ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 328-333

ตอนที่ 328 ตรวจสอบอีกครั้ง

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่เปลี่ยน น้ำเสียงเหมือนเดิม “ตอนนั้นข้าอายุประมาณเจ้าในตอนนี้ เห็นเจ้าร้องไห้สะอึกสะอื้นมาหาข้าตั้งแต่เช้า บอกว่าพ่อแม่เจ้าเสียชีวิตแล้ว ข้าก็สะดุ้งตกใจมาก หลังจากตามเจ้าไป พวกเขาทั้งสองก็ถูกคนในตระกูลวางไว้บนเตียงร้อนแล้ว ดูไม่ออกว่าถูกคนฆ่า อาเจ้าพูดเยี่ยงนี้ หรือว่าเขามีหลักฐานอันใด หากมี เจ้าบอกข้า ข้าจะแก้แค้นให้พ่อแม่เจ้า แม้ว่าตอนนั้นพวกเขาจะไม่ดีกับข้า แต่อย่างน้อยก็เลี้ยงดูข้ามานานหลายปี ถือว่ามีความผูกพันกัน”


 


 


เรื่องตอนนั้นหวงฝู่อี้ก็จำได้เล็กน้อย ที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดนั้นเป็นความจริง


 


 


หวงฝู่อี้ส่ายหัวไปมา “ท่านอาแค่คาดเดา เขาบอกว่าตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ข้าสุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นไปไม่ได้ที่จะตกลงไปจมเสียชีวิตในบ่อเกรอะพร้อมกัน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเพ่งมองเขา “ฉะนั้นเจ้าจึงเกิดความสงสัย แล้วมาถามข้า เจ้ารู้สึกว่าข้าส่งคนไปทำเรื่องนี้ใช่หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้รีบโบกมือทันที “พี่ใหญ่พูดเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ข้าจะสงสัยพี่ได้อย่างไร หากพี่ใหญ่ฆ่าท่านพ่อท่านแม่ข้าจริงๆ จะนำข้ากลับมาเลี้ยงดูที่จวนเป็นเวลานานหลายปีได้อย่างไรขอรับ”


 


 


“แล้วเจ้าอยากจะทำอะไร หรืออยากจะให้ข้าช่วยเจ้าตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อแม่เจ้า”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้ไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย เกาหัวไปมา มองเขาด้วยสายตารอคอย “ได้หรือไม่ขอรับ พี่ใหญ่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวกล่าวออกมาว่า “อี้เอ๋อร์ พ่อแม่เจ้าเสียชีวิตมานานหลายปี กลัวว่าจะกลายเป็นกระดูกนานแล้ว และตอนนั้นข้าก็ไปดูสภาพศพของพ่อแม่เจ้าแล้ว ไม่เหมือนว่าถูกฆ่า แม้ว่าจะส่งคนไปตรวจสอบตอนนี้ ก็ไม่เจอหลักฐานอะไรหรอก”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เริ่มหมองหม่น ก้มหัวลง สายตาก็ไม่มีชีวิตชีวา “ข้ารู้ แต่ข้าก็อยากจะรู้ให้ชัดเจนว่าตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ข้าเสียชีวิตได้อย่างไร เป็นเพราะไม่ระวังจมน้ำเสียชีวิต หรือว่าถูกฆ่า”


 


 


“ได้” หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบที่บ้านทันที สั่งให้พวกเขาตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงของพ่อแม่เจ้า แต่จะต้องเปิดโลงศพเพื่อตรวจกระดูก เจ้าก็กลับไปด้วยเถิด”


 


 


หวงฝู่อี้ตาโต “ต้องเปิดโลงศพเพื่อตรวจกระดูกหรือ”


 


 


“เจ้าคิดว่าอย่างไรละ หรือว่าพึ่งแค่ดวงตาหนึ่งคู่ ก็สามารถมองผ่านโลงศพเพื่อมองว่าพ่อแม่เจ้านั้นถูกคนฆ่าตายหรือไม่ เจ้าอาศัยอยู่ในจวนมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว รู้จักใครที่มีความสามารถเยี่ยงนี้หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้พูดไม่ออก สีหน้าลังเล สับสน พ่อแม่ของตนเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้ว จริงอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย กลายเป็นกระดูกไปนานแล้ว หากถูกขุดขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าจะรบกวนการพักผ่อนของพวกท่านหรือไม่ พอถึงเที่ยงคืนจะเข้ามาด่าว่าตัวเองว่าลูกอกตัญญูในฝันของตัวเองหรือไม่ พวกท่านเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้ว ยังไม่ให้พักสงบอีก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่รบเร้า ปล่อยให้เขาสับสนเองเงียบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าตัวเองเลื่อมใสศรัทธาหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือ แค่ไม่กี่ประโยค ก็โยนเรื่องนี้กลับไปให้หวงฝู่อี้แทน ต้องรู้ว่าสมัยนั้น มีคำพูดว่า หากถูกขุดลุมฝังศพ ไม่เพียงแค่ครอบครัวนี้ ทั้งตระกูลก็จะไม่สงบสุข แม้ว่าหวงฝู่อี้จะนำคนกลับไป คนในตระกูลก็ไม่ให้เขาลงมือง่ายๆ อย่างแน่นอน


 


 


“หรือว่า…ช่าง…มันเถอะ” ลังเลไปสักพัก หวงฝู่อี้ก็ทนไม่ได้ที่จะเปิดโลงดูกระดูกของพ่อแม่ตนให้ผู้อื่นดู แล้วถูกผู้คนชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง จึงล้มเลิกความคิดที่จะตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของพวกท่าน


 


 


ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนนั้นจะให้ทำอย่างไรก็ได้ ยังคงใช้น้ำเสียงมั่นคงเหมือนเดิม “เจ้าต้องคิดให้ดี หากวันนี้เจ้าล้มเลิกความคิดนี้แล้ว ต่อไปห้ามเอ่ยขึ้นมาอีก”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้ลังเลขึ้นมาอีกครั้ง ไม่นานก็พยักหน้าหงึกๆ “ข้ารู้แล้ว พี่ใหญ่ ต่อไปข้าจะไม่พูดถึงเรื่องการเสียชีวิตของท่านพ่อท่านแม่ข้าอีก แต่ว่า ข้าขอร้องพี่ใหญ่ ทุกปีให้ข้ากลับไปไหว้หลุมศพของท่านทั้งสอง ให้ข้าได้แสดงความกตัญญูต่อพวกท่านนะขอรับ”


 


 


“เมื่อก่อนที่ไม่ให้เจ้ากลับไป เพราะอายุเจ้ายังน้อย เป็นห่วงว่าระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ตอนนี้เจ้าโตแล้ว แน่นอนว่ากลับทุกปีได้”


 


 


หวงฝู่อี้ดีใจมาก “ขอบคุณพี่ใหญ่”


 


 


“เจ้าเพิ่งกลับมา คงเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยมารับใช้ข้า”


 


 


หวงฝู่อี้กล่าวขอบคุณ แล้วกลับไปพักผ่อนด้วยความดีใจ


 


 


รอจนเสียงฝีเท้าของเขาออกจากเรือนไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงโล่งอก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองนางเล็กน้อย แล้วหัวเราะนาง “ตอนนี้เจ้ายิ่งอยู่ยิ่งควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นสีหน้าเจ้าเปลี่ยนทันที หากไม่ใช่เพราะข้าเบี่ยงเบนความสนใจของเขา ไม่แน่อาจทำให้เขาระแคะระคายได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหน้าตัวเอง แล้วขมวดคิ้ว กล่าวถามว่า “ชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มแล้วพยักหน้า


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มไม่ดีเล็กน้อย ก้มลงมองท้องของตัวเอง แล้วพึมพำเสียงเบาๆ ว่า “มีแต่คนบอกว่ามีลูกหนึ่งคนโง่สามปี ข้ามีสองคน จะโง่มากกว่าคนอื่นหรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหูดี ได้ยินคำพูดของนาง ก็สำลักน้ำลายตัวเองทันที ไอออกมาแรงๆ หลายครั้ง จนหน้าแดงคอแดงไปหมด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแล้วมองเขา กล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้าเป็นอะไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยุดไอ แล้วโบกมือเรียกนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง แล้วนั่งลงบนตักของเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโอบกอดนางไว้ ยิ้มแล้วแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากนางหนึ่งที ยื่นมือขวาออกมา ชี้ตัวเองแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่เจ้าโง่ นั่นเป็นเพราะเจ้าแต่งงานกับสามีที่ดี ไม่มีอะไรให้เจ้าต้องทุกข์ใจ เกี่ยวอะไรกับการที่เจ้ามีลูกงั้นหรือ”


 


 


ฮ่าๆ เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ ยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาโอบคอเขาไว้ ยิ้มแล้วแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ หนึ่งทีเหมือนกับแมลงปอเดินบนน้ำ “ใช่ๆๆ สามีที่ดีของข้า ครึ่งชีวิตที่เหลือของข้า ข้ามอบให้เจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูข้าให้ดี”


 


 


หนึ่งทีของนาง ปลุกความต้องการของหวงฝู่อี้เซวียนขึ้น ก้มศีรษะลงไป แล้วแนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากในนางตรงๆ จนทั้งสองเริ่มหายใจไม่ออก จึงจะปล่อยนาง ยิ้มแล้วกล่าวด้วยความพอใจว่า “ข้ารับปาก ซื่อจื่อเฟยของข้า”


 


 


อาการป่วยของหลินหันเยียนดีขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าราชเลขาหลินนั้นใจร้ายจริงๆ หรือว่ารู้สึกว่าลูกสาวคนนี้ทำให้เขาขายหน้า จึงไม่ดูดำดูแดง แม้แต่ฮูหยินหลินก็ไม่ส่งข่าวคราวใดๆ มาให้นางเลย หลินหันเยียนเสียใจเป็นอย่างมาก ร้องห่มร้องไห้ทั้งวัน


 


 


หวงฝู่อวี้ทั้งปวดใจทั้งร้อนใจ กิจการของครอบครัวก็ไม่สนใจแล้ว อยู่ในจวนเป็นเพื่อนนางทั้งวัน กลัวว่านางจะคิดสั้น ทำเรื่องโง่ๆ


 


 


พระชายาฉีไปดูสองครั้ง ก็ไม่รู้จะปลอบเยี่ยงไร จึงทำให้บรรยากาศยิ่งอึดอัดขึ้นไปอีก หลังจากนั้นหลายวัน ก็ไม่ไปอีกเลย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถูกหวงฝู่อี้เซวียนจ้องตลอดเวลา อย่าว่าแต่ไปดูเลย แม้แต่ชื่อของหลินหันเยียนและหวงฝู่อวี้ก็ไม่สามารถเอ่ยขึ้นมาต่อหน้าเขาได้


 


 


เวลาก็ผ่านไปอย่างนี้อีกหลายวัน ในขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเบื่อๆ คิดว่าจะจัดงานแต่งงานของชิงหลวนและจูหลีอย่างไร หวงฝู่ซวิ่นค่อยๆ สะบัดพัดแล้วเดินเข้ามาในจวนด้วยท่าทางภูมิใจ


 


 


ทันทีที่หวงฝู่อี้เซวียนเห็น ก็รู้ทันทีว่าเขาทำเรื่องทั้งหมดสำเร็จแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่แสดงท่าทางเยี่ยงนี้ แต่ว่า ก็ไม่ได้กล่าวถาม กลับรอให้หวงฝู่ซวิ่นพูดออกมาด้วยตัวเอง


 


 


แต่ครั้งนี้หวงฝู่ซวิ่นกลับแปลกไป มองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม แล้วไม่ได้รีบเอ่ยออกมา แต่กลับกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “น้องสะใภ้ วันนี้ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นสบาย ข้าจะพาเจ้าไปที่ดีๆ ที่หนึ่ง”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนขรึมลงทันที ความโกรธค่อยๆ ปะทุออกมาจากตัว


 


 


หวงฝู่ซวิ่นทำเป็นมองไม่เห็น แล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยรอยยิ้ม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี ถ้าหากสามีข้าไม่อนุญาต ข้าก็ไม่กล้าออกไปกับพี่หรอก”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นหยุดชะงักไป


 


 


ความโกรธรอบตัวของหวงฝู่อี้เซวียนหายไป กลับมาเป็นท่าทางอ่อนโยนเหมือนเดิม


 


 


หวงฝู่ซวิ่ยรู้สึกตัวขึ้นมา กล่าวถามอย่างไม่ตายใจว่า “น้องสะใภ้ เจ้าไม่สงสัยหรือว่าข้าจะพาเจ้าไปที่ใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมา กล่าวตรงๆ ว่า “ไม่สงสัย”


 


 


คำพูดที่เหลือของหวงฝู่ซวิ่นติดอยู่ที่คอ


 


 


รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบทำให้หวงฝู่ซวิ่นแสบตา


 


 


หวงฝู่ซวิ่น หึ ออกมาเบาๆ แล้วนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง ยกน้ำชาขึ้นดื่มอย่างรวดเร็วหนึ่งคำ แล้วกล่าวประชดว่า “ไม่ไปก็ดี ข้าจะได้ไม่เสียเวลา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสบตากัน ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปพร้อมกัน


 


 


“นี่ พวกเจ้าจะไปไหนกัน” หวงฝู่ซวิ่นรีบวางแก้วชาในมือลง แล้วกล่าวด้วยเสียงสูง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่หันกลับไปมอง “ไม่ใช่พี่ใหญ่หรือที่บอกว่าจะพาพวกข้าไปที่ดีๆ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก็ลุกขึ้นมา แล้วเดินก้าวขายาวออกไป “ข้าพูดกับน้องสะใภ้ ไม่ได้พูดกับเจ้า เจ้ามาวุ่นวายอะไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน เดินออกไปนอกจวนไม่หยุด หวงฝู่ซวิ่นเดินตามหลัง


 


 


ทุกคนต่างขึ้นรถม้า รอรถม้าของหวงฝู่ซวิ่นนำไปก่อน หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งโจวอันว่า “ตามไป”


 


 


โจวอันยกแส้ขึ้น แล้วโบกให้ม้าหนึ่งครั้ง ม้าก็ตามรถม้าคันหน้าไปทันที


 


 


ทุกคนมาถึงหน้าประตูสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนแล้วต่างคนต่างลงจากรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นใบสั่งปิดที่ติดอยู่หน้าประตูได้ถูกฉีกทิ้งแล้วทันที แม้ว่าประตูใหญ่จะถูกปิดไว้อยู่ แต่หน้าประตูนั้นเหมือนมีคนทำความสะอาดแล้ว สภาพทรุดโทรมก็ไม่มีให้เห็นแล้ว ก้อนหินรูปสิงโตที่อยู่หน้าประตูก็มองดูผู้คนไปมาอย่างมีชีวิตชีวา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก้าวขาเดินเข้าไปข้างใน เดินไปด้วยพูดอย่างเอาหน้าไปด้วยว่า “ทั้งด้านในและด้านนอกของสำนักคุ้มภัยนี้ ข้าได้ส่งคนมาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ห้องที่เสียหายก็ได้ให้คนมาซ่อมแซมแล้ว”


 


 


มีขันทีคนหนึ่งเปิดประตูใหญ่ของสำนักคุ้มภัยก่อน แล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปในสำนักคุ้มภัย


 


 


จริงๆ ด้วย สภาพด้านในนั้นแตกต่างจากหนึ่งปีที่แล้วมาก ใบไม้ร่วงบนพื้นก็ไม่มีแล้ว ประตูหน้าต่างนั้นเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด แม้แต่กระดาษหน้าต่างก็ใช้แบบที่ดีที่สุด มองดูไกลๆ ห้องแถวนั้นเหมือนใหม่ทั้งหมด


 


 


“เป็นอย่างไร พอใจหรือไม่” เสียงของหวงฝู่ซวิ่นดังข้างหู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วโป้งให้เขา “ฝากพี่ใหญ่จัดการเรื่องใดก็คือไว้ใจได้เลยจริงๆ แม้แต่เรื่องพวกนี้ก็จัดการให้เรียบร้อยแล้ว”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นยักคิ้วด้วยความภูมิใจ “แน่นอน พี่ใหญ่ของเจ้าคนนี้ไม่ว่าทำเรื่องใดต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ขอบคุณเขาด้วยใจจริงว่า “ข้าขอบพระคุณพี่ใหญ่แทนทุกคนในสำนักคุ้มภัย พี่ใหญ่วางใจเถิด พระคุณนี้ของพี่ข้าจะจดจำแทนพวกเขาไว้ ต่อไปหากพี่มีเรื่องอะไรต้องการให้พวกเขาออกหน้าก็ขอให้บอก เหวินเปียวไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธแม้แต่คำเดียวอย่างแน่นอน”


 


 


เมื่อก่อนสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนมีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง แม้ว่าช่วงหลายปีนี้ ถูกใส่ร้าย ชื่อเสียงถูกทำลายไปบ้าง แต่รากฐานของสำนักคุ้มภัยยังอยู่ เชื่อว่าอีกไม่นาน ต้องมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกับแต่ก่อนแน่นอน ถ้าหากตัวเองสามารถใช้สำนักคุ้มภัยได้อย่างนี้ สำหรับตัวเขาเองแล้วก็เสมือนเสือติดปีก หวงฝู่ซวิ่นดีใจเป็นอย่างมาก รีบกล่าวว่า “น้องสะใภ้ นี่เจ้าพูดเองนะ เจ้าต้องจำคำพูดวันนี้ของเจ้าไว้ ต่อไปห้ามกลับคำเป็นอันขาด”


 


 


“พี่ใหญ่ สุภาพบุรุษพูดคำไหนคำนั้น แม้ว่าข้าจะไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่ข้าก็ไม่คืนคำหรอกน่า รอให้สำนักคุ้มภัยตั้งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ข้าจะให้เหวินเปียวไปคำนับขอบพระทัย เขาเป็นผู้ดูแลสำนักคุ้มภัย ต่อไปก็จะเป็นกำลังเสริมให้พี่ได้แน่นอน”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นดีใจจนตีพัดลงบนมืออีกข้างของตัวเอง “ได้ ข้าจะรอ”


 


 


ทุกคนเดินรอบๆ สำนักคุ้มภัยหนึ่งรอบ เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเป็นอย่างมาก เป้าหมายของหวงฝู่ซวิ่นก็สำเร็จแล้ว อารมณ์ดีมาก หลังจากกลับมาจากสำนักคุ้มภัย ก็บอกว่าตัวเองยังมีเรื่องต้องจัดการ จึงนั่งรถม้าแล้วกลับตงกงไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนกลับสั่งให้โจวอันกลับหนานเฉิง


 


 


จวนอ๋องฉีเกิดเรื่องอย่างนี้ เมิ่งซื่อก็ช่วยอะไรไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไร สองสามวันนี้จึงตัดสินใจไม่ไปจวนอ๋องฉี ได้ยินว่าทั้งสองมา ก็ดีใจมาก ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง “สองสามวันนี้แม่กับพี่สะใภ้รองของเจ้าคิดถึงเจ้าอยู่พอดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือหวงฝู่อี้เซวียน รีบก้าวเข้าไปควงแขนของเมิ่งซื่อ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่คิดถึงข้า วันนี้จึงมาหาเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อได้ยินประโยคนี้ก็สบายใจมาก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความสุขมากว่า “ต่างบอกว่าลูกสาวเป็นความอบอุ่นเล็กๆ ของแม่ คำพูดนี้เป็นความจริง เจ้าดูพี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าสิ ใช่แล้ว ยังมีเจี๋ยเอ๋อร์อีกคน ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับแม่เลย ฉะนั้นเจ้าเนี่ย คลอดลูกสาวดีกว่านะ”


 


 


พูดจบ ก็มองท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกล่าวถามด้วยความแปลกใจว่า “ตามเวลาแล้ว เจ้าน่าจะสี่เดือนแล้ว เหตุใดท้องยังไม่โตเสียที หรือว่าสองสามวันนี้เจ้าไม่ได้กินอาหารดีๆ ปล่อยให้ลูกหิวหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านแม่ ท่านแม่กับอี้เซวียนจ้องข้าทุกวัน ข้าจะกล้าไม่กินอาหารดีๆ ได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านไม่เห็นหรือ ข้าแทบจะกลายเป็นหมูอยู่แล้ว”


 


 


เมิ่งซื่อมองดูท้องของนาง แล้วมองดูนาง ก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงส่ายหัวไปมา “ไม่ได้ เจ้าไปรอในห้อง แม่จะเข้าครัวเดี๋ยวนี้ ทำอาหารง่ายๆ หลายอย่างให้เจ้ากิน กลางวันเจ้ากินเยอะหน่อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าเอ่ยว่าไม่กิน ได้แต่มองดูเมิ่งซื่อที่ร้อนใจจนทิ้งตัวเองไว้แล้วตรงไปที่ห้องครัวทันที


 


 


ยิ้มแล้วมองหวงฝู่อี้เซวียน ทั้งสองกลับมาที่ห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวน “เจ้าไปเรียกเหวินเปียวมา บอกว่าข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา” พูดจบ ก็รู้สึกไม่เหมาะสม เหวินเปียวเป็นพ่อสามีในอนาคตของชิงหลวน ให้นางไปเรียกไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ จึงเอ่ยกับจูหลีว่า “เจ้าไปแล้วกัน”


 


 


จูหลีรับคำสั่ง หันหลังกำลังจะไป เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกนางไว้ “หลังจากเรียกเขาเสร็จ ก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว วันนี้ให้เจ้าและชิงหลวนหยุดหนึ่งวัน อยากทำอะไรก็ไปทำเถิด”


 


 


ชิงหลวนและจูหลีหน้าแดงขึ้นมาพร้อมกันทันที รับคำสั่งเสร็จแล้วก็เดินออกไปพร้อมกัน


 


 


เหวินปียวพอได้ยิน ก็รีบรุดมาทันที หลังจากทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็ยืนอย่างเรียบร้อย “นายหญิง ท่านมีเรื่องจะคุยกับข้าหรือ”


 


 


“ข้ามีเรื่องให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยของเจ้าช่วย เจ้าเขียนจดหมายถึงพวกเขา ให้พวกเขาทุกคนเข้าเมืองหลวง”


 


 


สีหน้าของเหวินเปียวกังวลขึ้นมาทันที รีบกล่าวถามว่า “นายหญิง เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ “เรื่องเล็ก เจ้าอย่าตื่นตกใจ เขียนจดหมายให้พวกเขาทุกคนมาก็พอ”



 

 

 


ตอนที่ 329 ไปสำนักคุ้มภัย

 

มองสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ เหวินเปียวจึงวางใจลง หลังจากอำลาเสร็จก็กลับมาที่เรือนของบ่าวรับใช้ ยกพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนจดหมายจนเสร็จ อยากให้เหวินซงส่งกลับไปด้วยตัวเอง เรียกหลายรอบก็ไม่เห็น จนรู้จากปากของภรรยาตัวเองว่าเขาไปพบชิงหลวนแล้ว คิดได้ว่าชิง


 


 


หลวนนั้นอยู่ข้างเมิ่งเชี่ยนโยวทุกวัน กว่าลูกชายของตัวเองจะเจอนางสักครั้งหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย จึงล้มเลิกความคิดนี้ไป จึงไปหากัวเฟย อยากจะให้เขาช่วยหาองครักษ์ลับนายหนึ่งไปส่งให้ หาไปหามา ก็หาเขาไม่เจอ จึงคิดขึ้นได้ว่า วันนี้จูหลีก็มา กัวเฟยต้องไปหานางแน่นอน สุดท้ายไม่มีวิธีอื่น ถือจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วกลับมาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว ยืนรายงานอยู่ในเรือนว่า “นายหญิง จดหมายเขียนเสร็จแล้วขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก สั่งโจวอันให้หาองครักษ์ลับสองคนขี่ม้าไปส่งอย่างรวดเร็ว


 


 


องครักษ์ลับเอาจดหมายไปแล้ว เหวินเปียวก็ยังคงยืนอยู่ในเรือนไม่ขยับ เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจ ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “มีอะไรอีกหรือ”


 


 


“นายหญิง ของหมั้นหมายทุกอย่างพวกข้าได้จัดเตรียมไว้หมดแล้วไม่รู้ว่าจะให้ซงเอ๋อร์และแม่นางชิงหลวนหมั้นหมายกันเมื่อไหร่ขอรับ”


 


 


“เรื่องนี้ไม่รีบ ไม่นานก็จะได้เก็บมันฝรั่งแล้ว รอหลังจากเก็บมันฝรั่งแล้วว่ากันอีกที วางใจเถิด ก่อนปีใหม่ ข้ารับประกันว่าเหวินเปียวต้องได้สะใภ้เข้าเรือนแน่นอน”


 


 


เหวินเปียวก็ยังไม่ไป ในน้ำเสียงก็ยังคงมีความร้อนใจเล็กน้อย “นายหญิง ท่านช่วยจัดหางานให้ครอบครัวข้าทีเถิด อยู่เฉยๆ ในจวนทั้งวันแบบนี้ จิตใจข้าไม่สงบเลยขอรับ”


 


 


“รออีกไม่กี่วันก่อน ข้ามีงานสำคัญให้พวกเจ้าทำ ช่วงนี้ก็พักผ่อนไปก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเยี่ยงนี้แล้ว เหวินเปียวก็ไม่กล้าขอร้องอีกแน่นอน หันหลังกลับไปที่เรือนของตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยสายตาแปลกๆ


 


 


“เป็นอะไร ข้ามีอะไรแปลกๆ หรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจ้องไปที่ท้องของนาง ท่าทางคิดหนัก “ท่านแม่กล่าวแล้ว เจ้าตั้งท้องสี่เดือนควรท้องโตแล้ว แต่เจ้ายังหุ่นดีเยี่ยงนี้ หรือว่าลูกๆ จะเป็นอะไรจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปข้างหน้าเขา ยิ้มแล้วตีเขาเบาๆ หนึ่งที “พูออะไรไร้สาระ ข้าเป็นหมอ ลูกอยู่ในท้องข้า ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นอะไรหรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกุมมือนางไว้ ขมวดคิ้ว สีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้พูดเล่นกับเจ้า ให้หมอหลวงเจียงมาดูเถิด”


 


 


คำพูดที่หมอหลวงเจียงพูดครั้งที่แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจำไว้ในใจตลอดเวลา หากไม่ให้หมอหลวงเจียงมาจับชีพจรให้ตน เพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรจริงๆ หวงฝู่อี้เซวียนต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ห้าม ยิ้มแล้วพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเสียงดังว่า “โจวอัน ไปหิ้วตัวหมอหลวงเจียงมา”


 


 


โจวอันไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ภายใต้เสียงประท้วงของหมอหลวงเจียง โจวอันดึงปกคอเสื้อของเขาขึ้น แล้วหิ้วเขามาจริงๆ


 


 


แม้ว่าจะเป็นอย่างนี้หลายครั้งแล้ว หมอหลวงเจียงก็ยังไม่เคยชินกับการเดินทางแบบนี้ ขอร้องโจวอันให้ช้าลงด้วยความอกสั่นขวัญแขวนตลอดทาง


 


 


จนถึงในเรือน โจวอันจึงปล่อยเขาลง


 


 


หมอหลวงเจียงสะดุดขาสองครั้ง เอนไปมาแล้วจึงจะยืนตรงได้สะบัดหัวที่เริ่มมึนของตัวเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ท่านจอมยุทธ์ ครั้งหน้ารบกวนท่านอย่าใช้วิธีแบบนี้อีกได้หรือไม่ แขนขาแก่ๆ นี้ของข้า รับไม่ไหวจริงๆ”


 


 


โจวอันสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดจา


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังออกมาจากข้างใน “ยังไม่ไสหัวเข้ามาอีก ไม่อยากได้สูตรยาพวกนั้นแล้วใช่หรือไม่”


 


 


ทันทีที่สูตรยาสองคำนี้เข้ามาในหู ร่างกายของหมอหลวงเจียงก็ไม่เอนไปมาแล้ว หัวก็ไม่มึนแล้ว ก้าวขาไม่กี่ก้าวก็เข้ามาในห้องทันที “ซื่อจื่อ ข้าไสหัวเข้ามาแล้ว ท่านต้องพูดคำไหนคำนั้นนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปิดปากแล้วแอบหัวเราะ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าช่วยจับชีพจรให้ซื่อจื่อเฟยก่อน ดูว่านางมีจุดไหนที่ไม่สบายหรือไม่ จับถูกแล้ว สูตรยาพวกนั้นเป็นของเจ้าทั้งหมด”


 


 


ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว หมอหลวงเจียงหยุดชะงักไปทันที รอยยิ้มที่ขึ้นบนใบหน้าก็หายไปในทันที คิดว่าตัวเองนั้นหงำเหงือกไปแล้วใช่หรือไม่ คำพูดประโยคนี้ของซื่อจื่อเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร สงบใจลง สร้างความฮึกเหิมให้กับตัวเอง กล่าวถามด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “ซื่อจื่อ ท่านต้องการให้ให้ซื่อจื่อเฟยไม่มีเรื่อง หรือว่ามีเรื่องหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวหัวเราะพรวดออกมา


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ดีขึ้นทันที


 


 


ใจของหมอหลวงเจียงสั่นทันที รู้สึกได้ว่าสูตรยาที่อยู่ตรงหน้าพวกนั้นได้ค่อยๆ ลอยหายไป ก้มศีรษะลงด้วยความตกใจ ไม่กล้ามองหน้าหวงฝู่อี้เซวียน แล้วก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก


 


 


เสียงกัดฟันของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นข้างหูเขา “ดูเหมือนกับที่ดูปกติก็พอ”


 


 


หมอหลวงเจียงรีบรับคำสั่งทันที เดินมาข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว วางกระเป๋ายาลงบนพื้น ย่อตัวลงแล้วเปิดออก หยิบหมอนจับชีพจรวางลงบนโต๊ะ ส่วนตัวเองนั้นนั่งย่อตัว “ซื่อจื่อเฟย เชิญท่านวางมือลงบนนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะสั่งให้คนยกเก้าอี้มาให้หมอหลวงเจียงนั่ง จึงคิดได้ว่าชิงหลวนและจูหลีนั้นตัวนางสั่งให้ออกไปแล้ว ไม่มีคนให้ใช้ ยิ้มแล้วมองหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกขาขึ้น เตะเก้าอี้หนึ่งตัวไปด้านหลังหมอหลวงเจียงอย่างแม่นยำทันที สั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “นั่งลง”


 


 


หมอหลวงเจียงตกใจนั่งลงบนเก้าอี้ทันที เหงื่อเย็นผุกออกมาจากบนใบหน้า วันนี้ซื่อจื่ออารมณ์ไม่ดีมากๆ ตัวเองต้องระมัดระวังให้ดี จับชีพจรให้ซื่อจื่อเฟยดีๆ


 


 


ตั้งแต่นั้น หลังจากเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป มือของหมอหลวงเจียงก็ยังคงอยู่บนชีพจรของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ มีไอเย็นออกมารอบๆ ตัว


 


 


หมอหลวงเจียงหนาวจนตัวสั่นหนึ่งครั้ง จึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา รีบปล่อยมือของเมิ่งเชี่ยนโยวทันที คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น “ซื่อจื่อ ฝีมือการรักษาของข้าไม่เก่งกาจ ตรวจไม่ออกจริงๆ ว่าชีพจรจุดไหนของซื่อจื่อเฟยที่ไม่ดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเสียงดังออกมาทันที เสียงหัวเราะที่สดใสนั้นดังออกไปไกลมาก


 


 


แต่หมอหลวงเจียงกลับเห็นสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นอ่อนลงอย่างมหัศจรรย์ ตัวเองก็ไม่รู้สึกถึงความกดดันที่มาจากเขาแล้ว ในขณะที่ตัวเองกำลังสงสัยอยู่ น้ำเสียงที่สบายของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นมาอีกครั้ง “พรุ่งนี้ไปเอาสูตรยาที่จวนอ๋อง”


 


 


หมอหลวงหยุดชะงักไปสักพัก ไม่นานก็รู้สึกตัวขึ้นมา ดีใจมาก กล่าวขอบพระทัยหลายๆ ครั้งด้วยความตื่นเต้น “ขอบพระทัยซื่อจื่อ ขอบพระทัยซื่อจื่อ ไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้ ข้าไปรอที่จวนเดี๋ยวนี้เลย ท่านกลับจวนเมื่อไหร่ ค่อยเอาให้ข้าก็พอ”


 


 


เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งหยุดลงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง บนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็มีรอยยิ้มเกิดขึ้นมา แต่ประโยคถัดไปที่พูดออกมากลับทำให้หมอหลวงเจียงรีบลุกขึ้นมา แล้วเก็บกระเป๋ายาของตัวเองทันที ยังไม่ทันสะพาย ก็รีบยกของขึ้นมาแล้วก้าวขาออกไปทันที “หากเจ้ายังกล้าเรื่องมากอีก พรุ่งนี้เจ้าจะไม่ได้สูตรยาแม้แต่สูตรเดียว”


 


 


โจวอันมองหมอหลวงเจียงวิ่งออกมาด้วยความตกใจ วิ่งตรงมาอยู่ด้านหน้าตัวเองด้วยใบหน้าที่ไม่แดงลมหายใจปกติ “ท่านจอมยุทธ์ รบกวนเจ้าอีกครั้ง ช่วยส่งข้ากลับไปให้เร็วที่สุด”


 


 


โจวอันยังไม่ทันรู้สึกตัวขึ้นมา เสียงมีความสุขของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังออกมาจากห้อง “หมอหลวงเจียง ใกล้เวลากลางวันแล้ว ท่านอยู่ทานอาหารกลางวันที่จวนก่อนแล้วค่อยกลับเถิด”


 


 


หมอหลวงเจียงกำลังจะปฏิเสธ ก็คิดขึ้นได้ว่าสองสามวันนี้ในวังมีโรคยากๆ หลายโรค ตนสามารถฉวยโอกาสนี้ปรึกษาหารือกับเมิ่งเชี่ยนโยว จึงตอบรับด้วยความดีใจว่า “ขอบพระทัยซื่อจื่อเฟย ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจะทำตามคำสั่ง”


 


 


หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หมอหลวงเจียงก็จากไปด้วยใบหน้าที่เต็มอิ่ม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าไปพักในห้องชั่วครู่ แล้วเล่นเป็นเพื่อนเซิ่งเอ๋อร์กับเมิ่งซื่อครึ่งค่อนวัน รอจนท้องฟ้ามืดลง จึงจะกลับตำหนัก


 


 


สองสามวันนี้พระชายาฉีถูกเรื่องของหลินหันเยียนวุ่นวายจนปวดหัว วันนี้กลับไปที่จวนของท่านแม่ทัพ แล้วเพิ่งกลับมาถึงพอดี ลงจากรถม้า เห็นทั้งสองคน ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “ไปไหนมาหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังแล้วเดินไปด้านหลังหลายก้าว ต้อนรับพระชายาฉี ควงแขนข้างหนึ่งของนาง ยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ได้พบท่านแม่ของข้าหลายวันแล้ว คิดถึงมาก จึงกลับจวนไปหานางมาเจ้าค่ะเสด็จแม่”


 


 


พระชายาฉีหยุดชะงักไป ตั้งใจถอนหายใจ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่า “เฮ้อ มีลูกสาวนั้นดีจริงๆ ยังมีคนคิดถึง ไม่เหมือนข้าที่มีแค่ลูกชายสองคน นอกจากทำความเคารพแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งควงแขนแน่นขึ้นไปอีก ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่พูดอะไรเยี่ยงนี้เจ้าคะ ท่านบอกว่าข้าก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านมิใช่หรือ ต่อไปข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านทุกวันเลย”


 


 


พระชายาฉีสบายใจขึ้นมาทันที น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้น “ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าทุกวัน คลอดหลานสาวที่เชื่อฟังและน่ารักเหมือนเจ้าให้ข้าก็พอแล้ว”


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงขึ้นมาทันที “เสด็จแม่ นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวข้าเองเสียหน่อย ท่านก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


เห็นสีหน้าเขินอายของนางแล้ว พระชายาฉีก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ


 


 


ฉวยโอกาสที่นางไม่สังเกต เมิ่งเชี่ยนโยวแอบแลบลิ้นให้หวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัวแล้วหลุดหัวเราะออกมา


 


 


แต่พระชายาฉีกลับหยุดเดิน มองดูนางทั้งตัวอย่างละเอียด “วันนี้เรื่องของอวี้เอ๋อร์และเยียนเอ๋อร์ทำข้ามึนหัวไปหมด จนข้าเกือบลืมไปว่าเจ้าใกล้จะสี่เดือนแล้วใช่หรือไม่ ท้องควรโตแล้ว”


 


 


มาอีกคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวร่ำไห้อยู่ในใจ รีบขอความช่วยเหลือจากหวงฝู่อี้เซวียนทันที


 


 


“เสด็จแม่ ท่านจำผิดแล้วขอรับ ยังเหลืออีกหลายวันกว่าจะครบสี่เดือน”


 


 


“จริงหรือ” พระชายาฉีขมวดคิ้ว สงสัยเล็กน้อย “ข้าจำได้ว่าถึงแล้วนะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน “ท่านแม่จำผิดแล้วขอรับ”


 


 


มองดูท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง พระชายาฉียิ้มแล้วกล่าวว่า “ดูแล้วข้าน่าจะจำผิดจริงๆ ข้าก็ว่า ลูกคนเดียว สี่เดือนก็ท้องโตแล้ว เจ้ามีตั้งสองคนเหตุใดจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย”


 


 


รอดจากการบ่นอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอกทันที ตอนนี้นางไม่ได้กลัวว่าหวงฝู่อี้เซวียนเฝ้าดูแลนางเคร่งครัดเพียงใด ไม่ให้นางทำโน่นทำนี่ ที่นางกลัวมากที่สุดคือการบ่นของพระชายาฉีและเมิ่งซื่อ นั่นแทบทำให้คนเสียสติ โดยเฉพาะเวลาที่ทั้งสองท่านอยู่ด้วยกัน นางรู้สึกว่าหูของนางใหญ่ขึ้นเพราะถูกบ่นจากทั้งสองท่าน แทบอยากแกล้งเสียชีวิตทุกครั้งที่เจอเลยจริงๆ


 


 


พอเลี้ยวผ่านทางเดิน ต่างก็แยกย้ายกันไปที่เรือนของตัวเอง


 


 


แน่นอนว่าเพื่อเป็นการตอบแทนที่หวงฝู่อี้เซวียนช่วยตัวเองจากมรสุม เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบแทนหวงฝู่อี้เซวียนตามที่ตัวเองสามารถตอบแทนได้อย่าง… ระมัดระวัง


 


 


ไม่นานก็ผ่านไปอีกหลายวัน อารมณ์ของหลินหันเยียนค่อยๆ คงที่ ไม่ร้องไห้ฟูมฟายอีก ทุกคนในจวนจึงโล่งอกทันที


 


 


หลังจากคนของสำนักคุ้มภัยได้รับจดหมายเดินทางมาแล้ว เหวินเปียวนำก็รีบมาจากจวนทันที ตรงมาที่จวนอ๋องฉี เพื่อพบเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้น หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมานอกเรือนพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน มองทุกคนที่มีฝุ่นเต็มศีรษะและใบหน้า แม้กระทั่งตัวก็เต็มไปด้วยฝุ่น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ดีๆ ที่หนึ่ง”


 


 


ในจดหมายของเหวินเปียวเขียนไว้ว่า เมิ่งเชี่ยนโยวมีเรื่องสำคัญให้พวกเขาไปทำ สั่งให้พวกเขารีบเดินทางทั้งวันทั้งคืนมา แต่มองท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยวตอนนี้แล้ว ไม่เหมือนว่ามีเรื่องด่วน ทุกคนต่างสงสัยในใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม รอให้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าด้วยความเคารพ แล้วทุกคนจึงจะกระโดดขึ้นบนหลังม้า แล้วตามหลังไป


 


 


ทุกคนต่างเติบโตในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก ยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกว่าทางที่ไปนั้นคุ้นเคยมาก


 


 


นี่มันทางไปสำนักคุ้มภัยชัดๆ


 


 


ในใจก็เกิดความกังวล ใจสั่นระคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที เกือบสิบปีแล้ว ในที่สุดก็มีโอกาสกลับไปดูเสียที แม้จะเป็นเพียงแค่แวบเดียวก็ยังดี


 


 


เหวินหู่และเหวินเป้าสองพี่น้องก็รู้สึกเช่นกัน ต่างมองไปทางเหวินเปียว แล้วใช้สายตากล่าวถามว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


เหวินเปียวงุนงันกว่าพวกเขาอีก ส่ายหัวไปมา แสดงให้เห็นว่าตัวเองก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดจา ทุกคนก็ไม่กล้าถาม ค่อยๆ ตามหลังรถม้าช้าๆ


 


 


ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้ จนสามารถมองเห็นรูปทรงของสำนักคุ้มภัย ในใจของทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที โดยเฉพาะพี่น้องในสำนักคุ้มภัยทั้งหลาย ตั้งแต่ตอนที่ถูกนำตัวออกจากสำนักคุ้มภัยแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกเลย แม้ว่าจะอาศัยอยู่ใกล้เมืองหลวงมากมานานหลายปี ก็ไม่กล้าแอบกลับมาดูแม้แต่แวบเดียว กลัวว่าจะถูกใครพบเห็บแล้วทำให้พี่น้องคนอื่นต้องเสียชีวิต


 


 


รถม้ายิ่งอยู่ยิ่งใกล้ ทุกคนก็ตื่นเต้นจนใจกระดอนขึ้นมาถึงลำคอแล้ว มีเพียงเหวินเปียวสามพี่น้องที่ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม พวกเขาเคยมาแล้วหนึ่งครั้ง รู้ว่าสำนักคุ้มภัยทรุดโทรมมากเพียงใด แต่ครั้งนี้ที่มองไป แม้ว่าสำนักคุ้มภัยจะไม่ถือว่าเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด แต่ก็มีสภาพพอๆ กับตอนที่มีชื่อเสียง ดูท่าแล้วสำนักคุ้มภัยน่าจะถูกราชการฝ่ายขุนนางขายออกไปแล้ว ส่วนนายหญิงก็คงพาพวกเขามาดูเป็นครั้งสุดท้าย


 


 


เลี้ยวผ่านหนึ่งโค้ง สำนักคุ้มภัยก็เข้ามาอยู่ในสายตาของทุกคน


 


 


ทุกคนทนไม่ไหวอีกแล้ว ทิ้งมารยาททั้งหมดไปจากสมอง ต่างควบม้าผ่านรถม้าที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ไปทันที แล้วตรงไปที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยอย่างรวดเร็ว



 

 

 


ตอนที่ 330 ชีวิตอิสระ

 

เหวินเปียวสามพี่น้องกลับก้มหน้าลง ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะหวดม้าต่อแล้ว ปล่อยบังเ**ยนลง ปล่อยให้ม้าตามหลังเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงเท้าม้าด้านนอกรถ ยกมุมปาก แล้วเผยรอยยิ้มออกมา ยื่นมือออกมาเปิดม่านหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก เหตุการณ์ที่พี่น้องสำนักคุ้มภัยทุกคนหวดม้าให้วิ่งอย่างรวดเร็วเข้ามาอยู่สายตาของตัวเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็มองตามออกไปข้างนอกแวบหนึ่ง คิดในใจหนึ่งรอบ ทุกคนในสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนกลับมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหยุดเงียบมาเป็นเวลานานหลายปีนี้ พวกเขาจะยังมีความกล้าพอที่จะฟื้นฟูสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน ให้กลับมามีชื่อเสียงเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่


 


 


พี่น้องทุกคนตื่นเต้นกันมาก ม้าเดินมาถึงหน้าประตูสำนักคุ้มภัย หยุดลงเป็นแถวแนวนอน มองดูตัวหนังสือที่เขียนไว้ว่า ‘สำนักคุ้มภัยเวยหย่วน’ ที่โบราณและเรียบง่าย อยู่ภายใต้แสงสว่างจากแสงอาทิตย์ ทุกคนน้ำตาไหลลงมาทันที


 


 


เหวินหย่วนใจร้อนกว่า ยืนขึ้นบนหลังม้า เขย่งขาขึ้น แล้วกระโดดไปที่หน้าประตูทันที


 


 


“เหวินหย่วน อย่า” เหวินเปียวที่มองการเคลื่อนไหวของทุกคนตลอดเวลาออกเสียงห้ามทันที


 


 


ร่างกายของเหวินหย่วนหมุนอยู่บนฟ้าหนึ่งรอบ แล้วลงมาบนพื้น หันหลัง แล้วกล่าวถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “เส้าจู่ เพราะเหตุใด”


 


 


ประโยคที่ว่า ‘สำนักคุ้มภัยเปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้ว’ ติดอยู่ในลำคอของเหวินเปียวเป็นเวลานานมากก็ยังคงพูดไม่ออกมา ได้แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “นายหญิงยังไม่ทันเอ่ยอะไร พวกเจ้าอย่าขยับ”


 


 


เหวินเปียวเอ่ยออกมา แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าขยับอีกเลย ทุกคนลงมาจากม้า ถือบังเ**ยนไว้ ยืนอยู่ข้างๆ ม้า มองดูสำนักคุ้มภัยที่ยังคงเหมือนเมื่อก่อน น้ำตาคลอ รอคอยคำสั่งจากเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเงียบๆ


 


 


รถม้าหยุดลงตรงหน้าประตูสำนักคุ้มภัย เหวินเปียวสามพี่น้องเงยหน้าขึ้น เห็นป้ายแขวนที่เป็นประกาย ก็ตาโตขึ้นมาทันที อย่างไรเหวินเป้าก็ยังคงอายุน้อยอยู่ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ร้องออกมาด้วยความดีใจว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกพี่ดู ข้างบนยังคงเป็นป้ายของพวกเราอยู่”


 


 


เหวินหู่ก็ตื่นเต้นมาก


 


 


ในใจของเหวินเปียวเริ่มคาดเดาอะไรได้แล้ว ตื่นเต้นจนมือที่ถือบังเ**ยนสั่นขึ้นมาทันที กระโดดลงจากม้า ทุกคนกระโดดมาข้างหน้าประตูสำนักคุ้มภัย ยื่นมือออกมาลูบประตูใหญ่ของสำนักคุ้มภัย ในดวงตาก็เริ่มระรื้นไปด้วยน้ำตา


 


 


หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า มองไปทางป้ายแขวนของสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน จากนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงสวรรค์ว่า “เข้าไปดูเถิด พวกเจ้าก็ไม่ได้กลับจวนมานานหลายปีแล้ว”


 


 


ร่างกายของเหวินเปียวหยุดชะงักไป แล้วค่อยๆ หันหลังกลับไปอย่างเหลือเชื่อ ในดวงตาที่แดงก่ำเต็มด้วยความดีใจ “นายหญิง ได้จริงๆ หรือ พวกข้าสามารถเข้าไปได้จริงๆ หรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า


 


 


เหวินเปียวหันกลับไป มองดูประตูใหญ่ที่โบราณและเรียบง่ายตรงหน้า หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ ยื่นมือสองข้างที่สั่นไหววางลงบนนั้น


 


 


เหวินหู่และเหวินเป้าก็กระโดดมายืนขนาบซ้ายขวา วางมือทั้งสองข้างลงบนประตูใหญ่เช่นเดียวกับเขา สามพี่น้องออกแรงพร้อมกัน ประตูใหญ่ค่อยๆ ถูกเปิดออก สภาพข้างในค่อยๆ ปรากฎอยู่ในสายตาของทุกคน สภาพเหมือนกับตอนที่พวกเขาถูกบังคับให้ออกไป ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย


 


 


ประตูใหญ่ถูกเปิดกว้าง เหวินเปียวเดินนำหน้าเข้าไปในลาน ทุกคนที่อยู่ด้านหลังโยนบังเ**ยนในมือทิ้งทันที วิ่งเข้าไปเหมือนกับฝูงผึ้ง


 


 


เสียงร้องดีใจมากมายดังขึ้นมาทันที


 


 


“ดูเร็ว ดูเร็ว สนามฝึกฝนวิทยายุทธ์ของพวกเรายังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม เหมือนกับตอนที่เราจากไปเลย”


 


 


“โอ้ ขวานของข้ายังอยู่”


 


 


“มีดใหญ่ของข้าก็ยังอยู่”


 


 


“นั่นมันค้อนคู่ของข้า”


 


 


……….


 


 


“ข้าไปดูที่พักก่อน”


 


 


สุดท้าย ทุกคนวิ่งไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสบตากัน ไม่ได้เดินเข้าไป ยืนอยู่ข้างๆ ม้าอย่างเงียบๆ ยิ้มมุมปากแล้วมองดูผู้คนที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มวิ่งไปมาด้วยความดีใจเหมือนเด็กน้อย


 


 


หลังจากครึ่งชั่วยามผ่านไป ทุกคนต่างไปสำรวจดูสำนักคุ้มภัยทั้งด้านในด้านนอก ข้างหน้าข้างหลัง ทุกซอกทุกมุมหนึ่งรอบ แม้แต่ต้นไม้ใหญ่หลายต้นก็ถูกโอบกอดด้วยความตื่นเต้นแล้ว อารมณ์ที่ตื่นเต้นดีใจจึงจะค่อยๆ สงบลง


 


 


เหวินเปียวเดินก้าวขายาวออกไปด้านนอก มาถึงด้านหน้าทั้งสองคน ด้วยสีหน้าตื่นเต้น “นายหญิง นี่…”


 


 


“ไท่จื่อได้ตรวจสอบชัดเจนแล้ว ตอนนั้นพวกเจ้าถูกใส่ร้ายจริงๆ ตอนนี้จึงคืนสำนักคุ้มภัยที่คงสภาพดังเดิมนี้ให้กับพวกเจ้า”


 


 


ทันทีที่นางพูดจบ เหวินเปียวที่เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นั่งยองๆ อยู่บนพื้นแล้วร้องไห้ออกมาทันที เจ็ดปีแล้ว ในที่สุดสำนักคุ้มภัยก็ได้รับความยุติธรรมเสียที เขามีหน้าไปกราบไหว้ท่านพ่อท่านแม่ของตัวเองเสียที


 


 


ได้ยินเสียงร้องไห้ของเขา ทุกคนค่อยๆ เดินออกมา ดวงตาก็เริ่มแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง คิดถึงตอนนั้น สำนักคุ้มภัมีชื่อเสียงเพียงใด จนทำให้ลูกศิษย์สำนักคุ้มภัยอย่างพวกเขาพลอยมีฐานะที่ดีขึ้นไปด้วย แม่สื่อที่จับคู่ก็เดินไปมาที่หน้าสำนักคุ้มภัยทุกวัน แย่งกันเพื่อแนะนำหญิงสาวดีๆ ให้กับพวกเขา แต่เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้นายท่านสำนักคุ้มภัยเสียชีวิต ยังทำให้พวกเขากลายเป็นทาส หากไม่ใช่เพราะนายท่านฮั่วให้คนมาช่วยพวกเขาไว้ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะถูกฝังดินไปแล้ว จะรอถึงวันที่สำนักคุ้มภัยฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งอย่างวันนี้ได้อย่างไร


 


 


ทุกคนขมขื่นกับอดีต ต่างไม่พูดจาสักพัก หน้าประตูสำนักคุ้มภัยมีเพียงเสียงร่ำไห้ที่มีความสุข ในนั้นมีเสียงของเหวินเปียวร่วมอยู่ด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ห้าม ปล่อยให้พวกเขาร้องไห้จนพอใจ


 


 


ร้องไห้ไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ เหวินเปียวจึงจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เช็ดน้ำหูน้ำตาให้หมด เปลี่ยนจากนั่งย่องๆ เป็นคุกเข่า คุกเข่าต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิงขอรับ พระคุณอันใหญ่หลวงของท่าน เหวินเปียวจะจดจำไปตลอดชีวิต ขอให้ท่านรับการคำนับจากพวกเราทุกๆ คนเถิด”


 


 


เหวินหู่และเหวินเป้าก็คุกเข่าตามลงเช่นกัน


 


 


ทุกคนที่อยู่ด้านหลังก็คุกเข่าลงพร้อมกัน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดังชัดเจนว่า “นายหญิง ขอให้ท่านรับการคำนับจากพวกเราด้วยเถิดขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับการคำนับจากพวกเขาอย่างเปิดเผย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “การคำนับครั้งนี้จากพวกเจ้า ข้ารับไว้แล้ว หวังว่าต่อไปนี้พวกเจ้าจะฟื้นฟูสำนักคุ้มภัยขึ้นมาอีกครั้ง ให้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเมื่อก่อน”


 


 


เหวินเปียวเงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวาและมีพลังว่า “นายหญิง ท่านวางใจเถิด ต่อไปท่านว่าเยี่ยงไร พวกข้าก็ทำเยี่ยงนั้น ไม่คัดค้านแน่นอนขอรับ”


 


 


“เหวินเส้าจู่ คำพูดนี้ของเจ้าไม่ถูกต้อง สำนักคุ้มภัยเป็นของเจ้า ข้าไม่มีความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว


 


 


ทุกคนไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนาง จึงมองนางด้วยความตกตะลึง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วยื่นมือออกมา ชิงหลวนถือกล่องเล็กๆ หนึ่งกล่องมายืนอยู่ข้างๆ นาง แล้วเปิดออก ข้างในเป็นสัญญาซื้อตัวหนึ่งปึก


 


 


“นี่เป็นสัญญาซื้อตัวทั้งหมดของพวกเจ้า วันนี้ข้าคืนให้กับพวกเจ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าเป็นอิสระแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว


 


 


ทุกคนหยุดชะงักไปอีกครั้ง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ผ่านไปสักพักจึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา ตื่นเต้นจนแทบจะบินขึ้นมา


 


 


แต่เหวินเปียวกลับคุกเข่าลง ตึกตัก บนพื้นอีกครั้ง “นายหญิง ทำเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่วันแรกที่ท่านซื้อตระกูลเหวินทั้งตระกูล เหวินเปียวก็สาบานแล้วว่าทั้งชีวิตนี้จะติดตามนายหญิงตลอดไป ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งกว้างมากขึ้นไปอีก “นี่ไม่ถือว่าเปลี่ยนใจ หลายปีนี้ที่เจ้าอยู่กับข้า ก็ช่วยเหลือข้ามากมาย สัญญาซื้อตัวพวกนี้ถือว่าข้าคืนน้ำใจให้เจ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะไม่เป็นทาสอีก แต่เป็นเส้าจู่ของสำนักคุ้มภัย”


 


 


พูดจบ ก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “แต่ว่า ตกลงกันก่อน ต่อไปหากข้าต้องการให้สำนักคุ้มภัยออกแรง เจ้าต้องห้ามปฏิเสธเป็นอัดขาด”


 


 


การยืนกรานที่ดื้อรั้นของเหวินเปียวดังขึ้น “นายหญิงพูดอะไรเยี่ยงนี้ ตัวพวกข้าถูกขายให้ท่านแล้ว สำนักคุ้มภัยนี้ก็เป็นของท่าน ท่านให้พวกข้าทำเยี่ยงไรพวกข้าก็ทำเยี่ยงนั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา ส่งสัญญาณให้ชิงหลวนส่งกล่องให้เหวินเปียว


 


 


ชิงหลวนปิดกล่อง แล้วยื่นไปข้างหน้าของเหวินเปียว


 


 


เหวินเปียวไม่รับ “นายหญิง ข้าจะผิดคำสาบานตอนนั้นของข้าไม่ได้ ข้าสาบานแล้วว่าจะติดตามท่านไปตลอดชีวิต”


 


 


“เหวินซงและเหวินเหลียนต่างก็จะแต่งงานแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ลูกๆ ของพวกเขาเกิดมาก็เป็นทาสเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม


 


 


เหวินเปียวหยุดชะงักไป เห็นได้ชัดว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้


 


 


“เจ้าเป็นคนที่จริงใจ หลังจากที่ข้าให้สัญญาซื้อตัวกับเจ้า เจ้าก็จะหันหลังจากไปเลยหรือ”


 


 


เหวินเปียวส่ายหัวไปมา


 


 


“ฉะนั้น สัญญาซื้อตัวนี้สำหรับข้ากับเจ้าแล้ว เป็นเพียงเศษกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้กิจการของข้าได้ขยายไปทั่วรัฐอู่แล้ว ตอนนี้ข้ากำลังต้องการคนช่วยข้าขนส่งสินค้าพอดี สำนักคุ้มภัยเปิดขึ้นมาใหม่ จะช่วยข้าได้เป็นอย่างมาก” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว


 


 


เหวินเปียวขมวดคิ้วแน่น สีหน้าลังเล ผ่านไปสักพักจึงจะกัดฟันแล้วกล่าวว่า “ได้ขอรับ นอกจากสัญญาซื้อตัวของข้า ข้ารับของทุกคนไว้”


 


 


“พี่ใหญ่!!”


 


 


“เส้าจู่!!!!”


 


 


เสียงที่ไม่เห็นด้วยหลายสิบเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน


 


 


เหวินเปียวโบกมือ เพื่อหยุดคำพูดที่ทุกคนจะเอ่ย “ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้าอย่าได้เอ่ยอะไรอีก”


 


 


“แต่พี่เป็นเส้าจู่ของสำนักคุ้มภัย หากพี่ไม่กลับมา ใครจะเป็นคนประคับประคองสำนักคุ้มภัย” เหวินหู่รีบกล่าวด้วยความร้อนใจทันที


 


 


ทุกคนต่างเห็นด้วย


 


 


เหวินเปียวโบกมือ “น้องสอง ตอนนั้นเป็นเพราะข้า สำนักคุ้มภัยจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ข้าไม่มีหน้านำพี่น้องทุกคนอีก อีกอย่าง ขาของข้าใช้การไม่ได้แล้ว แล้วก็ไม่มีวิชาต่อสู้เหมือนเมื่อก่อนอีก ไม่สามารถประคับประคองสำนักคุ้มภัยได้อีก ข้าอยู่รับใช้ข้างนายหญิงต่อไป ต่อไปสำนักคุ้มภัยก็ให้เจ้าและน้องสามดูแลเถิด”


 


 


“ไม่ได้ พี่ใหญ่” เหวินเป้ารีบคัดค้านทันที “ตอนนั้นท่านพ่อได้ฝากฝังสำนักคุ้มภัยให้พี่ดูแล พี่ห้ามทิ้งพวกข้าแล้วไม่เหลียวแล ข้าและพี่รองดูแลสำนักคุ้มภัยไม่ได้จริงๆ”


 


 


เหวินหู่พยักหน้าหงึกๆ “น้องสามพูดถูกต้อง พี่ใหญ่ สำนักคุ้มภัยไม่มีพี่ไม่ได้”


 


 


“เหวินเปียว เจ้ากลายเป็นคนยืดยาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หากเจ้าอยากจะตอบแทนบุญคุณที่ข้าช่วยพวกเจ้าทุกคนไว้จริงๆ เจ้าก็รีบรับสัญญาซื้อตัวพวกนี้ไป แล้วแจกให้ทุกคน แล้วก็ ที่สำนักคุ้มภัยได้รับความยุติธรรมนี้ ไท่จื่อก็มีส่วนช่วยเหลืออย่างมาก บุญคุณนี้เจ้าต้องไปคืนด้วยตัวเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถึงตรงนี้ เหวินเปียวก็เข้าใจอย่างชัดเจนทันที เขาตกใจมาก สำนักคุ้มภัยมีความสัมพันธ์กับไท่จื่อ นี่…เหงื่อเย็นออกมาจากหน้าผาก น้องรองและน้องสามต่างเป็นคนอารมณ์ร้อน แม้ว่าหลายปีนี้จะดีขึ้นเล็กน้อย แต่เวลาเจอปัญหาก็ยังคงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หากตัวเองไม่อยู่ดูแลสำนักคุ้มภัยไว้ ไม่แน่ทั้งสองอาจสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมา


 


 


เห็นเขาคิดหนักไม่พูดจา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ทันทีว่าพูดจี้ใจของเขาแล้ว จึงส่งสัญญาณในชิงหลวน ให้นางเอากล่องให้เหวินเปียว


 


 


ชิงหลวนยื่นกล่องไปข้างหน้าเหวินเปียวอีกครั้ง


 


 


เหวินเปียวรับมาอย่างไม่รู้ตัว พอรู้สึกตัวขึ้นมา กล่องก็อยู่ในมือของตนแล้ว อ้าปาก กำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “หลายปีมานี้ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ามีนิสัยยืดยาดเยี่ยงนี้”


 


 


เหวินเปียวหน้าแดงขึ้นมาทันที ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป ทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง “ขอบพระคุณนายหญิงอย่างสุดซึ้งขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว เจ้าแจกให้ทุกคนเถิด”


 


 


เหวินเปียวหันหลัง


 


 


ทุกคนมองไปที่กล่องในมือของเขา ตื่นเต้นกันมาก ต่างใช้สายตากระตือรือร้นมองเขาด้วยความรอคอย


 


 


เหวินเปียวเปิดกล่อง แล้วหยิบสัญญาซื้อตัวออกมา เรียกชื่อแต่ละคนออกมารับ


 


 


คนที่ได้รับแล้ว ก็ดีใจอย่างมาก คนที่ยังไม่ได้รับ ก็เงยหน้าขึ้น ตั้งใจฟัง รอคอยให้เหวินเปียวขานชื่อตัวเอง เพื่อจะได้รีบตอบรับ


 


 


ทุกคนได้รับสัญญาซื้อตัวแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันดี เหมาะสำหรับการฉีกสัญญาซื้อตัว เหตุใดพวกเจ้ายังนิ่งอยู่ รีบฉีกสิ”


 


 


ผู้คนที่ตื่นเต้นมากเกินไปเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมา ไม่คิดอะไร ฉีกทำลายสัญญาซื้อตัวในมือของตัวเองอย่างรวดเร็วทันที ในขณะเดียวกันก็โห่ร้องดีใจขึ้นมาพร้อมกัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเขาเป็นอิสระแล้ว พวกเขากลับมาเป็นสามัญชน ไม่ใช่ทาสอีกต่อไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองทุกคนที่กระโดดไปมา โห่ร้องดีใจ นางยิ้มแล้วส่งสัญญาณให้ชิงหลวนอีกครั้ง ชิงหลวนหยิบตั๋วเงินหลายใบออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อ ยื่นไปข้างหน้าเหวินเปียว


 


 


เหวินเปียวแปลกใจ “นายหญิง นี่…”


 


 


“สำนักคุ้มภัยกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว พวกเจ้าพักที่นี่ตั้งแต่วันนี้เถิด ไม่ต้องกลับหนานเฉิงกับข้าแล้ว นี่คือตั๋วเงินห้าพันตำลึง ให้พวกเจ้าใช้จ่าย” พูดจบ ก็พูดเสริมอีกประโยคว่า “ตั๋วเงินนี้ข้าให้พวกเจ้ายืม รอให้สำนักคุ้มภัยมีงานแล้ว ได้เงินค่าจ้างแล้ว จะต้องคืนให้ข้า”


 


 


เหวินเปียวซาบซึ้งจนไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี “นายหญิง นี่…พวกข้า…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ “ข้าเหนื่อยแล้ว จะกลับไปพักผ่อนแล้ว ส่วนที่เหลือ พวกเจ้าจัดการเองเถิด”


 


 


พูดจบ ก็ไม่ให้โอกาสเหวินเปียวขอบคุณอีกครั้ง นางหันหลัง ควงแขนหวงฝู่อี้เซวียนแล้วเดินไปที่รถม้าทันที


 


 


ข้างหลังมีเสียงผู้คนคุกเข่าลงบนพื้นหลายสิบเสียง “ขอบพระคุณนายหญิง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุดเดิน ขึ้นรถม้าโดยที่ไม่หันหลังกลับไปมองแม้แต่น้อย หวงฝู่อี้เซวียนก็ขึ้นรถม้าตาม


 


 


โจวอันสะบัดแส้ รถม้าก็ค่อยๆ ห่างจากสำนักคุ้มภัย


 


 


จนรถม้าเลี้ยวผ่านโค้งไป มองไม่เห็นแล้ว เหวินเปียวจึงนำทุกคนลุกขึ้นยืน


 


 


ในรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวอารมณ์ดีมาก ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่ใหญ่จริงๆ หรือว่าข้าควรซื้อของขวัญให้เขาหนึ่งชิ้นดี”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนแย่ลงทันที



 

 

 


ตอนที่ 331 หลินจ้งขอเข้าพบ

 

เขาถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าอยากให้อะไรเขาล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมัวแต่ดีใจจนไม่ทันสังเกตอาการของเขา นางตอบกลับว่า “ยาที่เราทำครั้งที่แล้วให้พี่ใหญ่สักหน่อยเถอะ”


 


 


“ไม่ได้!” หวงฝู่อี้เซวียนตอบปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดทันที “ยาพวกนั้นสำรองไว้ใช้เมื่อเจ้าคลอดลูก ให้เขาไม่ได้หรอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบเขา “เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้าไม่เป็นไรหรอก เราอาจจะไม่ได้ใช้ยาพวกนั้นก็ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอม จึงไม่กล้าดึงดันอีก “แต่พี่ใหญ่ช่วยเราไว้ขนาดนี้ เราควรตอบแทนเขาหน่อยไม่ใช่หรือ”


 


 


“เราให้เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์อยู่กับเขาแล้ว และยังให้สำนักคุ้มภัยแก่เขาอีก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การตอบแทนหรอกหรือ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”


 


 


น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนขึงขัง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ดึงดันอีก นางยิ้มแล้วโอบคอเขา “ถ้าอย่างนั้น พี่ใหญ่ก็ได้เปรียบเลยสินะ เราไม่ต้องให้ยาเม็ดเขาแล้วล่ะ”


 


 


สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนค่อยผ่อนคลายลง ครั้นกำลังจะก้มหน้าลงไปจูบนาง รถม้าก็หยุดกะทันหัน


 


 


ลำตัวทั้งสองคนเอนไปข้างหน้า หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “โจวอัน เจ้าคุมรถม้าอย่างไรกัน”


 


 


“เรียน ซื่อจื่อขอรับ คุณชายหลินมาขวางหน้ารถม้ากะทันหัน ข้าจึงจำเป็นต้องหยุดรถ” โจวอันรีบอธิบาย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว


 


 


เสียงของหลินจ้งดังขึ้นจากข้างนอก “ซื่อจื่อ ข้าน้อยแซ่หลินมีเรื่องอยากจะคุยกับท่าน หากเชิญท่านไปคุยที่จิ่วโหลวใกล้ๆ นี้จะได้ไหมขอรับ”


 


 


ที่หลินจ้งมาหาตน ก็คงไม่พ้นเรื่องของหลินหันเยียน หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ในอ้อมกอดของตน และส่งสายตาขอความเห็นจากนาง


 


 


“ไปเหลาจวี้เสียนเถอะ ข้าอยากกินอาหารของที่นั่น วันนี้จะได้กินให้หนำใจเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พูดออกไปข้างนอกว่า “คุณชายหลิน ไปเหลาจวี้เสียนเถอะ ที่นั่นสะอาด คนบางตา เหมาะแก่การคุยธุระกัน”


 


 


วันนี้ที่มาหาหวงฝู่อี้เซวียน ลึกๆ แล้วหลินจ้งก็ประหม่า เขาเตรียมใจไว้แต่แรกแล้วว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่สนใจตน แต่เมื่อได้ยินเขาตอบตกลง ก็ดีใจยิ่งนัก รีบประสานมือคำนับ “ได้ขอรับ ข้าจะขี่ม้าไปจองห้องไว้ก่อน ซื่อจื่อตามมาทีหลังได้เลยขอรับ”


 


 


ไม่ทันรอคำตอบของหวงฝู่อี้เซวียน หลินจ้งก็กระโดดขึ้นควบม้าและมุ่งหน้าไปทางเหลาจวี้เสียน


 


 


เมื่อได้ยินเสียงม้าจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นว่า “แม้สองสามีภรรยาราชเลขาหลินจะเล่ห์เหลี่ยมจัด แต่ลูกชายและลูกสาวคู่นี้ก็ไม่ได้แย่นะ เสียดายที่ราชเลขาหลินถูกลดขั้นไปถึงสามขั้น กลายเป็นแค่พลทหารชั้นผู้น้อย คงจะยากหากหลินจ้งจะได้เลื่อนตำแหน่ง”


 


 


“หากมีความสามารถจริงก็ได้เลื่อนตำแหน่งอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ยังมีตำแหน่งราชเลขาติดตัวอยู่ หลินจ้งใช้ชีวิตอยู่รอดในค่ายทหารได้ไม่ยากหรอก”


 


 


ขณะที่ทั้งสองคุยกัน รถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนมาถึงหน้าประตูเหลาจวี้เสียน


 


 


เมื่อจั่งกุ้ยร้านเห็นสัญลักษณ์อ๋องฉีบนรถม้า ก็รีบออกมาต้อนรับทันที เขายืนรอข้างนอกอย่างนอบน้อม “ยินดีต้อนรับท่านซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟยขอรับ”


 


 


ชิงหลวนเดินไปเปิดม่านรถ หวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้าก่อน แล้วหันหลังไปประคองเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “จั่งกุ้ย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาด้วย”


 


 


จั่งกุ้ยยิ้ม “ตั้งแต่ที่ซื่อจื่อเฟยมีข่าวดี ซื่อจื่อก็ไม่เคยห่างท่านเลย คนในเมืองหลวงรู้กันหมด ข้าน้อยเองก็เช่นกันขอรับ”


 


 


“คุณชายหลินจองห้องส่วนตัวไว้ใช่ไหม” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม


 


 


จั่งกุ้ยรีบตอบทันที “ขอรับ เพิ่งมาสักครู่นี้ จองห้องส่วนตัวชั้นสองที่อยู่ด้านในสุดขอรับ บอกว่าจะคุยธุระสำคัญ”


 


 


“อย่างนั้นเจ้าเตรียมห้องส่วนตัวข้างๆ อีกห้องให้หน่อย วันนี้ข้าและซื่อจื่ออยากกินมื้อเที่ยงที่นี่”


 


 


จั่งกุ้ยขานรับ เดินนำทั้งสองขึ้นไปห้องส่วนตัวบนชั้นสอง เปิดประตู เชิญทั้งสองเข้าไป แล้วยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ รอให้ทั้งสองสั่งอาหาร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ไปสองสามอย่าง


 


 


จากนั้นจั่งกุ้ยก็รีบไปห้องครัวทันที บอกพ่อครัวใหญ่ว่านายหญิงมา และขอให้เขาลงมือทำอาหารเอง


 


 


นายหญิงไม่ได้มานานแล้ว พ่อครัวใหญ่ตื่นเต้นลนลานเล็กน้อย รีบสั่งคนเตรียมอาหาร


 


 


จั่งกุ้ยยืนรอพลางปาดเหงื่ออยู่หน้าประตูห้องครัว จู่ๆ นายหญิงก็มาโดยไม่ได้บอกกล่าว และไม่ทราบว่ามาทำไมอีก


 


 


ในห้องส่วนตัว เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าไปเถอะ คุณชายหลินรออยู่ รอพวกเจ้าคุยกันเสร็จ อาหารก็น่าจะเสร็จพอดี”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น “หากอาหารมาแล้ว เจ้ากินก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพยักหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเปิดประตูแล้วเดินออกไป


 


 


หลังจากได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูจากห้องข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืน เปิดประตูห้องของตนอย่างเบามือ และมองออกไปข้างนอก


 


 


ชิงหลวนและจูหลีคิดว่านางมีคำสั่ง ครั้นจะเรียก “นาย…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วชี้ขึ้นมาข้างหน้าปากทำเสียง จุ๊ จู๊ ส่งสัญญาณให้ทั้งสองอย่าส่งเสียงดัง


 


 


ทั้งสองหยุดพูด แล้วมองมาที่นางอย่างสงสัย


 


 


หลังจากสอดส่องไปทั่วแล้วไม่เห็นหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ห้าวหาญขึ้นมาทันที นางค่อยๆ เดินออกมาจากห้อง พูดเสียงเบากับทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าทั้งสองตามข้าไปห้องครัว”


 


 


ตั้งแต่วันแต่งงาน ระยะเวลาเกือบสามเดือนมานี้ หวงฝู่อี้เซวียนไม่อนุญาตให้เมิ่งเชี่ยนโยวลงครัวเลย จนนางคันมือจะแย่อยู่แล้ว นางจะพลาดโอกาสดีอย่างวันนี้ไปได้อย่างไร เมื่อสั่งทั้งสองเสร็จ ก็จับกระโปรงขึ้น เดินจ้ำอ้าวลงไปข้างล่าง


 


 


ชิงหลวนและจูหลีคอยรับใช้อยู่ข้างกายทุกวัน จึงรู้ดีว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่อนุญาตให้เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าครัว เมื่อได้ยินว่านางจะไปห้องครัว ก็รู้ความประสงค์ของนางทันที พวกนางรีบประกบและดึงแขนเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ “นายหญิง หากซื่อจื่อรู้เข้า ท่านจะไม่ได้ออกไปไหนอีกเลยนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างไม่แยแสว่า “พวกเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามีวิธีรับมือกับเขาอยู่แล้ว”


 


 


ทั้งสองยังคงไม่ปล่อยมือ เกลี้ยกล่อมนางต่อ “นายหญิง ตอนนี้ท่านท้องหลายเดือนแล้ว ร่างกายไม่เหมือนเคย หากไปห้องครัวแล้วชนอะไรเข้า มีแต่จะเสียใจนะเจ้าคะ เราอยู่ในห้องต่อไปเถอะ รอคนยกอาหารขึ้นมาเถอะนะเจ้าคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มใจร้อน เพราะไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะคุยกับหลินจ้งนานแค่ไหน “ทำไมพวกเจ้าจู้จี้อย่างนี้ หากไม่ปล่อยข้าอีก กลับไปข้าจะให้เหวินซงและกัวเฟยมาตบแต่งพวกเจ้า ส่งพวกเจ้าออกเรือนไปทันที”


 


 


ทั้งสองคนชะงัก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสะบัดมือพวกนางออกและลงไปข้างล่างทันที


 


 


ชิงหลวนและจูหลีทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินตามนางลงไปด้วยความรวดเร็ว


 


 


ในครัววุ่นไปหมด พ่อครัวใหญ่กำลังตะโกนให้คนหั่นผัก ก่อไฟ


 


 


จั่งกุ้ยรออยู่นอกห้องครัวอย่างกังวลใจ เดินวนกลับไปกลับมา ครั้นเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพาชิงหลวนและจูหลีมา เขาตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง รีบเดินขึ้นไปหา “นายหญิง ท่านมาแล้วหรือ อาหารกำลังจะเสร็จแล้ว แล้วจะยกขึ้นไปให้ท่านขอรับ”


 


 


“จั่งกุ้ยไม่ต้องกลัวหรอก วันนี้ข้าเกิดฮึกเหิม อยากมากินอาหารที่เหลาจวี้เสียน ซื่อจื่อจึงมากับข้า” เมื่อเห็นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ และสีหน้าซีดเผือกของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าเขาคิดเยอะไป จึงยิ้มพลางอธิบาย


 


 


จั่งกุ้ยกลับไม่เชื่อ ซื่อจื่อไม่เคยห่างจากซื่อจื่อเฟยเลย แต่ตอนนี้ซื่อจื่อเฟยมาที่ห้องครัวโดยที่ไม่มีซื่อจื่อด้วย แสดงว่าพวกเขามาตรวจตราเหลาจวี้เสียนแน่ๆ แม้เขาไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีต่อนายหญิง และตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็บริหารเหลาจวี้เสียนอย่างดี แต่ก็อาจมีตรงไหนที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง หากถูกนายหญิงพบเข้า…


 


 


เหงื่อบนใบหน้าของจั่งกุ้ยไหลเป็นทาง ขณะที่เขายังไม่ทันได้สติ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้นว่า “มีครัวเล็กไหม”


 


 


จั่งกุ้ยพยักหน้าตามสัญชาตญาณ หลังจากพยักหน้าเสร็จก็เพิ่งคิดได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวถามอะไร จึงรีบถามกลับอย่างระมัดระวังว่า “นายหญิง ท่านถามทำไมขอรับ”


 


 


“ก็จะทำอาหารน่ะสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างรื่นรมย์


 


 


จั่งกุ้ยตกใจจนเข่าสั่น พยายามพยุงลำตัวตนเองไว้ ถามอย่างไม่มั่นใจว่า “นายหญิงจะลงครัวเองหรือขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า


 


 


เข่าทั้งสองข้างของจั่งกุ้ยอ่อนระทวย พยุงลำตัวของตนไว้ไม่ได้อีกแล้ว พลุบ เขาคุกเข่าลงต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดขอร้องอย่างน่าสงสารว่า “นายหญิง ปล่อยข้าน้อยไปเถอะขอรับ”


 


 


ร่างกายของซื่อจื่อเฟยไม่เหมือนเดิม หากระหว่างที่ทำอาหารเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา อย่าว่าแต่เขาเลย คนทั้งเหลาจวี้เสียนก็คงถูกลงโทษเหมือนกัน นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ที่หนักกว่านี้คือพวกเขาทุกคนอาจไม่ได้เห็นพระอาทิตย์บ่ายนี้แล้วก็ได้ เขาไม่ยอมเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้หรอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ ถามว่า “จั่งกุ้ย นี่เจ้า…”


 


 


“นายหญิงอยากทานอะไร ท่านสั่งเลยขอรับ แต่ท่านจะลงมือทำเองไม่ได้ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา แม้ข้าน้อยจะมีสิบกะโหลกก็ชดใช้ให้ไม่ได้นะขอรับ” จั่งกุ้ยคุกเข่าบนพื้น พูดขอร้องอีกครั้ง “นายหญิงกลับไปรอในห้องเถอะขอรับ ข้ารับรองได้ว่า อีกไม่เกินชั่วยาม อาหารทุกจานจะปรากฎตรงหน้าท่านและซื่อจื่อขอรับ”


 


 


พ่อครัวใหญ่ได้ยินเสียงจากหน้าประตู จึงออกมาดู เห็นจั่งกุ้ยคุกเข่าอยู่บนพื้นก็ตกใจ ครั้นกำลังจะเอ่ยปากถาม ก็เห็นว่ามีเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้วย เขาก็ตกใจจนคุกเข่าลงบนพื้นเช่นกัน “นายหญิง ท่านมีคำสั่งอะไรขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะร้องไห้ให้รู้แล้วรู้รอด นางแค่คันไม้คันมือแอบลงมาทำครัว ไม่ได้จะมาเอาชีวิตพวกเขาเสียหน่อย ต้องตกใจกันขนาดนี้ไหม นางเอ่ยปากขึ้นว่า “พวกเจ้าสองคนลุกขึ้นเถอะ หากคนอื่นเห็นจะเอะใจเอา”


 


 


ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าศีรษะของตนแล้ว จั่งกุ้ยคุกเข่านิ่งไม่ขยับ


 


 


พ่อครัวใหญ่ไม่รู้เรื่อง เห็นจั่งกุ้ยไม่ขยับ เขาก็ไม่กล้าลุกขึ้นเช่นกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มโมโห “จั่งกุ้ย เจ้าคิดจะไม่ให้ข้าเข้าครัวเลยหรือ”


 


 


จั่งกุ้ยรีบอธิบาย “นายหญิง รอท่านคลอดลูกแล้ว ถึงตอนนั้นท่านจะมาเหลาจวี้เสียนทุกวันข้าน้อยก็จะไม่ยุ่ง แต่ตอนนี้ไม่ได้หรอกขอรับ หากข้าน้อยให้ท่านเข้าไป ความโทสะของซื่อจื่อคงเผาข้าน้อยเป็นผุยผง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง ฮึ “ซื่อจื่อจะโมโหยังไง ก็ต้องฟังข้าอยู่ดี พวกเจ้าวางใจเถอะ หากเขากล้าโมโห ข้ามีวิธีรับมือกับเขาเอง”


 


 


จั่งกุ้ยและพ่อครัวใหญ่ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่อ้าปากค้างและเบิกตามองนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ใจ กำลังจะเอ่ยปากโน้มน้าวให้จั่งกุ้ยยอมให้นางเข้าไป เสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นจากข้างหลัง “จริงหรือ”


 


 


ลำตัวเมิ่งเชี่ยนโยวแข็งเกร็ง ค่อยๆ หันไปอย่างช้าๆ เห็นหวงฝู่อี้เซวียนยืนสีหน้าไม่พอใจอยู่ข้างหลังตน ความโมโหแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแช่งด่าหลินจ้งในใจ อย่างน้อยหลินหันเยียนก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า เจ้าไม่เอะใจถามอะไรมากกว่านี้หน่อยหรือ ไม่ใช่ต้องคอยตอแยหวงฝู่อี้เซวียนสักครึ่งชั่วยาม ขอร้องให้เขาไว้ชีวิตหลินหันเยียนให้อยู่ต่อในจวนอ๋องหน่อยหรือ หากเป็นเช่นนั้น นางก็จะมีเวลาทำอาหารให้เสร็จสักจาน แต่นางกลับทำสีหน้ายิ้มอ้อน เดินขึ้นไปกอดแขนหวงฝู่อี้เซวียน “เร็วจัง คุยเสร็จแล้วหรือ ข้าคิดว่าต้องรอนาน ก็เลยลงมาดู กำลังจะกลับขึ้นไปพอดีเลย”


 


 


“จริง…หรือ” หวงฝู่อี้เซวียนลากเสียงยาว ถามอย่างเชื่องช้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขนลุกขนชัน รีบพยักหน้า “จริงสิ ไม่เชื่อลองถามจั่งกุ้ยกับพ่อครัวใหญ่ดูสิ”


 


 


เหงื่อบนใบหน้าจั่งกุ้ยไหลเร็วกว่าฝน นายหญิงให้เขาช่วยพูดโกหก แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่าเขาไม่กล้า ซื่อจื่อได้ยินทั้งหมดแล้ว หากเขาพูดโกหกก็เหมือนกับฆ่าตัวตายชัดๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับถามเพื่อยืนยันความจริงกับพวกเขา “ซื่อจื่อเฟยพูดจริงหรือ”


 


 


จั่งกุ้ยเกลียดร่างกายตนเองที่แข็งแรง ไม่เหมืนคนอื่น เจออะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็สลบไป หากเป็นอย่างนั้นเขาจะได้ไม่ต้องตอบคำถามของซื่อจื่ออีก


 


 


พ่อครัวใหญ่ยังคงงงงวยอยู่ท่ามกลางสถานการณ์นี้ เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนถาม ก็ตอบทันทีว่า “จริงตามนาย…”


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็ร้องเสียง โอ้ย ขึ้นมา


 


 


ทุกคนตกใจ ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นอะไร ก็ได้ยินน้ำเสียงโมโหของพ่อครัวใหญ่ถามว่า “เจ้าหยิกข้าทำไม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาในใจ


 


 


ชิงหลวนและจูหลีก้มศีรษะหัวเราะคิกคักอย่างอดไม่ได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหน้านิ่ง


 


 


จั่งกุ้ยก้มหน้า แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้พูดอะไร


 


 


พ่อครัวใหญ่พูดจบก็รู้สึกเสียใจ ปกติจั่งกุ้ยเป็นคนหนักแน่นและน่าเชื่อถือ วันนี้กลับแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขาต่อหน้านายหญิง ต้องเป็นเพราะเขาพูดอะไรที่ไม่ควรพูดไปแน่ๆ เขาจึงรีบก้มศีรษะ ไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกวาดมองพวกเขา แล้วหันหลังเดินกลับไป ไม่ทำให้พวกเขาอึดอัดใจอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังเขาไปติดๆ


 


 


ชิงหลวนและจูหลีสบตากันครู่หนึ่ง จนห่างพวกเขาไปหลายก้าว จึงเดินตามไปอย่างช้าๆ


 


 


เมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาแล้ว จั่งกุ้ยจึงค่อยๆ บังคับขาที่อ่อนระทวยของตนให้ลุกยืนขึ้นมา


 


 


พ่อครัวใหญ่ยังคงตกอยู่ในภวังค์ หลังจากลุกตามขึ้นมาแล้วก็ถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”


 


 


จั่งกุ้ยเหลือบมองเขา และพูดขึ้นแค่ประโยคเดียวก็ทำเอาเขากลัวจนขนหัวลุก “กะโหลกของเจ้าเกือบจะได้เปลี่ยนที่อยู่แล้ว”


 


 


เมื่อกลับถึงห้อง หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปประจบประแจงเขา นางยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคุยอะไรกันหรือ ทำไมคุยกันเร็วจัง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยสายตาเย็นชา ตอบว่า “หลินจ้งบอกข้าว่า หลินฉงเหวินจะลบชื่อของหลินหันเยียนออกจากหนังสือลำดับญาติ เพื่อตัดขาดกับนางจริงๆ”



 

 

 


ตอนที่ 332 การกระทำที่อบอุ่นหัวใจ

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก ถามว่า “เหตุใดหลินฉงเหวินจึงทำเช่นนี้ หรือว่าเขาทนไม่ได้ที่หลินหันเยียนทำเขาเสียหน้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนำตั๋วเงินปึกหนึ่งและโฉนดบ้านแผ่นหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ “ข้าก็คิดไม่ออกเหมือนกัน นอกจากหลินจ้งจะคุยเรื่องนี้กับข้าแล้ว ยังให้ตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงกับข้า บอกว่าเป็นเงินออมทั้งหมดตลอดหลายปีนี้ของเขา ให้เราช่วยหลินหันเยียนเก็บไว้ เผื่อวันใดอวี้เอ๋อร์มีภรรยาเอก ไม่สามารถดูแลหลินหันเยียนได้อีก ให้เรานำตั๋วเงินและโฉนดบ้านนี้ให้นาง เพื่อให้นางมีที่ไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วความคิดหนึ่งก็แวบผ่านเข้ามาในหัว นางตกใจเบิกตาโต “ครอบครัวของฮูหยินหลินโกหกพวกเขาใหญ่โตขนาดนี้ ทำเอาหลินฉงเหวินขายหน้า และกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมือง พวกเขาคงไม่ใช่คิดหาทางออกไม่ได้ จนจะฆ่าพวกเขาทั้งตระกลูหรอกนะ”


 


 


การคาดเดาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ชิงหลวน เรียกโจวอันเข้ามา”


 


 


ชิงหลวนขานรับ เดินลงไปชั้นล่าง ออกจากเหลาจวี้เสียนไปเรียกโจวอัน


 


 


โจวอันเดินตามเข้ามา


 


 


“เจ้าส่งองครักษ์ลับไปเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวของตระกูลหลิน หากมีอะไรผิดปกติ ให้รีบมารายงานข้าเร็วที่สุด” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง


 


 


โจวอันขานรับ ถอยออกไป แล้วสั่งการต่อไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หน้าผากของจั่งกุ้ยมีเหงื่อซึม ยกอาหารมาให้ด้วยตนเอง เมื่อเข้ามาถึงในห้องก็รู้สึกทันทีว่าบรรยากาศในห้องไม่ค่อยดีนัก ใจของเขาพลันกระตุก ก้มหน้ายกอาหารทีละจานวางลงบนโต๊ะ แล้วยืนอย่างนอบน้อมตรงประตู รอให้ทั้งสองออกคำสั่ง


 


 


“เจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้หรอก ลงไปเถอะ” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเสียงเย็นชา


 


 


จั่งกุ้ยที่กำลังถือถาดอาหารอยู่ก็รีบออกจากห้องทันที เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วถอนหายใจ เดินลงไปด้วยความเร็ว


 


 


ชิงหลวนและจูหลีเห็นเขาเผ่นไปอย่างรวดเร็วแบบนี้ก็ตกตะลึง สบตากันครู่หนึ่ง แล้วยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจับตะเกียบขึ้น คีบอาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวชอบใส่ในถ้วยของนางอย่างที่เคยทำทุกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขาไม่ได้ตำหนิตนเอง กลับยิ่งรู้สึกขนหัวลุก นางแอบมองเขาแวบหนึ่ง คิดในใจว่าจะสารภาพผิดและพูดจาหว่านล้อมเขาหน่อยดีไหม หวงฝู่อี้เซวียนกลับสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “บอกว่าหิวแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมไม่รีบกินล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง รวบรวมความกล้าหาญพูดขึ้นว่า “อี้เซวียน ข้า…”


 


 


สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนยังคงเหมือนเดิม พูดเสียงอ่อนโยนว่า “กินข้าวก่อนเถอะ มีอะไรเราค่อยกลับไปคุยในจวน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้ง ตกใจจนตะเกียบที่อยู่ในมือร่วงลงบนโต๊ะ นางเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาตกตะลึง


 


 


มุมปากหวงฝู่อี้เซวียนเผยอขึ้นเล็กน้อย เขายิ้มพลางหยิบตะเกียบขึ้นมายื่นกลับไปใส่ในมือนางเหมือนเดิม “รีบกินเถอะ อาหารเย็นชืดหมดแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกสติกลับมาได้ รีบอธิบายขึ้นว่า “อี้เซวียน ข้า…”


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ อาหารที่หวงฝู่อี้เซวียนคีบก็อยู่ตรงปากนางพอดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนคำพูดลงไป อ้าปากและเคี้ยวอาหารเข้าไปอย่างว่าง่าย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มอย่างพอใจ ใช้สายตาถามว่า หรือว่าต้องการให้ตนป้อนนางกินข้าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบส่ายศีรษะ ก้มหน้าอ้าปากกินอาหารในถ้วยของตนคำใหญ่


 


 


น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนหวานจนเหมือนน้ำผึ้งที่กำลังจะหยดลงมา “กินช้าๆ ระวังสำลัก ไม่มีใครแย่งเจ้ากินหรอก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ได้อีกต่อไป วางตะเกียบลง กลืนอาหารที่อยู่ในปากลงไปทั้งหมด สารภาพผิดว่า “อี้เซวียน ข้าผิดไปแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนวางตะเกียบลง เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างสบาย น้ำเสียงอบอุ่น “ทำอะไรผิดไปล่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบตอบว่า “ผิดที่ไม่ควรไปทำสิ่งที่เจ้าไม่อนุญาตให้ทำ”


 


 


สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนพลันเปลี่ยนไปทันที เหลือบมองนางด้วยสายตาเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงที่ปะปนไปด้วยความโมโหว่า “กินข้าว!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงัก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจนางอีก เขานั่งตัวตรง หยิบตะเกียบขึ้นมากินต่อทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปริปากอยากจะพูด แต่ก็กลืนคำพูดลงไป ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก นางก้มหน้าลงและกินอาหารของตนต่อ


 


 


อาหารมื้อนี้ผ่านไปด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้นและความสุขกายของหวงฝู่อี้เซวียน กับความผวากลัวของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเช็ดปากให้นางด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ตัวเองพกไว้อย่างเคย เมื่อเช็ดสะอาดแล้ว ก็โอบนางเบาๆ เดินออกจากเหลาจวี้เสียนไป


 


 


จั่งกุ้ยไปส่งถึงหน้าประตู เมื่อเห็นพวกเขาสองคนขึ้นรถม้าจากไปไกล จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก่อนเขาเฝ้ารอให้นายหญิงมาตรวจตราอยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้ภาวนาขอให้นายหญิงอย่ามาอีกเลย เขาเองก็แก่แล้ว หัวใจคงรับแรงกระตุ้นแบบนี้ไม่ไหว


 


 


ในรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวเดาความคิดของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ออก นางก็ไม่กล้าแหย่เขา นั่งตรงข้ามเขาอย่างเงียบๆ


 


 


“ไปหนานเฉิงหรือกลับจวนอ๋อง” หวงฝู่อี้เซวียนถาม


 


 


เมื่อนึกถึงเหวินเปียวและคนอื่นๆ อยู่ที่สำนักคุ้มภัยหมด ครอบครัวของเหวินเปียวและเหวินเหลียนยังอยู่ที่หนานเฉิงยังไม่ทราบเรื่องนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงตัดสินใจว่า “กลับหนานเฉิงเถิด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามใจนาง สั่งโจวอันไปหนานเฉิง


 


 


เมิ่งซื่อดีใจเมื่อเห็นลูกสาวกลับมา ใจอยากจะพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปคุยในห้องตนเองอย่างเดียว


 


 


“ท่านแม่ ข้าขอไปหาภรรยาของเหวินเปียวที่เรือนบ่าวรับใช้หน่อยเจ้าค่ะ เดี๋ยวกลับมาคุยกับท่านนะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด


 


 


“ข้าไปกับเจ้าแล้วกัน ให้อี้เซวียนกลับไปพักผ่อนที่ห้องพวกเจ้าเถอะ” เมิ่งซื่อกล่าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพยักหน้า


 


 


ทั้งสองคนมาถึงที่เรือนบ่าวรับใช้ เมื่อเห็นครอบครัวเหวินเปียวและเหวินเหลียน “ไท่จื่อช่วยลบล้างความไม่เป็นธรรมคืนให้สำนักคุ้มภัยแล้ว เหวินเปียวพวกเขากลับไปที่สำนักกันแล้ว พวกเจ้าสองคนก็เก็บของหน่อยเถอะ ข้าจะให้โจวอันส่งพวกเจ้าไปที่นั่น”


 


 


ครอบครัวเหวินเปียวชะงัก


 


 


เหวินเหลียนเบิกตาโตอย่างไม่น่าเชื่อ


 


 


คนในครอบครัวเหวินเปียวตาค่อยๆ แดงขึ้น แล้วน้ำตาก็ไหลพรากลงมา พูดเสียงสะอื้นว่า “นายหญิง เรา พวกเรา…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก รีบเก็บของกลับไปหาพวกเขาเถอะ”


 


 


ฮือ… ครอบครัวเหวินเปียวร้องพลางเช็ดน้ำตา แล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้อง


 


 


เหวินเหลียนก็เพิ่งตั้งสติกลับมาได้ เมื่อคิดได้ว่าเป็นเรื่องจริง พวกเขาได้สำนักคุ้มภัยกลับมาแล้วจริงๆ จึงถอนสายบัวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิง ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”


 


 


“เหวินเหลียน ต่อไปเจ้าจะได้กลับไปเป็นคุณหนูใหญ่ของสำนักคุ้มภัยแล้วนะ ไม่ต้องถึงขั้นถอนสายบัวเช่นนี้หรอก” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ


 


 


เหวินเหลียนยิ้มอ่อน แต่ในใจกลับรู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก ตัวเองก็เป็นแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง จะเรียกว่าคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตท่าทีของนาง แต่กลับไม่ได้บอกเรื่องที่ตนนำใบซื้อตัวส่งคืนให้เหวินเปียวแล้ว นางยิ้มพูดว่า “เจ้าก็ไปเก็บสัมภาระเถอะ”


 


 


เหวินเหลียนขานรับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนเมิ่งซื่อออกจากเรือนบ่าวรับใช้ไป เมื่อมาถึงห้องของเมิ่งซื่อ นางก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าทั้งหมดให้นางฟัง


 


 


เมิ่งซื่อดีใจแทนพวกเขาอย่างสุดซึ้ง “หลายปีมานี้ พวกเขาทั้งบ้านผ่านทุกข์ผ่านโศกมามากมาย ถึงเวลาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียทีนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่คุยกับเมิ่งซื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกง่วง จึงผล็อยหลับไปในห้องของเมิ่งซื่อ


 


 


หลังจากตื่นมา เวลาก็ผ่านไปชั่วยามกว่าแล้ว


 


 


“ครอบครัวเหวินเปียวและเหวินเหลียนเข้ามากล่าวลา ข้าเห็นเจ้าหลับสนิทอยู่ ก็เลยไม่ได้ปลุกเจ้า” เมิ่งซื่อที่กำลังทอเสื้อผ้าเด็กอยู่ข้างๆ ยิ้มพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขยี้ตาเบาๆ ยังคงนอนอยู่บนเตียงขี้เกียจลุกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียว่า “ก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ ข้าไม่ชอบเห็นความอาลัยอาวรณ์ที่เรียกน้ำตาแบบนี้”


 


 


“เซวียนเอ๋อร์ก็มาเหมือนกัน เห็นเจ้ายังไม่ตื่น ก็เลยไปหากัวเฟยแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ อืม ด้วยความงัวเงีย


 


 


เมิ่งซื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง จึงหยุดทอผ้า เดินไปหน้านาง แตะหน้าผากนาง “ทำไมไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดขึ้นว่า “เปล่าเจ้าค่ะ แต่รู้สึกเหนื่อย คันท้องด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อถลกเสื้อผ้านางขึ้น เกาท้องนางให้เบาๆ สองสามที ยิ้มพูดว่า “ดูท่าจะออกมาแล้วล่ะ ต่อไปเจ้าคงเหนื่อยแย่เลยนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำตาเคลิ้มอย่างสบายตัว


 


 


รอจนเมิ่งซื่อเก็บมือกลับ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า แล้วลงจากเตียงมองดูท้องฟ้า “ดึกแล้ว พวกเราก็ควรกลับไปแล้ว ท่านแม่ พรุ่งนี้หากท่านแม่ไม่มีธุระอะไร ก็ไปจวนอ๋องเถอะเจ้าค่ะ เสด็จแม่อยู่คนเดียวเหงาจะแย่ พูดถึงท่านแม่อยู่บ่อยครั้งเลยเจ้าค่ะ”


 


 


ที่เมิ่งซื่ออยู่เมืองหลวงต่อก็เพื่อดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว อยากจะอยู่เฝ้าดูแลนางทุกวันจะแย่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก แต่ก็มีความกังวลอยู่บ้าง “เรื่องของคุณชายรองและคุณหนูหลินยังไม่คลี่คลายเลย ข้าไปตอนนี้ จะไม่ลำบากพวกเจ้าหรือ”


 


 


“ทุกวันนี้หลินหันเยียนใช้น้ำตาแทนน้ำเปล่าล้างหน้า เสด็จแม่เองก็กังวลใจเรื่องนี้อยู่เช่นกัน พรุ่งนี้ท่านพาเซิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์ไปด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะส่งคนไปรับซ่งเอ๋อร์มาด้วย พวกเขาสามคนจะได้ช่วยให้จวนอ๋องครึกครื้น และช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของเสด็จแม่ด้วย”


 


 


เมิ่งซื่อพยักหน้า “ได้เลย ข้าพาพี่สะใภ้รองไปด้วย พี่สะใภ้รองเจ้าปากหวาน รู้จักพูด ต้องทำให้พระชายาดีใจแน่ๆ”


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นจากข้างนอก “ท่านแม่ โยวเอ๋อร์ตื่นหรือยังขอรับ”


 


 


“ตื่นแล้ว กำลังจะไปตามเจ้ากลับจวนอ๋องเลย เจ้าเข้ามาเถอะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา เห็นสภาพเพิ่งตื่นของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็พูดว่า “สองสามวันนี้จวนอ๋องไม่มีธุระอะไร เรานอนที่นี่คืนหนึ่งก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก เสด็จแม่กลุ้มใจอยู่ พวกเรากลับไปอยู่เป็นเพื่อนท่านเถอะ อีกอย่างจะได้เล่าเรื่องวันนี้ให้นางฟังด้วย”


 


 


เมื่อนึกถึงสีหน้าอมทุกข์ของพระชายาฉี หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้คัดค้านอะไร


 


 


เมิ่งซื่อส่งพวกเขาออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ จนรถม้าจากไปไกลลิบ จึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในจวน


 


 


ณ จวนอ๋อง ในเรือนของหวงฝู่อวี้


 


 


ร่างกายของหลินหันเยียนนั้นฟื้นฟูแล้ว ภายใต้การชี้แนะและการประคับประคองของหวงฝู่อวี้ ใบหน้านางจึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น พูดว่า “การป่วยครั้งนี้ของข้า โชคดีที่มีซื่อจื่อเฟย ข้าควรไปขอบคุณด้วยตัวเองหน่อยไหม”


 


 


หวงฝู่อวี้กุมมือนางไว้ ปัดเศษผมที่ปรกบนหน้าอกนางออกไปด้านหลัง “ไม่ต้องหรอก พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ใช่คนนอก เจ้าอย่าเกรงใจมากไปเลย”


 


 


หลินหันเยียนเป็นคนไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้คิดมากอะไร นางยิ้มพยักหน้า “อื้ม ตามใจพี่อวี้เจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อวี้แอบถอนหายใจเบาๆ เขารู้ว่าพี่ใหญ่ไม่ได้รู้สึกดีมากกับเยียนเอ๋อร์ เป็นไปได้อย่าปรากฏต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่เลยยิ่งดี ช่วงนี้เขาและหลินหันเยียนจึงไม่ได้ออกจากเรือนเลย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับถึงบ้าน เดินตรงไปที่เรือนของพระชายาฉีทันที และเล่าเรื่องที่หลินจ้งนำตั๋วเงินและโฉนดบ้านให้นางฟัง


 


 


พระชายาฉีได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก “แม้เยียนเอ๋อร์ทำผิด แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องถูกขับออกจากตระกูล สองสามีภรรยาหลินฉงเหวินทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน”


 


 


“เสด็จแม่อย่าคิดมากไปเลยขอรับ ข้าส่งคนไปคอยเฝ้าสังเกตแล้ว หากหลินฉงเหวินดูผิดปกติเมื่อไหร่ เราจะทราบข่าวได้ทันที ถึงตอนนั้นค่อยคิดหาทางรับมือก็ได้ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด


 


 


พระชายาฉีพยักหน้าเบาๆ “ก็ดีเหมือนกัน ไทเฮาก็ไม่พอใจเยียนเอ๋อร์อยู่แล้ว หากตระกูลหลินคิดทำอะไรเลวๆ อีก ไม่แน่ไทเฮาอาจจะหมั้นหมายให้อวี้เอ๋อร์เลยก็ได้ ถึงตอนนั้นจวนอ๋องของเราก็จะไม่สงบสุขอีก”


 


 


ทั้งสองพยักหน้า


 


 


“โยวเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ รอห้องครัวเตรียมอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว ข้าจะสั่งคนไปเรียกพวกเจ้า” พระชายาฉีพูด


 


 


“ไม่เป็นไรขอรับ เสด็จแม่ วันนี้พวกเราอยากกินในเรือนของเราเอง เราจุดเตาในครัวเล็กของเราเองเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างตกใจ


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า “ได้ โยวเอ๋อร์อยากกินอะไร สั่งแม่ครัวในห้องครัวได้เลยนะ”


 


 


ทั้งสองกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนอยู่ครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนถามว่า “คืนนี้อยากกินอะไร”


 


 


เมื่อตอนเที่ยงห่วงแต่เรื่องกลัวอย่างเดียว นางกินไปได้แค่นิดเดียว ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเริ่มรู้สึกหิว บอกชื่อเมนูที่ตนชอบกินไปสี่อย่าง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นไปห้องครัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งพักผ่อนบนตั่งที่อยู่ด้านหน้าหน้าต่าง สัมผัสไอแดดยามเย็นอย่างเคลิบเคลิ้ม


 


 


เมื่อเด็ดผักล้างจนสะอาด และหั่นเนื้อหมูที่ต้องใช้จนเสร็จ หลังจากล้างมือของตนจนสะอาด หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับห้องของตน ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเองกำลังหรี่ตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม ใบหน้านางง่วงเหมือนกำลังจะหลับ หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้นว่า “ข้าเตรียมวัตถุดิบเสร็จแล้ว เจ้าไปทำเถอะ”



 

 

 


ตอนที่ 333 ท้องโต

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโต ตัวนิ่งงัน มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


“ทำไม ไม่อยากไปหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มถามอย่างจงใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากตั่งโดยไม่ทันได้สวมรองเท้า ดวงตากลมโตของนางส่องเป็นประกาย ถามอย่างไม่แน่ใจว่า “จริงหรือ ข้าเข้าครัวได้จริงหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ อุ้มนางวางลงบนตั่ง คุกเข่าลง ช่วยนางสวมรองเท้าจนเสร็จ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มหวานให้นางจนตาเป็นพระจันทร์เสี้ยว พูดอย่างเอาอกเอาใจว่า “แน่นอนสิ ข้าเตรียมของไว้เสร็จแล้ว เดี๋ยวข้าช่วยจุดไฟ เจ้าลงมือทำนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโผเข้ากอดคอเขา ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น “อี้เซวียน เจ้าดีที่สุดเลย”


 


 


นานๆ ทีเขาถึงจะได้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมีอาการตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กๆ เช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจไม่แพ้กัน แต่ก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งครัดว่า “ทำอาหารได้ แต่ต้องระวัง ห้ามสะดุดหรือชนโดนอะไร ไม่เช่นนั้นต่อไปเจ้าอย่าคิดว่าจะได้เข้าครัวอีก”


 


 


“ข้ารู้ ข้ารู้” เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารัว “ข้าระวังอยู่แล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนแกะมือนางออก แล้วโอบไหล่นางเดินไปจนถึงห้องครัว


 


 


แม่ครัวและสาวใช้ที่ช่วยก่อไฟถูกหวงฝู่อี้เซวียนไล่ออกไป ตอนนี้ทั้งครัวเหลือเพียงพวกเขาสองคน ห้องจึงโล่งสบายไม่อึดอัด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองวัตถุดิบที่หวงฝู่อี้เซวียนเตรียมไว้แล้วรอบหนึ่ง คิดลำดับการทำอาหารในใจไว้เรียบร้อย


 


 


ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนก็ถลกแขนเสื้อขึ้นยัดลงไปบริเวณเอว คุกเข่าลง นำฟืนกองหนึ่งมายัดลงไปในเตา และก่อไฟอย่างชำนาญ


 


 


ทั้งสองคนทำงานอย่างรู้ใจกัน อาหารทั้งสี่อย่างจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหงื่อท่วมไปทั้งใบหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนดับไฟในเตาทั้งหมด ลุกขึ้นยืน หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา เช็ดเหงื่อให้นางอย่างเห็นใจจนนางสะอาด “ที่เหลือให้ชิงหลวนและจูหลีทำเถอะ เรากลับห้องไปเช็ดล้าง เตรียมตัวกินข้าวกันเถอะ”


 


 


แม้จะรู้สึกสะใจที่ได้ทำอาหารทั้งสี่อย่างพร้อมกันทีเดียว แต่การทำอาหารด้วยการโค้งลำตัวตลอดเวลาก็ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเหนื่อยเช่นกัน นางจึงพยักหน้า เดินกลับห้องไปพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน หลังจากล้างหน้าและมือสะอาดแล้ว ชิงหลวนและจูหลีทั้งสองคนก็ยกอาหารเข้ามา


 


 


“ไปเอาจานอีกสองใบมา” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง


 


 


ชิงหลวนไปห้องครัวเล็กนำจานมาอย่างรวดเร็ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแบ่งอาหารทั้งสี่อย่างใส่จานอีกสองใบ พูดว่า “จานหนึ่งพวกเจ้าเอาไปกิน อีกจานให้โจวอัน แล้วก็พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้ที่นี่แล้ว ไปกินข้าวเถอะ”


 


 


ชิงหลวนและจูหลีดีใจใหญ่ ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังทำอาหารเมื่อครู่นี้ พวกเขาสองสามคนที่ยืนอยู่ในเรือนได้กลิ่นอาหารจนน้ำลายไหล โดยเฉพาะโจวอัน เขาถือโอกาสตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ทันสังเกตแอบย่องไปหน้าประตูห้องครัว และแอบมองเข้าไปหลายครั้ง เขาอยากจะเข้าไปกินสักสองสามคำ ตอนนี้ดีเลย นายหญิงแบ่งให้พวกเขาเยอะขนาดนี้ พวกเขาจะได้กินจนอิ่มหนำสำราญ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองทั้งสองคนยกอาหารออกไปแล้วส่ายหัว อี้เซวียนรู้ว่าพวกเขาก็อยากกินอาหารที่นางทำมาก ตอนที่เตรียมวัตถุดิบก็เลยเตรียมไว้ปริมาณมากกว่าปกติ


 


 


อาหารที่ตัวเองทำเองนั้นหอมเย้ายวนใจนัก เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง ก็กินอาหารคำใหญ่อย่างเอร็ดอร่อยทันที หวงฝู่อี้เซวียนแหมือนได้รับโรคติดต่อ เขาเองก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน จนสุดท้ายทั้งสองกินอิ่มจนพุงกาง


 


 


หลังจากสั่งให้ชิงหลวนและจูหลีเก็บถ้วยชาม และทั้งสองพักผ่อนครู่หนึ่งแล้ว ก็ไปเดินเล่นในจวน


 


 


อากาศเดือนสิบนั้นไม่หนาวไม่ร้อน มีลมอ่อนๆ พัดโชยมาเป็นครั้งคราว ทั้งสองรู้สึกสบายมาก หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามกว่า จึงกลับห้องของตน


 


 


หลังจากสั่งคนเตรียมน้ำอาบน้ำไว้ ช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวอาบน้ำ เช็ดผมจนแห้งเสร็จ ก็อุ้มนางขึ้นวางลงบนเตียง จากนั้นหวงฝู่อี้เซวียนก็รีบอาบน้ำ เสร็จแล้วจึงนอนลงข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว มือหนึ่งเท้าศีรษะไว้ อีกมือหนึ่งเล่นผมของนาง ถามขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ รู้ไหมว่าวันนี้ข้าโกรธอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะลึมสะลือใกล้จะหลับแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำถามของเขาก็เบิกตาโต ตอบตามตรงว่า “ข้ารู้ เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่ระวังแล้วล้มหรือชนอะไรเข้า แล้วจะกระเทือนไปโดนลูก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่ได้กลัวเจ้าจะหกล้มหรือชนสิ่งของหรอก แต่ข้าโกรธที่เจ้าไม่บอกว่าเจ้าอยากทำอะไร เจ้าจำไว้ ไม่ว่าเจ้าขออะไรก็ตาม ขอแค่เจ้าและลูกไม่เป็นอันตราย ข้ายอมให้เจ้าทำได้หมด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักไปครู่หนึ่ง พลันรู้สึกใจชื้น ยันตัวเองขึ้นไปจูบเขาทีหนึ่ง “ข้ารู้แล้ว ต่อไปหากมีเรื่องอะไรข้าจะบอกเจ้าหมดเลย”


 


 


ดวงตาหวงฝู่อี้เซวียนเป็นประกาย พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “สามีเจ้าดีขนาดนี้ จูบแค่ทีเดียวจะพอหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งเล็กน้อย รีบนอนกลับลงไป ห่มผ้าห่มกลับไปเหมือนเดิม เอนศีรษะไปข้างหนึ่ง พูดว่า “ข้าหลับแล้ว เมื่อครู่นี้แค่ละเมอไป”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะรดข้างคอนาง เมิ่งเชี่ยนโยวอายจนหน้าแดง ถลึงตาใส่เขา


 


 


แต่ในสายตาของหวงฝู่อี้เซวียน ท่าทางของนางกลายเป็นการยั่วยวนอย่างโจ่งแจ้ง เขาไม่ทันรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวปริปากพูด ก็ประทับริมฝีปากของตนลงไปทันที


 


 


และในค่ำคืนนี้ ภายใต้การใช้ ‘อำนาจโดยมิชอบ’ ของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบสนองความต้องการของเขาอย่างจำใจ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพึงพอใจแล้ว ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกล้านัก แม้แต่อาหารเช้าและอาหารเที่ยงของวันที่สองก็ถูกหวงฝู่อี้เซวียนป้อนให้ในขณะที่ยังมึนงงไม่ได้สติอยู่


 


 


เมิ่งซื่อและหวังเยียนพาเจ้าเด็กน้อยมาจวนอ๋อง หลังจากเด็กน้อยสร้างเสียงหัวเราะและความครึกครื้นอยู่ครึ่งค่อนวันกลับไปแล้ว ก็ยังไม่พบเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนให้เหตุผลว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเหนื่อย ตนจึงไม่อยากปลุกนาง แต่ก็ป้อนอาหารนางแล้ว บอกพวกนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง


 


 


เมิ่งซื่อก็เชื่อสนิทใจ ไม่ได้ถามต่อ


 


 


พระชายาฉีรู้สึกผิดปกติ หลังจากส่งเมิ่งซื่อและครอบครัวกลับไปแล้ว ก็เดินไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียนทันที ถามชิงหลวนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่า “โยวเอ๋อร์ยังไม่ตื่นหรือ”


 


 


หลังจากชิงหลวนคารวะแล้ว ก็ตอบตามจริงว่า “นายหญิงยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาฉีขมวดคิ้ว เดินเข้าไปในห้องทันที เห็นหวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องอ่านหนังสือการแพทย์อย่างสบายใจ นางเดินขึ้นไป บิดหูเขาและลากออกจากห้องมา


 


 


ชิงหลวนและจูหลีตกใจ สบตาครู่หนึ่ง แล้วเดินออกจากไปอย่างรวดเร็วไปยืนเฝ้าหน้าประตูใหญ่แทน


 


 


พระชายาฉีถามเสียงต่ำด้วยความโมโหว่า “บอกมา เมื่อคืนเจ้าทำโยวเอ๋อร์เหนื่อยใช่ไหม”


 


 


สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนพลันแดงก่ำขึ้นทันที ตามด้วยหูและคอของเขา


 


 


พระชายาฉีจะไม่รู้ได้อย่างไร ปล่อยมือที่บิดหูเขาออก ตบตีเขาสองสามที “ตอนนี้ร่างกายโยวเอ๋อร์ยังไม่สะดวก เจ้าอดทนหน่อยไม่ได้หรือไง หากกระทบกระเทือนลูกจะทำอย่างไร”


 


 


“เสด็จแม่ เราเพิ่งแต่งงานโยวเอ๋อร์ก็มีครรภ์แล้ว เสด็จแม่จะให้ข้าทนเก้าเดือนเลยหรือขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจ


 


 


พระชายาฉีชะงัก ใช่ เซวียนเอ๋อร์ยังหนุ่มยังแน่น หากยังไม่แต่งงานก็คงดี เหมือนเพิ่งเริ่มได้ลิ้มลองกลิ่นรสของเนื้อสัตว์ก็ไม่ให้กินเนื้อเสียแล้ว ดูท่าจะทำเขาลำบากไปหน่อย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ “พูดอย่างนี้ก็ไม่ผิด แต่โยวเอ๋อร์เป็นแม่ลูกสอง แม้พวกเจ้าจะ… แต่ก็ไม่ควรทำเกินเลย เจ้าดูสิ โยวเอ๋อร์นอนทั้งวันยังไม่ตื่นเลย”


 


 


“เสด็จแม่ พวกเราไม่ได้ พวกเรา…” หวงฝู่อี้เซวียนหน้าแดง อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้พูดอะไร


 


 


ตั้งแต่เล็กพระชายาฉีไม่เคยเห็นลูกชายตนแสดงออกแบบนี้ นางรู้สึกแปลกใจ กำลังจะปริปากถาม เสียงตกใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้นจากในห้อง อุ้ย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสะดุ้ง ร่างกายพลันเด้งกลับไปที่ห้องทันที เสียงร้อนรนก็ดังขึ้นตามมา “โยวเอ๋อร์ มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่”


 


 


พระชายาฉีก็รีบเดินตามเข้าไปเช่นกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ไปที่ท้องของตนด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนคิดว่านางไม่สบายท้อง หัวใจหล่นวูบ เหงื่อซึมออกมาทางหน้าผาก


 


 


พระชายาฉีผลักเขาออกไปด้วยความร้อนรน “ยังไม่รีบเรียกคนไปเรียกหมอหลวงเจียงมาอีก”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตั้งสติได้ ปริปากกำลังจะเรียกโจวอัน เสียงชื่นมื่นใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้นข้างหูเขา “อี้เซวียน เสด็จแม่ พวกท่านดูสิ ท้องข้าโตขึ้นภายในคืนเดียวน่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก ค่อยๆ ก้มหน้าลง มองไปที่ผ้าห่ม บริเวณท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวโก่งขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ


 


 


พระชายาฉีดึงหวงฝู่อี้เซวียนออก พูดด้วยน้ำเสียงตื้นตัน “ข้าขอดูหน่อย ท้องโตขึ้นจริงๆ ใช่ไหม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เก็บความดีใจไว้ไม่อยู่ “เมื่อครู่นี้ข้ากำลังจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า แต่กลับใส่ไม่ได้แล้ว จึงพบว่าท้องข้าใหญ่ขึ้นเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาฉีวางมือลงบนผ้าห่ม ลูบบริเวณท้องของนางด้วยความตื่นเต้น ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ใช่ ท้องโตขึ้นจริงๆ ด้วย จากวันนี้ไปเจ้าใส่เสื้อหลวมหน่อยได้แล้วล่ะ แม่เตรียมไว้ให้เจ้าสองสามชุดแล้ว จะสั่งคนไปนำเสื้อมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”


 


 


“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ เสด็จแม่”


 


 


“หลิงหลง ไปนำเสื้อตัวที่หลวมๆ มาหน่อย” พระชายาฉีสั่ง


 


 


หลิงหลงขานรับ เดินไปหยิบเสื้ออย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานก็หยิบมาวางลงบนเตียงของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


พระชายาฉีคลี่เสื้อตัวหนึ่งออก ยิ้มพูดว่า “แม่เจ้าบอกว่าเจ้าชอบลายดอกไม้เล็กๆ ข้าก็เลยทอไว้ให้ตัวหนึ่ง เจ้าลองสวมดูก่อนว่าพอดีไหม ถ้าไม่พอดีแม่จะทำให้เจ้าใหม่เลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางพูดขอบคุณ ยังคงนอนอยู่บนเตียง


 


 


พระชายาฉีเข้าใจทันที นางลุกขึ้นและเดินออกไป “แม่รอดูอยู่ข้างนอกนะ เจ้าใส่เสร็จแล้วเรียกข้าได้เลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงลุกนั่งขึ้น ผ้าห่มบนตัวร่วงหล่นลง ปรากฏรอยจูบบริเวณไหล่และลำคอของนาง


 


 


สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนลุกเป็นประกายอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจจนตัวหดเกร็ง “เสด็จแม่อยู่ข้างนอก เจ้าอย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก ใส่เสื้อผ้าให้นางเงียบๆ ประคองนางลงมาจากเตียง และประคองขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหนึ่งอย่างระมัดระวัง ส่วนตนก็ไปพับเก็บเครื่องนอนเรียบร้อย จึงตะโกนออกไปข้างนอกว่า “เสด็จแม่ ท่านเข้ามาเถอะ โยวเอ๋อร์ใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วขอรับ”


 


 


พระชายาฉีเดินเข้าไปในห้องอย่างอดใจรอไม่ไหว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น ยิ้มพูดชื่นชม “เสด็จแม่ ฝีมือดีมากเลยเจ้าค่ะ เสื้อผ้าใส่ได้พอดีเลย”


 


 


พระชายาฉีมองหน้ามองหลังอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าอย่างพอใจว่า “ต้องทำอีกสักสองสามชุด รอท้องหลายเดือนกว่านี้ค่อยใส่”


 


 


ดีที่มีเมิ่งซื่อมาเล่าเรื่องแปลกๆ ในชนบทให้พระชายาฉีฟัง มองดูเด็กๆ เล่นกันครื้นเครง เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเมิ่งซื่อไม่มา นอกจากจะปักเย็บเสื้อผ้าให้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เวลาที่เหลือนางก็คงรู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อได้ยินดังนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ห้ามปราม พูดขอบคุณว่า “ขอบคุณเสด็จแม่เจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาฉีโบกมือ “ขอบคุณอะไรกัน แม่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จะได้ถักทอเสื้อผ้าฆ่าเวลาไปพลางๆ ”


 


 


เสียงรายงานของชิงหลวนดังขึ้นจากข้างนอก “นายท่าน ไท่จื่อส่งคนมาส่งข่าวแล้วขอรับ บอกว่าได้ความเรื่องของคุณชายเมิ่งแล้วขอรับ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)