ เงินหนึ่งหมื่นตำลึง เพื่อให้เขาเตรียมงานแต่งงานดีๆ ดังนั้น การรับเจ้าสาวครั้งนี้ เมื่อเทียบกับของผู้สูงศักดิ์ขุนนางชั้นสูงก็ยังโอ่อ่ายิ่งกว่า
เมื่อมีจูหลีเป็นตัวอย่างแล้ว ชิงหลวนก็เตรียมการอย่างครบครัน ดังนั้น เหวินซงจึงรับเจ้าสาวไปได้อย่างง่ายดายไร้อุปสรรค นี่จึงทำให้จูหลีที่เป็นภรรยาคนแล้ว โมโหจนกระทืบเท้ารัวๆ
พอชิงหลวนถูกรับไป กลุ่มคนที่มุงดูเหตุการณ์แยกย้ายกันไป ภายในและภายนอกจวนก็เงียบสงัดลง หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งรถม้ากลับไปที่หนานเฉิง เพราะวันถัดมาก็เป็นวันที่ยี่สิบเจ็ดแล้ว ซึ่งเป็นวันที่ตกลงกับเมิ่งซื่อ คู่สามีภรรยาเมิ่งฉี เมิ่งเหริน และเมิ่งอี้ พร้อมลูกๆ ของแต่ละคนแล้วว่าจะกลับไปยังบ้านเกิด
วันนี้พวกเมิ่งเชี่ยนโยวรีบกลับไป และพักอยู่ที่บ้านหนึ่งคืน ทันทีที่ถึงเวลาเช้าของวันถัดมาก็ส่งเมิ่งซื่อและคนอื่นๆ กลับบ้านเกิด
เมิ่งซื่อรู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่ง กุมมือของเมิ่งเชี่ยนโยวและกำชับตลอด “โยวเอ๋อร์ ปู่กับย่าของเจ้าอยู่ที่นั่น แม่จำเป็นต้องกลับไปที่บ้าน วางใจเถิด รอให้ผ่านตรุษจีนไปแล้ว แม่จะกลับมาหาโดยเร็ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบกลับ “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องรีบร้อน นานขนาดนี้แล้วที่ท่านแม่ไม่ได้กลับบ้านเลย ก็อยู่ที่บ้านพักสักหลายวันหน่อยเถิดเจ้าค่ะ เวลานี้ ข้ายังไม่กี่เดือนเอง ต้องรออีกตั้งนานกว่าจะสามารถคลอดลูกได้เจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อเห็นท้องที่นับวันยิ่งโตขึ้นของนาง ในใจก็สั่นเทิ้ม “ปู่กับย่า และยายของเจ้า ร่างกายยังแข็งแรงมาก ไม่ต้องการให้แม่ดูแลหรอก ส่วนเรื่องภายในบ้านก็ยังมีพ่อเจ้า พี่ใหญ่เจ้า และพวกพี่สะใภ้ใหญ่ แม่ไม่มีอะไรทำเลย”
เข้าใจว่าเมิ่งซื่อเป็นห่วงตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ้อนวอนอีก “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารอท่านแม่กลับมาเจ้าค่ะ”
“เจ้าต้องเชื่อฟังพระชายาฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนนะ อย่าได้ใช้อารมณ์ อย่าได้ทำนิสัยเป็นเด็กๆ มีอะไรที่ไม่พอใจ ก็อย่าได้อัดอั้นอยู่ในใจ บอกพวกเขาไปเสีย” เมิ่งซื่อบ่นกำชับ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับคำตลอด ในใจก็รู้สึกอาวรณ์
เมิ่งฉี หวังเยียนก็มาพูดกำชับอีกรอบ เมิ่งเชี่ยนก็ล้วนรับคำอย่างว่าง่าย
รุ่งเช้าวันถัดมา เมิ่งซื่อและคนอื่นลากของต่างๆ สำหรับวันตรุษจีน แล้วนั่งรถม้าที่มีเหล่าองครักษ์ลับคุ้มกันจากไป
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามานอนต่อในห้องของตัวเองจนรู้สึกตัวตื่นแล้ว ก็สั่งกัวเฟยให้ดูแลบ้านให้ดี แล้วกลับจวนอ๋องพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน
แล้วก็ผ่านไปอีกสามวัน มาถึงคืนวันที่สามสิบ พระชายาฉีกลัวว่านางจะอดทนงานเลี้ยงกลางคืนที่นานขนาดนั้นไม่ได้ สองวันก่อนจึงไปในตำหนักของไทเฮาร้องขอความเมตตาให้อนุญาตเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ภายในจวน ไม่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงกลางคืน
นี่เป็นสิ่งสมใจเมิ่งเชี่ยนโยวพอดี รับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็พักผ่อนเสียหน่อย จากนั้นก็ไปเดินเล่นภับหวงฝู่อี้เซวียนภายในจวน แล้วจึงกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
ขณะที่จะเอนลง เสียงของหวงฝู่อวี้ที่อยู่ภายในเรือนก็ดังขึ้น “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ากับเยียนเอ๋อร์มาเฝ้าคืนข้ามปีเป็นเพื่อนพวกพี่”
มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน เห็นเขาไม่ขยับ เหมือนว่าไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า และตะโกนออกไปด้านนอก “ร่างกายของข้าไม่สะดวก กำลังจะเข้านอนแล้ว พิธีคืนข้ามปีนี้ก็งดเว้นแล้วล่ะ”
หวงฝู่อวี้รับคำ ความผิดหวังภายในน้ำเสียงทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวที่ได้ยินไม่อาจทนได้ เกือบจะเผลอเรียกพวกเขาให้เข้ามาแล้ว ถ้าไม่ใช่หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองนาง ไม่แน่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะทำเช่นนี้ลงไปจริงๆ
เสียงฝีเท้าด้านนอกไกลออกไป ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะเงยหน้าขึ้น แล้วส่งเสียงถามไถ่ “เจ้าถามเสด็จแม่แล้วหรือยัง เรื่องแต่งงานของอวี้เอ๋อร์จะจัดเมื่อไร”
ไทเฮาคืนพระราชเสาวนีย์ที่ให้หลินหันเยียนเป็นอนุตลอดชีวิตแล้ว หวงฝู่อวี้ก็ควรจะไปขอร้องต่อพระชายาฉีให้ช่วยจัดงานแต่งให้เขากับหลินหันเยียนเสียที ทว่า หลายวันผ่านไปขนาดนี้ หวงฝู่อวี้ไม่มีท่าทีที่จะทำด้านนี้แม้แต่น้อย
หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกประหลาดใจ นี่ถึงได้ออกปากถามเมิ่งเชี่ยนโยว
“เรื่องนี้ท่านแม่กับข้าได้พูดถึงแล้ว และท่านแม่ก็ถามอวี้เอ๋อร์แล้ว อวี้เอ๋อร์บอกว่าตอนนี้หลินหันเยียนกลับจวนหลินไม่ได้ ไม่มีสถานที่จะออกเรือน และไม่มีที่จะไปให้สินสอด เขาไม่อยากทำร้ายจิตใจหลินหันเยียน จึงให้คนไปส่งข่าวแก่หลินจ้งหลายครั้ง หลินจ้งก็อ้างว่าหลินฉงเหวินไม่เห็นด้วย และไม่ยินยอมโดยตลอด”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว “พวกเขาก็อยู่ด้วยกันแบบไร้ต้นสายปลายเหตุอย่างนี้น่ะนะ?”
“ไม่หรอก ที่หลินจ้งไม่รับปากให้หลินหันเยียนกลับจวนหลิน เป็นเพราะว่าไม่อยากให้นางรู้เรื่องที่หลินฉงเหวินถูกคุมขังไว้ ถ้าพูดในแบบเขา ก็คือไม่อยากให้จวนหลินและจวนอ๋องมีเรื่องอะไรกันอีก ดังนั้น ข้ากับท่านแม่ตกลงกันว่ารอให้พ้นตรุษจีนแล้ว พวกเราจะไปปรึกษากันที่บ้านท่านน้าสักหน่อย เพื่อให้หลินหันเยียนแต่งออกจากจวนของแม่ทัพ ส่วนสินเดิมนั้น ก็ยังคงให้จวนหลินออก”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ
ตอนที่ 350 จะคลอดแล้ว
สำหรับพระชายาฉีแล้ว วันตรุษจีนเป็นวันที่วุ่นวายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุระใหญ่เล็กภายในจวน และการพบปะผู้คนมากมายภายนอกจวน ทำให้ยุ่งอย่างไม่จบไม่สิ้น
แต่สำหรับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วกลับสบายมาก เพราะนางได้อยู่ในจวนต้อนรับคนที่ตัวเองชอบทุกวัน เช่นคู่สามีภรรยาเหวินซื่อ เฝิงจิ้งซู หรือคู่สามีภรรยาเปาอีฝาน แต่ละคนล้วนมาหาเนื่องในโอกาสวันตรุษจีน ใครๆ ต่างบอกว่าเวลาผู้หญิงอยู่ด้วยกันจะเกิดเสียงดังจ้อกแจ้ก เมื่อเพิ่มเด็กน้อยตัวเล็กน่ารักหลายคนเข้ามาอีก เช่นนั้นก็จะกลายเป็นโรงละครขนาดใหญ่แล้ว
เสียงดังๆ ของเด็กๆ และเสียงหัวเราะของผู้หญิง ผสมผสานด้วยกัน เรือนที่ปกติแห้งแล้งก็เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวาทันใด
ท่ามกลางบรรยากาศที่สุขสันต์ วันตรุษจีนก็ผ่านพ้นไป ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวเติบโตขึ้นอีกปี ท้องก็ใหญ่ขึ้นตามด้วย
เนื่องจากเมิ่งซื่อไม่วางใจ วันที่สิบหกของเดือนหนึ่งก็รีบกลับมาพร้อมกับสองสามีภรรยาเมิ่งฉี ครั้นเห็นท้องของนางใหญ่โตเกินปกติ ใจก็สั่นไหวอย่างแรง แทบอยากจะเฝ้าอยู่ข้างกายนางทุกๆ เวลา
พระชายาฉีก็รู้สึกกังวลอย่างมาก แม้แต่เรื่องงานแต่งของหวงฝู่อวี้กับหลินหันเยียนก็ไม่มีเวลาสนใจแล้ว และก็เป็นเช่นเดียวกับเมิ่งซื่อที่แทบอยากจะคล้องเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยเชือกไว้กับเอวของตัวเองเพื่อจะได้เฝ้าดูนางตลอดเวลา เพราะวิตกว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอันใดขึ้น
พวกนางทั้งสองคนกังวลจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับกินดื่มอย่างดี นอนหลับอย่างสนิท
หวงฝู่อี้เซวียนได้รับอิทธิพลของเมิ่งซื่อและพระชายาฉี จึงเป็นห่วงอย่างมาก แต่เมื่อเห็นท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยว ใจที่กังวลก็ผ่อนคลายลง เพราะตำราแพทย์กล่าวว่า ผู้หญิงใช้เวลาท้องสิบเดือนถึงจะคลอดได้ นี่โยวเอ๋อร์เพิ่งจะท้องหกเดือนกว่า จึงยังเร็วอยู่มากนัก
ขณะที่ทั้งสองคนเป็นกังวล คนหนึ่งรู้สึกว่าไม่มีอะไร และยังมีอีกคนหนึ่งที่ยิ่งไม่ใส่ใจ วันเวลาก็ผ่านไปอีกหลายวัน จนมาถึงเดือนสอง
ยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศค่อยๆ อบอุ่น ดอกไม้เริ่มออกดอกผลิบาน แล้วก็สามารถถอดเสื้อผ้าที่ทั้งหนาและหนักออก เปลี่ยนเป็นเสื้อโปร่งสบายๆ ได้แล้ว อารมณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เบิกบานขึ้นตามมาด้วย แม้ว่าจะข้ามกาลเวลามาหลายปี อากาศที่หนาวเหน็บของฤดูหนาว นางก็ยังคงรับไม่ไหว นี่มันหนาวเกินไปแล้ว หนาวจนนางอยากจะหลบอยู่ในกระดองเหมือนกับเต่าจำศีล ครั้นถึงฤดูใบไม้ผลิ สรรพสิ่งล้วนฟื้นคืนสู่สภาพเดิม พลังของนางก็ได้ฟื้นคืนกลับมาด้วยเช่นกัน
วันนี้อากาศแจ่มใส เมิ่งเชี่ยนโยวก็นอนจนเกือบจะเป็นเวลาสาย ถึงจะเปิดตาขึ้นมา หวงฝู่อี้เซวียนที่นั่งอ่านตำราแพทย์อยู่บนเก้าอี้ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเงยหน้าขึ้น และมองมา
นอนจนตื่นเองตามธรรมชาติ เมิ่งเชี่ยนโยวก็อารมณ์ดีอย่างมาก จึงโบกมือให้เขาอย่างซุกซนพร้อมร้องทักทายเสียงออดอ้อน “เซี่ยงกง ข้าตื่นแล้ว หิวมากเลย”
สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนลุ่มลึกขึ้น วางตำราแพทย์บนมือลง เดินไปเบื้องหน้านางอย่างเป็นสุข แล้วเอนกายลง “เซี่ยงกงก็หิวแล้ว” พูดจบ ไม่รอให้เสียงดุที่อิดออดของเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากปาก ริมฝีปากก็ถูกประกบเข้าไปแล้ว และกดลงที่ด้านบนของนางอย่างแม่นยำ
เมิ่งเชี่ยนโยวยินยอมอย่างอ่อนแรง ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ
เขาปล่อยนางออกด้วยอาการหายใจหอบ เสียงบ่นของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “เดือนที่เจ็ดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะ แล้วก็นึกอะไรได้ขึ้นมาทันที จึงหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ได้
หวงฝู่อี้เซวียนแสวงหาตำราแพทย์จำนวนมาก และศึกษาค้นคว้าอย่างตั้งอกตั้งใจทุกวัน จึงได้รู้ว่าภายในสามเดือนนี้ ผู้หญิงไม่สามารถเคลื่อนไหวแรงๆ ได้ ดังนั้น เขาต้องบังคับข่มใจตัวเอง หลังจากครั้งนี้ที่เมิ่งเชี่ยนโยวหาเรื่องเขาแล้ว จึงพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา
เห็นรอยยิ้มอันพริ้งเพริศดั่งดอกไม้ที่ผลิบาน หวงฝู่อี้เซวียนก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา จนเกิดแสงสว่างเปล่งประกายไปทั่วทั้งห้อง แสงนั้นทั้งสดใสและแจ่มแจ้ง
“เจ้าปีศาจ!” รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหายไป พูดบ่นกับตัวเองเสียงอุบอิบ
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเข้าหู รอยยิ้มก็ยิ่งกระจ่างใส ส่องจนภายในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกแสบๆ คันๆ จึงยกมือขึ้นโอบคอของเขา แล้วดึงลงมาจูบเข้าไปอย่างแรงโดยไม่มีพิธีรีตอง และยังปนด้วยการระบายความโกรธ เช่นนี้กลับทำให้หวงฝู่อี้เซวียนได้รับความสุขอย่างคาดไม่ถึงแทน หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออก ดันศีรษะของนาง ให้นางสามารถได้ทำตามใจชอบ
สุดท้ายก็เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่หายใจไม่ออก จึงปล่อยเขา พอเห็นริมฝีปากที่แดงสดงดงามกว่าตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดบ่นอีกครั้ง “เจ้าปีศาจ ถ้าไม่ใช่ข้าจัดการเจ้า ไม่รู้ว่าจะทำให้คนอื่นจำต้องรับเคราะห์มากน้อยเท่าไร”
หวงฝู่อี้เซวียนมองว่าประโยคนี้คือคำเชยชม อารมณ์ก็ยิ่งสุขทวีคูณ พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ลุกขึ้นเถิด วันนี้อากาศดี กินข้าวเช้าแล้ว พวกเราไปเดินรอบๆ สวนดอกไม้กัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เอื้อมมือไปโอบคอเขา หวงฝู่อี้เซวียนก็ประคองนางลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ ช่วยนางสวมเสื้อผ้า ขณะที่เสพสุขจากการได้รับการปรนนิบัติ เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นง่อยเสียแล้ว
ในโลกก่อน ถ้าหากมีคนกล้าพูดว่านางว่า ต่อไปในอนาคตแม้แต่ลุกขึ้นจากเตียง เจ้าก็ยังต้องให้คนมาช่วยเหลือ อย่าว่าแต่บรรพบุรุษรุ่นทวดนั่นเลย ข้ามไปบรรพบุรุษแปดรุ่น นางก็จะขุดออกมาจากหลุมศพ แล้วสังหารให้ตายอีกรอบ บัดนี้กลับเกิดขึ้นแล้วจริงๆ แต่เหตุใดนางถึงรู้สึกสุขใจได้เช่นนี้ล่ะ
หลังจากช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้าและเก็บเตียงแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไปห้องครัวเล็ก ยกข้าวเช้าออกมาด้วยตัวเอง แล้วกินด้วยกันอย่างช้าๆ จากนั้นก็สั่งหวงฝู่อี้มาเก็บโต๊ะ ทั้งสองคนนั่งพักครู่หนึ่งจนอาหารย่อยบ้างแล้ว ก็จูงมือกันออกจากเรือน เดินไปสวนดอกไม้
แสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิทออร่าม สรรพสิ่งเติบโต หมู่แมกไม้แตกดอกออกใบ เสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้ ล้วนทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสำราญ
ไม่จำเป็นต้องให้หวงฝู่อี้เซวียนประคอง เมิ่งเชี่ยนโยวยืนกรานจะเดินด้วยตัวเอง ระหว่างที่เดินไป พลางก็พูดอะไรต่างๆ กับเขา
ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนจ้องเส้นทางด้านหน้า และรับฟังด้วยใบหน้าที่รักใคร่ พร้อมทั้งพยักหน้าคล้อยตามโดยตลอด
บ่าวรับใช้ภายในจวนเห็นแล้วก็อิจฉาอย่างมาก ซื่อจื่อทั้งรักและเอ็นดูซื่อจื่อเฟยอย่างมากจนเกินขอบเขตที่พวกเขาคาดคิด ตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกเขาไม่เคยเห็นคู่สามีภรรยารอบตัวคู่ไหนที่สามารถเออออคล้อยรับได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นซื่อจื่อยังเป็นผู้ที่มีใบหน้างดงามเกินใครเทียม อีกทั้งสูงศักดิ์ทรงสง่า ราศีเฉิดฉาย เป็นคนที่หญิงสาวทั้งเมืองหลวงต่างใฝ่ฝันว่าจะได้เป็นคู่ครองด้วย
หวงฝู่อี้และโจวอันเดินตามอยู่ด้านหลัง
อาจจะเพราะเดินเหนื่อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงมาเกาะแขนของหวงฝู่อี้เซวียนเอาไว้ แล้วเดินไปข้างหน้ากับเขาอย่างช้าๆ
“ไม่มีชิงหลวนกับจูหลีคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ก็รู้สึกไม่ค่อยชินเสียเลยจริงๆ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
หลายวันก่อน ชิงหลวนที่ไปยกกับข้าวในห้องครัวได้กลิ่นควันและน้ำมัน ก็ป้องปากแล้ววิ่งมาอาเจียนในสถานที่ลับตาคน จูหลีตกใจ รีบเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็อาเจียนตามออกมาด้วย
หวงฝู่อี้ตกใจอย่างมาก นึกว่าพวกนางกินอาหารไม่สะอาดอะไรไป จึงร้องเสียงดังอย่างลนลานภายในเรือน “ซื่อจื่อเฟย ท่านรีบออกมาดูหน่อยขอรับ พี่ชิงหลวนกับพี่จูหลีกินของผิดสำแดงแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา เห็นสภาพของทั้งคู่อย่างชัดเจน ก็ยิ้มร่า และสั่งโจวอัน “ส่งคนไปเรียกกัวเฟยกับเหวินซงมา ให้พวกเขารับภรรยาของตัวเองกลับไปดูแลให้ดี”
โจวอันรับคำ แล้วออกคำสั่งไปต่อ
หวงฝู่อี้เอียงศีรษะ ยังคงสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขาให้ไปยกน้ำเปล่าสองแก้วมาให้ทั้งสองล้างปาก แล้วถึงจะเดินมาตรงหน้าชิงหลวนกับจูหลีด้วยรอยยิ้ม “ให้พวกเจ้าหยุดงานหนึ่งเดือน เมื่อไหร่ที่แข็งแรงแล้วก็ค่อยมา”
ความรู้สึกพะอืดพะอมคลายไป ชิงหลวนรีบเช็ดขอบปากอย่างไม่ใส่ใจ “นายหญิง ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ยังรับใช้ท่านได้เจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าไม่เป็นอะไร แต่ข้าเป็น เห็นพวกเจ้าอ้วกแบบนี้ทุกวันแล้ว ข้ารำคาญใจ”
ทั้งสองคนหมดคำพูด
กัวเฟยและเหวินซงได้รับข่าวแล้วก็วิ่งเข้ามาที่จวนอ๋องตามลำดับ และตรงมารับภรรยาของตัวเองโดยที่ไม่แม้แต่จะทักทายเมิ่งเชี่ยนโยว คำพูดทั้งคู่เกือบจะเป็นเหมือนกัน “เมียจ๋า เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ”
เห็นทั้งสองคนเคร่งเครียด เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลุดหัวเราะ
ชิงหลวนและจูหลีหน้าแดง
กัวเฟยกับเหวินซงอึ้งไป มองคนตรงหน้าอย่างไม่รู้อะไรเสียเลย
ถ้าไม่ใช่ว่าตัวเองไม่สะดวก เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะถีบคนซื่อบื่อสองคนนี้คนละข้างจริงๆ จึงหันศีรษะ ส่งสายตาให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่หน้าประตูโดยตลอดเพื่อให้เขามาช่วยทำหน้าที่แทน
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาอย่างอุ้ยอ้าย ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ใจกัวเฟยและเหวินซงหดกลัวขึ้นมา
“พวกเจ้าทั้งสองคนพานางออกไป ภายในหนึ่งเดือนนี้ ไม่อนุญาตให้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็น” พูดจบ ก็โอบเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ หันตัวกลับไปในห้อง
กัวเฟยกับเหวินซงอึ้ง ยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับ ในใจก็นึกใคร่ครวญว่าภรรยาตัวเองทำความผิดมหันต์ขนาดไหนไป ถึงได้ทำให้ซื่อจื่อไม่ให้นางมาอีกแล้ว ในขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกยินดี ในที่สุดก็ได้มีวันที่อยู่ด้วยกันกับภรรยาทั้งวันทั้งคืนแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวโกรธจนหยิกเอวของเขา นางให้เขาไปจัดการคน เขากลับเพียงพูดประโยคเดียวก็เดินออกมาแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนเจ็บ จึงหันหน้า ปรายตามองทั้งสองคนด้วยความเย็นชา “ยินดีกับทั้งคู่ด้วย ตั้งแต่วันนี้จะได้มีวันที่จิตใจบริสุทธิ์มากขึ้นแล้ว”
ประโยคนี้ลึกซึ้งกว่าประโยคเมื่อครู่ กัวเฟยและเหวินซงก็ยิ่งไม่เข้าใจ แล้วมองภรรยาตัวเองที่อยู่ตรงหน้า กดเสียงต่ำพูด “เมียจ๋า คำพูดของซื่อจื่อหมายความว่าเยี่ยงไรหรือ”
พูดจบ ก็มีเท้าเตะเข้ามาทันที ในขณะที่กระโดดกอดขาหมุนไปมาด้วยความเจ็บปวด ภรรยาตัวเองก็เดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้ว
รีบตามไปติดๆ และสอบถามตลอดทาง กระทั่งผ่านไปสักพักหนึ่ง เสียงร้องอย่างมีความสุขก็ดังเข้าหูของเมิ่งเชี่ยนโยว
นึกถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเสียดายอย่างมากที่ไม่ได้บอกทั้งสองคนทันที จึงไม่ได้เห็นท่าทางซื่อบื้อของกัวเฟยและเหวินซง
หวงฝู่อี้เซวียนน่าจะคิดถึงเหตุการณ์เวลานั้นด้วยเช่นกัน มุมปากก็เผยรอยยิ้ม
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินภายในสวนดอกไม้ครบสองรอบแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เริ่มเหนื่อยแล้ว หวงฝู่อี้จึงหยิบเบาะรองนั่งที่เตรียมไว้แล้วออกมาวางไว้บนเก้าอี้หินในศาลา หวงฝู่อี้เซวียนพยุงนางนั่งอย่างดี เมื่อมีลมอุ่นๆ พัดเข้ามา ก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและเย็นสบายอย่างมาก
โจวอันยกกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาเข้ามาวางไว้บนโต๊ะหินอย่างนอบน้อม หลังจากที่ซื่อจื่อเฟยเดินเสร็จทุกครั้ง เวลาพักก็ต้องดื่มน้ำสองถ้วย สิ่งนี้เป็นความเคยชินของเมิ่งเชี่ยนโยวที่ชิงหลวนได้บอกเขาล่วงหน้าแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ โจวอันและหวงฝู่อี้ถอยออกไปไกลๆ
ภายในกาน้ำชาคือน้ำเปล่าอุ่น หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง เทน้ำหนึ่งถ้วย แล้วใช้ถ้วยสองใบเทกลับไปกลับมาหลายครั้ง เมื่อลองชิมและรู้สึกว่ากำลังดี ถึงจะส่งให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ยกขึ้นไว้ในมือ และดื่มคำเล็กๆ เข้าไป
ดื่มถ้วยแรกเสร็จ ก็ส่งถ้วยเปล่าให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนด้วยรอยยิ้ม ขณะที่อยากจะพูดอะไรอย่างยิ้มแย้ม กลับรู้สึกว่าร่างกายร้อนผาวขึ้นมา
ในใจรู้สึกตื่นตระหนก ครั้นสูดหายใจเข้ายาวๆ กลับรู้สึกว่าความรุ่มร้อนยิ่งพลุ่งพล่านแล้ว
สูดหายใจเข้าแรงๆ อีกหลายครั้ง แล้วส่งเสียงเรียก “อี้เซวียน”
หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังก้มหน้าใช้ถ้วยสองใบทำน้ำให้เย็นอย่างตั้งอกตั้งใจ เพียงแต่ส่งเสียง อืม เบาๆ
“ข้าจะคลอดแล้ว” หลังจากสูดลมหายใจเข้าอีกหลายครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดด้วยเสียงเบา
แล้วก็ส่งเสียง อืม เบาๆ อีกครั้ง สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนนิ่งเป็นปกติ น้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลง ท่าทางยังคงทำอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ
ดีจริงๆ สุขุมนิ่งเหลือเกิน ดูเหมือนว่าตำราแพทย์หลายเดือนนี้ไม่ได้อ่านโดยเปล่าประโยชน์แล้ว เช่นนั้นก็น่าจะรู้ว่าต่อไปควรจะทำอย่างไรแล้วสิ เมิ่งเชี่ยนโยวคิดอย่างเชื่อมั่นเต็มอก
ความคิดยังไม่สิ้นสุดลง เสียง เพล้ง ก็ดังขึ้น ถ้วยชาในมือของหวงฝู่อี้เซวียนร่วงหล่นบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยท่าทางตกตะลึงแต่กลับไม่ได้ลนลาน “จะคลอดแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “น้ำคร่ำแตกแล้ว ดูท่าว่าเจ้าเด็กทั้งสองคนนี้อยากจะรีบออกมาแล้วล่ะ”
พูดจบ เบื้องหน้าก็ไม่เห็นเงาของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว
มองเงาของร่างที่ผ่านออกไปนอกศาลา เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้งไป ไม่ใช่ว่าเขาควรจะอุ้มตัวเองกลับไปที่ห้องหรอกหรือ
โจวอันกับหวงฝู่อี้เห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา นึกว่ามีเรื่องที่ต้องการจะสั่ง จึงรุดเข้ามารับหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนกลับกระโดดผ่านหน้าทั้งสองคนไป ในปากพูดพึมพำไม่หยุด “จะคลอดแล้ว จะคลอดแล้ว”
ทั้งสองคนมองหน้ากันและกัน แล้วสีหน้าเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน นี่ไม่ใช่ว่าซื่อจื่อโดนมนตร์ดำแล้วหรือ ทิ้งซื่อจื่อเฟยไว้อย่างไม่แย่แส แล้วตัวเองก็เดินพูดบ่นออกไป
เห็นเงาของร่างที่ยิ่งไกลออกไป ก็รู้สึกถึงความรุ่มร้อนบนกายที่ยิ่งรุมเร้า เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น พ่อของเด็กไม่สนใจแล้ว แต่อย่างไรตัวเองก็คงไม่อาจคลอดที่ศาลาได้หรอกนะ
อ้าปากอยากจะสั่งโจวอันให้ไปเรียกคน เงาของร่างหวงฝู่อี้เซวียนที่กระวนกระวายก็ปรากฏตรงหน้านาง แล้วถามด้วยความตื่นตระหนก สับสน และศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อ “จะคลอดแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เอนกาย อุ้มนางขึ้นมา วิ่งไปยังเรือนของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเบาใจลง ในที่สุดก็ไม่ได้ลืมตัวเองไว้ที่ศาลา
ความคิดในใจยังไม่ทันสิ้นสุด ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของหวงฝู่อี้เซวียนที่เกิดมาเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ท่านแม่ โยวเอ๋อร์จะคลอดแล้วขอรับ”
เสียงนั้นทั้งดัง ทั้งตื่นตระหนก ทั้งไม่สบายใจ ทั้งน่าเวทนา
ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโพลง มองเขาอย่างไม่เชื่อ แม้แต่ความเจ็บปวดที่ตามมาก็ไม่รู้สึกอีกแล้ว
พระชายาฉีกับเมิ่งซื่อกำลังถักเสื้อผ้าเด็กและพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ทันทีที่ได้ยินเสียงน่าเวทนาของหวงฝู่อี้เซวียน มือก็สั่น และถูกเข็มแทงเข้าที่มือ พระชายาฉีไม่สนใจเช็ดเลือดแล้ว ถามเมิ่งซื่อ “ชิ่นจยา ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม เมื่อครู่เป็นเสียงของเซวียนเอ๋อร์หรือ”
เมิ่งซื่อพยักหน้า “ไม่ผิดหรอก ข้าก็ได้ยินชัดแล้วเจ้าค่ะ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับโยวเอ๋อร์แล้วเจ้าคะ”
มองตากัน แล้ววางด้ายบนมือพร้อมกัน จากนั้นก็สาวเท้าวิ่งออกไปด้านนอก
ขณะที่รีบเร่งออกมาที่หน้าประตูเรือน พ่อบ้านก็วิ่งรับหน้าเข้ามา “พระชายาฉี แย่แล้วขอรับ ซื่อจื่อเฟยจะคลอดก่อนกำหนดแล้วขอรับ”
ตอนที่ 351 อลหม่านว้าวุ่น
ปลายเท้าโอนเอน เมิ่งซื่อเกือบจะล้มลงพื้น
เบื้องหน้าพระชายาฉีดำพร่า ถามอย่างรีบร้อน “ไฉนถึงคลอดก่อนกำหนดแล้วเล่า เป็นเพราะกระแทกชนถูกอะไรใช่หรือไม่”
พ่อบ้านส่ายหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “บ่าวก็ไม่ทราบขอรับ”
“เร็ว รีบไปเชิญหมอหลวงเจียงมา” พระชายาฉีสั่งด้วยความรีบร้อนขณะที่มือไม้สั่นเทา ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรอย่างไรดี
พ่อบ้านรับคำ โค้งตัวลงต่ำวิ่งออกไป
พระชายาฉีกับเมิ่งซื่อที่ขาแข้งอ่อนแรงช่วยกันพยุงวิ่งไปที่ห้องของหวงฝู่อี้เซวียน เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่เหงื่อท่วมศีรษะอย่างเจ็บปวดนอนอยู่บนเตียง น้ำเสียงของเมิ่งซื่อก็เปลี่ยนไป “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ความเจ็บปวดเพิ่งจะถาโถมเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวเจ็บจนพูดไม่ออก เพียงแต่กัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนยืนแน่นิ่งอยู่หน้าเตียง ริมฝีปากปิดสนิท ใบหน้าขาวซีด มองเมิ่งเชี่ยนโยวตาไม่กระพริบ
เมิ่งซื่อรู้สึกสงสารอย่างมาก กระโจนเข้ามาที่หน้าเตียง กุมมือของเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่นจนแทบอยากจะส่งพลังของตัวเองให้นาง
ส่วนพระชายาฉีก็มึนงงไปแล้ว เดินเข้ามาข้างหน้า “โยวเอ๋อร์ เจ้าอดทนหน่อย หมอหลวงเจียงใกล้จะมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหัวเราะออกมา ตัวเองคลอดลูกแต่ไม่เชิญหมอตำแย กลับกลายเป็นเชิญหมอหลวงเจียงมา นี่กลัวว่านางจะตายไม่เร็วพออย่างนั้นหรือ
ท่าทางที่ทั้งเจ็บปวดและอยากจะหัวเราะตกอยู่ในสายตาของหวงฝู่อี้เซวียน กลายเป็นสภาพที่เจ็บปวดยากเกินจะทน ริมฝีปากก็เม้มแน่นขึ้น
ความเจ็บปวดระลอกหนึ่งหายไป เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ และไม่น่าเชื่อว่ายังจะมีกะจิตกะใจพูดล้อเล่น “เสด็จแม่ ท่านสามารถเอาท่อนไม้นี้ออกไปก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
ไม่แปลกใจที่นางจะพูดเช่นนี้ หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มนางกลับมาแล้ว ก็ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ได้แต่ยืนอยู่หน้าเตียงมองนางไม่ขยับอย่างแน่นิ่งเช่นนี้
“อี้เซวียน เจ้าออกไปก่อน” พระชายาฉีพูด
ไม่ขยับแม้แต่น้อย
พระชายาฉีเปล่งเสียงให้ดังขึ้น “อี้เซวียน เจ้าออกไปก่อน”
ยังคงไม่ขยับ
ด้วยความร้อนใจ พระชายาฉีจึงผลักเขา “อี้เซวียน ได้ยินคำพูดของแม่ไหม เจ้าออกไปก่อน”
ตึง ตัวคนล้มลงไปด้านหลัง แล้วนอนแข็งทื่ออยู่บนพื้น
พระชายาฉีสะดุ้งตกใจ “เซวียนเอ๋อร์!”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกใจไม่น้อย จึงออกแรงลุกขึ้นนั่ง แล้วเห็นดวงตาสองคู่ของเขาปิดสนิทอย่างหมดสติไป ก็โกรธจนหัวเราะ ดี ดีมาก ตำราแพทย์ที่อ่านมาหลายเดือนนี้เปล่าประโยชน์เสียแล้ว นางที่จะคลอดลูกยังไม่เป็นอะไรเลย แต่เขากลับตกใจจนหมดสติไปก่อนแล้ว
เมิ่งซื่อตกใจไม่น้อยเช่นกัน ปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยวเพื่อจะพยุงหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นมา แต่ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวห้ามไว้ เสียงที่ขบฟันแน่นดังขึ้น “ปล่อยให้เขานอนเถิดเจ้าค่ะ พื้นเย็นๆ จะได้ทำให้ตื่นสักหน่อย”
พระชายาฉีเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่นอนอยู่บนพื้น แล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวที่สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เมิ่งซื่อย่อมอดไม่ได้ อยากจะเรียกหวงฝู่อี้กับโจวอันเข้ามายกหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นบนเก้าอี้นิ่ม
แล้วความเจ็บปวดก็ถาถมเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวปวดจนกลับลงไปนอนบนเตียง เมิ่งซื่อไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว คว้าผ้าเช็ดหน้าของตัวเองซับเหงื่อให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว
ดังนั้น ซื่อจื่อแห่งจวนฉีที่สุขุมใจเย็นและสูงสง่าอย่างมากของพวกเรา ก็นอนอยู่บนพื้นอย่างแน่นิ่ง โดยไม่มีใครเหลียวแล
ความเจ็บปวดผ่านไปอีกระลอก เมิ่งเชี่ยนโยวเหงื่อท่วมศีรษะและกัดริมฝีปากจนแทบจะแตกแล้ว ทำให้พระชายาฉีรู้สึกสงสาร “โยวเอ๋อร์ เจ้าเจ็บก็ตะโกนออกมา อย่าได้ฝืนทนเลย”
พูดจบ ลุกขึ้น อยากจะไปรินน้ำให้เมิ่งเชี่ยนโยว ทันทีที่หันกายกลับ ถึงจะนึกได้ว่าลูกชายของตัวเองยังคงนอนอยู่บนพื้น
“ใครก็ได้ ลากซื่อจื่อออกไปที” พระชายาฉีสั่ง
ไม่ว่าฟังอย่างไรก็รู้สึกน่าประหลาด เมื่อหวงฝู่อี้กับโจวอันเดินเข้ามาเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่นอนอยู่พื้นเกะกะขวางทางคนอื่น ก็ตกใจจนงวยงง ความคิดที่ไม่ดีมากมายก็ล่องลอยเข้ามาในสมอง
“ยังจะยืนอึ้งอยู่ทำไมล่ะ ยังไม่ลากเขาออกไปอีก” น้ำเสียงของพระชายาฉีเคืองโกรธ
ทั้งสองคนได้สติคืนกลับมา ก็ยกเขาออกไปอย่างลนลาน
“จริงๆ เลย ความใจเย็นแต่เดิมนั่นหายไปไหนแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็หมดสติแล้ว” พระชายาฉีพูดบ่นขณะที่รินน้ำด้วยความตัวสั่น มือสั่น
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา ครั้งนี้ถึงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เสด็จแม่เจ้าคะ เชิญหมอตำแยมาแล้วหรือยังเจ้าคะ”
เพล้ง แล้วก็มีเสียงหล่นลงพื้นอีกครั้งหนึ่ง “หมอ…หมอตำแย!”
“อย่าบอกนะว่าเสด็จแม่กับท่านแม่จะทำคลอดให้ข้าน่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
พระชายาฉีราวกับตื่นจากความฝัน “ใช่ๆๆ หมอตำแย หมอตำแย เจ้าคอยก่อนนะ แม่จะไปตามเดี๋ยวนี้”
สิ้นคำพูด ก็ออกไปอย่างรวดเร็วดังสายลม
เมิ่งเชี่ยนโยวปากอ้าตาค้าง สมกับเป็นแม่ลูกจริงๆ การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ นั้นเหมือนกันอย่างมาก
ความคิดยังไม่สิ้นสุดลง พระชายาฉีก็กลับมาอีกครั้ง และถามอย่างรีบร้อน “เชิญหมอตำแยคนไหนเล่า”
เมื่อเป็นลูกแฝด เป็นไปได้ที่จะคลอดก่อนกำหนดสูงมาก เมิ่งเชี่ยนโยวทราบข้อนี้ตั้งแต่แรก ดังนั้น ช่วงที่เข้าสู่เดือนที่หก จึงปรึกษากับพระชายาฉีและจองหมอตำแยสามท่านในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว โดยรับปากว่าเมื่อใดเรียก เมื่อนั้นก็จะมาหาทันที หลังจากคลอดเสร็จแล้ว ทุกคนจะได้รับเงินหนึ่งร้อยตำลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบ “เชิญมาทั้งหมดนั่นแหละเจ้าค่ะ”
“ตกลงๆๆ” พระชายาฉีพยักหน้า แล้วออกไปอย่างรวดเร็วปานสายลมอีกครั้ง
เหลือแต่เพียงแม่ลูกสองคนที่ปากอ้าตาค้าง
มองผ้าม่านสั่นไหว เมิ่งซื่อก็หันกลับมามองมาลูกสาวของตัวเอง นัยน์ตารู้สึกผิดลึกๆ “โยวเอ๋อร์ เหตุใดแม่ถึงรู้สึกว่าไม่ควรรับปากเรื่องงานแต่งของเจ้าตั้งแต่แรกเลย”
ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะส่งเสียงหัวเราะออกมา ความเจ็บปวดก็โถมเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง ทำให้นางต้องกัดริมฝีปากเอาไว้
เสียงร้องของหวงฝู่อี้เซวียนดังสะท้านทั่วฟ้า อ๋องฉีย่อมต้องได้ยินแล้ว จึงเดินออกมาจากห้องหนังสือด้วยความกระวนกระวาย หลังจากได้ข่าวที่แน่นอนแล้ว ก็เดินก้าวยาวมาทางด้านนี้ ขณะที่เดินมาถึงครึ่งทาง ก็ฉุกคิดอะไรได้ จึงหันตัวกลับไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากตู้หนังสือด้วยมือที่สั่น เปิดออก แล้วฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้ในชายเสื้อของตัวเอง ถึงจะเดินออกมาจากห้องหนังสืออย่างรีบร้อน ตรงมาถึงหน้าเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วปะทะกับพระชายาฉีที่วิ่งออกมาจากด้านในพอดี
เห็นเขา สีหน้าของพระชายาฉีเป็นกังวล น้ำเสียงรีบร้อน “ท่านอ๋อง หมอตำแยเจ้าค่ะ ส่งคนไปเชิญหมอตำแยเจ้าค่ะ”
อ๋องฉียังนับว่าใจเย็น โบกมือและออกคำสั่ง “รีบไปเชิญหมัวมัวทำคลอดในวังหลวงมา”
บ่าวรับใช้รับคำ แล้วเงาร่างก็หายไปทันที
แม้แต่จะพูดห้ามเอาไว้ พระชายาฉีก็พูดไม่ทัน “ท่านอ๋อง ผิดแล้วเจ้าค่ะ เป็นหมอตำแยเจ้าค่ะ หมอตำแยที่เราได้เชิญไว้ล่วงหน้าแล้วเจ้าค่ะ”
“เชิญมาให้หมด เตรียมพร้อมไว้ดีกว่า”
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หมอตำแยชื่อดังสามคนของเมืองหลวง และหมัวมัวทำคลอดที่มีประสบการณ์ที่สุดของวังหลวงสองคนก็ล้วนมาถึงในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วทำความเคารพต่อพระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยว “ถวายความเคารพพระชายาฉีเจ้าค่ะ ถวายความเคารพซื่อจื่อเฟยเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีพยักหน้า
ความเจ็บปวดติดต่อกันหลายระลอก ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวเจ็บปวดจนแม้แต่เส้นผมก็ล้วนเปียกโชก และไม่เหลือแรงที่จะพยักหน้าอีกแล้ว
หมัวมัวทำคลอดคนหนึ่งเอ่ยปาก “พระชายาฉี เตรียมของที่ไว้สำหรับใช้ทำคลอดของซื่อจื่อเฟยเรียบร้อยแล้วหรือยังเจ้าคะ”
พระชายาฉีตอบสนองกลับ พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “เตรียมแล้ว เตรียมแล้ว ข้าจะสั่งคนไปเอามาเดี๋ยวนี้”
แล้วหลิงหลงก็นำอุปกรณ์และของต่างๆ มาอย่างรวดเร็ว
หมัวมัวทำคลอดรับมา “ซื่อจื่อเฟย ท่านขยับได้ไหมเจ้าคะ ข้าน้อยจำเป็นต้องปูของเหล่านี้ไว้ข้างใต้ของท่านเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างช้าๆ อยากจะพลิกกาย แต่ทั้งตัวกลับไร้เรี่ยวแรง
มองออกว่านางไม่มีแรง พระชายาฉี และเมิ่งซื่อจึงพยุงนางลงจากเตียงอย่างช้าๆ หมัวมัวทำคลอดจัดเตรียมของทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว แล้วเอ่ยปากอีกครั้ง “ซื่อจื่อเฟย กรุณาถอดเสื้อผ้าของท่านออกด้วยเจ้าค่ะ เหลือไว้แต่เพียงเสื้อบางๆ ก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ถอดชุดกระโปรงยาวของเมิ่งเชี่ยนโยวออกก่อน แล้วประคองนางนอนลงบนเตียง พระชายาฉีก็คลุมผ้าห่มให้นาง แล้วหัวมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม แล้วถอดกางเกงชั้นในที่เปียกชุ่มไปหมดแล้วด้วยตัวเอง แล้วส่งบนมือหลิงหลง
หลิงหลงรับมา เดินออกไป
แล้วความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟันไม่ส่งเสียงร้อง
หมอตำแยสามคน และหมัวมัวทำคลอดหมอหน้ากัน พวกนางทำคลอดให้เด็กหมัวมัวกมายขนาดนั้น ไม่มีคนที่คลอดเด็กคนใดจะเป็นเหมือนเมิ่งเชี่ยนโยวที่กัดฟันไม่ร้อง ในใจก็รู้สึกสรรเสริญ น้ำเสียงจึงมีความจริงใจขึ้นอย่างมาก “ซื่อจื่อเฟย ท่านร้องออกมาเถิดเจ้าค่ะ ความเจ็บปวดจะได้บรรเทาลงบ้างเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงกัดฟันส่ายหน้า
ความเจ็บปวดผ่านพ้นไป ทั้งกายก็เปียกปอนราวกับตักน้ำขึ้นมาราด
รอให้นางพักครู่หนึ่ง หมัวมัวทำคลอดเข้ามาด้านหน้า แยกขาของนางเพื่อตรวจดู
หลังจากที่ซื่อจื่อแห่งตระกูลฉีอันทรงเกียรติของพวกเราตื่นขึ้น สายตาแรกที่เห็นขณะที่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนก็คือภาพเหตุการณ์นี้ เลือดร้อนก็พลุ่งพล่านขึ้น แล้วระเบิดเสียงโกรธตามมา “ให้ตายเถิด เจ้ากำลังทำอะไร”
หมัวมัวทำคลอดสะดุ้งจนร่างกายสั่นเทิ้ม แล้วรีบปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยว ยืนขึ้นมา พยายามอธิบาย “ซื่อจื่อ ข้าน้อยกำลัง…”
“ไสหัวออกไป!” เสียงร้องคำรามยิ่งดังขึ้น โดยไม่รักษาน้ำใจแม้แต่น้อย
หมัวมัวทำคลอดอ้าปากกว้าง ไม่กล้าเชื่อคำพูดที่ตัวเองได้ยินเมื่อครู่
“เซวียนเอ๋อร์ นี่หมัวมัวกำลังตรวจให้โยวเอ๋อร์ต่างหาก เจ้าจะสร้างความวุ่นวายอะไรเพิ่มอีก รีบออกไปเดี๋ยวนี้ ผู้ชายที่ไหนจะเข้ามาในห้องทำคลอดกัน” พระชายาฉีดุเขา
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ยินทั้งสิ้น เดินก้าวยาวมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นนางนอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแอ และเปียกปอนไปทั่วร่าง ขอบตาก็ชื้นขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “โยวเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัวนะ ยังมีข้าอยู่ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง”
ยิ้มเล็กน้อย เสียงอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง แต่กลับยังคิดพูดล้อเล่น “รับประกันว่าจะไม่หมดสติไปอีกได้หรือไม่”
พยักหน้าอย่างแรง และรับประกันเสียงดังกังวาล “เจ้าวางใจ ไม่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
พูดจบ ก็นั่งหลังตรง กุมมือของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ขยับ
ทุกคนภายในห้องอึ้งกันหมด รวมถึงพระชายาฉีและเมิ่งซื่อ ชายผู้นี้คิดจะคลอดลูกเป็นเพื่อนผู้หญิง พวกนางเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก
หมัวมัวทำคลอดยิ่งงุนงง และก็ยิ่งไม่กล้าที่จะตรวจให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว
พระชายาฉีได้สติขึ้นมาคนแรก “เซวียนเอ๋อร์ รีบออกไปเดี๋ยวนี้ นี่เป็นที่ๆ เจ้าไม่ควรอยู่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น