ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 338-347

ตอนที่ 338 ล้อมจวนหลินไว้

 

หวงฝู่อวี้เบิกตาโพลง ทำท่าทีเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็เหมือนดีใจเกินเหตุ จนผ่านไปนาน กว่าเขาจะตั้งสติได้ เขากุมมือของหลินหันเยียนไว้แน่น รู้สึกดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง “เยียนเอ๋อร์ เจ้าได้ยินหรือยัง เจ้าตั้งครรภ์ลูกของเราแล้ว”


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น น้ำตาคลอเบ้า “พี่อวี้ ดีจังเลย พี่จะเป็นพ่อแล้วนะเจ้าคะ”


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก พยักหน้าหงึกๆ “ใช่ เจ้าก็จะเป็นแม่แล้วนะ”


 


 


มุมปากเมิ่งเชี่ยนโยวกระตุกเบาๆ พูดขัดจังหวะขึ้นว่า “ทักษะการแพทย์ของข้ายังตื้นเขินนัก อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ เชิญหมอหลวงเจียงมาดูดีกว่านะ”


 


 


น้ำเสียงหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยความดีใจอย่างปิดบังไว้ไม่อยู่ “ไม่ต้อง เราเชื่อในวิชาแพทย์ของพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้บอกว่าใช่ก็คือใช่ ข้าจะส่งคนไปรายงานข่าวดีแก่เสด็จแม่เดี๋ยวนี้แหละ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขา พูดอย่างมีนัยยะว่า “น้องรองแน่ใจแล้วหรือว่าจะบอกเสด็จแม่”


 


 


หวงฝู่อวี้ชะงัก พูดด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่หมายความว่าอย่างไรขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ข้าแค่เตือนให้เจ้าคิดดีๆ เรื่องบางเรื่องหากทำไปแล้ว จะกลับมาแก้ไขไม่ได้แล้วนะ”


 


 


หวงฝู่อวี้กำลังจะพูดอะไรต่อ หลินหันเยียนคว้ามือเขาไว้ “พี่อวี้ ฟังซื่อจื่อเฟยเถอะ รอมั่นใจแล้วค่อยบอกเสด็จแม่”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่เห็นด้วย ตบมือนางเบาๆ “เยียนเอ๋อร์ เสด็จแม่ชอบเด็กที่สุดเลยนะ หากรู้ว่าเจ้ามีครรภ์แล้ว ต้องดีใจมากแน่ๆ”


 


 


“ถ้าอย่างนั้น น้องรองเชิญหมอหลวงเจียงมาตรวจเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนเถอะ จะได้ไม่ทำให้เสด็จแม่หลงดีใจ ข้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักก่อน คุณหนูหลินดูแลตัวเองดีๆ นะ”


 


 


พูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน


 


 


ชิงหลวนและจูหลีรีบเดินขึ้นไปประกบทั้งสองข้างของนาง


 


 


นายหญิงและคนใช้ทั้งสามคนเดินออกไป


 


 


“พี่สะใภ้…” เมื่อหวงฝู่อวี้เห็นท่าทางเทอะทะของนาง คำพูดที่เขาจะพูดก็ถูกกลืนกลับไปหมด


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเรือนของหวงฝู่อวี้แล้ว นางก็ถอนหายใจดังเฮือกหนึ่ง


 


 


เสียงของหวงฝู่อวี้ดังขึ้นตามหลังมา “เฮ่ออี นำป้ายหยกของข้าไปเชิญหมอหลวงเจียงมา”


 


 


เฮ่ออีขานรับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่เรือนของตนด้วยความรู้สึกซับซ้อน หวงฝู่อี้เซวียนรอจนร้อนใจ เมื่อเห็นนางกลับมา ก็รีบเดินไปหา “ทำไมไปนานจัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหอบหายใจ ยิ้มพูดว่า “ร่างกายคุณหนูหลินค่อนข้างพิเศษ ข้าก็เลยใช้เวลาจับชีพจรนานหน่อย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสัมผัสได้ถึงความหมายแฝงในคำพูด เขาจึงเปลี่ยนท่าที น้ำเสียงขรึมลงกว่าเดิม สั่งชิงหลวนว่า “ต่อไปไม่ต้องมารายงานเรื่องของคุณชายรองแล้ว ปล่อยตามใจพวกเขาเถิด”


 


 


ชิงหลวนคอยรับใช้อยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวตลอด เห็นอารมณ์และสีหน้าของนางเปลี่ยนไปกับตาตนเอง จึงพอจะคาดเดาในใจได้ นางขานรับอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวรับทราบเจ้าค่ะ”


 


 


ทั้งสองเดินเข้าห้องไป เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบแก้วชาขึ้นมารินน้ำใส่แก้ว เงยศีรษะขึ้นกระดกน้ำลงไป แล้วจึงยิ้มพูดว่า “ทักษะการแพทย์ของข้าถดถอยไปบ้าง อวี้เอ๋อร์สั่งคนไปเชิญหมอหลวงเจียงมาแล้ว จะจริงหรือเท็จเดี๋ยวก็รู้กัน ขอให้ไม่เป็นอย่างที่ข้าคิดก็พอ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว สีหน้าเงียบขรึม “อวี้เอ๋อร์ก็ไม่เด็กแล้ว ควรจะแยกเขาไปอยู่อีกจวนหนึ่งได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย หุบสีหน้ายิ้มแย้ม “รอดูก่อนเถอะ อย่างไรพวกเจ้าก็เป็นพี่น้องกัน หากแยกพวกเขาออกไป ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างพวกเจ้าก็คงถึงจุดจบ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็น”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเงียบไม่พูดอะไร


 


 


ทั้งห้องเงียบสนิท


 


 


ไม่รู้ว่าหมอหลวงเจียงตรวจวินิจฉัยอย่างไร หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พระชายาฉีก็สั่งคนมาเรียกหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปหา สีหน้านางดีใจอย่างปิดบังไว้ไม่อยู่ “เยียนเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์แล้ว ปีหน้าจวนอ๋องของเราก็จะมีเด็กน้อยสามคนแล้ว แค่คิดแม่ก็ดีใจมากแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้ม พูดสำทับว่า “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้อวี้เอ๋อร์ก็รีบมาเรียกข้าไปจับชีพจรให้คุณหนูหลิน ข้าไม่มั่นใจ จึงให้เขาเรียกหมอหลวงเจียงมา คุณหนูหลินมีครรภ์แล้วจริงๆ สินะ เป็นข่าวดีมากเลยนะเจ้าคะ”


 


 


เมื่อมีข่าวดีติดต่อกันเช่นนี้ พระชายาฉีก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ “นั่นน่ะสิ หมอหลวงเจียงยังไม่ไป ก็สั่งคนมาเชิญข้าไป เมื่อได้ยินว่าเยียนเอ๋อร์มีครรภ์ ข้านั้นดีใจเหลือเกิน เพียงแต่สงสารเยียนเอ๋อร์นัก อาการแพ้ท้องนางรุนแรงมาก ทรมานจนแทบจะไม่เหลือสภาพความเป็นคนแล้ว วันที่เหลือต่อจากนี้คงต้องอดทนมากเลยล่ะ ข้าสั่งให้หมอหลวงเจียงสั่งยาบำรุงครรภ์ให้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสบตากันครู่หนึ่ง ยิ้มพูดกับพระชายาฉีว่า “มีอวี้เอ๋อร์ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด คุณหนูหลินต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ เสด็จแม่อย่ากังวลมากไปเลยเจ้าค่ะ”


 


 


สีหน้ามีความสุขของพระชายาฉีหายไป แล้วถอนหายใจใหญ่แทน “ข้าไม่ได้เป็นห่วงร่างกายของเยียนเอ๋อร์หรอก ข้าเป็นห่วงว่าเยียนเอ๋อร์จะคิดไม่ตกมากกว่า เพราะว่านี่ก็เป็นลูกคนแรกของนาง แต่สถานะนางยังเป็นเช่นนี้ ลูกยังไม่คลอดก็ถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอนุเสียแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนนิ่งเงียบ


 


 


พระชายาฉีถาม “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ จุดประสงค์ที่เสด็จแม่เรียกพวกเจ้ามาที่นี่ คืออยากถามว่าพวกเจ้ามีวิธีอะไรดีๆ ไหม ที่ทำให้ไทเฮาเปลี่ยนใจ ยกเลิกราชโองการและให้อวี้เอ๋อร์และเยียนเอ๋อร์ได้แต่งงานกันอย่างเปิดเผย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


พระชายาฉีก็มองไปที่เขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายศีรษะ “เสด็จแม่ คุณหนูหลินออกอุบายทำร้ายอวี้เอ๋อร์ เสด็จย่าไม่ได้ลงโทษนางหนักก็ถือว่าไว้หน้าจวนอ๋องและเสด็จลุงมากแล้ว ลูกคิดวิธีที่ทำให้ท่านเปลี่ยนใจไม่ได้จริงๆ ขอรับ”


 


 


พระชายาฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรื่องพวกนี้แม่ทราบดี แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นลูกคนแรกของอวี้เอ๋อร์ อย่างไรก็ไม่สมควรให้ลูกถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอนุตั้งแต่ออกมาจากท้องนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไรอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปริปาก “เสด็จแม่ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดไม่ใช่ลูก แต่คือเรื่องงานแต่งอย่างเป็นทางการของคุณหนูหลินและอวี้เอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นหากเด็กคนนี้คลอดออกมาแล้ว จะไม่ได้เป็นแม้แต่ลูกอนุนะเจ้าคะ”


 


 


พระชายาฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง


 


 


ทั้งสามไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งห้องก็เงียบสนิท


 


 


หลังจากวันนั้น พระชายาฉีก็วิ่งวุ่นไปมาที่เรือนหวงฝู่อวี้ คอยดูแลกำชับหลินหันเยียน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่สนใจข่าวคราวของทั้งสองอีกเลย


 


 


ถึงเวลาเก็บเกี่ยวมันฝรั่งแล้ว คนในบ้านต่างไปเก็บมันฝรั่งกันหมด เมิ่งซื่อก็ตามไปช่วยงานที่หมู่บ้านนอกเมือง ไม่มีเวลาว่างมาจวนอ๋อง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็พาเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่นั่นเป็นบางครั้งบางคราว หลังจากที่นางร้องขอให้พาไป


 


 


เมิ่งซื่อทำความสะอาดห้องด้วยตนเอง เตรียมของทั้งหมดไว้เรียบร้อย หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวกินมื้อเช้าเสร็จแล้วก็ตามไปที่นั่น นางอยู่จนพลบค่ำจึงกลับจวนอ๋อง เมื่อได้เห็นมันฝรั่งที่ขึ้นเต็มพื้น ก็รู้สึกพึงพอใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สิ่งเดียวที่ไม่พอใจคือขนาดท้องที่โตขึ้นทุกวัน จนทำให้เคลื่อนไหวยิ่งเทอะทะ รูปร่างไม่ได้เพรียวบางเหมือนเมื่อก่อน ด้วยเหตุนี้เอง หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของนางบ่อยครั้ง ทุกครั้งที่เห็น หวงฝู่อี้เซวียนก็จะร่าเริง พยายามกอดแข้งกอดขา คอยปรนนิบัติ และหยอกเล่นให้นางสนุกสนาน


 


 


วันเวลาแบบนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหนึ่งเดือน มันฝรั่งก็เก็บเกี่ยวหมดแล้ว ปุถุชนทั่วไปในเป่ยเฉิงก็ได้รับค่าจ้างที่พึงพอใจ สิ้นสุดช่วงฤดูความวุ่นวายแห่งปี แต่ก็มีบางคนที่ขยันไปรองานทำข้างถนน หลายคนได้หลายอีแปะ ทำให้ชีวิตคนในครอบครัวได้อยู่อย่างสุขสบายขึ้น ส่วนพวกที่ขี้เกียจ ก็กลับบ้านไปอยู่กับเมียและลูก ยังไงที่บ้านตนก็มีคนวัยแรงงานเยอะ เงินที่หามาได้ตลอดทั้งปีก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งบ้านอยู่อย่างสบายได้หลายเดือนแล้ว


 


 


ส่วนคนงานในโรงงานกุนเชียงนั้นก็ดีใจยิ่งนัก เพราะว่านายหญิงบอกว่ารอให้เก็บเกี่ยวมันฝรั่งกลับมาแล้ว พวกเขาก็ไปแต่งงานได้แล้ว


 


 


เมิ่งอี้อยู่ข้างนอกมาสองเดือนกว่าแล้ว คอยกำกับดูแลร้านบะหมี่มันฝรั่งกว่าสิบร้านด้วยตนเอง


 


 


เหวินหย่วนก็พาทุกคนตั้งสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน แต่ช่วงนี้ไม่มีคนมาหาเลย ทุกคนต่างกังวล เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสั่งคนเรียกเหวินเปียวมา นางส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ “ในนี้คือที่อยู่ร้านบะหมี่มันฝรั่งสิบกว่าร้าน เจ้าให้คนในสำนักคุ้มภัยทุกคนส่งเส้นบะหมี่มันฝรั่งไปให้ตามที่อยู่นี้นะ”


 


 


ไม่ว่าจะได้ค่าแรงหรือไม่ แต่คนในสำนักคุ้มภัยมีงานทำแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ได้นั่งถอนหายใจทั้งวัน เหวินเปียวดีใจมาก กล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยว “ขอบคุณนายหญิงขอรับ ขอบคุณนายหญิงขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ “เหวินเส้าจู่ ควรเปลี่ยนชื่อเรียกแล้วนะ ต่อไปเรียกข้าว่าซื่อจื่อเฟยเถอะ”


 


 


เหวินเปียวชะงัก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงคิดขึ้นได้ “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางเหลือบมองชิงหลวนที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดว่า “รอให้สำนักคุ้มภัยของพวกเจ้าคุ้มกันคนกลับไปหมดแล้ว เรื่องงานแต่งของเหวินซงและเหวินเหลียนก็ควรจะกำหนดได้แล้ว”


 


 


ครอบครัวเหวินเปียวเคยเร่งให้เหวินเปียวมาหาเมิ่งเชี่ยนโยวเพื่อปรึกษาเรื่องงานแต่งของเด็กสองคนนี้แล้ว แต่สำนักคุ้มภัยเพิ่งก่อตั้ง ใช้เงินทองไปจำนวนมาก แม้หลายคนจะนั่งกินนอนกินไม่ทำอะไร และถึงแม้จะมีเงินทองที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้ เหวินเปียวก็รู้สึกละอายแก่ใจมากพอแล้ว ถ้าลูกชายและลูกสาวแต่งงาน ก็ต้องใช้จ่ายอีก เขาจึงไม่กล้ามาหานาง เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดดังนั้น ก็รีบขานรับ “ซื่อจื่อเฟยวางใจเถอะขอรับ รอพวกเราคุ้มกันคนรอบนี้กลับมา เราจะให้แม่สื่อไปสู่ขอขอรับ”


 


 


ทุกวันผ่านไปอย่างราบเรียบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ไปถามหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียน แค่ได้ยินจากพระชายาฉีบ้างเป็นครั้งคราว อาการแพ้ท้องของหลินหันเยียนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สภาพก็ซูบผอมจนจะไม่เหมือนคนอยู่แล้ว นางเชิญหมอหลวงเจียงมาดู หมอหลวงเจียงบอกว่าป่วยทางใจ ไม่มียารักษาได้ มีแค่ตนเองว่าจะคิดได้ไหมเท่านั้น เขาชี้แนะหลินหันเยียนว่า ‘หากหลินหันเยียนยังเป็นแบบนี้ต่อไป ลูกในท้องก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้นะขอรับ แม้จะทานยาบำรุงครรภ์มากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์’


 


 


หลินหันเยียนร้องไห้หนักกว่าเดิม หวงฝู่อวี้ปวดใจยิ่งนัก คอยเฝ้าดูแลนางทั้งวันทั้งคืน จนไม่สนใจกิจการของจวนเลย


 


 


พระชายาฉีก็วิ่งไปมาในเรือนของพวกเขา คอยปลอบประโลมนาง จนเมิ่งซื่อที่มาหาก็ไม่มีคนคุยด้วย เมิ่งซื่อจึงมาเฝ้าเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งวัน เวลาที่อยู่กับเมิ่งเชี่ยนโยวสองต่อสองของหวงฝู่อี้เซวียนก็น้อยลง ความไม่พอใจต่อหลินหันเยียนจึงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย


 


 


วันนี้เมิ่งซื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวคุยกันในห้อง เซิ่งเอ๋อร์เล่นอยู่ข้างๆ “การงานเหรินเอ๋อร์มั่นคงแล้ว สองสามวันนี้มาปรึกษาข้าว่าจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ข้าถามแล้ว พวกเขาไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก ซื้อบ้านไม่ไหว ทำได้แค่เช่าบ้านสักหลัง ข้าก็สงสารจึงไม่ได้ตอบตกลงไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ราคาบ้านในเมืองหลวงนั้นแพงมาก แค่เงินเก็บของพี่เมิ่งเหรินและพี่สะใภ้อิงจื่อนั้นซื้อไม่ไหวแน่นอน แต่ตอนนี้สถานะของพี่เมิ่งเหรินไม่เหมือนเดิมแล้ว อาศัยอยู่ในจวนของเรา หากข่าวแพร่สะพัดออกไปจะถูกคนนอกดูถูกเปล่าๆ เจ้าค่ะ เอาเช่นนี้ ท่านกลับไปบอกพวกเขา ให้พวกเขาไปดูบ้านไว้ เสร็จแล้วข้าจะให้พวกเขายืมเงินไปซื้อเจ้าค่ะ”


 


 


สำนักราชบัณฑิตเป็นที่ทำการปกครองเขตชิงสุ่ย เงินเดือนของเมิ่งเหรินก็ไม่ได้มีมากหรอก หากพูดอย่างตรงไปตรงมา แม้เขาจะนำเงินเดือนที่สะสมทั้งชีวิตมาซื้อก็อาจซื้อบ้านในเมืองหลวงไม่ได้สักหลังด้วยซ้ำ เมิ่งเชี่ยนโยวปรึกษากับหวงฝู่อี้เซวียนไว้นานแล้ว ว่าจะซื้อบ้านให้เขาหลังหนึ่ง แต่ก็กลัวว่าเมิ่งเหรินจะไม่ยอมรับไว้ จึงบอกเมิ่งซื่อว่าจะให้เขายืมเงินแทน


 


 


เมิ่งซื่อพยักหน้า “แม่กลับไปแล้วจะไปบอกพี่สะใภ้อิงจื่อของเจ้า ดูว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไร พรุ่งนี้ข้ามาบอกเจ้านะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเซิ่งเอ๋อร์เล่นอย่างไม่มีความสุขนัก ก็ถามขึ้นว่า “เย่ว์เอ๋อร์ล่ะเจ้าคะ เย่ว์เอ๋อร์ทำไมไม่มา”


 


 


“เย่ว์เอ๋อร์อายุถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว เหรินเอ๋อร์ส่งเขาไปเรียนแล้วล่ะ”


 


 


แม่ลูกสองคนคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนนั่งเม้มปากอยู่ข้างๆ อ่านหนังสือวิชาแพทย์ที่อยู่ในมือ


 


 


เสียงโจวอันดังขึ้นจากข้างนอก “นายท่าน คนที่คอยเฝ้าสังเกตจวนหลินกลับมาแล้ว บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะรายงานขอรับ”


 


 


เมิ่งซื่อลุกขึ้น โบกมือให้เซิ่งเอ๋อร์ “เซิ่งเอ๋อร์ มานี่สิ ไปเล่นข้างนอกกับย่านะ”


 


 


“ท่านแม่ ไม่เป็นไรขอรับ ท่านอยู่กับโยวเอ๋อร์เถอะ ข้าจะออกไปเอง” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


เมิ่งซื่อนั่งกลับไปที่เดิม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนออกจากห้องไป


 


 


องครักษ์ลับนายหนึ่งยืนนอบน้อมอยู่กลางลานบ้าน เมื่อเห็นเขาออกมา ก็โค้งตัวคารวะ “ซื่อจื่อ”


 


 


“ว่ามา!”


 


 


“หลินฉงเหวินอ้างว่าร่างกายไม่สบาย ขอลาพักครึ่งเดือน หลังจากพักที่บ้านไปห้าวัน วันนี้ก็รวบรวมคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในจวน เป็นคนฝีมือดีทั้งนั้นขอรับ”


 


 


หลินฉงเหวินแอบทนได้นานขนาดนี้ ก็เป็นสิ่งที่หวงฝู่อี้เซวียนคาดไม่ถึงแล้ว


 


 


“พวกเขายังอยู่ในจวนหลินไหม”


 


 


“ตอนที่ข้าน้อยมายังอยู่ขอรับ”


 


 


“โจวอัน”


 


 


“ขอรับนายท่าน”


 


 


“นำองครักษ์ลับจำนวนหนึ่งร้อยนายไปล้อมจวนหลินไว้ แม้แต่นกตัวเดียวก็อย่าให้บินออกไปได้”

 

 

 


ตอนที่ 339

 

โจวอันขานรับและจากไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ก็ลุกขึ้น เดินออกมาอย่างเชื่องช้า พูดกำชับหวงฝู่อี้เซวียน “ระวังหน่อยนะ หลินฉงเหวินคิดแผนการใหญ่โตแบบนี้ น่าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่นอน คำพูดของเจ้าเขาอาจจะไม่ฟังก็ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้ารู้ ไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวก็กลับมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาสาวเท้ายาวออกจากเรือนไป จึงหันหลังกลับเข้าไปในห้อง


 


 


 


 


ในจวนหลิน หลินฉงเหวินผู้ซึ่งอดีตเป็นคนกระฉับกระเฉงและฮึกเหิม ตอนนี้จิตใจกลับหม่นหมองเปราะบางกำลังยืนอยู่ในลานบ้าน กวาดตามองจอมยุทธ์จากทุกสารทิศที่เขารวบรวมมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ด้วยเงินทองมากมาย เขาพูดสีหน้าเคร่งขรึมด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทุกท่าน เมื่อครู่นี้พูดไปชัดเจนหมดแล้ว เรื่องรางวัลตอบแทนเราก็ตกลงกันแล้ว ข้าไม่มีสิ่งปรารถนาอื่น ขอแค่ทุกท่านลงมืออย่างคล่องแคล่ว อย่าเก็บไว้แม้แต่ชีวิตเดียว”


 


 


ชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างกำยำแต่เสียงแหลมเหมือนผู้หญิง ถามด้วยสำเนียงเหนือว่า “นายท่านหลิน ถึงจะตกลงเรื่องรางวัลตอบแทนกันแล้ว แต่เรายังไม่เห็นเงินทองเลย ตามสัญญาแล้ว ท่านต้องจ่ายมัดจำส่วนหนึ่งก่อนมิใช่หรือขอรับ”


 


 


“เรื่องนี้วางใจได้” หลินฉงเหวินนำตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมา ตบบนฝ่ามืออีกข้างของตนสองสามที “นี่คือตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง ทุกท่านเอาไปก่อน ส่วนที่เหลือ เมื่อทำงานสำเร็จแล้ว ก็ส่งคนมารับไปได้เลย”


 


 


ชายอีกคนเดินขึ้นไปรับตั๋วเงินมา ตรวจดูอย่างละเอียดแล้วพยักหน้า “นายท่านหลินเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ พวกเราจะไม่อืดอาดยืดยาดแน่นอน ท่านรอฟังข่าวดีจากพวกเราเถอะ อย่างช้าสุดสามวัน เราจะส่งคนมารับตั๋วเงินที่เหลือ”


 


 


หลินฉงเหวินพยักหน้า สายตาเผยความอำมหิต ตลอดชีวิตของเขา จากคนธรรมดาคนหนึ่งปีนไต่จนเป็นราชเลขาได้ ต้องมีความขยันหมั่นเพียรกว่าคนอื่นเป็นร้อยเป็นพันเท่า วันนี้กลับตกหลุมพรางของหัวหน้าตระกูลเล็กๆ คนหนึ่งและเศรษฐีบ้านนอก จนตำแหน่งลดลงไปสามขั้น กลายเป็นที่เย้ยหยันของลูกน้องตน และยังเป็นเรื่องเล่าสนุกปากในจิ่วโหลวของคนในเมืองหลวงด้วย หากแค้นนี้ไม่ได้ชำระ เขาคงอัดอั้นตันใจจนตายแน่ๆ


 


 


งานของคนเหล่านี้คือการฆ่าคนเพื่อหาเงิน ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในจวนก็ส่งคนสนิทไปเฝ้าประตูไว้แล้ว เพื่อป้องกันสิ่งผิดปกติ จนถึงตอนนี้คนสนิทก็ยังไม่ได้กลับมา แสดงว่าข้างนอกปลอดภัยดี หลินฉงเหวินจึงมองทุกคนเดินออกไปอย่างสบายใจ


 


 


เมื่อเขาหันหลังกลับ กำลังจะเดินเข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเสียงของหนักตกลงพื้นจากข้างหลัง เขาจึงหันหลังกลับ เห็นกลุ่มคนที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ถูกโยนลงบนพื้นหมด


 


 


หลิงฉงเหวินตกใจ โวยวายว่า “ใครกัน ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”


 


 


องครักษ์ลับทั้งสิบนายบุกเข้ามา ยืนเรียงทั้งสองฟาก หวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลังเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


 


เมื่อหลินฉงเหวินเห็นรังสีแห่งความดุดันราวกับจะฉีกคนเป็นชิ้นๆ ของเขา หลินฉงเหวินก็ตกใจ ก้าวถอยหลังทันที แล้วถามด้วยความตกใจว่า “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าจะทำอะไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองทุกคนที่นอนเกลื่อน และไม่กล้าร้องเสียงดังบนพื้น แล้วหันไปมองหลินฉงเหวินที่กำลังอึ้งอยู่ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หลินฉงเหวิน เจ้าเป็นถึงขุนนางในวัง แต่ร่วมวางแผนการกับคนมากมาย ต้องการกระทำการอันใดกันแน่”


 


 


“ข้า…” หลินฉงเหวินตอบไม่ได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง


 


 


หลินฉงเหวินตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “เจ้า เจ้า เจ้าอย่าเข้ามานะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแสยะยิ้ม ถามเสียงเรียบว่า “หลินจ้งล่ะ ให้เข้าไสหัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้”


 


 


“จ้งเอ๋อร์ไม่ได้กลับมา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างหนักแน่นกว่าเดิม “จริงหรือ”


 


 


หลินฉงเหวินหลบสายตาแวบหนึ่ง


 


 


“โจวอัน!”


 


 


“ขอรับนายท่าน!”


 


 


“สั่งคนตรวจค้นจวนหลิน ดูว่าคุณชายหลินอยู่ในจวนหรือเปล่า”


 


 


โจวอันขานรับ โบกมือ กำลังจะสั่งองครักษ์ลับ หลินฉงเหวินพูดห้ามเสียงดัง “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าอย่ามากเกินไปหน่อยเลย ที่นี่จวนหลิน บ้านของข้า ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมากำเริบเสิบสานได้”


 


 


“กำเริบเสิบสาน?” หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มชั่วร้าย เมื่อปรากฏบนในหน้าสวยงามไร้ที่ติของเขา หลินฉงเหวินก็รู้สึกหนาววาบขึ้นมาทันที “หลินฉงเหวิน เจ้ารู้หรือเปล่าว่ากำเริบเสิบสานเขียนอย่างไร”


 


 


หลินฉงเหวินตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว


 


 


“ให้ตายเถอะ กล้าต่อยพี่น้องข้า เจ้าหาที่…ตาย” ชายร่างสูงใหญ่นายหนึ่งคลานขึ้นมาจากบนพื้น ด่าว่าไปที่หวงฝู่อี้เซวียน แต่เสียดายที่ยังไม่ทันด่าจบ ดวงตาก็แข็งทื่อ มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนอย่าไม่เชื่อสายตา จากนั้นลำตัวที่หนักอึ้งก็ล้มหงายหลังลงไปบนพื้น


 


 


“น้องสาม!”


 


 


“พี่สาม!”


 


 


ชายร่างสูงใหญ่สองสามนายที่อยู่บนพื้นร้องเสียงหลง


 


 


เลือดก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากคอของชายร่างสูงใหญ่ที่ถูกเรียก เขาหมดลมหายใจทันที ไม่มีโอกาสแม้แต่จะตะเกียกตะกายขึ้นมา


 


 


คนที่เหลือตาแดงน้ำตาคลอเบ้า


 


 


โจวอันถือมีดแหลมคมเล่มเล็กที่ไร้รอยเปื้อนเลือดบนมือแตะบนมือสองสามที


 


 


ทุกคนบนพื้นตกใจ มีดเล่มเล็กที่มีลักษณะพิเศษนี้มีเพียงองครักษ์ลับเท่านั้นที่ครอบครองได้ มิน่าล่ะ พวกเขาถึงสู้ไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวและถูกโจมตีกลับเข้ามาในเรือนหมด


 


 


รังสีแห่งความอาฆาตที่คิดจะแก้แค้นของชายร่างสูงใหญ่สองสามคนเมื่อครู่นี้พลันหายไป บัดนี้พวกเขาอยากจะหดตนเองให้เล็กที่สุด ราวกับว่าตนไม่ได้อยู่ที่นี่เสีย


 


 


โจวอันโบกมือ องครักษ์ลับทั้งสี่ถอยกลับไป ส่วนเขาและองครักษ์ลับที่เหลือก็คอยจ้องมองพวกเขา หากใครตุกติก ก็จะเอาชีวิตทันที


 


 


หลินฉงเหวินหวาดผวา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตา ระหว่างที่องครักษ์ลับมารายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนหลินให้ฟังแล้ว บอกว่าหลินจ้งไม่ได้ออกจากจวนหลินมายี่สิบกว่าวันแล้ว มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือหลินฉงเหวินสั่งเสียและตระเตรียมงานศพของตนไว้แล้ว และได้ส่งตัวหลินจ้งและฮูหยินหลินกลับไปแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ หลินจ้งไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา จึงถูกเขาขังไว้ ตามนิสัยของหลินจ้งแล้ว น่าจะเป็นอย่างที่สอง เขาจึงสั่งองครักษ์ลับไปตรวจค้นจวนหลิน


 


 


ก่อนหน้านี้จวนหลินคือจวนราชเลขา ในจวนมีองครักษ์อยู่ แต่หลังจากที่หลินฉงเหวินถูกลดตำแหน่งลงสามขั้น คุณสมบัตินี้ก็หายไป ตอนนี้ในจวนจึงเหลือเพียงคนที่พอรู้วิชาการต่อสู้พื้นฐานเล็กน้อย ไม่เช่นนั้น หลินฉงเหวินคงสั่งคนมาห้ามไว้ตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป องครักษ์ลับก็ทยอยกลับมา ต่างรายงานว่าไม่เห็นหลินจ้งในจวน


 


 


หลินฉงเหวินแอบถอนหายใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลอบสังเกตอาการของเขา เมื่อเห็นเขาถอนหายใจ ก็รู้ว่าหลินจ้งอยู่ในจวนแน่นอน ถามองครักษ์ลับว่า “ฮูหยินหลินอยู่ในจวนหรือไม่”


 


 


องครักษ์ลับนายหนึ่งเดินออกมา “รายงานนายท่านขอรับ ฮูหยินหลินอยู่ในห้องของนาง บอกว่าไม่สบาย กำลังพักผ่อน ไม่อนุญาติให้เราเข้าไปรบกวนขอรับ”


 


 


“ไปเชิญฮูหยินหลินมา ลองไปค้นห้องของนางด้วย”


 


 


หลินฉงเหวินสะดุ้งตกใจเหมือนถูกเหยียบหาง “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าอย่ารังแกคนไปหน่อยเลย นั่นเป็นห้องของสตรี ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างพวกเจ้าคิดจะเข้าก็เข้าไปได้”


 


 


ไม่มีใครสนใจเขา องครักษ์ลับสองสามนายเหาะเหินไป


 


 


หลินฉงเหวินร้อนรน เดินขึ้นหน้าไปขวางทางไว้ “อยากเข้าไปห้องของฮูหยินข้า ก็ข้ามศพข้าไปให้ได้ก่อน”


 


 


โจวอันเหินตัวไปข้างหน้า ขวางหลินฉงเหวินไว้


 


 


องครักษ์ลับสองสามนายที่เหลือกระโดดผ่านเขาไป


 


 


หลินฉงเหวินยกมือตั้งท่า บุกไปที่โจวอัน


 


 


โจวอันไม่ได้ตั้งรับเขา ถอยกลังไปสองสามก้าว แล้วกลับไปประจำข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หลินฉงเหวินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ร้องโวยวายว่า “หวงฝู่อี้เซวียน ข้าจะไปตำหนักจินหลวนฟ้องเจ้า ข้อหารุกล้ำพื้นที่ส่วนบุคคลโดยพลการ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “รอเจ้ามีสิทธิ์นั้นแล้วค่อยว่ากันเถอะ”


 


 


หลินฉงเหวินเจ็บแปลบในใจ เหมือนสาดน้ำมันลงกองเพลิง


 


 


ผ่านไปไม่นาน เสียงตกใจลนลานของฮูหยินหลินก็ดังมาจากในเรือน “พวกเจ้าทำอะไรน่ะ นี่ลูกของข้า ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้”


 


 


หลินฉงเหวินปิดตาลง รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาวางแผนมาอย่างลำบากตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ถูกหวงฝู่อี้เซวียนทำลายจนเละไม่เป็นท่า ในใจพลันรู้สึกแค้นเคือง พูดกัดฟันกรอด “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าทำลายแผนการของข้า จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าและเจ้าคือเสือสองตัวที่อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองเขาทีหนึ่ง แสยะยิ้มอย่างประชดประชัน “หลินฉงเหวิน จากการกระทำวันนี้ของเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีโอกาสพลิกตัวได้อีกหรือ”


 


 


องครักษ์ลับแบกหลินจ้งที่ไม่ได้สติมา ข้างหลังตามมาด้วยฮูหยินหลินที่หวาดกลัวลนลาน และคอยทุบตีองครักษ์ลับ “พวกเจ้าปล่อยลูกข้า ปล่อยลูกข้าเดี๋ยวนี้นะ”


 


 


ฮูหยินหลินเป็นผู้หญิง แรงที่ทุบตีไม่หนักไม่เบา องครักษ์ลับสองสามนายไม่ได้สนใจนาง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ว่า “ฮูหยินหลิน หากท่านยังใช้กำลังอีก ข้าจะไม่เกรงใจตัดมือท่านไปเลี้ยงสุนัขเสีย”


 


 


ฮูหยินหลินชะงัก อ้าปากเหวอมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน ไม่กล้าขยับตัวอีก


 


 


องครักษ์ลับวางหลินจ้งต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกไป เงยหน้าหลินจ้งขึ้น เมื่อเห็นเขาหลับตาอยู่และไร้ความรู้สึกใดๆ ก็ถามเสียงเย็นชาว่า “หลินฉงเหวิน ยาถอนพิษ”


 


 


หลินฉงเหวินนิ่ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองเขา


 


 


หลินฉงเหวินร้อง ฮึ อย่างไม่พอใจ ก้มหน้าไม่สนใจเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองกลับมา สั่งว่า “โจวอัน สาดน้ำจนกว่าเขาจะตื่น”


 


 


โจวอันขานรับ เดินสาวเท้าไปข้างบ่อน้ำ


 


 


ฮูหยินหลินใจอ่อน เมื่อตั้งสติได้ก็รีบห้ามปราม “อย่านะ ข้าจะให้ยาแก้พิษพวกเจ้า”


 


 


โจวอันหยุดฝีเท้าลง


 


 


ฮูหยินหลินรีบเดินไปข้างหน้าหลินฉงเหวิน ขอร้องว่า “ท่านพี่ เรื่องถึงตรงนี้แล้ว เอายาแก้พิษออกมาเถอะเจ้าค่ะ”


 


 


หลินฉงเหวินจ้องนางทีหนึ่ง “ข้าโยนทิ้งไปนานแล้ว ไม่มีหรอก”


 


 


“ท่านพี่!” ฮูหยินหลินตกใจเบิกตาโต “ท่านตกลงกับข้าแล้วมิใช่หรือหลังจากส่งจ้งเอ๋อร์และครอบครัวทั้งบ้านไปแล้ว ท่านก็จะเอายาแก้พิษให้พวกเขา”


 


 


หลินฉงเหวินร้อง ฮึ ด่าอย่างโมโหว่า “เจ้าคนอกตัญญู คิดจะห้ามข้า ข้าไม่มีทางให้เขาตื่นหรอก”


 


 


“ท่านพี่! เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเองนะเจ้าคะ จ้งเอ๋อร์เป็นลูกของท่าน ท่านจะลงมือทำเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขี้เกียจฟังพวกเขาพล่ามไร้สาระอีก จึงโบกมือเรียกโจวอันตักน้ำเย็นถังหนึ่งมา ส่งสัญญาณให้องครักษ์ลับวางคนไว้บนพื้น และสาดน้ำไปที่เขาที่ก้มหน้าก้มตาไม่ได้สติ


 


 


ฮูหยินหลินปวดใจยิ่งนัก “จ้งเอ๋อร์!”


 


 


นัยน์ตาหลินฉงเหวินวูบไหวอยู่แวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร


 


 


หลินจ้งไม่ตื่น


 


 


โจวอันยกน้ำมาอีกถัง สาดลงไปอีกครั้ง


 


 


หลินจ้งถูกสาดเช่นนี้อยู่สามครั้ง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย ฮูหยินหลินเจ็บปวดใจจนน้ำตารินไหล “ขอร้องล่ะ อย่าสาดอีกเลย สาดแบบนี้ต่อไปจะเอาชีวิตจ้งเอ๋อร์ไปนะ”


 


 


หลินฉงเหวินกำหมัดแน่น ปล่อยออก แล้วกำอีก แล้วปล่อยอีก จนเมื่อโจวอันยกน้ำถังแล้วถังเล่ามา สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พูดห้ามอย่างเสียงดัง “หยุดสาดได้แล้ว ข้าให้ยาแก้พิษก็ได้”


 


 


ฮูหยินหลินเบิกตาโพลง มองเขาอย่างไม่น่าเชื่อ


 


 


หลินฉงเหวินนำยาห่อหนึ่งจากแขนเสื้อ โยนไปให้โจวอัน “ป้อนให้เขากิน เดี๋ยวก็ฟื้นแล้ว”


 


 


โจวอันรับยาไว้สาวเท้าเดินไปหน้าหลินจ้ง คุกเข่าลง อ้าปากเขาออกแล้วเทยาห่อนั้นลงไปในปากของเขา จากนั้นก็มองไปรอบทิศ


 


 


องครักษ์ลับนายหนึ่งยกน้ำถังหนึ่งมา ค่อยๆ รินน้ำลงไปในปากของหลินจ้ง


 


 


โจวอันปิดปากเขา เมื่อเห็นเขากลืนลงไป ก็ลุกขึ้นเดินกลับไปข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หลินจ้งค่อยๆ ตื่น เมื่อรู้สึกว่าตัวเปียกชุ่มไปทั้งตัว ก็กะพริบตาถี่อย่างไม่เข้าใจ ยังไม่ทันตั้งสติได้ เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นเหนือศีรษะเขา “คุณชายหลิน บนพื้นสบายไหม”


 


 


หลิงจ้งตกใจจนเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ยังไม่หมดไป สมองจึงยังมึนงงอยู่ เขารีบกุมขมับพยายามตั้งสติ เมื่อตั้งหลักได้แล้ว ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน คารวะหวงฝู่อี้เซวียนด้วยตัวที่เปียกชุ่มจนน้ำหยดลงพื้น “ซื่อจื่อ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตอบ


 


 


หลินจ้งไม่กล้าเงยหน้าขึ้น


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ หวงฝู่อี้เซวียนจึงปริปาก “คุณชายหลิน รู้หรือเปล่าว่าเหตุใดเจ้าจึงกระเซอะกระเซิงเช่นนี้”


 


 


หลินจ้งพูดไม่ออก ก้มหน้าแอบกวาดมองไปรอบด้าน เห็นชายร่างสูงใหญ่หลายนายนอนอยู่บนพื้น และยังเห็นฮูหยินหลินที่ร้อนรนและหลินฉงเหวินที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความแค้นเคือง จึงพอเดาได้ในใจ ศีรษะก็ก้มต่ำลงไปอีก


 


 


“คุณชายหลิน ไม่มีอะไรจะพูดหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงเย็นชา


 


 


หลินจ้งกัดฟัน ไม่พูดอะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างเชื่องช้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “คุณหนูหลินตั้งท้องแล้ว หมอหลวงเจียงบอกว่านางป่วยทางใจ ลูกในท้องอาจจะไม่รอด ไม่รู้เหมือนกันว่าหากไทเฮาได้ยินข่าวนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”


 


 


หลินจ้งตกใจจนยกศีรษะขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหวงฝู่อี้เซวียน ก็โค้งตัวลงอีกครั้งอย่างไม่ลังเล “ซื่อจื่อ หลินจ้งมีเรื่องจะเรียนท่านขอรับ”

 

 

 


ตอนที่ 340 กักบริเวณ

 

หวงฝู่อี้เซวียนรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าหลินฉงเหวินคิดจะทำอะไร แต่ที่ถามหลินจ้งเช่นนี้ ก็แค่ต้องการดูอากัปกิริยาของเขา เมื่อได้ยินดังนั้นหวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้า “ว่ามา”


 


 


เมื่อได้ยินว่าหลินจ้งจะเผยความลับของตน หลินฉงเหวินก็โกรธจนร้องคำราม “ไอ้คนอกตัญญู ถ้าเจ้ากล้าพูด ข้าไล่เจ้าออกจากบ้านแน่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว


 


 


“โจวอัน!”


 


 


โจวอันเหาะเหินไปข้างกายหลินฉงเหวิน ขณะที่เขายังไม่ทันตั้งตัว ก็ยื่นมือไปสกัดจุดเขาไว้


 


 


หลินฉงเหวินตาแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ได้


 


 


“จ้งเอ๋อร์” ฮูหยินหลินพูดวิงวอนเขา ส่ายหน้าส่งสัญญาณบอกให้เขาอย่าพูดออกไป


 


 


หลินจ้งหันไปมองพ่อของตนครู่หนึ่ง นึกถึงความบ้าบิ่นของเขาที่ผ่านมา หลินจ้งกัดฟันกรอด ชี้ไปที่ชายร่างสูงใหญ่เหล่านั้น “คนกลุ่มนี้คงจะเป็นจอมยุทธ์ที่ท่านพ่อจ้างวานมา จะให้พวกเขาไปสังหารทุกคนในครอบครัวท่านแม่”


 


 


หลินฉงเหวินเบิกตาโพลง นัยน์ตาร้อนจนจะลุกเป็นไฟ ราวกับจะเผาหลินจ้งให้ตาย


 


 


ฮูหยินหลินฟุบลงบนพื้นอย่างหมดหวัง นางรู้ว่าตอนนี้ทุกอย่างจบแล้ว หลินฉงเหวินในฐานะที่เป็นขุนนางในวัง สมรู้ร่วมคิดกับเหล่าจอมยุทธ์ นี่ก็เป็นโทษหนักหนามาแล้ว แล้วยังคิดกระทำการโหดร้ายเช่นการสังหารคนแบบนี้อีก หากฮ่องเต้รู้เข้า ท่านไม่ปล่อยจวนหลินไปแน่ โทษเบาหน่อยหลินฉงเหวินถูกปลดออกจากตำแหน่ง และเข้ารับราชการไม่ได้อีก ถ้าโทษหนักหน่อย ลูกชายและลูกสาวของเขาก็อาจเดือดร้อนด้วย หลินจ้งอาจถูกขัง ส่วนหลินหันเยียนอาจจะยิ่งน่าอนาถ ลูกในท้องอาจจะไม่รอดด้วยก็ได้


 


 


หลินจ้งพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร


 


 


ทั้งลานบ้านเงียบสงัด


 


 


เงียบจนทุกคนผวา


 


 


หลินจ้งกลับพูดเปิดโปงเรื่องราวทั้งหมด ตอนที่พ่อตัดสินใจทำเรื่องนี้ เขาคัดค้านอยู่หลายครั้ง คอยพูดไกล่เกลี่ยโน้มน้าวเขา ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เขาทำงานอย่างหนักในค่ายทหารราชเลขา เคยกระทำผิดรุนแรงอย่างการฆ่าคน แต่ฮ่องเต้กลับไม่ได้ให้โทษหนัก นั่นหมายความว่าฮ่องเต้ยังให้ความสำคัญกับเขา การลงโทษนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างไม่มีทางเลือก ในเมื่อสายตามากมายจับจ้องอยู่ ฮ่องเต้ก็ไม่ควรลำเอียงมากเกินไป หากต่อไปมีโอกาส ก็ยังให้เขากลับมารับใช้อีกได้ แต่พ่อเอาแต่คิดหาทางแก้แค้นอยู่วันยันค่ำราวกับถูกปีศาจสิงอยู่ในร่าง โดยเฉพาะเมื่อเขาถูกอดีตลูกน้องหัวเราะเยาะเย้ยในค่ายทหาร ความตั้งใจของพ่อก็แน่วแน่มากขึ้น จนเขาเกือบจะบ้าคลั่ง และกลายเป็นคนหดหู่หม่นหมองไปมาก เขาใช้เงินทองมากมายจ้างนักฆ่ามา ทั้งยังใส่ยาพิษให้ตนอย่างไม่ลังเล ก่อนที่หลินจ้งจะสลบไป เขาได้แต่คิดว่าไม่รู้ว่าตนจะยังมีโอกาสตื่นมาอีกไหม หรือว่าหลังจากตื่นมาแล้ว จวนหลินจะยังอยู่หรือไม่ แต่ตอนนี้ค่อยยังชั่ว ดีที่ทุกอย่างยังไม่เกิดขึ้น คนในครอบครัวตนก็ยังอยู่ครบดี


 


 


“ซื่อจื่อ” หลินจ้งยกศีรษะ มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสายตาเป็นประกาย พูดอย่างตรงไปตรงมา “หลินจ้งขอร้องซื่อจื่อเรื่องหนึ่งได้ไหมขอรับ”


 


 


“ลองพูดมาสิ”


 


 


“ก็มีเหตุอันควรที่พ่อข้าคิดกระทำการเช่นนี้นะขอรับ เมื่อซื่อจื่อรายงานฮ่องเต้ ได้โปรดขอร้องให้ไว้ชีวิตในฐานะที่เขายังไม่ได้กระทำอะไรลงไปด้วยเถอะขอรับ จะเป็นพระคุณยิ่ง”


 


 


ไม่ทันรอหวงฝู่อี้เซวียนพูด เสียงในลำคอของหลินฉงเหวินก็ดังขึ้น หน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาแวบหนึ่ง


 


 


“โจวอัน!”


 


 


โจวอันเดินขึ้นไป คลายจุดให้หลินฉงเหวิน


 


 


หลินฉงเหวินกระโดดไปข้างหน้าหลินจ้งทันที ตบตีเขาอย่างไม่ยั้งมือ “ไอ้ลูกอกตัญญู ฟ้องร้องพ่อตัวเองได้อย่างไร ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”


 


 


หลินจ้งไม่หลบ ปล่อยให้เขาตบตีและด่าว่า


 


 


ฮูหยินหลินวิ่งกรีดร้องไป ดึงรั้งแขนของหลินฉงเหวินไว้อย่างสุดชีวิต “ท่านพี่ สงบสติอารมณ์หน่อย นี่ไม่ใช่ความผิดของจ้งเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ”


 


 


หลินฉงเหวินปิดหูปิดตา ทั้งเตะและต่อยหลินจ้งราวกับคนเสียสติ


 


 


ฮูหยินหลินดึงรั้งไว้ไม่อยู่ รีบตะโกนหลินจ้งว่า “จ้งเอ๋อร์ เจ้าหลบไปสิ พ่อจะเอาชีวิตเจ้าเสียนะ”


 


 


หลินจ้งยืดอกขึ้น ไม่ขยับไม่ไหน


 


 


ทุกคนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ให้ตายก็ไม่คิดว่าราชเลขาในค่ายทหารจะลงมือทุบตีลูกชายเพียงคนเดียวของตน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว สีหน้าหลินฉงเหวินดูผิดปกติ ราวกับตกอยู่ในความคุ้มคลั่ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ


 


 


โจวอันเดินขึ้นหน้า รีบสกัดจุดหลินฉงเหวินไว้อีกครั้ง


 


 


หลินฉงเหวินหยุดอยู่กับที่


 


 


ฮูหยินหลินถอนหายใจ


 


 


หน้าผากและใบหน้าของหลินจ้งปรากฏรอยฟกช้ำ


 


 


“โจวอัน ไปเรียกกองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองมา”


 


 


หลังจากสงบลง หวงฝู่อี้เซวียนก็ออกคำสั่ง


 


 


โจวอันขานรับ เดินสาวท้าวออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนำองครักษ์ลับนับร้อยนายมาล้อมจวนหลินไว้ การเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ กองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองจะไม่รู้ได้อย่างไร พวกเขาจึงส่งคนมาตรวจดูแล้ว เมื่อถามจนได้ความว่าคนเหล่านั้นเป็นองครักษ์ลับ และหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ในจวนหลิน ก็ตกใจจนผู้บัญชาการจางพาคนถอยกลับไปอย่างเงียบๆ เรื่องใดที่ซื่อจื่อต้องออกโรงด้วยตนเองแสดงว่าเรื่องนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ของตน ทหารชั้นผู้น้อยอย่างพวกเขาไม่เข้าไปยุ่งจะดีกว่า แต่ก็ต้องทำให้ซื่อจื่อรู้ว่าพวกเขามาแล้ว หลังจากที่ถอยกลับไปได้หลายสิบเมตร ผู้บัญชาการจางก็สั่งคนล้อมด้านนอกไว้ ไล่คนที่เดินผ่านไปมารวมถึงคนที่มามุงดูออกไปจากบริเวณนี้


 


 


โจวอันเดินออกจากประตูจวนหลิน เห็นกองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองที่อยู่ไกลออกไป ก็สาวเท้าเดินไปหาพวกเขา


 


 


โจวอันอยู่ข้างกายหวงฝู่อี้เซวียนตลอดเวลา จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเขาไปแล้ว คนในเมืองหลวงทุกคนต่างรู้จักเขา ผู้บัญชาการก็เช่นกัน เมื่อเห็นโจวอันเดินมาหาเขา ก็รีบเดินขึ้นไปต้อนรับ ถามขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่โจว ซื่อจื่อมีคำสั่งอะไรหรือขอรับ”


 


 


“มีจอมยุทธ์บังอาจบุกเข้าจวนหลิน หวังจะฆ่าชิงทรัพย์ ตอนนี้ถูกเราจับตัวไว้แล้ว ซื่อจื่อสั่งให้เจ้านำตัวพวกเขาไป”


 


 


ผู้บัญชาการจางเชื่อตามนั้น เขาตกใจพลางคิดในใจว่า นี่มันเสือลำบากถูกสุนัขรังแกชัดๆ หลินฉงเหวินเพิ่งลงจากตำแหน่งราชเลขา ก็มีโจรเข้ามาปล้นทรัพย์ เขากล้าใช้ศีรษะของตนเป็นประกันเลยว่านี่ต้องเป็นคนที่หลินฉงเหวินเคยทำผิดด้วยไว้แน่ๆ เขาจึงถือโอกาสแก้แค้น แต่คนกลุ่มนี้ก็กล้าหาญนัก บุกเข้าจวนหลินกลางวันแสกๆ โชคดีที่ซื่อจื่อมาพบเข้า ไม่เช่นนั้นคงเกิดการสังหารหมู่ในเมืองหลวงแห่งนี้อีก


 


 


เขายืดอกแล้วโบกมือเรียกไปทางข้างหลัง ทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งเหยาะๆ มา


 


 


“พวกเจ้าไปจวนหลินกับข้า ที่เหลือเฝ้าอยู่ที่เดิม ห้ามให้ใครเข้าใกล้จวนหลินแม้แต่ก้าวเดียว” ผู้บัญชาการจางสั่ง


 


 


ทุกคนขานรับ


 


 


โจวอันหันหลังเดินกลับไป


 


 


ผู้บัญชาการจางนำทหารกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังไปติดๆ


 


 


เมื่อเข้าไปในจวนหลิน ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าชัดเจน ผู้บัญชาการจางก็งงงวย กลุ่มคนบนพื้นนั้นเป็นจอมยุทธ์จริง แต่หลินฉงเหวินและหลินจ้งเป็นอะไรไป คนหนึ่งโมโหเบิกตาโต ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับไปไหนเลย อีกคนเปียกโชก ราวกับว่าเพิ่งเก็บขึ้นมาจากบ่อน้ำ หรือว่าหลินฉงเหวินพ่อลูกต่อสู้กับพวกเขาแล้ว แต่ดูเสื้อผ้าพวกเขา ก็ไม่เหมือนกับต่อสู้กับใครมา ในใจคิดพลางเดินสาวเท้าไปหาหวงฝู่อี้เซวียนพลาง แล้วคารวะ “ซื่อจื่อ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าขอฝากคนกลุ่มนี้ไว้กับเจ้า จำไว้ว่า พวกเขาเป็นขุนโจรที่อาจหาญและบ้าระห่ำ ห้ามให้โอกาสพวกเขาอีกเด็ดขาด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดขนาดนี้ มีหรือที่ผู้บัญชาการจางจะไม่เข้าใจ เขารู้ว่าซื่อจื่อกำลังบอกเขาอ้อมๆ ว่า ไม่ต้องสอบสวนพวกเขาแล้ว ฆ่าเสียให้จบเรื่องจะง่ายกว่า สำหรับเขาแล้วอย่างอื่นเขาอาจไม่เก่งนัก แต่เรื่องฆ่าคนเป็นสิ่งที่ตนถนัด แค่พาไปแถวสุสานรกร้าง ฆ่าเสียให้สิ้นเรื่อง เขาจึงรีบตอบกลับทันทีว่า “ซื่อจื่อวางใจเถอะขอรับ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อยแน่นอน”


 


 


“ในตัวพวกเขาน่าจะมีทรัพย์สินที่ขโมยมาจากจวนหลิน ไม่ว่ามากน้อยแค่ไหน ข้าขอเป็นผู้ตัดสินใจเองแล้วกัน หลังจากค้นตัวหมดแล้วของทั้งหมดเป็นของพวกเจ้า”


 


 


ทีนี้ก็จะรวยเละแล้ว ผู้บัญชาการจางดีใจจนแทบจะคุกเข่าให้หวงฝู่อี้เซวียน เปล่งเสียงดังกังวาน “ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ


 


 


เหล่าทหารเดินขึ้นหน้า เตะคนที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ตะโกนไล่ให้พวกเขาเดินออกไปข้างนอก


 


 


หวงฝู่อวี้ส่งสัญญาณให้โจวอัน


 


 


โจวอันรับทราบ หันหลังเดินตามออกไป เมื่อเดินถึงข้างนอกก็ออกคำสั่งซุบซิบข้างหูองครักษ์ลับนายหนึ่ง


 


 


องครักษ์ลับพยักหน้า โบกมือให้องครักษ์ลับอีกสิบนายเดินตามหลังทหารไป


 


 


จวนหลินสงบลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก “หลินจ้ง ข้าหิวน้ำ เจ้าไปชงชาให้ข้าดื่มหน่อย”


 


 


หลินจ้งไม่เข้าใจความหมายในคำพูดเขา ยกศีรษะมองเขาอย่างงุนงง


 


 


“ทำไม เจ้าไม่อยากชงชารึ”


 


 


หลินจ้งตั้งสติได้ ก็รับผายมือทำท่าเชิญ “เชิญซื่อจื่อตามข้ามาขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ หลินจ้งเดินตามหลัง


 


 


โจวอันตามหลังสองคน


 


 


ส่วนหลินฉงเหวินและฮูหยินหลินถูกปล่อยทิ้งไว้ที่เดิม ไม่มีใครสนใจ


 


 


ทั้งสองมาถึงเรือนรับรอง หวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้ตรงกลางห้อง หลินจ้งพูด “ซื่อจื่อ เชิญนั่งก่อนขอรับ ข้าจะไปชงชาให้เดี๋ยวนี้ขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดห้าม “ไม่เป็นไรหรอก ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”


 


 


หลินจ้งไม่กล้านั่งลง ยืนโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม “ซื่อจื่อ เชิญพูดขอรับ หลินจ้งตั้งใจฟังอยู่ขอรับ”


 


 


“เรื่องวันนี้ในจวนหลินของเจ้า ข้ามิได้จะรายงานฮ่องเต้”


 


 


หลินจ้งชะงัก แล้วดีใจคุกเข่าลงบนพื้น ก้มศีรษะติดพื้น “หลินจ้งขอบคุณซื่อจื่อที่เมตตาขอรับ”


 


 


“แต่ข้ามีเงื่อนไข”


 


 


น้ำเสียงหลินจ้งดีใจ “ซื่อจื่อเชิญพูดขอรับ ขอแค่เป็นเรื่องที่หลินจ้งทำได้ จะให้บุกน้ำลุยไฟข้าน้อยก็ไม่เกี่ยงขอรับ”


 


 


“เจ้าจงกักบริเวณหลินฉงเหวินไว้ ตลอดชีวิตนี้ห้ามเขาออกจวนหลินแม้เพียงก้าวเดียว”

 

 

 


ตอนที่ 341 พี่น้องพบเจอกัน

 

หลินจ้งตกตะลึง เบิกตากว้างมองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างนิ่งทื่อ ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ออกมาได้ นั่นเป็นท่านพ่อของเขาเชียวนะ อย่าว่าแต่จะทำให้เขาต้องหลับใหลไม่ได้สติเลย แม้จะต้องเอาถึงแก่ชีวิตของตัวเอง เขาก็ล้วนไม่อาจกระทำเรื่องที่อกกตัญญูอย่างมหันต์แบบนั้นได้


 


 


นิ่งอึ้งอยู่เป็นเวลานาน จึงจะก้มหน้าลงเงียบๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น “ซื่อจื่อขอรับ โปรดให้อภัยด้วย ข้ามิอาจทำได้ขอรับ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของข้า ข้า…” คำพูดต่อจากนั้นก็ไม่ได้พูดออกมาหลังจากที่รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องของหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


“พ่อของเจ้าได้ลุ่มหลงไปแล้ว วันนี้เขาลงมือไม่สำเร็จ พรุ่งนี้เขาก็ยังจะตามล่าหาผู้อื่นมาทำร้ายอีก เจ้ามีเวลาที่จะดูเขาเช่นนี้โดยไม่ทำอะไรวันแล้ววันเล่าอย่างนั้นหรือ”


 


 


หลิงจ้งก้มหน้า ไม่พูดอะไร


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนขรึมต่ำลง ทว่าแต่ละคำกระทบเข้าในใจของหลินจ้ง “บนโลกนี้ไม่มีกำแพงอะไรที่ลมไม่อาจทะลุผ่านได้ วันนี้ข้าช่วยเจ้าคลี่คลายเรื่องนี้ พรุ่งนี้เล่า มะรืนนี้เล่า ถ้าหากฝ่าบาททรงทราบเข้า บรรดาข้าราชการฝ่ายบุ๋นและบู้ทราบ และทุกคนในเมืองหลวงทราบเรื่องนี้อีก ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร จวนหลินของครอบครัวเจ้าก็จะไม่อาจรักษาไว้ได้อีกแล้ว เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่”


 


 


หลินจ้งกำมือแน่น เผยท่าทางที่เจ็บปวดและยากจะตัดสินใจ


 


 


คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนหยุดลงแต่เพียงเท่านี้ และไม่พูดอะไรมากอีก ปล่อยให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง


 


 


หมัดของหลินจ้งข้างหนึ่งชกลงบนพื้น กระทบจนผิวพื้นแตกร้าวและกระเซ็นไปด้วยหยดเลือดเล็กๆ ของเขา


 


 


ผ่านไปชั่วนาน ถึงจะเงยหน้าขึ้น เบิกตาที่แดงฉานมองหวงฝู่อี้เซวียน “ไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาอื่นแล้วหรือขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจ้องมองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย “มี”


 


 


หลินจ้งดีใจโดยพลัน และพูดอย่างรีบร้อน “ซื่อจื่อ โปรดบอกด้วยขอรับ”


 


 


“การตายอย่างเฉียบพลัน แล้วทุกอย่างจะจบสิ้นในคราเดียว”


 


 


หลินจ้งทรุดลงไปนั่งกับพื้น เขารู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่ไดล้อเล่น ถ้าอยากจะปกป้องทั้งนายและบ่าวทุกคนในจวนหลิน คงเหลือทางเลือกให้เดินเพียงแค่สองทางนี้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก “วันนี้ ข้าได้จัดกองทัพที่ใหญ่โตขนาดนั้นไป อีกไม่นานฝ่าบาทก็ทรงทราบแล้ว เวลาของเจ้ากับข้าเหลืออีกไม่มากแล้ว คุณชายหลินรีบตัดสินใจเถิด”


 


 


หลินจ้งกุมศีรษะของตัวเองอย่างทุกข์ระทม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปทางเขา ทุกคำ ทุกประโยคกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย “ผู้ที่ทำการใหญ่สำเร็จมักไม่คิดเล็กคิดน้อย หากเจ้าไม่มีแม้แต่ความกล้าเพียงแค่นี้ ต่อไปจะค้ำจุนจวนหลินได้อย่างไร ข้าว่าข้าไปรายงานต่อฝ่าบาทด้วยความสัตย์จริงดีกว่า แล้วให้พระองค์ตัดสินพระทัย จะได้ไม่ต้องทำให้เจ้าลำบากใจถึงขนาดนี้”


 


 


พูดจบก็ลุกขึ้นยืน และกำลังจะเดินออกไปด้านนอก


 


 


หลินจ้งปล่อยมือจากศีรษะของตัวเอง เปลี่ยนอิริยาบทจากการนั่งเป็นคุกเข่า พร้อมอ้อนวอนด้วยเสียงเบา “ซื่อจื่อ ให้เวลาข้าอีกสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้า…ข้า…”


 


 


ฝีเท้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่หยุด และพูดโดยไม่หันหน้ากลับมา “พรุ่งนี้เวลานี้ ข้า ต้องการได้ยินสิ่งที่ชัด เจน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ข้าจะทำให้ตามที่เจ้าต้องการ แต่ว่า เจ้าต้องจำเอาไว้เสียว่าจวนหลินแห่งนี้ นอกจากพ่อของเจ้าแล้ว ยังมีแม่ของเจ้า ฮูหยินและบุตรของเจ้า อีกทั้งยังมีน้องสาวของเจ้าที่ให้เป็นอนุของน้อง รองของข้าตลอดชีวิตนั่น”


 


 


หลินจ้งเหมือนดั่งถูกสายฟ้าฟาดลงมา ร่างกายแน่นิ่งอยู่กับที่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินตรงออกจากจวนหลิน หลังจากสั่งโจวอันให้ถอนกำลังขององครักษ์ลับ ตัวเองก็ขี่ม้าเร็วกลับมาที่จวนอ๋อง


 


 


เมิ่งซื่อยังคงอยู่เป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวภายในห้องของนาง ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนกลับมา ก็ยิ้มถาม “ดูท่าว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายได้อย่างราบรื่นเป็นอย่างมากสินะ ถึงได้กลับมาไวขนาดนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอกขอรับ ข้าเพียงแต่ไปดูๆ เสียหน่อย ย่อมต้องกลับมาเร็วเป็นธรรมดาขอรับ”


 


 


เมิ่งซื่อเชื่อดังนั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกแปลกๆ ว่าภายในมวลไอของเขาแฝงด้วยความโกรธอยู่ แต่เพื่อปิดบังเมิ่งซื่อ นางจึงไม่ได้ถามอะไรทั้งสิ้น


 


 


พระชายาฉีวิ่งวุ่นไปที่เรือนของหวงฝู่อวี้ตลอดวัน ทั้งกายและใจก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลินหันเยียนคนนี้ถึงคล้ายว่าได้แปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ละวันต้องชะล้างใบหน้าด้วยน้ำตา ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมพูดปลอบนางอย่างไรก็ล้วนไม่ได้ผล เมื่อเป็นเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน นางก็เริ่มรู้สึกรำคาญใจ วันนี้ไปนั่งเป็นเพื่อนนางอยู่สองชั่วโมง ก็อ้างว่าต้องจัดแจงธุระต่างๆ ภายในจวน แล้วออกจากเรือนของหวงฝู่อวี้มา นึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันกายเข้ามายังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วคล้องแขนของเมิ่งซื่อด้วยรอยยิ้ม “ไปเถิด ไปที่ห้องของข้า พูดคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อย”


 


 


เมิ่งซื่อก็ยิ้มและจูงเซิ่งเอ๋อร์เดินออกไปพร้อมกับนาง


 


 


หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งลาทั้งสองคนออกไปด้วยกันกับหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ก็กลับเข้ามาในห้องรินน้ำแก้วหนึ่งให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนและส่งไปที่มือของเขา “ข้าเห็นว่าอารมณ์ของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไร เรื่องยุ่งยากมากหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับแก้วน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วดึงนางนั่งลงบนตักของตัวเอง จากนั้นก็เล่าเรื่องวันนี้ให้นางฟัง และพูด “หลินจ้งคนนี้ แม้ว่าจะมีนิสัยที่มุทะลุไปบ้าง แต่ก็เป็นผู้ที่ใส่ใจรอบด้าน เห็นแก่ส่วนรวม บวกกับการได้รับการฝึกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี จะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน หากสามารถรับใช้ต่อพวกเรา ยามที่พี่ใหญ่ขึ้นครองราชย์เมื่อใด ก็จะได้ผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน แล้วก็จะสามารถครองบังลังก์ของฮ่องเต้แห่งอู่กั๋วนี้ได้อย่างมั่นคงขึ้นอีก ดังนั้น ข้าจึงให้เวลาเขาอีกหนึ่งวัน ก็ต้องดูว่าเขาจะเลือกอย่างไรแล้วล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “นึกไม่ถึงว่าหลินฉงเหวินจะเป็นคนที่จิตใจคับแคบเช่นนี้ เพียงแค่มีเรื่องมากระทบเพียงเรื่องเดียวก็ทำให้เขาสูญสิ้นเหตุผลไปเลย”


 


 


“หลินฉงเหวินเกิดในครอบครัวสามัญชน พึ่งพาตัวเองจนได้มาถึงตำแหน่งราชเลขาแห่งกรมทหาร พฤติกรรมโดยปกติจึงย่อมรู้จักระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ เขาหวั่นเกรงแต่เพียงว่าจะตัวเองจะพลาดพลั้งอันใด ทว่า เรื่องของหลินหันเยียนทำให้เขากลายเป็นเป้าที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะ หากใจของเขาก้าวข้ามผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเช่นกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า และผละออกจากประเด็นนี้ “เมื่อครู่ข้าได้ปรึกษากับท่านแม่แล้ว ตกลงว่าจะถือโอกาสช่วงเวลานี้จัดการเรื่องงานแต่งของทุกคน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว มอบให้ข้าจัดการเถิด ส่วนเจ้าอุ้มท้องอย่างสบายใจก็พอแล้ว”


 


 


ดวงตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นประกายวาววับ ยิ้มพูด “นี่เป็นการแต่งงานของคนหลายร้อยกว่าคนเชียวนะ หากเจ้าไปจัดการด้วยตัวเอง จะต้องเหนื่อยแย่แน่ๆ ข้าทนเห็นเจ้าต้องแบกรับความเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ เมื่อครู่ ข้าคิดวิธีดีๆ วิธีหนึ่งออก”


 


 


ทุกครั้งที่เมิ่งเชี่ยนโยวเผยท่าทางเช่นนี้ออกมา ก็หมายความว่าคิดเรื่องสนุกๆ ขึ้นได้อีกแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มส่ายหน้า แล้วถามนางอย่างคล้อยตาม “วิธีอะไรเล่า”


 


 


ภายในน้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความตื่นเต้นอย่างชอบกล “พวกเราจะช่วยพวกเขาจัดงานแต่งงานแบบกลุ่ม”


 


 


รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ การที่บางครั้งนางจะพูดคำศัพท์แปลกประหลาดออกมาบ้างนั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็เคยชินเสียนานแล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “งานแต่งแบบกลุ่ม?”


 


 


“อื้ม งานแต่งแบบกลุ่ม นั่นก็คือ การที่ทุกคู่บ่าวสาวล้วนกราบไหว้ฟ้าดินและบรรพบุรุษในงานแต่งพร้อมกัน เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่จำเป็นต้องช่วยจัดการให้พวกเขาทีละคนแล้ว”


 


 


ความคิดนี้เป็นความคิดที่ดีจริงเทียว ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการแต่งงานก็คือการกราบไหว้ฟ้าดินและบรรพบุรุษ อย่าว่าแต่ฟ้าดินเลย ทหารที่บาดเจ็บและพิการพวกนั้นล้วนเป็นคนที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ จึงย่อมไม่มีการกราบไหว้ไหว้ต่อบรรพบุรุษเป็นธรรมดา เช่นนี้ก็จะช่วยลดขั้นตอนไปได้มากทีเดียว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพึมพำใคร่ครวญกับตัวเองเล็กน้อย แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “เป็นความคิดที่ดี ทั้งลดความวุ่นวายให้แก่พวกเขา และขจัดความยุ่งยากให้แก่พวกเราด้วย ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”


 


 


“ในเมื่อเจ้าก็เห็นด้วยแล้ว ไว้เร็วๆ นี้ข้าจะไปหาเสด็จแม่ ให้พวกท่านช่วยเลือกฤกษ์ยามมงคล”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีความเห็นอันใด เรื่องนี้จัดการให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ดีเหมือนกัน เมิ่งเชี่ยนโยวจะได้อุ้มท้องได้อย่างสบายใจแล้ว


 


 


วันถัดมา หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายเรื่องงานแต่งงานแบบกลุ่มให้แก่เมิ่งซื่อแล้ว ในขณะที่เมิ่งซื่อแสดงท่าทีที่ตกตะลึงอยู่นั้น มือข้างหนึ่งของเมิ่งเชี่ยนโยวก็คล้องแขนเมิ่งซื่อ และอีกข้างหนึ่งก็จูงเซิ่งเอ๋อร์ตัวน้อยๆ ไปหาพระชายาฉีเพื่อปรึกษาฤกษ์ยามแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอ่านตำราแพทย์อยู่ในห้องคนเดียว แล้วโจวอันก็มารายงานที่เรือน “นายท่านขอรับ หลินจ้งมาแล้วขอรับ”


 


 


วางตำราแพทย์ลง หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น เดินออกมานอกห้องอย่างไม่รีบไม่ช้า


 


 


หลินจ้งยืนอยู่ภายในเรือนด้วยท่าทางที่ค่อนข้างเศร้าซึม อาจจะเป็นเพราะครุ่นคิดมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืน ภายในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง หนวดก็ยาวขึ้นมาก ทั้งตัวดูราวกับห่อเ**่ยวลงอย่างมาก เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา ก็ดึงเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงบนพื้น “หลินจ้งขอแสดงความเคารพซื่อจื่อขอรับ”


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนขรึมต่ำ “ตัดสินใจได้แล้วหรือยัง”


 


 


หลินจ้งพยักหน้าอย่างแรง และพูดด้วยน้ำเสียงที่ฉับไวและรีบร้อน ราวกับว่าเพื่อจะไม่ให้ตัวเองรู้สึกเสียใจภายหลัง “ตัดสินใจได้แล้วขอรับ วันนี้ข้าจะกักขังท่านพ่อไว้ภายในจวนขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าด้วยใบหน้าที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ “เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี”


 


 


“หลินจ้งมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องซื่อจื่อขอรับ”


 


 


“ว่ามา”


 


 


“ข้าช่วยท่านพ่อส่งจดหมายลาออกจากตำแหน่งขุนนาง ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ท่านพ่อยังอยู่ในช่วงวัยที่แข็งแรงที่สุดของชีวิต อีกทั้งยังได้รับความเมตตาเอ็นดูจากฝ่าบาทมานานหลายปี เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงไม่อนุญาตอย่างง่ายๆ เช่นนั้น จึงอยากขอให้ซื่อจื่อช่วยข้าในเรื่องนี้ด้วยขอรับ”


 


 


“เรื่องนี้ไม่ยาก ข้าจะสั่งคนไปคุยที่สำนักหมอหลวงอย่างดี”


 


 


หลินจ้งกระแทกศีรษะลงกับพื้น “ขอบพระคุณซื่อจื่ออย่างยิ่งขอรับ ท่านมีพระคุณอันใหญ่หลวงต่อหลินจ้ง หลินจ้งจะไม่ลืมโดยเด็ดขาด ต่อไปซื่อจื่อมีตรงไหนที่ต้องการเรียกใช้งาน ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟ ก็จะไม่ปฏิเสธเลยขอรับ”


 


 


“เรื่องตอบแทนบุญคุณก็ช่างเถิด คุณชายหลินทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองให้ดีก็พอ”


 


 


“หลินจ้งเข้าใจขอรับ”


 


 


“โจวอัน ส่งคุณชายหลินไปพบคุณหนูหลินที่เรือนของคุณชายรอง”


 


 


โจวอันรับคำ


 


 


หลินจ้งอึ้งไปครู่หนึ่ง พลันตอบสนองกลับอย่างรวดเร็ว ภายในน้ำเสียงมีความตื่นเต้นที่มิอาจปิดบังไว้ได้ แล้วก็กระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงอีกครั้ง “ขอบพระคุณซื่อจื่ออย่างยิ่งขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหันตัวกลับเข้าไปในห้อง


 


 


หลินจ้งลุกขึ้นยืน แล้วตามโจวอันมาถึงด้านนอกเรือนของหวงฝู่อวี้


 


 


ขณะที่หงเอ๋อร์กำลังยกน้ำถาดหนึ่งออกมาและเตรียมจะเททิ้งพอดี ก็เห็นหลินจ้ง แล้วจึงเบิกตาโพลง พร้อมตะโกนเสียงดังอย่างไม่เชื่อ “คุณชายใหญ่!”


 


 


หลินจ้งผงกศีรษะเบาๆ “เยียนเอ๋อร์ล่ะ”


 


 


“คุณหนูอยู่ในห้องเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ตอบด้วยความตื่นเต้น


 


 


พลันหันหน้า ตะโกนเสียงดังไปทางห้องโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่มาเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหงเอ๋อร์ ร่างกายของหลินหันเยียนที่นอนซมอยู่บนเตียงก็สะท้านโดยทันที แล้วคว้ามือของหวงฝู่อวี้ “พี่อวี้ ข้าไม่ได้ยินผิดไปใช่ไหมเจ้าคะ พี่ใหญ่มาเยี่ยมข้าแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า พูดสั่งไปทางด้านนอกด้วยเสียงขรึม “เชิญคุณชายหลินเข้ามา”


 


 


หลินหันเยียนพยายามนั่งขึ้นมา


 


 


หลินจ้งก้าวเท้ายาวเข้าไปในห้อง ครั้นเห็นหลินหันเยียน ก็ผงะไป ไม่กล้าเชื่อว่าหญิงสาวที่รูปร่างผอมจนเหลือแต่กระดูก ใบหน้าขาวซีดไร้เลือด และผมเผ้ายุ่งเหยิงตรงหน้าคนนี้ จะเป็นน้องเล็กที่เปี่ยมล้มด้วยพลัง รักอิสระ และซุกซนขี้เล่นของตัวเองคนนั้น


 


 


น้ำตาของหลินหันเยียนร่วงพรูลงมา ร้องเรียกอย่างเศร้าสร้อย “พี่ใหญ่เจ้าคะ”


 


 


หัวใจของหลินจ้งคล้ายกับว่ามีเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงเข้าใส่ รู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แม้แต่ชายหนุ่มที่มีท่าทีองอาจและยิ่งใหญ่ตลอดมา ก็ห้ามขอบตาไม่ให้แดงไว้ไม่ได้ เดินเข้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เรียก “น้องเล็ก”


 


 


น้ำตาของหลินหันเยียนยิ่งไหลรินหนักขึ้น


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ขอบตาแดงไปด้วย ลุกขึ้นยืน แล้วสละเก้าอี้ให้นั่ง “พี่ใหญ่ เชิญนั่งขอรับ”


 


 


หลินจ้งไม่สนใจเขา ขณะจดจ้องหลินหันเยียน ทั้งร่างก็แผ่ซ่านไอของความเดือดดาลออกมา “เหตุใดเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้ได้”


 


 


“พี่ใหญ่” รู้ว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว หวงฝู่อวี้จึงรีบอธิบาย “เยียนเอ๋อร์ตั้งท้องแล้วขอรับ ดื่มน้ำไม่ลง กินข้าวก็ไม่ลง ถึงได้ผอมลงไปมากเช่นนี้”


 


 


หลินจ้งมองไปทางหลินหันเยียนโดยที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้าหงึกๆ ขณะที่สะอื้นไห้ไปด้วย


 


 


น้ำเสียงของหลินจ้งยังคงมีความโกรธ “ไม่ได้เชิญหมอหลวงให้มาตรวจดูหรือ”


 


 


“หมอหลวงมาแล้วขอรับ ยาบำรุงครรภ์ก็กินแล้ว แต่ก็ล้วนไม่เป็นผลเลยขอรับ หมอหลวงเจียงบอกว่า นี่เป็นเพราะนางป่วยเป็นโรคทางใจ จึงยังจำต้องรับยารักษาจิตใจอีกขอรับ” หวงฝู่อวี้อธิบายแทนหลินหันเยียนยอยู่ข้างๆ


 


 


โรคทางใจของหลินหันเยียนคืออะไร หลินจ้งรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ใครใช้ให้นางสับสนไปชั่วขณะ แล้วกระทำการล่อลวงหวงฝู่อี้เซวียนกันเล่า นี่ไม่เพียงแต่จะทำลายชื่อเสียงของตัวเอง แล้วยังเกือบจะลากเอาชะตาชีวิตของทุกคนในจวนหลินเข้ามาเอี่ยวอีกด้วย


 


 


น้ำเสียงของหลินจ้งผ่อนลงเล็กน้อย แล้วปลอบนาง “เยียนเอ๋อร์ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้ว่าเจ้าจะลงโทษตัวเองเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใดอีกเล่า ฟังพี่ใหญ่นะ รักษาร่างกายของตัวเองให้ดี แล้วคลอดลูกในท้องของเจ้าออกมาอย่างปลอดภัย นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”


 


 


หลินหันเยียนร้องไห้ส่ายหน้า พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ได้แต่เพียงร้องเรียกไม่ขาดสาย “พี่…พี่ใหญ่…”


 


 


หลินจ้งยื่นมือออก อยากจะลูบศีรษะของนางเพื่อปลอบใจ แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้นางเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว จึงไม่เหมาะสมที่ตัวเองจะกระทำเช่นนี้อีกต่อไป มือที่ยื่นออกไปก็กำเป็นหมัด แล้วเก็บกลับมาอย่างช้าๆ “น้องเล็ก เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องที่เจ้าคิดไตร่ตรองหาวิธีต่างๆ เพื่อให้ได้มานะ เจ้าควรจะดีใจสิถึงจะถูก อย่าได้เสียใจอีกเลยหนา”


 


 


“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนคว้ามือของเขาไว้ในทันใด แล้วส่งเสียงสะอื้นออกมา “พี่ช่วยขอร้องท่านพ่อกับท่านแม่ บอกว่าข้าอยากกลับบ้านเจ้าค่ะ ข้าคิดถึงพวกท่านแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ไม่ต้องพูดถึงว่าหลินหันเยียนกระทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้เมื่อออกจากบ้านจะต้องถูกผู้คนพากันถมน้ำลาย จนต้องจมกองน้ำลายตายอย่างแน่นอน แค่สถานการณ์ของจวนหลินในตอนนี้ ก็ไม่เหมาะที่นางจะกลับไป หลินจ้งปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม “น้องเล็ก ความโกรธของท่านพ่อกับท่านแม่ยังคงไม่คลาย รอให้ผ่านไประยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด”


 


 


“ท่านพ่อยังกล่าวโทษข้าอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ จริงๆ ข้าก็ไม่อยาก ทั้งหมดก็เพราะ…เพราะ…เพราะ…” ทั้งหมดก็เป็นเพราะคำพูดของหงเอ๋อร์ที่ริเริ่มเป็นตัวตั้งตัวตี แต่สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะดูจากนิสัยของหลินจ้งแล้ว ถ้าหากให้เขารู้ ชีวิตของหงเอ๋อร์ก็คงจะไม่อาจรักษาไว้ได้อีกแล้ว


 


 


เห็นท่าทีของนาง ในใจของหวงฝู่อวี้ก็เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก หลายวันนี้ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เขาก็ดูแลอยู่ตลอดโดยที่ไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย และไม่เคยขอร้องให้ใครช่วยเหลือ แล้วตัวเองยังไม่ดีพอสำหรับนางอีกหรือ

 

 

 


ตอนที่ 342 ขออภัยโทษ

 

ดวงตาที่หลั่งไหลด้วยน้ำตาทั้งคู่ของหลินหันเยียนมองหลินจ้งและร้องเรียกอย่างตะกุกตะกัก “พี่ใหญ่”


 


 


ในใจของหลินจ้งยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะปลอบนางอย่างไรดี


 


 


หวงฝู่อวี้เม้มริมฝีปาก ยืนอยู่ด้านข้าง


 


 


หลินจ้งกัดฟัน และทำใจแข็งพูด “น้องเล็ก พฤติกรรมของเจ้าทำให้จวนต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ท่านพ่อ กับท่านแม่ไม่ให้อภัยเจ้าเป็นแน่ เจ้าอยู่ในจวนอ๋องดีๆ เถิด ถ้ามีเวลาว่างข้าจะมาหาเจ้าเอง”


 


 


หลินหันเยียนร้องไห้จนเกือบหมดสติ น้ำตาหยดร่วงลงพื้นราวกับเม็ดไข่มุกที่สายขาด เพียงไม่นานก็ทำให้ผ้าห่มผืนบางที่คลุมอยู่บนหน้าอกเปียกชุ่ม แล้วกุมมือของหลินจ้งแน่น ร้องวิงวอนอย่างระทมทุกข์ “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่เจ้าขา ข้าขอร้องพี่เถิดนะเจ้าคะ พี่ช่วยข้าไปอ้อนวอนขอความเมตตาต่อเบื้องหน้าของท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยเถิดเจ้าค่ะ เพียงแค่พวกเขายอมรับว่าข้าคนนี้คือลูกสาวแล้วนั้น จะให้ข้าทำอะไรก็ยอมทั้งนั้นเจ้าค่ะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”


 


 


หลินจ้งออกแรงดึงมือกลับมา ลุกขึ้นยืน ใบหน้าแสดงความไม่พอใจ “น้องเล็ก เหตุใดเจ้าถึงยังไม่เข้าใจอีกกัน เจ้าได้กลายเป็นคนของจวนอ๋องแล้ว เจ้ากลับบ้านไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เจ้าอยู่ที่แห่งนี้อย่างสบายใจเถิด”


 


 


หลินหันเยียนร้องไห้ล้มลงไปนอนบนเตียง


 


 


สุดท้ายหวงฝู่อวี้รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างเป็นที่สุด นั่งอยู่ข้างเตียงโอบไหล่ของนาง และปลอบนางด้วยเสียงนุ่มนวล


 


 


หลินหันเยียนยิ่งสะอื้นไห้อย่างหนัก


 


 


ใบหน้าของหลินจ้งเผยความเจ็บปวด เขามองดูเยียนเอ๋อร์เติบโตตั้งแต่ยังเล็ก เขารักและเอ็นดูน้องสาวคนนี้เข้ากระดูก แต่สภาพของจวนหลินในตอนนี้ ไม่ควรที่จะให้นางได้รับรู้จริงๆ และบัดนี้ นางใกล้จะพังทลายแล้ว ถ้าบอกความจริงแก่นางไป เกรงว่าจะเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟเสียอีก ดีไม่ดีแม้แต่เด็กในท้องก็รักษาไว้ไม่ได้อีกแล้ว นี่เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างที่สุดของครอบครัวชั้นสูง


 


 


เมื่อกล่อมหลินหันเยียนไม่ได้ หวงฝู่อวี้เผยสีหน้าโมโห แล้วออกปากขับไล่แขก “คุณชายหลิน เชิญท่านกลับไปเถิดขอรับ ต่อไปไม่มีเรื่องอันใดก็อย่าได้มาที่จวนอ๋องอีกเลย”


 


 


“ไม่นะ” หลินหันเยียนห้าม พูดด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อนปนด้วยความสะอื้นไห้ “พี่อวี้ ขอร้องล่ะเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่ต้องการข้าแล้ว หากพี่ใหญ่ไม่มาหาข้าอีก ข้าก็ไม่มีคนในครอบครัวอีกแล้ว”


 


 


“ตกลงๆๆ” หวงฝู่อวี้เกลี้ยกล่อมนางด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าอย่าได้ตกใจไป เอาตามดั่งที่เจ้าว่า ต่อไปให้พี่ใหญ่เข้ามาในจวนบ่อยๆ แล้วกันนะ”


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้าขณะที่ร้องไห้ไม่หยุด


 


 


เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้รักใคร่เอ็นดูน้องสาวตัวเองเช่นนี้ หลินจ้งก็วางใจแล้ว “คุณชายรอง เยียนเอ๋อร์ ข้ายังมีธุระอีก ขอตัวก่อน มีเวลาเมื่อใดจะมาเยี่ยมพวกเจ้าอีก”


 


 


หลินหันเยียนมองเขาผ่านน้ำตาอย่างอาลัยอาวรณ์


 


 


หวงฝู่อวี้นั่งนิ่งไม่ขยับ


 


 


หลินจ้งขอร้องเสียงเบา “คุณชายรอง ท่านออกมาสักหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีบางอย่างที่อยากจะบอกท่าน”


 


 


หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย


 


 


หลินหันเยียนถามด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “พี่ใหญ่ มีอะไรที่ให้ข้าได้ยินไม่ได้หรือเจ้าคะ”


 


 


หลินจ้งฝืนแสดงหน้ายิ้มให้ “แน่นอน ข้าต้องการกำชับคุณชายรองให้เขาอย่าได้รังแกเจ้าอีก”


 


 


ใบหน้าที่ขาวซีดของหลินหันเยียนแดงระเรื่อขึ้น แล้วหัวเราะคิกออกมาทั้งน้ำตา ความเขินอายของหญิงสาวเผยขึ้นอย่างไร้ข้อกังขา “พี่ใหญ่ พี่อวี้ดูแลข้าเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”


 


 


“เฮอะ ใครๆ ต่างก็บอกว่าพวกผู้หญิงสนใจแต่คนนอก นี่ก็ยังไม่ถึงไหนเลย เจ้าก็ไม่ยอมแล้ว ถ้าหากว่ามีวันใดพี่ใหญ่กับเขาทะเลาะวิวาทขึ้นมา เจ้าจะไม่ตัดขาดความสัมพันธ์กับพี่เลยอย่างนั้นหรือ” เจตนาเดิมของประโยคนี้ก็คือตั้งใจพูดล้อเล่น เพื่อให้หลินหันเยียนอารมณ์ดีขึ้นบ้าง แต่กลับไปทิ่มแทงใจเรื่องที่หลินหันเยียนเสียใจ รอยยิ้มที่เพิ่งปรากฏบนหน้าก็คลายลง และจะร้องไห้โฮขึ้นอีกครั้ง


 


 


หลินจ้งลนลานจนตบปากตัวเองครั้งหนึ่ง “เป็นความผิดของพี่เอง พี่โง่เขลา พี่ปากเสีย เจ้าอย่าได้ทำตัวต่ำช้าอย่างพี่ใหญ่เลยนะ”


 


 


หลินหันเยียนหัวเราะทั้งน้ำตาอีกครั้ง “ข้าไม่โทษพี่ใหญ่หรอกเจ้าค่ะ”


 


 


หลินจ้งสบายใจขึ้น และไม่กล้าพูดบอกลาหลินหันเยียนอีก จึงหันตัวเดินออกไปทันที


 


 


หลังจากช่วยสอดขอบผ้าห่มให้หลินหันเยียนแล้ว หวงฝู่อวี้ก็ลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกไปด้านนอก


 


 


หลินหันเยียนคว้ามือของเขาไว้ ภายในน้ำเสียงปนด้วยความอ้อนวอน “พี่อวี้เจ้าคะ พี่ใหญ่เป็นคนบุ่มบ่าม ไม่ชอบพูดจาวกวนอ้อมค้อม ถ้าหากเขามีตรงไหนที่พูดไม่ถูกต้อง ข้าต้องขอโทษพี่อวี้แทนเขาด้วย พี่อย่าได้โทษเขาโดยเด็ดขาดเลยนะเจ้าคะ”


 


 


ภายในน้ำเสียงของหวงฝู่อวี้มีความหึงหวงอย่างมาก “รู้แล้ว เมื่อครู่พี่ใหญ่ของเจ้าเพิ่งจะบอกว่าผู้หญิงสนใจแต่คนนอกอยู่เลย ทำไมไม่เห็นเจ้าพูดลำเอียงให้ข้าบ้าง”


 


 


หลินหันเยียนหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง ปล่อยมือของเขา มองเขาเดินออกไป แล้วร่างกายก็เอนไปด้านหลังพิงกับหัวเตียง และรอเขากลับมา


 


 


หลินจ้งไม่ได้รออยู่ภายในเรือน แต่มารอหวงฝู่อวี้อยู่นอกเรือนในมุมที่ลับสายตาคน


 


 


หวงฝู่อวี้ออกจากประตูมาไม่เห็นเขา ในใจก็รู้สึกสงสัย เฮ่ออีจึงโค้งตัวลง “คุณชายรอง คุณชายหลินคอยท่านอยู่ด้านนอกขอรับ”


 


 


หวงฝู่อวี้เดินออกไปนอกเรือน เห็นหลินจ้งที่อยู่ในมุมลับตาคน แล้วเดินก้าวยาวไปหา


 


 


หลินจ้งมองเขาอยู่ตลอดจนกระทั่งเขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว ก็ถกเสื้อคลุมขึ้น แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหวงฝู่อวี้


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ดวงตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ “พี่ใหญ่ นี่ท่าน?”


 


 


“คุณชายรอง ขอพูดความจริงโดยไม่ปิดบัง บ้านของข้าเกิดเหตุร้ายบางอย่างขึ้น ข้าไม่อาจบอกแก่เยียนเอ๋อร์ให้ทราบได้ ถึงได้ปฏิเสธไม่ให้นางกลับไปที่จวน หวังว่าต่อไปคุณชายรองจะดูแลนางด้วยความเมตตา หลินจ้งขอขอบพระคุณไว้ ณ บัดนี้”


 


 


หวงฝู่อวี้รีบเดินเข้าไป เอนกายลงอยากจะพยุงเขาขึ้นมา “พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรลุกขึ้นมาแล้วค่อยพูดกันเถิดขอรับ”


 


 


หลินจ้งไม่ขยับ “คุณชายรองรับปากข้าก่อนเถิด มิเช่นนั้นหลินจ้งจะไม่ลุกขึ้น”


 


 


“พี่ใหญ่ ความรู้สึกของข้าที่มีต่อเยียนเอ๋อร์ พี่ยังไม่รู้อีกหรือ ตั้งแต่เล็กจนโต มีเมื่อใดกันที่ข้าไม่รักและไม่ใส่ใจนาง! ไม่ว่าจะเกิดเหตุวิบัติอันใดในจวนของพี่ พี่ก็วางใจเถิด ต่อให้ข้าดูแลตัวเองไม่ดี ข้าก็จะดูแลเยียนเอ๋อร์เป็นอย่างดีแน่นอนขอรับ”


 


 


หลินจ้งพูดขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ “เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว ขอบพระคุณคุณชายรองอย่างยิ่ง ต่อไปมีตรงไหนที่ต้องการใช้งานหลินจ้ง ก็ขอให้เอ่ยปากบอกได้เลย หลินจ้งจะต้องทำให้แน่นอน”


 


 


“พี่ใหญ่ รีบลุกขึ้นเถิดขอรับ ถ้าบ่าวรับใช้มาเห็นเข้า แล้วพูดไปถึงหูของเยียนเอ๋อร์ ไม่รู้ว่านางจะโกรธเคืองข้าอย่างไร”


 


 


หลินจ้งเผยรอยยิ้ม ลุกขึ้นยืน ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หลังจากบอกลาหวงฝู่อวี้แล้ว ก็เดินก้าวยาวออกไปทางด้านนอกของจวน


 


 


เห็นเงาของแผ่นหลังเขา หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว และสั่ง “เฮ่ออี ไปตรวจสอบดูสิว่าจวนหลินเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


 


เฮ่ออีรับคำ


 


 


“จำไว้ นอกจากข้าแล้ว อย่าได้ให้ใครอื่นล่วงรู้อีก”


 


 


จากนั้นเฮ่ออีก็เดินก้าวยาวออกจากจวนอ๋อง


 


 


หวงฝู่อวี้กลับเข้าไปในเรือนของตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่นางกับหวงฝู่อี้เซวียนวางแผนจะให้พวกคนงานจัดงานแต่งงานร่วมกันแก่พระชายาฉีอย่างยิ้มแย้ม


 


 


พระชายาฉีตกตะลึงอย่างมาก กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะพูดออกมา “คนมากมายเช่นนี้จะแต่งงานในเวลาเดียวกันหรือ นี่มันแปลกประหลาด ดูพิลึกเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”


 


 


“ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้นล่ะเจ้าค่ะ” เมิ่งซื่อยิ้มคล้อยตาม “พอนางบอกเมื่อครู่ ข้าก็ตกใจแทบแย่ คนหนึ่งคนจะแต่งงานก็ทำให้พวกเรายุ่งวุ่นวายมากพออยู่แล้ว คนมากมายเช่นนี้จะไม่ชุลมุนกันไปใหญ่เลยหรือ”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ได้ที่หลุดหัวเราะออกมา “เสด็จแม่ ท่านแม่ คนงานเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ไร้ครอบครัวทั้งนั้นเจ้าค่ะ นอกจากจะไม่ต้องกราบไหว้บรรพบุรุษแล้ว ก็ยังไม่ต้องจัดโต๊ะกินเลี้ยงจำนวนมากอีกด้วย หรือพูดให้ชัดก็คือรวบรัดจัดพิธีเดียวเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ง่ายดายอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาฉีขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกังวลเล็กน้อย “พูดเช่นนี้แล้วดูเหมือนไม่มาก แต่คนงานในโรงงานของเจ้ามีหนึ่งร้อยกว่าคน จำนวนนี้ก็ไม่ได้น้อยเลย แล้วยังต้องทำพิธีสู่ขออีก ซึ่งก็อาจจะทำให้ควบคุมไม่ได้ ข้าว่าอย่าเลยดีกว่า เจ้านับจำนวนคน แล้วให้เงินแต่ละคนมากหน่อย เพื่อให้พวกเขาไปจัดการกันเองดีกว่า”


 


 


“เสด็จแม่เพคะ คนพวกนี้ล้วนเป็นคนงานในโรงงานของข้า พวกเขาแต่งงาน ข้าก็ย่อมต้องไปแสดงความยินดีด้วยอยู่แล้วเจ้าค่ะ ถ้าไปทุกๆ บ้านเช่นนี้ จะต้องทำให้ข้าเหน็ดเหนื่อยอย่างมากเป็นแน่ และอีกอย่างนะเจ้าคะ หากวันที่พวกเขาแต่งงานไม่ได้เป็นวันเดียวกัน ก็จะมีคนมาขอลาหยุดทุกวี่ทุกวัน พวกพี่ชายรองเองก็คงหาวิธีจัดการบัญชีไม่ได้ ดังนั้นให้พวกเขาทั้งหมดหยุดงานเป็นเวลาสามวัน แล้วใจจดใจจ่อกับการแต่งงานดีกว่าเพคะ พี่ชายรองก็จะได้พักหลายวันหน่อย”


 


 


มองดูท้องของนางที่ใหญ่กว่าตัวเองตอนใกล้คลอด แล้วจินตนาการว่าเมิ่งเชี่ยนโยวต้องวิ่งเต้นอยู่บนท้องถนนที่จะไปร่วมแสดงความยินดีทุกวันไม่หยุด พระชายาฉีก็สงสารอย่างยิ่ง “ถ้าเจ้าคิดว่าเช่นนั้นดี ก็ทำเช่นนั้นเถิด แต่ แม่ขอบอกเจ้านะว่าเจ้าต้องระวังเสียหน่อย ถ้าหากว่ากระทบต่อหลานสาวสุดที่รักของข้า ข้าจะเอาเรื่องกับเจ้าแน่”


 


 


ทราบดีว่าคำพูดนี้ของพระชายาฉีก็คือเป็นห่วงตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มรับประกัน “เสด็จแม่วางใจเถิดเพคะ ถึงเวลานั้น ข้าจะหลบอยู่ไกลๆ ให้พี่ชายรองจัดการอยู่ด้านหน้า”


 


 


พระชายาฉีก็เห็นด้วยแล้ว เมิ่งซื่อก็ไม่มีความเห็นอันใด เรื่องนี้จึงตกลงกันเช่นนี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งคนไปเรียกให้เมิ่งฉีและผู้จัดการอันมาพบนางที่จวนอ๋อง แล้วบอกความคิดนี้แก่พวกเขา ในขณะที่ทั้งสองตกตะลึง ก็รู้สึกพิศวงอย่างมาก แล้วเมิ่งฉีก็พูดขึ้น “พวกเราทำเช่นนี้ เกรงว่าจะก่อให้เกิดความอื้ออึงไปทั้งเมืองหลวงอีกแน่ แล้วจะไม่ทำให้คนอื่นเกิดความระแวงหรือ”


 


 


คนที่ระแวงนี้คือผู้ใด เมิ่งฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวทราบดี ส่วนผู้จัดการอันไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้ถามมากอย่างมีไหวพริบ


 


 


“ไม่ว่าพวกเราจะทำหรือไม่ทำ คนที่จะระแวงก็ระแวงอยู่วันยังค่ำ พวกเราก็ทำตามความคิดนี้ของตัวเองก็พอแล้ว”


 


 


ทั้งสามคนปรึกษากันถึงรายละเอียด จนกระทั่งวางแผนกันโดยไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ทั้งหมดแล้ว ผู้จัดการอันถึงจะพูดเบาๆ ด้วยใบหน้าที่แดง “นายหญิง ข้า…ข้าไม่อยากแต่งงานกับแม่นางเหวินเหลียนอย่างง่ายๆ เช่นนี้ขอรับ”


 


 


แผนเริ่มแรกของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็คือจะให้เหวินซงกับชิงหลวน กัวเฟยกับจูหลี และเหวินเหลียนกับผู้จัดการอันแต่งงานพร้อมกับพวกคนงาน หลังจากนั้นเมิ่งซื่อขอร้องนางไว้ ‘พวกเขาล้วนเป็นคนที่ติดตามเจ้ามานานหลายปี ก็ต้องแยกตื้นลึกหนาบางบ้าง อีกอย่างเหวินเปียวและฮูหยินก็ยังอยู่ หากเจ้าทำเช่นนี้ จะเอาพวกเขาไปไว้ที่ไหน’


 


 


ครานี้เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้ละทิ้งความคิดนี้ พอได้ยินผู้จัดการอันพูดดังนั้น ก็พูดด้วยรอยยิ้ม “งานแต่งงานของพวกเจ้าย่อมไม่เหมือนกับพวกเขาอยู่แล้ว เช่นนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ให้เจ้าหยุดงานหนึ่งวัน แล้วเจ้าไปเชิญแม่สื่อมาไปสู่ขอถึงที่บ้าน เหวินเปียวไปส่งสินค้าน่าจะกลับมาแล้ว เจ้าสามารถไปตกลงเรื่องการจัดงานแต่งต่อหน้าได้”


 


 


ผู้จัดการกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ หลังจากกลับไปก็หาแม่สื่อพร้อมถือของขวัญที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมุ่งไปสู่ขอถึงบ้าน


 


 


ภรรยาเหวินเปียวไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้มาตลอด โดยเฉพาะตอนนี้ที่พวกเขาฟื้นคืนสถานะอิสระอย่างสิ้นเชิง และเปิดกิจการสำนักคุ้มภัยอีกครั้งแล้ว เมื่อได้ยินว่าผู้จัดการอันจะเชิญแม่สื่อมาสู่ขอถึงที่ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นทันใด แม้ว่าผู้จัดการอันและเหวินเปียวจะคุ้นเคยกันมาก แต่ตามกฎระเบียบแล้ว ควรจะส่งแม่สื่อมาที่บ้านก่อน แล้วค่อยตกลงเรื่องฤกษ์ยามที่จะสู่ขอ จะมาด้วยตัวเองได้ที่ไหนกัน และอีกอย่างเรื่องงานแต่งงานของเหวินซงก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลย เหวินเหลียนจะข้ามหน้าข้ามตาพี่ชายไปได้อย่างไรกัน


 


 


เหวินเปียวยังไม่กลับมา เรื่องนี้มีเพียงภรรยาเหวินเปียวที่จะเป็นผู้ตัดสินใจได้เท่านั้น คนที่รายงานไม่ได้คำตอบรับ ก็ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรจะเร่งเร้าถามอีกครั้ง


 


 


เหวินเหลียนกับแม่ของตัวเองกำลังทำงานถักร้อยอยู่ด้วยกันพอดี เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของแม่ตัวเอง ก็รู้ว่านางยังคงไม่ยินยอมเรื่องการแต่งงานของตัวเองอยู่ จึงพูดอย่างยิ้มแย้ม “ท่านแม่ ท่านลองไปดูสักหน่อยสิเจ้าคะ ในเมื่อพ่อกับนายหญิงต่างก็บอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใช้ได้ เช่นนั้นก็ต้องไม่เลวร้ายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


ภรรยาเหวินเปียวยังคงรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง “เหลียนเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นคุณหนูใหญ่แห่งสำนักคุ้มภัยแล้ว ถ้าหากจะต้องไปตบแต่งกับบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ในใจของแม่นี้ก็รู้สึกรับไม่ได้อยู่ตลอด”


 


 


เหวินเหลียนวางเข็มบนมือลง แล้วโอบไหล่ของแม่ตัวเองไว้ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ พวกเราไม่ได้อยู่เมืองหลวงหลายปี ไม่มีการติดต่อกับใครๆ ตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ แม้ว่าท่านจะไม่เห็นด้วยกับการสู่ขอของผู้จัดการอัน แล้วจะไปหาคู่ครองดีๆ ให้ข้าได้ที่ไหนกันเจ้าคะ ถ้าไม่ได้คนที่ยากจนคดแค้นจนไม่มีข้าวกิน แล้วแสวงหาผลประโยชน์จากพวกเรา ก็คงต้องได้แต่งเป็นภรรยาของพ่อม่าย นี่เป็นสิ่งที่แม่อยากเห็นหรือเจ้าคะ”


 


 


ภรรยาเหวินเปียวอ้าปาก ทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา จึงถอนหายใจอย่างแรง แล้วลูบศีรษะของเหวินเหลียน “เหลียนเอ๋อร์ พ่อแม่ทำให้เจ้าได้ไม่ดีพอ”


 


 


เหวินเหลียนผลักนางด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ข้าสบายดีมากเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลหรอก รีบไปเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้ให้ผู้จัดการอันต้องรอคอยอยู่เป็นเวลานานเลย”


 


 


ภรรยาเหวินเปียวมาถึงโถงรับแขก ทันทีที่เห็นว่าผู้จัดการอันแลดูสง่า มีราศี มารยาทเรียบร้อย และสุขุมมั่นคง ความไม่ยินยอมทั้งหมดก็ล่องลอยไปจากสมองโดยสิ้น แล้วทักทายเขากับแม่สื่อด้วยรอยยิ้ม “รีบนั่งก่อนเถิดเจ้าค่ะ สำนักคุ้มภัยเพิ่งจะเปิดทำการเอง มีธุระตั้งมากมาย จึงทำให้ล่าช้าต่อท่านทั้งสองแล้ว อย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ”


 


 


สิ่งที่แม่สื่อเชี่ยวชาญก็คือก็ตรวจดูสีหน้าและวาจา เมื่อเห็นท่าทางที่ยินดีของฮูหยินเหวินเปียว ก็รู้ว่างานแต่งครั้งนี้สำเร็จแน่นอนแล้ว ค่าจ้างแม่สื่อจำนวนสองตำลุงของตัวเองก็จะได้รับแล้วอย่างแน่นอน จึงดีใจอย่างมาก แล้วพูดประจบสอพลออย่างเบิกบาน “ฮูหยินเหวินเจ้าคะ นี่ท่านจะได้มีบุญวาสนาแล้วนะเจ้าคะ ท่านลองดูผู้จัดการอันผู้นี้สิ ทั้งความสามารถและหน้าตาล้วนเพียบพร้อม อีกทั้งยังมีหน้าที่การงานที่ดี นี่เป็นคู่ครองดีที่หาตัวจับยากเลยนะเจ้าคะ”


 


 


ฮูหยินเหวินในเวลานี้ คือแม่สะใภ้ที่มองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งสบายตา ทำให้ยิ้มจนหุบปากไม่ลง แล้วก็เป็นผู้เริ่มปรึกษาเรื่องวันมอบสินสอดกับแม่สื่อโดยทันที


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินข่าวนี้แล้ว ก็รู้สึกดีใจอย่างมาก พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างยิ้มแย้ม “ข้าดันให้สำเร็จอีกคู่หนึ่งแล้ว ถ้าต่อไปไม่มีอะไรทำ ข้าก็สามารถเปิดโรงรับหาคู่ได้แล้วล่ะ”


 


 


แม้จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่นางพูดหมายความว่าอย่างไร แต่ดูจากความหมายเบื้องต้นของคำ หวงฝู่อี้เซวียนก็พอเดาออกได้ประมาณหนึ่ง จึงปัดจมูกนางด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว”


 


 


โจวอันถูกหวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้ออกไปทำธุระ ขณะที่เพิ่งจะกลับมาถึงประตูจวนอ๋อง ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนร้องเรียกเขา “ท่านจอมยุทธ์ โปรดหยุดก่อนขอรับ”


 


 


โจวอันหันหน้ากลับไป เห็นรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวมาหยุดลงตรงหน้าเขา แล้วหมอหลวงเจียงก็ ‘กระโดด’ ลงมาจากรถม้าโดยที่มีเหงื่อท่วมศีรษะ “ท่านจอมยุทธ์ ข้ามาหาซื่อจื่อเพราะมีเรื่องเร่งด่วน ขอรบกวนท่านหิ้วข้าเข้าไปด้วยขอรับ”


 


 


เมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนไม่ได้พูดล้อเล่น โจวอันจึงหิ้วเขากระโดดกลับเข้าไปในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนจริงๆ


 


 


ไม่รอให้ชิงหลวนกล่าวรายงาน เสียงที่ตื่นตระหนกของหมอหลวงเจียงก็ดังขึ้นภายในลานบ้าน “ซื่อจื่อ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ ข้าพลั้งปากเปิดเผยเรื่องที่ท่านได้ดอกบัวสีเลือดออกไปแล้วขอรับ!”

 

 

 


ตอนที่ 343 เกิดความคิด

 

หัวใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเต้นรัว หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืนทันที แล้วเดินก้าวยาวออกไป


 


 


หมอหลวงเจียงได้คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว “ซื่อจื่อ ล้วนเป็นความผิดของข้าเองขอรับ บัดนี้เกรงว่าคนในวังหลวงจะทราบเรื่องกันหมดแล้ว”


 


 


ภายในน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความโหดเ**้ยม ตะโกนถามเสียงขรึม “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


หมอหลวงเจียงก็ไม่ได้มีเวลามานั่งกลัวอีกแล้ว และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาโดยคร่าวๆ


 


 


ที่แท้ หลังจากที่หมอหลวงเจียงดื่มยาที่ต้มจากดอกบัวสีเลือดแล้ว ไม่เพียงแต่จะมีพละกำลังมากขึ้น แม้แต่ร่างกายก็รู้สึกอ่อนเยาว์ลงอย่างมาก เหล่าหมอหลวงในสำนักหมอหลวงมีปฏิสัมพันธ์กับเขาทั้งวัน จึงย่อมสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของเขาเป็นธรรมดา แล้วพากันสอบถามอย่างลับๆ ว่าเขาได้กินยาอายุวัฒนะวิเศษอันใดหรือไม่ หมอหลวงเจียงก็ย่อมปิดปากโดยสนิทอยู่แล้ว มิได้บอกแก่ผู้ใด


 


 


แล้วเรื่องนี้ก็เข้าถึงพระกรรณของฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ถึงขนาดเรียกให้เขาไปหาด้วยพระองค์เอง แล้วแอบตรัสถามเขาว่า ข่าวลือที่แพร่มานั้นเป็นอย่างไรกัน


 


 


หมอหลวงเจียงตอบอย่างระมัดระวังด้วยความพรั่นพรึง “กระหม่อมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่านี่เป็นเพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ หรืออาจจะเป็นผลจากที่กระหม่อมตั้งใจศึกษาและปรุงสมุนไพรในช่วงนี้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ใช้พระเนตรอันเฉียบคมจ้องมองเขา พินิจดูอยู่นานก็มองไม่เห็นท่าทางหวาดกลัวใดๆ บนใบหน้าของเขา จึงโบกมือ “ออกไปเถิด”


 


 


หมอหลวงเจียงออกจากตำหนักหย่างซินมา ไม่กล้าแม้แต่จะซับเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก กลับเข้าห้องของตัวเองในสำนักหมอหลวงอย่างรีบร้อน ครานี้ถึงจะหอบหายใจได้เต็มปอด พร้อมทั้งกุมหัวใจที่เต้นอย่างแรงไม่หยุดของตัวเองไว้ ถึงจะรู้สึกว่าทั้งกายสั่นระรัวไปหมด นึกไม่ถึงว่าจะโกหกต่อพระพักตร์ฝ่าบาทได้ เขาได้ยืมความกล้าจากพระเจ้ามาอย่างแท้จริงแล้ว


 


 


หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ยิ่งรอบคอบมากขึ้น ไม่ว่าใครจะทำทุกวิถีทางเพื่อหลอกล่ออย่างอ้อมค้อมอย่างไร เขาก็ล้วนไม่ปริปากพูดสักคำ ทว่าหลายวันก่อน ขณะที่ร่ำสุราอยู่คนเดียวในบ้านของตัวเอง ก็ได้ดื่มมากเกินไป จึงเผลอบอกแก่ฮูหยินของตัวเองไปบางส่วนด้วยอารมณ์ที่คึกคะนอง ทำให้ถูกบ่าวที่รับใช้อยู่ลอบฟัง


 


 


บ่าวรับใช้คนนี้ได้ถูกซื้อตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้น เมื่อเขาตื่นเช้าตรู่เพราะอาการเมาค้าง แล้วไปที่สำนักหมอหลวง ก็เห็นว่าเพื่อนร่วมงานต่างมองเขาด้วยสายตาที่ทั้งริษยาและเวทนา ในใจก็เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาอย่างชอบกล จึงสอบถามครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงรู้ว่าพวกเขารู้เรื่องที่เขาดื่มบัวสีเลือดกันหมดแล้ว


 


 


ครานี้ก็ได้สร้างหายนะใหญ่อันหลวงเข้าแล้ว หมอหลวงเจียงตื่นตระหนกจนวิญญาณเกือบหลุดลอยออกไป ดังนั้นถึงได้มาที่จวนอ๋องด้วยความรีบร้อน


 


 


ตัวเองก็ทราบดีว่าได้ก่อเรื่องหายนะแล้ว หมอหลวงเจียงจึงไม่กล้าร้องขอความเมตตา ได้แต่คุกเข่าลงที่พื้นและพูด “ซื่อจื่อ ข้าสมควรตายขอรับ ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด เวลานี้ฝ่าบาทก็น่าจะทรงทราบเรื่องดอกบัวสีเลือดแล้ว และจะส่งคนมาโดยเร็ว”


 


 


นัยน์ตาของหวงฝู่อี้เซวียนปรากฎแสงแห่งความกระหายเลือดที่น่าสะพรึงจนทำให้ชิงหลวน จูหลี หวงฝู่อี้และโจวอันต้องถอยหลังไปหลายก้าว “เจ้าสมควรตายจริงๆ ตอนนั้นข้าได้กำชับเจ้าไว้ว่าอย่างไรกัน”


 


 


หมอหลวงเจียงรู้สึกถึงจิตสังหารของเขา และหมอบลงไปกับพื้นด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น แม้แต่ร้องขอชีวิตก็ยังไม่กล้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากห้องตามมา ได้ยินคำพูดของหมอหลวงเจียง ก็เดินมาที่ข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วส่ายหน้า บอกเป็นนัยให้เขาอย่าได้ลงมือกับหมอหลวงเจียง


 


 


ปิดตาลงเพื่อระงับความดาลเดือดในใจ หวงฝู่อี้เซวียนก็ถามด้วยเสียงเคร่งขรึม “ยังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าพูดอะไรออกไปบ้าง”


 


 


หมอหลวงเจียงส่ายหน้าขณะที่หมอบอยู่ “เวลานั้นข้าเมามากแล้ว ลืมว่าตัวเองพูดอะไรไปโดยสิ้นขอรับ”


 


 


“โจวอัน ลองไปถามฮูหยินเจียงว่าตกลงแล้วหมอหลวงเจียงพูดอะไรกับนางเมื่อคืนกันแน่”


 


 


โจวอันไม่กล้ารอช้า หลังจากรับคำ ร่างกายก็หายวับไปดั่งสายฟ้า พุ่งทะยานออกไป เพียงกระโดดไม่กี่ครั้ง ก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว


 


 


หมอหลวงเจียงลอบอธิษฐานในใจ ขอให้เมื่อคืนตัวเองอย่าได้พูดอะไรมากเกินไป มิฉะนั้นแม้ว่าซื่อจื่อจะให้อภัยเขา ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางให้อภัยเขาเป็นแน่


 


 


โจวอันว่องไวอย่างมาก หลังจากนั้นสิบห้านาทีก็กลับมาแล้ว พร้อมรายงานด้วยเสียงนอบน้อม “ฮูหยินเจียงบอกว่า หมอหลวงเจียงบอกนางเพียงแค่ว่าเขาได้เห็นดอกบัวสีเลือดของจริงในจวนอ๋อง แล้วยังได้ทดสอบฤทธิ์ของมันด้วยตัวเอง ดังนั้นนับวันร่างกายถึงได้ยิ่งกระปรี้กระเปร่าขึ้น จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นอีก”


 


 


ยังดี ยังดี หมอหลวงเจียงพ่นลมออกมาอย่างแรงจนทำให้ฝุ่นดินด้านหน้าลอยฟุ้งขึ้นเข้าลำคอของเขา แต่เขากลับไม่กล้าสำลักออกมา ได้แต่เพียงอดกลั้นไว้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วสั่งกับหมอหลวงเจียงด้วยเสียงที่ดุดัน “อย่าได้มาขวางตาอยู่ตรงหน้าข้าอีก รีบไสหัวกลับไปสำนักหมอหลวงเดี๋ยวนี้ แล้วเตือนทุกคนว่า ถ้าหากมีคนบังอาจพูดจาเหลวไหลอีก ระวังหัวจะหลุดออกจากบ่า ข้าพูดจริงทำจริง”


 


 


พวกหมอหลวงในสำนักหมอหลวงนี้ พูดให้น่าฟังเสียหน่อยก็คือมีไว้ให้คนในราชสำนักใช้ แต่ความเป็นจริงแล้วก็คือกลุ่มทาสรับใช้ของราชสำนัก หวงฝู่อี้เซวียนอยากจะเอาชีวิตของพวกเขาก็เป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย หมอหลวงเจียงรับคำขณะที่ร่างกายสั่นระรัว แต่ก็ไม่กล้าลุกขึ้นมา จึงค่อยๆ คลานถอยออกไป จนกระทั่งมาถึงด้านนอกของเรือนถึงจะกล้าตะกายตัวขึ้น แล้ววิ่งออกไปด้านนอกราวกับคนสิ้นสติ เพื่ออยากจะรีบกลับไปรายงานคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนที่สำนักหมอหลวงโดยเร็ว ทว่าก็สายไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีคนมากน้อยเท่าไรที่หัวจะต้องหลุดออกจากบ่าแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ภายในเรือน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป คล้องแขนของเขาเอาไว้พร้อมปลอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก หากพวกเขาอยากได้ ก็ให้พวกเขาไปแค่นั้นเอง ไม่จำเป็นต้องมีความบาดหมางกับพวกเขา”


 


 


มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏรอยยิ้มดั่งสัตว์ป่ากระหายเลือดขึ้นแวบหนึ่งแล้วก็หายไป ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขาอยู่ตลอดก็คงสงสัยว่าตัวเองอาจจะมองผิดไปแล้ว “โยวเอ๋อร์ ชีวิตของเจ้าจัดอยู่ในลำดับที่หนึ่งตลอดกาล ถ้าหากมีคนบังอาจไม่เห็นแก่เจ้า ก็หวังว่าพวกเขาจะพอรับกับผลลัพธ์ที่ตามมานั้นได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกตื้นตันใจ จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องอาจจะไม่ได้ถึงขั้นนั้นหรอก รอให้มีคนมาแล้วก็ค่อยว่ากันเถิด”


 


 


ไม่มีคนมา แต่กลับมีพระราชเสาวนีย์มาแล้ว กูกูผู้ดูแลไม่ได้เป็นเหมือนครั้งก่อนที่ทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างยิ้มแย้ม แต่สีหน้าดูออกจะเคร่งขรึมไป “ซื่อจื่อเฟยเจ้าคะ องค์ไทเฮาทรงคิดถึงท่าน จึงมีพระรับสั่งให้ท่านเข้าวังหลวงไปพูดคุยกับพระองค์เจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างยิ้มแย้มราวกับไม่รู้ว่าไทเฮาได้รู้เรื่องที่นางมีดอกบัวสีเลือดอยู่ในมือแล้ว “กูกูอาจจะต้องมาอย่างเหนื่อยเปล่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านดูร่างกายที่อ้วนท้วมของข้านี่สิ ไม่สะดวกที่จะเข้าวังหลวงกับท่านจริงๆ เจ้าค่ะ จึงขอกรุณาให้ท่านช่วยบอกต่อพระพักตร์องค์ไทเฮาด้วยคำพูดรื่นหูแทนข้าด้วยนะเจ้าคะ”


 


 


กูกูผู้ดูแลนิ่งอึ้ง ระหว่างทางที่มานางนึกคิดสารพัด และยังคิดถึงท่าทีของเมิ่งเชี่ยนโยวนับร้อยนับพันแบบ แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธไม่ไปวังหลวง


 


 


“ทำไมหรือเจ้าคะ กูกูรู้สึกลำบากอย่างมากเลยหรือเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นให้สาวใช้ของข้าไปรายงานที่วังหลวงกับท่านด้วยแล้วกันเจ้าค่ะ”


 


 


กูกูผู้ดูแลได้สติกลับคืนมา ก็อดรู้สึกนับถือเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในใจไม่ได้ ถึงขนาดกล้าขัดขืนพระราชเสาวนีย์ เกรงว่านางน่าจะเป็นผู้แรกตั้งแต่โบราณกาลมา แม้แต่ซู่อิงก็ยังไม่กล้ากระทำเช่นนี้ ใบหน้าก็ปรากฎรอยยิ้มขึ้น “ซื่อจื่อเฟย ข้าน้อยมิลำบากเจ้าค่ะ ท่านพักผ่อนอย่างเต็มที่อยู่ในจวนเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกลับวังหลวงไปคืนพระราชเสาวนีย์เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”


 


 


“กูกูมาอย่างรีบร้อนจนหน้าผากมีเหงื่อออกเต็มไปหมดแล้วนะเจ้าคะ ท่านก็ควรจะดื่มน้ำชาสักถ้วยและซับเหงื่อบนหน้าผากเสียหน่อย แล้วค่อยกลับไปเจ้าค่ะ”


 


 


กูกูผู้ดูแลเข้าใจเจตนาดีของเมิ่งเชี่ยนโยว นี่เป็นเพราะนางกลัวว่าตัวเองจะกลับเร็วไป ทำให้ไทเฮาเห็นว่านางมิได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และจะลงโทษนางได้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น “ข้าน้อยขอขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ชิงหลวนรินน้ำชามา


 


 


กูกูผู้ดูแลไม่รีบไม่ช้า ดื่มน้ำชาถ้วยหนึ่งด้วยท่าทางที่สง่างามจนหมด แล้วถึงลุกขึ้นยืน พร้อมโก่งตัวให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยจะต้องกลับไปแล้ว ขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับชาดีของซื่อจื่อเฟยเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ส่งสัญญาณบอกให้ชิงหลวนส่งคนออกจากประตูใหญ่


 


 


ไทเฮารอคอยอยู่ภายในวังหลวงด้วยความร้อนใจโดยตลอด กว่าจะชะเง้อเห็นกูกูผู้ดูแลที่กลับมาคืนพระราชเสาวนีย์ กลับต้องเห็นว่ากลับมาเพียงคนเดียว ความหวังก็มลายหายสูญ และไฟแห่งความโกรธในใจก็ลุกโชนขึ้น แล้วตวาดด่านาง “เจ้าคนไร้ประโยชน์ แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ทำให้ดีไม่ได้”


 


 


กูกูผู้ดูแลคุกเข่าบนพื้นอย่างแน่นิ่ง ไม่พูดอะไร


 


 


ไทเฮาพ่นลมออกมาและไม่ได้สนใจนางอีก


 


 


วิธีการของฮ่องเต้กลับตรงไปตรงมาอย่างมาก เมื่อไล่อ่านเอกสารราชการประจำวันเสร็จแล้ว ก็สั่งคนให้ยกเกี้ยวมาถึงจวนอ๋องฉี


 


 


อ๋องฉีไม่ได้ออกว่าราชการเป็นเวลานานแล้ว ในขณะที่ตกใจ ก็ไม่กล้ารอช้าและออกมาต้อนรับด้วยความลนลาน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้รับข่าวนี้ กลับนั่งนิ่งไม่ขยับ และอ่านตำราแพทย์ในมือของตัวเองต่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนอนงีบอยู่บนเตียง แล้วถูกเสียงที่ตื่นตระหนกของผู้ดูแลทำให้สะดุ้งตื่น ครั้นได้ยินว่าฝ่าบาทเสด็จมา แม้แต่ดวงตาก็ไม่เปิดออก อีกทั้งยังดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งหัว แล้วนอนของนางต่อ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลอบเห็นท่าทางของนาง จึงเดินเข้ามาตรงหน้านางด้วยรอยยิ้ม พร้อมดึงผ้าห่มผืนบางบนศีรษะของนางออก “หายใจออกด้วยหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น แกล้งสูดหายใจเฮือกใหญ่หลายครั้ง แล้วเอื้อมมือออกไปหาเขาอย่างยิ้มแย้ม “ก็ต้องหายใจไม่ออกน่ะสิ เซี่ยงกงก็ช่วยข้าสักหน่อยสิ”


 


 


นานแล้วที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเช่นนี้ คอของหวงฝู่อี้เซวียนกระตุกขึ้น มองใบหน้าที่ไม่ได้ปะแป้งของนางเต็มไปด้วยสีสันน่าดูชม จนสุดท้ายก็ไม่อาจอดรนทนได้ไหว ก้มหน้าลง จูบริมฝีปากของนางอย่างดูดดื่ม จนกระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวจะหายใจไม่ออกแล้วจริงๆ ถึงจะปล่อยนาง พร้อมกับหอบหายใจอย่างรุนแรง แล้วจ้องแก้มทั้งสองข้างของนางที่ยิ่งมีสีนวลลออขึ้นอีก เสียงก็แหบแห้ง “นี่เจ้ากำลังยั่วยวนข้าอยู่หรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหลบเข้าไปในผ้าห่ม เย้าแหย่ใส่เขาอย่างไม่กลัวตาย “ย่อมต้องไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าก็แค่อยากจะดูสักหน่อยว่าฝีมือของเจ้าตกลงไปแล้วหรือยัง”


 


 


เพียงแค่เสียงที่พรายพริ้งนี้ ก็ทำให้สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก น้ำเสียงเริ่มเผยความปรารถนา “เจ้าก็เคยพิสูจน์แล้ว สามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าถดถอยลงแล้วหรือยัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบพ่นลมดูถูกเขาอยู่ในผ้าห่ม เจ้าคนไร้ยางอายคนนี้ หนังหน้ายิ่งอยู่ยิ่งหนาขึ้นทุกวันแล้ว


 


 


ยั่วแหย่พอแล้ว ก็ไม่สนใจเขาอีก หวงฝู่อี้เซวียนจะให้นางสมดังใจปรารถนาได้อย่างไร จึงถอดรองเท้าและถอดเสื้อนอกออกอย่างรวดเร็ว มุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม แล้วฉกฉวยผลประโยชน์อย่างรุนแรง


 


 


สี่คนที่เฝ้ารับใช้อยู่ภายในเรือนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องก็ถอยออกนอกเรือนไปโดยพร้อมกัน


 


 


ดังนั้น เมื่อพ่อบ้านที่แก่ชราผู้น่าสงสารมาเรียกตัวอีกครั้ง ก็ถูกโจวอันขวางไว้นอกเรือน “ตอนนี้ซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยไม่ว่างขอรับ หากมีเรื่องอันใดอีกสักพักท่านค่อยมาอีกครั้งเถิดขอรับ”


 


 


กลางวันแสกๆ เช่นนี้ คำว่าไม่ว่างหมายถึงอะไร ผู้ดูแลชราจะไม่เข้าใจได้อย่างไร จึงอดไม่ได้ที่หน้าจะแดงก่ำไปทั้งหน้า ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยนี่ก็จริงๆ เลย ทำไมต้องเป็นเวลานี้ถึงได้…ไม่ใช่ว่าตัวเองเพิ่งจะมารายงานว่าฝ่าบาทเสด็จมาหรอกหรือ


 


 


หากเมิ่งเชี่ยนโยวทราบความคิดในใจของเขา จะต้องบอกเขาอย่างแน่นอนว่า ก็เป็นเพราะฝ่าบาทเสด็จมาน่ะสิ นางถึงได้จงใจยั่วเย้าหวงฝู่อี้เซวียน มิเช่นนั้นใครจะกล้าทำเรื่องเสี่ยงตายเช่นนี้เล่า ต้องรู้เสียด้วยว่า นางมักจะถูกรบเร้าจนต้องนอนตื่นสายทุกครั้ง


 


 


พ่อบ้านกลับไปที่โถงรับแขก และรายงานว่าซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมาไม่ได้อย่างอ้ำๆ อึ้งๆ


 


 


ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทั้งสิ้น ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พ่อบ้านพูดหมายความว่าอย่างไร พระชายาฉีหน้าแดงด้วยความเขินอาย เคราของอ๋องฉีชูขึ้นตรง ส่วนฮ่องเต้แทบจะบีบถ้วยชาบนพระหัตถ์จนแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

 


ตอนที่ 344 ร้องขอ

 

ไม่มีความอดทนที่จะคอยอีกต่อไป ฮ่องเต้วางถ้วยชาลง จ้องใบหน้าอ๋องฉีแล้วถาม “ได้ยินว่าเซวียนเอ๋อร์ได้ดอกบัวสีเลือดช่อหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ในวันนี้เราจึงอยากมาดูเป็นขวัญตา”


 


 


อ๋องฉีผงะไป


 


 


พระชายาฉีก็ผงะไปเล็กน้อยด้วยเช่นกัน


 


 


สองสามีภรรยามองตากัน แล้วอ๋องฉีก็ประสานมือขึ้น “เสด็จพี่ นี่เป็นข่าวลือจากที่ใดกันหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุไฉนจวนอ๋องของพวกเราถึงได้มีของล้ำค่าเช่นนี้ได้”


 


 


พระชายาฉีไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าคล้อยตามอย่างเงียบๆ


 


 


ฮ่องเต้ถูกย้อนถามจนใจสั่นสะท้าน ใบหน้าเริ่มมีความเคืองโกรธ และน้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นเล็กน้อย “น้องข้า วันก่อนหมอหลวงเจียงเห็นดอกบัวสีเลือดที่จวนอ๋องของพวกเจ้า แล้วยังได้ลองสมุนไพรด้วยตัวเอง อย่าบอกนะว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องหลอกลวงอย่างนั้นหรือ”


 


 


ครั้งนี้อ๋องฉีอึ้งไปแล้วจริงๆ และมองไปทางพระชายาฉีอย่างงุนงง ส่งสายตาถามนางว่าทราบเรื่องนี้หรือไม่


 


 


ช่วงนี้พระชายาฉียุ่งกับการปลอบและกำชับหลินหันเยียน มิได้ทราบเรื่องดอกบัวสีเลือดจริงๆ จึงส่ายหน้า


 


 


สองพระเนตรที่แหลมคมของฮ่องเต้จับจ้องทั้งคู่อยู่ตลอด เห็นท่าทางของทั้งคู่ดูไม่เหมือนกับกำลังเสแสร้ง จึงย่นหัวพระขนง แล้วครุ่นคิดอยู่ในใจ อย่าบอกนะว่าอนุชาของตัวเองจะไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ


 


 


หมอหลวงเจียงได้ลองยาแล้ว เช่นนั้นต้องมีอยู่จริงอย่างแน่แท้ อ๋องฉีจึงกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วสั่งพ่อบ้าน “ไปเชิญซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยมา!”


 


 


หัวใจของพ่อบ้านสั่นระรัว เม็ดเหงื่อบนหน้าผากผุดขึ้นมาทันใด นี่…นี่…นี่…


 


 


อ๋องฉีใช้สายตาที่คมดั่งเล่มมีดมองมา พ่อบ้านก็ผวาจนขาอ่อนแรง และรับคำโดยทันที “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” พูดจบ ก็รีบวิ่งเหยาะๆ ออกไป


 


 


และก็เป็นเช่นเดิม ยังคงถูกชิงหลวนกันไว้อยู่ด้านนอก


 


 


พ่อบ้านยกชายเสื้อที่แขนขึ้นมาซับเหงื่อบนหน้าผาก แล้วก็รู้สึกว่าแสงของท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว และพลอยทำให้จิตใจของเขาขุ่นมัวตามลงไปด้วย ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟย เป็นผู้ที่เขาไม่กล้ารบกวนจริงๆ ทว่า ทางด้านอ๋องฉีนั้นยังคงรอคอยการรายงานกลับอยู่ ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรล้วนแต่ไม่ถูกต้อง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรบเร้าอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกพอใจแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก รู้สึกถึงความปวดแสบปวดร้อนที่มือและหน้าอกของตัวเอง แล้วอยากจะโบยตีหวงฝู่อี้เซวียนสุดแรงหลายครั้ง เพื่อระบายความคับแค้นภายในใจ เจ้าสัตว์ป่าเถื่อนตัวนี้ ตั้งแต่ที่ได้ลองในครั้งนั้นแล้ว ถ้าทุกครั้งไม่ได้รบเร้าด้วยท่าทีนี้สักรอบหนึ่ง ก็จะไม่ยอมพอ


 


 


ทว่า พลังของนางกลับมีเพียงน้อยนิด ทุบตีบนกายเขาก็ไม่เจ็บไม่คัน หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่สนใจ และยังส่งเสียงขู่ “โยวเอ๋อร์ ยังไม่พออีกหรือ ถึงได้ออกแรงกับข้าหนักเช่นนี้”


 


 


“ไสหัวไปให้พ้น!” เมิ่งเชี่ยนโยวร้องด้วยความอิดออด แทบอยากจะถีบเจ้าสัตว์ป่าเถื่อนนี้ตกลงไปจากเตียง


 


 


เห็นสีหน้าของหญิงงามตรงหน้าเป็นสีแดงสด และริมฝีปากแดงก็ได้ผ่านการล้างโทษจากตัวเองแล้ว ก็ยิ่งดูเพริศพรายพิสมัย แม้แต่ถ้อยคำที่ดุด่าตัวเองก็นุ่มละมุน และยังแฝงปนด้วยรสชาติแห่งความเย้ายวน สีของนัยน์ตาหวงหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งเข้มขึ้น ร่างกายก็จะกระโจนเข้ามาอีกครั้ง


 


 


ไหนเลยที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่รู้ว่าท่าทีของเขาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร จึงหวาดผวาจนต้องรีบดึงผ้าห่มมาห่อตัวเองอย่างแน่นหนา แล้วกลืนน้ำลายติดต่อกันหลายอึก ความน่าเกรงขามที่เปิดเผยออกมาเมื่อครู่ก็ได้สูญสิ้นไปโดยไม่เหลือร่องรอย และอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนอนแล้ว”


 


 


เมื่อได้ยินว่า ‘เหนื่อย’ ความคิดฝันที่สวยงามทั้งหมดภายในหัวของหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้จางหายไป กลับกลายเป็นรู้สึกผิดที่ตัวเองรบเร้านางเมื่อครู่ เป็นเวลานานมากกว่าเขาจะได้กินเนื้อสักครั้งหนึ่ง จึงอดอยากมากแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้ จากนั้นก็เอื้อมมือไปจัดริมผ้าห่มให้นางอย่างมิดชิด แล้วใช้เสียงที่นุ่มนวลพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวจนทำให้นางรู้สึกขนลุก “นอนเถิด ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”


 


 


ได้รับคำรับรองแล้ว ครานี้เมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะผ่อนคลายร่างกายเพื่อปิดตาลงนอน


 


 


“เดี๋ยวก่อน” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพลันลืมตาขึ้น แล้วมองเขาเพื่อเตรียมการตั้งรับ คล้ายกับว่าศัตรูตัวฉกาจกำลังย่างกรายเข้ามา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วลูบศีรษะของนาง “เจ้าเป็นแบบนี้จะไม่สบายเอาได้ ข้าช่วยเช็ดตัวให้เจ้าก่อนแล้วค่อยนอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอก หลับตาลง และพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลงจากเตียง สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งชิงหลวนกับจูหลีให้นำน้ำอุ่นเข้ามา จากนั้นก็ช่วยเช็ดตัวให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วอุ้มนางขึ้นมาโดยที่มีผ้าห่มห่อตัวอยู่ พร้อมสั่งกับคนด้านนอก “ใครก็ได้!”


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีรับคำและเดินเข้ามา “เจ้าค่ะ”


 


 


“เปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสีย”


 


 


ทั้งสองคนรับคำ คนหนึ่งรีบไปนำผ้าปูเตียงสะอาดออกมา ส่วนอีกคนก็ดึงผ้าปูเตียงที่เปียกชุ่มออกอย่างว่องไว ทิ้งไว้ด้านหนึ่ง แล้วทั้งสองคนก็ปูเตียงเสร็จเรียบร้อยด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว จากนั้นเอนตัวลงหยิบผ้าปูเตียงบนพื้นและเดินก้มหน้าออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอาศีรษะมุดเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของหวงฝู่อี้เซวียนดั่งนกน้อย แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้หลายครั้งแล้ว นางก็ยังไม่คุ้นเคยกับการที่มีคนมาช่วยพวกเขาเก็บกวาดหลังจากที่เสร็จธุระ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวางนางกลับลงบนเตียงเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ ก้มหน้าลงไปจูบหน้าผากนาง “นอนเถิด ข้าจะออกไปสักหน่อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกง่วงตั้งนานแล้ว จึงพยักหน้า ห่มผ้าห่มให้ดี พอหลับตาลงแล้ว ก็แทบจะหลับไปโดยทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจูบหน้าผากของนางอย่างเอ็นดูอีกครั้ง ช่วยนางห่มผ้าอย่างใส่ใจ แล้วหันกายเดินออกไป


 


 


ชิงหลวนและจูหลีไม่อยู่ หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งหวงฝู่อี้ยืนอยู่หน้าประตู “เฝ้าเรือนให้ดี ก่อนที่โยวเอ๋อร์จะตื่น ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้”


 


 


หวงฝู่อี้รับคำเบาๆ


 


 


พ่อบ้านที่เฝ้าคอยอยู่นอกเรือนโดยตลอดวิ่งเยาะๆ เข้ามา ภายในน้ำเสียงแม้ว่าจะมีความรีบร้อน แต่กดเสียงให้เบาลง “ซื่อจื่อ ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว ฝ่าบาททรงรอท่านอยู่นานแล้วขอรับ”


 


 


อารมณ์ดีของหวงฝู่อี้เซวียนหายวับไปโดยทันที สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น


 


 


หัวใจของพ่อบ้านก็รู้สึกหนักอึ้ง ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหน้าเขาด้วยความนอบน้อม ไม่กล้าพูดอะไร


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินก้าวยาวๆ ไปด้านนอก


 


 


พ่อบ้านที่ตามติดอยู่ด้านหลังทุกฝีก้าว รู้สึกถึงร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนที่แผ่ไอแห่งความเยือกเย็นออกมา จึงทำให้รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองยิ่งหนาวเหน็บขึ้นไปอีก


 


 


ผ่านไปเกือบจะครึ่งชั่วยามแล้ว ฮ่องเต้ทรงดื่มน้ำชาไปหลายแก้วจนนับไม่ถ้วน ถึงได้ยินเสียงฝีเท้า อารมณ์ก็ไม่ดีอย่างมาก แต่พอคิดถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองมาในครั้งนี้ ถึงได้อดทนระงับความเดือดดาลเอาไว้


 


 


หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา ก็แสดงความเคารพ “ถวายบังคมเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ผงกพระเศียรเบาๆ และไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป “เซวียนเอ๋อร์ ลุงได้ยินว่าเจ้าได้ดอกบัวสีเลือดมาหนึ่งช่อ เป็นความจริงหรือไม่”


 


 


“ทูลเสด็จลุง เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปิดบังและยอมรับตรงๆ


 


 


อ๋องฉีและพระชายาฉีแสดงอาการตกตะลึงในเวลาเดียวกัน


 


 


อ๋องฉีอ้าปาก อยากสอบถามว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อใด ทว่า นึกคิดไปครู่หนึ่ง คำพูดที่อยากจะถามก็กลืนกลับเข้าไป


 


 


หลังจากที่พระชายาฉีตกตะลึงแล้ว ในใจกลับเต็มไปด้วยรู้สึกประหลาดใจปนยินดีอย่างมาก ได้ยินว่าดอกบัวสีเลือดนี้มีสรรพคุณที่ฟื้นคืนชีพได้ หากมีสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าตอนที่โยวเอ๋อร์คลอดจะต้องพบเจอกับความเสี่ยงแล้ว


 


 


พระเนตรของฮ่องเต้หรี่ลง พระพักตร์เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา “ในเมื่อมีแล้ว สามารถนำออกมาให้ลุงดูเป็นบุญตาได้หรือไม่”


 


 


“ดอกบัวสีเลือดเป็นเพียงสมุนไพรที่มีค่าชนิดหนึ่ง มิได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับผืนแผ่นดินของชาติและบ้านเมืองแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าเหตุใดเสด็จลุงถึงได้สนพระทัยดอกบัวสีเลือดถึงเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างตรงประเด็นด้วยความนอบน้อม


 


 


ฮ่องเต้สำลักจนแน่นิ่งไป สีพระพักตร์แดงระเรื่อขึ้น ความเคืองโกรธก็ผุดขึ้นในใจ และพระพักตร์ก็แสดงความไม่พอใจแล้ว


 


 


คนตรงหน้าคือพี่ชายของตัวเอง ทำไมอ๋องฉีจะไม่รู้จุดประสงค์ที่เขามา เมื่อคำพูดหวงฝู่อี้เซวียนสิ้นลง เขาก็ก้มหน้าลง แสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางของฮ่องเต้


 


 


พระชายาฉีกลับมีท่าทีดั่งปกติ อาการบนใบหน้าไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ


 


 


ฮ่องเต้ก็ตรัสวกวนด้วยน้ำเสียงปนด้วยความเดือดดาล “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง ทำไมจะเดาไม่ออกว่าที่ลุงมาเพราะเป็นจุดประสงค์อันใดเล่า”


 


 


“หลานไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ วอนเสด็จลุงทรงบอกให้ทราบด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนโต้กลับด้วยท่าทางที่เรียบเฉย


 


 


“เจ้า…” ฮ่องเต้กริ้วจนพูดไม่ออก และพ่นลมออกแรงๆ หลายครั้ง


 


 


ตัวเองก็ไม่กล้าที่จะพูดโต้แย้งกับเสด็จพี่อย่างชัดเจน เซวียนเอ๋อร์ทำเช่นนี้ก็เกินไปแล้ว อ๋องฉีเงยหน้าขึ้นและทำการพูดไกล่เกลี่ย “เซวียนเอ๋อร์ เสด็จลุงของเจ้าเพียงแต่ใคร่รู้ จึงมาขอทอดพระเนตรดอกบัวสีเลือดที่ร้อยปีจะหาพบเสียหน่อยเท่านั้น เจ้ารีบไปนำมาโดยเร็วเถิด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้น ถาม “เป็นเช่นนั้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุง”


 


 


ฮ่องเต้จนปัญญา ได้แต่เพียงพยักพระพักตร์ ผ่อนน้ำเสียงลง แล้วพยายามพูดอย่างรักษาหน้า “ก็มีพ่อของเจ้านี่แหละที่เข้าใจข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไรอีก หันกายกลับเข้าไปที่เรือนตัวเองนำดอกบัวสีเลือดกลับมา แล้ววางกล่องไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างกายของฮ่องเต้ พร้อมเปิดกล่องขึ้น


 


 


แล้วก็เป็นอย่างที่กล่าวขานกันอย่างแท้จริง ทั้งต้นเป็นสีแดงสด งามงดยิ่งนัก ดวงพระเนตรทั้งสองคู่ของฮ่องเต้โตขึ้น พยายามควบคุมมือของตัวเองที่สั่นเล็กน้อยว่าอย่าได้ไปสัมผัสดอกบัวสีเลือดนั่น


 


 


“ดอกบัวสีเลือดนี้ กระหม่อมได้มาโดยบังเอิญพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นยากที่จะพิจารณาว่าเป็นของจริงหรือของปลอม จึงให้หมอหลวงเจียงช่วยพิสูจน์ดูเสียหน่อย เขาจึงสละร่างกายตัวเองเพื่อทดลองสมุนไพรให้ หลานถึงรู้ว่าดอกบัวสีเลือดนี้เป็นของจริงพ่ะย่ะค่ะ แต่กลัวว่าอาจจะนำพาหายนะมา จึงขู่ให้เขาอย่าได้พูดเรื่องดอกบัวสีเลือดนี้ออกไปพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนอธิบายที่มาของดอกบัวสีเลือด แล้วช่วยพูดแก้ต่างให้แก่หมอหลวงเจียง


 


 


ถ้อยคำที่ฮ่องเต้กำลังจะเอ่ยปากถามว่าดอกบัวสีเลือดนี้ได้มาแต่อย่างใด ก็ถูกเขาสกัดเอาไว้แล้ว และอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อ “ร่างกายของโยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บมาก่อน แล้วยังท้องลูกแฝด หมอหลวงเจียงเคยบอกว่ายากที่เลี่ยงอันตรายเมื่อคลอด ดอกบัวสีเลือดช่อนี้จึงเก็บไว้เพื่อช่วยชีวิตนาง ดังนั้นหลานจึงไม่กล้าโพนทะนา แม้แต่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็มิได้บอกพ่ะย่ะค่ะ จึงขอกรุณาเสด็จลุงหลังจากที่เสด็จกลับไปแล้ว ก็ออกพระราชกระแสรับสั่งแก่หมอหลวงทุกคนว่าอย่าได้พูดออกไปด้วย หลานจะขอบพระทัยเสด็จลุงอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็สกัดคำถ้อยคำของฮ่องเต้ที่อยากเอ่ยพระโอษฐ์ร้องขอเอาไว้ ถ้อยคำต่อมาของฮ่องเต้นั้นก็ตรัสไม่ออกอีกแล้ว และอึดอัดอย่างยิ่ง แต่กลับไม่อาจกริ้วได้ ได้แต่โบกพระหัตถ์ ส่งสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียนเก็บดอกบัวสีเลือดขึ้น แสร้งทำเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน


 


 


เก็บดอกบัวสีเลือดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ปิดกล่องพร้อมกล่าวลา “เสด็จลุง ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว หลานขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ ร่างกายของโยวเอ๋อร์ในวันนี้ค่อนข้างไม่สบาย หลานรู้สึกไม่ค่อยวางใจ อยากจะกลับไปดูแลนางพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ถ้าหากองค์รัชทายาทอย่างหวงฝู่ซวิ่นกล้าพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้จะต้องหยิบถ้วยชาเขวี้ยงใส่อย่างแน่นอน เป็นถึงองค์รัชทายาทผู้ทรงสง่า ทว่า อยู่แต่กับผู้หญิงทั้งวัน จะมีความเหมาะสมได้อย่างไร แต่พอเปลี่ยนเป็นหวงฝู่อี้เซวียน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว อีกอย่าง สาเหตุที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับบาดเจ็บก็เกี่ยวข้องกับตัวเองอยู่บ้าง จึงได้แต่โบกพระหัตถ์อีกครั้งเพื่อเป็นสัญญาณให้เขาออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถือกล่องเดินออกจากห้องรับแขกไป แล้วถอนหายออกเบาๆ มือที่ถือกล่องไว้เกร็งแน่นยิ่งขึ้นแล้ว ถึงจะสาวเท้าเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง หลังจากวางดอกบัวสีเลือดด้วยความทะนุถนอมแล้ว ก็นั่งบนเก้าอี้ด้านหนึ่งแล้วศึกษาตำราแพทย์อย่างเงียบๆ


 


 


เมื่อฮ่องเต้พ่ายแพ้ราบคาบ ก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะอยู่ต่ออีก จึงกลับวังหลวงไปด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง


 


 


ใจของอ๋องฉีและพระชายาฉีเริ่มเคร่งเครียดขึ้น จุดประสงค์ที่ฮ่องเต้มาในวันนี้ก็เพื่อดอกบัวสีเลือด เมื่อไม่ได้ครอบครอง ก็ต้องไม่ยอมหยุดหย่อนอย่างแน่นอน


 


 


พอได้ยินว่าฮ่องเต้ไปที่จวนอ๋อง ไทเฮาก็ปีตียินดีกว่าปกติ ส่งคนไปสืบว่าฮ่องเต้ได้นำดอกบัวสีเลือดกลับมาหรือไม่


 


 


ใครจะรู้ว่าหลังจากขันทีที่ส่งออกไปสืบแล้วจะกลับมารายงานว่า “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสืบแล้วไม่ได้ความเลยพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินแต่เพียงว่าตอนที่ฝ่าบาทเสด็จกลับมามีอารมณ์ที่มิได้ยินดีมากนัก”


 


 


ลูกชายของตัวเอง ไทเฮาย่อมรู้จักดีอยู่แล้ว นี่ก็หมายถึงเขาไม่ได้ดอกบัวสีเลือด จึงเลิกล้มความคิดที่จะส่งคนไปเชิญฮ่องเต้ให้มาหา


 


 


เรื่องที่อ๋องฉีและพระชายาฉีกังวล หวงฝู่อี้เซวียนก็นึกถึงด้วยเช่นกัน วางตำราแพทย์บนมือลง มองคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง เม้มริมฝีปาก เดินออกจากห้อง แล้วสั่งโจวอันเบาๆ “ไปเรียกหมอหลวงเจียงมา บอกว่าข้ามีธุระสำคัญต้องการพบเขา”


 


 


โจวอันทะยานตัวลอยออกไป มาถึงสำนักหมอหลวง และเชิญหมอหลวงเจียงไปที่จวนอ๋องด้วยท่าทางที่นอบน้อม


 


 


ครั้งนี้สายตาของทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้มีความอิจฉาอีกแล้ว แต่ทุกคนล้วนมองเขาด้วยความสงสาร หมอหลวงเจียงก่อเรื่องหายนะใหญ่หลวงเช่นนี้ ซื่อจื่อต้องไม่ให้อภัยเขาอย่างแน่นอน ดูสิ เดิมทีก็มารับถึงที่แล้ว ครั้งนี้ยังมาเชิญอย่างเป็นทางการ นี่ก็คือให้หมอหลวงเจียงได้เสพสุขกับการปรนนิบัติอย่างดีก่อนตายสักหน่อย


 


 


หมอหลวงเจียงไม่ได้คิดมากเช่นนั้น ภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของโจวอัน ก็คล้องกล่องยาไว้ที่คอ แล้วยิ้มพูด “ไม่ต้องนั่งรถม้าหรอก ท่านจอมยุทธ์หิ้วข้าไปเถิด รวดเร็วกว่า”


 


 


เหล่าหมอหลวงพากันป้องปากแอบหัวเราะ หมอหลวงเจียงคนนี้แก่ชราแล้วจริงๆ สมองไม่ว่องไวแล้ว มีรถม้าดีๆ สบายๆ ไม่นั่ง จะเอาที่ลำบากให้ได้


 


 


โจวอันขมวดคิ้ว ครุ่นคิดว่าจะหิ้วไปดีหรือไม่


 


 


หมอหลวงเจียงกลับเร่งเขาอย่างรีบร้อน “โธ่เอ๊ย ท่านยังจะเหม่ออะไรอยู่ เร็วเข้าหน่อย หากทำให้ธุระของซื่อจื่อล่าช้าแล้ว เจ้ากับข้าจะแบกรับไม่ไหวเอานะ”


 


 


โจวอันไม่ลังเลอีก จึงหิ้วเขากลับไปที่จวนอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว และมาถึงหน้าประตูห้องรับแขก


 


 


หมอหลวงเจียงยืนทรงตัวนิ่ง สะบัดศีรษะแล้ว หยิบกล่องยาตัวเองเดินเข้าไปภายในห้องรับแขก เมื่อพบหวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอี้และมีสีหน้าไม่พอใจเข้า ก็สะดุ้ง แล้วรีบเดินเข้าไปทำความเคารพ


 


 


“ข้าขอแสดงความ…”


 


 


ไม่รอให้เขาพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดเสียงขรึม “ไม่ต้อง”


 


 


ร่างกายของหมอหลวงเจียงที่โค้งเล็กน้อยก็ยืดตรงขึ้นทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากสอบถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฤทธิ์ของดอกบัวสีเลือดนี้มีมากน้อยแค่ไหน”

 

 

 


ตอนที่ 345 ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง

 

หลังจากที่หมอหลวงเจียงลองดื่มยาด้วยตัวเองแล้ว ก็กลับไปเปิดตำราแพทย์โบราณอีกครั้งหนึ่งอย่างจริงจัง จนได้เข้าใจสรรพคุณของดอกบัวสีเลือดแล้ว ครั้นได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนถามขึ้น จึงรีบตอบทันที “ข้าน้อยได้ตรวจสอบแล้วขอรับ ฤทธิ์ของดอกบัวสีเลือดนี้รุนแรงอย่างมาก ช่อที่ซื่อจื่อได้มานั้นก็เพียงพอสำหรับให้คนหลายคน”


 


 


“แน่ใจหรือ”


 


 


“ในตำราโบราณบันทึกไว้ว่าดังนี้ขอรับ ข้าน้อยก็คิดว่าประมาณนี้เช่นกันขอรับ ครั้งที่แล้วข้าน้อยกินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฤทธิ์ยาได้ผลดีกว่าที่ข้าน้อยคิดอย่างมากขอรับ เมื่อลองคิดดูแล้วก็น่าจะไม่ผิดขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูด หมอหลวงเจียงก็ไม่กล้าพูดอะไร


 


 


บรรยากาศภายในห้องเริ่มเคร่งเครียดขึ้น ใจของหมอหลวงเจียงก็หดเกร็ง ราวกับว่าเขาเริ่มเข้าใจขึ้นแล้วว่าได้เกิดอะไรขึ้น จะว่าไปแล้ว ต้นตอหลักของหายนะทั้งหมดนี้ก็มาจากตัวเองทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่ว่าตัวเองหลุดปากพูดไปเพราะความเมามาย ซื่อจื่อก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เดินตรงออกไป ทิ้งหมอหลวงเจียงให้ยืนอยู่ที่เดิมอย่างงุนงงคนเดียว


 


 


แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมือที่ถือกล่องที่บรรจุดอกบัวสีเลือดมา เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว ก็วางกล่องบนโต๊ะข้างกาย และเปิดออก “เจ้าลองดูว่าจะตัดแบ่งดอกบัวสีเลือดช่อนี้อย่างไรดี”


 


 


หมอหลวงเจียงเดินเข้ามาตรวจดูอย่างละเอียด แล้วจำลองวัดสัดส่วนบนดอกบัวสีเลือดดู “เอาเท่านี้ไว้ให้แก่ซื่อจื่อเฟย ส่วนที่เหลือ ซื่อจื่อสามารถตัดแบ่งมอบให้แก่ผู้อื่นได้อย่างตามใจชอบขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองดู เห็นว่าหมอหลวงเจียงเหลือดอกบัวสีเลือดไว้เกินกว่าครึ่งหนึ่งเล็กน้อย จึงพยักหน้า “ต้องใช้เท่านี้ทั้งหมดหรือไม่”


 


 


“ตามบันทึกในตำราแพทย์ ซื่อจื่อเฟยรับดอกบัวสีเลือดแค่เล็กน้อยของครึ่งส่วนนี้ก็เพียงพอขอรับ ส่วนที่เหลือเอาไว้เพื่อเตรียมสำรองใช้ เช่นนั้นก็สามารถรับรองได้ว่าซื่อจื่อเฟยจะพ้นจากอันตรายแล้วขอรับ”


 


 


มองเขาด้วยความชื่นชมครู่หนึ่ง แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็ปิดฝากล่องลง “เรื่องในครั้งนี้ ทดเอาไว้ก่อน แล้วจะเพิ่มเป็นรางวัลชดเชยให้ในภายหลัง”


 


 


หมอหลวงเจียงรู้สึกยินดีอย่างมาก “ขอบพระคุณซื่อจื่ออย่างยิ่งขอรับ”


 


 


ยังต้องไม่พูดไปถึงสรรพคุณที่สามารถฟื้นคืนชีพได้ของดอกบัวสีเลือด เพียงแค่พูดถึงว่าหลังจากรับประทานยาแล้ว ร่างกายและพละกำลังล้วนเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างมหาศาล ฮ่องเต้ก็โหยหาคะนึงถึงอย่างมาก หลังจากที่ไม่มีกระจิตกระใจแม้แต่จะดื่มน้ำเสวยอาหารหลายวัน ในที่สุดก็ทรงคิดออกวิธีหนึ่ง จึงสั่งคนไปเรียกหวงฝู่ซวิ่นเข้ามาที่วังหลวง แล้วตรัสสั่งเขาอย่างคลุมเครือ “ระยะนี้พ่อรู้สึกว่าร่างกายไม่สบาย ได้ยินว่าดอกบัวสีเลือดสามารถรักษาได้สารพัดโรค เจ้าส่งคนไปหาให้พ่อสักหนึ่งช่อ หากทำไม่ได้จริงๆ เพียงครึ่งช่อก็ได้”


 


 


ในวันนั้นหวงฝู่ซวิ่นก็ได้ยินเรื่องดอกบัวสีเลือดแล้ว ที่กลัวก็คือเรื่องนี้จะตกมาถึงตัว รู้จักกันมาหลายปีขนาดนี้ เขาก็รู้จักหวงฝู่อี้เซวียนเป็นอย่างดี เขาเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง ดอกบัวสีเลือดนี้ก็ต้องเอาไว้ให้เมิ่งเชี่ยนโยวใช้อย่างแน่นอน ถ้าอยากจะได้มาจากมือของเขาก็เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ ดังนั้นหากเขาสามารถเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง หวังเพียงว่าฮ่องเต้อย่าได้นึกถึงเขาเลย ทว่า น่าเสียดาย ความหวังของเขามลายลงทันทีที่กงกงส่งกระแสรับสั่งมาเมื่อครู่ เขาก็เดาได้แล้วว่าเรื่องยากลำบากนี้ก็ต้องตกมาถึงตัวเองเป็นแน่แท้แล้ว ฮ่องเต้น่ะนะ พูดให้น่าฟังหน่อย การที่ให้เขาไปตามหามาครึ่งช่อ แท้ที่จริงแล้ว ก็คือให้เขาไปต่อรองขอมาจากหวงฝู่อี้เซวียนนั่นแหละ คำสั่งของฮ่องเต้นั้นยากลำบาก แต่แม้ว่าเขาจะไม่ยินยอมอย่างไร ก็ต้องฝืนหน้าด้านรับคำมา “ลูกน้อมรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพอใจ “อย่างไรผืนแผ่นดินของรัฐอู่ก็จะเป็นของเจ้าไม่ช้าก็เร็ว รอให้เจ้าทำเรื่องนี้ลุล่วงแล้ว ก็มาที่ห้องทรงพระอักษรช่วยพ่ออ่านฎีกาทุกวันเถิด”


 


 


ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน หวงฝู่ซวิ่นต้องขอบพระทัยอย่างดีอกดีใจแน่นอน แต่วันนี้ หัวใจก็เขาหนักอึ้ง เสด็จพ่อมักจะฝึกวิทยายุทธ์เป็นประจำ พระวรกายจึงแข็งแรงอย่างมาก ถ้าหากได้เสวยดอกบัวสีเลือดแล้ว วันที่ตัวเองจะได้ขึ้นครองราชย์ก็ยิ่งห่างไกลออกไปอีก คำพูดของเขาในวันนี้ ก็คือปลอบใจตัวเองเท่านั้น บนสีหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้ม รับคำแล้ว ก็ถอยออกไป


 


 


เดินมาถึงนอกห้องทรงพระอักษรและเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก็รู้สึกว่าแสงของดวงอาทิตย์ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงแสบตาเสียยิ่งกว่ายามฤดูร้อนอย่างมาก


 


 


เมื่อเห็นหวงฝู่ซวิ่นเดินออกไป เมฆดำที่ขมุกขมัวอยู่บนพระเศียรของฮ่องเต้หลายวันก็สลายออกไป พระองค์ผ่อนคลายพระวรกายลง และหยิบพระราชโองการเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม


 


 


หวงฝู่ซวิ่นยกเท้าเดินออกนอกวังหลวง ขณะที่เพิ่งจะเดินมาถึงประตูวังหลวง ขันทีผู้ดูแลภายในตำหนักไทเฮาก็ก็วิ่งมาอย่างรีบร้อน และตะโกนเรียกอยู่ด้านหลังเสียงดัง “ไท่จื่อ ได้โปรดหยุดก่อนพ่ะย่ะค่ะ องค์ไทเฮาทรงมีรับสั่งเชิญให้เสด็จไปหาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นหยุดฝีเท้าลง หันหน้าไป หัวหน้าขันทีสาวเท้าวิ่งมาถึงหน้าเขาด้วยความกระหืดกระหอบ และพูดย้ำอีกรอบ “ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ องค์ไทเฮามีรับสั่งเชิญให้เสด็จไปหาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเห็นหัวหน้าขันทีผู้ดูแลที่ศีรษะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ อยากจะหันหน้าหนีไม่สนใจเขา แต่เขาก็ทำไม่ได้ เขาเป็นไท่จื่อคำสั่งสอนที่สำคัญตั้งแต่เด็กก็คือเรื่องความกตัญญู ตอนนี้เขายังไม่ได้ขึ้นสืบทอดบังลังก์ฮ่องเต้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธไทเฮา


 


 


ยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง ถึงจะเดินไปยังตำหนักไทเฮา ในใจก็เกิดความอิจฉาหวงฝู่อี้เซวียนอย่างมาก เขาจะกระทำใดๆ ก็ได้ตามอำเภอใจ เรื่องที่ไม่อยากทำ คนที่ไม่อยากเจอล้วนสามารถปฏิเสธได้ แต่ตัวเองนั้น เกรงว่าชีวิตที่เหลือก็ไม่อาจมีโอกาสจะทำเช่นนั้นได้


 


 


หัวหน้าขันทีผู้ดูแลแอบซับเหงื่อบนหน้าผากที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาจากที่วิ่งหรือเป็นเพราะความหวาดกลัว แล้วเดินตามอยู่ด้านหลังของหวงฝู่ซวิ่นติดๆ


 


 


ขณะที่ถึงภายในตำหนักของไทเฮา ยังไม่ทันได้ทำความเคารพทักทาย ไทเฮาก็โบกมือให้เขาอย่างโอบอ้อมอารียิ่งกว่าปกติ แล้วตบเก้าอี้นิ่มข้างกาย “ซวิ่นเอ๋อร์ มานั่งข้างๆ ย่าสิ”


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จย่า”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่มข้างๆ


 


 


“ซวิ่นเอ๋อร์เอ๋ย ย่าได้ยินว่าเสด็จพ่อของเจ้าให้เจ้าไปเสาะหาดอกบัวสีเลือดหรือ” ไทเฮายิ้มถาม


 


 


หวงฝู่ซวิ่นตอบอย่างนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่า”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าเตรียมจะไปเสาะหาในที่แห่งใดเล่า”


 


 


“หลานไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ หลานกำลังจะกลับตำหนักเพื่อจัดเตรียมคนอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ แล้วท่านย่าก็ส่งคนเรียกให้มาเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ไทเฮาพยักหน้า “ดอกบัวสีเลือดนี้เป็นของดียิ่งเชียว ว่ากันว่ามีสรรพคุณฟื้นคืนความตาย หากเจ้าสามารถหาพบได้จริงๆ เสด็จพ่อของเจ้าต้องพระราชทานรางวัลอย่างงามให้แก่เจ้าแน่นอน”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นพูดถ่อมตัวอย่างมีมารยาท “การช่วยคลายความกังวลให้แก่เสด็จพ่อ เป็นหน้าที่อันสมควรของหลานอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“สมแล้วที่เป็นเด็กที่ข้าเลี้ยงโตมากับมือ เจ้ากตัญญูเช่นนี้ ย่ารู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก หลังจากเจ้าพบดอกบัวสีเลือดแล้ว ต้องบอกให้ย่ารู้ก่อนนะ”


 


 


นี่ถึงจะเป็นจุดประสงค์ที่ไทเฮาเรียกเขามา ในใจของหวงฝู่ซวิ่นขมขื่น กลับยังคงลุกขึ้นยืน รับคำ “หลานทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จย่าวางพระทัย เมื่อพบดอกบัวสีเลือดแล้วจริงๆ หลานจะทูลเสด็จย่าเป็นลำดับแรกพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ไทเฮายิ้มพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ดี ย่าจะรอข่าวดีจากเจ้า”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเดินออกนอกตำหนักไทเฮา ในใจเต็มไปด้วยความสับสน หลายปีผ่านมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกแคลงใจต่อตัวเองที่เกิดในราชวงศ์ และมีสถานะเป็นไท่จื่อว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่”


 


 


ถอนหายใจยาวเดินออกนอกตำหนักอย่างช้าๆ แล้วขึ้นนั่งบนรถม้าที่โอ่อ่าแต่กลับว่างเปล่าคันนั้น พร้อมกับสั่งบ่าวให้ตรงไปที่จวนอ๋องฉี


 


 


รถม้าที่หรูหรามุ่งเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หวงฝู่ซวิ่นนั่งภายในรถ มองดูผู้คนด้านนอกที่คึกคักและวุ่นวาย ในใจกลับเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา


 


 


ราวกับคาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าเขาจะมา เมื่อถึงจวนอ๋องฉี และกำลังจะลงจากรถม้า นายประตูก็คุกเข่าแสดงความเคารพ แล้วพูดขึ้น “ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ ซื่อจื่อได้สั่งเอาไว้ว่าหากพระองค์มาถึงแล้วก็ให้ไปที่เรือนของเขาโดยตรงเลยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นประหลาดใจไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม หวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่องขนาดนั้น ทำไมจะคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมาได้กันเล่า


 


 


ยกเท้าเดินเข้าไปภายในจวน ฝีเท้ากลับไม่ได้สบายๆ เหมือนเมื่อก่อน เพียงแต่รู้สึกว่าหนักอึ้งขึ้นหลายพันจิน ทุกๆ ก้าวเดินล้วนราวกับกินพลังงานของเขาไปจนหมดสิ้น คล้ายว่าเดินมาเป็นเวลานานแล้ว กว่าจะมาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


ชิงหลวนกับจูหลีเฝ้าอยู่หน้าประตู โจวอันยืนอยู่ภายในลานบ้าน ส่วนหวงฝู่อี้กำลังจะให้ยกน้ำมาให้ทั้งสามคน แล้วทักทายให้พวกเขาดื่มอย่างยิ้มแย้ม คนที่เฝ้ารับใช้มีจำนวนน้อยมาก แต่บรรยากาศกลับอบอุ่นอย่างยิ่ง


 


 


เมื่อเห็นหวงฝู่ซวิ่น แต่ละคนก็ทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน “ถวายบังคมไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นผงกศีรษะเล็กน้อย


 


 


ชิงหลวนเปิดม่านออก “ไท่จื่อเพคะ ซื่อจื่อคอยพระองค์อยู่นานแล้วเพคะ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเถิดเพคะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นประหลาดใจ แต่ยังคงยกเท้าเดินก้าวเข้าไปภายในห้อง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่มด้านซ้ายและด้านขวา ในมือของหวงฝู่อี้เซวียนกำลังถือตำราแพทย์


 


 


ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รู้ว่าเกิดอารมณ์อยากจะทำเสื้อผ้าตัวเล็กให้แก่เด็กสองคนตั้งแต่เมื่อไร เวลานี้จึงกำลังถักเย็บบนผ้าชั้นดีด้วยท่าทางที่งุ่มง่าม


 


 


“พี่ใหญ่” เมื่อเห็นหวงฝู่ซวิ่นเข้าห้องมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางงานบนมือ แล้วยิ้มทักทาย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็วางตำราแพทย์ลง มองเขาด้วยท่าทีที่เงียบขรึม


 


 


หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกกระดากกระเดื่องขึ้นมา ไม่กล้าเผชิญสายตากับเขา


 


 


“พี่ใหญ่นั่งเถิดเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด


 


 


หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ โต๊ะด้านข้างมีกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง


 


 


ขณะที่หวงฝู่ซวิ่นไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี หวงฝู่อี้เซวียนก็เอ่ยปาก “ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นอึ้งไป ไม่มีการตอบสนองไปชั่วขณะ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาราวกับกำลังมองคนโง่ จึงพูดเยาะเย้ยเบาๆ “ไม่ได้เจอแค่ไม่กี่วัน นี่เจ้าโง่ไปแล้วหรือ”


 


 


“เจ้าสิโง่” หวงฝู่ซวิ่นตอบโต้กลับโดยสัญชาตญาณ แต่หลังจากพูดจบก็รู้สึกเสียใจแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับเผยรอยยิ้ม เงยหน้าขึ้นเป็นสัญญาณให้เขาเปิดกล่องบนโต๊ะ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นพ่นลมครั้งหนึ่ง ไม่ขยับ และมองเขาอย่างท้าทาย


 


 


“โง่แล้วจริงๆ ด้วยสิ” หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา และถอนหายใจเบาๆ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นลุกพรวดขึ้นมา “เจ้าอย่าได้ล้ำเส้นเกินไป ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นพี่ใหญ่เจ้า มีใครพูดจาเช่นนี้กับพี่ใหญ่อย่างเจ้าหรือ”


 


 


มุมปากเมิ่งเชี่ยนโยวเม้มเล็กน้อย พยายามข่มกลั้นไม่ให้ตัวเองส่งเสียงหัวเราะออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน มานั่งลงข้างกายหวงฝู่ซวิ่น เงยหน้ามองเขา แล้วใช้สายตาส่งสัญญาณให้เขานั่งลงด้วย


 


 


หวงฝู่ซวิ่นพ่นลม ยืนตรงอย่างหนักแน่นยิ่งขึ้นเพื่อจงใจจะท้าทายเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอดทนไม่ไหวจนส่งเสียงหัวเราะพรวดออกมา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นตระหนักได้ในภายหลังว่าตัวเองได้ทำเรื่องโง่แล้ว สีหน้าแดงระเรื่อ และนั่งลงอย่างฉุนเฉียว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเปิดกล่องออก ให้ดอกบัวสีเลือดส่วนครึ่งช่อเล็กที่ยังคงสีสันที่แดงสดราวกับเลือดที่อยู่ด้านในปรากฏต่อเบื้องหน้าของหวงฝู่ซวิ่นที่เบิกตาโพลงโต “ให้เจ้าได้เพียงเท่านี้แหล่ะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นตะลึงจนพูดไม่ออกไปแล้ว มองหวงฝู่อี้เซวียนที่ท่าทางเรียบเฉย และมองเมิ่งเชี่ยนโยวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นชี้ที่ตัวเอง แล้วถามอย่างอ้ำอึ้ง “นี่…นี่…นี่คือให้ข้าหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกรอกตาบนใส่เขา และพูด “ฝันไปเถอะ นี่คือให้เจ้านำกลับไปเจรจา”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นชะงัก


 


 


“ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดอีกครั้ง


 


 


“เจ้าว่ามา” ภายในน้ำเสียงของหวงฝู่ซวิ่นมีความเร่งรีบ


 


 


“ให้เสด็จย่าถอนพระราชเสาวนีย์ที่ให้คุณหนูหลินเป็นสนมตลอดชีวิต แล้วเจ้าก็นำดอกบัวสีเลือดนี้ไปได้”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นชะงักไปอีกครั้ง เขาไม่นึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่ดอกบัวสีเลือดเป็นของล้ำค่าที่ยากจะพบเห็นในร้อยปีโดยแท้จริง


 


 


กลืนน้ำลายลง แล้วลองถามอย่างระมัดระวัง “ยังมีเงื่อนไขอื่นอีกไหม”


 


 


“มี”


 


 


นี่ถึงจะเป็นหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่ซวิ่นยืดหลังตรง ถาม “เงื่อนไขอะไร เจ้าบอกมา ถ้าพี่ใหญ่ทำได้ จะต้องทำให้เจ้าจนพอใจแน่นอน”


 


 


“ต่อไปเจ้าอย่าได้ทำท่าทางโง่ๆ เช่นนั้นต่อหน้าข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นพี่ใหญ่ของข้า จะฉลาดเฉลียวให้เหมือนน้องอย่างข้าบ้างได้หรือไม่”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นสำลักอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย


 


 


เมื่อได้ดอกบัวสีเลือดมาในมือ หวงฝู่ซวิ่นก็วางใจลงแล้ว ไท่จื่อผู้สูงส่ง ชั่วร้าย และเย่อหยิ่งก็ได้กลับมาอีกครั้ง แล้วกระโจนตัวขึ้นทันใด “ไป พวกเราออกไปดวลกันสักตั้ง”


 


 


ดังนั้น เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป อ๋องฉีที่จัดการงานราชการอยู่ภายในห้องหนังสือ และพระชายาฉีที่พูดคุยกับเมิ่งซื่ออยู่ในห้องตัวเอง ก็ได้รับการรายงานจากบ่าวรับใช้ตามลำดับ “ท่านอ๋อง แย่แล้วขอรับ ไท่จื่อกับซื่อจื่อต่อสู้กันแล้ว” “พระชายา แย่แล้วขอรับ ไท่จื่อกับซื่อจื่อต่อสู้กันแล้ว”


 


 


ทั้งสองคนได้ยินแล้วก็ตกใจ เดินออกจากประตูด้วยฝีเท้าที่ฉับไว มาถึงหน้าเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน เห็นแต่เพียงเงาสองร่างลอยขึ้นลง คนหนึ่งมาคนหนึ่งไป ต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร


 


 


พระชายาฉีตกใจจนกำลังจะอ้าปากร้องตำหนิทั้งสองคน แต่อ๋องฉีโบกมือปรามนางไว้ และหรี่ตาจ้องทั้งสองคน


 


 


วันนี้ หวงฝู่ซวิ่นและหวงฝู่อี้เซวียนต่างแสดงความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดออกมา ประมือกันอย่างออกรสออกชาติ กระทั่งพอใจแล้ว จึงจะหยุดลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหอบหายใจเบาๆ เสื้อผ้ามีรอยยับเล็กน้อย ส่วนหวงฝู่ซวิ่นหอบหายใจอย่างกระหืดกระหอบ เสื้อผ้ายับบิดเบี้ยว


 


 


มุมปากของอ๋องฉีเผยอขึ้นเล็กน้อย ปรากฏรอยยิ้ม ชัดเจนอย่างมากว่าลูกชายของตัวเองเหนือกว่าขั้นหนึ่ง


 


 


“เซวียนเอ๋อร์ ซวิ่นเอ๋อร์ เหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงลงมือปะทะกันอย่างรุนแรงเช่นนี้” เห็นทั้งสองคนหยุดแล้ว พระชายาฉีก็เดินเข้ามาสอบถามอย่างร้อนใจ


 


 


“เสด็จอาสะใภ้ขอรับ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับน้องเซวียนกำลังฝึกฝนวิทยายุทธ์ขอรับ” หวงฝู่ซวิ่นอธิบายด้วยรอยยิ้ม


 


 


มองทั้งสองคนอย่างละเอียด ท่าทางไม่เหมือนกับว่ามีความโกรธแค้นเกลียดชังต่อกัน พระชายาฉีก็ถอนหายใจโล่งอก “พวกเจ้าทั้งคู่จะฝึกฝนวิทยายุทธ์ก็ไม่บอกกันสักหน่อย ทำให้คนในจวนล้วนตกใจกันแทบแย่”


 


 


“เป็นความผิดของซวิ่นเอ๋อร์เองขอรับ ต่อไปจะไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้อีกแล้วขอรับ” หวงฝู่ซวิ่นรีบขออภัย


 


 


พระชายาฉีโบกมือ “เอาเถิด ในเมื่อไม่มีอะไร พวกเจ้าทั้งคู่ก็ไปล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว”


 


 


ทั้งสองคนรับคำ เตรียมจะเดินกลับไป


 


 


อ๋องฉีก็เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “ซวิ่นเอ๋อร์ วันนี้เจ้ามาที่จวนอ๋องเพราะเรื่องอันใดหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 346 ถึงเวลาแล้ว

 

ตอนที่ 346 ถึงเวลาแล้ว


 


 


ฝีเท้าของหวงฝู่ซวิ่นหยุดชะงัก หัวใจเต้นแรง และสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปโดยพลัน “ส…เสด็จอา..ข้า…”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแก้สถานการณ์แทนเขา “เสด็จพ่อ ข้าเชิญพี่ใหญ่มาเพื่อปรึกษาเรื่องการจัดงานแต่งงานของทหารในโรงงานเองขอรับ แล้วเกิดความคึกคะนองขึ้นมา พวกเราสองก็เลยปะทะกันขอรับ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นถอนหายใจโล่งอก พยักหน้าอย่างแรง “เสด็จอา พวกเราปรึกษาเรื่องนี้กันจริงๆ ขอรับ”


 


 


อ๋องฉีจ้องจนใจของหวงฝู่ซวิ่นหดเกร็ง แต่ก็พยายามเผชิญกับสายตาของอ๋องฉี ไม่ให้ตัวเองแสดงความผิดปกติอะไรออกมา


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ อ๋องฉีถึงจะเอ่ยปาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เชื่อฟังที่เสด็จอาสะใภ้เจ้าว่าเถิด อยู่รับประทานอาหารด้วยกันก่อน”


 


 


พูดจบ ก็หันตัวเดินจากไป


 


 


สายตาของเสด็จอาช่างน่ากลัวเกินไปจริงๆ ราวกับพินิจทะลุปรุโปร่งไปทุกสิ่ง หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกว่าเสื้อผ้าบนหลังของตัวเองได้เปียกปอนไปด้วยเหงื่อแล้ว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาตบไหล่ของเขาด้วยรอยยิ้ม แล้วสั่งพ่อบ้านให้พาหวงฝู่ซวิ่นไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด


 


 


พ่อบ้านพาหวงฝู่ซวิ่นเดินไกลออกไปด้วยความนอบน้อมแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับเข้าภายในห้องของตัวเองเพื่อล้างเนื้อล้างตัว พระชายาฉีหันกายไปที่ห้องครัว สั่งแม่ครัวให้ทำอาหารเพิ่มหลายอย่าง


 


 


มื้อนี้ หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกโหยหิวอย่างมาก หลังจากได้รับประทานอาหารที่เฟื่องฟูจนอิ่มอีกครั้งแล้ว ก็ลูบหน้าท้องตัวเองอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ แล้วขอตัวกลับตงกงไป


 


 


หลังจากทำของในห้องที่ไม่มีค่าบางส่วนแตกอย่างมีนัยยะแล้ว ก็สั่งขันทีในตำหนักนำเรื่องนี้ไปแพร่ออกไปอย่าง “ไม่ตั้งใจ”


 


 


ผ่านไปสองชั่วยามง นึกประมาณว่าไทเฮาได้ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว ถึงจะเข้ามาที่ตำหนักไทเฮาด้วยสีหน้าตึงเครียด


 


 


ไทเฮาได้ยินการรายงานจากขันทีตั้งนานแล้ว ก็นึกครวญว่าเขาทำเรื่องดอกบัวสีเลือดไม่สำเร็จ แม้ว่าในใจก็จะไม่เป็นสุข แต่ก็ฝืนฉีกยิ้มพูดปลอบใจ “ซวิ่นเอ๋อร์ ย่ารู้ว่าเจ้าลำบากแล้ว…”


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหวงฝู่ซวิ่นแทรกขึ้นด้วยความฉุนเฉียว “เสด็จย่า พวกเขาทำเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะให้ดอกบัวสีเลือดเพียงน้อยนิดแล้ว ยังจะเสนอเงื่อนไขอีก”


 


 


ไทเฮาผงะไป แล้วรีบตอบสนองกลับมาทันที และถามอย่างรีบเร่งด้วยความยินดีอย่างมาก “ลองว่ามาเถิด พวกเขาเสนอเงื่อนไขอะไร”


 


 


“ให้เสด็จย่าทรงถอนคืนพระราชเสาวนีย์ที่สั่งให้คุณหนูหลินเป็นอนุตลอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ หลานไม่ได้รับปากพวกเขา พระองค์เป็นไทเฮาที่สูงศักดิ์ที่สุดในรัฐอู่ เหตุใดจึงจะ…”


 


 


“เงื่อนไขแค่นี้หรือ” ไทเฮาขัดเขา ถามอย่างไม่รอช้า


 


 


หวงฝู่ซวิ่นรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ หลาน…”


 


 


คำพูดถูกขัดอีกครั้ง “นี่จะไปยากอะไร ย่าออกพระราชเสาวนีย์อีกครั้งก็ได้แล้ว”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นอ้าปากเล็กน้อย มองนางด้วยความอึ้ง ผ่านไปนานถึงสะดุ้งและตระหนักได้ว่าพฤติกรรมของตัวเองไม่เหมาะสม จึงรีบหุบปากสนิท


 


 


สีหน้าของไทเฮาเป็นปกติ ยิ้มพูด “ตอนแรกที่ให้คุณหนูหลินเป็นอนุตลอดชีวิตก็เพราะนางล่อลวงอวี้เอ๋อร์ แล้วทำเรื่องที่ทำลายต่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์ ตอนนี้ข้าได้ยินว่านางท้องแล้ว สุดท้าย นี่ก็เป็นเด็กที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขคนแรกของอวี้เอ๋อร์ อย่างไรก็ไม่อาจให้เด็กต้องมีสถานะกลายเป็นสามัญชนได้ หลายวันนี้ข้าก็คิดจะออกพระราชเสาวนีย์อีกครั้งอยู่พอดี ซึ่งจะพระราชทานให้คุณหนูหลินเป็นภรรยาเอกที่ถูกต้อง และให้พวกเขาได้เลือกฤกษ์ยามตบแต่งให้เร็วที่สุด”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นได้สติคืนมา ปากอ้าๆ หุบๆ ราวกับอยากจะพูดอะไร แต่กลับราวกับว่าไม่รู้จะพูดอะไรดี


 


 


ไทเฮาแสร้งทำเป็นไม่เห็นการแสดงออกของเขา รีบตามกูกูผู้ดูแลมาและร่างพระราชเสาวนีย์โดยทันที จากนั้นก็สั่งให้นางไปรายงานที่จวนอ๋อง


 


 


กูกูผู้ดูแลรับพระราชเสาวนีย์มา แล้วจากไป


 


 


ไทเฮายิ้มพูด “พระราชเสาวนีย์ได้ออกไปแล้ว ซวิ่นเอ๋อร์ เจ้าควรจะไปที่จวนเสด็จอาของเจ้าสักหน่อยไหม”


 


 


“หลานจะไปบัดเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ไทเฮาโบกมือ “รีบไปรีบกลับ ข้ารอเจ้ากลับมา”


 


 


หลังจากหวงฝู่ซวิ่นรับคำว่า “พ่ะย่ะค่ะ” อีกครั้ง ก็ก้าวยาวเดินออกจากตำหนัก ขึ้นนั่งบนรถม้า สีหน้าเคร่งขรึมตลอดก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทั้งใบหน้าทันควัน ถ้าไม่ใช่เพราะห่วงสถานะของตัวเอง ก็แทบอยากจะผิวปากปลดปล่อยความสุขภายในใจของตัวเองเสียหน่อย


 


 


ภายในเรือนของหวงฝู่อวี้ ณ จวนอ๋องฉี


 


 


หลินหันเยียนที่ผอมแห้งจนย่ำแย่ได้รับหวงฝู่อวี้ช่วยประคองเดินออกมาจากห้อง คุกเข่าลงบนพื้นฟังกูกูผู้ดูแลอ่านพระราชเสาวนีย์จบ ก็นิ่งอึ้งไป


 


 


นัยน์ตาของกูกูผู้ดูแลส่องประกายแห่งความเวทนา “คุณหนูหลินเจ้าคะ ท่านอย่าได้คิดว่าพระราชเสาวนีย์นี้ได้มาเปล่าๆ เลย นี่เป็นเพราะซื่อจื่อเฟยใช้สมุนไพรดีที่ไว้รักษาชีวิตของนางแลกมาให้เจ้า”


 


 


พูดถึงตรงนี้ ไม่รอให้หลินหันเยียนและหวงฝู่อวี้ได้สติคืนมา ก็หันกายเดินออกไป


 


 


หลินหันเยียนยิ่งตกตะลึง


 


 


หวงฝู่อวี้ตอบสนองกลับมาก่อน เข้าไปอุ้มนางลอยขึ้นสูง ใบหน้าที่ตื่นเต้นล้วนเป็นสีแดง “เยียนเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่ เสด็จย่าทรงอนุญาตให้ข้าสู่ขอเจ้าเป็นภรรยาเอกโดยชอบธรรมแล้ว!”


 


 


ขอบตาของหลินหันเยียนค่อยๆ เปียกชุ่ม น้ำตาเม็ดใหญ่ก็ร่วงเผลาะลงทันที แล้วพยักหน้าไม่หยุด “พี่อวี้ ข้าได้ยินแล้ว ข้าได้ยินแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“ดีจริงๆ ในที่สุดความพยายามของพวกเราหลายวันนี้ก็สัมฤทธิ์ผลแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องแบกรับโทษอีกแล้ว” หวงฝู่อวี้ตื่นเต้นจนลืมทุกสิ่งอย่าง พูดโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น


 


 


เฮ่ออีได้ยินแล้ว ศีรษะก็ห้อยตกลงต่ำยิ่งขึ้นอีก สถานะตัวเองเป็นองครักษ์ของนาย เดิมทีก็ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ว่านายถูกหรือผิด แต่ครั้งนี้ เจ้านายของเขาทำเพื่อคุณหนูหลินเกินไปแล้ว โดยไม่รู้ว่าถ้าซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยได้ยินแล้วจะแสดงออกอย่างไร


 


 


หลินหันเยียนตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออกอีก


 


 


หวงฝู่อวี้กอดนาง เดินเข้าไปในห้อง แล้ววางนางลงบนที่เตียงเบาๆ ก้มหน้าลงจูบหน้าผากนาง ภายในตามีน้ำตา “เยียนเอ๋อร์ เจ้าแบกรับความทุกข์มานานขนาดนี้ ในที่สุดก็ได้หลุดพ้นแล้วนะ”


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้าขณะที่ร้องไห้ไปด้วย กุมมือเขาไว้แน่น “พี่อวี้ ในที่สุดความทุกข์ของพวกเราก็จบสิ้นลงแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


“ใช่ ใช่ ใช่” หวงฝู่วี้ตอบรับอย่างต่อเนื่อง “ในที่สุดพวกเราก็สิ้นทุกข์สิ้นโศกแล้ว ต่อไปเจ้าก็จะเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียวของข้า”


 


 


หลินหันเยียนส่งเสียงร่ำไห้ออกมา ความรู้สึกที่ทรมาน พรั่นพรึง หวาดกลัว และไม่ยินยอมในหลายวันนี้ล้วนระบายออกมาทั้งหมด ร้องไห้จนฟ้ามืดมัวดิน


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ขอบตาแดงไปด้วย


 


 


เมื่อพระชายาฉีได้ยินข่าวดีนี้แล้ว กูกูผู้ดูแลก็ได้จากไปแล้ว แล้วมายังเรือนของหวงฝู่อวี้ด้วยความรีบร้อนเพื่อ อยากจะเตือนหลินหันเยียนว่าอย่าได้ตื่นเต้นมากเกินไป ร่างกายของนางแต่เดิมก็อ่อนแออย่างมาก ถ้าหากใช้อารมณ์มากเกินไป ไม่แน่ว่าอาจจะรักษาลูกในท้องไว้ไม่ได้ ทว่า เมื่อเดินมาถึงนอกเรือน ได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟายอย่างดังของหลินหันเยียน ก็ชะงักฝีเท้าและหันกายกลับไปอย่างเงียบๆ ให้นางระบายออกมาก็ดีเหมือนกัน ในหลายวันนี้เด็กคนนี้ต้องแบกรับอะไรมากเกินไปแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเรื่องนี้แล้ว ได้แต่เพียงยิ้มถามขณะนั่งอยู่บนตักของหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าว่า คุณหนูหลินจะแท้งลูกเมื่อไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าบึ้งตึง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยิ้มและจูบลงไปบนริมฝีปากเขา “ถ้าเดาถูกมีรางวัลนะ”


 


 


ตาของหวงฝู่อี้เซวียนส่องประกายขึ้นมา เข้าประชิดข้างหูของนาง และกระซิบเบาๆ คำหนึ่ง


 


 


ชิงหลวนและจูหลีที่เฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงอาละวาดของเมิ่งเชี่ยนโยวดังออกมา “หวงฝู่อี้เซวียน ไอ้เจ้าคนป่าเถื่อน ข้าจะกลับบ้านท่านแม่…” คำพูดตามมาก็ได้ถูกสกัดเอาไว้แล้ว เหลือแต่เพียงเสียงอู้อี้


 


 


ทั้งสองคนมองตากัน แล้วถอยตัวออกไปนอกเรือนอย่างรู้ใจกัน


 


 


ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนเดาถูกหรือไม่ ในเวลาค่ำ สาวใช้คนหนึ่งของเรือนของหวงฝู่อวี้วิ่งมาที่เรือนพระชายาฉีอย่างโซซัดโซเซ พร้อมรายงานด้วยความอกสั่นขวัญแขวน “พระชายาเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ เด็กในท้องของคุณหนูหลินร่วงแล้วเจ้าค่ะ!”


 


 


แกร๊ง ถ้วยชาในมือของพระชายาฉีหล่นลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้น สาวเท้าเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว


 


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


 


“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ เมื่อครู่คุณหนูหลินร้องว่าปวดท้อง กระทั่งตอนที่บ่าวเข้าไปรับใช้ ถึงพบว่า…”


 


 


ไม่รอให้นางพูดจบ พระชายาฉีก็สั่งอย่างเร่งรีบ “หลิงหลง ส่งคนไปเชิญหมอหลวงเจียงมา”


 


 


หลิงหลงรับคำ


 


 


พระชายาฉีเดินออกไปด้านนอกอย่างรีบร้อน สาวใช้ที่ส่งข่าวตามอยู่ด้านหลัง


 


 


ขณะที่เร่งรีบออกจากเรือนตัวเอง ชิงหลวนเดินมารับหน้าพร้อมโค้งตัวลงทำความเคารพ “พระชายาเจ้าคะ นายหญิงบอกว่าร่างกายไม่ค่อยสบาย จึงเชิญท่านไปหาสักหน่อยเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาฉีสีหน้าซีดเผือด รีบหันเท้าเดินมุ่งไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนทันที


 


 


ในเวลาเดียวกัน คนที่หลิงหลงส่งออกไปตามหมอหลวงเจียงก็ได้ถูกโจวอันขวางให้กลับมา “ซื่อจื่อเฟยสั่งไว้ว่า ไม่ต้องเชิญหมอหลวงเจียงแล้ว ท่านจะไปตรวจดูคุณหนูหลินให้เอง”


 


 


คนที่ส่งออกไปก็หันตัวกลับมา


 


 


เข้ามาถึงในห้องและเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนอนอยู่บนเตียง สีหน้าของพระชายาฉียิ่งซีดขาว “โยวเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เห็นพระชายาฉีร้อนรนเช่นนี้ ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกละอายขึ้นมา แล้วยื่นมือออกไปหาพระชายาฉีด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ทำไมเพคะ วันนี้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่เอว ถึงได้รีบให้ชิงหลวนเชิญเสด็จแม่มา เพื่ออยากถามท่านว่าเป็นเพราะอะไรเจ้าคะ”


 


 


ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่ พระชายาฉีก็วางใจลง แล้วถึงจะรู้สึกว่ามือเท้าอ่อนแรงไปหมด จึงนั่งลงข้างเตียงแล้วพูด “ยิ่งมากเดือนขึ้น เอวก็ย่อมปวดตามมาเป็นธรรมดา ปล่อยใจให้สบายนะ ไม่เป็นอะไรหรอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ทราบแล้วเจ้าค่ะเสด็จแม่ ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“เด็กโง่ ยังจะเกรงใจกับแม่อีก นอนหลับพักผ่อนเถิด รอให้ตื่นแล้ว ก็จะดีขึ้นมาก”


 


 


“วันนี้นอนเยอะเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ไม่ง่วงเลย เสด็จแม่พูดคุยเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


พระชายาฉีเผยสีหน้าลำบากใจ “โยวเอ๋อร์ เมื่อครู่มีบ่าวรายงานว่าลูกของเยียนเอ๋อร์ร่วงแล้ว แม่กำลังเตรียมที่จะไปหาอยู่ ให้เซวียนเอ๋อร์พูดคุยเป็นเพื่อนเจ้าเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคว้ามือของพระชายาฉีไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิงวอน “เสด็จแม่ ข้าอยากจะให้ท่านพูดคุยเป็นเพื่อนข้าเจ้าค่ะ”


 


 


ในสายตาของพระชายาฉี แต่ไหนแต่ไรมาเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนที่ใจเย็น เด็ดเดี่ยว เข้มแข็งและพึ่งพาตัวเองได้ ไหนเลยจะเคยเผยด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะร่างกายไม่สบายอย่างเกินขีดจำกัดแล้วแน่นอน ถึงได้อ้อนวอนเช่นนี้ จึงรู้สึกใจอ่อน และรับคำ “ได้ แม่จะเป็นอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”


 


 


แล้วก็เป็นเช่นนี้ผ่านไปสี่ชั่วยาม ไม่เพียงแต่อ๋องฉีที่กลับเรือนแล้วไม่เห็นเงาร่างของพระชายาฉี ก็ตั้งตารอคอยให้พระชายาฉีมาหาโดยตลอด ส่วนหวงฝู่อวี้ที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์การแท้งและหลินหันเยียน ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพระชายาฉี


 


 


กว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะนอนหลับ ก็เป็นเวลาที่เกือบจะดึกมากแล้ว หลังจากห่มผ้าห่มให้นางอย่างใส่ใจ พระชายาฉีก็กำชับหวงฝู่อี้เซวียน “เดือนยิ่งมากขึ้น โยวเอ๋อร์ก็จะไม่สบายยิ่งขึ้นด้วย เจ้าจะต้องเฝ้าดูแลตลอดเวลา ถ้าไม่สะดวกก็รีบสั่งคนให้มารายงานแม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ “ทราบแล้วขอรับเสด็จแม่”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า เดินออกไปด้านนอก แต่เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าว ก็หันหน้ากลับไปกำชับโดยทันใด “เจ้าก็ข่มใจเอาไว้บ้าง พยายามอย่าได้รบเร้าโยวเอ๋อร์”


 


 


ไม่เพียงแต่หวงฝู่อี้เซวียนที่หน้าแดง แม้แต่สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวที่ ‘หลับอยู่’ ก็พลันแดงขึ้นด้วย


 


 


จ้องหวงฝู่อี้เซวียน จนกระทั่งเขาส่งเสียงอืมตอบรับ พระชายาฉีถึงจะหันหน้ากลับไป แล้วเดินออกไป


 


 


พอเดินออกมาด้านนอก เห็นแสงยามกลางคืนที่มืดสนิทเช่นนี้ ก็ประมาณได้ว่าน่าจะดึกมากแล้ว และไม่ได้ยินข่าวที่ส่งมาจากด้านหลินหันเยียนโดยตลอด น่าจะเพราะหลังจากที่หมอหลวงเจียงมาแล้ว สถานการณ์ของหลินหันเยียนก็ปลอดภัยแล้ว


 


 


ถอนหายใจแรงๆ แสดงความสงสารแก่เด็กที่ยังไม่ทันได้เกิดคนนั้นแล้ว ถึงจะกลับไปที่เรือนของตัวเอง

 

 

 


ตอนที่ 347 ตื่นรู้

 

หลังจากพระชายาฉีไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนหลับสนิทก็ลืมตาขึ้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่มด้านหน้าเตียง มองนางอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วจูงมือเขาเบาๆ “อี้เซวียน ข้าในโลกก่อนเป็นเด็กกำพร้า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้รู้ว่าครอบครัวคืออะไร ดังนั้นข้าถึงรักและทนุถนอมคนในครอบครัวในชาตินี้อย่างมาก แม้ว่าจะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเพียงน้อยนิด เพียงแค่ไม่ได้ไปถึงขนาดที่ไม่อาจให้อภัยกันได้ ข้าก็ไม่อยากจะละทิ้ง ดังนั้น พวกเราให้โอกาสพวกเขาสองคนอีกสักครั้งเถิด สามวัน สามวันดีไหม”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ไม่พูดอะไร


 


 


ในความมืดของกลางฤดูใบไม้ร่วง มีลมเย็นๆ ลอดผ่านเข้ามาจากช่องประตู โบกพัดให้ไฟตะเกียงภายในห้องเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวสลัว เหมือนกับความรู้สึกในใจของหวงฝู่อี้เซวียนเวลานี้


 


 


ผ่านไปนาน หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะส่งเสียง อืม เบาๆ


 


 


หนึ่งวันผ่านไป ไร้ซึ่งข่าวคราว


 


 


สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนเป็นปกติ ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว


 


 


วันถัดมา สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเริ่มบึ้งตึงขึ้น ตอนที่เมิ่งซื้อมาหา ก็สังเกตเห็นท่าทางนี้ จึงรอจนกระทั่งเขาออกไปยกรังนกตุ๋นในห้องครัวมาให้เมิ่งเชี่ยนโยว จึงดึงมือของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกดเสียงต่ำถาม “โยวเอ๋อร์ เจ้ารังแกอี้เซวียนอีกแล้วใช่หรือไม่ แม่เห็นสีหน้าเขาวันนี้ดูย่ำแย่มากเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจ “ท่านแม่ ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของแม่นะเจ้าคะ ทำไมแม่ถึงลำเอียงเข้าข้างเขาล่ะ แล้วอีกอย่างนะ สภาพในตอนนี้ของข้าจะไปรังแกอะไรเขาไหวเล่าเจ้าคะ”


 


 


“ก็ได้ๆ ไม่มีก็ไม่มี แม่ก็เพียงแค่ถามดูเท่านั้น” นานๆ ทีจะเห็นด้านนี้ของลูกสาวคนเล็ก ในใจของเมิ่งซื้อก็ผ่อนคลายลง แล้วยิ้มเอาใจนาง


 


 


วันที่สามตื่นมา ก็ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนราวกับคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ กลับสงบนิ่งแล้ว ต้มข้าวต้ม ทำเครื่องเคียง ป้อนข้าว และตุ๋นรังนกให้เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนทุกวัน


 


 


หวงฝู่อวี้อยู่ภายในเรือน


 


 


ห่างจากเรื่องที่หลินหันเยียนแท้งเป็นเวลาสามวันแล้ว นอกจากวันที่สองที่พระชายามาเยี่ยม แล้วพูดปลอบหลินหันเยียน ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเมิ่งเชี่ยนโยว กระทั่งส่งบ่าวมาถามไถ่สักคำก็ไม่มี


 


 


วันแรก หวงฝู่อวี้ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ กลัวแต่เพียงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาแล้วจะมองออก ทำให้ความแตก


 


 


วันที่สอง ใจของหวงฝู่อวี้หวั่นวิตก และมักจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียอะไรไปอย่างชอบกล


 


 


วันที่สาม หวงฝู่อวี้รู้สึกไม่เป็นสุขแล้ว เห็นหลินหันเยียนยังมีสีหน้าที่ขาวซีดอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้น คำพูดที่กูกูผู้ดูแลพูดหลังจากถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์นั่นก็ปรากฏขึ้นในหัว ‘นี่เป็นเพราะซื่อจื่อเฟยใช้สมุนไพรดีที่ไว้สำหรับช่วยชีวิตของนางแลกมาให้เจ้า’


 


 


ตู้มมม! เสียงระเบิดดังขึ้นในสมอง ร่างกายก็พลันโซเซ ภาพเหตุการณ์ในอดีตแต่ละฉากปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา ทั้งยามที่กระทำผิดต่อเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วหวงฝู่อี้เซวียนมาลงโทษเขา ยามที่แม่ของตัวเองตาย แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็มาปลอบเขา ยามที่ตัวเองสร้างหายนะอันใหญ่หลวง หวงฝู่อี้เซวียนก็ช่วยเขาคลี่คลายความยากลำบาก และยามที่เฮ่อจางเกือบจะพรากชีวิตของเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้เอาความโกรธแค้นมาโทษที่ตัวเขาอย่างสิ้นเชิง


 


 


ยกมือขึ้นทุบศีรษะของตัวเอง ทำไมเขาถึงลืมไปได้เล่าว่าวิชาแพทย์ของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นสูงอย่างมาก ตอนแรกที่เขาวิ่งไปร้องขอให้เมิ่งเชี่ยนโยวมาตรวจชีพจรอย่างอกสั่นขวัญหาย นางก็น่าจะตรวจพบเบาะแสแล้ว มิฉะนั้นคงจะไม่พูดกับพวกเขาสองคนอย่างนั้น และไม่ยอมให้หมอหลวงเจียงมา จึงไม่ได้มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของหลินหันเยียนหลายวันเช่นนี้ ทว่า นางก็ไม่เคยทำอะไรพวกเขาเลย ถึงขนาดแม้แต่จะกล่าวโทษสักนิดก็ไม่มี แล้วยังใช้สมุนไพรที่ช่วยชีวิตตัวเองแลกเปลี่ยนให้ไทเฮาคืนพระราชเสาวนีย์อีก ทั้งนี้ก็เพื่อให้เขากับหลินหันเยียนได้อยู่ด้วยกันตลอดไปโดยปราศจากอุปสรรคขวางกั้น แต่เขา ทำอะไรลงไปอีกแล้ว…


 


 


‘พวกเราเป็นพี่น้องแท้ๆ เป็นคนที่จะค้ำจุนจวนอ๋องด้วยกัน’ คำพูดที่หวงฝู่อี้เซวียนเคยพูดไว้ ไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นบนหัวของหวงฝู่อวี้ได้อย่างไร


 


 


เขากระโจนตัวยืนขึ้น เหม่อมองสีหน้าของหลินหันเยียนที่ยังคงขาวซีดอยู่อย่างแน่นิ่ง


 


 


หลินหันเยียนสะดุ้งตกใจ “พี่อวี้…”


 


 


เสียงของหวงฝู่อวี้รีบร้อนอย่างมาก ราวกับถ้าช้าไปกว่านี้อีกหน่อยจะทำให้สูญเสียอะไรไป “เยียนเอ๋อร์ เร็วเข้า รีบลุกขึ้น ไปขออภัยโทษที่เรือนพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยกันกับข้า”


 


 


หลินหันเยียนอึ้งไป สีหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้วก็ยิ่งซีดขึ้นอีก “พี่อวี้ พี่…”


 


 


“เร็วเข้าหน่อย…” หวงฝู่อวี้ดึงผ้าห่มที่ห่มอยู่บนตัวนางออก แล้วดึงให้นางนั่งขึ้นมา จากนั้นคว้าเสื้อนอกคลุมบนกายนางอย่างง่ายๆ “หากช้าแล้วจะไม่ทันการ”


 


 


หลินหันเยียนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็คลุมเสื้อนอกให้เรียบร้อยอย่างลนลานจนแม้แต่ติดกระดุมผิดไปสองเม็ดก็ไม่รู้ตัว ขณะเพิ่งจะสวมรองเท้าได้แค่ครึ่งเท้าก็ถูกเขาลากวิ่งออกไปด้านนอกแล้ว ขณะที่วิ่งไปพลาง ก็สั่งบ่าวรับใช้ไปพลาง “พวกเจ้า ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้ตามมา”


 


 


หงเอ๋อร์ที่อยากจะตามไปก็หยุดฝีเท้าลง ร้อนรนจนเขย่งปลายเท้าอยู่ด้านหลัง “คุณหนู ท่านเพิ่งจะแท้งนะเจ้าคะ ไม่อาจออกไปโดนลมได้นะเจ้าคะ”


 


 


เฮ่ออีที่ร่างเพิ่งจะกระโดดลอยขึ้น ก็กลับลงไปที่พื้นอีกครั้ง มุมปากเผยรอยยิ้มที่สุขใจ ยังดี ยังดี คุณชายรองตื่นรู้แล้ว หวังว่าทุกอย่างจะยังทันอยู่


 


 


ฝีเท้าของหวงฝู่อวี้รีบเร่งอย่างมาก หลินหันเยียนตามอยู่ข้างๆ อย่างทุลักทุเล เมื่อบ่าวรับใช้ภายในจวนเห็น ขณะที่รู้สึกสงสัย ในใจก็รู้สึกอึดอัดด้วย นี่คุณชายรองกับคุณหนูหลินเป็นอะไรไป ท่าทางดูรีบร้อนยิ่ง อย่าบอกนะว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในจวนอีกแล้ว


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้าง รีบร้อนจนบนศีรษะมีเหงื่อผุดออก แล้วก็วิ่งมาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนด้วยกันกับหลินหันเยียนอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังจะเข้าไป ก็ถูกโจวอันที่สีหน้าเรียบเฉยขวางอยู่ด้านนอก “ซื่อจื่อเฟยกำลังนอนกลางวันอยู่ขอรับ นายท่านสั่งเอาไว้ว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวน หากคุณชายรองมีเรื่องอะไร อีกประเดี๋ยวค่อยมาใหม่เถิดขอรับ”


 


 


หวงฝู่อวี้มองเข้าไปภายในห้องผ่านร่างของโจวอันไป นอกจากชิงหลวนกับจูหลียืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างเงียบๆ และหวงฝู่อี้ก็ทำความสะอาดใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนในลานบ้านอย่างเบามือเบาเท้า แล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก


 


 


ตึง เสียงคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


 


โจวอันสะดุ้ง “คุณชายรอ…” พลันคิดถึงคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน ก็ลดเสียงเบาลง “คุณชายรอง นี่ท่าน…”


 


 


“เยียนเอ๋อร์ คุกเข่าลง”


 


 


หวงฝู่อวี้สั่งหลินหันเยียน


 


 


หลินหันเยียนคุกเข่าอยู่ข้างเขา


 


 


เห็นสองคนที่คุกเข่าแน่นิ่งอยู่ โจวอันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี


 


 


จนถึงบัดนี้ ศีรษะของชิงหลวนและจูหลีก็ไม่ได้เงยขึ้น จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้ช่วยรายงานเลย


 


 


การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนเอิกเกริก พ่อบ้านพอได้รับข่าว ก็วิ่งมาโดยที่เหงื่อท่วมศีรษะ ครั้นเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าแล้ว ก็ผงะไป ในใจอยากจะเข้าไปสอบถาม แต่ก็ไม่กล้า ทำได้เพียงปล่อยให้ทั้งสองคนคุกเข่าอยู่เช่นนั้น คุณหนูหลินคนนั้นก็เพิ่งจะแท้งไปเอง อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ สวมใส่เสื้อผ้าบางเช่นนี้ จะทำให้เสียสุขภาพได้ พ่อบ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังคงอดไม่ได้และส่งคนไปรายงานพระชายาฉี


 


 


ตอนสายๆ พระชายาฉีได้มาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว และอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนนางพร้อมกับเมิ่งซื่อทั้งช่วงเวลาสาย เมื่อเห็นได้ว่านางไม่มีพูดทำนองว่าปวดเอวหรืออะไรอีก ความกังวลที่อยู่ในใจตลอดก็ได้ปล่อยวางลง หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก จึงงีบไปครู่หนึ่ง พอได้ยินการรายงานของหลิงหลงขณะที่ยังสลึมสลือ ก็ลืมตาขึ้น แต่ไม่ได้ลุกออกจากเตียง


 


 


พ่อบ้านเฝ้าอยู่ภายในเรือนอย่างระมัดระวัง


 


 


ผ่านไปนาน หลิงหลงถึงออกมาจากในห้อง พูดด้วยเสียงเบา “พ่อบ้าน พระชายาบอกว่า นี่เป็นเรื่องระหว่างสองพี่น้อง ท่านไม่สะดวกจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเจ้าค่ะ”


 


 


คำพูดของนางสิ้นลง พ่อบ้านจะยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก นี่ก็หมายถึงพระชายาฉีไม่สนใจแล้ว และให้ตัวเองอย่าได้ไปสนใจเช่นกัน จึงหันกายออกจากเรือนหลัก กลับไปยังหน้าเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วแผดเสียงว่าพวกบ่าวรับใช้ที่มาชะเง้อมองดูเป็นครั้งคราว และเตือนพวกเขา “หากใครยังกล้ามาอีก ข้าจะจับคนนั้นไปขาย”


 


 


พวกบ่าวรับใช้ต่างพากันหลบออกไปไกลๆ และไม่มีใครมาดูอีกแม้แต่คนเดียว


 


 


ผู้ดูแลหันกายกลับไปทำกับธุระของตัวเอง


 


 


ภายในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนโอบเมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนอยู่บนเตียงโดยที่ไม่ได้หลับ เสียงจากข้างนอกดังเข้าหูของทั้งสองคนทั้งหมด


 


 


เสียง ตึง ดังเข้ามาในหู ริมฝีปากของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เม้มขึ้นเป็นรอยยิ้ม กรอกตาขึ้น มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับโอบนางแน่นขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ว่าง่วงแล้วหรือ นอน!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขยับกายหาตำแหน่งที่สบายในอ้อมอกของเขา ปิดตาลง แล้วก็หลับสนิทไปจริงๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่รู้สึกอยากนอน จึงได้แต่จ้องเพดานห้อง ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรอยู่บ้าง


 


 


สองชั่วยามผ่านไป ภายในห้องไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว


 


 


แล้วก็ได้ผ่านไปอีกสองชั่วยาม ภายในห้องยังคงไร้การเคลื่อนไหวเหมือนเดิม หลินหันเยียนหนาวจนทนไม่ไหวแล้ว ฟันสั่นกระทบระริก ทั้งกายสั่นเทิ้มไม่หยุด


 


 


สองเท้าของหวงฝู่อวี้ก็มีอาการชาแล้ว ร่างกายที่นิ่งตรงก็เอนลงไปเล็กน้อย เมื่อเห็นสภาพของหลินหันเยียนก็ถอดเสื้อนอกของตัวเอง ห่มบนกายหลินหันเยียน


 


 


“พี่อวี้ พวกเรา…”


 


 


ชู่วว! หวงฝู่อวี้เอามือแตะที่ริมฝีปาก ส่งสัญญาณบอกนางว่าห้ามพูด “พี่สะใภ้ใหญ่หลับอยู่ พวกเราห้ามรบกวนนางนะ”


 


 


คำพูดที่หลินหันเยียนจะพูดก็กลืนกลับลงไป ในใจก็เข้าใจดีว่าหวงฝู่อวี้ทำเช่นนี้ด้วยเหตุใดกันแน่


 


 


และผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ภายในห้องก็มีเสียงสั่งของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “เอาน้ำมา”


 


 


หวงฝู่อี้วิ่งไปที่ห้องครัวเล็กอย่างขะมักเขม้น ตักน้ำจากหม้อใหญ่ที่ต้มน้ำเดือดไว้อยู่ตลอดลงบนถาดล้างหน้า แล้วเติมน้ำเย็นอีกส่วนหนึ่ง ถึงจะยกมาที่หน้าประตูอย่างระมัดระวัง ชิงหลวนรับมา แล้วส่งเข้าไปด้านใน


 


 


ใบหน้าของหลินหันเยียนยินดีขึ้นทันที แต่สีหน้าของหวงฝู่อวี้กลับยิ่งเคร่งเครียดขึ้น


 


 


ล้างหน้าล้างตาสะอาดและสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ประคองเมิ่งเชี่ยนเดินออกมา เห็นหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนที่คุกเข่านิ่งตรงอยู่หน้าประตูเรือน ก็เดินตรงมาทางทั้งสองคน


 


 


“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่” แววตาของหวงฝู่อวี้ส่องประกาย ร้องเรียก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้แต่จะมองทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่ เดินประคองเมิ่งเชี่ยนโยวผ่านข้างๆ ทั้งสองไปราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน


 


 


ความกระฉับกระเฉงของหวงฝู่อวี้หดหายไป ความรู้สึกหนักอึ้งดิ่งลงมาถึงเบื้องลึกของหัวใจ เมื่อก่อน ถ้าเขาก่อเรื่องหายนะใหญ่โต หวงฝู่อี้เซวียนก็จัดการสั่งสอนเขาด้วยตัวเองอย่างโหดร้าย เพื่อให้เขาจดจำไว้เป็นบทเรียน และจะได้ไม่กล้าทำผิดอีกต่อไป ทว่า ครั้งนี้ ไม่แม้แต่จะสนใจเขา นี่ก็แสดงว่าผิดหวังต่อเขาอย่างสุดขีดแล้ว และจะทอดทิ้งเขาแล้วใช่หรือไม่


 


 


ในใจทั้งกระวนกระวายและหวาดหวั่น รีบหันตัวไปทางทั้งสองคน ตะโกนเสียงดัง “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราผิดไปแล้วขอรับ”


 


 


เท้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดลง เงยหน้ามองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


เท้าของหวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ได้หยุด โอบเมิ่งเชี่ยนโยวเดินหน้าต่อไปด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าพูดเกลี้ยกล่อม


 


 


ทั้งสองคนยิ่งเดินยิ่งไกลออกไป


 


 


ในใจของหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยความหนาวสั่น


 


 


หลังจากพ่อบ้านเดินไปแล้ว พระชายาฉีก็ไม่มีความง่วงอีก พิงกับหัวเตียงครุ่นคิดว่าอวี้เอ๋อร์กับเยียนเอ๋อร์ทำเรื่องอะไรอีกกันแน่ ถึงทำให้เซวียนเอ๋อร์ต้องโกรธเคือง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเล่นเป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวภายในจวนอย่างช้าๆ เหมือนอย่างเคย อากาศก็เย็นลงแล้ว เมื่อสวมใส่เสื้อผ้ามากไปหน่อย ก็ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งดูตัวอ้วนท้วมมากขึ้น และยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวไม่สะดวกขึ้นอีก พอเดินไปได้ครึ่งชั่วยามก็เดินไม่ไหวแล้ว จึงเงยหน้าขึ้น “พวกเรากลับกันเถอะ”


 


 


“ในตำราแพทย์บอกว่า เดินเคลื่อนไหวมากๆ ดีต่อการคลอด คนดี พวกเราเดินอีกสักพักหนึ่งเถิดนะ”


 


 


นี่เป็นถ้อยคำที่หวงฝู่อี้เซวียนจะพูดทุกวันในระยะนี้ และเป็นเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยวต้องปฏิบัติตามทุกวัน


 


 


ยืนหยัดเดินต่อจนเสร็จ หน้าผากของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ปรากฏเม็ดเหงื่อเล็กๆ ออกมา หวงฝู่อี้เซวียนช่วยซับให้นางอย่างอ่อนโยน แล้วประคองนางกลับห้องโดยที่ยังคงไม่สนใจทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่หน้าประตู


 


 


หลังจากนั่งพักในห้องแล้ว เหงื่อบนหน้าผากก็หายไป เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วจนหมด “อี้เซวียน แม้คุณหนูหลินจะไม่ได้ท้องจริงๆ แต่ร่างกายของนางก็อ่อนแออย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฤทธิ์ของสมุนไพรอีก ถ้าหากยังคุกเข่าต่อไป ร่างกายของนางต้องรับไม่ไหวเป็นแน่”


 


 


“เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนรินน้ำอุ่นให้นางอีกแก้วหนึ่ง ถามนางอย่างเรียบเฉย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไป เข้าใจว่าครั้งนี้เขาโกรธจริงๆ แล้ว และโกรธอย่างมากอย่างมากด้วย โกรธจนถ้าหากว่าตัวเองกล้าช่วยขอความเมตตาให้หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนอีก เขาจะต้องทำโทษนางอย่างไม่ปรานีแน่นอน เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหนาวสั่นขึ้น จึงรีบยกน้ำขึ้นมาดื่มอย่างว่าง่าย และไม่กล้าพูดอะไรมากอีก


 


 


แสงกลางคืนค่อยๆ ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ลมหนาวยามเย็นยิ่งหนาวเหน็บ ไม่เพียงแต่หลินหันเยียนที่สั่นเทิ้มตลอด หวงฝู่อวี้ก็หนาวจนตัวสั่นแล้ว แต่ยังคงคุกเข่าไม่ยอมลุก


 


 


แล้วก็ผ่านไปอีกสี่ชั่วยาม หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวรับประทานอาหารเย็นและสั่งชิงหลวนกับจูหลีให้เก็บกวาดเสร็จแล้ว คนหนึ่งนั่งอ่านตำราแพทย์อยู่บนเก้าอี้ ส่วนอีกคนก็คว้าผ้าที่เย็บอย่างไม่เรียบร้อยขึ้นมาสู้ต่อ


 


 


บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นและเงียบสงัด


 


 


ขณะที่ด้านนอกห้องกลับมีเสียงร้องตกใจเบาๆ ของหวงฝู่อวี้ดังขึ้น “เยียนเอ๋อร์…” คำพูดหลังจากนั้นไม่ได้ดังเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าของเขาเป็นดังเดิม ไม่ได้กระทบอะไรแม้แต่น้อย ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


เสียงฝีเท้าดังผ่านเข้ามาเป็นระลอก แล้วข้างนอกก็กลับสู่ความเงียบสงบ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวางตำราแพทย์บนมือลง ลุกขึ้นยืน เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว หยิบเข็มบนมือของนางวางลง แล้วดึงนางลุกขึ้นเดินมาที่ข้างเตียง “นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวง่วงนอนง่ายในเวลากลางคืน จึงหลับไปโดยสนิท


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลืมตาขึ้นแต่เช้าเหมือนเดิม เมื่อลุกจากเตียงและสวมใส่เสื้อนอกเรียบร้อย ก็เปิดประตูออก เตรียมจะไปที่ห้องครัวเล็กเพื่อทำอาหารเช้าให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ที่หน้าประตูเรือน บนยอดหัวของหวงฝู่อวี้มีน้ำค้างขาวเกาะ และคุกเข่าบนพื้นอย่างโซเซจนเกือบจะล้มลงไป ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา ก็ร้องเรียกอย่างอ่อนแรง “พี่ใหญ่”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)