ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 334-337
ตอนที่ 334 ถามตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าออกไปข้างนอก มือขวาพยุงหลังเอวไว้ทันที ทั้งตัวดูอวบอ้วนและเดินเซไปมา
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นดังนั้นก็รีบขึ้นไปโอบนางไว้ และพาเดินออกจากห้องไป
พระชายาฉีมองแผ่นหลังของเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความดีใจ รู้สึกยินดีปรีดาอย่างยิ่ง ดีจัง อีกไม่กี่เดือน จวนอ๋องก็จะมีเสียงร้องเสียงหัวเราะของเด็กน้อยแล้ว
ชายสวมชุดดำตัวสูงใหญ่นายหนึ่งยืนอยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นทั้งสองออกมา ก็คำนับคารวะ “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”
“ไท่จื่อบอกหรือยังว่าลูกพี่ลูกน้องของข้าได้ตำแหน่งอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน ถามด้วยเสียงหอบเล็กน้อย
ชายชุดดำตอบอย่างนอบน้อมว่า “ไท่จื่อทรงตรัสให้ข้าบอกซื่อจื่อเฟยว่า คุณชายเมิ่งและเพื่อนของท่านจะได้เป็นนักประวัติศาสตร์ในสำนักราชบัณฑิตขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า “ขอบพระคุณไท่จื่อ เจ้าแจ้งแก่เขาว่า หากวันใดมีเวลาว่างจะขอเชิญท่านมาดื่มในจวน”
ชายชุดดำขานรับ หันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
“ข่าวดีน่าจะส่งไปถึงหนานเฉิงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เช้าหลังจากเรากินข้าวเช้ากันแล้วกลับบ้านกันเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขอร้อง
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่ท้องน้อยๆ ที่ยื่นออกมาของนาง ก็รู้สึกลังเลใจ เมิ่งเชี่ยนโยวเดาความคิดเขาออก จึงพูดขึ้นว่า “ที่บ้านก็มีเพียงข่าวใหญ่ข่าวเดียวแล้ว รอพี่เมิ่งเหรินได้ขึ้นรับตำแหน่งแล้ว ท่านแม่ก็จะมาหาเราที่จวนทุกวัน ถึงตอนนั้นเราก็ไม่ต้องไปหนานเฉิงอีกแล้ว”
“พรุ่งนี้รีบไปรีบกลับแล้วกัน ไม่นอนที่บ้านนะ” ท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวยื่นออกมาแล้ว คำพูดของหมอหลวงเจียงดังขึ้นในหัวหวงฝู่อี้เซวียนอีกครั้ง นอกจากรู้สึกยินดีด้วยแล้ว เขาก็รู้สึกเป็นกังวลด้วย ในจวนมียามากมายหลายชนิด หากเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอะไรไป ก็สามารถใช้ได้ทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวขานตอบว่า “ได้ พวกเรารีบไปรีบกลับ”
ไม่คิดว่าวันที่สองเมิ่งเชี่ยนโยวจะนอนตื่นสาย เมื่อนางลืมตาขึ้น ก็เห็นฟ้าข้างนอกที่สว่างจ้า นางจึงรู้ว่าสายมากแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ลุกขึ้น เรียกชิงหลวนเข้ามาถาม ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงอย่างที่คาดไว้
ชิงหลวนเทน้ำอุ่นให้นางแก้วหนึ่ง ส่งไปให้นาง “ซื่อจื่อเห็นว่าท่านหลับสบาย สั่งพวกข้าอย่ารบกวนท่าน เขาไปหนานเฉิงคนเดียวแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกนั่งขึ้น รับน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว แล้วส่งแก้วเปล่าคืนให้ชิงหลวน
“ซื่อจื่อทำข้าวต้มไว้ด้วยเจ้าค่ะ อุ่นไว้อยู่บนเตาในห้องครัว นายหญิงอยากทานตอนนี้หรือรอหลังเช็ดล้างหน้าเสร็จเจ้าคะ”
“ข้าหิวพอดี เจ้าไปยกมาเลย ข้าจะลุกจากเตียงเดี๋ยวนี้แหละ”
ชิงหลวนไม่ได้เดินออกไปอย่างเคย แต่กลับเรียกไปข้างนอกว่า “จูหลี เจ้าไปยกข้าวต้มในห้องครัวมาให้นายหญิงหน่อย”
จูหลีขานรับจากด้านนอก
ชิงหลวนส่งเสื้อผ้าตัวหนึ่งของเมิ่งเชี่ยนโยวที่แขวนอยู่ในห้องให้ “ซื่อจื่อสั่งไว้ตอนไปว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากเขาไม่อยู่ในจวน ให้พวกเราคอยรับใช้ท่านตอนตื่นนอนเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางโบกมือ รับเสื้อผ้ามาใส่ “ข้าไม่ได้เป็นคุณหนูขนาดนั้น เรื่องพวกนี้ข้าทำเองก็ได้ เจ้าไปนำอ่างใส่น้ำมาให้ข้าล้างหน้าหน่อย”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ คำสั่งของซื่อจื่อเราต้องทำตาม ไม่อย่างนั้นซื่อจื่อกลับมาข้ากับจูหลีต้องแย่แน่ๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวใส่เสื้อซับด้านในเสร็จแล้ว เปิดผ้าห่มออกลงจากเตียง ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะถามขึ้นว่า “พวกเจ้าเชื่อฟังคำสั่งเขา แล้วคำสั่งข้าล่ะ ไม่ฟังแล้วหรือ”
ชิงหลวนคลี่เสื้อนอกออก ส่งสัญญาณให้นางกางแขนออกและสอดแขนเข้าไป “ตอนนี้มีซื่อจื่อคอยหนุนหลัง หากท่านพูดไม่ถูกต้อง เราก็คงไม่ฟังจริงๆ นะเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกางแขนออกอย่างไม่มีทางเลือก ยิ้มแล้วด่าว่า “แม่ตัวดี อย่าลืมนะว่าเรื่องแต่งงานของเจ้ากับเหวินซงยังไม่ตกลงเลย หากเจ้าไม่ฟังข้า ข้าไม่ตกลงให้พวกเจ้าหมั้นหมายกันแน่”
ชิงหลวนไม่รู้สึกเกรงกลัว พูดพลางมัดเสื้อให้ว่า “ข้าอยากจะให้ท่านไม่จัดแจงหมั้นหมายจะแย่ หากเป็นเช่นนี้ข้าจะได้มีเหตุผลอยู่ดูแลข้างๆ ท่านไงเจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวสะอึก เงียบไปนาน
ชิงหลวนเม้มปากแอบยิ้ม หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าให้นางเสร็จแล้ว ก็เดินยิ้มออกไปข้างนอกเติมน้ำใส่อ่างเข้ามา
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวล้างทำความสะอาดหน้าและมือเสร็จ จูหลีก็ยกข้าวต้มและกับข้าวสองสามอย่างเข้ามา
เมื่อนางกินเสร็จ ชิงหลวนและจูหลีก็เก็บถ้วยชามไป จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็พาพวกนางไปเดินเล่นในสวนดอกไม้หลังเรือน
วันนี้หวงฝู่อวี้ยังคงไม่ได้ออกจากบ้านเช่นเคย เขาอยู่ในจวนเป็นเพื่อนหลินหันเยียน เมื่อเห็นว่าวันนี้อากาศดี จึงพานางออกมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้หลังเรือนเช่นกัน เสียงหัวเราะสดใสของหลินหันเยียนดังขึ้น ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรให้หลินหันเยียนฟังบ้าง
ฝีเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยวพลันหยุดชะงักลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็นำชิงหลวนและจูหลีเดินกลับไป
ชิงหลวนและจูหลีสบตากันครู่หนึ่ง ส่ายหัวขึ้นพร้อมกัน คุณชายรองไม่ได้ออกจากจวนไปหลายวันแล้ว การงานในร้านค้าของจวนก็ไม่ได้เข้าไปดูแลเลย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ซื่อจื่อเลย นายหญิงเองก็ไม่พอใจหรอก
ในสวนดอกไม้ หลินหันเยียนและหวงฝู่อวี้ได้ยินเสียงฝีเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงหันไปมองที่ทางเข้าของสวนดอกไม้พร้อมกัน แต่กลับไม่พบใคร
หลินหันเยียนขมวดคิ้วสงสัย “พี่อวี้ เมื่อครู่ข้าเหมือนได้ยินเสียงเท้าเลย มีใครมาหรือไม่เจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้มองกลับมาที่นางที่หน้าตาซูบเซียว พลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “น่าจะเป็นบ่าวรับใช้ในจวนที่เข้ามาทำความสะอาด แต่ได้ยินเสียงของเราก่อน ก็เลยถอยกลับไปน่ะ”
หลินหันเยียนหันไปมองทางเข้าสวนดอกไม้ที่ว่างเปล่าอีกครั้ง แล้วพยักหน้า “ร่างกายข้าดีขึ้นเยอะแล้ว วันนี้พี่พาข้าไปเข้าพบพระชายาเถอะ”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “หลายวันมานี้เสด็จแม่ดูแลแต่เจ้า สมควรไปขอบคุณเสียหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนทิศทาง อยากจะไปเดินเล่นในจวน แต่คิดไปคิดมาก็เปลี่ยนไปเรือนของพระชายาฉี
พระชายาฉีนั่งอยู่บนตั่งในห้องกำลังปักเย็บเสื้อผ้าให้เมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อได้ยินเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็วางมือจากงานทั้งหมดลง เดินยิ้มไปต้อนรับถึงประตู “เซวียนเอ๋อร์ล่ะ ไม่ได้มากับเจ้าหรือ”
“เขาไปหาท่านแม่ที่หนานเฉิงแล้วเจ้าค่ะ ข้านอนตื่นสาย เขาไม่ได้ปลุกข้า ข้าจึงมาหาเสด็จแม่เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
“ไปนั่งบนตั่งเถอะ แสงแดดกำลังดีเลย อาบแดดแล้วสบายตัวมาก”
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นด้ายและเข็มบนตั่ง ก็รู้ว่าพระชายาฉีกำลังถักเย็บเสื้อให้ตนอีกแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่ เสื้อผ้าข้าเยอะพอแล้ว ท่านอย่าทำอีกเลย สายตาจะเสียเอานะเจ้าคะ”
พระชายาฉีส่งสัญญาณให้หลิงหลงเก็บผ้าและเข็มด้ายลงไป “แม่ไม่มีอะไรทำน่ะ ก็เลยทำเสื้อผ้าสองสามตัวให้เจ้าเป็นการฆ่าเวลา รอลูกออกมาเมื่อไหร่ แม่คงไม่มีเวลามาดูแลเจ้าแล้วนะ”
พระชายาฉีเห็นตนเองเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตนจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจแต่อย่างใด จงใจพูดหยอกล้อว่า “เสด็จแม่มีหลานชายหลานสาวแล้ว ก็จะไม่เอาลูกสะใภ้อย่างข้าแล้วใช่ไหมเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีรู้ว่านางพูดหยอกเล่น ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ามีเซวียนเอ๋อร์รักอยู่ แม้ข้าอยากจะแย่งก็แย่งมาไม่ได้หรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง
พระชายาฉีกำลังจะเปลี่ยนเรื่องมาถามไถ่สุขภาพของนาง เสียงของหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นจากด้านนอก “เสด็จแม่อยู่ไหมขอรับ ร่างกายเยียนเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว จึงมาขอบคุณเสด็จแม่ขอรับ”
สีหน้ายิ้มแย้มของเมิ่งเชี่ยนโยวพลันหายไป
สีหน้าของพระชายาฉีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางนั่งนิ่งไม่ขยับ พูดเสียงดังว่า “หลิงหลง เชิญองค์ชายรองและคุณหนูหลินเข้ามา”
หลิงหลงขานรับ เปิดม่านประตู หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนเดินเรียงกันเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ ก็ยิ้มคารวะพระชายาฉีก่อนแล้วก็ยิ้มพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ระหว่างทางที่มาเยียนเอ๋อร์ยังพูดกับข้าอยู่เลยว่าวันไหนมีเวลาว่างจะเข้าไปขอบคุณท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบางๆ “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก สุขภาพคุณหนูหลินไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”
หลินหันเยียนถอนสายบัวให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดอ่อนโยนว่า “แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าไม่มียาที่ซื่อจื่อเฟยมอบให้ ข้าคงอยู่ได้ไม่ถึงทุกวันนี้ บุญคุณอันใหญ่หลวงของท่านนั้น หันเยียนไม่ลืมแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งนิ่ง ทำท่าประคองตัวเล็กน้อย “คุณหนูหลินเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญนั่งเถอะ”
หลังจากหลินหันเยียนกล่าวขอบคุณ ก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างสุภาพ
“สีหน้าคุณหนูหลินดีขึ้นมากเลย ร่างกายคงไม่เป็นอะไรมากแล้วใช่ไหม ไม่ทราบว่าเจ้าวางแผนอนาคตอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หลินหันเยียนชะงัก สีหน้าพลันซีดเผือด มือไม้อ่อนไปหมด
หวงฝู่อวี้เห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร รีบอธิบายว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เยียนเอ๋อร์…”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบตามอง หวงฝู่อวี้ใจหล่นวูบ คำพูดถูกกลืนกลับไปหมด
หลินหันเยียนกัดริมฝีปาก พูดอะไรไม่ออกสักคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีบร้อน รอฟังคำตอบจากนาง
พระชายาฉีรู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวดี รู้ว่านางไม่ถามสุ่มสี่สุ่มห้า จึงไม่ได้ช่วยพูดแก้สถานการณ์
ทั้งห้องเงียบสนิท บรรยากาศน่าอึดอัดยิ่งนัก
หลินหันเยียนแทบจะกัดริมฝีปากของตนจนแตก นัยน์ตาเหมือนจะร้องไห้ ผ่านไปนาน กว่าจะพูดออกเสียงสั่นเครือว่า “ข้ายังไม่รู้เจ้าค่ะ”
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเย็นชา พูดอย่างคมคายว่า “จะว่าไปคุณหนูหลินก็เป็นสตรีจากตระกูลชั้นสูง พูดจาหรือทำสิ่งใดไม่ควรลังเลและไม่มีความเด็ดขาดเช่นนี้ ร่างกายของเจ้าก็ดีขึ้นแล้ว ควรจะวางแผนสำหรับอนาคตบ้างแล้ว”
น้ำตาเม็ดโตของหลินหันเยียนไหลลงมา
หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าและเยียนเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว ข้าจะตบแต่งนางแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเขา ถามอย่างไม่เกรงใจว่า “แล้วอย่างไรต่อล่ะ”
หวงฝู่อวี้ชะงัก “แล้ว แล้วอะไรขอรับ”
“เจ้าลืมพระราชโองการของไทเฮาไปแล้วหรือ เจ้าตบแต่งคุณหนูหลินไม่ได้ ทำได้เพียงอุปถัมภ์นาง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตรงไปตรงมาอย่างไม่ไว้หน้า
สีเลือดฝาดบนใบหน้าของหลินหันเยียนหายไป หน้านางซีดเผือดเหมือนกระดาษสีขาว
หลายวันมานี้ หวงฝู่อวี้อยู่กับหลินหันเยียนตลอดเวลา คอยดูแลนาง ให้คำปรึกษานาง จนลืมพระราชโองการของไทเฮาไปนานแล้ว เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น เขาจึงนึกขึ้นได้ และลุกพรวดขึ้นมาทันที พูดเสียงดังว่า “เสด็จแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเยียนเอ๋อร์จะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ ข้าก็จะตบแต่งนางเพียงผู้เดียว”
“ช่างกล้าหาญยิ่งนัก!” เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วโป้งชื่นชมเขา
สีหน้าหวงฝู่อวี้แดงระเรื่อ ยิ้มแห้งๆ ให้สองสามที ครั้นกำลังจะปริปากพูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้นว่า “ข้าอยากจะถามว่าคุณชายรองมีวิธีอะไรมาสู้กับไทเฮาหรือ”
คำพูดของหวงฝู่อวี้จุกอยู่ในลำคอ
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขา รอฟังคำตอบจากเขาอย่างตั้งใจ
หวงฝู่อวี้กลืนน้ำลายลงไปสองสามอึก พูดติดอ่างว่า “ข้า ข้า ข้า…” พูดข้าอยู่นานแต่ก็ไม่มีคำพูดต่อจากนั้นออกมา
“หากอยากจะทำให้บรรลุเป้าหมาย เอาชนะไทเฮา ก็ต้องมีความสามารถพอที่จะเอาชนะท่านได้ ปากเอาแต่พูดไม่ได้หรอก ในเมื่อไทเฮาออกราชโองการแล้ว ต้องไม่อนุญาตให้เจ้ารับคุณหนูหลินเป็นภรรยาเพียงคนเดียวแน่ ข้าขอพูดอะไรตรงๆ สักคำนะ ไทเฮาอาจจะช่วยเจ้าหาเมียหลวงไว้แล้วก็ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ ผลที่ตามมาของการขัดราชโองการเจ้าเคยคิดถึงบ้างไหม”
หวงฝู่อวี้นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก ตอนนั้นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็พบเจอสิ่งกีดขวางมากมาย สุดท้ายก็แต่งงานกันจนได้ เขาจึงคิดว่าตัวเองก็ทำได้ แต่ตอนนี้เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ เขาก็เพิ่งสำเหนียกตัวว่าตนไม่ได้มีความสามารถที่จะเอาชนะไทเฮาได้เลย ไม่ว่าจะตำแหน่งเขาที่เป็นเพียงลูกอนุ หรือทรัพย์สินเงินทองที่เขาเองก็ไม่มี หากไม่ใช่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่ให้เขาดูแลงานการค้าขายในจวน เขาก็คงเป็นเพียงลูกเมียน้อยในจวนอ๋องที่ไร้ประโยชน์
หลินหันเยียนก้มหน้า น้ำตาเม็ดโตหยดลงบนเสื้อผ้า
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นเหนือศีรษะนาง “คุณหนูหลิน ที่ข้าพูดไปไม่ใช่จะแทงใจดำ แต่ข้าแค่พูดตามความจริง ตอนนี้สถานการณ์ที่พวกเจ้าประสบอยู่เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าแอบอยู่ในเรือนไม่ไปไหนแล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไป”
“ในฐานะที่ข้าและอี้เซวียนเป็นพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องบางเรื่องเราช่วยแบกรับได้ แต่บางเรื่องก็ไม่ได้ ก็เหมือนกับเรื่องของพวกเจ้า เราเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก พวกเจ้าต้องแก้ไขปัญหาทุกอย่างเอง หวังว่าคุณหนูหลินจะไม่โทษพวกเรา”
หลินหันเยียนเงยหน้าขึ้น ขยี้จมูกเบาๆ พูดสะอึกสะอื้นว่า “ข้ารู้เจ้าค่ะ แต่ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจริงๆ ข้า ข้า…” พูดไม่ทันจบ น้ำตาก็ไหลลงมาเป็นทาง
ในใจพระชายาฉีนั้นรู้สึกโชคดีมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้นางคิดว่านิสัยของหลินหันเยียนมีส่วนคล้ายตนเอง เป็นประเภทเจออะไรก็ไม่ย่อท้อ ค่อนข้างหัวแข็ง ดื้อดึง แต่บัดนี้เพิ่งรู้ว่านางเป็นเพียงเด็กน้อยที่ถูกตามใจจนเสียคน ไม่ได้เหมือนตัวเองแม้แต่นิดเดียว โชคดีที่ตอนนั้นเซวียนเอ๋อร์บอกให้ยกเลิกงานแต่งนี้ ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยอย่างนางเช่นนี้ ตัวเองคงไม่มีวันได้อยู่อย่างสุขสงบแน่
ตอนที่ 335 ยาชั้นดี
หลินหันเยียนเอาแต่ร้องไห้ ไม่พูดอะไร
หวงฝู่อวี้ปวดใจยิ่งนัก รู้สึกเสียใจที่มาขอบคุณพระชายาฉีวันนี้ หากรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะพูดแบบนี้ต่อหน้า ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่พาเยียนเอ๋อร์มาหรอก แม้เขาจะรู้ว่าที่นางพูดไปก็พูดด้วยความหวังดีทั้งนั้น แต่ร่างกายเยียนเอ๋อร์ก็เพิ่งหายดี อารมณ์ก็เพิ่งสงบลงได้ เขาไม่อยากให้เยียนเอ๋อร์ถูกระทบกระเทือนอีกแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ลุกขึ้น คารวะพระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยว “เสด็จแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ ร่างกายเยียนเอ๋อร์ยังไม่ฟื้นฟูดี เราขอกลับก่อนนะขอรับ เมื่อข้ามีเวลาจะไปหาพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวคอยสังเกตพวกเขาตลอดเวลา จดจำสีหน้าพวกเขาไว้ รู้ว่าหวงฝู่อวี้รู้สึกปวดใจ อยากจะปกป้องหลินหันเยียน นางจึงพูดเพียงเท่านี้ ส่วนต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่พวกเขาสองคนแล้วว่าจะทำอย่างไร นางจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
พระชายาฉีเริ่มไม่พอใจ น้ำเสียงไม่ได้อ่อนโยนอย่างเมื่อครู่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าประคองคุณหนูหลินกลับไปพักผ่อนเถอะ ต่อไปก็ไม่ต้องมาแล้วล่ะ”
หวงฝู่อวี้ชะงัก
หลินหันเยียนเงยหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มองพระชายาฉีอย่างไม่เชื่อสายตา
พระชายาฉีพูดจบ ไม่แม้แต่จะดูปฏิกิริยาของทั้งสอง สั่งหลิงหลงว่า “ส่งคุณชายรองและคุณหนูหลินออกไปเถอะ”
หลิงหลงก็สัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองของพระชายาฉี นางขานตอบและเดินขึ้นไปข้างหน้า ผายมือเชิญทั้งสองออกไป “คุณชายรอง คุณหนูหลิน บ่าวจะส่งพวกท่านออกไปเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้เรียกสติกลับคืนมา ปริปากอยากจะพูดอะไร แต่เห็นพระชายาฉีไม่สนใจพวกเขา ก็เหลือบมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว คำพูดก็ถูกกลืนกลับไปหมด เขาจึงประคองหลินหันเยียนที่นิ่งอึ้งอยู่ คารวะทีหนึ่งแล้วเดินจากไป
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของทั้งสองออกจากเรือนไป เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยิ้มพูดว่า “เสด็จแม่ อวี้เอ๋อร์ยังเด็ก อย่าถือสาเอาความมากเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพูดเกลี้ยกล่อม
พระชายาฉีถอนหายใจ โบกมือ ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ “ไม่พูดเรื่องพวกเขาแล้ว ถามเรื่องของเจ้าหน่อย ช่วงนี้ร่างกายเจ้ามีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ สุขภาพข้าดีมาก เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“จะให้ข้าไม่เป็นห่วงได้อย่างไร ตอนนั้นท้องเจ้าได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ก็ตั้งท้องแฝดอีก ไม่รู้ว่าร่างกายเจ้าจะรับไหวหรือเปล่า”
“ข้ารู้ร่างกายตัวเองดี ตอนนี้แข็งแรงจะตายไป ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ดูแลสุขภาพของท่านให้ดี รอดูหลานชายของท่านเถอะ”
“ข้าไม่เอาหลานชายหรอกนะ วุ่นวายจะตายไป หลานสาวดีกว่า รู้จักเอาใจใส่ หากได้หลานสาวทั้งสองคน ไม่เพียงแต่ลูกทั้งสองของเจ้าที่แม่จะตามใจ แต่จะคอยตามใจเจ้าด้วย” เมื่อพูดจบก็รู้สึกไม่ถูกต้อง ขมวดคิ้ว “ช่างเถอะ ถ้าได้เป็นหลานสาวสองคน ก็ต้องคลอดอีก แม่ยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง เจ้าคลอดชายหนึ่งหญิงหนึ่งดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะจนดวงตากลมโตเป็นเส้นเดียว “เสด็จแม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้ากำหนดได้นะ ท่านทำข้าลำบากใจเสียแล้ว”
พระชายาฉีก็หัวเราะ ความขุ่นเคืองเมื่อครู่ก็หายไป ยิ้มพูดว่า “แม่ก็แค่พูดไปเช่นนั้น ไม่ว่าเจ้าคลอดได้หญิงหรือชาย ก็เป็นหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทั้งนั้นแหละ”
ทั้งสองคุยเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่กลับมา พระชายาฉีจึงสั่งหลิงหลงไปห้องครัวเฝ้าคนทำซุปรังนกให้เมิ่งเชี่ยนโยวดื่ม
พ่อบ้านเดินเข้ามาในเรือน รายงานว่า “พระชายาฉี ซื่อจื่อเฟย ข้างนอกมีผู้เฒ่าคนหนึ่งและสามีภรรยาคู่หนึ่งพาลูกมาด้วย บอกว่าแซ่ฮั่ว มาขอบคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ”
น่าจะเป็นนายท่านฮั่วและสองสามีภรรยาฮั่วเซียงหลิง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วสั่งว่า “ไปบอกพวกเขาว่าเราไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว ตอนนั้นที่นายท่านฮั่วช่วยคนในสำนักคุ้มภัยว้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนพวกเขาแล้วกัน และขอให้พวกเขาจงทำดีต่อไป”
ผู้ดูแลบ้านขานรับ เดินออกไปแจ้งสารต่อ สักพักก็กลับเข้ามา “ซื่อจื่อเฟย ผู้เฒ่าคนนั้นบอกว่านอกจากมาขอบคุณแล้ว ยังนำสมุนไพรที่ช่วยฟื้นคืนชีพมาให้ท่านด้วย”
ไม่ทันรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ พระชายาฉีก็รีบสั่งว่า “รีบไปเชิญพวกเขาไปที่เรือนรับรอง ซื่อจื่อเฟยจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ผู้ดูแลบ้านขานรับอีกครั้ง แล้วรีบเดินออกไป
พระชายาฉีเร่งเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ ยังนั่งอยู่ทำไม รีบไปสิ หากเป็นสมุนไพรคืนชีพจริง ต้องใช้เงินเท่าไหร่พวกเราก็ยอมจ่าย”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนกลัวว่าตนจะเป็นอะไรไปตอนคลอดลูก นางจึงไม่ดึงดันบอกว่าไม่เอา นางลุกขึ้นยืน ยิ้มพูดว่า “เสด็จแม่ ใจเย็นๆ นะเจ้าคะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
“ชิงหลวน จูหลี ดูแลนายหญิงของพวกเจ้าให้ดี” โอกาสแบบนี้พระชายาฉีไม่เหมาะสมที่จะไปด้วย จึงสั่งทั้งสองคนเสียงดัง
ชิงหลวนและจูหลีเดินเข้ามา คอยประกบตามอยู่ด้านซ้ายและขวาของนางจนมาถึงเรือนรับรอง
นายท่านฮั่วและสองสามีภรรยาฮั่วเซียงหลิงยืนรออยู่หน้าเรือนรับรอง เมื่อได้ยินเสียง ก็หันหลังกลับ เห็นว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบคารวะทันที “ข้าน้อยขอคารวะซื่อจื่อเฟยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำท่าประคอง “นายท่านฮั่ว ที่นี่คนกันเองทั้งนั้น มารยาทพวกนี้ก็ละไว้เถอะ”
นายท่านฮั่วกล่าวขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินผ่านไป นั่งลงบนเก้าอี้ ยิ้มพลางผายมือออกพูดว่า “ทุกท่าน เชิญนั่งเถอะ”
นายท่านฮั่วโค้งตัวคำนับ “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยขอยืนขอรับ”
“นายท่านฮั่ว ก่อนหน้านี้เราเคยไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว ถือว่าเป็นคนสนิทกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก เชิญนั่งเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเชิญอีกครั้ง หากตนไม่นั่งลงอีก ก็ไม่รู้จักกาลเทศะแล้ว หลังจากนายท่านฮั่วกล่าวขอบคุณแล้ว ก็นั่งลงบนเก้าอี้
สามีภรรยาฮั่วเซียงหลิงที่อุ้มลูกอยู่ก็นั่งลง
“วันนี้ข้าน้อยมาขอบคุณซื่อจื่อเฟยที่ช่วยเหลือลูกเขยของข้าน้อย มีคำสั่งแต่งตั้งลูกเขยส่งมาแล้ว เขาได้เข้าทำงานในสำนักราชบัณฑิต ข้าน้อยรู้ว่าในนี้มีคุณงามความดีของซื่อจื่อเฟย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มพูดว่า “เรื่องนี้เป็นคุณงามความดีของข้าและซื่อจื่อจริง ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนที่ตอนนั้นท่านช่วยชีวิตของสำนักคุ้มภัยไว้แล้วกัน แม้สำนักราชบัณฑิตจะเป็นที่ทำการปกครองของเขตชิงสุ่ย เป็นที่ที่ข้าราชบริพารต่างพากันประจบสอพลอ หวังว่าลูกเขยของท่านจะไม่หลงระเริง จนทำเรื่องที่ไม่ควรทำ โปรดจำไว้ว่าตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ไท่จื่อประทานให้นะ”
เพียงประโยคเดียวมีความหมายสองอย่าง นอกจากเป็นการเตือนสองสามีภรรยาอย่าทุจริตและติดสินบนแล้ว ยังเป็นการบอกเป็นนัยว่า ไท่จื่อรู้ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าแล้ว ขอแค่เจ้าตั้งใจทำ เมื่อไท่จื่อรับตำแหน่งเป็นฮ่องเต้แล้ว เจ้าย่อมได้รับใช้ในตำแหน่งที่สูงขึ้น
นายท่านฮั่วสามารถขยับขยายกิจการที่บ้านได้ใหญ่โตขนาดนี้ จึงเป็นคนฉลาดทันคนเป็นธรรมดา จะไม่รู้ความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยวได้อย่างไร เขารีบลุกขึ้นยืน คุกเข่าต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง ลำตัวสั่นเล็กน้อยพร้อมก้มศีรษะติดพื้นพูดว่า “ขอบคุณซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยขอรับ”
ฮั่วเซียงหลิงและสามีของเขารู้สึกช้าไป เมื่อคิดได้อีกทีก็รีบคุกเข่าและก้มศีรษะติดพื้นอย่างดีใจ “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ/เจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถอะ”
ทุกคนกล่าวขอบคุณ นั่งกลับบนเก้าอี้อย่างมีความสุข
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้มอ่อนโยน โบกมือให้เด็กน้อย “มานี่สิ!”
เด็กน้อยเงยหน้ามองฮั่วเซียงหลิง ใช้สายตาถามนางว่าไปได้ไหม
ฮั่วเซียงหลิงพยักหน้า “ไปเถอะ เชื่อฟังนะ อย่าชนโดนซื่อจื่อเฟยล่ะ”
เด็กน้อยพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ ก้าวเท้าน้อยๆ ของตนที่ส่ายไปมาอย่างไม่มั่นคงเดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าอุ้มเขา นางยิ้มพลางโค้งตัวลง หยอกเล่นเขาอยู่ครู่หนึ่ง เด็กน้อยก็ไม่กลัวคน พูดทำเสียงอ้อแอ้เล่นด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจมาก จับมือน้อยๆ ที่นุ่มนิ่มของเขา สั่งว่า “ชิงหลวน ข้าจำได้ว่าในห้องคลังมีกำไลข้อมือของเด็กอยู่ เจ้าไปเอามาหน่อยสิ”
ชิงหลวนขานรับ ไปห้องคลัง ผ่านไปครู่หนึ่งก็นำกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งกลับมา ส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดกล่อง ข้างในมีกำไลเล็กๆ สองอันประกายแสงวิบวับอยู่ นางนำกล่องวางลงบนโต๊ะ หยิบออกมาอันหนึ่ง กำลังจะสวมให้เด็กน้อย
นายท่านฮั่วรีบห้าม “ซื่อจื่อเฟย ไม่ได้นะขอรับ สิ่งของนี้ล้ำค่าเกินไป”
ฮั่วเซียงหลิงตกใจ
เด็กน้อยมองนิ่ง
“สิ่งนี้ข้าซื้อตอนเดินดูของประดับเล่น ข้าเห็นสวยดี จึงซื้อมา ไม่ได้แพงมากและก็ไม่ได้มีค่าอะไรด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดพลางสวมกำไลให้เด็กน้อย
เด็กน้อยชอบมาก หันหลันกลับวิ่งไปหาฮั่วเซียงหลิง ยื่นมือน้อยๆ ของตนออกไป อวดให้นางดู “ท่านแม่ สวยจังเลย”
ในเมื่อซื่อจื่อเฟยเป็นคนสวมให้เองแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถถอดออกส่งคืนกลับไปได้ นายท่านฮั่วและสองสามีภรรยาฮั่วเซียงหลิงจึงได้แต่กล่าวขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ
นายท่านฮั่วโบกมือ บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็นำกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งเข้ามา
นายท่านฮั่วรับมา และโบกมือให้บ่าวรับใช้ถอยลงไป มือหนึ่งยกกล่องไว้ อีกมือเปิดกล่องออก ดอกบัวสีแดงสดดอกหนึ่งวางอยู่ข้างใน
ชิงหลวนและจูหลีเกือบจะร้องออกเสียง
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา
นายท่านฮั่วพูดแนะนำ “นี่คือดอกบัวสีเลือด ตำนานเล่าขานกันว่ามีฤทธิ์ช่วยสมานแผล และฟื้นคืนชีพได้ เมื่อสิบปีก่อน ข้าขึ้นเขาทางเหนือเพื่อไปเก็บสมุนไพรและวัตถุดิบ บังเอิญเก็บได้ วันนี้ขอมอบให้ซื่อจื่อเฟย เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยลูกเขยข้า”
เสียงของชิงหลวนเต็มไปด้วยความดีใจ “นายหญิง!” พวกนางเคยได้ยินชื่อของดอกบัวสีเลือด ร้อยปีถึงจะมีหนึ่งต้น เล่ากันว่าไม่ว่าใครบาดเจ็บสาหัสเพียงใด ขอเพียงยังมีลมหายใจเฮือกสุดท้าย เมื่อทานดอกบัวสีเลือดเข้าไปแล้วจะกลับเป็นปกติทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินความตื่นเต้นดีใจของชิงหลวน นางรู้ว่าดอกบัวสีเลือดอาจจะมีประโยชน์เช่นนั้นจริง สีหน้านางเหมือนเดิม ยิ้มและโบกมือปฏิเสธ “นายท่านฮั่ว ดอกบัวสีเลือดนั้นหายากและแพงเกินไป ข้ารับไว้มิได้หรอก ท่านนำกลับไปเถอะ”
นายท่านฮั่วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นกล่องไปข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ดอกบัวสีเลือดนี่ หากเป็นคนอื่น แม้จะนำทรัพย์สินเงินทองนับสิบล้านมาแลก ข้าก็ไม่ให้หรอก แต่ตอนนี้ข้าขอมอบให้ท่านจากใจจริง หนึ่งคือเพื่อขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือลูกเขยข้า สองคือเพื่อขอบคุณที่ท่านเมตตาใจกว้าง หลังจากที่ลูกสาวข้าทำผิดแล้วยังอภัยให้พวกเราทั้งบ้าน”
“นายท่านฮั่วพูดเกินไปแล้วล่ะ คุณหนูฮั่วไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับพวกเราอยู่แล้ว ท่านมิต้องเก็บมาคิดมากหรอก”
“ความผิดพลาดของลูกสาวข้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรอภัย นอกจากซื่อจื่อเฟยจะไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเอาความกับเราแล้ว ยังโปรดเมตตาช่วยเหลือลูกเขยข้าเข้าสำนักราชบัณฑิตอีก บุญคุณนี้ข้าน้อยตายไปก็ไม่ลืม ท้องของซื่อจื่อเฟยเคยได้รับบาดเจ็บ ได้ยินว่าตอนนี้ยังตั้งครรภ์ลูกแฝดอีก เมื่อท่านคลอด ดอกบัวสีเลือดนี้อาจจะช่วยท่านได้นะขอรับ ขอท่านรับไว้เถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่อยากรับไว้
ชิงหลวนและจูหลีร้อนรนจนทนไม่ไหว ขยิบตาให้เมิ่งเชี่ยนโยวตลอดเวลา
นายท่านฮั่วจึงคุกเข่ากอดกล่องลงพื้น พูดจาขู่เข็ญว่า “หากซื่อจื่อเฟยไม่รับดอกบัวสีเลือดนี้ไว้ ข้าจะคุกเข่าไม่ลุกไปไหนขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งแต่ไหนมา นางเพิ่งเคยเจอคนบังคับให้ตนรับของขวัญไว้แบบนี้
สองสามีภรรยาฮั่วเซียงหลิงสบตากันครู่หนึ่ง คุกเข่าลงบนพื้น พูดพร้อมกันว่า “ซื่อจื่อเฟยโปรดรับไว้เถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่พยักหน้า “ได้ ข้ารับดอกบัวสีเลือดไว้แล้วกัน แต่ของขวัญนี้ล้ำค่าเกินไป ข้าจะรับไว้อย่างเดียวไม่ได้ เอาอย่างนี้ ข้าสัญญากับพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง” พูดถึงตรงนี้ ก็ชี้ไปที่เด็กน้อยพูดขึ้นว่า “เมื่อเขาถึงอายุเข้าเรียน ข้าและซื่อจื่อจะส่งเขาเข้ากั๋วจื่อเจี้ยน”
นายท่านฮั่วไม่คิดว่าจะได้รับการตอบแทนอันใหญ่หลวงเช่นนี้ ทั้งสามจึงตื่นเต้นและดีใจมาก รีบกล่าวขอบคุณทันที “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ”
ชิงหลวนเดินไป รับกล่องในมือของนายท่านฮั่วมาอย่างดีใจ กอดกล่องไว้อย่างแนบแน่น
เมื่อส่งของขวัญถึงมือแล้ว และยังได้รับของตอบแทนที่คาดไม่ถึงเช่นนี้อีก ทั้งสามคนก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาลุกขึ้นยืน กล่าวลาไปอย่างดีอกดีใจ แม้แต่ชาสักคำก็ไม่ได้จิบ
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งผู้ดูแลบ้านส่งทั้งสามจากไปแล้ว ก็กลับเรือนของตัวเองไป
ชิงหลวนกอดกล่องไว้เดินตามหลังไปอย่างตื่นเต้น เมื่อกลับถึงห้อง ก็รีบเปิดกล่องอีกครั้งอย่างอดใจไม่ไหว มองตาไม่กะพริบไปที่ดอกบัวสีเลือด
สีหน้าของจูหลีก็ไม่ได้ต่างไปจากนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายศีรษะ ในสมัยปัจจุบันนั้น นางไม่เคยได้ยินชื่อดอกบัวสีเลือดเลยด้วยซ้ำ มันอาจจะช่วยรักษาโรคได้ แต่…สิ่งที่นายท่านฮั่วพูดนั้นก็เกินจริงไปเสียหน่อย
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าห้อง ภาพเบื้องหน้าที่ชิงหลวนและจูหลีกำลังล้อมดูกล่องที่อยู่บนโต๊ะ และวิจารณ์กันอย่างตื่นเต้น ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยิ้มมองดูพวกเขาก็ปรากฎต่อหน้าเขา
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขา ก็ลุกขึ้นแล้วยิ้มถาม
ชิงหลวนและจูหลีรีบปิดกล่องลงทันที หลังจากคารวะแล้วก็ถอยออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองกล่องที่อยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ของในจวนของตน ก็ถามขึ้นว่า “ข้างในนี้คืออะไรหรือ”
“นายท่านฮั่วให้มาน่ะ บอกว่าเป็นดอกบัวสีเลือด ช่วยฟื้นจากความ…”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รอนางพูดจบก็รีบเปิดกล่องออกทันที เมื่อเห็นว่าข้างในคือดอกบัวสีเลือด น้ำเสียงของเขาก็เผยความตื่นเต้น “โจวอัน ไปเรียกหมอหลวงเจียงมา”
ตอนที่ 336 สละร่างเพื่อพิสูจน์ยา
หมอหลวงเจียงผู้อาวุโสและเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงนั้น ก็ถูกโจวอันหิ้วมาจวนอ๋องภายใต้สายตาที่ทั้งสงสารและอิจฉาของหมอหลวงในสำนักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาชินกับวิธีเช่นนี้แล้ว จึงไม่ได้วินวอนและดิ้นรนอีก เขาผ่อนคลายร่างกายตน ปล่อยให้โจวอันหิ้วเขามา เขาหลับตาตลอดทางพลางคิดแผนการว่าหากเจอซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยแล้ว ตนจะขอแลกผลประโยชน์อะไรได้บ้าง
เมื่อเท้าทั้งสองข้างของตนได้แตะพื้นดั่งเหยียบบนปุยนุ่นแล้ว เขาก็ส่ายศีรษะของตนที่วิงเวียนอยู่พักหนึ่ง จนตนเองสามารถยืนอย่างมั่นคงแล้ว ก็พูดแนะนำด้วยความ ‘หวังดี’ ว่า “ท่านจอมยุทธ์ ครั้งหน้ายังเร็วได้อีกนะ แขนขาของข้ายังรับไหว”
โจวอันนำกล่องยาที่อยู่ในมืออีกข้างของตนเองคืนให้เขาอย่างไร้สีหน้า ทำมือผายออกเพื่อเชิญเขา
หมอหลวงเจียงรับกล่องยามา สะพายเสร็จก็จะพูดอะไรขึ้นอีก “ท่านจอมยุทธ์…”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียงของเขาในห้องตั้งนานแล้ว พูดตำหนิด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ยังไม่รีบไสหัวเข้ามาอีก หรือจะให้ข้าหิ้วเจ้าเข้ามาเอง”
หากซื่อจื่อหิ้วคนเข้ามาด้วยตนเอง ร่างกายอายุปูนนี้ของตนคงใช้การไม่ได้อีก ร่างหมอหลวงเจียงสั่นระริกไปทั้งตัว เขารีบขานรับเสียงสูงว่า “มาแล้ว มาแล้วขอรับ ข้าจะไสหัวเข้าไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เมื่อพูดจบ เขาก็สาวเท้าเข้าไปในห้องทันที
เขาเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยิ้มมองมาที่เขาอยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง หมอหลวงเจียงชะงัก จนลืมคารวะ ถามอย่างลองเชิงว่า “ซื่อจื่อเฟย ท่านไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร เสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนกลับดังขึ้นข้างหูเขา “ซื่อจื่อเฟยไม่ได้ไม่สบายตรงไหน”
หมอหลวงเจียงตกใจจนขาสั่นระริก “ซื่อจื่อ ท่าน ท่านไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนหน้าบึ้งตึงทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา
หมอหลวงเจียงงงไปหมด ยืนนิ่งอยู่กับที่
หวงฝู่อี้เซวียนชี้ไปที่กล่องด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้ามาดูนี่สิ นี่ของจริงหรือเปล่า”
หมอหลวงเจียงปิดปากแน่น ไม่กล้าพูดอะไรอีก เดินไปที่โต๊ะอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาเปิดกล่องออกอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นของในกล่อง ดวงตาก็เบิกโตทันที “ซื่อ ซื่อ ซื่อ ซื่อจื่อ นี่ นี่ นี่ นี่…”
“พูดภาษาคน!” หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว พูดตำหนิอย่างหงุดหงิด
“ซื่อจื่อ นี่คือดอกบัวสีเลือด ดอกบัวสีเลือดเชียวนะขอรับ” หมอหลวงเจียงแก้ลิ้นที่พันกันออก สีหน้าตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก มือทั้งสองข้างก็สั่นระริกด้วยความดีใจ
มือทั้งสองข้างที่กอดอกอยู่ข้างหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็สั่นอย่างอดไม่ได้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย พยายามพูดเสียงปกติ สั่งว่า “เจ้าดูดีๆ ซิ ดอกบัวสีเลือดนี่ของจริงหรือปลอมกันแน่”
สีหน้าตื่นเต้นของหมอหลวงเจียงหายไป แล้วแสดงความลำบากใจ “ซื่อจื่อ พูดตามตรงขอรับ ข้าเองเข้าสำนักหมอหลวงมาหลายปี ก็ยังไม่เคยเจอดอกบัวสีเลือดของจริง ข้าแค่เคยอ่านเจอบันทึกของมันในตำราโบราณ ข้าไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นของจริงหรือปลอมขอรับ”
สีหน้าตื่นเต้นของหวงฝู่อี้เซวียนหดหายไปเล็กน้อย เขาเม้มปากไม่ได้พูดอะไร
หมอหลวงเจียงแอบเหลือบมองสีหน้าเขา พูดลองเชิงว่า “แต่ว่า ข้าได้ยินว่าดอกบัวสีเลือดช่วยสมานแผล และรักษาคนให้ฟื้นจากความตายได้ หากอยากรู้ว่าเป็นของจริงหรือปลอม เราทดลองดูก็ได้ขอรับ”
“ทดลองอย่างไร”
หมอหลวงเจียงเสนอแนะ “เรื่องนี้ไม่ยาก หาคนบาดเจ็บมาคนหนึ่ง เด็ดดอกบัวสีเลือดออกมาเล็กน้อย นำไปตุ๋น แล้วให้เขาทานลงไป จากนั้นก็รอดูว่ามีประโยชน์อย่างที่เขาว่าหรือไม่ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งนะ”
ก่อนหน้านี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นด้วยเลย แต่เมื่อเห็นทั้งสองสนทนากันอย่างออกรส ก็เริ่มรู้สึกสนใจ นางอยากรู้ว่าดอกบัวสีเลือดนี้มีประสิทธิภาพเช่นนั้นจริงหรือเปล่า จึงยิ้มพูดขึ้นว่า “บัดนี้บ้านเมืองสงบสุข จะหาคนบาดเจ็บมานั้นไม่ง่ายเลยเจ้าค่ะ ลองหาสัตว์มาทดลองแทนดูไหม หากเป็นของจริง แน่นอนว่าก็จะไม่เป็นอะไร แต่หากเป็นของปลอม ก็ไม่ต้องฆ่าชีวิตคนตายด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าจะนำดอกบัวสีเลือดพันปีมาทดลองกับสัตว์ หมอหลวงเจียงก็รู้สึกเสียดายนัก แม้เขาจะไม่เคยเจอดอกบัวสีเลือด แต่สีและลักษณะก็เหมือนกับที่บรรยายไว้ในตำราโบราณ เขาจึงมั่นใจเกือบเต็มร้อยแล้วว่านี่คือดอกบัวสีเลือดของจริง แต่เนื่องจากเขาอยู่ในวังมาหลายปี จึงติดนิสัยละเอียดรอบคอบ ทำให้เขาไม่กล้าให้คำรับรองง่ายๆ จึงเสนอให้หาคนมาทดลอง
เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อี้เซวียนกำลังจะเอ่ยปากตอบตกลง หมอหลวงเจียงก็รีบพูดห้ามเขา “ซื่อจื่อ มิได้ขอรับ แม้การใช้สัตว์มาทดลองจะไม่ทำลายชีวิตคน แต่สัตว์ไม่มีปาก พูดไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร หากมนุษย์ดื่มเข้าไปแล้วเจอผลข้างเคียงจะแย่เอานะขอรับ ข้าคิดว่าหาคนมาทดลองจะเหมาะสมกว่านะขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ก็มีเหตุผลนะ เจ้ารอสักครู่ ข้าจะสั่งโจวอันไปหาคนมาเดี๋ยวนี้”
หมอหลวงเจียงรีบพูดห้าม “ไม่ต้องไปหาหรอกขอรับ หากซื่อจื่อไม่มีความเห็นอะไร ข้าขอเป็นคนทดลองเอง” พูดจบก็ถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้น “ซื่อจื่อสั่งคนกรีดแขนข้าได้เลยขอรับ”
หมอหลวงเจียงอายุห้าสิบกว่าแล้ว ผมก็ขาวหมดแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะได้เกษียณตนเองกลับไปอยู่บ้านเกิดแล้ว หากให้เขาเป็นคนทดลอง แล้วดอกบัวสีเลือดเป็นของปลอม ก็เท่ากับทำลายชีวิตเขาที่เหลืออยู่เลย เพราะเมื่อโจวอันลงดาบ คงได้เห็นถึงกระดูกเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ได้ มือของหมอหลวงเจียงใช้เพื่อจับชีพจรดูแลคนชนชั้นสูงในวัง หากเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นมา เท่ากับว่าเราทำลายชีวิตท่านเลยนะ”
เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวคัดค้าน หมอหลวงเจียงกลับเริ่มร้อนรน “ไม่เป็นไรขอรับ หากเกิดอะไรขึ้น ข้าก็แค่เกษียณตัวเองกลับไปอยู่บ้านเกิดล่วงหน้า ซื่อจื่อเฟยอย่าปฏิเสธอีกเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขายืนหยัดเช่นนี้ก็หันไปมองหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว มองหมอหลวงเจียงแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ “หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เรื่องเกษียณตนเองกลับบ้านเกิด ข้าจะเป็นคนจัดแจงให้เรียบร้อยเอง”
หมอหลวงเจียงสงบลง ใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นกังวลเลย ก็รู้สึกแปลกใจ จึงตั้งใจสังเกตเขาอยู่พักหนึ่ง
หมอหลวงเจียงรู้สึกตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็รีบเก็บสีหน้าตน “ซื่อจื่อ เราเริ่มกันเถอะขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนละสายตาที่คอยสังเกตเขา ลุกขึ้นยืน เด็ดดอกบัวสีเลือดหนึ่งกลีบออกมาด้วยตนเอง เรียกชิงหลวนเข้ามา “เจ้าไปเฝ้าคนในครัวตุ๋นยาจนเสร็จแล้วยกมา”
ชิงหลวนขานรับ ไปที่ห้องครัว หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางก็ยกซุปยาสีแดงเลือดถ้วยเล็กถ้วยหนึ่งกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวทำใจไม่ได้ จึงถามขึ้นอีกครั้ง
“ซื่อจื่อเฟย ข้าน้อยเป็นหมอ จะได้สัมผัสผลของดอกบัวสีเลือดด้วยตนเอง ได้โปรดให้ข้าน้อยสมความปรารถนาเถอะขอรับ” หมอหลวงเจียงขอร้อง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ลังเลอีก เรียกโจวอันเข้ามา สั่งให้เข้ากรีดแขนของหมอหลวงเจียง
โจวอันชะงักเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้หมอหลวงเจียงทำอะไรลงไปจนถูกนายท่านของตนลงโทษรุนแรงเช่นนี้ แต่เขาจะขัดขืนคำสั่งของนายท่านไม่ได้ เขาจับมือหมอหลวงเจียงขึ้นมา พูดว่า “ขออภัยขอรับ” แล้วมีดเล่มเล็กในมือก็กรีดลงไปบนแขนของหมอหลวงเจียง
หมอหลวงเจียงเจ็บจนเนื้อตัวสั่นเทา เหงื่อไหลท่วมทั้งตัวจนซึมไปทั่วแผ่นหลัง หวงฝู่อี้เซวียนส่งยาให้เขาด้วยตนเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็แอบถือโอกาสตอนที่ชิงหลวนไปตุ๋นยา นำยาห้ามเลือดมาขวดหนึ่ง กำไว้ในมือ เดินไปข้างหมอหลวงเจียง เผื่อเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น
หมอหลวงเจียงรับยาด้วยมือที่สั่นเทา และดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว จากนั้นก็วางถ้วยยาลงบนโต๊ะ ดวงตาจ้องมองแผลของตนเอง
ทันใดนั้น ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ไม่เพียงเลือดที่หยุดไหลเท่านั้น แต่เนื้อหนังที่ถูกกรีดออกก็ค่อยๆสมานกลับมาด้วย จนสุดท้ายเหลือเพียงรอยมีดตื้นๆ ที่แสดงให้เห็นว่าหมอหลวงเจียงถูกมีดกรีดจริงๆ
หมอหลวงเจียงดีใจยิ่งนัก ตื่นเต้นจนหนวดเคราชันขึ้นมา เขายกแขนที่ยังมีรอยมีดกรีดตื้นๆ ขึ้น น้ำเสียงดีใจก็เปลี่ยนไป “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย เป็นของจริงขอรับ ดอกบัวสีเลือดนี่เป็นของจริง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าจะมีผลลัพธ์ราวปาฏิหาริย์เช่นนี้ ในใจก็ตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก อารมณ์ที่สงบเมื่อครู่นี้ก็อดไม่ได้ที่จะโบยบินอย่างมีความสุข
หวงฝู่อี้เซวียนกลับสงบนิ่ง ใบหน้ายังคงไร้สีหน้าใดๆ แต่มือทั้งสองข้างที่สั่นระริกไพล่อยู่ข้างหลังนั้น กลับเผยให้เห็นว่าเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ผ่านไปนาน หวงฝู่อี้เซวียนจึงพูดเบาๆ ว่า อืม ยื่นมือออกไปปิดกล่องลง มองไปที่หมอหลวงเจียง สั่งกำชับเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องวันนี้ห้ามบอกใคร”
หมอหลวงเจียงพยักหน้าหงึกๆ ดอกบัวสีเลือดพบได้ยากในรอบพันปี เป็นสิ่งของที่ผู้คนมากมายอยากจะครอบครอง อย่าว่าแต่ชนชั้นผู้น้อยแลย แม้แต่คนที่มีตำแหน่งสูงก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา เขารู้ดีว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั้นร้ายแรงขนาดไหน อย่างไรเสียเขาจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนกลับไปเป็นปกติ ถามขึ้นว่า “เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
หมอหลวงเจียงส่ายหน้า ตอบตามจริงว่า “ไม่มีขอรับ ข้ากลับรู้สึกเลือดไหลเวียนดีขึ้น เหมือนร่างกายกลับเป็นเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว กระปรี้กระเปร่ามากขอรับ” พูดจบ ก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อขอรับ ข้ามีข้อเสนอแนะหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
“ว่ามา”
“เมื่อถึงคราซื่อจื่อเฟยคลอดลูก ซื่อจื่อให้คนตุ๋นยาดอกบัวสีเลือดมาให้ซื่อจื่อเฟยดื่มก่อนหนึ่งถ้วย น่าจะช่วยให้ทรมานน้อยลงนะขอรับ”
ช่วงนี้หวงฝู่อี้เซวียนมีเวลาว่างไม่ได้ทำอะไร จึงถือโอกาสศึกษาการแพทย์ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับ เขาจึงรู้ว่าผู้หญิงเวลาคลอดลูกนั้นเจ็บปวดทรมานเพียงใด หากดอกบัวสีเลือดมีประโยชน์เช่นนี้ คำเสนอแนะของหมอหลวงเจียงก็นำมาใช้ได้ เขาจึงพยักหน้า “ขอบใจ”
หมอหลวงเจียงรู้สึกประหลาดใจและตื้นตันใจพร้อมกัน หากอยากได้ยินคำขอบคุณจากปากของเหล่าคนเชื้อสายราชวงศ์ที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์นั้น ยากเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา แต่วันนี้ตนแค่เสนอข้อเสนอแนะเล็กๆ น้อยๆ ให้ แล้วได้รับคำขอบคุณจากซื่อจื่อ จะให้เขาไม่ตื้นตันได้อย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นรอยมีดตื้นๆ บนแขนของเขา ก็ทนมองไม่ได้ นางเดินกลับไปข้างเตียงของตน เปิด**บและนำยาที่ช่วยรักษาแผลเป็นออกมา ยื่นให้หมอหลวงเจียงพร้อมยาห้ามเลือดที่อยู่ในมือของตนก่อนหน้านี้แล้ว “ขวดใหญ่นี้คือยาห้ามเลือด เป็นสมุนไพรที่ข้าและซื่อจื่อนำมาจากในวัง ส่วนขวดเล็กนี้เป็นยารักษาแผลเป็น รอยแผลบนแขนของท่านตื้นมาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็จะหายดีเจ้าค่ะ”
ยาห้ามเลือดนั้นหมอหลวงเจียงไม่ทราบ แต่ยารักษารอยแผลเป็นนั้นหมอหลวงเจียงได้ยินมานานแล้ว ยาชนิดนี้นอกจากในร้านเต๋อเหรินแล้ว ร้านยาทุกร้านในเมืองหลวง รวมถึงร้านยาหลวงก็ไม่มี มูลค่าสูงลิบลิ่ว แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับให้ตนเองอย่างไม่ลังเล ขณะที่รู้สึกประลาดใจก็รู้สึกนับถือนางยิ่งนัก ที่แท้ซื่อจื่อเฟยเป็นคนคิดค้นยารักษาแผลเป็นนี่เอง มิน่าล่ะ สำนักหมอหลวงเคยส่งคนไปสืบข่าวหลายครั้ง ก็ไม่เคยได้ความเลยว่าผู้เก่งกล้าสามารถที่คิดค้นยาตัวนี้คือท่านใด
เมื่อหมอหลวงเจียงเห็นว่าเป็นของมูลค่าสูงทั้งนั้น เขาก็รับไว้แล้วยิ้มอย่างดีใจ จากนั้นก็สะพายกล่องยาตนเองขึ้น “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ข้าน้อยขอกล่าวลาขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง “โจวอัน ใช้รถม้าในจวนส่งหมอหลวงเจียงกลับไป”
หมอหลวงเจียงน้ำตาแทบคลอเบ้า ไม่ง่ายเลยนะ กว่าตนจะได้รับสวัสดิการอย่างคนปกติทั่วไป
โจวอันขานรับ หันหลังเดินออกไป
หมอหลวงเจียงเดินตามหลังไป
ชิงหลวงและจูหลีก็ตามออกไปเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนยก**บที่อยู่บนโต๊ะเดินไปข้างเตียง เปิด**บยาขึ้น แล้วเก็บยากลับไป “จากวันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าใคร รวมถึงเจ้า ห้ามแตะต้อง**บใบนี้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาเสียดายยาห้ามเลือดขวดนั้น จึงยิ้มพูดว่า “ข้าเห็นว่าหมอหลวงเจียงอายุมากแล้ว รู้สึกทนไม่ได้ที่…”
“เมื่อเจ้าคลอดแล้ว สมุนไพรเหล่านี้เจ้าจะไปมอบให้ใครก็ได้ ไม่ว่าจะให้ใคร ข้าไม่ขัดขวางแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่ได้ หากวันใดเจ้าต้องใช้ขึ้นมา…”
“ไม่หรอก มีดอกบัวสีเลือดนี่อยู่ ข้าจะต้องได้คลอดลูกอย่างปลอดภัยแน่นอน ต่อไปเจ้าก็จะได้หลับอย่างสบายใจแล้ว”
ท้องใหญ่ขึ้นทุกวัน ทุกครั้งที่เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นมากลางดึก ก็รู้สึกได้เสมอว่าหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ได้นอน บางคืนกำลังพลิกอ่านหนังสือการแพทย์อยู่ ไม่ก็กำลังนอนมองตนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ นางรู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนเป็นห่วงตน นางรู้สึกสงสารยิ่งนัก แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ เพราะกลัวว่าเขาจะยิ่งเป็นห่วงตนเอง
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ลูบศีรษะนาง “โยวเอ๋อร์ เจ้าคือชีวิตของข้า ข้าไม่ยอมให้เจ้าเกิดอันตรายใดๆ แม้แต่น้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวโอบเอวของเขาไว้ เอนศีรษะพิงบนหน้าอกเขา “คนโง่ ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป จะเป็นอะไรไปได้อย่างไรล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเงียบไม่พูดอะไร กอดนางไว้เงียบๆ
ในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น
จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสียงหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นจากด้านนอก “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ อยู่ในเรือนไหมขอรับ”
ตอนที่ 337 ไม่พอใจ
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่ปล่อยมือ แอบด่าหวงฝู่อวี้ในใจว่ามาขัดจังหวะ
เมิ่งเชี่ยนโยวผลักเขาเบาๆ “อวี้เอ๋อร์มาแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนกลับกอดนางแน่นขึ้น “ให้เขารอข้างนอกไปก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายศีรษะ
ในห้องยังคงไม่มีเสียง ชิงหลวนและจูหลีจึงไม่กล้าปล่อยให้หวงฝู่อวี้เข้าไป พูดเสียงเบาว่า “คุณชายรอง โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้เงยหน้ามองฟ้า เบิกตาโต ถามอย่างตกใจว่า “อย่าบอกนะว่าเวลานี้พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่กำลังดูดดื่มกันอยู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรวดออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าหงุดหงิด ปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยวออก ประคองนางกลับไปนั่งบนตั่ง แล้วสั่งเสียงเย็นชาว่า “ไสหัวเข้ามา!”
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปในห้องยิ้มอย่างร่าเริง ถามอย่างไม่กลัวตายว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกท่านไม่ได้ยุ่งกันอยู่หรือขอรับ”
“อยากถูกแขวนก็บอก ข้าจะได้ช่วยตอบสนอง”
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเย็นชาราวกับน้ำแข็ง หนาวจนหวงฝู่อวี้สะดุ้งโหยง รีบโบกมือพูดว่า “ข้าผิดไปแล้ว พี่ใหญ่”
“มีเรื่องอะไร” หวงฝู่อี้เซียนถามเสียงเย็นชา
หวงฝู่อวี้เก็บรอยยิ้ม พูดจริงจังว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าอยากรีบตบแต่งกับเยียนเอ๋อร์ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนลืมเปลือกตาขึ้น “เรื่องนี้เจ้าควรไปปรึกษาเสด็จแม่ พี่สะใภ้ใหญ่เจ้ามีครรภ์ ไม่สะดวกมาเป็นทุกข์เป็นร้อนให้”
“ตอนนี้ทุกเรื่องในจวนพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนตัดสินใจหมด ขอแค่พี่สะใภ้ใหญ่เห็นด้วย เสด็จแม่ย่อมไม่คัดค้านแน่นอนขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “อวี้เอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไร อย่างไรเสด็จแม่ก็เป็นผู้อาวุโส เรื่องใหญ่เช่นนี้จะข้ามหน้าข้ามตาท่านได้อย่างไร”
หวงฝู่อวี้รีบโบกมือ “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น วันนี้ข้าและเยียนเอ๋อร์ไปพบเสด็จแม่ ข้าเห็นเสด็จแม่ไม่ค่อยพอใจเยียนเอ๋อร์นัก ก็เลยไม่กล้าไปหานางโดยตรง จึงมาขอร้องให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องมองสีหน้าของเขา ถามเสียงเย็นชาว่า “นี่คือความคิดของเจ้าหรือความคิดของคุณหนูหลิน”
“ความคิดของข้าขอรับ เยียนเอ๋อร์เอาแต่ร้องไห้อย่างคับข้องใจ ไม่ได้พูดอะไรเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวจับประเด็นในคำพูดของเขา ถามกลับอย่างไม่พอใจว่า “คับข้องใจหรือ วันนี้ที่เรือนของเสด็จแม่ ข้าเป็นคนพูดกับพวกเจ้าอยู่คนเดียว เสด็จแม่ไม่ได้พูดอะไรเลย ที่คุณหนูหลินคับข้องใจนี่ คับข้องใจต่อเสด็จแม่หรือต่อข้ากันล่ะ”
หวงฝู่อวี้ร้อนใจจนกระทืบเท้า เหงื่อก็ซึมออกมาบนหน้าผาก “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าพูดผิดเอง พี่สะใภ้อย่าถือสากับข้ามากเลยนะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดอย่างเนิบช้าว่า “จะไม่ถือสาก็ได้ แต่สำหรับคุณหนูหลินนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง”
เมื่อฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ หวงฝู่อวี้ชะงัก แล้วถามกลับอย่างไม่เข้าใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกพี่เป็นอะไรกันแน่ เยียนเอ๋อร์ไม่ดีตรงไหน เหตุใดพวกพี่ถึงไม่ตกลงให้ข้าตบแต่งกับนางขอรับ”
“เราเคยบอกว่าไม่ตกลงให้เจ้าตบแต่งกับนางหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ
หวงฝู่อวี้ถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยกำหนดวันแต่งงานของเราเถอะ ข้าอยากรีบตบแต่งกับเยียนเอ๋อร์”
“คนก็อยู่ในเรือนของเจ้า ไม่ต้องจัดพิธีตามธรรมเนียมแต่งงาน แค่เลือกฤกษ์งามยามดีให้พวกเจ้าไหว้ฟ้าดินก็พอแล้ว เหตุใดต้องให้เราออกตัวช่วยเจ้าอีกล่ะ”
“ไม่ได้หรอกขอรับ” หวงฝู่อวี้โต้แย้ง “ข้าสัญญากับเยียนเอ๋อร์ไว้แล้วว่าจะตบแต่งนางเข้าเรือนอย่างเปิดเผยแสดงถึงความตั้งใจจริง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะ “คุณชายรองช่างกล้าหาญ เจ้าลืมราชโองการของไทเฮาไปแล้วหรือ”
เมื่อนางพูดจบ ความรู้สึกของหวงฝู่อวี้ก็เหมือนลูกโป่งที่แฟ่บลง “ข้าก็เลยมาหาพี่สะใภ้ใหญ่ ขอร้องให้ช่วยพวกเราขอรับ”
“คุณชายรองมองข้าสูงส่งไปแล้ว อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้จะเป็นเสด็จแม่เองก็ไม่กล้าขัดขืนราชโองการของไทเฮาหรอก ข้าว่าเจ้าทำตามแบบเดิมเถอะ ไม่ต้องโจ่งแจ้ง รับคุณหนูหลินไว้เงียบๆ”
“ไม่ได้!” หวงฝู่อวี้พลันมีอารมณ์ร้อนขึ้นมาอีกครั้ง พูดปฏิเสธทันที “ข้าจะให้เยียนเอ๋อร์อยู่กับข้าด้วยสถานะแบบนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต่อไปนางคงไม่กล้าพบหน้าใครอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือทำท่าทางช่วยไม่ได้ “อย่างนั้นข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะ คุณชายรองคิดหาทางออกเองเถอะ”
เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ หวงฝู่อวี้ก็ดื้อรั้น หากหวงฝู่อี้เซวียนไม่นั่งมองอยู่ข้างๆ เขาคงคุกเข่าลงไปขอร้องและกอดขาเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แล้ว “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่คนดี ช่วยเราหน่อยเถอะขอรับ บุญคุณของพี่สะใภ้ น้องจะไม่มีวันลืมแน่นอน ภพชาติหน้าขอเกิดเป็นวัวเป็นควายตอบแทนพี่สะใภ้เลย…”
“พอเถิด!” เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป ห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ “ข้าคงใช้วัวใช้ควายที่สถานะสูงส่งอย่างคุณชายรองไม่ได้หรอก”
“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้จะไม่ช่วยเราเลยจริงๆ หรือขอรับ” หวงฝู่อวี้ถาม
“ไม่ใช่ไม่ช่วย แต่แค่ช่วยไม่ได้”
หวงฝู่อวี้เว้าวอนไม่เลิก เขานั่งลงบนเก้าอี้ “หากพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ตกลงช่วยข้าเรื่องนี้ ข้าจะอยู่ในห้องพวกพี่ไม่ไปไหนแล้ว”
“โจวอัน!” หวงฝู่อี้เซวียนเรียก
โจวอันเดินเข้ามา “ขอรับ!”
“ส่งคุณชายรองกลับไปที่เรือนของเขา ต่อไปอย่าให้เขาเหยียบย่ำเข้ามาในเรือนข้าอีกแม้เพียงก้าวเดียว”
โจวอันขานรับ ทำท่าเชิญ “คุณชายรอง เชิญขอรับ”
หวงฝู่อวี้ตั้งท่าเตรียมสู้ “ข้าไม่ไป”
“คุณชายรอง ขออภัยขอรับ” โจวอันเดินขึ้นไปข้างหน้า กำลังจะจับหวงฝู่อวี้ให้เดินออกไปข้างนอก
หวงฝู่อวี้จะให้เขาทำตามใจได้อย่างไร จึงกันมือเขาไว้อย่างฉับไว
เสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น น้ำเสียงขู่เข็ญว่า “หากเจ้าทำพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าตกใจ ข้าจะส่งคนนำตัวหลินหันเยียนออกจากจวนทันที”
หวงฝู่อวี้ชะงักเล็กน้อย โจวอันได้โอกาสจับตัวหวงฝู่อวี้ไว้ได้ แบกเขาพาดไหล่แล้วเดินออกไป
หวงฝู่อวี้ยังคงไม่ตายใจ ร้องเอะอะเสียงดัง “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ขอร้องล่ะ ช่วยข้าคิดหาวิธีหน่อยเถอะ”
เสียงร้องยิ่งไกลออกไป แล้วก็ค่อยๆ หายไป
หวงฝู่อี้เซวียนหันศีรษะมาถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้เขาฟังอย่างละเอียด พูดว่า “คุณหนูหลินเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อ่อนแอยิ่งนัก ร้องไห้เป็นอย่างเดียว แต่อวี้เอ๋อร์ยังสนใจแต่นาง วันนี้ข้าแค่อยากเตือนให้นางได้สติ ให้นางรู้ว่าแม้ไม่มีคนคอยหนุนหลัง นางได้เข้าเรือนที่นี่ จวนอ๋องของเราก็ไม่เมินเฉยนางหรอก แต่ตอนนี้ดูแล้วที่ข้าพูดไปนั้นจะเสียเปล่าหมด เกรงว่านางจะไม่ใช่เคืองแค่เสด็จแม่ แต่คงเคืองข้าด้วยแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวข้าจะสั่งพ่อบ้านไว้ ให้คุณหนูหลินอยู่ในเรือนของอวี้เอ๋อร์ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว จะทำเจ้ารำคาญใจเสียเปล่า เดี๋ยวจะกระทบทระเทือนลูกในท้องเอาได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องหรอก เกรงว่าจะสร้างความร้าวฉานระหว่างเราและอวี้เอ๋อร์ ขอแค่เราไม่เห็นอกเห็นใจนาง เมื่อเวลาผ่านไปนางอาจจะคิดได้บ้าง อย่างน้อยนางก็ไม่ใช่คนประสงค์ร้าย แค่ประสบเคราะห์ร้าย ไม่มีครอบครัวคอยเกื้อหนุน จึงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไรอีก สำหรับหลินหันเยียนแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกดีด้วย แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ หากหวงฝู่อวี้ชอบพอ ก็แค่ตบแต่งกับนาง แต่หากนางกล้าคิดร้าย ทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขา จวนอ๋องแห่งนี้ก็คงไม่มีที่ยืนสำหรับนาง เขามีพันล้านวิธีให้นางหายไป
หลังจากหวงฝู่อวี้ถูกโจวอันเชิญกลับเรือนไป ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียใจที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าจะไม่ช่วยเขา หรือว่าคิดอะไรขึ้นได้ เขาไม่ได้มารังควานเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนอีกหลายวันเลย เอาแค่อยู่ในเรือนของตนกับหลินหันเยียน แม้แต่กิจการของจวนก็ไม่สนใจ
ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งครรภ์ ท้องก็ใหญ่ขึ้นทุกวัน หวงฝู่อี้เซวียนคอยเฝ้านางทุกวัน
เมิ่งซื่อก็มาหาถี่ขึ้นทุกวัน และพาเซิ่งเอ๋อร์และเยว่เอ๋อร์มาตามคำสั่งของพระชายาฉีด้วยทุกครั้ง จวนอ๋องจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
วันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวคุยกับพระชายาฉีและเมิ่งซื่ออยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเหนื่อย หลังจากคุยกับทั้งสองแล้ว ก็กลับห้องของตนพักผ่อนครู่หนึ่ง หวงฝู่อวี้เดินเข้ามาในเรือนอย่างรีบร้อน ตะโกนเสียงดังว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เยียนเอ๋อร์ไม่สบาย พี่สะใภ้ช่วยไปดูนางหน่อยเถอะขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงดัง “เข้ามาเถอะ บอกมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
โจวอันปล่อยมือที่ห้ามเขาไว้ หวงฝู่อวี้เดินจ้ำอ้าวเข้าไปในห้อง
“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รีบไปดูหน่อยเถอะขอรับ เยียนเอ๋อร์ป่วยหนักมาก อาเจียนตลอดเวลา แม้แต่น้ำก็ดื่มไม่ลง”
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสบตากันครู่หนึ่ง ก็พอคาดเดาได้ พวกเขายืนขึ้นช้าๆ “เจ้าไม่ต้องรีบ ข้าจะไปดูพร้อมเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นยืน กำลังจะตามไปด้วย
“ข้าจะรีบกลับมา เจ้ารอในห้องเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ฟังเมิ่งเชี่ยนโยว นั่งกลับไปที่เก้าอี้
หวงฝู่อวี้ใจร้อน จึงเดินด้วยความรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลังอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้เร็วหน่อยสิขอรับ” หวงฝู่อวี้เร่งอย่างร้อนรน “เยียนเอ๋อร์ไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“ข้าเร็วสุดแล้ว หากเจ้ายังว่าช้าอีก เจ้าก็ไปอุ้มคุณหนูหลินมาสิ ข้าจะได้ช่วยนางจับชีพจรได้เลย” ฝีเท้าเมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนเดิม จังหวะการพูดก็เหมือนเดิม
“ไม่ได้หรอก ร่างกายเยียนเอ๋อร์อ่อนแอเกินไป ออกจากห้องไม่ได้ พี่สะใภ้ใหญ่เดินเร็วขึ้นหน่อยเถอะขอรับ”
ชิงหลวนพูดขึ้นอย่างทนไม่ได้ว่า “คุณชายรอง ท่านก็รู้ว่านายหญิงของเรากำลังตั้งครรภ์ นี่ก็เดินเร็วที่สุดแล้วเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้เหลือบมองท้องเมิ่งเชี่ยนโยว คำพูดที่จะเร่งนางอีกก็กลืนลงไป เขาอดกลั้นความร้อนใจของตนไว้และรอจนเมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ เดินไปจนถึงเรือนของตน
ยังไม่ทันเข้าห้อง ก็ได้ยินเสียงอาเจียนอย่างทุกข์ทรมานของหลินหันเยียน
หวงฝู่อวี้เดินก้าวใหญ่เพียงสองสามก้าวก็เข้าไปถึงในห้อง “เยียนเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
สิ่งที่ตอบกลับเขามีเพียงเสียงอาเจียนอีกระลอกหนึ่งของหลินหันเยียน
“พวกเจ้ารับใช้กันอย่างไร ไม่เห็นว่านางอาเจียนอยู่หรือ ไม่รีบเข้ามาช่วยตบหลังนางอีก!” เห็นนางทรมานแบบนี้ หวงฝู่อวี้ก็นำความโกรธไปลงที่สาวใช้ในห้องหมด เขาตะคอกใส่พวกนางอย่างรุนแรง
สาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่รีบเดินขึ้นไปทันที บ้างช่วยตบหลัง บ้างก็ช่วยเทน้ำ จนเบียดหวงฝู่อวี้ออกไปด้านข้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องก็เห็นสภาพวุ่นวายไปทั่วห้อง
“พี่สะใภ้ใหญ่มาแล้ว พวกเจ้าลงไปเถอะ ไม่ต้องเข้ามาหากข้าไม่ได้สั่ง” หวงฝู่อวี้สั่งสาวใช้ในห้อง
สาวใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบเดินทยอยออกจากห้องไปราวกับหนีเอาชีวิต
เมื่อได้ยินเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยว หลินหันเยียนก็ยกศีรษะขึ้น อยากจะส่งยิ้มให้นาง แต่อาการคลื่นไส้ก็เล่นงานนางอีกครั้ง นางจึงรีบก้มศีรษะลงไปอาเจียนอีก
หวงฝู่อวี้ตบหลังนางด้วยความสงสาร
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ มองดูนางเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
ผ่านไปนาน หลินหันเยียนจึงหยุดอาเจียน ทิ้งตัวพิงหวงฝู่อวี้อย่างไร้เรี่ยวแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “คุณหนูหลินนอนลงเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าจับชีพจรดู”
“ข้าอาเจียนจนเหนื่อยมาก ข้าอยากดื่มน้ำเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนพูดอย่างอ่อนแอ
สาวใช้ถูกหวงฝู่อวี้ไล่ออกไปหมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงส่งสัญญาณให้ชิงหลวนรินน้ำให้หลินหันเยียน
ชิงหลวนเดินไปที่โต๊ะ รินน้ำใส่แก้วใบหนึ่งยื่นให้หลินหันเยียน
อาจจะเป็นเพราะนางเหนื่อยโทรมจนไม่มีแรง หลินหันเยียนไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ แต่กลับเป็นหวงฝู่อวี้ที่รับไว้แทน แล้วส่งแก้วไปจนถึงปากนางอย่างอ่อนโยน
หยินหันเยียนก้มหน้าดื่มไปคำหนึ่ง แล้วบ้วนปาก จากนั้นก็บ้วนน้ำใส่กระโถน ทำเช่นนี้อยู่สองสามครั้ง แล้วดื่มน้ำจนหมดแก้ว นางยกศีรษะขึ้น ยิ้มอย่างเหนื่อยล้าให้ชิงหลวนทีหนึ่ง “ขอบคุณนะ”
ชิงหลวนไม่ได้พูดอะไร รับแก้วเปล่าจากมือของหวงฝู่อวี้ แล้วกลับไปข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว
หวงฝู่อวี้นำผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา ช่วยเช็ดปากให้นาง แล้วค่อยๆ ประคองนางนอนลงไป จากนั้นก็หันมาเร่งเมิ่งเชี่ยนโยว “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รีบดูให้เยียนเอ๋อร์หน่อยเถอะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่ง ไม่ได้พูดอะไร เหลือบตามองกระโถนบนพื้นแวบหนึ่ง
หวงฝู่อวี้ไม่ทันเข้าใจนาง หลินหันเยียนกลับเข้าใจความหมายของนาง ยิ้มพูดว่า “พี่อวี้ พี่ให้สาวใช้นำกระโถนออกไปเถอะ กลิ่นอบอวลไปทั่วห้องแล้ว”
หวงฝู่อวี้เพิ่งคิดได้ รีบสั่ง “ใครก็ได้!”
หงเอ๋อร์เดินเข้ามา ถอนสายบัวคารวะ “เจ้าคะ คุณชาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว
“ทำความสะอาดที่นี่ที”
หงเอ๋อร์ขานรับ เดินขึ้นไปโค้งลำตัวลงและนำกระโถนออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างเตียง
ชิงหลวนยกเก้าอี้วางไว้ด้านหลังนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง ยื่นมือไปแตะข้อมือของหลินหันเยียนที่ยื่นออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ปล่อยออก แล้วส่งสัญญาณให้หลินหันเยียนยื่นมืออีกข้างหนึ่งมา
หลินหันเยียนทำตาม
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงปล่อยมือออก จ้องมองนาง พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ดูจากสัญญาณชีพจรแล้ว หลินหันเยียนน่าจะกำลังตั้งครรภ์”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น