ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 33-38

 ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 33 ปิดบัง

 

“เจ้าจะให้เงินเท่าไร” 


 


 


หลินหันเยียนได้ยินดังนั้น ในใจก็พลันยินดี ทว่าใบหน้ามิได้แสดงอะไรออกมาแม้แต่น้อย และวางมาดถามอย่างระมัดระวัง “ท่านคิดว่าต้องการเท่าไรเจ้าคะ” 


 


 


เถ้าแก่ได้บอกสถานะของหลินหันเยียนกับเขาแล้วว่านางค้าขายอยู่ภายในอาณาเขตของรัฐอู่ และดูจากการกระทำเมื่อครู่ ก็นับว่าไม่ได้เป็นกิจการที่เล็กน้อยเลย มิเช่นนั้นคงไม่จ่ายเงินสามก้อนในคราเดียวกันแบบนั้น คิดถึงจุดนี้ ผู้ชายก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง แกว่งไปมาตรงหน้าหลินหันเยียน 


 


 


หลินหันเยียนกลืนน้ำลาย ลองกล่าวถาม “ห้าสิบตำลึง” 


 


 


ผู้ชายส่ายหน้า “ห้าร้อยตำลึง” 


 


 


“อะไรนะ” หลินหันเยียนตกใจร้องและเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อ “ห้า…ห้าร้อยตำลึงหรือเจ้าคะ” 


 


 


ผู้ชายพยักหน้า “อืม น้อยกว่านี้ไม่ได้ขอรับ” 


 


 


“เช่นนั้นก็ช่างเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ไปดูแล้ว อย่างมากที่สุด ตอนที่ข้ากลับไป ก็แค่บอกท่านพ่อกับท่านแม่ข้าว่า ข้าไม่มีซึ่งหนทางเข้าไปในจวนขององค์ชายใหญ่ จึงไม่เจอหน้าหลานสาวของข้าคนนั้นเท่านั้นเอง” หลินหันเยียนพูดปฏิเสธเด็ดขาดโดยไร้ซึ่งความลังเล 


 


 


ดวงตาของผู้ชายหรี่ลง จับจ้องท่าทางของนางราวกับกำลังวิเคราะห์ว่าคำพูดของนางเป็นความจริงหรือความเท็จ 


 


 


หลินหันเยียนสู้กับสายตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว 


 


 


ผู้ชายละสายตาที่ประเมินลง แล้วถาม “พวกเจ้าคิดว่าจะให้เท่าไรล่ะขอรับ” 


 


 


หลินหันเยียนกัดฟันเหมือนรู้สึกเจ็บปวด “ข้าจะขอพูดโดยไม่ปิดบังคุณชายนะเจ้าคะ ถ้ามิใช่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าอายุมากแล้ว และมักบ่นอยากจะให้ซื้อตัวหลานสาวของข้าคนนั้นกลับมาเพื่อจะได้มีเลือดเนื้อเชื้อสายเดียวกันกับพี่ชายข้าที่ตายไปนานแล้วโดยตลอด ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ถึงขั้นเสี่ยงมาที่เมืองขององค์ชายใหญ่เพื่อตามหานางหรอกเจ้าค่ะ แล้วยังทำให้ล่าช้าต่อกิจการของรัฐอู่ที่ข้ายังไม่ได้ถอนคืนกลับมาอีก ก็ไม่รู้ว่าต้องเสียหายเท่าไร ถ้าหากว่าท่านยินยอมช่วยเหลือ ข้าจะเพิ่มให้ท่านอีกห้าสิบตำลึงหลังจากที่ธุระสำเร็จลุล่วงแล้ว ถ้าหากไม่ได้ พวกเราทั้งครอบครัวก็จะออกเดินทางกลับบ้านโดยทันทีเจ้าค่ะ” 


 


 


การที่ผู้ชายได้รับงานส่งผักให้แก่จวนขององค์ชายใหญ่ จึงย่อมเป็นคนที่คิดเป็นระดับหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อครู่ที่บอกว่าต้องการห้าร้อยตำลึงก็เพื่อทดสอบหลินหันเยียนเท่านั้น ถ้าหากว่านางรับปากจริงๆ เขาก็จะสงสัยว่าหลินหันเยียนไปที่จวนองค์ใหญ่เพราะมีจุดประสงค์อย่างอื่น ตอนนี้น้ำเสียงปฏิเสธแข็งขันของหลินหันเยียน กลับคลายความเคลือบแคลงในใจเขา ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วกล่าว “ห้าสิบตำลึงก็ห้าสิบตำลึงขอรับ วันนี้กลับถึงโรงเตี๊ยมแล้ว ท่านต้องรีบให้พวกเราทันทีล่ะ” 


 


 


“แน่นอนเจ้าค่ะ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ผู้ชาย แต่ก็เข้าใจว่าคำพูดสำคัญเพียงไหน จะให้ห้าสิบตำลึงโดยไม่ขาดอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่แน่ว่าต่อไปพวกเรายังจะมาเยี่ยมอีก ถึงเวลานั้น ก็จำเป็นต้องรบกวนท่านอีกเจ้าค่ะ” 


 


 


นางพูดอย่างมีเหตุมีผลและออกปากรับรองอย่างมั่นใจ ชายผู้นั้นจึงพยักหน้า “ในเมื่อตกลงตามนี้ ท่านก็รีบตามข้าไปเถิดขอรับ” 


 


 


หลินหันเยียนชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ด้านบน และพูดกับชายคนนั้น “ท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ ข้าขอขึ้นไปบอกพี่รองกับพี่สะใภ้รองสักหน่อยว่าให้พวกเขาอย่าได้ไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า และรอข้าอยู่ในโรงเตี๊ยม” 


 


 


ครานี้ก็ทำให้เขารู้สึกไว้วางใจอีกครั้ง จึงพยักหน้า “รีบหน่อยนะขอรับ ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องไปส่งผักแล้ว” 


 


 


หลินหันเยียนกลับขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว 


 


 


สามคนกลับเข้าไปในห้อง 


 


 


หลินหันเยียนบอกเรื่องที่จะไปที่จวนองค์ชายใหญ่กับทั้งคู่อย่างสั้นกระชับ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่าไม่มีทางอื่น พวกนางไม่สามารถพูดภาษารัฐอิงได้ ถ้าไปด้วยก็จะยิ่งเพิ่มปัญหา จึงกำชับหลินหันเยียนอย่างจริงจังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้นางระมัดระวังเสียหน่อย ทุกอย่างล้วนต้องปลอดภัยไว้ก่อน ครั้งนี้หาไม่เจอ พวกเขาค่อยคิดหาวิธีอื่น 


 


 


หลินหันเยียนรับปาก แล้วลงไปข้างล่างอย่างรีบร้อน ตามผู้ชายมายังบ้านที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก  


 


 


ผักสดจำนวนหนึ่งคันรถวางอยู่ภายในเรือน ด้านข้างมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ ครั้นเห็นผู้ชายพาหลินหันเยียนเข้ามา ก็ตกใจจนตาเบิกโพลง ขณะที่กำลังจะซักถาม ผู้ชายก็เอ่ยปากขึ้นก่อน “เจ้าตามข้าเข้าไปในห้อง ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า” 


 


 


ผู้หญิงจ้องหลินหันเยียนตาเขม็ง แล้วหันตัวตามผู้ชายเข้าไปในห้องอย่างไม่ยินยอม 


 


 


ทั้งสองคนกระซิบกระซาบอยู่ภายในห้องเป็นเวลานาน ผู้หญิงก็เดินออกมาจากห้องก่อนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชื่นบาน แล้วกวักมือเรียกหลินหันเยียน “ท่านตามข้าเข้ามาในห้องเถิด มาเปลี่ยนเป็นชุดที่ข้าใส่ในทุกวันเจ้าค่ะ” 


 


 


เสื้อผ้าที่ทั้งสองคนสวมใส่เป็นชุดชาวบ้านธรรมดา แต่เสื้อผ้าของหลินหันเยียนนั้น พอเห็นก็รู้ทันทีว่ามาจากครอบครัวมีอันจะกิน จึงย่อมไม่เหมาะแก่การไปส่งผัก หลินหันเยียนเดินก้าวยาวเข้าไปด้านในโดยไม่ลังเล 


 


 


ผู้ชายเดินตามออกมาจากในห้อง แล้วลากรถเตรียมเอาไว้ รอจนกระทั่งหลินหันเยียนออกมาก็ออกเดินทางทันที 


 


 


รูปร่างของหลินหันเยียนกับหญิงผู้นั้นไม่แตกต่างกันมาก ชุดที่เปลี่ยนจึงใส่ได้พอเหมาะพอดี ผู้หญิงมองแล้วก็พยักหน้า “เสร็จเรียบร้อยเจ้าค่ะ ท่านตามไปได้แล้ว เสื้อผ้าของท่านวางไว้ตรงนี้นะเจ้าคะ รอให้กลับมาเมื่อไร ท่านค่อยเปลี่ยนกลับไป” 


 


 


หลินหันเยียนกล่าวขอบคุณ เดินออกจากห้องมาช่วยผู้ชายเข็นรถเล็ก แล้วก็เดินทางจนแข้งขาอ่อนล้าอย่างมาก ถึงจะมาถึงประตูเล็กข้างจวนขององค์ชายใหญ่ 


 


 


ที่ประตูเล็กข้างจวนมีสาวใช้อายุน้อยสองคนและหญิงชราอายุห้าสิบกว่าปีหนึ่งคนเฝ้าอยู่ ครั้นเห็นผู้ชายมา ก็เงยหน้ามองแสงบนท้องฟ้า แล้วตำหนิถามอย่างไม่ค่อยพอใจ “ดูเหมือนว่าวันนี้จะมาสายไปหน่อยนะ” 


 


 


ผู้ชายพยักหน้า โค้งตัวพร้อมหัวเราะอธิบาย “ตอนที่เพิ่งจะออกจากบ้านมา จู่ๆ ผู้หญิงของข้าคนนั้นก็ปวดท้อง จึงต้องเรียกน้องสาวบ้านข้ามาช่วยอย่างช่วยไม่ได้ ท่านยายโปรดเห็นใจด้วยขอรับ” 


 


 


หญิงชราพินิจดูหลินหันเยียนอย่างละเอียด เห็นนางเอาแต่ก้มหน้าตลอดและสองมือจับไม้ค้ำรถเอาไว้ ไม่เหมือนกับหญิงสาวคนอื่นที่มาครั้งแรกก็จะมองไปมองมาทั่วด้วยความใคร่รู้อย่างอดไม่ได้ จึงรู้สึกพอใจ และโบกมือ “รีบไปเถิด พรุ่งนี้องค์ชายใหญ่จะออกรบ วันนี้พระชายาต้องการเลี้ยงส่งพระองค์ จึงทรงรับสั่งว่าต้องทำอาหารดีๆ ปริมาณมากหน่อย คนในห้องครัวก็ได้มาถามหลายรอบแล้ว” 


 


 


ชายหนุ่มรับคำ ลากรถคันเล็กเข้าไปในประตู หลินหันเยียนก้มหน้าช่วยดันรถอยู่ด้านข้างตลอด  


 


 


ตลอดทางมาถึงห้องครัว ทุกคนในห้องครัวล้วนทำงานของตัวเองอย่างเคร่งเครียด ในที่สุดก็เห็นชายผู้มาส่งผักแล้ว พ่อบ้านที่รออยู่ในห้องครัวก็ถอนหายใจโล่งอก พลางสั่งคนให้แกะห่อผักออก พลางตำหนิผู้ชาย 


 


 


เขาขอโทษขอโพยยกใหญ่ และรับรองว่าต่อไปนี้จะไม่สายอีกแล้ว 


 


 


ชายส่งผักให้ที่จวนหลายปี สีผักดูดี ราคาก็ย่อมเยาว์ และแทบไม่เคยมาส่งช้า ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ว่ามีสถานการณ์พิเศษ พ่อบ้านก็จะไม่กดดันเขา หลังจากว่ากล่าวไม่กี่คำ ก็ปล่อยเขาไป พอชั่งผักทุกอย่างแล้ว ก็ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้แก่เขา แล้วให้เขาไปคิดเงินที่ห้องบัญชีเหมือนอย่างเคย 


 


 


ผู้ชายรับมา มองเป็นพิธีครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอาใส่ไว้ในชายเสื้อ แล้วพูดกับพ่อบ้านอย่างเอาใจ “ท่านพ่อบ้านท่าป๋า ออกมาคุยสักประเดี๋ยวได้ไหมขอรับ” 


 


 


พ่อบ้านมองเขาอย่างประหลาดใจ แล้วตามเขามาที่มุมเงียบๆ 


 


 


ไม่รู้ว่าผู้ชายพูดอะไร พ่อบ้านหันหน้าประเมินดูหลินหันเยียนหลายรอบ ทั้งขมวดคิ้ว และเผยสีหน้าลำบาก 


 


 


ผู้ชายกวักมือ หลินหันเยียนจึงเดินเข้าไปหา 


 


 


เห็นผู้ชายส่งสายตาให้นาง ก็รีบควักเงินของรัฐอิงเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากในชายเสื้อ แล้ววางไว้บนมือของพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว 


 


 


พ่อบ้านผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตวัดชายเสื้อขึ้นมาบังมือของตัวเองไว้ แล้วก็กระแอมเบาๆ ถาม “หลานสาวเจ้านามว่าอะไรเล่า ข้าสามารถช่วยเจ้าสืบมาได้” 


 


 


หลินหันเยียนรีบตอบ “ตอนเด็กๆ ชื่อว่าเย่ว์เจ้าค่ะ พอโตก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไรแล้ว พวกเราไม่ได้เจอกันหลายปี ตอนนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่เพียงว่าเพิ่งจะเข้ามาในจวนเมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าค่ะ”  


 


 


เพิ่งจะเข้ามาในจวนเมื่อไม่กี่วันก่อน พ่อบ้านขมวดคิ้ว และหลุดปากพูดออกมา “นอกจากคนที่อยู่ที่เรือนซูซินย่วนย่วนนั่นแล้ว ช่วงนี้ก็ไม่ได้ยินว่ามีใครเข้ามาในจวนเลยนะ” 


 


 


หลินหันเยียนเผยหน้ายินดี และพยักหน้าอย่างมั่นใจ “คนนั้นก็ต้องเป็นหลานสาวที่น่าสงสารนั่นของข้าแล้วล่ะเจ้าค่ะ นางทำงานที่เรือนซูซินย่วนย่วนใช่ไหมเจ้าคะ” 


 


 


พ่อบ้านมองนางราวกับมองคนเขลาอย่างไรอย่างนั้น และพูด “ในเรือนซูซินย่วนย่วนคนนั้นเป็นเด็กหนุ่มนะ แล้วจะเป็นหลานสาวเจ้าได้อย่างไร” 


 


 


หลินหันเยียนหน้าเสียโดยพลัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังและกระวนกระวาย “แต่ข้าได้สืบมาแล้วว่า พ่อเลี้ยงของนางนั่นขายนางเข้าจวนนี้ไม่กี่วันก่อนนี่นา” พูดจบ ก็กดเสียงต่ำขอร้องพ่อบ้าน “ท่านสามารถช่วยได้หรือไม่เจ้าคะ ช่วยข้าไปสืบมาอย่างละเอียดอีกครั้ง ท่านแม่ที่ชราของข้าคิดถึงนางเหลือเกินเจ้าค่ะ” 


 


 


ห้องครัวใหญ่ต้องจัดสรรอาหารให้ทุกคนในจวน แต่ถ้าทุกครั้งที่มีเพิ่มคนเข้ามา ด้านนี้ก็จะรู้ทั้งหมด พ่อบ้านหวนคิดทบทวนอยู่นาน ก็คิดไม่ออกว่าเรือนใดมีเพิ่มคนมา จึงส่ายหน้า “ไม่ต้องสืบหรอก ช่วงนี้ในจวนไม่ได้เพิ่มใครเข้ามาจริงๆ” 


 


 


หลินหันเยียนราวกับไม่ยอมแพ้ ยังจะต้องการให้สืบอีก ชายผู้นั้นก็แทรกนางขึ้นมาก่อน พร้อมกล่าวขอบคุณพ่อบ้านอย่างเอาใจ “ขอบพระคุณพ่อบ้านอย่างมากขอรับ ในเมื่อไม่มี พวกเราก็จะกลับแล้ว” 


 


 


พ่อบ้านพยักหน้า โบกมือ 


 


 


ผู้ชายลากรถคันเล็กออกไปข้างนอก 


 


 


หลินหันเยียนยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับด้วยท่าทางที่ไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มจ้องนางตาเขม็ง และใช้สายตาส่งสัญญาณให้นางตามมา 


 


 


หลินหันเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตามออกไปอย่างจนปัญญา 


 


 


ผู้ชายมาถึงห้องบัญชี ก็สั่งให้หลินหันเยียนรออยู่ด้านนอก ส่วนตัวเองไปคิดเงินด้านใน จากนั้นก็ลากรถเล็กที่อยู่ประตูเล็กข้างจวนออกมา 


 


 


ออกมาจากจวนองค์ชายใหญ่แล้ว ผู้ชายก็ถอนหายใจ ขณะที่ลากรถเล็กไปด้านหน้า พลางตำหนิหลินหันเยียน “พ่อบ้านบอกว่าไม่มีคนเข้ามาก็ไม่มีคนเข้ามาสิขอรับ ท่านก็ยังไม่ยอมอีก ท่านรู้ไหมว่าท่านเกือบจะทำให้ข้าต้องเดือดร้อนอย่างมากแล้ว” 


 


 


หลินหันเยียนตามอยู่ด้านหลังอย่างหดหู่ น้ำเสียงแสดงความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ จึงรับไม่ได้กะทันหัน และรู้สึกร้อนใจขึ้นมา” 


 


 


หันหน้ามองท่าทางที่ห่อเ**่ยวของนาง เขาก็เม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วก็เป็นเช่นนี้ตลอดทางจนกระทั่งใกล้จะถึงประตูทางเข้า หลินหันเยียนถึงเอ่ยปากร้องขอเบาๆ “คือว่า หลังจากนี้ต่อไป ขอให้ท่านช่วยข้าสืบเสียหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะมาที่หวงเฉิงทุกเดือน เดือนละครั้งอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นท่านก็สามารถบอกข้าได้” 


 


 


แค่สืบนิดสืบหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องยาก ผู้ชายจึงรับคำ 


 


 


กลับถึงบ้านแล้ว ผู้หญิงก็ต้อนรับอย่างยินดี และซักถาม “เจอหลานหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


หลินหันเยียนส่ายหน้า บนใบหน้าปิดบังความผิดหวังไม่ได้ 


 


 


ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของผู้หญิงคลายลง มองไปทางผู้ชาย พร้อมส่งสายตาถามว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


ผู้ชายก็ทำมือสัญญาณสื่อว่า มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกัน 


 


 


ผู้หญิงเข้าใจและปลอบเสียงเบาๆ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ครั้งนี้ไม่ได้เจอ ต่อไปก็ยังมีโอกาสเจ้าค่ะ” 


 


 


หลินหันเยียนไม่ได้พูด เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง 


 


 


ผู้หญิงมองผู้ชายแวบหนึ่ง แล้วตามเข้าไป 


 


 


เปลี่ยนกลับเป็นชุดของตัวเองแล้ว ก็เดินออกนอกประตูมา หลินหันเยียนควักตั๋วแลกเงินห้าสิบตำลึงออกมา ยื่นไปตรงหน้าผู้ชาย “แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้เจอ แต่วันหลังยังต้องรบกวนท่านให้ช่วยสืบอีก เงินห้าสิบตำลึงนี้ก็ถือว่าเป็นเงินที่ข้าตอบแทนท่านในความลำบากนะเจ้าคะ” 


 


 


ผู้ชายไม่รับ “วันนี้ไม่อาจช่วยเหลือท่านได้ เงินนี้ข้าก็ไม่ต้องการแล้วขอรับ รอให้ถึงวันที่ได้ข่าวว่าหลานสาวท่านอยู่แห่งใดแล้ว ก็ค่อยว่ากันอีกทีขอรับ” 


 


 


หลินหันเยียนยืนกรานที่จะให้ 


 


 


ผู้หญิงกลอกลูกตา เดินเข้ามารับตั๋วแลกเงินอย่างยิ้มแย้ม และพูด “ได้เลยเจ้าค่ะ ได้เลย เรื่องนี้เชื่อใจพวกเราได้เลยเจ้าค่ะ หลังจากนี้ต่อไป ข้าจะช่วยท่านถามทุกวันเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 34 สถานะเปิดเผย

 

หลินหันเยียนกล่าวขอบคุณและหันกายออกจากเรือน เมื่อถึงตอนที่รู้สึกว่าสองสามีภรรยาไม่ได้ตามออกมา ก็รีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น หัวใจของนางใกล้จะหลุดลอยออกไปแล้ว คำพูดของผู้ดูแลคนนั้นวนเวียนอยู่ข้างหูโดยตลอด “นั่นเป็นเด็กหนุ่ม…” ใช่แล้ว ก็คือหวงฝู่เย่าเย่ว์ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มอย่างไรล่ะ อีกทั้งไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งจะเข้าไปในจวน นั่นจึงต้องเป็นนางอย่างแน่แท้ 


 


 


ในใจเต้นรัวด้วยความลิงโลด ก็ทำให้ยิ่งสาวเท้าเร็วขึ้นมาก ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม จึงหยุดฝีเท้าลง ทำใจให้สงบนิ่ง แล้วแสร้งทำท่าทางผิดหวังอย่างที่สุด แล้วถึงยกเท้าทั้งสองข้างเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมอย่างช้าๆ ราวกับโดนลงทัณฑ์ 


 


 


คนที่ออกไปดูเหตุการณ์กลับมาในโรงเตี๊ยมจำนวนไม่น้อยแล้ว เวลานี้กำลังรวมตัวอยู่ที่โถงใหญ่ของชั้นหนึ่ง และพูดวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างคึกคัก จึงไม่ใครสนใจคนที่ก้มหน้า ท่าทางเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างหลินหันเยียน ทว่า เถ้าแก่กลับสังเกตเห็นนาง และจากท่าทางนางแล้วก็ดูออกว่าทำเรื่องไม่สำเร็จ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอันใด กระทั่งให้หลินหันเยียนเดินมาถึงข้างโต๊ะรับแขกแล้ว ถึงกดเสียงต่ำสอบถาม “เป็นอะไรไปหรือ” 


 


 


หลินหันเยียนเกือบจะร้องไห้ออกมา “พวกเขาบอกว่า หลายวันนี้ภายในจวนองค์ชายใหญ่ไม่มีคนเข้าไปเลย” 


 


 


คาดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เถ้าแก่ก็อึ้งไป “เช่นนั้น…” 


 


 


“ขอบคุณเถ้าแก่ที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนราวกับไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ หลังจากกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้ว ก็หันตัวกลับขึ้นไปด้านบน 


 


 


เถ้าแก่อ้าปาก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวรอคอยอยู่ที่ชั้นสองตลอด ครั้นเห็นท่าทางของหลินหันเยียน ในใจก็รู้สึกหนักอึ้ง ดวงตามองนางไม่กะพริบ 


 


 


ใครจะรู้ว่าพอหลินหันเยียนมาถึงตรงหน้าพวกเขา ก็เผยรอยยิ้มที่ดีใจอย่างมากให้พวกเขา จากนั้นก็เดินเข้าไปภายในห้อง 


 


 


หัวใจของทั้งคู่เต้นไม่เป็นจังหวะไปครู่หนึ่ง มองตากัน แล้วสาวเท้าเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว 


 


 


ทั้งสองคนเข้ามาในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับไปปิดประตู เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้าหลินหันเยียน กดเสียงต่ำถามอย่างรีบเร่ง “ได้ความมาแล้วหรือ” 


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้า “ไม่กี่วันก่อน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งจะเข้าไปในจวน น่าจะเป็นท่านหญิงน้อยอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เฮ่าได้ยินดังนั้น ก็รีบลุกกระโจนขึ้นมา ล้อมรอบตัวนาง และมองนางอย่างคาดหวัง 


 


 


รอยยิ้มของหลินหันเยียนคลายลง แล้วพูดปนด้วยความรู้สึกผิด “ข้าไม่มีโอกาสได้พบท่านหญิงน้อยเจ้าค่ะ เป็นพ่อบ้านในห้องครัวที่บอกมา” 


 


 


“รู้ไหมว่านางอยู่ที่แห่งใด” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างรีบร้อน 


 


 


จวนขององค์ชายใหญ่มีขนาดใหญ่โต ถ้าหากไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ที่ใด ต่อให้ค้นหาทั้งคืนก็ไม่แน่ว่าจะหาหวงฝู่เย่าเย่ว์เจอได้ 


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้าหงึกๆ “ได้ความมาแล้ว อยู่ที่เรือนสวนดอกไม้ซูซินย่วน” 


 


 


“ซูซินย่วน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดย้ำอีกรอบ แล้วพูดสั่งแต่ละคนทันที “เก็บของ พวกเราจะเปลี่ยนไปอีกโรงเตี๊ยม และไปช่วยเย่ว์เอ๋อร์ออกมาคืนนี้” 


 


 


ทุกคนทำตามดังนั้น 


 


 


ไม่นาน ทั้งห้าคนก็ลงจากด้านบนมาด้วยใบหน้าผิดหวัง และคิดบัญชีที่หน้าโต๊ะรับแขก 


 


 


เถ้าแก่อ้าปากอยากจะปลอบใจ แต่ก็รู้สึกว่าพูดอะไรไปก็ล้วนไม่เหมาะสม จึงผลักเงินบนโต๊ะรับแขกที่หลินหันเยียนวางไว้กลับไป “ช่างเถิด ค่าห้องวันนี้ไม่ต้องจ่ายแล้วขอรับ ขอให้เดินทางปลอดภัยขอรับ” 


 


 


หลินหันเยียนไม่ยอม และผลักกลับไปอีกครั้ง “ขอบคุณในน้ำใจของเถ้าแก่อย่างมากเจ้าค่ะ ท่านก็ลำบากเหมือนกัน อีกอย่าง พวกเรายังจะมาสืบข่าวบ่อยๆ ถ้าหากท่านไม่รับเงิน ต่อไปพวกเราก็คงเกรงใจที่จะมาพักที่นี่แล้วล่ะเจ้าค่ะ” 


 


 


พูดถึงขนาดนี้ เถ้าแก่ก็พูดปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว จึงรับเงินมา และส่งทุกคนออกจากโรงเตี๊ยมด้วยตัวเอง 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ได้ลากม้าออกมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เมื่อทั้งห้าคนขึ้นรถม้า และหลินหันเยียนพูดกล่าวขอบคุณเถ้าแก่อีกครั้ง ก็ง้างบังเ**ยนตีม้า มุ่งหน้าไกลออกไป 


 


 


แต่ละคนตามอยู่ด้านหลัง 


 


 


จนกระทั่งเห็นว่าทั้งห้าคนไปไกลแล้ว เถ้าแก่ถึงหันกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม 


 


 


หลินหันเยียนเดินทางไปกลับกับผู้ชายที่ส่งผักสองรอบจึงคุ้นเคยกับเส้นทางแล้ว พร้อมกับสอดส่องดูว่าโรงเตี๊ยมแห่งไหนที่มีระยะห่างค่อนข้างใกล้กับจวนองค์ชายใหญ่ ดังนั้นจึงขี่ม้านำหน้ามาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก่อน 


 


 


วันพรุ่งนี้ก็จะเกิดสงครามแล้ว วันนี้แขกหลายคนพากันออกจากโรงเตี๊ยม แล้วรีบเร่งกลับบ้านไป เมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ถ้าหากไม่ได้รับชัยชนะและถูกคนของรัฐอู่บุกเข้ามาก็จะลำบากเอาได้ หากคนในครอบครัวอยู่ด้วยกันก็ยังช่วยเหลือกันได้ 


 


 


ดังนั้น ภายในช่วงเวลาเดียว แขกในโรงเตี๊ยมก็น้อยลงไปถึงครึ่งหนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์เห็นห้าคนขี่ม้ามา ก็รู้ว่าการค้าได้เข้ามาแล้ว จึงออกมาต้อนรับอย่างขะมักเขม้น แล้วถามอย่างประจบเอาใจ “พวกท่านมาพักหรือว่าแวะรับประทานอาหารขอรับ” 


 


 


“มาพักเจ้าค่ะ!” หลินหันเยียนตอบ 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ตะโกนเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยมอย่างดีใจทันที “เถ้าแก่ขอรับ พักห้าท่านขอรับ” 


 


 


เถ้าแก่พลันออกคำสั่งอย่างดีใจทันทีเช่นกัน “ลากม้าของแขกไปที่หลังเรือน และจัดการดูแลอย่างดี” 


 


 


คำพูดของเขาสิ้นลง ก็มีเสี่ยวเอ้อร์วิ่งออกมาจากในโรงเตี๊ยมอีกหนึ่งคน แล้วทั้งสองก็ลากม้าห้าตัวเข้าไปด้านหลังเรือน 


 


 


หลินหันเยียนเดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยม หลังจากซักถามและต่อรองราคาแล้ว ก็ขอห้องนอนด้านบนสามห้องดังเดิม 


 


 


เถ้าแก่พาพวกเขาขึ้นไปด้านบนด้วยตัวเอง หลังจากดูห้องแล้ว เห็นแต่ละคนค่อนข้างพอใจ ก็รู้สึกสบายใจ และบอกพวกเขาว่า อีกประเดี๋ยวจะสั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้เอาน้ำร้อนขึ้นมา แล้วจึงถอยออกไปด้วยใบหน้าชื่นบาน 


 


 


หลินหันเยียนเข้าไปห้องตรงกลาง ส่วนหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เฮ่าก็ตามหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปอีกห้องหนึ่ง 


 


 


ทันทีที่เข้ามาในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินไปที่ข้างหน้าต่างพร้อมกัน เปิดหน้าต่างออก แล้วมองทอดออกไปที่จวนองค์ชายใหญ่ 


 


 


จริงๆ แล้ว ระยะห่างโรงเตี๊ยมกับจวนขององค์ชายใหญ่ยังนับว่าไกลอยู่มาก มองออกไปไกลๆ เห็นแค่เพียงเค้าโครงของจวนคร่าวๆ เท่านั้น แต่ว่าใจของหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่วิตกกังวลมาหลายวันก็ผ่อนคลายลงเปราะหนึ่ง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเอ่ยปากขอร้องเสียงเบา “ท่านแม่ ข้ากับเฮ่าเอ๋อร์จะตามไปช่วยเย่ว์เอ๋อร์คืนนี้ด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


“ไม่ได้!” เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด “จวนองค์ชายใหญ่มีคนฝีมือดีมากมาย พวกเจ้าไปแล้วกลับจะยิ่งทำให้ยุ่งยากขึ้นไปอีก อยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างตื่นตัวสักหน่อย แล้วเตรียมพร้อมรับช่วงต่อจากพวกแม่อยู่ทุกเมื่อ” 


 


 


สิ่งที่เรียกว่ารับช่วงต่อก็คือให้พวกเขาสองคนเตรียมม้ากลางดึกให้เรียบร้อย ถ้าหากนางและหวงฝู่อี้เซวียนช่วยหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมาแล้ว พวกเขาก็จะเร่งกลับไปที่ชายแดนอย่างไม่หยุดทั้งคืน 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าใจ แล้วพยักหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง 


 


 


แต่ละคนใจร้อนอยากให้แสงของฟ้ามืดลงไวๆ สั่งอาหารมากินให้อิ่มตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วหลับตานอนพักอยู่บนเตียง รอให้ถึงเวลาเที่ยงคืน เพื่อลอบเข้าไปในจวนองค์ชายใหญ่ และช่วยหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมา 


 


 


 


 


 


ภายในจวนขององค์ชายใหญ่ 


 


 


องค์ชายใหญ่อยู่ในวังหลวงติดต่อกันหลายวัน ขับไล่ขันทีที่ไม่เห็นด้วยกับการก่อสงครามแล้ว เวลาที่เหลือก็วางแผนยุทธศาสตร์อย่างเข้มงวดกับขันทีใหญ่และแม่ทัพหน่วยสงคราม ปลอบใจที่หวั่นกังวลของฮ่องเต้ที่บรรทมป่วยอยู่บนเตียง ไปค่ายทหารเพื่อปลุกขวัญกำลังใจและความกล้าหาญของทหาร จวบจวนใกล้ค่ำแล้ว องค์ชายใหญ่ถึงจะได้กลับเรือนของตัวเอง 


 


 


หลังจากที่พระชายาได้ยินว่าพรุ่งนี้องค์ชายใหญ่จะนำทหารไปออกรบ ก็รู้ว่าวันนี้องค์ชายใหญ่จะต้องกลับมาที่จวนอย่างแน่นอน จึงส่งคนไปรออยู่หน้าประตูจวนแต่เนิ่นๆ จนกระทั่งองค์ชายใหญ่ลงจากม้า สาวใช้ผู้ติดตามของพระชายาก็เข้าไปต้อนรับ โค้งตัวทำความเคารพ และกล่าวอย่างนอบน้อม “องค์ชายใหญ่เพคะ พระชายาได้รอพระองค์หลายชั่วยามแล้วเพคะ” 


 


 


ตนเองจะนำทหารออกรบด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร เรื่องบางอย่างภายในจวนจึงต้องคุยกับพระชายาจริงๆ 


 


 


“รู้แล้ว” เมื่อรับคำแล้ว ทันทีที่องค์ชายใหญ่เดินเข้าประตูจวน ก็ตรงมาที่พักของพระชายาเลย 


 


 


บ่าวที่รับใช้ในจวนโค้งตัวทำความเคารพ แล้วเรียกอย่างนอบน้อม “องค์ชายใหญ่เพคะ” 


 


 


ขณะนั้นพระชายากำลังเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในด้วยความร้อนใจพอดี เมื่อได้ยินเสียงบ่าว ก็รีบแหวกม่านประตูเดินออกมา ถามอย่างยินดี “กลับมาแล้วหรือเพคะ” 


 


 


ใบหน้าขององค์ชายใหญ่เผยรอยยิ้มที่อบอุ่น ยื่นมือไปโอบพระชายา แล้วถือโอกาสโอบนางเข้าไปในห้อง “ข้าไม่อยู่ที่จวนหลายวันนี้ เป็นห่วงแล้วสินะ” 


 


 


พระชายาพยักหน้า “เป็นห่วงมากจริงๆ เพคะ ท่านก็ไม่รู้จักให้คนส่งสารกลับมาเลย หม่อมฉันล้วนไม่รู้ทั้งสิ้นว่าเกิดอะไรขึ้น กังวลจนไม่ได้นอนหลายวันเลยเพคะ” 


 


 


องค์ชายใหญ่ส่งเสียงหัวเราะอย่างเริงรมย์ “วันนี้ยุ่งกับการหารือเรื่องสงครามกับรัฐอู่ จึงลืมเสียสนิท” พูดจบก็หอมแก้มของพระชายา พอเห็นใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ก็พูดอย่างมีความสุข “แต่ว่า ข้าไม่กังวลแม้แต่น้อย พระชายาของข้าเก่งขนาดนี้ ต้องจัดการเรื่องภายในจวนได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้ว” 


 


 


ได้รับคำปลอบใจและคำเชยชม สีหน้าของพระชายาก็ยิ่งแดงก่ำขึ้น เห็นองค์ชายใหญ่นั่งลงแล้ว ก็เปล่งเสียงสั่งให้จัดแจงยกอาหารเข้ามา 


 


 


สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรับคำ แล้วก็ยกอาหารที่เตรียมไว้เรียบร้อยในห้องครัวมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


พระชายาก็นั่งลงด้วย และยิ้มพูด “นี่เป็นอาหารที่พระองค์ชอบเสวย ก็เลยกำชับคนในห้องครัวให้ทำเป็นพิเศษ พระองค์เสวยมากหน่อยนะเพคะ” 


 


 


พูดจบ ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกับข้าวลงในชามตรงหน้าองค์ชายใหญ่ 


 


 


องค์ชายใหญ่ก็ไม่ปฏิเสธ ยกขึ้นมากินคำใหญ่ๆ 


 


 


เห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย พระชายาก็ใจชื้นขึ้น ทั้งมื้ออาหารก็ห่วงแต่เพียงคีบอาหารให้เขา แต่ตัวเองกลับกินน้อยมาก 


 


 


องค์ชายใหญ่มองเห็นแล้ว ก็เผยสีหน้าที่เอ็นดูทันที จึงวางชามของตัวเองลง แล้วคีบกับข้าววางบนชามนาง “เจ้าก็กินด้วยกันเถิด ไม่ต้องเอาแต่ดูแลข้า” 


 


 


พระชายายกชามขึ้นอย่างดีใจ แล้วกินอาหารบนชามคำเล็กๆ ทีละคำจนหมด 


 


 


องค์ชายใหญ่ก็คีบให้นางอีกหน่อย 


 


 


อาหารมื้อนี้ก็จบลงที่ทั้งสองพลอดรักกันอย่างหวานชื่น 


 


 


หลังจากสั่งบ่าวเก็บชามและตะเกียบแล้ว ก็นั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง องค์ชายใหญ่ฝากฝังเรื่องภายในจวนทั้งหมดแก่พระชายาด้วยท่าทีจริงจัง “ไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้จะรบไปถึงเมื่อใด เรื่องภายในจวนก็ต้องมอบให้เจ้าแล้ว เรื่องทุกอย่างภายในจวน เจ้าสามารถตัดสินใจได้เลย” 


 


 


ขณะที่พระชายารู้สึกยินดีก็แอบมองสีหน้าขององค์ชายใหญ่ในเวลาเดียวกัน แล้วฮึดความกล้าอยู่นาน ถึงจะลองกล่าวสอบถามดู “รวมถึงซูซินย่วนคนนั้น ข้าก็สามารถจัดการได้ตามอำเภอใจใช่หรือไม่เพคะ” 


 


 


ท่าทางขององค์ชายใหญ่ชะงักไปเล็กน้อยทันใดราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าภายในจวนยังมีคนเช่นนั้นอีกหนึ่งคนมา จึงหัวเราะเสียงดัง “แน่นอน เข้ามาในจวนขององค์ชายใหญ่อย่างข้าแล้ว ก็ล้วนเป็นคนในจวนทั้งสิ้น เจ้าสามารถสั่งสอนได้เต็มที่” 


 


 


พระชายาพินิจดูการแสดงออกของเขาโดยตลอด เมื่อเห็นเขามอบคนให้แก่นางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ความพะว้าพะวงภายในใจหลายวันก็คลายลง และยิ้มพูด “ท่านวางใจเถิดเพคะ เขาเป็นคนที่ท่านพากลับมา เพียงแค่เขาไม่ก่อความเดือดร้อน หม่อมฉันก็จะไม่ลงมือกับเขาหรอกเพคะ” 


 


 


องค์ชายใหญ่แอบถอนหายใจโล่งอก เอนตัวอุ้มพระชายา โยนลงบนเตียง แล้วร่างกายก็แนบทับตามเข้าไป 


 


 


เมื่อเมฆและฝนผ่านไป พระชายาเหน็ดเหนื่อยมากจนนอนหลับไป 


 


 


องค์ชายใหญ่กลับลุกขึ้นนั่งบนเตียง จ้องมองพระชายาตาด้วยสายตาดุดันภายใต้เงามืดยามราตรีราวกับแทบอยากจะแล่เฉือนนางออกเป็นชิ้นๆ ในเดี๋ยวนั้น เพื่อดับสุมเพลิงแห่งความดาลเดือดที่อยู่ในใจของตัวเอง 


 


 


ตั้งแต่ที่ได้เข้าใจเรื่องความรัก เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองชอบผู้ชาย หาใช่ผู้หญิงไม่ ทว่า เขาไม่กล้าให้ใครรับรู้ เหล่าพี่น้องของเขามีตั้งมากมาย ถ้าหากเผลอให้พวกนั้นล่วงรู้ถึงรสนิยมนี้ของเขา ก็อย่าหวังว่าชีวิตของเขานี้จะได้เป็นผู้ขึ้นครองบัลลังก์อันแสนล้ำค่านั่นอีกเลย ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องอภิเษกสมรสกับผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ ก็ใครใช้ให้พ่อของนางเป็นผู้มีอิทธิพลใหญ่โตกันเล่า ตัวเองอยากจะได้บัลลังก์อันแสนล้ำค่านั่น ก็จำเป็นต้องพึ่งบารมีของเขา แต่ทุกครั้งที่เขาต้องทำตัวสนิทสนมรักใคร่กับผู้หญิง ร่างกายของเขาก็รู้สึกต่อต้านจากภายใน แต่ก็ดันผ่านมาได้หลายปีขนาดนี้แล้ว ท้องของนางก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  แม้แต่เด็กชายหรือเด็กหญิงสักคนก็ไม่ได้มีให้เขา เขาทั้งคับแค้นและเกลียดชัง แต่ก็จนปัญญา 


 


 


คิดถึงตรงนี้ ในใจก็รู้สึกรำคาญและสับสน จึงยื่นนิ้วมือออกไปสกัดจุดนาง สวมใส่เสื้อผ้า ลงจากเตียง และเดินออกไป 


 


 


สาวใช้ที่เฝ้ายามดึกหน้าประตูสะดุ้งตกใจ แล้วรีบทำความคารพ 


 


 


องค์ชายใหญ่โบกมือ “ข้านอนไม่หลับ จะไปเดินเล่นในสวนเสียหน่อย” 


 


 


สงครามกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ความคิดในใจขององค์ชายใหญ่ย่อมต้องมีมากมาย เหล่าสาวใช้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก 


 


 


องค์ชายใหญ่ออกจากเรือน ตรงมาถึงเรือนที่หวงฝู่เย่าเย่ว์พักอาศัย 


 


 


เที่ยงคืนผ่านไปแล้ว บ่าวรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูสัปหงกอยู่ตลอด 


 


 


องค์ชายใหญ่เดินมาตรงหน้าพวกเขา ทั้งสองคนถึงจะสะดุ้งตื่น พอเงยหน้า และเห็นชัดว่าเป็นองค์ชายใหญ่ ก็ผวาจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง แล้วคุกเข่าลงบนพื้นดัง ตึง ทันที พร้อมร้องขอเมตตาอย่างกระสับกระส่าย “องค์ชายใหญ่ไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายใหญ่ไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


ภายในห้อง หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกใจตื่น และลืมตาขึ้นโดยทันที แล้วลุกตัวขึ้นนั่งเตรียมรับมือ 


 


 


“คนล่ะ” กวาดสายตามองพวกเขาอย่างง่ายๆ แล้ว องค์ชายใหญ่ก็ถามอย่างใจเย็น 


 


 


“อยู่…อยู่ในห้องพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งคู่ตอบเสียงสั่น 


 


 


“ถ้ายังมีครั้งต่อไป ข้าจะลากพวกเจ้าออกไปให้หมากิน” 


 


 


องค์ชายใหญ่พูดอย่างสบายๆ แล้วเอื้อมมือผลักประตูเปิดออก และเดินเข้าไปในห้อง 


 


 


บ่าวทั้งสองคนหวาดประหวั่นจนเหงื่อซึมไหลจากศีรษะไม่หยุด หลังจากที่องค์ชายใหญ่ซื้อพวกเขามาจากรัฐอู่แล้ว ก็มีสีหน้ายิ้มแย้มกับพวกเขาตลอด ไม่เคยพูดจาแรงเช่นนี้กับพวกเขา 


 


 


ภายในห้อง หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงยืนอยู่ ในมือถือตะเกียบที่หลายวันก่อนกินข้าวเสร็จแล้ว แสร้งทำเป็นพลาดพลั้งทำหักครึ่งท่อน 


 


 


องค์ชายใหญ่เดินเข้ามาในห้อง เห็นผมของ ‘เขา’ ยุ่งเหยิง ยืนชิดติดเตียง นัยน์ตาก็ส่องประกายขึ้นมา ไม่พูดอะไรให้มากความ สาวเท้าเดินเข้าไปตรงหน้าเขา แล้วยื่นมือออกไปเพื่อฉีกเสื้อผ้าของ ‘เขา’ 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 35 ช่วยออกมา

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เขยิบตัวถอยออกมาก้าวหนึ่งอย่างรวดเร็ว 


 


 


มือขององค์ชายใหญ่คว้าอากาศว่างเปล่า ชะงักไปเล็กน้อย แล้วมุมปากก็เผยรอยยิ้มสนุกขึ้นมาทันที ร่างกายขยับเคลื่อนเข้ามาหา กดดันหวงฝู่เย่าเย่ว์ต้องถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว กระทั่งตัวพิงชิดกับขอบเตียง ไม่มีพื้นที่ให้ถอยอีก 


 


 


เมื่อเห็นนัยน์ตาของหวงฝู่เย่าเย่ว์ปรากฏความกระสับกระส่ายในที่สุด ประกายเจ้าเล่ห์ภายในตาขององค์ชายใหญ่ก็ส่องระยิบระยับ แต่น้ำเสียงกลับมีความอ่อนโยนขึ้นอย่างน่าประหลาด “วางใจเถิด ข้าจะไม่ทำให้ต้องทรมาน” 


 


 


พูดจบ มือก็ยื่นออกไป ตรงเข้ามาทางเสื้อผ้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์อีกครั้ง 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ยกตะเกียบครึ่งท่อนขึ้น แล้วแทงไปที่มือขององค์ชายใหญ่รวดเร็ว แม่นยำ และรุนแรงโดยปราศความลังเล 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายใหญ่ก็นึกไม่ถึงว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะกล้าลงมือกับเขา เขารีบดึงมือกลับด้วยความตกใจ แต่ก็ยังถูกคมของตะเกียบบาดเข้าที่หลังมือ และมีโลหิตสีแดงสดไหลออกมาทันใด 


 


 


องค์ชายใหญ่สบถร้องอย่างไม่สบอารมณ์ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยความตะลึง 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ยกตะเกียบที่เปื้อนเลือดขึ้น มองด้วยสายตาโกรธแค้น ถ้าเขาเข้ามาอีกครั้ง ก็จะขอสู้จนตัวตายไปพร้อมกับเขา 


 


 


ครั้นเห็นท่าทางของเขาแบบนี้ ความเดือดดาลที่พลุ่งพล่านบนหน้าขององค์ชายใหญ่ก็มลายสิ้น แลบลิ้นเลียเลือดที่หลังมือ นัยน์ตาปรากฏอำนาจที่ต้องได้ครอบครอง 


 


 


เมื่อถูกแววตานั่นของเขาจับจ้อง หัวใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เต้นระเร็ว ทำให้มือที่ถือตะเกียบขึ้นมาอยู่สั่นไหวเล็กน้อย 


 


 


องค์ชายใหญ่เดินเข้ามาหนึ่งก้าว 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากจะถอยหลังตามสัญชาตญาณ แต่ด้านหลังก็เป็นเตียงแล้ว 


 


 


นาง…ถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้ว! 


 


 


องค์ชายใหญ่ยิ้มภายใต้แสงที่มืดสลัว นัยน์ตามิได้ปิดบังความใคร่แม้แต่น้อย 


 


 


แม้ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะไม่เข้าใจท่าทางของเขา แต่ก็รู้สึกถึงไอของความปรารถนาที่จะครอบครองจากร่างกายของเขา และรู้ว่าคืนนี้ตัวเองจะหนีไม่พ้นเป็นแน่ จึงตัดสินใจ พลิกมือหันกลับมา ให้ตะเกียบที่แหลมคมจ่อตรงกับลำคอของตัวเอง แล้วแผดเสียงข่มขู่ “ถ้าเจ้ายังจะเข้ามาอีก ข้าก็จะตายให้เจ้าดู” 


 


 


ความสนุกสนานภายในตาขององค์ชายใหญ่ยิ่งเข้มข้นขึ้น และความใคร่ก็ยิ่งรุนแรง ผ่านมาตั้งหลายปี เขาไม่เคยเจอคนที่ดูน่ารักและแกล้วกล้าเช่นนี้เลย มุมปากก็แสยะขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวถาม “รู้ไหมว่า ถ้าข้าไม่พาเจ้ามาที่รัฐอิง เจ้าจะมีจุดจบอย่างไร” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เข้าใจความหมายของเขา เบิกดวงตาโพลงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


องค์ชายใหญ่ใจสั่นเกินจะอดใจไหว มือก็ขยับโดยไม่รู้ตัว ทว่า ก็ต้องฝืนยับยั้งเอาไว้ “ถ้าหากว่าข้าไม่พาตัวเจ้าออกมา เกรงว่าตอนนี้ชีวิตเจ้าก็คงเหมือนตายทั้งเป็นแล้วล่ะ เช่นนั้น เจ้าก็ควรจะขอบคุณที่ข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตไว้ไหมนะ” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่พูด 


 


 


องค์ชายใหญ่เคลื่อนไปด้านหน้าเล็กน้อยโดยไม่ทันสังเกต แล้วพูดต่อ “ชิงเฟิงโหลวทำอะไร แม่เล้าในนั้นคงบอกเจ้าแล้วสินะ” 


 


 


ในที่สุดหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เข้าใจความหมายของเขา เอ่ยปาก “ข้าไม่ได้ยินยอม ข้าถูกคนมอมให้สลบตอนที่ข้าพักอยู่ในโรงเตี๊ยม แล้วก็ขายข้าไปที่นั่น” 


 


 


“เช่นนั้นแล้วอย่างไรล่ะ ในเมื่อเจ้าเข้าไปข้างในแล้ว เจ้าก็จะไม่มีวันได้ออกมาอีก นอกจากตายสถานเดียว” 


 


 


คำพูดของเขาสิ้นลง หวงฝู่เย่าเย่ว์คล้ายว่ารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา “เจ้า…ถ้าหากว่าเจ้าปล่อยข้าไป ข้า…ข้าสามารถ…ข้าสามารถ…ข้าสามารถให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ามอบเงินให้เจ้าสองพันตำลึงได้” 


 


 


องค์ชายใหญ่หรี่ตา หัวเราะเสียงดัง ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “คิดว่าหลายวันนี้ เจ้าก็น่าจะรู้สถานะของข้าชัดเจนแล้วนะ เจ้าคิดว่า ข้าผู้เป็นองค์ชายใหญ่ที่องอาจแห่งรัฐ จะขาดแคลนเงินทองสองพันตำลึงนั่นหรือ” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็รอฝังศพเถิด” น้ำเสียงของหวงฝู่เย่าเย่ว์มั่นคง 


 


 


องค์ชายใหญ่ส่ายหน้า “เจ้าจะไม่ตายแน่นอน” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์กดตะเกียบเข้าลำคอของตัวเอง “ถ้าหากว่าเจ้ากล้าแตะต้องตัวข้า ข้าก็จะตายให้เจ้าดูทันที” 


 


 


“งั้น…หรือ” คำพูดคำแรกดังออกไป ร่างกายองค์ชายใหญ่ก็มาถึงตรงหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ราวกับเงาวิญญาณ กว่าคำพูดคำที่สองจะดังขึ้น แขนของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ชา ทำให้ตะเกียบในมือร่วงหล่นลงบนพื้น และส่งเสียงร้องเสียงเบาๆ ออกมา ความหวังของหวงฝู่เย่าเย่ว์ทั้งหมดได้พังทลายลงเสียแล้ว 


 


 


ยังไม่รอให้นางมีปฏิกิริยาตอบสนองคืน องค์ชายใหญ่ก็ได้อุ้มร่างกายที่ผอมบางของนาง โยนทิ้งลงบนเตียง แล้วแนบทับเข้าไปแน่น มือใหญ่ของเขาก็ฉีกเสื้อผ้าบนกายของหวงฝู่เย่าเย่ว์ออก 


 


 


“กรี๊ด!” หวงฝู่เย่าเย่ว์ร้องตะโกนเสียงแหลม 


 


 


เสียงร้องที่ดังจนแก้วหูขององค์ชายใหญ่เกือบแตก ทำให้เขาตระหนักอะไรขึ้นได้ จึงก้มหน้า จ้องหวงฝู่เย่าเย่ว์ นัยน์ตาเผยประกายอำมหิต “เจ้าเป็นผู้หญิง?!” 


 


 


 


 


 


ภายในโรงเตี๊ยม เวลายังไม่ถึงเที่ยงคืนดี เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เก็บของทุกอย่างเสร็จแล้ว แล้วเดินออกห้องเบาๆ มาเคาะประตูห้องของหลินหันเยียนกับหวงฝู่อี้เซวียนสองครั้ง ประตูได้ถูกเปิดออกทันใด ทั้งสองคนที่เก็บของเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมา หวงฝู่เฮ่าเดินเข้าไปในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยวเพื่ออยู่เป็นเพื่อนกับหวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียนกระโดดออกจากหน้าต่างตรงกลางไปนอกโรงเตี๊ยมโดยปราศเสียง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชำนาญวิชาตัวเบา ส่วนหลินหันเยียนก็ไม่ได้ชำนาญเท่าไรนัก ความเร็วของทั้งสามคนเมื่อเทียบกับเมื่อคืนก่อน จึงช้าลงมากอย่างเห็นได้ชัด ยังดีที่โรงเตี๊ยมห่างจากจวนขององค์ชายใหญ่ค่อนข้างใกล้ จึงไม่ได้ทำให้เสียเวลาไปมากเท่าไร 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคลำหาเส้นทางตามความทรงจำจนมาถึงประตูเล็กข้างจวน หลังจากมองตากับหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็อุ้มนางกระโดดขึ้นบนกำแพง เมื่อแน่ใจว่าคนเฝ้าประตูเล็กข้างจวนหลับสนิทไปแล้ว ถึงจะอุ้มนางกระโดดเข้าไปในเรือน มาถึงหน้าห้องของหญิงชราและสาวใช้สองคนที่เฝ้าประตูเล็กข้างจวน ซึ่งพวกนางกำลังนอนหลับอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวคว้ากริชที่พกติดตัวออกมา ตัดท่อนไม้กั้นประตูด้วยเสียงเบา แล้วทั้งสองก็เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือไปกดจุดทั้งสามคนด้วยความว่องไว เมิ่งเชี่ยนโยวคลำหากุญแจบนตัวของหญิงชรา แล้วเปิดประตูเล็กให้หลินหันเยียนเข้ามา 


 


 


จากนั้น ทั้งสามคนเดินเข้าไปภายในห้อง แล้วแก้จุดให้หญิงชรา ขณะที่นางสะดุ้งตื่นขึ้น แล้วกำลังจะร้องตะโกน เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอากริชกดเข้าที่ลำคอของนาง แล้วส่งเสียงขู่ “ถ้าหากเจ้ากล้าร้อง ข้าจะส่งเจ้าขึ้นสวรรค์บัดเดี๋ยวนี้” 


 


 


เห็นกริชที่ส่องประกายวาบภายใต้ความมืดยามราตรี เสียงที่จะร้องขอความช่วยเหลือในลำคอก็กลืนกลับลงไป ทว่า ไม่เข้าใจว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอะไร จึงมองสามคนตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนกและกระวนกระวาย 


 


 


หลินหันเยียนทวนคำพูดที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกรอบ 


 


 


หญิงชราเข้าใจแล้ว ความหวาดกลัวบนใบหน้าก็ยิ่งเพิ่มทวี ร่างกายสั่นระรัวดั่งกระด้งร่อนข้าว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เสียเวลาพูดกับนาง เอ่ยปากถามตรงๆ “ซูซินย่วนอยู่ไหน” 


 


 


หลินหันเยียนพูดแปลตาม 


 


 


หญิงชราชูมือขึ้นชี้ไปทิศทางหนึ่งด้วยความสั่นเทา 


 


 


“รีบนำพวกข้าไป แค่เจ้าซื่อตรง ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้าหลังจากที่ไปถึง” ครั้งนี้ไม่รอให้เมิ่งชี่ยนโยวเอ่ยปาก หลินหันเยียนก็พูดขู่นางด้วยตัวเอง 


 


 


ไหนเลยที่หญิงชราจะเคยเจอสถานการณ์การบุกรุกเช่นนี้มาก่อน แข้งขาก็อ่อนแรงไปหมด แม้ว่าอยากจะพาพวกเขาไป ก็หวาดกลัวจนเดินไม่ไหว ก้าวขาไม่ออก 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นสภาพดังนั้น จึงยกตัวนางขึ้นแล้วหิ้วออกไปด้านนอก 


 


 


ขาของหญิงชราเหนืออยู่บนพื้น ก็ผวาจนใบหน้าไม่เหลือสีเลือดแม้แต่น้อย แม้แต่ความคิดที่จะร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่มีอีกแล้ว และชี้ทางให้พวกเขาด้วยอาการสั่นเทิ้มตลอดทาง กระทั่งมาถึงซูซินย่วน 


 


 


เมื่อถึงที่หมายแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงยื่นมือไปกดจุดหญิงชรา แล้วทิ้งนางไว้ด้านหนึ่ง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน ยังไม่ทันจะได้โบกมือส่งสัญญาณ ภายในห้องก็มีเสียงกรีดร้องแหลมของหวงฝู่เย่าเย่ว์ดังออกมา 


 


 


ตามมาด้วยเสียงขององค์ชายใหญ่ 


 


 


ทั้งสามคนก็กระโดดเข้าไปในเรือนโดยที่ไม่สนความอันตรายอีกต่อไป 


 


 


บ่าวที่เฝ้าภายในเรือนเห็นเงาคนสามร่างกระโดดเข้ามาในเรือนฉับพลัน ก็ตกใจ และอ้าปากอยากจะร้องตะโกนโดยทันที 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวลงมือในเวลาเดียวกัน ขณะที่เสียงร้องของพวกเขายังคงอยู่ในลำคอ ก็จัดการสองคนนั่นอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้มีเสียงดังออกมา หลินหันเยียนก็เร่งฝีเท้าตรงมาถึงหน้าประตู ปัง! เท้าข้างหนึ่งถีบประตูออก 


 


 


ภายในห้อง 


 


 


เสียงร้องแหลมของหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ลืมปกปิดตัวตน ทำให้องค์ชายใหญ่ฟังออกว่าเป็นเสียงของผู้หญิง หลังจากกล่าวถามนางอย่างไม่เชื่อแล้ว ก็ยื่นมือออกไปตรวจสอบร่างกายนาง 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์จะยอมให้เขาทำตามอำเภอใจได้ที่ไหนกัน กัดฟัน ใช้แรงทั้งหมดที่มี ยกหัวขึ้นกระแทกเข้ากับองค์ชายใหญ่อย่างแรง 


 


 


โป๊ก! เบื้องหน้าขององค์ชายใหญ่เป็นประกายดาวพร่ามัว ส่วนเบื้องหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์กลับมืดดำ และรู้สึกเจ็บจนเกือบจะหมดสติไป 


 


 


องค์ชายใหญ่เจ็บจนขบฟันแน่น เปลี่ยนทิศทางมือที่จะไปตรวจสอบร่างกายเข้ามาบีบคอนาง “เจ้าเด็กสารเลว วอนหาที่ตายนักนะ!” 


 


 


พูดจบ ประตูห้องก็ถูกคนถีบเปิดออก หลินหันเยียนบุกเข้ามา เห็นสถานการณ์ตรงหน้าชัดเจนแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก ดึงกระบี่ข้างเอวขึ้นมาพุ่งแทงไปที่องค์ชายใหญ่ 


 


 


ในสถานการณ์ที่กำลังร้อนใจ องค์ชายใหญ่พลิกตัวนอนลงบนเตียง จับหวงฝู่เย่าเย่ว์กันเอาไว้ด้านหน้า 


 


 


หลินหันเยียนตกใจอย่างมาก รีบหยุดมือไว้ กระบี่อยู่ห่างจากแผ่นหลังของหวงฝู่เย่าเย่ว์หนึ่งคืบพอดี 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้องพร้อมกัน ครั้นเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าชัดเจน จึงหยุดฝีเท้าลง 


 


 


“พวกเจ้าเป็นใคร” องค์ชายใหญ่มองทั้งสามคนภายในห้อง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “พวกข้ามาตามลูกสาวคนเล็กกลับบ้าน หวังว่าองค์ชายใหญ่จะส่งทรงให้แต่โดยดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์หันหลังให้พวกเขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย จนกระทั่งได้ยินเสียงหวงฝู่อี้เซวียน ก็ตื่นเต้นจนเกือบจะร้องไห้ออกมา “ท่านพ่อ รีบช่วยลูกด้วยเจ้าค่ะ!” 


 


 


องค์ชายใหญ่แสยะยิ้ม ยังคงจับหวงฝู่เย่าเย่ว์กันไว้ด้านหน้า แล้วเอนตัวนั่งขึ้นมาอย่างช้าๆ ดวงตาดั่งเหยี่ยวจ้องสามคนเขม็ง “อยากจะเอาคนจากมือของทั่วป๋าหั่นมู่ ก็ต้องดูว่าสถานะของพวกเจ้าพอหรือไม่” 


 


 


“ลูกสาวรักสนุก จึงปิดบังพวกเรา ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายหนีออกบ้านเที่ยวเล่น นึกไม่ถึงว่าจะผ่านร้านมืด และถูกมอมยา ขายเข้าชิงเฟิงโหลว คนที่องค์ชายใหญ่ถูกใจควรจะเป็นชายหนุ่มที่แท้จริง ดังนั้น ขอโปรดให้องค์ชายใหญ่ให้อภัยและพระทัยกว้างปล่อยให้พวกข้าพาลูกสาวกลับไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อ 


 


 


องค์ชายใหญ่เลื่อนมือเปลี่ยนเป็นบีบที่คอหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วกล่าวด้วยความโกรธที่อัดอั้น “ในเมื่อมาขอคนถึงที่ ก็ต้องเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ข้าดูเสียหน่อยล่ะ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับคนตรงหน้าเป็นภาษารัฐอู่ เวลานี้กลับแต่งกายเป็นคนของรัฐอิง จึงย่อมปิดบังองค์ชายใหญ่ไม่ได้ 


 


 


“ได้พ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ กวาดสายตามองภายในห้อง เห็นถาดน้ำแล้ว จึงเดินเข้าไปล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าออก แล้วควักผ้าเช็ดหน้าซับให้แห้งจนปรากฏใบหน้าที่แท้จริง และหันกลับไปตรงหน้าองค์ชายใหญ่ 


 


 


องค์ชายใหญ่เห็นใบหน้าของเขางดงาม เกลี้ยงเกลา และสง่างาม เป็นชายรูปงามที่หาพบได้ยากในแผ่นดิน จิตใจพลันรู้สึกหวั่นไหว เผยสายตาโหยหิวน้ำลายสอ “เพียงแค่พวกเจ้ารับปากเงื่อนไขข้อหนึ่งของข้า ข้าก็จะปล่อยคนโดยทันที ไม่เพียงเท่านี้ ข้ายังจะสั่งคนให้ส่งพวกเจ้าออกนอกชายแดนกลับไปถึงที่รัฐอู่ด้วย” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 36 หนีออกมา

 

“ตรัสมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” สัมผัสได้ถึงแววตาที่ปิดบังความใคร่ของเขาไม่ได้ หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วและพูดโดยพยายามระงับสุมเพลิงที่พลุ่งพล่านขึ้นมา 


 


 


“เจ้านอนกับข้าคืนหนึ่งเป็นอย่างไรล่ะ” 


 


 


คำพูดของเค้าสิ้นลง สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เปลี่ยนไป รอบกายมีไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมา  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก ยืนอยู่ด้านหลังโดยไม่พูดอะไร 


 


 


“เป็นอะไร ไม่ยอมหรือ” องค์ชายใหญ่ยิ้มถามราวกับว่าไม่ได้รู้สึกถึงไอรอบกายที่เปลี่ยนไปของหวงฝู่อี้เซวียนแม้แต่น้อย พร้อมส่งสายตาประเมินเขาจากบนลงล่างหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย เดินเข้ามาคล้องแขนของหวงฝู่อี้เซวียน แล้ว พูดยุแหย่ปนด้วยรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจ “เช่นนั่นไม่ได้หรอกนะเพคะ เขาเป็นคนของข้า ถ้าเขาจะต้องอยู่กับพระองค์ ก็ต้องเอาข้าไปด้วยเพคะ” 


 


 


นัยน์ตาองค์ชายใหญ่ส่องประกายโหดเ**้ยม และมือบีบแน่นตามสัญชาตญาณ 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์เจ็บจนเกือบจะร้องออกมา จึงกัดริมฝีปากแน่น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมององค์ชายใหญ่ด้วยท่าทีเรียบเฉย แล้วเอ่ยปากอีกครั้ง “องค์ชายใหญ่คงทรงไม่ทราบอะไร เซี่ยงกงของข้าพอใช้งานได้ทีเดียวเลยล่ะเพคะ ทุกคืนล้วนทำให้ข้าอยากขึ้นสวรรค์ แล้วข้าจะให้เขา…” 


 


 


พูดยังไม่จบ ก็ถูกเสียงที่โมโหร้ายขององค์ชายใหญ่แทรกขึ้น “นังหญิงเลว!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชูนิ้วออกมา แล้วแกว่ง “องค์ชายใหญ่ตรัสผิดแล้วเพคะ เรื่องรักใคร่ของสามีภรรยาก็ดั่งความสุขของน้ำกับปลา คนบนแผ่นดินล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น เพียงแต่ข้าโชคดีได้เจอสินค้าชั้นเยี่ยมที่หาได้ยากบนโลกนี้ ก็เลยได้เสพสุขมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น” 


 


 


“หุบปาก!” องค์ชายใหญ่ถูกเสียดสีจนครามเสียงดัง และเริ่มเสียสติ ทำให้จับตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์เบาเล็กน้อย 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่จ้องโอกาสตอนที่เขาสติหลุดอยู่ตลอด ร่างกายก็ขยับไปคว้าแขนของหวงฝู่เย่าเย่ว์ดึงเข้าอ้อมอกของตัวเองอย่างรวดเร็ว 


 


 


องค์ชายใหญ่ตอบสนองกลับทันที มือออกแรงอยากจะจับตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์อีกครั้ง 


 


 


คมกริชบนมือของเมิ่งเชี่ยนโยวส่องประกายวาบ ปาดไปที่แขนของเขา ถ้าหากเขาไม่ปล่อยมือ แขนท่อนนี้ต้องถูกฟันขาดอย่างแน่นอน 


 


 


องค์ชายใหญ่ปล่อยมือโดยไร้ความลังเล หวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกหวงฝู่อี้เซวียนดึงมาที่อ้อมอกของตัวเอง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อาลัยที่จะสู้ต่อ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว และพูดกับทุกคน “พวกเราไปเถอะ!” 


 


 


คำพูดของนางสิ้นลง องค์ชายใหญ่ก็หัวเราะเสียงดัง ภายในเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและยโสโอหัง “พวกเจ้าเห็นจวนขององค์ชายของข้านี้เป็นสวนหลังบ้านของพวกเจ้าหรือ อยากจะก็มา อยากจะไปก็ไป” 


 


 


ไม่มีคนสนใจเขา 


 


 


หลินหันเยียนก็ได้หันตัวออกไปด้านนอกแล้ว 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโอบหวงฝู่เย่าเย่ว์หันกลับไปเช่นกัน  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกันอยู่ด้านหลัง จับจ้ององค์ชายใหญ่ และถอยหลังไปทีละก้าวๆ 


 


 


องค์ชายใหญ่ไม่ได้ลุกขึ้นมาขวางพวกเขา แต่ส่งแววตาเหมือนผู้ล่าเหยื่อมองแต่ละคน รอจนกระทั่งทุกคนกำลังจะออกไปจากห้องแล้ว ถึงเอามือวางไว้ที่ขอบปาก แล้วส่งเสียงแหลมสั้นๆ ออกมา 


 


 


คิดว่านี่ต้องเป็นสัญญาณลับเรียกคนแน่ๆ ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกหนักอึ้ง และเดินยิ่งเร็วขึ้นอีก 


 


 


ทุกคนเพิ่งออกมาถึงในเรือน ก็มีชายฉกรรจ์จำนวนนับไม่ถ้วนลอยตัวเข้ามาจากนอกเรือน ล้อมพวกเขาสี่คนไว้ตรงกลางอย่างรวดเร็วด้วยฝีเท้าแต่ละก้าวที่หนักแน่น และลมปราณที่สม่ำเสมอ  


 


 


ทั้งสี่คนถูกบีบเข้ามาทำให้ต้องหยุดฝีเท้า และมองพวกเขาอย่างถมึงทึง 


 


 


องค์ชายใหญ่เดินออกมาจากในห้องอย่างช้าๆ หลังจากมองแต่ละคนอย่างสบายๆ แล้ว ก็โบกมือขึ้น  


 


 


มีคนรีบเข้าไปในห้อง ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางไว้ด้านหลังเขา 


 


 


องค์ชายใหญ่นั่งลง เพิกเฉยทุกคน จับจ้องแต่เพียงหวงฝู่อี้เซวียนตาไม่ขยับ แล้วก็ถูกความงามของเขาทำให้ตะลึงทึ่งอีกครั้ง ความปรารถนาภายในดวงตาเปิดเผยออกมาอย่างแจ่มชัด 


 


 


เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ถูกผู้ชายจับจ้องด้วยสายตาเช่นนี้ ความรู้สึกอยากจะฆ่าคนของหวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ขยับมือกำแน่นตามสัญชาตญาณ แล้วฝืนข่มเอาไว้สุดชีวิต บนใบหน้าจึงไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา 


 


 


ร่างกายขององค์ชายใหญ่เอนไปด้านหลัง พิงอยู่บนพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แล้วชูสองนิ้วออกมาจากมือที่กำไว้อย่างผู้ชนะ ตามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความใคร่ “มีทางเลือกให้พวกเจ้าสองทาง อย่างแรก….” พูดถึงตรงนี้ ก็ชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียนแล้วพูดต่อ “เจ้าอยู่ที่นี่ แล้วคืนนี้ ข้าจะให้คนไปส่งพวกเขาออกไป” 


 


 


“อย่างที่สอง…” กวาดสายตามองทุกคน “ชีวิตของพวกเจ้าก็ทิ้งไว้ที่นี่ทั้งหมด” พูดถึงตรงนี้ ก็มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน “แน่นอนว่าก่อนเจ้าตาย ก็จะให้เจ้าได้เสพสุขอย่างอภิรมย์กับข้าอย่างแน่นอน” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนถอดเสื้อนอกอย่างสุขุม สวมบนร่างที่อ่อนแอของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จากนั้นก็เอนกายช่วยจัดแจงให้นางเรียบร้อย แล้วจึงผลักไปข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งกริชอีกเล่มบนมือให้กับหวงฝู่เย่าเย่ว์ 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนละสายตา มองไปทางองค์ชายใหญ่ ยืนเอามือพาดหลัง ภายในดวงตามีประกายสังหาร แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยามเหยียด “อยากจะให้ข้าอยู่ พวกของท่านไม่มีความสามารถมากขนาดนั้นหรอก!” 


 


 


หลายปีมานี้ องค์ชายใหญ่ไปชิงเฟิงโหลวทุกเดือน เดือนละครั้ง และทุกครั้งพักอาศัยเป็นเวลาสามถึงห้าวัน การอยู่ที่นั่นทำให้ได้ปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่า ผู้ชายแบบไหนก็ผ่านมาหมดแล้ว มีแต่เพียงหน้าตาเกลี้ยงเกลางดงาม และสง่าสูงศักดิ์ดั่งเช่นหวงฝู่อี้เซวียนนี้ เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน จึงรู้สึกอยากได้จนยากจะทนตั้งแต่แรก ได้ยินเขาพูดจบ ก็หัวเราะเสียงดัง “ยอดเยี่ยม ข้าชอบ” 


 


 


พูดจบ ก็โบกมือ 


 


 


ชายฉกรรจ์ภายในเรือนทุกคนเคลื่อนไหว ไอของดาบพุ่งจู่โจมเข้ามาที่แต่ละคน 


 


 


ทุกคนเตรียมรับศึก ภายหลังจากที่หวงฝู่เย่าเย่ว์เจอกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ในใจก็สงบลง และไม่มีความหวั่นเกรงอีก จึงเผชิญกับผู้มีฝีมือโดยไม่กลัว และตั้งรับศึกอย่างสุขุม 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์กับหลินหันเยียนเป็นส่วนที่อ่อนแอ ผ่านไปไม่กี่สิบกระบวนท่า คนที่ล้อมตีก็พบจุดอ่อนนี้ จึงต่างพุ่งโจมตีมาที่ทั้งสองคนโดยไม่ได้นัดหมาย เพียงแค่ล้มพวกเขาได้ อีกสองคนที่เหลือก็จัดการง่ายแล้ว 


 


 


คนโจมตีเข้ามามากมาย หวงฝู่เย่าเย่ว์กับหลินหันเยียนเริ่มเหน็ดเหนื่อย และร่างกายก็เริ่มแบกรับไม่ไหว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเหตุการณ์ดังนั้น จึงโจมตีอย่างรุนแรง แล้วหาโอกาสตอนที่ศัตรูหลบหลีก กระโดดเข้ามาตรงหน้าทั้งสองคน เพื่อช่วยกันการโจมตีของพวกชายฉกรรจ์ 


 


 


ภัยอันตรายของทั้งสองหายไป แต่ก็เหนื่อยล้าจนหอบหายใจแรง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้ว่าวิทยายุทธ์ของหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวจะแกร่งกล้าแค่ไหนก็ต้องเสี่ยงอย่างมาก 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ ชัดเจน และเด็ดขาด “พวกเจ้าหนีไปก่อน ข้าจะสกัดด้านหลังไว้!” 


 


 


องค์ชายใหญ่ได้ยินคำพูดของเขาดังมาถึงหู ก็หัวเราะเสียงดัง มองหวงฝู่อี้เซวียนราวกับมองลูกไก่ในกำมือ “อยากจะหนี เกรงว่าจะไม่ง่ายอย่างนั้น” 


 


 


“งั้นหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนย้อนถามอย่างเรียบเฉย 


 


 


ไม่รอให้องค์ชายใหญ่ตอบ ตั้งจิตรวบรวมกำลังภายใน โบกลมสะบัดเข้าใส่โดยฉับพลัน เหล่าชายกรรจ์ที่จู่โจมตรงหน้าถูกพัดไปออกไปในระยะนอกสองก้าว แล้วล้มลงพื้นพร้อมกันทันใด 


 


 


องค์ชายใหญ่ตกใจจนรอยยิ้มบนใบหน้าคลายลง ยืนขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนร้องโดยทันที “ไป!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจูงหวงฝู่เย่าเย่ว์ ส่วนหลินหันเยียนตามติดอยู่ด้านหลัง แล้วทั้งสามคนก็กระโดดออกจากเรือน 


 


 


ทว่า ด้านหลังของหวงฝู่อี้เซวียน มีลมสะบัดโถมเข้ามา ไม่ต้องหันหลังก็รู้ว่าองค์ชายใหญ่ออกโรงแล้ว จึงใช้ทักษะการฟังหลบวิชานี้ของเขาโดยที่ไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับไป แล้วร่างกายก็กระโดดออกนอกเรือนตามไป 


 


 


ความจำของเมิ่งเชี่ยนโยวดีมาก หลังจากกระโดดออกจากเรือนแล้ว ก็อาศัยทิศทางเดิมมุ่งหน้าไปยังประตูเล็กข้างจวน 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามอยู่ด้านหลัง 


 


 


คิดไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะหลบท่านี้ของตัวเองอย่างง่ายดาย องค์ชายใหญ่ยืนตะลึงอยู่ด้านหลัง 


 


 


เห็นเงาร่างของเขาหายไปจากในเรือน ก็คำรามด้วยความโกรธ “พวกไร้ประโยชน์ยังไม่รีบไล่ตามไปอีก!” 


 


 


พูดจบ ตัวเขาก็ออกไปนอกเรือน 


 


 


ชายฉกรรจ์หลายคนก็ตามหลังเขาไปติดๆ 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่เหลือก็ปีนตัวขึ้นจากพื้นอย่างลนลาน แล้วตามออกมาด้วยความโซซัดโซเซ 


 


 


เมื่อเห็นทิศทางที่แต่ละคนหนีออกไปชัดเจน ดวงตาขององค์ชายใหญ่ก็หรี่ลง แล้วโบกมือ ออกคำสั่งไปทางด้านนั้น “จับพวกมันมา ไม่ว่าเป็นหรือตาย” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยกำลังภายในออกไปในครู่นั้น ทำให้สมองที่กำลังลุ่มหลงในความใคร่ขององค์ชายใหญ่ได้สติขึ้นมาทันใด ดูลักษณะของแต่ละคนนั่นแล้ว ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ และคนที่มีสถานะสูงศักดิ์ภายในรัฐอู่ อีกทั้งมีความสามารถวิทยายุทธ์สูงทรง หน้าตาสง่างามหมดจด ก็มีแต่เพียงซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีแล้ว ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้จริง ผู้หญิงที่มีศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา กำจัดได้โดยยากนั่น ก็น่าจะเป็นซื่อจื่อเฟย ส่วนผู้หญิงอีกคนล่ะ สนใจทำไมว่านางเป็นใคร มีแค่สองคนนี้ก็เพียงพอแล้ว เพียงแค่จับพวกเขาได้ สงครามยึดชายแดนรัฐอู่ในวันพรุ่งนี้ ก็ไร้ซึ่งปัญหาใดๆ แล้ว คิดมาถึงตรงนี้ ก็เปลี่ยนใจ แล้วสั่งบ่าวของตัวเอง “จับเป็นทุกคน จับได้แล้ว ให้รางวัลเป็นทองพันชั่ง” 


 


 


ทองพันชั่ง นี่เป็นจำนวนที่หลายกี่สิบชาติของตัวเองก็หามาไม่ได้ พวกชายฉกรรจ์ได้ยินแล้ว ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ความกล้าหาญเพิ่มพูนขึ้น แล้วไล่ตามไปด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าแลบ 


 


 


ฝีเท้าขององค์ชายใหญ่ก็ไม่ได้หยุด มือวางไว้ที่มุมปาก แล้วส่งเสียงดังแหลมอย่างยาวนาน 


 


 


ตามด้วยเสียงนี้ ภายในจวนองค์ชายใหญ่ก็มีการเคลื่อนไหวขึ้น ทุกที่ภายในจวนถือคบเพลิงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนจากแต่ละหนแห่งต่างรวมตัวมาตามเสียง 


 


 


แต่หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงนี้และเห็นคบไฟส่องแสงสว่างรอบทิศแล้ว ในใจหนักอึ้งอย่างที่สุด เมื่อครู่ที่เพิ่งรับศึกกับชายฉกรรจ์พวกนั้น ด้านนี้ของตัวเองก็เหนื่อยล้าอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าหากว่ายังจะมาอีกระลอกหนึ่ง เกรงว่าคืนนี้พวกเขาดิ้นหลุดยากเสียแล้ว 


 


 


ในใจคิด ฝีเท้าก็พลางเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น ตอนที่ตาเห็นว่าเข้าใกล้ประตูเล็กข้างจวนแล้ว ชายฉกรรจ์หลายคนกลับกระโดดออกมาจากมุมมืด กันอยู่ด้านหน้าพวกเขา 


 


 


ฝีเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้หยุด ร่างกายรุดไปด้านหน้าด้วยความปราดไว ขณะที่เข้าใกล้คนเหล่านั้น ร่างกายก็ย่อตัวลงต่ำ แล้วกริชบนมือส่องประกายเย็นวาบ ข้อเท้าของชายฉกรรจ์สองคนก็ล้มไถลลงตามมา 


 


 


เสียงร้องโหยหวนของทั้งสองคนดังขึ้น 


 


 


ไม่รอให้คนที่เหลือตอบสนองคืน หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้มาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว มือด้านละข้างยื่นออกไปหักคอของพวกเขา 


 


 


ตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเห็นท่านพ่อ ท่านแม่ที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสโดยตลอดลงมือฆ่าคนมาก่อน อีกทั้งยังไม่เห็นเคยเห็นคนตาย หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกประหวั่นจนเบิกตาโพลง แข้งขาเริ่มอ่อนแรงจนทำให้ปลายเท้าเดินโซเซ 


 


 


หลินหันเยียนจูงนางวิ่งออกไปด้านนอก 


 


 


ครั้นวิ่งออกมาข้างนอกประตูเล็กข้างจวน มองดูทิศทางให้แน่ชัดแล้ว ก็ตะบึงมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยม 


 


 


คนภายในจวนขององค์ชายใหญ่ก็ไล่ตามติดอย่างไม่ลดละ 


 


 


เห็นแต่ละคนหนีอย่างกระสับกระส่าย องค์ชายใหญ่ก็หยุดฝีเท้าลง และสั่ง “ส่งคำสั่งของข้าออกไป ให้ปิดประตูเมือง และถ้าไม่ได้รับคำสั่งข้า ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าออกได้” 


 


 


มีคนรับคำ และมุ่งหน้าไปยังรอบทิศ 


 


 


ครั้งนี้องค์ชายใหญ่ถึงจะใช้กำลังภายในเพื่อไล่ตามต่อไป 


 


 


หลังจากวิ่งหนีอย่างกระเสือกกระสนตลอดทาง เมื่อตาเห็นว่าใกล้ถึงโรงเตี๊ยมแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงเปลี่ยนใจ “พวกเจ้าสามคนไปที่โรงเตี๊ยมก่อน ข้าจะล่อพวกเขาออกไปก่อน แล้วค่อยว่ากัน” 


 


 


บัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ แม้ว่าพวกเขาจะขี่ม้าหนี ก็หนีไม่พ้นเมืองขององค์ชายใหญ่แห่งนี้แน่นอน แล้วถ้าหากยังต้องสูญเสียที่อำพรางตัว ก็สู้ซ่อนอยู่ภายในโรงเตี๊ยมต่อไปดีกว่า แล้วค่อยรอโอกาสเพื่อหาทางหลบหนีอีกครั้ง 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 37 เปลี่ยนทิศทาง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงข้อสำคัญตรงนี้ จึงไม่ได้โต้แย้ง และพูดกำชับเขา “ระวังตัวด้วย รีบกลับมาล่ะ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยุดการเคลื่อนไหว แล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกับหลินหันเยียนพาหวงฝู่เย่าเย่ว์อำพรางตัวในมุมมืดกลับไปยังโรงเตี๊ยม 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เฮ่ามองไปด้านนอกหน้าต่างโดยตลอด จนกระทั่งเห็นเงาร่างคนสามคนผ่านมา ก็นึกไปว่าไม่สามารถช่วยหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมาได้ บนใบหน้าจึงเผยความผิดหวัง เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดขึ้นชั้นสองมา แล้วยื่นมือไปหาหวงฝู่เย่าเย่ว์ หวงฝู่เย่าเย่ว์าคว้ามือนาง ยืมแรงกระโดดเข้าไปในโรงเตี๊ยม 


 


 


เท้าเพิ่งจะลงถึงพื้น หวงฝู่สือเมิ่งก็กระโจนเข้ามากอดนาง แล้วกดเสียงต่ำร้องเรียกนางด้วยความยินดี “เย่ว์เอ๋อร์!” 


 


 


หวงฝู่เฮ่ามองชัดว่าเป็นนาง ก็ตื่นเต้นอย่างมาก แล้วยื่นมือเล็กๆ คล้องแขนของนางไว้ “พี่เย่ว์เอ๋อร์” 


 


 


ความหวาดหวั่นตกใจ บวกกับการที่ต้องวิ่งตะบึงหนีตลอดทาง เกือบจะเผาผลาญพลังทั้งหมดของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จึงผ่อนคลายร่างกาย เอนตัวลงในอ้อมอกของหวงฝู่สือเมิ่ง น้ำเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “พี่ใหญ่ น้องเฮ่า” 


 


 


ได้ยินเสียงพูดที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงของนาง หวงฝู่สือเมิ่งก็สงสารอย่างมาก จึงยื่นมือออกไปตบหลังของนางเบาๆ “ท่านพ่อท่านแม่ก็อยู่ ไม่ต้องกลัวแล้วนะ” 


 


 


ในที่สุดก็ได้สาวน้อยกลับมา อายุเพียงเท่านี้และโตมากับการเลี้ยงดูที่ปรนนิบัติตามใจภายในจวนอ๋อง แม้ว่าจะมีความกล้าหาญและความเฉลียวฉลาดแตกต่างจากคนอื่น แต่ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ต้องเจอกับเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากมายเช่นนี้ โดยเฉพาะที่ได้เห็นคนตายจริงๆ เมื่อครู่ ทำให้จนถึงตอนนี้ในใจก็ยังรู้สึกหวาดกลัว แม้ว่าหวงฝู่สือเมิ่งจะปลอบขวัญเช่นนี้ ร่างเล็กๆ ก็อดไม่ได้ที่จะยังสั่นเทาอยู่เบาๆ 


 


 


รู้สึกถึงอารมณ์ที่นางเกือบจะร้องไห้ออกมา หวงฝู่สือเมิ่งก็กอดนางแน่นขึ้น มือเล็กๆ ตบหลังนางเบาๆ ตลอด พร้อมปลอบด้วยเสียงละเอียดเบา  


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์ พาเย่ว์เอ๋อร์ไปพักห้องอีกห้องหนึ่งก่อน” กลัวว่าจะทำให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ตกใจ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสั่งเสียงเบา 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า ขณะที่กำลังจะพาหวงฝู่เย่าเย่ว์ออกไปด้านนอก กลับคิดถึงเงาร่างที่ยังไม่ปรากฏของหวงฝู่อี้เซวียน จึงหยุดการเคลื่อนไหว แล้วถาม “ท่านแม่ ท่านพ่อล่ะเจ้าคะ” 


 


 


“ท่านพ่อของเจ้าไปล่อพวกทหารที่ไล่ตาม ไม่นานก็จะกลับมา พวกเจ้าไม่ต้องกังวลนะ พักผ่อนเร็วเสียหน่อย วันพรุ่งนี้เช้าพวกเราจะคิดหาวิธีแทรกตัวออกจากเมืองไป” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งไม่ถามอะไรมากอีก แล้วโอบหวงฝู่เย่าเย่ว์ไปอีกห้องหนึ่ง หวงฝู่เฮ่าก็ตามไปด้วย 


 


 


“คุณหนูหลิน เจ้าก็ไปพักเถิด พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์อย่างไรบ้าง ต้องสะสมแรงกายแรงใจให้เพียงพอ” 


 


 


หลินหันเยียนก็รู้เช่นกันว่าสถานการณ์ตอนนี้เสี่ยงอันตรายอย่างมาก จึงไม่ได้พูดอะไรมาก พยักหน้าแล้ว ก็ไปที่ห้องตัวเอง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่ดำทึบ จับจ้องแสงเพลิงที่ยิ่งไกลออกไปโดยไม่ขยับโดยตลอด 


 


 


ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เห็นเงามืดมาด้านนี้อย่างรีบร้อน เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจ แล้วชะโงกหัวออกไป 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ ในใจก็รู้สึกอบอุ่น จึงรวบรวมกำลังภายใน แล้วกระโดดตรงกลับเข้าที่ห้อง 


 


 


มองไปรอบทิศแล้ว ในใจที่วิตกกังวลของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ผ่อนคลายลง ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว เอื้อมสองมือออกไปกอดเอวของหวงฝู่อี้เซวียนแน่น ศีรษะพิงอยู่ที่หน้าอกของเขาอย่างสบาย 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกไป ลูบผมของนาง 


 


 


ทั้งสองคนไม่พูดอะไร 


 


 


ภายในห้องเงียบสงัด 


 


 


ผ่านไปนานแสนนาน เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเงยศีรษะขึ้น เห็นดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนส่องแสงระยิบระยับราวกับหินประดับ ภายในน้ำเสียงมีความใฝ่หาและตื่นเต้น “เซี่ยงกง พรุ่งนี้พวกเราจะต้องพาลูกสาวออกไปจากที่นี่แล้ว” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหลุดขำเสียงแหบ ราวกับว่าตอนนี้เห็นเด็กสาวที่เจอเรื่องยิ่งเสี่ยงอันตราย ก็ยิ่งตื่นเต้น ไม่เกรงกลัวฟ้าดินคนนั้น (อืม ไม่ผิดแล้ว ก็คือเด็กสาวนั่นแหละ) ในใจก็รู้สึกคึกคักอย่างมาก ก้มหน้าลง อยากจะดูดดื่มริมฝีปากนาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวราวกับเดาได้ตั้งนานแล้วว่าเขาจะมีทำเช่นนี้ จึงเบนศีรษะหนี ผละออกจากอ้อมอกเขา แล้วทำท่าทางนอนตะแคงอย่างขี้เกียจลงบนเตียง พร้อมตบที่ว่างข้างกายตัวเองเบาๆ “เห็นแก่ผลงานอันยอดเยี่ยมของเจ้าวันนี้ ข้าอนุญาตให้เจ้านอนข้างๆ ข้าได้ แต่ว่า เจ้าอย่าได้ล้ำเส้นแม้แต่ก้าวเดียว มิฉะนั้นข้าจะร้องขอความช่วยเหลือ” 


 


 


วันนี้เหนื่อยล้ากับการรับมือคนพวกนั้น ก็สูญเสียพลังกายไปไม่น้อยแล้ว และพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องหนีตายอย่างไรอีก เดิมทีหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่คิดจะแตะต้องนาง พอได้ยินแล้ว ก็ยิ้มส่ายหน้า แล้วเดินไปข้างเตียง เหยียดมือขวาออกไปคว้าข้อมือนาง แล้วออกแรงฉุดนางขึ้นเพื่อช่วยนางถอดเสื้อนอก แล้วถึงจะวางนางกลับลงไปบนเตียงเบาๆ อีกครั้ง ส่วนตัวเองก็ถอดเสื้อนอกออก แล้วนอนลงที่ข้างกายนาง และเอื้อมมือโอบนางมาไว้ในอ้อมอกของตัวเอง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหาท่าที่สบายได้แล้ว ก็หลับตา แล้วนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว  


 


 


หลายวันนี้ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นอย่างไรบ้าง หวงฝู่อี้เซวียนก็นอนไม่หลับ ทว่า ตอนนี้ลูกสาวกลับมาแล้ว ในใจก็สงบลง และนอนหลับไปภายในเวลาไม่นาน  


 


 


ทันทีที่ตื่นขึ้นโดยไม่รู้ว่านอนหลับไปนานเท่าไร เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายปลุกให้ตื่น ก็ลืมตาโพลงขึ้น 


 


 


ท้องฟ้าสว่างแล้ว มีแสงของดวงอาทิตย์ส่องเข้ามาอ่อนๆ 


 


 


เสียงอื้ออึ้งด้านนอกยิ่งดังขึ้น 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ถูกเสียงปลุกให้ตื่น จึงลืมตาขึ้น 


 


 


ทั้งสองคนมองตากันแล้วรีบลุกจากเตียง สวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ก็ก้าวยาวออกไปด้านนอก 


 


 


เพิ่งเดินมาได้ก้าวเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวก็นึกอะไรขึ้นได้ หันกลับไปเห็นหวงฝู่อี้เซวียนได้คืนรูปลักษณ์เดิมแล้ว จึงทำไม้ทำมือให้เขา และกล่าว “เจ้ารออยู่ในห้อง ข้าออกไปถามคุณหนูหลินว่าเกิดอะไรขึ้น” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนึกออกเรื่องที่ตัวเองคืนใบหน้าเดิม จึงหยุดฝีเท้าลง 


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตูออกไปแล้ว ก็รีบปิดประตูทันที 


 


 


หลินหันเยียนได้ยืนอยู่ที่รั้วบันไดแล้ว ครั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ก็หันหน้าไปเห็นเมิ่งเขี่ยนโยว เมื่อเห็นว่าทางซ้ายและขวาไม่มีคน จึงกดเสียงต่ำพูดกับนาง “คนด้านล่างล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่องค์ชายใหญ่สั่งให้ปิดประตูเมืองทั้งหมด และไม่อนุญาตให้เข้าออกเจ้าค่ะ แม้แต่เรื่องที่จะนำทัพออกศึกสงครามก็ยื้อออกไปแล้วด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


องค์ชายใหญ่ดำเนินการเช่นนี้ก็คือมีจุดประสงค์ที่จะจัดการกับพวกเราโดยเฉพาะ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาเดาสถานะของพวกเราออกแล้ว และอยากจะจับพวกเราโดยไม่ต้องเปลืองแรงแลกเปลี่ยนเงื่อนไขและคูเมืองกับรัฐอู่แม้แต่น้อย 


 


 


คิดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกำชับ “เจ้าฟังต่อไป ข้ากับอี้เซวียนไปปรึกษาแผนรับมือสักหน่อย” 


 


 


หลินหันเยียนพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกายเข้าไปในห้อง แล้วนำคำพูดของหลินหันเยียนบอกแก่เขาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินแล้ว ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “วันนี้ท่าป๋าหั่นมู่น่าจะสั่งคนให้ตรวจหาทั่วทั้งเมือง พวกเราก็ไม่อาจโรงเตี๊ยมนี้ต่อได้แล้วล่ะ” 


 


 


“พวกเรามีกันหกคน เป็นเป้าที่ชัดเกินไป ถ้าหากออกไป ไม่นานก็จะถูกคนจับได้ ไม่ได้หรอก ควรจะอยู่ในโรงเตี๊ยมแบบนี้สิถึงจะปลอดภัยกว่า แต่เพียงแค่ต้องย้ายเป็นอีกโรงเตี๊ยม ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี” 


 


 


“ตกลง พวกเรารีบเก็บของแล้วไปจากที่นี่ทันที” 


 


 


ปรึกษาเสร็จแล้วก็ไม่รอช้า เมิ่งเชี่ยนโยวหันกายออกจากประตูอีกครั้ง แล้วสั่งหลินหันเยียนให้ไปเก็บข้าวของด้วยเสียงเบา จากนั้นก็ไปเคาะประตูที่ห้องพวกหวงฝู่สือเมิ่ง 


 


 


เมื่อคืนหวงฝู่สื่อเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์นอนเตียงเดียวกัน แล้วให้หวงฝู่เฮ่านอนอีกเตียงหนึ่ง 


 


 


ทั้งสามคนตื่นแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู หวงฝู่เฮ่าก็ออกมาเปิด เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไป เห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงสวมชุดชายหนุ่ม จึงพูด “เมิ่งเอ๋อร์ ไปเอาชุดมาเปลี่ยนให้เย่ว์เอ๋อร์ พวกเราจะย้ายโรงเตี๊ยมกัน” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งรับคำ แล้วเปิดสัมภาระเล็กที่พกติดตัว หยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาส่งให้แก่หวงฝู่เย่าเย่ว์ 


 


 


คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ หวงฝู่เฮ่าก็เดินออกไปอย่างเข้าใจ บัดนี้ ในห้องเหลือแต่เพียงผู้หญิงสามคน หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ไม่ได้ถือสา ถอดชุดบนกายออกหมด ทิ้งลงที่พื้น แล้วเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอนกายลง หยิบเสื้อผ้าขึ้นมา แล้วม้วนเป็นทรงกลม จากนั้นก็ออกแรงโยนทิ้งไปที่ใต้เตียง เมื่อยืนขึ้น และเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงพูด “พวกเจ้ารออยู่ในห้องก่อน แม่มาเคาะประตูอีกเมื่อใดแล้วค่อยออกมา” 


 


 


ทั้งสองคนรับคำ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกายออกจากประตู ตรงกลับมายังห้องของตัวเอง จากนั้นแกะห่อกระเป๋าออก เพื่อหยิบอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแต่งหน้า แล้วแต่งหน้าหวงฝู่อี้เซวียนให้มีลักษณะเหมือนตอนที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมใหม่อีกครั้ง 


 


 


เมื่อแต่งหน้าและเก็บของเสร็จ ก็พูด “พวกเรามีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เกรงว่าจะทำให้เถ้าแก่สงสัย เอาอย่างนี้ เจ้าพาเย่ว์เอ๋อร์ คุณหนูหลินและเฮ่าเอ๋อร์ไปก่อน แล้วรอข้าอยู่นอกโรงเตี๊ยม จำไว้ ให้เย่ว์เอ๋อร์หาที่ซ่อนสักแห่งก่อน” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบอุปกรณ์ไปแต่งหน้าให้แก่หวงฝู่เย่าเย่ว์ โดยวาดให้เหมือนกับหวงฝู่สือเมิ่ง พอเสร็จแล้วก็ค่อยให้นางออกจากห้อง แล้วถึงจะเรียกหลินหันเยียนกับหวงฝู่เฮ่าออกมา โดยให้แต่ละคนเดินไปก่อน ส่วนนางกับหวงฝู่สือเมิ่งอยู่ด้านหลัง 


 


 


แม้ว่าไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่จะทำเช่นนี้ของนางคืออะไร แต่หลินหันเยียนก็ไม่ได้ถาม แล้วตามหลังแต่ละคนอย่างเงียบๆ ลงจากด้านบนมายังโต๊ะรับแขกและคิดบัญชี 


 


 


เถ้าแก่เห็นพวกเขามีเพียงสี่คน ขาดไปหนึ่งคน ในใจก็สงสัย จึงเอ่ยปากถาม “พวกเจ้าไม่ได้มีห้าคนหรือขอรับ” 


 


 


“อ๋อพี่สะใภ้รองของข้ายังเก็บข้าวของอยู่เจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวก็จะลงมา พวกเราลงมาคิดเงิน แล้วลากม้าออกมาคอยนางกันก่อนเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนตอบ 


 


 


เวลาที่ผู้หญิงออกจากบ้านก็ต้องหวีผมแต่งกายสักหน่อย เถ้าแก่เป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน จึงย่อมเข้าใจ และไม่ได้ถามมาก หลังจากคิดเงินกับพวกเขาแล้ว ก็ยิ้มบอกแต่ละคนว่า ต่อไปถ้ามาที่หวงเฉิงก็ให้มาพักที่โรงเตี๊ยมของพวกเขาอีก 


 


 


หลินหันเยียนกล่าวรับรองแล้ว เถ้าแก่ก็มองพวกเขาออกจากประตูไปอย่างแจ่มใส แล้วก้มหน้า หยิบพู่กันกับน้ำหมึก ขีดฆ่ายอดรายรับที่จดไว้ในบัญชีเมื่อครู่ 


 


 


เมื่อขีดเสร็จ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมา เห็นเมิ่งชี่ยนโยวกับหวงฝู่สือเมิ่งเดินลงมาจากด้านบน ก็ตกใจจนเกือบจะล้มลง มองแม่ลูกสองคน แล้วก็มองออกไปด้านนอกตามสัญชาตญาณ จึงยกมือขึ้นมาขยี้ตาตัวเอง และสงสัยว่าตาของตัวเองจะผิดปกติเสียแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา 


 


 


ดวงตาของเถ้าแก่เบิกโตเหมือนกังสดาล เห็นสองคนได้เดินมาถึงชั้นหนึ่ง ก็ชี้ไปที่หวงฝู่สือเมิ่ง “นาง…นาง… นาง…” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร แต่ดูจากท่าทางการแสดงออกก็เดาได้ว่าเขาตกใจที่เห็นหวงฝู่สือเมิ่ง จึงเม้มปากยิ้มน้อยๆ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากพูด 


 


 


หลินหันเยียนเดินเข้ามาอย่างเหมาะเจาะ พร้อมด้วยน้ำเสียงบ่น “พี่สะใภ้รอง ทำไมถึงเอ้อระเหยแบบนี้ นี่ต้องให้เด็กขึ้นไปเรียกเจ้าอีก” 


 


 


ที่แท้เด็กน้อยก็ขึ้นไปเรียกอีกครั้ง หาใช่ว่าตัวเองเห็นผีเสียแล้ว เถ้าแก่จึงถอนหายใจโล่งอก และตบหน้าอกตัวเองที่ตื่นตระหนกไป เมื่อครู่ ทำให้เขาต้องหวาดผวาจนแม้แต่หัวใจที่เต้นอยู่ก็ล้วนจะหยุดลงไปแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้เถ้าแก่ แล้วเดินตามหลินหันเยียนออกไป 


 


 


เถ้าแก่เขย่งกายมองไปยังด้านนอก ในใจก็แอบนับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า อืม…ห้าคน ไม่ขาดไม่เกิน ดูเหมือนว่าเมื่อครู่คงจะเป็นตัวเองที่คิดไปเองจริงๆ นั่นแหละ 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 38 หลบหนี

 

แต่ละคนออกจากประตู แล้วขี่ม้าออกไปไกล เถ้าแก่ก็ละสายตา และส่ายหน้า ดูเหมือนว่าตัวเองจะอายุมากแล้ว หูเริ่มจะไม่ดีเสียแล้ว แม้แต่เสียงฝีเท้าที่ขึ้นไปด้านบนของเด็กน้อยก็ไม่ได้ยิน ทำให้ตัวเองตกใจจนเกือบจะหัวใจวายตาย 


 


 


พอถึงมุมเลี้ยว ก็รับหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นมา แล้วทุกคนก็มุ่งหน้าไปในทิศทางตรงข้ามกับจวนองค์ชายใหญ่ 


 


 


องค์ชายใหญ่กำหนดแผนการเดินทัพออกศึกไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนนั้น ทำให้มีประชาชนออกจากบ้านมาที่ถนนตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อส่งเหล่าทหาร แต่รอจนเกือบจะสองชั่วยาม ก็ถูกผู้ส่งสารจากรัฐขี่ม้ามาบอกว่า วันนี้ไม่เดินทัพแล้ว อีกทั้งประตูเมืองทั้งสี่ด้านก็ล้วนปิดหมด ไม่อนุญาตให้เข้าออก 


 


 


ใจที่เร่าร้อนของพวกประชาชนดับมอดลงทันที ตามมาด้วยความรู้สึกไม่พอใจกับองค์ชายใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากได้ยินว่าไม่สามารถเข้าออกเมืองได้ตามอำเภอใจ ในใจก็พากันพะว้าพะวง ขณะเดียวกันก็เกิดอคติต่อองค์ชายใหญ่ เพราะแม้แต่เรื่องเดินทัพก็เปลี่ยนอย่างตามใจชอบ ดูเหมือนว่าประชาชนรัฐอิงเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรในสายตาของเขาแม้แต่น้อยเลย 


 


 


ทุกคนทยอยกันกลับบ้าน พลางพูดวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่พอใจและหวาดระแวง บนถนนใหญ่มีคนทำการค้าขายน้อยมาก คนเดินผ่านไปเดินมาก็ยิ่งน้อยลงจนเกือบจะไม่มีใครเลย ถึงขนาดที่ถนนสะอาดหมดจด และได้ยินแต่เพียงเสียงย่ำเท้าของม้าห้าตัวเท่านั้น 


 


 


ได้ยินเพียงแค่เสียงนี้ดังเข้าหู เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดคิ้ว สังเกตว่าบนถนนที่ว่างเปล่าและกว้างขวาง มีแค่เสียงฝีเท้าของม้าที่รีบร้อน จึงชัดเจนว่านี่จะเป็นการเรียกให้พวกทหารที่กำลังค้นหาพวกเขาจากทุกแห่งหนในเมืองมาหาแล้ว และคนพวกนี้ก็คือคนที่ต้องการตามตัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งม้ามาข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน ส่งสัญญาณให้เขาหยุด 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนดึงม้า มองมาทางนาง 


 


 


“พวกเราเดินกันแบบนี้ เป็นเป้าที่ชัดเจนเกินไป และจะถูกพบตัวได้ง่าย” เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใกล้เขาเล็กน้อย กดเสียงเบาลง แล้วถึงเอ่ยปากบอกกับเขา 


 


 


มองถนนที่กว้างขวางว่างเปล่า หวงฝู่อี้เซวียนก็เข้าใจความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงพยักหน้า และลงจากม้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากม้าด้วย 


 


 


ทุกคนที่อยู่ด้านหลังก็ลงจากม้าตาม 


 


 


“ทิ้งม้าไปเถิด แล้วให้มันไปทางใดก็ได้ ส่วนพวกเราเดินหาโรงเตี๊ยมแทน” หวงฝู่อี้เซวียนตัดสินใจเด็ดขาด และสั่งกับทุกคนทันที 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหัวม้าออกไป ปล่อยบังเ**ยน แล้วตีหลังม้า ม้าก็เริ่มวิ่ง และมุ่งออกไปด้านหน้า 


 


 


แต่ละคนทำตามดังนั้น 


 


 


ไม่มีม้าแล้ว การเดินก็ทำให้ล่าช้าลง ทุกคนจึงเร่งก้าวฝีเท้าเร็วขึ้น 


 


 


ผ่านหน้าร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ด้านในไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว เถ้าแก่กับลูกน้องล้วนมองออกมาด้านนอกอย่างห่อเ**่ยว 


 


 


“พวกเจ้าไปคอยข้าอยู่ข้างหน้า ข้ากับคุณหนูหลินจะซื้อของประเดี๋ยวเดียวแล้วจะออกมา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับทุกคนเสร็จ ก็เดินเข้าไปในร้าน หลินหันเยียนก็ตามด้านหลังไปทันที 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและคนอื่นไปรอข้างหน้า 


 


 


การค้าเข้ามาถึงที่แล้ว เถ้าแก่กับลูกน้องก็กระชุ่มกระชวยขึ้น เดินมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มที่เบิกบานทั้งใบหน้า “ฮูหยินทั้งสองท่านอยากซื้อเสื้อผ้าแบบไหนหรือขอรับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจพวกเขา เดินไปดูเสื้อผ้าโดยตรง 


 


 


เถ้าแก่กับลูกน้องอึ้งอยู่ที่เดิมอย่างกระอักกระอ่วน 


 


 


หลินหันเยียนยิ้มอธิบาย “พี่สะใภ้รองของข้าพูดไม่ได้ ขอพวกเจ้าทั้งคู่อย่าได้ถือสา” 


 


 


ที่แท้ก็เป็นคนใบ้นี่เอง เถ้าแก่กับลูกน้องเข้าใจ ก็ไม่ได้ไปสอบถามเมิ่งเชี่ยนโยวอีก แล้วซักถามหลินหันเยียนอย่างเป็นมิตร “เช่นนั้นพวกท่านอยากจะเลือกเสื้อผ้าแบบไหนหรือขอรับ” 


 


 


“ให้พี่สะใภ้รองของข้าเลือกเถิด เลือกเสร็จแล้ว พวกเราจะซื้อหลายชุดหน่อย อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องคิดราคาให้พวกเราถูกๆ นะ” หลินหันเยียนยิ้มพูด 


 


 


เมื่อคำว่า “หลายชุด” เข้าหู ใบหน้าของเถ้าแก่ก็ยิ่งยิ้มบานขึ้น และไม่พูดมากอีก มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเป็นมิตร จนแทบอยากจะให้นางซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดของร้านตัวเองออกไป แต่ก็จนปัญญา ตั้งแต่ได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่ของรัฐอู่จะนำกองทัพใหญ่มาที่ชายแดน เพื่อเตรียมตัวตัวเริ่มสงคราม กิจการในร้านเสื้อผ้านี้ของเขาก็ตกต่ำลงหลายเท่า และขายไม่ออกสักตัวเป็นเวลานานแล้ว กว่าจะมีลูกค้ารายใหญ่มาสักคน พวกเขาก็ไม่อยากจะทำให้การค้าครั้งนี้หลุดมือไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดูเสื้อผ้าทั้งหมดแล้ว ก็ชี้ที่เสื้อผ้าของชายแก่ หญิงชรา เสื้อผ้าของสาวใช้ที่หยาบๆ สองตัว กับเสื้อผ้าของเด็กชายและหญิงสาวอย่างละตัว แล้วทำมือไม้ให้เถ้าแก่ช่วยนางเอาลงมา 


 


 


ต้องการหกตัวทีเดียว ใบหน้าของเถ้าแก่ก็ยิ้มแย้มดั่งดอกไม้บาน เดินหัวเราะเข้าไปข้างหน้าด้วยตัวเองโดยที่ไม่ได้สั่งลูกน้อง พร้อมหยิบเสื้อหกตัวลงมาอย่างระมัดระวัง แล้ววางไว้บนโต๊ะคิดเงิน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้แก่หลินหันเยียน 


 


 


หลินหันเยียนสอบถามราคา 


 


 


เถ้าแก่คิดอยากจะทำการแลกเปลี่ยนนี้สำเร็จจริงๆ จึงไม่ได้เรียกราคาสูง และบอกราคาที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


หลินหันเยียนก็จ่ายเงินอย่างรวดเร็ว หลังจากให้เถ้าแก่ห่อเสื้อผ้าแล้ว ทั้งสองคนก็เดินออกจากร้านเสื้อผ้า 


 


 


เมื่อรวมตัวครบหกคน ก็เดินหน้าต่อไป ขณะที่เดินเมิ่งเชี่ยนโยวก็พลางมองซ้ายมองขวา 


 


 


“ยังต้องซื้ออะไรอีกหรือ พวกเราจะช่วยเจ้าดู” หวงฝู่อี้เซวียนถาม 


 


 


“ของที่สำหรับแต่งหน้ากับสีผสมสักหน่อยน่ะ” 


 


 


ร้านเครื่องสำอางหาพบได้ง่าย ภายในหวงเฉิงนั้น เดินไปไม่นานก็พบร้านหนึ่ง ทว่า สีผสมกลับลำบากแล้ว เพราะมีเพียงแค่ร้านย้อมผ้าเท่านั้นถึงจะมีสิ่งนี้ แต่พวกเขาเดินผ่านไปนาน ก็หาไม่เจอ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงตรงนี้ จึงยอมแพ้ และพูด “พวกเราไปซื้อของบางอย่างที่ร้านเครื่องสำอางกันก่อนเถิด” 


 


 


เดินมาถึงร้านเครื่องสำอาง ก็เข้าไปกับหลินหันเยียนเช่นเดิม หวงฝู่อี้เซวียนกับทุกคนรออยู่ด้านนอกไม่ไกลออกไป 


 


 


คนที่สามารถซื้อเครื่องสำอางชั้นดีได้ล้วนเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์และร่ำรวย การสงครามไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อพวกนาง ดังนั้นกิจการร้านเหล่านี้จึงยังพอถูไถได้ 


 


 


หลังจากทั้งสองคนเดินเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็เลือกเครื่องสำอางชั้นดีบางส่วนที่ใช้ได้อย่างเงียบๆ พร้อมถือโอกาสซื้อกระจกทองแดงบานหนึ่งด้วย จากนั้นก็เป็นหลินหันเยียนที่ไปคิดเงินเช่นเคย เมื่อเดินออกจากประตู มาถึงตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน ก็พูด “หาที่ลับตาคน พวกเราจะแต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน” 


 


 


เมื่อคืนองค์ชายใหญ่ได้เห็นใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวกับหลินหันเยียนที่แต่งหน้าเสร็จแล้ว ตอนนี้จึงย่อมต้องแต่งเป็นแบบอื่น 


 


 


ทุกคนหามุมลับตาคนแล้ว หลินหันเยียนกับเด็กสามคนก็แยกกันเฝ้ารอบทิศ ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวแต่งหน้าก่อน ผ่านไปไม่นาน ชายชราอายุห้าหกสิบ ผมขาวเล็กน้อย ปรากฏตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบกระจกทองแดงมาวางไว้หน้าเขา ให้เขาเห็นสภาพตัวเองตอนนี้อย่างชัดเจน แล้วพูดหัวเราะหยอกล้อ “ท่านปู่ ตอนนี้ท่านอายุเท่าไรแล้วเจ้าคะ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหลุดหัวเราะ แล้วลูบหัวนาง จากนั้นก็หยิบกระจกทองแดงวางไว้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ให้นางดูกระจกเพื่อแต่งหน้าตัวเองให้เรียบร้อย 


 


 


จากนั้นก็แยกกันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยตะโกนเรียกทีละคนเข้าไปแต่งหน้า และสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจัดบทบาทให้แต่ละคนแล้ว 


 


 


นางกับหวงฝู่อี้เซวียนเป็นสามีภรรยาวัยชรา เนื่องจากตัวสามีป่วยไข้ ลูกสาวมีความกตัญญู จึงพาไปดูอาการป่วยตามร้านยาที่ชื่อดังภายในเมืองพร้อมกับลูกน้อย ส่วนหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เป็นสาวใช้ของบ้านพวกเขาคู่กัน 


 


 


ทุกอย่างจัดการเสร็จสรรพแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอากล่องที่ใส่ผงสีส่งให้แก่หวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าเอาอันนี้วางไว้ใต้รักแร้ อีกประเดี๋ยวพวกเราไปถึงร้านยาแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น สนใจแต่เพียงไอก็พอ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับมา หันหลังเข้าหาทุกคน แล้วใส่ไว้ใต้รักแร้ 


 


 


ทั้งหกคนเดินหน้าไปอยู่นาน กระทั่งเห็นร้านยาร้านหนึ่ง 


 


 


หลินหันเยียนกับหวงฝู่เฮ่าคล้องแขนเมิ่งเชี่ยนโยวเพื่อช่วยประคองเดินข้าไป 


 


 


ส่วนหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ประคองหวงฝู่อี้เซวียนตามอยู่ด้านหลัง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไอหนักมาก ทันทีที่เขาเข้าไป คนป่วยที่ต่อคิวรอดูอาการอยู่ในร้านยาก็อดไม่ได้ที่จะเอามือป้องปากและจมูกตัวเอง แล้วก็พากันขยับตัวถอยออกไป เปิดเป็นที่ว่างให้แก่พวกเขา 


 


 


หลินหันเยียนประคองเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดอ้อนวอนกับหมอด้วยใบหน้าดำคร่ำเครียด “ท่านหมอ ท่านช่วยดูท่านพ่อของข้าสักหน่อยเจ้าค่ะ เขาได้มีอาการแบบนี้มานานหลายวันแล้ว พวกเราไปร้านยาหลายที่ก็ไม่เป็นผลเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


หมอส่งสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง เอื้อมมือออกมา ตรวจชีพจร เมื่อมือสัมผัสโดนเส้นชีพจรของเขา คิ้วก็เริ่มขมวดเข้าหากัน เวลาล่วงเลยไป คิ้วก็ขมวดปรากฏเป็นรอยลึกยิ่งขึ้นอีก 


 


 


คนป่วยภายในร้านยาล้วนมองมาทางด้านนี้ เห็นท่าทางของหมอแล้ว ในใจก็เดาได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนน่าจะป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถรักษาหายได้ เท้าก็ค่อยๆ ถอยหลังไปหลายก้าวเบาๆ อย่างไม่เป็นที่สังเกต กลัวว่าแต่เพียงว่าเขาจะแพร่เชื้อใส่ตัวเอง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ไออย่างหนักหลายครั้ง 


 


 


หมอปล่อยมือของเขาออก คิ้วขมวดไม่คลาย พอมองไปทางเถ้าแก่แล้ว คำพูดที่อยากพูดก็หยุดลง 


 


 


เถ้าแก่สังเกตสถานการณ์ด้านนี้ตลอดเช่นกัน เมื่อเห็นท่าทางของหมอก็รู้ว่าพบโรคที่น่าสงสัยที่รักษายากแล้ว และไม่รู้ว่าจะสั่งยาอย่างไร ทว่า เนื่องจากยังมีคนไข้อยู่ที่นี่หลายคน จึงไม่กล้าพูดออกมา 


 


 


หลินหันเยียนเห็นท่าทางของหมออย่างชัดเจน จึงถามเสียงเบา ตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้ “ท่านหมอ ท่านวินิจฉัยอาการของพ่อข้าไม่ออกหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็หยุดไปพักหนึ่ง แล้วพูดต่อ “ข้าได้ยินคนอื่นบอกว่าหมอร้านนี้มีความเชี่ยวชาญและมีความสามารถแกร่งกล้า ถึงได้มาหาเจ้าค่ะ” 


 


 


จะทำการค้าขาย ก็ต้องอาศัยชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ใช่คนของหวงเฉิงของแม่หญิงน้อย ก็คิดว่าชื่อเสียงของร้านตัวเองดังออกไปไกลแล้ว ถ้าหากว่ารักษาคนชรานี้ไม่ดี ก็จะไม่เป็นการพังทลายชื่อเสียงตัวเองหรอกหรือ 


 


 


เถ้าแก่จึงเดินมาจากโต๊ะรับแขก แล้วส่งสายตาให้หมออย่างเงียบๆ และยิ้มพูดกับหลินหันเยียน “แม่นาง ท่านวางใจเถิดขอรับ ด้านนอกบอกเล่ากันไม่ผิดหรอก ร้านยาของเราล้วนเชิญแต่หมอที่มีวิชาสูงกล้าอย่างยิ่ง พวกเราสามารถรักษาอาการนี้ของพ่อท่านหายอย่างแน่นอนขอรับ เพียงแต่ค่ารักษากับค่ายาอาจจะต้องจ่ายมากสักหน่อย ท่านหมอกังวลว่าพวกท่านจะจ่ายไม่ไหวขอรับ” 


 


 


หลินหันเยียนได้ยินดังนั้น ก็เผยหน้ายินดีถามให้แน่ใจอย่างไม่อยากเชื่อ “ที่ท่านพูดเป็นความจริงหรือเจ้าคะ อาการป่วยของพ่อข้า พวกท่านสามารถรักษาให้หายได้หรือเจ้าคะ” พูดจบ ก็เสริมอีกประโยค “ท่านวางใจเจ้าค่ะ ค่ารักษากับค่ายามิใช่ปัญหา พวกเรารับไหวเจ้าค่ะ” 


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้วขอรับ พวกท่านเอายากลับไปก่อนส่วนหนึ่ง…” 


 


 


คำพูดของเถ้าแก่ยังไม่จบ หวงฝู่อี้เซวียนกลับไออย่างหนักขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเสียงไอที่หัวใจและปอดแทบจะแตกร้าวนั่น ทำให้คนสงสัยว่าเครื่องในของเขาจะถูกไอออกมาพร้อมกันแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วมาข้างกายหวงฝู่อี้เซวียนด้วยร่างกายที่สั่นเทา จากนั้นก็เอื้อมมือทุบหลังเขาเบาๆ เพื่อช่วยให้เขาผ่อนคลายลง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลอย่างชัดเจน 


 


 


ใบหน้าของเถ้าแก่เริ่มดำบึ้งแล้ว เขาอยากให้หมอจ่ายยาเพื่อไล่พวกเขาออกไปก่อน แต่คิดไม่ถึงว่า แม้แต่ลมหายใจเวลาไอของชายชราคนนี้ ก็ไม่สม่ำเสมอแล้ว 


 


 


หลินหันเยียนส่งเสียงอ้อนวอน “เถ้าแก่เจ้าคะ ร่างกายของพ่อข้าไม่สะดวกที่จะต้องวุ่นวายกับการต้องไปๆ กลับๆ ท่านลองดูสักหน่อยว่าจะสามารถให้พวกเราอาศัยอยู่ในร้านยาได้หรือไม่ รอจนกระทั่งร่างกายพ่อข้าดีขึ้นบ้างแล้ว ก็จะไป ท่านวางใจนะเจ้าคะ เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้น จะจ่ายให้ท่านโดยไม่ขาดแน่นอนเจ้าค่ะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)