ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 322-327
ตอนที่ 322 ฝัน
ราชเลขาหลินถุยเลือดอีกครั้ง เกลียดชังจนสุดขีด ตวาดไปว่า “หวงฝู่จิ้ง เจ้าฝันไปเถอะ ข้ายอมให้ลูกสาวข้าแก่ง่อมตายที่บ้าน ดีกว่าให้นางแต่งเข้าจวนอ๋องฉีของเจ้า”
ท่านอ๋องฉีไม่ทันได้พูด มีรถมาสองคันรีบปรี่มาแต่ไกล หยุดลงตรงหน้าราชเลขาหลินและหลินจ้ง
ม่านเปิดออก ฮูหยินหลินลงมาจากรถม้า เห็นราชเลขาหลินกระอักเลือด หลินจ้งประคองตัวเขาอยู่ ตกใจเป็นอย่างมาก ร้องเสียงดังและเดินไปตรงหน้าทั้งสองคน “ท่านพี่!”
บนรถม้าด้านหลังมีชายคนหนึ่งเดินลงมา คือหลิวจยาเจิ้งคนที่หลินหันเยียนเพิ่งหมั้นหมายเอาไว้ มองเห็นสภาพของราชเลขาหลิน ก็รีบเดินไปหาเขา “ท่านพ่อตา ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ”
เสียงสูดหายใจหลายครั้ง ดังขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัด
ราชเลขาหลินได้ยินแล้ว ทั้งอายทั้งโกรธ เกือบจะเป็นลม ยื่นมือชี้ไปที่หลิวจยาเจิ้ง ตวาดเขา “หุบปาก”
หลิวจยาเจิ้งคาดไม่ถึงว่าราชเลขาหลินจะดุเขาต่อหน้าผู้คน หน้าข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ หน้าแดงขึ้นทันที โต้แย้ง “ท่านพ่อตา ลูกสาวของท่านทำเรื่องไม่ดีตอนกลางวันแสกๆ ข้ายังไม่เอามาใส่ใจเลย ท่านทำท่าทีเช่นนี้ใส่ข้ามันหมายความว่าอย่างไร”
ทุกคนรู้ว่านั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดท่ามกลางผู้คนเช่นนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่าพูดถึงราชเลขาหลิน ฮูหยินหลินและหลินจ้งก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า หลิวจยาเจิ้งคนนี้ปกติดูเป็นคนมีการศึกษา เป็นคนรู้จักหลบหลีก วันนี้ที่เป็นเช่นนี้ เขาต้องจงใจอย่างแน่นอน
หลินจ้งเป็นคนอารมณ์ร้อน ก็ตวาดหลิวจยาเจิ้งทันที “หุบปาก!”
หลิวจยาเจิ้งไม่ยอมต่อไปแล้ว ยืนขึ้นมา พูดด้วยความโมโหว่า “ข้าก็เป็นคนมีการศึกษา แม้ว่าจะเป็นคู่หมั้นกับคุณหนูหลิน แต่ไม่ได้หมายถึงข้าจะยอมถูกพวกท่านพ่อลูกข่มเหงได้……”
ไม่รอเขาพูดจบ ฮูหยินหลิน ก็ตวาดขึ้นมา “หุบปาก!”
หลิวจยาเจิ้งยังพูดไม่จบก็ถูกขัดขึ้น ยกมือชี้ไปที่คนตระกูลหลินทั้งสามคนด้วยความโมโห อ้าปากค้าง โกรธเหมือนไม่ออกไปครู่ใหญ่
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน และขมวดคิ้ว หลิวจยาเจิ้งคนนี้ที่สั่งโจวอันให้ไปดูประกาศผลการสอบในวันนั้น ต้องไม่ใช่คุณชายที่พวกโจวอันบอกว่าสุภาพนอบน้อมคนนั้นอย่างแน่นอน
โจวอันก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าคุณชายหลิวคนนี้จะมีหน้าตาเหมือนกับคุณชายหลิวที่ถูกพวกเขาลักพาตัวไป แต่คำพูดและพฤติกรรมแตกต่างกันมาก เขากล้าใช้หัวของตัวเองเป็นประกันว่าคุณชายหลิวคนนี้ไม่ใช่คุณชายหลิวที่พวกเขาลักพาตัวไปแน่นอน
เมื่อห้ามปรามหลิวจยาเจิ้งแล้ว ฮูหยินหลินลุกขึ้นเดินไปที่ประตูจวนอ๋อง จ้องไปที่ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉี “พวกเจ้าจวนอ๋องฉีอย่ารังแกคนอื่นให้มากนัก เรื่องของวันนี้ พวกเราจวนราชเลขาจะไม่ยอมจบกับพวกเจ้าอย่างง่ายๆ แน่”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เรื่องนี้อย่างไรก็เป็นความผิดของหวงฝู่อวี้ พระชายาฉีก้าวไปข้างหน้า พูดเสียงเบา “เตี๋ยชิง เรื่องมันเกิดไปแล้ว พวกเรา……”
ฮูหยินราชเลขาโบกมือขัดจังหวะนาง “ซู่อิง น้ำใจไมตรีสิบกว่าปีมานี้ของข้ากับเจ้า วันนี้ถือเสียว่าจบสิ้นกันแล้ว นับแต่นี้ต่อไป ข้าและเจ้าหมดสิ้นเยื่อใยต่อกัน”
พระชายาฉีกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป
หงเอ๋อร์พยุงหลินหันเยียนเดินออกมาจากในจวนอย่างช้าๆ
ฮูหยินหลินมองลูกสาวของตัวเองที่เดินไม่ค่อยไหว ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวก็เริ่มดุดันขึ้นมาเล็กน้อย รอหลินหันเยียนเดินออกจากประตูจวนอ๋อง ก็เดินไปที่ข้างๆ นาง ดึงแขนของนางไปข้างๆ ตัวเอง “ไป กลับบ้านไปกับแม่”
หลินหันเยียนร่างกายอ่อนแอ บวกกับเพิ่งจะผ่านศึกใหญ่มา พอถูกฮูหยินหลินดึง หน้ามืดไปพักหนึ่ง ร่างกายก็เซไปยังฮูหยินหลิน
ฮูหยินหลินไม่ได้รับ ถูกนางชนเซถอยไปด้านหลังหลายก้าว แม่ลูกทั้งสองคนล้มลงบนพื้นพร้อมกัน
“ฮูหยิน! คุณหนู!” หงเอ๋อร์อุทานด้วยความตกใจ รีบวิ่งไป ย่อตัวลง อยากจะพยุงทั้งสอง
ฮูหยินหลินทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าผู้คน รู้สึกอับอายมาก โกรธจนตบหน้าหงเอ๋อร์ “เจ้าคนไร้ประโยชน์ จะดูแลคุณหนูได้อย่างไร”
หน้าที่โดนตบของหงเอ๋อร์แดงขึ้นมาทันที ไม่กล้าเอามือมาปิดหน้าไว้ น้ำตาคลอ พยุงหลินหันเยียนยืนขึ้นก่อน หลังจากที่นางยืนขึ้นมาได้ อยากจะไปพยุงฮูหยินหลินอีก
ฮูหยินหลินลุกขึ้นมาด้วยตัวเองจนได้ ตบไปที่หงเอ๋อร์อีกครั้ง “มีตาหามีแววไม่ หลังจากกลับจวนข้าจะขายเจ้า”
หงเอ๋อร์ตกใจคุกเข่าต่อหน้าฮูหยินหลิน “บ่าวสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ขอฮูหยินอย่าขายบ่าวไปเลย”
หลินหันเยียนรีบห้าม “ท่านแม่ เป็นความผิดของลูกเอง ถ้าท่านจะโทษก็โทษข้าเถอะ ไม่เกี่ยวกับหงเอ๋อร์”
ฮูหยินไม่ได้สนใจหงเอ๋อร์อีก นางจับมือของหลินหันเยียน “ไป กลับจวนกับแม่”
หลินหันเยียนไม่ขยับ
ฮูหยินหลินโกรธมาก “ไร้ยางอาย เจ้ายังอับอายไม่พอใช่ไหม”
หลินหันเยียนสลัดมือของฮูหยินหลินออก คุกเข่าต่อหน้านาง “ท่านแม่ ลูกและพี่อวี้เรามีอะไรกันแล้ว ชีวิตของข้านี้ หากยังมีลมหายใจอยู่ก็เป็นของเขา ไร้ลมหายไปก็ยังคงเป็นของเขา จะไม่แต่งงานกับคนอื่นอีกแน่นอน ขอให้ท่านแม่ปล่อยข้าไปเถอะ”
ฮูหยินหลินโกรธจนตัวสั่น ตบหลินหันเยียนครั้งแรกในชีวิต ไม่ทันได้พูดต่อ ก็มีคนร้องเสียงหลงดังขึ้นจากข้างหลัง หลิวจยาเจิ้งเดินมาข้างหน้า “คุณหนูหลิน เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า วันนี้เจ้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน จะให้ข้าไปยืนอยู่ที่ไหนได้”
ทุกคนที่แอบดูอยู่อย่างเงียบๆ ต่างก็ใช้สายตาแปลกๆ มองเขา ยังไม่ทันได้แต่งงาน ก็โดนสวมเขาแล้ว ไม่ได้มีคำพูดจาถือสาเอาความเลยสักนิด ควรจะบอกว่าคนนี้เป็นคนใจกว้าง หรือว่าเขามีแผนการอย่างอื่นกันแน่
หลินหันเยียนขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ และเม้มปากไม่พูด
หลิวจยาเจิ้งมองสีหน้าของนาง ไม่พอใจ ตำหนิ “คุณหนูหลิน เจ้าหมายความอย่างไร เจ้าทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ข้าไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า เจ้ากลับดูถูกข้าในทุกๆ ด้าน เจ้าควรรู้ไว้ว่า ภายในหมูบ้านพวกข้า เจ้าทำผิดธรรมเนียมเช่นนี้จะถูกใส่ชะลอมหมูถ่วงน้ำ”
ลูกของนาง นางเลี้ยงมากับมือ นางย่อมมีสิทธิ์ต่อว่า แต่คนอื่นไม่มีสิทธิ์ ฮูหยินหลินฟังที่เขาพูดก็ไม่ยอม กล่าวว่า “พวกเจ้าเพียงแค่หมั้นหมายกันเท่านั้น ยังไม่ได้แต่งงานกัน ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะมาสั่งสอนลูกสาวของข้า”
หลิวจยาเจิ้งร้องเสียงหลงอีกครั้ง “โอ้โห ท่านแม่ยาย คำพูดของท่าน ลูกเขยฟังแล้วไม่รื่นหูเลยสักนิด ในช่วงที่ลูกสาวของท่านแต่งไม่ออก ท่านส่งคนกลับไปที่บ้านข้า มีคนให้เลือกมากมาย สุดท้ายมาเลือกข้า ท่านพูดว่าลูกสาวท่านดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ เป็นกุลสตรีจากตระกูลใหญ่ มีการศึกษา สงบเสงี่ยมและมีความสามารถ ข้าเชื่อว่าจริง พอมาเมืองหลวง กลับได้รับรู้ว่านางแท้จริงเป็นคนเช่นนี้ เดิมทีข้าไม่เต็มใจ เป็นท่านและท่านพ่อตาที่ตั้งข้อเสนอกับข้า รับประกันกับข้า บอกว่าหากข้าสอบจอหงวนผ่าน จะช่วยชี้แนะข้า ชี้นำตำแหน่งขุนนางให้ เห็นแก่ตำแหน่งขุนนางชั้นสูง ข้าจึงตกลงเรื่องงานหมั้นนี้อย่างไม่เต็มใจ ตอนนี้ลูกสาวของพวกท่านทำเรื่องไม่ดีกับคนอื่นกลางวันแสกๆ ข้าจะพูดสักคำสองคำไม่ได้เลยเชียวหรือ”
เรื่องที่คู่สามีภรรยาราชเลขาหลินหาสามีให้หลินหันเยียนที่บ้านเกิด ดูเหมือนว่าคนในเมืองหลวงจะไม่รู้เรื่อง ได้ยินว่าหลินหันเยียนหมั้นแล้ว ถึงสืบมาว่าคู่หมั้นเป็นคนมีความสามารถ มีบางคนยังอิจฉา หลินหันเยียนโชคดีอะไรขนาดนี้ ถูกยกเลิกงานแต่งแล้วยังสามารถหาครอบครัวสามีที่ดีขนาดนี้ได้ ตอนนี้ได้ยินที่หลิวจยาเจิ้งพูด ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ยื่นคอออกไปทันที รอดูว่าฮูหยินหลินจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
เรื่องที่ปิดบังไว้ก็ถูกเปิดเผยออกมา ฮูหยินหลินโกรธจนตัวสั่นไปหมด ยื่นมือไปทางหลิวจยาเจิ้ง อยากจะตีเขา
หลิวจยาเจิ้งยื่นมือไปจับนางไว้ พูดอย่างดูถูกว่า “ท่านแม่ยาย นี่เป็นความผิดของท่านแล้ว แม้ว่าลูกเขยจะ……”
ข้างๆ มีเงาคนวาบมา หลิวจยาเจิ้งไม่ทันได้รู้สึกตัว ก็ถูกถีบกระเด็นออกไปแล้ว
ใบหน้าของหลินจ้งเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต “หลิวจยาเจิ้ง นี่เจ้ารนหาที่ตายเองนะ”
หลิวจยาเจิ้งกระเด็นไปไกลหลายจั้ง ล้มลงพื้นอย่างหนัก กระอักเลือดออกมา ต้องใช้เวลาสักพักจึงจะพยายามยืนขึ้นมาได้ เดินเซไปข้างหน้าสองสามก้าว ถุยเลือดออกมา ชี้ไปทางหลินจ้งและพูดว่า “ข้าโตมาขนาดนี้ เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าลงมือกับข้า รอก่อนเถอะ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากัน หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบกำชับกับโจวอัน “ไปตรวจดู ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
โจวอันตอบกลับ โบกมือให้สัญญาณกับองครักษ์ลับแล้วก็รีบรุดไป
ราชเลขาหลินก็ได้สติ รู้สึกว่าหลิวจยาเจิ้งตรงหน้าไม่เหมือนกับคนในจวนของตนเอง มือกุมหน้าอก ก้าวไปข้างหน้าอย่างโซเซ เริ่มหรี่ตา กวาดสายตามองขึ้นๆ ลงๆ มองซ้าย มองขวา จ้องดูคนตรงหน้า ถามอย่างเสียงดัง “เจ้าเป็นใคร”
หลิวจยาเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “ท่านพ่อตา ลูกเขยสับสนกับคำถามนี้ของท่านแล้ว อยู่ในจวนราชเลขาเป็นเวลานาน ท่านยังแกล้งทำเป็นไม่รู้จักลูกเขยอีกงั้นหรือ”
ด้านหลังมีเสียงแสดงความคิดเห็นดังมาเป็นระยะ ราชเลขาหลินไม่มีเวลาแล้ว กำชับหลินจ้ง “จ้งเอ๋อร์ เขาไม่ใช่คุณชายหลิวแน่ ดูทีว่าเขาเป็นใคร”
หลินจ้งพยักหน้า เดินไปข้างหน้า จับหลิวจยาเจิ้งไว้ ยื่นมือไปจับทั่วๆ หน้าของเขา ก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติ ส่ายหัวไปที่ราชเลขาหลิน
สีหน้าของราชเลขาหลินตึงเครียด หลิวจยาเจิ้งวันนี้กับวันธรรมดาแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน ถ้าไม่ได้เจตนา เช่นนั้น… ราชเลขาหลินไม่กล้าคิดต่อไปแล้ว ที่เขามีตำแหน่งจนถึงทุกวันนี้ได้จากสองมือเปล่า โดยหลักแล้วก็เพราะเขาจะทำการต่างๆ ต้องระมัดระวังในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เรื่องของหลิวจยาเจิ้ง ตอนนั้นเขาใจร้อนไปบ้าง ไม่ได้ส่งคนไปสืบสวนอย่างละเอียด ตอนนี้……
นึกถึงตรงนี้ ราชเลขาหลินไม่กล้าคิดต่อไปแล้ว แม้ความคิดโต้เถียงกับท่านอ๋องฉีก็ไม่มีแล้ว กำชับ “จ้งเอ๋อร์ พยุงน้องสาวเจ้ามา พวกเรากลับจวนกัน”
หลินจ้งปล่อยหลิวจยาเจิ้ง เดินไปตรงหน้าหลินหันเยียน “เยียนเอ๋อร์ กลับจวนกับพี่เถอะ มีเรื่องอะไรพวกเรากลับจวนไปค่อยคุยกัน”
หลินหันเยียนส่ายหัว “พี่ใหญ่ ข้าไม่กลับ”
ถูกคนจับคลำหน้าอย่างไร้เหตุไร้ผล ความโกรธของหลิวจยาเจิ้งก็พุ่งขึ้น เขาก้มหัวแล้วพุ่งใส่หลิงจ้งจากด้านหลัง “กล้าทำข้างั้นหรือ วันนี้ข้าจะสู้กับเจ้าสักตั้ง”
ความสนใจของผู้คนไปอยู่ที่หลินจ้งและหลินหันเยียน ไม่ได้สนใจเขา เมื่อเห็นการกระทำของเขา ส่งเสียงอุทานขึ้นมาพร้อมกัน
หลินจ้งรู้สึกถึงเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านหลังเขา หันกลับอยากจะตรวจดูเสียก่อน เมื่อมองเห็นชัดว่าเป็นหลิวจยาเจิ้งพุ่งเข้ามา อยากจะหลบ แต่ไม่ทันแล้ว ถูกเขาชนจนหงายล้มไปทางข้างหลัง
“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนอุทาน อยากช่วยดึงมือเขา
จนปัญญาแรงมีน้อยเกินไป ไม่เพียงแต่ดึงเขาไม่ขึ้น กลับถูกเขาทำให้ล้มลงบนพื้นไปด้วย
หลิวจยาเจิ้งก็หยุดไม่ได้ เซทับไปตามร่างของหลินหันเยียน ทับไปบนร่างของนาง
เสียงอุทานของผู้คนดังขึ้นอีกครั้ง
หลินหันเยียนไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน กระวนกระวาย ยื่นขาออกมา ถีบไปที่หลิวจยาเจิ้งอย่างสุดแรง
หลิวจยาเจิ้งไม่ได้ถูกเตะกระเด็น แค่ถูกเตะออกไป จะทับไปบนร่างของหลินจ้ง
หลินจ้งกลิ้งหลบเขา
หลิวจยาเจิ้งร่วงลงบนพื้นอย่างแรง ตั้งนานก็ไม่ขยับ
หลินจ้งตกใจรีบลุกขึ้นมา ไม่ได้มองหลิวจยาเจิ้งด้วยซ้ำ กำชับหงเอ๋อร์ “พยุงคุณหนู กลับจวนกับข้า”
หงเอ๋อร์ตอบกลับ รีบยืนขึ้น ไปพยุงหลินหันเยียน
ลูกเตะนั้นของหลินหันเยียนใช้แรงทั้งหมดที่มี ตอนนี้ไม่มีแรงดิ้นรน ให้หงเอ๋อร์พยุงนางลุกขึ้นนั่ง แต่กลับไม่ได้ยืนขึ้นมา นางร้องขอ “ท่านพี่ พี่อวี้บอกว่าจะรับผิดชอบข้า ท่านพี่ปล่อยข้าไปเถอะ”
วันนี้หลินหันเยียนนับว่าทำจวนราชเลขาขายขี้หน้าไปหมดแล้ว สายใยรักระหว่างพ่อกับลูกสาวของราชเลขาถูกนางทำลายจนเกือบจะหมดแล้ว ราชเลขาหลินพูดด้วยความโกรธ “นังลูกเนรคุณ วันนี้หากเจ้าไม่กลับจวนกับพวกข้า ต่อไปเจ้าก็ไม่ใช่ลูกของข้าหลินฉงเหวิน”
นี่เป็นการตัดความสัมพันธ์พ่อลูกแล้ว เสียงผู้คนสูดลมหายใจต่างก็ดังขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดอีกครั้ง
ฮูหยินหลินหน้าถอดสี รีบตะโกน “ท่านพี่”
หลินจ้งก็ตกใจ อุทานออกไป “ท่านพ่อ”
ราชเลขาหลินไม่อ่อนไหวตาม จ้องหลินหันเยียน
หลินหันเยียนผลักหงเอ๋อร์ออกไป คุกเข่าลงอย่างช้าๆ คุกเข่าคำนับให้ราชเลขาหลินและฮูหยินหลิน “ลูกอกตัญญู ทำให้ท่านพ่อ ท่านแม่อับอาย จากนี้ไป ท่านทั้งสองไม่มีข้าเป็นลูกสาวแล้ว”
ร่างกายของฮูหยินหลินโซเซ แทบจะทรงตัวไม่อยู่ ตาเบิกโตไม่อยากจะเชื่อ มองหลินหันเยียน “เยียนเอ๋อร์ เจ้า……”
หลินจ้งก็มองหลินหันเยียนด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เยียนเอ๋อร์ นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
หลิวจยาเจิ้งก็ลุกขึ้นมาจากพื้น มีเลือดเปื้อนทั้งหน้า เดินไปตรงหน้าหลินหันเยียนอย่างโซเซ “หึ เจ้าฝันไปเถอะ ชีวิตเจ้า ยามเป็นก็เป็นของข้า ยามตายก็เป็นของข้า”
ตอนที่ 323
วันนี้เขายังต้องมาขายขี้หน้าอีกครั้ง สีหน้าของราชเลขาหลินโกรธกริ้ว ชี้นิ้วไปที่หลินหันเยียนด้วยความโกรธ “ดี ดี ดี นี่คือลูกสาวที่ข้าเลี้ยงมาหลายปี เพื่อเจ้าคนที่ไม่ได้เรื่องคนหนึ่ง แม้แต่พ่อแม่เจ้าก็ไม่ต้องการแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อจากนี้ไป เจ้าไม่ใช่ลูกสาวตระกูลหลินของข้าอีกต่อไป หลังจากนี้จะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวกับพวกข้า”
ฮูหยินหลินตกใจแทบตาย ขอร้องแทนหลินหันเยียน “ท่านพี่ พวกเรามีลูกสาวเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ”
ราชเลขาโกรธจนแทบจะเสียสติแล้ว คำพูดของฮูหยินหลินฟังขึ้นที่ไหนกัน ไม่มองหลินหันเยียนแม้แต่น้อย หันหลังเดินกลับไป
ฮูหยินหลินไม่ขยับ หลินจ้งก็ไม่ขยับ
ครานี้หลิวจยาเจิ้งไม่ยอม หลังจากยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดจมูกที่ยังมีเลือดไหลอยู่ แล้วก็รีบเดินไป กางมือแขนข้างออก ยืนขวางอยู่ตรงหน้าราชเลขาหลิน “เจ้าห้ามไป”
หลิวจยาเจิ้งรูปร่างหน้าตาดี ผิวขาว คิ้วเข้มตาโต แต่ตอนนี้โดนชนจมูกหักแล้ว เลือดไหลไม่หยุด โดยเฉพาะที่เขาเพิ่งเช็ดไปโดยไม่รู้ตัว เช็ดจนบนหน้ามีแต่คราบเลือด สภาพน่ากลัวมาก ราชเลขามองเขาด้วยความรังเกียจ ตำหนิเสียงแข็ง “ไสหัวไปให้พ้น”
“ข้าไม่ไป” หลิวจยาเจิ้งยืดตัวตรง ยังคงขวางอยู่ตรงหน้าราชเลขาหลิน “ในตอนแรกพวกเจ้ารับปากกับข้าแล้วว่า หากข้าหมั้นกับลูกสาวของพวกเจ้าแล้ว จะให้ตำแหน่งที่ดีกับข้าแน่นอน หากวันนี้ตัดความสัมพันธ์กับนางแล้ว ทำจะอย่างไรกับตำแหน่งของข้าล่ะ หากเจ้าไม่จัดการหาทางออกให้แก่เรื่องนี้ วันนี้เจ้าก็ห้ามไปไหน”
นี่น่ะหรือชายหนุ่มผู้ที่มีความสามารถ มีมารยาท สุภาพและอ่อนน้อมคนนั้น ชัดเจนแล้วว่านี่เป็นพวกอันธพาล ราชเลขาหลินรู้สึกว่าตัวเองมองคนผิดไปเป็นครั้งแรกในชีวิต อยู่จวนเดียวกันมาตั้งนาน คาดไม่ถึงว่าจะมองไม่ออกว่าเขาเป็นคนไร้เหตุผล ยังยอมให้ลูกสาวของตัวเองหมั้นกับคนเช่นนี้
เขาหัวเราะเยาะ ชี้กลับไปโดยไม่หันหลัง “ลูกเนรคุณนั่นถูกข้าไล่ออกจากบ้านไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้ายังจะช่วยเจ้างั้นหรือ”
“ข้าไม่สน” หลิวจยาเจิ้งตะคอกเสียงดังขึ้น “ในตอนแรกพวกใช้เงื่อนไขนี้ล่อข้ามา วันนี้ลูกสาวเจ้าทำเรื่องระยำเช่นนี้ออกไป ข้ายังไม่คิดเล็กคิดน้อย พวกเจ้ายังคิดจะผลักข้าออกไปอีก ข้าขอบอกเลยวว่า ข้าไม่ไป” พูดจบแล้ว หายใจเข้าลึกๆ ข่มขู่เขา “ตอนนี้ข้าเป็นคนที่ทำคุณงามความดีมีชื่อเสียงแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าพูดจากลับกลอก ไม่สนใจข้า ข้าก็จะไปตีกลองฟ้องร้อง แม้แต่ตำแหน่งราชเลขาก็จะรักษาไว้ไม่ได้”
ราชเลขาที่สูงส่งถูกชาวบ้านธรรมดาขมขู่ เรื่องเช่นนี้นับว่าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งรัฐอู่มา ราชเลขาหลินโกรธมาก ไม่โมโหแต่กลับหัวเราะ พยักหน้า “ดีๆ เจ้าไปฟ้องร้องเลย ถึงแม้ว่าข้าจะต้องเสียตำแหน่งนี้ไป ข้าก็จะเอาเรื่องเจ้าให้ถึงที่สุด”
หลิวจยาเจิ้งข่มขู่เขาไม่ได้ แต่กลับตกใจเล็กน้อย จากนั้นกลอกตาไปมา ทรุดนั่งลงกับพื้น อย่างกับสตรีปากตลาดที่ไร้เหตุผล กอดขาของราชเลขาหลินไว้ “หากวันนี้เจ้าไม่สะสางเรื่องนี้กับข้า ก็ห้ามไปที่ไหนเด็ดขาด”
อย่าคิดว่าหลิวจยาเจิ้งไม่รู้วิชาต่อสู้แล้วจะอ่อนแอ กำลังเขากลับเยอะมาก ราชเลขาหลินลากขาสองสามครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะสลัดมือของเขาไม่หลุด
แต่ว่านี่เป็นเหตุการณ์ขายหน้าของราชเลขาหลินที่ยากจะเห็นได้ในรอบพันปี คนที่หลบดูอยู่ในบ้านอย่างเงียบๆ ก็ไม่หลบอีกแล้ว ทยอยกันเดินออกมา ยืนอยู่ตรงประตูบ้านตัวเอง ชี้มายังด้านนี้ ต่างก็ออกเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ตั้งแต่เข้ารับราชกาลจนเป็นราชเลขามาหลายสิบปี ราชเลขาหลินไม่เคยขายหน้าเท่านี้มาก่อน รู้สึกว่าวันนี้ขายหน้าหมดแล้ว เขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ โน้มตัวลงโดยไม่คำนึงถึงอายุตัวเอง พยายามจะปัดมือของหลิวจยาเจิ้งออกไป
แต่หลิวจยาเจิ้งกลับกอดแน่นขึ้นไปอีก ยังตะโกนอย่างสุดชีวิตว่า “ช่วยด้วย จะถูกฆ่าแล้ว”
ราชเลขาหลินหัวร้อน ยืดตัวขึ้น ยกเท้าขว้าขึ้นกระทืบลงไปที่หัวของหลิวจยาเจิ้ง ในหัวตอนนี้คิดเพียงอย่างเดียวคือกระทืบเขาให้ตาย ปัญหาจะได้จบๆ ตัวเองจะได้ไม่ขายหน้าอีกต่อไป
“ท่านพ่อ อย่า” หลินจ้งรีบตะโกนออกมา อยากจะขวาง แต่ว่าสายไปแล้ว ดูจากที่เส้นเลือดของราชเลขาหลินปูดขึ้นมา ดวงตาที่เบิกโตแล้ว ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะกระทืบหลิวจยาเจิ้งให้ตาย
คนที่ออกมาดูต่างก็พากันอุทาน บางคนกลัวจนปิดตาแล้ว
แรงกดดันมหาศาลโถมใส่ ราชเลขาหลินประคองร่างกายไม่อยู่ โซเซจนล้มลงไปบนพื้น ทับอยู่บนตัวของหลิวจยาเจิ้งพอดี ได้ยินเพียง กึก ตามมาด้วยเสียงร้อง โอ้ย หลังสิ้นเสียงทั้งสอง หลิวจยาเจิ้งพยายามดิ้นอยู่สองสามครั้ง แล้วก็ไม่ขยับอีก
ราชเลขาหลินนอนตกใจอยู่บนตัวของหลิวจยาเจิ้ง
หลินจ้งและฮูหยินหลินวิ่งมาพร้อมกัน ตะโกน “ท่านพี่!” “ท่านพ่อ!” พยุงราชเลขาหลินซ้ายคนขวาคน
การล้มลงไปครั้งนี้ ราชเลขาหลินก็ได้สติคืนกลับมาแล้ว คิดถึงการกระทำเมื่อสักครู่ของตัวเอง ตกใจกลัวจนเหงื่อแตก หากตัวเองกระทืบหลิวจยาเจิ้งให้ตายภายใต้สายตาผู้คนจริงๆ หัวของตัวเองก็รักษาไว้ไม่อยู่แล้ว เขาหันกลับมามองไปยังประตูทางเข้าของจวนอ๋องฉี เห็นท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนทั้งคู่เอามือไขว้หลัง มองมาด้านนี้ด้วยท่าทางปกติ ดูไม่ออกว่าใครยื่นมือมาช่วยเขาไว้
ทำอะไรไม่ถูก ชำเลืองมองหลินหันเยียนที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น แต่หน้าแต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาตัดใจหันกลับไป กัดฟันสั่ง “พวกเราไป”
ครั้งนี้ไม่มีใครคัดค้าน ฮูหยินหลินและหลินจ้งพยุงเขาขนาบซ้ายขวาเดินไปยังรถม้า และไม่มีใครสนใจหลิวจยาเจิ้งที่สลบไป นอนนิ่งอยู่บนพื้น
ทั้งสามคนเพิ่งเดินมาถึงข้างรถม้า โจวอันพาคนคนหนึ่งเหาะมาอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงประตูทางเข้าจวนอ๋อง ก็ปล่อยคนที่อยู่ในมือลง คนผู้นั้นยืนเซ เกือบจะล้มลงบนพื้น
โจวอันยื่นมือไปพยุงเขา
ชายคนนั้นตกใจมาก ตบหน้าอกของตัวเอง มองไปรอบๆ
ผู้คนมองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดแล้ว ถึงกับตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าชายคนนี้จะเหมือนหลิวจยาเจิ้งทุกประการ
ราชเลขาหลินและหลินจ้งไม่ได้หันกลับไปมอง ไม่เห็นหน้าของชายคนนั้น ฮูหยินหลินกลับอดทนต่อความอยากรู้ไม่ได้ จึงหันกลับไปมอง ตกใจจนเสียงเปลี่ยน “ท่านพี่”
ราชเลขาหลินได้ยินเสียงของนาง ขมวดคิ้วและหันกลับไป เพียงมองใบหน้าของชายคนนั้นอย่างไม่ตั้งใจ ก็นิ่งอึ้งไป
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินจ้ง ตกใจจนอ้าปากค้าง แล้วหุบไม่ลงอีก
หลังจากชายคนนั้นได้ยินเสียงของฮูหยินหลิน ก็มองมาด้านนี้ พอมองชัดว่านั่นคือคนของจวนราชเลขาหลิน ก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก้มศีรษะด้วยความรู้สึกผิด
ราชเลขาหลินกำลังจะขึ้นรถม้าแล้ว หลังจากได้สติ ผลักฮูหยินหลินและหลินจ้งออกไป หันหลังกลับเดินไปตรงหน้าชายคนนั้น จับคางเขาไว้ ให้เขามองตนเองตรงๆ ตะคอกถาม “บอกมา ว่าเจ้าเป็นใคร”
ชายคนนั้นสลัดไม่หลุด หลบสายตา อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่พูดอะไรออกมา
หลินจ้งเดินไปตรงหน้าหลิวจยาเจิ้งที่หมดสติไป ดึงผมของเขาไว้ ดึงหัวของเขาขึ้นมา เพื่อให้ชายคนนั้นมองหน้าหลิวจยาเจิ้งได้อย่างชัดเจน
“น้องเล็ก”
ชายคนนั้นเรียกด้วยความตกใจ สลัดราชเลขาหลินออกโดยไม่สนอะไร วิ่งไปตรงหน้าหลิวจยาเจิ้ง มองไปที่ใบหน้าที่แทบจำไม่ได้ของเขา ถามด้วยความตกใจ “นี่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลิวจยาเจิ้งหมดสติอยู่ ตอบคำถามไม่ได้
หัวของราชเลขาหลินส่งเสียงดังก้อง เรื่องมาถึงตรงนี้ มีความคิดหนึ่งผุดเข้ามาในหัวของเขา แต่เขาไม่อยากจะเชื่อ ตัวเองเป็นราชเลขา มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย ไม่มีใครกล้าใช้เล่ห์กลกับตนเอง โดยเฉพาะหลิวจยาเจิ้งยังเป็นคนของตระกูลแม่ยายตนเอง แต่ว่าในตอนแรกหัวหน้าตระกูลแม่ยายเป็นคนรับประกัน บอกว่าหลิวจยาเจิ้งเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ตั้งแต่เล็กโตมาจากความช่วยเหลือของคนอื่น อบอุ่นและสุภาพ กตัญญูรู้คุณ รู้จักประเมินสถานการณ์ ดังนั้นพวกเขาถึงเลือกเขามาเป็นสามีของหลินหันเยียน แล้วนี่จะมีคนสองคนที่เหมือนกันได้อย่างไร
ฮูหยินหลินก็โซเซ ถ้าไม่ใช่เพราะตาไวและมือของหลินจ้งเร็วจนพยุงนางไว้ทัน คาดว่านางคงจะล้มลงบนพื้นไปแล้ว
หลินจ้งยังไปไม่ถึงตรงนั้น ในหัวนึกย้อนถึงคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนที่เคยเตือนเขา ‘คุณชายหลิวคนนั้นเหมือนจะมีปัญหาบางอย่าง เจ้าระวังไว้หน่อยเถอะ’ ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ที่แท้มีหลิวจยาเจิ้งสองคน ในใจทั้งโกรธทั้งเกลียด โกรธที่ตอนแรกหวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดให้ชัดเจน เกลียดที่ตัวเองไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ไม่ได้สอบสวนให้ละเอียด วันนี้จึงทำให้จวนราชเลขาต้องขายขี้หน้าต่อหน้าผู้คน
ชายคนนั้นซวนเซอยู่สักพัก หลิวจยาเจิ้งตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง พอเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใครอย่าชัดแล้ว ผลักเขาออกไป “เจ้าไม่ได้กลับบ้านไปตั้งนานแล้วหรือ ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่”
ชายคนนั้นยังไม่ได้ตอบ ขณะเดียวกันองครักษ์ลับหลายคนก็พาคนกลับมา หลังจากที่ถึงหน้าประตูทางเข้าแล้ว จึงโยนคนลงบนพื้น
คนที่ถูกโยนจนมึนหัว ลุกขึ้นแล้วส่ายหัวสองสามครั้ง จึงมองไปยังรอบๆ เมื่อมองเห็นหลิวจยาเจิ้งก็ทยอยคลานไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ตะโกนด้วยความประหลาดใจ “คุณชาย”
หลิวจยาเจิ้งปฏิเสธ “ใครเป็นคุณชายของพวกเจ้า พวกเจ้าจำผิดคนแล้ว” พูดจบก็ชี้ไปที่ชายอีกคน เตือนพวกนั้น “เขาต่างหากที่เป็นคุณชาย”
ข้ารับใช้หลายคนอึ้งไปสักพัก ได้สติกลับมาเร็วมาก ก็เปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยทันที คลานไปทางชายคนนั้น “คุณชาย ท่านเป็นอย่างไร ใครรังแกท่าน พวกข้าจะแก้แค้นแทนท่านเอง”
ชายคนนั้นอ้าปากจะโต้แย้ง เหมือนจะคิดอะไรออก ปิดปากอีกครั้ง ไม่ได้พูด ปล่อยให้บ่าวใช้คลานมาตรงหน้าของตัวเอง
คนที่ปลูกเรือนอาศัยอยู่บนถนนเส้นเดียวกับจวนอ๋องฉีได้ล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ในราชสำนักมาทั้งชีวิตแล้ว จากท่าทางของหลายๆ คน เดาอะไรบางอย่างได้ลางๆ ตั้งตารอดูเรื่องน่าสนุก
หลินหันเยียนก็ตะลึง ปิดปากตกใจจนพูดไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะรู้ว่า ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝดกัน ร่วมมือกันมาหลอกคนบ้านราชเลขาหลิน มิน่าโจวอันมักจะรู้สึกว่าหลิวจยาเจิ้งไม่ปกติ ที่แท้คนหนึ่งเป็นบัณฑิตที่สง่างาม แต่อีกคนหนึ่งกลับเป็นพวกอันธพาล
หน้าประตูจวนอ๋องฉีเงียบอย่างแปลกประหลาด
สีหน้าตื่นกลัวของราชเลขาหลินเปลี่ยนไปไม่หยุด สีหน้าพอดูได้เพียงครู่เดียว สุดท้ายโกรธจนเหงื่อออกแล้วเดินไปตรงหน้าชายคนนั้น ระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ เหมือนโทสะมาถึงปากปล่องภูเขาไฟแล้ว และกำลังจะปะทุออกมาทันที “ถ้าวันนี้เจ้าไม่บอกมาว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ข้าจะฟันเจ้าด้วยมือของข้าเอง”
ชายคนนั้นยังไม่ตอบ หลิวจยาเจิ้งคลานไปถึงตรงหน้าราชเลขาหลิน “ท่านพ่อตาโปรดตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยเถิด ข้าไม่รู้จักเขา”
ตอนที่ 324 ละอายใจ
ราชเลขาหลินถีบไปที่ยอดหน้าของหลิวจยาเจิ้ง
หลิวจยาเจิ้งกระอักเลือดออกมา
“น้องเล็ก” คนนั้นอุทาน แล้วคลานไปตรงหน้าของเขา
“คุณชาย” บ่าวรับใช้เหล่านี่ต่างก็ตกใจจนเสียงหลง และก็รีบคลานไปปยังตรงหน้าหลิวจยาเจิ้ง
หลิวจยาเจิ้งรู้สึกแค่ว่ามีเสียงดังในหัว หน้ามืด พยายามสั่นหัวอย่างสุดกำลัง พยายามทำให้ตัวเองฟื้นมีสติ และยังคิดที่จะเถียงกลับ “ท่านพ่อตา……”
“เจ้าหุบปาก หากยังกล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า” ราชเลขาหลินตะโกนด้วยความโมโห
หลิวจยาเจิ้งตกใจกลัวจนหุบปาก
ราชเลขาหลินใช้มือชี้ไปทางชายคนนั้นด้วยความโกรธ “เจ้าว่ามา ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ชายคนนั้นมองหลิวจยาเจิ้ง แล้วมองราชเลขาหลิน เอ่ยปากอยากพูดเรื่องราวที่แท้จริง
หลิวจยาเจิ้งห้ามเขา “เซวียเหลียง อย่าลืมว่าเจ้าตกลงอะไรกับข้าไว้ หากว่าเจ้ากล้าพูดออกมา นับตั้งแต่บัดนี้เจ้าและข้าขาดกัน”
เซวียเหลียงพูดไม่ออก ก้มหน้าอย่างเงียบๆ
“ดี ดีมาก” ราชเลขาหลินพยักหน้า แล้วเดินอย่างโซเซไปตรงหน้าทหารรักษาจวน ไปเอาดาบในมือแล้วเดินกลับไปมาด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง ไม่ลังเลใจเลยแม่แต่น้อย ฟันไปที่เซวียเหลียง
เลือดกระจาย มาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง เซวียเหลียงเอามือปิดหู นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างเจ็บปวด
ผู้คนต่างก็ตกใจ โดยเฉพาะหลิวจยาเจิ้ง ตกใจกลัวจนต้องรีบไปหลบที่หลังของบ่าวรับใช้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่
ทั้งร่างราชเลขาหลินเต็มไปด้วยความโหดร้ายเหมือนยมทูต เขายกมีดเปื้อนเลือดแล้วชี้ไปทางเขา “จะพูดหรือไม่พูด ถ้าไม่พูดนี่คือจุดจบของเจ้า”
หลิวจยาเจิ้งไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหนมาก่อน ตกใจกลัวจนฉี่ราด แล้วพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวสาร “นายท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด นายท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ข้าพูด ข้าพูดแล้ว”
ราชเลขาหลินจ้องด้วยความโกรธ ตะโกนด้วยความโมโห “พูด!”
“ข้ากับเซวียเหลียงเป็นฝาแฝดกัน” หลิวจยาเจิ้งตกใจจนหลุดปากพูดออกมา
เกิดเสียงดังวุ่นวายในกลุ่มคนที่มามุงดู
หน้าของฮูหยินหลินซีดเผือด นางไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าหัวหน้าตระกูลแม่ยายตนเองจะโกหกนาง
ราชเลขาหลินเงียบ ท่าทางในการถือดาบไม่เปลี่ยนแปลง
หลิวจยาเจิ้งเอนตัวพิงบ่าวรับใช้ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเซวียเหลียง พูดต่อไป “เซวียเหลียงเป็นคนพี่ ข้าเป็นคนน้อง ตอนพวกข้าอายุสามขวบ ที่บ้านเกิดเหตุไม่คาดคิด พ่อและแม่เสียชีวิตทั้งคู่ พวกข้าสองคนพี่น้องเอาตัวไม่รอด จึงมีผู้เฒ่าผู้ใหญ่ในตระกูลตัดสินใจ แยกพวกข้าสองคนให้คนอื่นเลี้ยง ข้าตกไปเป็นคนในตระกูลหลิวที่มีฐานะร่ำรวย กลายเป็นคุณชายคนเดียวในครอบครัวของพวกเขา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็กินดีอยู่ดี เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี ส่วนพี่ชายตกไปอยู่ในตระกูลเซวีย ตระกูลเซวียเป็นตระกูลที่ชอบเล่าเรียน ให้ความสำคัญกับความรู้ เมื่อพี่ชายอายุสิบหกปี สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉ และยังแต่งงานกับภรรยาและมีลูกอีกด้วย ข้าก็จะตัดสินใจที่จะแต่งงานเช่นกัน เดิมทีมีแผนที่จะแต่งงานในปลายปีนี้ แต่บังเอิญว่าปีนี้ฮูหยินหลินกลับมาที่บ้านเกิดเพื่อไหว้วานผู้ใหญ่จัดการเรื่องงานแต่งงานของคุณหนูหลิน หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราว พ่อของข้าก็ใจเต้น ติดสินบนหัวหน้าตระกูลสองสามร้อยตำลึง ไหว้วานเขาให้ช่วยเรื่องนี้ให้สำเร็จ และสัญญาว่าเมื่อข้าได้ตำแหน่งขุนนางชั้นสูงเมื่อไหร่ ข้าจะสนับสนุนและคอยค้ำจุนตระกูลหลิว หัวหน้าตระกูลได้ยินเรื่องนี้ก็ใจเต้น ทั้งสองคนจึงวางแผนให้พี่ใหญ่เข้าเมืองหลวงไปเข้าร่วมการสอบจอหงวนแทนข้า หลังจากที่ได้รับตำแหน่งและหมั้นหมายกับคุณหนูหลิน เขาจะพาคนเหล่านี้กลับบ้านเกิด และข้าก็จะอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อแต่งงานกับคุณหนูหลิน”
หน้าประตูจวนอ๋องเงียบสงัด ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
ไม่ใช่แค่ผู้คนที่มาดู แม้แต่คือท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีก็ตกใจจนพูดไม่ออก
ฮูหยินหลินล้มลงนั่งที่พื้น รู้สึกใจหายอยู่พักหนึ่ง
หลินหันเยียนพยายามคลานไปหา “ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
มือของฮูหยินหลินสั่นระริก กอดไปที่นาง “เยียนเอ๋อร์ แม่เกือบจะทำร้ายเจ้าแล้ว”
หลินจ้งโกรธมาก บีบกำปั้นจนมีเสียงดัง กรอบ ก้าวเดินไปหาหลิวจยาเจิ้ง
เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นราชเลขาหลินยกดาบขึ้น จึงรีบส่งเสียงห้าม “ท่านพ่อ อย่า”
แต่ก็สายไปแล้ว ดาบของราชเลขาหลินฟันลงไปแล้ว ฆ่าคนสองคนด้วยดาบเล่มเดียว หัวของคนรับใช้คนนั้นกับหลิวจยาเจิ้งกลิ้งลงไปกับพื้น
“น้องเล็ก”
“คุณชาย”
เสียงตกใจดังขึ้นพร้อมกัน
หลังจากที่เซวียเหลียงกรีดร้อง มองค้างไปที่หัวของหลิวจยาเจิ้งที่อยู่ตรงหน้า ตาปิดลงแล้วสลบไป
บ่าวรับใช้หลายคนก็กลัวมากเช่นกัน แทบอยากจะเป็นลมตามเซวียเหลียง เมื่อวานซืนคุณชายได้สั่งให้พวกเขาไปปกป้องเซวียเหลียงที่เดินทางกลับบ้านเกิดแล้วไป แต่เซวียเหลียงเป็นห่วงคุณชาย เลยอยู่ต่อไปอีกสองสามวัน พวกเขาไม่มีทางเลือก จำใจต้องอยู่ต่อ ไม่อย่างนั้น วันนี้ก็ไม่ต้องถูกคนเหล่านี้จับได้ สูญเสียชีวิตของคุณชายไป
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนต้องการหยุดยั้งเหตุการณ์นี้ด้วยกำลังภายใน แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ทำได้แค่มองราชเลขาหลินฟันหัวสองคนนั้น
ผู้คนก็ต่างตกตะลึงอีกครั้ง ไม่คิดว่าราชเลขาหลินจะฆ่าสองคนนั้นอย่างโจ่งแจ้ง รอฝ่ายตรวจการฟ้องร้องในวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าตำแหน่งราชเลขานี้รักษาไว้ไม่ได้ ดีไม่ดี… แม้แต่ชีวิตก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้
ฮูหยินหลินคิดถึงจุดๆ นี้ หน้ามืดแล้วเป็นลมไป
มองไปที่หัวสองหัวที่กลิ้ง ที่ศพทั้งสองมีเลือดไหลบริเวณคอ หยดลงต่อหน้าต่อตาตัวเอง ในที่สุดความพยาบาทที่อยู่ในใจของราชเลขาหลินก็คลายออกมา ถอนหายใจ แล้วโยนดาบที่มือทิ้ง หันไปสั่ง “จ้งเอ๋อร์ คุ้มกันแม่ของเจ้ากลับจวน พ่อจะไปรับโทษต่อพระพักตร์ฮ่องเต้”
ผู้คนมาดูเยอะมาก ตัวเขาเองจะรับโทษแทนท่านพ่อก็ไม่ได้ ขานตอบด้วยสีหน้าที่กังวล “ขอรับ ท่านพ่อ”
ราชเลขาหลินเดินไปที่รถม้าและเข้าไปนั่งด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย แล้วสั่งคนขับรถม้าว่า “ไปพระราชวัง”
มองดูรถม้าที่ไปไกลจนสุดสายตา หลินจ้งเม้มริมฝีปาก เดินไปยังฮูหยินหลินที่เป็นลมอยู่กับพื้น เขาก้มลงอุ้มนาง หันหลังเดินไปที่รถม้า
“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนพยายามที่จะลุกขึ้นยืน อยากจะตามเขาไปที่จวนราชเลขา
หลินจ้งหยุดชะงัก แล้วหันมาพูด “เยียนเอ๋อร์ ท่านพ่อได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเจ้าแล้ว หลังจากนี้เจ้าไม่ใช่คนของจวนราชเลขานี้อีกแล้ว ดูแลตัวเองให้ดี”
หลินหันเยียนทำไมจะไม่รู้ว่าหลินจ้งกำลังปกป้องตนเอง เรื่องราวของวันนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะพิจารณาตัดสินยังไง ถ้าหากเดือดร้อนไปถึงครอบครัวจริงๆ ตัวนางอาจจะหนีเอาตัวรอดไปได้ แต่นางจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร คนเหล่านั้นคือญาติพี่น้องของนาง พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่มีบุญคุณกับนางมาตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในจวนราชเลขา นางควรที่จะอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือและเผชิญหน้ากับอุปสรรคไปด้วยกันกับพวกเขา
นางเดินอย่างโซเซไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว “พี่ใหญ่”
หลินจ้งไม่ได้พูด หันไปสั่งอย่างเคร่งขรึม “หงเอ๋อร์ ดูแลคุณหนูดีๆ อย่าให้นางกลับไปที่จวนราชเลขาอีก”
หงเอ๋อร์ขานตอบ เดินไปดึงหลินหันเยียนอย่างสุดกำลัง
“พี่ใหญ่ อย่า!” หลินหันเยียนไม่สามารถขยับหนีได้ ขอร้องด้วยเสียงสั่นสะอื้น
หลินจ้งไม่ฟัง วางฮูหยินหลินไว้บนรถม้าเบาๆ หันไปแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า สั่งทุกคนว่า “กลับจวน”
คนบ้านนี้ตอนมา ล้วนมาด้วยท่าทางที่โหดร้าย แต่กลับจากไปอย่างเงียบๆ
หลายคนลอบถอนใจ จวนราชเลขาจบสิ้นแล้ว จากนี้เป็นต้นไป ราชเลขาหลินชื่อนี้จะไม่มีคนเอ่ยถึงอีก จากนั้นตาสว่างทันที ใช่แล้ว มีตำแหน่งราชเลขาว่าง ข้าใช้โอกาสนี้เลื่อนขั้นได้หรือไม่
ไม่เพียงคนเดียวที่คิดเช่นนี้ ดั้งนั้นในชั่วพริบตาผู้คนที่ออกจากจวนมาสอดส่องเหตุการณ์ต่างก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย ล้วนรีบกลับจวนเพื่อที่จะเตรียมมอบของขวัญ
ตรงหน้าประตูจวนอ๋องเหลือเพียงหลินหันเยียนที่ถูกหงเอ๋อร์ลากไว้อย่างสุดชีวิต และร่างไร้วิญญาณนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมา พร้อมทั้งเซวียเหลียงที่เป็นลมไปและบ่าวรับใช้ที่ตกใจอยู่ไม่กี่คน
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งโจวอันว่า “เชิญกองกำลังรักษาความสงบมาดูแล และเจ้าส่งคนไปเฝ้าคนเหล่านี้ พวกเขาเป็นพยานสำคัญ เลี่ยงไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะส่งคนไปไต่สวน”
โจวอันใช้กำลังภายในเหาะไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้ชิงหลวนและจูหลี บอกใบ้ให้สองคนนั้นจับหลินหันเยียนมา
ชิงหลวนกับจูหลีเดินผ่านไป ขนาบข้างหลินหันเยียนพยุงนางเดินมาที่ประตูจวน
หลินหันเยียนไม่ขัดขืน ยืนนิ่งๆ ปล่อยให้พวกนางพยุงกลับไป หงเอ๋อร์เดินตามไปอย่างเงียบๆ
ท่านอ๋องฉีไม่ส่งเสียงพูดจา พระชายาฉีถอนหายใจเบาๆ สองคนหันกลับมาพร้อมกัน แล้วกลับเข้าไปในจวน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังมา
ติดตามมาด้วยชิงหลวนและจูหลี
เข้ามาในจวนได้ไม่ไกล หวงฝู่อวี้วิ่งมาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก เมื่อมองชัดว่าทุกคนเดินกลับมา ก็ตะลึงเล็กน้อย แล้วเขาก็ยื่นคอไปมองด้านหลังทันที เมื่อเห็นหลินหันเยียนตามหลังมา ก็รู้สึกโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด จึงเดินเข้าไป “เสด็จพ่อ เสด็จแม่”
ท่านอ๋องฉีไม่สนใจเขา แล้วเดินผ่านเขาไป
พระชายาฉีถอนหายใจ “อวี้เอ๋อร์ พาเยียนเอ๋อร์ไปที่เรือนของเจ้า แล้วดูแลนางดีๆ”
หวงฝู่อวี้ขานตอบว่า “ขอรับ เสด็จแม่”
หันกลับไปมองหลินหันเยียนที่ยังไม่ได้สติกลับมา พระชายาฉีถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเดินไปที่เรือนของตัวเอง
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามไปอย่างเงียบๆ
เมื่อทั้งสี่คนเดินผ่านไป หวงฝู่อวี้ไปรับหลินหันเยียนจากชิงหลวนกับจูหลี เขาและหงเอ๋อร์พยุงนางกลับไปที่เรือนด้วยกัน
พระชายาฉีเดินไปถึงทางเดิน หันกลับมาพูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ ไท่จื่อยังอยู่ในจวน พวกเจ้าไปต้อนรับเขาทีเถิด แม่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ต้องการพักผ่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยอปาก อยากจะชวนนางไปทานอาหารกลางวันก่อนแล้วค่อยไปพักผ่อน หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปชนแขนนางเบาๆ หยุดนางไม่ให้พูด พูดว่า “ลูกทราบแล้ว เสด็จแม่พักผ่อนให้เต็มที่เถิดขอรับ”
พระชายาฉีอดไม่ได้ ถอนหายใจอีกครั้ง หันกลับไปที่เรือนของตัวเอง
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
หวงฝู่ซวิ่นนั่งไม่เป็นสุข เดินออกจากเรือนไป เดินเล่นกลับไปกลับมา เห็นสองคนนั้นกลับมา รีบถามว่า “ข้าได้ยินว่า…”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดขัดเขา “คุยในเรือนเถอะ”
หวงฝู่ซวิ่นกลืนสิ่งที่จะพูดลงไป หันหลังกลับเข้าไปในเรือนก่อน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามเข้าไป
รอให้สองคนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ หวงฝู่ซวิ่นถามต่ออย่างร้อนรน “ข้าได้ยินพวกบ่าวรับใช้พูดว่า ราชเลขาหลินฆ่าคน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเจ้ารีบเล่าให้ข้าฟังที”
หวงฝู่อี้เซวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังอย่างละเอียด
หวงฝู่ซวิ่นฟังจบ แล้วเขาตะลึงอยู่นานกว่าจะลุกขึ้น พรวด แล้วพูดว่า “ข้าจะเข้าไปดูในวัง”
“สายไปแล้ว เวลานี้ราชเลขาหลินคงถึงห้องทรงพระอักษรแล้ว คาดว่าตอนนี้เสด็จลุงกำลังโกรธอยู่ หากเจ้าไป ก็ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย บางทีเสด็จลุงอาจจะเอาความโกรธมาลงที่เจ้าก็ได้” หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัวเบาๆ
หวงฝู่ซวิ่นตะลึงอยู่สักพัก จากนั้นก็นั่งลง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะจัดการอย่างไร”
“ราชเลขาหลินดำรงตำแหน่งมานานหลายปี มีความรับผิดชอบตลอด ขยันหมั่นเพียร แก้ปัญหามากมายให้แก่ราชสำนัก เสด็จลุงคงไม่ลงโทษเขาหนัก แต่เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ขุนนางในราชสำนัก ก็จะไม่ลงโทษเขาเบาเกินไป”
“เจ้าหมายความว่าราชเลขาหลินจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่จะไม่ถูกไต่สวนหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไรต่อ หลีกเลี่ยงการพูดคุยในหัวข้อนี้ “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเสด็จลุง พวกเรารอฟังข่าวเถิด”
หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้ถามอะไรต่อ ขมวดคิ้วทำหน้าบึ้งพิงเก้าอี้
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พูดอะไร ในขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้วและก็คิดไตร่ตรอง
เมิ่งเชียนโยวยื่นมือไปดึงเขา
หวงฝู่อี้เซวียนตกใจ ตื่นจากภวังค์ มองไปที่นาง
เมิ่งเชียนโยวทำหน้าบึ้ง อึดอัดเล็กน้อย “ข้าหิวแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งจะรู้ตัว ไม่ต้องมองไปข้างนอกก็รู้ว่าเวลานี้เลยเวลากินข้าวไปแล้ว ตามปกติเวลานี้ เมิ่งเชี่ยนโยวได้พักกินข้าวไปตั้งนานแล้ว จึงรีบสั่งเสียงดัง “เตรียมสำรับ”
ชิงหลวนขานตอบ และไปที่ห้องครัวเพื่อสั่งอาหาร
หวงฝู่ซวิ่นก็ได้สติและตามสองคนนั้นไปที่ห้องอาหาร
ท่านอ๋องฉี พระชายาฉีและหวงฝู่อวี้ไม่ได้มา ในห้องอาหารมีเพียงแค่พวกเขาสามคน หวงฝู่อี้เซวียนยุ่งอยู่กับการคีบอาหารให้เมิ่งเชี่ยนโยว เลยไม่ได้กินอะไรมาก หวงฝู่ซวิ่นกำลังกินอย่างสบายอกสบายใจ
เมื่อกินอิ่มแล้ว หวงฝู่ซวิ่นเดินไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ทำตามคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน ไปที่วังด้วยสีหน้าที่ร้อนรน
เมิ่งเชี่ยนโยวหาว หวงฝู่อี้เซวียนจึงพานางไปพักผ่อน
ไม่นานหลังจากสองคนนั้นลงนอน เมิ่งเชี่ยนโยวผล็อยหลับไปอย่างสะลึมสะลือ ด้านนอกก็มีเสียงเรียกของหวงฝู่อวี้อย่างร้อนใจ “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ เยียนเอ๋อร์หายไปแล้วขอรับ”
ตอนที่ 325 ข้าเป็นพ่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้นมาทันที แต่สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนกลับขรึมลงไป กดตัวของเมิ่งเชี่ยนโยวที่จะลุกขึ้นลงไป แล้วตนลงมาจากเตียง สวมใส่เสื้อคลุม เดินออกมานอกห้อง
สีหน้าของหวงฝู่อวี้ร้อนใจ กังวลใจ เห็นหวงฝู่อี้เชวียนเดินออกมา แสดงท่าทางเหมือนเห็นคนที่สำคัญมาก รีบกล่าวว่า “ข้าไปเอาอาหารที่ห้องครัวให้นาง กลับมาก็เห็นหงเอ๋อร์ล้มอยู่ในห้อง แต่ไม่เห็นเยียนเอ๋อร์แล้ว”
“สอบถามแล้วหรือไม่”
หวงฝู่อวี้ยิ่งร้อนใจขึ้นไปอีก “ตอนบ่ายที่อุ้มนางกลับมา ข้ากลัวนางอาย จึงให้บ่าวรับใช้ในเรือนออกไปหมด”
“ชิงหลวน ไปถามหน้าประตูว่ามีผู้ใดพบเห็นคุณหนูหลินออกจากจวนหรือไม่” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
ชิงหลวนยังไม่ทันรับคำสั่ง หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกตัวทันที รีบหันหลัง “ข้าจะไปถามเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปถาม”
“หยุด!” หวงฝู่อี้เซวียนตะคอกห้ามเขาไว้
หวงฝู่อวี้หยุดเดินทันที หันกลับมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พี่ใหญ่”
“ทำท่าทางลุกลี้ลุกลนได้เยี่ยงไร ใจเย็นหน่อยสิ”
“พี่ใหญ่ ข้าใจเย็นไม่ได้จริงๆ ถ้าหาก ถ้าหากเยียนเอ๋อร์เป็นอะไร ข้า ข้าก็มีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้เช่นกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนอยากจะตำหนิต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากห้อง “น้องรอง คุณหนูหลินไม่เป็นอะไรแน่นอน สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือนางกลับจวนหลินไปแล้ว”
ทันทีที่นางพูดจบ หวงฝู่อวี้ก็ออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงตามมาทีหลังว่า “ข้าจะไปดูที่จวนหลิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวอยากห้ามไว้ก็ไม่ทัน จึงสั่งชิงหลวนและจูหลีทันทีว่า “พวกเจ้าสองคนตามไปดู หากจำเป็นจริงๆ ทำให้คุณหนูหลินสลบแล้วพากลับมา”
ชิงหลวนและจูหลีรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนโอบเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ “ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว กลับเข้าห้องไปพักเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยให้เขาพาตัวเองกลับเข้ามาในห้อง ถอดเสื้อคลุมแล้วกลับไปนอนบนเตียง “เจ้าก็ตามไปดูเถิด อย่าให้น้องรองเกิดเรื่องอะไรอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตอบ กลับถอดเสื้อคลุมของตนออก แล้วนอนลงไปบนเตียง “เขาโตแล้ว ต้องฝึกจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง จะพึ่งพาเราตลอดชีวิตมิได้”
“แต่เรื่องวันนี้…”
“เรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวกับเรา เจ้าอย่าคิดมาก หลับเถิด ดูแลลูกในท้องให้ดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ อืม เบาๆ ค่อยๆ ขยับร่างเข้าไปใกล้ๆ อกเขา หาท่าหลับที่สบายในอ้อมกอดเขาแล้วเตรียมตัวหลับ ทันใดนั้นก็ถูกลูกเตะท้องหนึ่งที ร้อง โอ้ย ออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนรีบลุกขึ้นนั่งทันที ถามด้วยสีหน้าร้อนใจ “เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ไปที่ท้องของตัวเอง กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “เร็วเข้าๆ พวกเขาเตะข้าอีกแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนตาโตขึ้นมาทันที เพิ่งจะวางมือลงบนท้องของนาง ก็ถูกเตะแล้วหนึ่งที จึงหยุดชะงักไปด้วยความตะลึงงัน
เด็กแสบเตะอีกหลายครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกได้ทั้งหมด รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ กว้างขึ้น เหมือนดั่งไข่มุกราตรี ที่ทำให้ห้องสว่างขึ้นมาทันที ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ปกปิดไม่อยู่ “โยวเอ๋อร์ พวกเขาดิ้นแล้ว พวกเขาดิ้นแล้วจริงๆ”
เด็กแสบทั้งสองในท้อง ครั้งนี้ดิ้นเยอะมาก เตะนางติดต่อกันหลายครั้ง จริงๆ แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นเต้นมาก แต่หลังจากได้ยินคำพูดไร้สาระของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ก็ทนหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้ารู้ พวกเขาแทบจะเตะทะลุท้องของข้าแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรไร้สาระออกมา ลูกอยู่ในท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว นางต้องรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาดิ้นจริงๆ หรือไม่ หน้าเริ่มแดงเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะวางมือลงบนท้องของนางอีกครั้ง “ลูก ข้าเป็นพ่อของพวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าเข้าใจคำพูดของพ่อ ก็เตะอีกสองที”
เมิ่งเชี่ยนโยวมีความสุขอย่างมาก “ลูกยังเล็ก จะ…”
พูดยังไม่ทันจบ เด็กแสบสองคนในท้องเหมือนรู้เรื่อง เตะคนละหนึ่งที
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไป ตาโตแล้วมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนอย่างเหลือเชื่อ “อี้เซวียน พวกเขาเข้าใจคำพูดของเจ้าจริงๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ตื่นเต้นมาก พยักหน้าหงึกๆ “ข้ารู้ ข้ารู้”
แต่เด็กแสบทั้งสองกลับไม่ขยับอีกเลย
หวงฝู่อี้เซวียนก้มศีรษะลงไป แนบลงไปบนท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ในเมื่อพวกเจ้าได้ยิน พ่อก็จะพูดเรื่องหนึ่งกับพวกเจ้าก่อน แม่ของพวกเจ้าตั้งครรภ์พวกเจ้าเหนื่อยมาก พวกเจ้าต้องเชื่อฟัง ขอแค่พวกเจ้าไม่แกล้งแม่พวกเจ้า หลังจากพวกเจ้าคลอดออกมา หากพวกเจ้าอยากได้ดาวบนท้องฟ้า พ่อก็จะหาวิธีเอาลงมาให้พวกเจ้า แต่ถ้าหากพวกเจ้าไม่เชื่อฟังแกล้งแม่พวกเจ้า รอพวกเจ้าออกมา พ่อไม่เพียงแต่จะตีก้นพวกเจ้าแรงๆ ต่อไปก็จะไม่ซื้อของดีๆ ให้พวกเจ้าอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบ รอสักพักใหญ่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในท้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา แล้วพูดเล่นกับเขาว่า “ดูเจ้า ทำลูกตกใจกลัวไปแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็กล่าวอย่างปากแข็งว่า “หากกลัวจริงๆ ก็ดี ต่อไปจะได้ไม่ทำให้เจ้าเหนื่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา
รอไปอีกสักพัก ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ หวงฝู่อี้เชวียนเอามือออก นอนลงไปอีกครั้ง ยื่นมือออกไป ให้เมิ่งเชี่ยนโยวนอนบนแขนของตัวเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าว่าเด็กแสบสองคนในนี้น่าจะเป็นผู้ชาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินก็หันข้าง แล้วกล่าวถามด้วยความแปลกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“เจ้าดูสิ ข้าแค่ขู่ พวกเขาก็ไม่กล้าขยับแล้ว ต้องเป็นเด็กผู้ชายตัวป่วนสองคนแน่ๆ”
“ไม่แน่นะ ข้าว่าเป็นลูกสาวสองคน นิสัยเหมือนเจ้า หยิ่งนัก ได้ยินคำพูดของเจ้าแล้วโกรธ จึงไม่อยากสนใจเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะออกมา แนบริมฝีปากลงบนหน้าผากนางหนึ่งที “ไม่ว่าจะเป็นลูกชายสองคน หรือว่าลูกสาวสองคน ก็ไม่สำคัญเท่าแม่ของลูก เจ้าพักผ่อนเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วปิดตาลง ไม่นานก็หลับลึกไป
แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับจ้องไปที่ท้องของนาง ตื่นเต้นมากจนแทบจะนอนไม่หลับ
ทั้งสองหลับไปประมาณสองชั่วยามจึงตื่นขึ้นมา
หวงฝู่อี้กลับบ้านเก่าไป ชิงหลวนและจูหลีไปจวนราชเลขาในเรือนเหลือแค่โจวอันรับใช้คนเดียว ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้อง โจวอันรีบไปตักน้ำมาวางไว้หน้าห้อง “เจ้านาย น้ำเตรียมไว้แล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาแล้วยกน้ำเข้าไป เอาผ้าชุบน้ำ เช็ดให้เมิ่งเชี่ยนโยวก่อน จึงจะจัดการตัวเองให้เรียบร้อย แล้วค่อยเรียกโจวอันเข้ามา
หลังจากโจวอันเข้ามาในห้องแล้ว ก็มองตรงๆ ไม่มองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากทำความเคารพทั้งสองแล้ว จึงกล่าวว่า “หลังจากคนของกองกำลังรักษาความสงบภายในเมืองมาแล้ว ก็นำคนไปทันที พ่อบ้านได้ให้คนล้างคราบเลือดหน้าประตูให้สะอาดแล้วขอรับ ส่วนทางฝั่งจวนราชเลขานั้น ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งมาขอรับ ถ้าหากคุณชายไม่วางใจ ข้าจะส่งคนไปสืบทันที”
“ไม่ต้อง ชิงหลวนกับจูหลีไม่ได้กลับมาส่งข่าว ก็หมายความว่าที่จวนราชเลขาไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราอย่าเพิ่งไปยุ่ง ตอนนี้งานแต่งของคุณชายรองกับคุณหนูหลินยังไม่แน่นอน หากเราเข้าไปยุ่งมากเกินไปจะไม่ดี”
โจวอันรับคำสั่ง แล้วถอยออกไป
ทั้งสองแต่งตัวเรียบร้อย ฉวยโอกาสที่อากาศปลอดโปร่งแสนสบาย ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ในจวน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป พ่อบ้านรีบมาที่สวนดอกไม้ด้านหลัง รายงานว่า “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย พระราชโองการของฮ่องเต้ลงมาแล้วขอรับ”
“ว่า”
“ตำแหน่งราชเลขาหลินลดลงมาทีเดียวสามขั้น งดรับตั๋วเงินหนึ่งปี ส่วนคนตระกูลหลินคนอื่นๆ ไม่ได้รับบทลงโทษอันใดขอรับ”
สบตากับเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามว่า “คุณชายรองล่ะ ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
“ยังขอรับ”
“หากเขากลับมา ให้คนมารายงานข้าทันที”
พ่อบ้านรับคำสั่ง แล้วถอยออกไป
จนคนออกไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงกล่าวว่า “ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะให้บนลงโทษกับราชเลขาหลินเบาเยี่ยงนี้”
“เสด็จลุงน่าจะคำนึงถึงจวนอ๋องฉี จึงลดโทษของราชเลขาหลินลง อย่างไรก็ตามอวี้เอ๋อร์ก็เป็นคุณชายรองของจวนอ๋องฉี จะให้สู่ขอหญิงสาวประชาชนธรรมดาเป็นภรรยาได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
จนเมื่อท้องฟ้ามืดลง ก็ไม่มีข่าวว่าหวงฝู่อวี้กลับมา แม้แต่ชิงหลวนและจูหลีก็ยังไม่กลับมา หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกผิดปกติ จึงสั่งโจวอัน “ไปสืบดู ว่าเรื่องเป็นเยี่ยงไร”
โจวอันรับคำสั่งแล้วเดินออกจากจวน ขี่ม้าไปที่จวนราชเลขา
หลังจากนั้นประมาณสองก้านธูป โจวอันขี่ม้ากลับมาอย่างรีบร้อน โยนบังเ**ยนม้าให้กับคนที่เฝ้าประตู แล้วรีบวิ่งมารายงานในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน “คนในจวนราชเลขาบอกว่า คุณหนูหลินถูกไทเฮาส่งคนมาเรียกเข้าวังขอรับ คุณชายรองก็ตามไปด้วย ชิงหลวนและจูหลีไม่วางใจ จึงแต่งตัวเป็นสาวใช้ของคุณหนูหลิน แล้วตามเข้าไปในตำหนักของไทเฮาขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว คิดชั่วครู่ แล้วสั่งว่า “ไปเตรียมรถม้าไว้ รองด้วยผ้าปูที่นอนหนาๆ ไว้ แล้วไปรอที่หน้าวัง”
โจวอันรับคำสั่ง แล้วหันหลังเดินออกไป
“ไทเฮาน่าจะกริ้วมาก ดูแล้วบทลงโทษที่จะได้รับครั้งนี้ของคุณหนูหลินไม่น่าเบา” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
“เสด็จย่าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมเนียมประเพณีมาก ได้ยินเรื่องที่คุณหนูหลินและอวี้เอ๋อร์ทำ ส่งผลให้ราชวงศ์เสียหน้า ไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แน่นอน บทลงโทษนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องรับอยู่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกังวลใจเล็กน้อย “แล้วจะทำเยี่ยงไร ดูร่างกายของคุณหนูหลินนั้นอ่อนแอมาก แม้แต่เดินยังเอนไปมา จะรับบทลงโทษของไทเฮาได้หรือ”
“ไม่ว่าอย่างไร อวี้เอ๋อร์และคุณหนูหลินมีความสัมพันธ์ทางเนื้อหนังกันแล้ว การแต่งงานครั้งนี้อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น เสด็จย่าไม่ให้คนอื่นลงโทษนางหนักแน่นอน มากสุดก็ให้นางคุกเข่า แต่การคุกเข่าก็แบ่งออกเป็นหลายแบบ ก็ต้องดูว่าเสด็จย่าจะใช้วิธีใดกับคุณหนูหลิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มสนใจขึ้นมาทันที กล่าวถามด้วยความแปลกใจ “นี่ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ เจ้าพูดให้ข้าฟังหน่อย”
หวงฝู่อี้เซวียนแตะจมูกนาง แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ฟังจะดีกว่า เดี๋ยวจะทำให้ลูกในท้องตกใจได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวห่อปากแล้วยื่นออกมาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ตื้อให้เขาเล่าให้ตัวเองฟังต่อ
โจวอันได้รับคำสั่ง ก็รีบขี่ม้าไปที่หน้าวัง เวลาผ่านไปไม่นานก็เห็นหวงฝู่อวี้อุ้มหลินหันเยียนที่สลบไปแล้ว นางปิดตาแน่น สีหน้าซีดเซียว วิ่งออกมาจากวัง
ชิงหลวนและจูหลีเดินกระง่อนกระแง่นตามออกมาด้านหลัง
ศีรษะของหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ วิ่งตรงมาที่ด้านหน้ารถม้าอย่างรวดเร็ว อุ้มหลินหันเยียนขึ้นบนรถม้า แล้วรีบสั่งว่า “รีบกลับจวน”
โจวอันรีบยกแส้ม้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ฟาดลงไปบนก้นของม้าหนึ่งครั้ง ม้าเจ็บ ร้องเสียงหลง แล้วตะบึงตรงไปที่จวนอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว
ชิงหลวนและจูหลีสบตากัน แล้วรีบใช้วิชาตัวเบาตามไปทันที
เมื่อถึงหน้าประตูจวน ไม่รอให้รถม้าหยุดนิ่ง หวงฝู่อวี้อุ้มหลินหันเยียนกระโดดลงจากรถม้า วิ่งตรงไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เชวียน ร้องตะโกนว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ มาช่วยเยียนเอ๋อร์เร็ว นางตัวร้อนจี๋เลยขอรับ”
ตอนที่ 326 เป็นอนุภรรยาตลอดชีวิต
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาจากห้อง เห็นหลินหันเยียนที่มีสีหน้าแดงก่ำและเจ็บปวดอยู่ในอ้อมกอดของหวงฝู่อวี้ รีบพูดสั่งว่า “อุ้มไปที่เรือนของเจ้าก่อน เดี๋ยวข้าตามไป”
หวงฝู่อวี้รีบอุ้มหลินหันเยียนกลับมาที่ห้องของตน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับเข้าไปในเรือน เปิดกล่องใส่เม็ดยา แล้วหยิบเม็ดยาออกมาหลายเม็ด
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกมาอยากจะห้าม แต่คิดถึงสีหน้าร้อนใจของหวงฝู่อวี้แล้วจึงดึงมือกลับมา ก้าวออกหนึ่งก้าว ปิดกล่อง “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไปเล็กน้อย ไม่นานก็เข้าใจความคิดของเขาทันที ยาเม็ดพวกนี้นั้นมีไว้สำหรับช่วยชีวิตในเวลาที่เกิดอะไรขึ้นตอนที่นางคลอด หวงฝู่อี้เชวียนไม่ยอมให้คนอื่นมากมายขนาดนั้นแน่นอน ที่ยอมให้นางเอาไปหลายเม็ดเพื่อช่วยหลินหันเยียนนั้น ถือว่าเห็นแก่หน้าหวงฝู่อวี้มากแล้ว ไม่เยี่ยงนั้นไม่ว่าผู้ใด อย่าหวังว่าจะเอาไปจากเขาได้แม้แต่เม็ดเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกซึ้งใจ เขย่งขาแล้วแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ หนึ่งที “วางใจเถิด ยาเม็ดพวกนี้ข้าไม่ได้ใช้แน่นอน”
หวงฝู่อี้เซวียนปิดปากเงียบ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันตัวไปที่เรือนของหวงฝู่อวี้
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตามไป แต่สั่งชิงหลวนและจูหลีให้ตามไปอย่างใกล้ชิด
หวงฝู่อวี้วางหลินหันเยียนลงบนเตียง สั่งให้คนตักน้ำมา ชุบผ้าให้เปียกแล้วเช็ดหน้าให้นางอย่างสะอาดด้วยตัวเอง แล้วรอเมิ่งเชี่ยนโยวมาด้วยความร้อนใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง เดินตรงมาที่ด้านหน้าเตียง นั่งลงบนเก้าอี้นุ่มที่จัดเตรียมไว้แล้ว ดึงแขนข้างหนึ่งของหลินหันเยียนออกมา วางนิ้วลงบนข้อมือของนาง
สักพักจึงจะดึงมือกลับมา แล้วหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด ยื่นให้หวงฝู่อวี้ “ให้นางกินลงไปก่อน”
หวงฝู่อวี้รับมา นั่งข้างเตียงแล้วพยุงหลินหันเยียนขึ้นมา ยัดเม็ดยาเข้าไปในปากของนาง หลังจากนั้นก็ทุบหลังนางแรงๆ หนึ่งที
หลินหันเยียนกลืนเม็ดยาลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวตาโต “อวี้เอ๋อร์ นี่เจ้า…” นี่ก็รุนแรงเกินไปแล้ว อย่างน้อยเจ้าก็ควรแบ่งเม็ดยาก่อนสิ
หวงฝู่อวี้ไม่รู้เลยว่าท่าทีของตัวเองนั้นมีอะไรไม่เหมาะสม วางหลินหันเยียนลง แล้วกล่าวถามด้วยความกังวลว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เยียนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แค่ป่วยใจ บวกกับร่างกายอ่อนแอ แล้วก็…” ประโยคต่อไปเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เอ่ยออกมา “เดี๋ยวข้าเขียนสูตรยาให้นางอีกหนึ่งสูตร เจ้าสั่งคนให้รีบไปซื้อยามาต้ม แล้วให้นางดื่ม”
หวงฝู่อวี้เดินไปข้างโต๊ะแล้วฝนหมึกให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง “พี่สะใภ้ใหญ่ รีบหน่อยได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นแล้วเดินมาข้างโต๊ะ เขียนสูตรยาออกมาหนึ่งสูตร แล้วยื่นให้ชิงหลวน “ไปซื้อยาที่ร้านยาเต๋อเหริน อย่าให้ใครรู้”
ชิงหลวนรับคำสั่ง ในขณะที่กำลังจะรับมา หวงฝู่อวี้กลับดึงไปทันที “นางคุกเข่าเป็นเพื่อนเยียนเอ๋อร์ในวังเกือบครึ่งค่อนวัน ขาบวมเล็กน้อย ให้เฮ่ออีไปเถิด”
พูดจบ ก็ถือสูตรยาแล้วเดินออกจากห้องไป พูดสั่งเฮ่ออีให้ไปซื้อยาเงียบๆ
ในห้องของหวงฝู่อวี้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สะดวกเปิดดูบาดแผลที่เข่าของชิงหลวน ขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกเจ้าจึงตามไปที่วัง”
หวงฝู่อวี้กลับมาที่ห้อง แล้วเดินตรงไปที่ข้างเตียง นั่งลงบนเก้าอี้นุ่ม มองหลินหันเยียนตาไม่กะพริบ
ชิงหลวนมองเขาเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
ที่แท้ นางและจูหลีทั้งสองตามหวงฝู่อวี้มาที่จวนราชเลขาเห็นประตูใหญ่ของจวนราชเลขาปิดสนิท นอกจวนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของบ่าวรับใช้สักคน หลินหันเยียนคุกเข่าอยู่นอกจวน มีผู้คนมุงดูอยู่รอบด้านไม่ใกล้ไม่ไกล ชี้นางแล้ววิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
“เยียนเอ๋อร์” หวงฝู่อวี้เรียกแล้ววิ่งเข้าไป อยากจะพยุงนางขึ้นมา “รีบลุกขึ้น”
หลินหันเยียนคุกเข่าไม่ขยับ มองหวงฝู่อวี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา “พี่อวี้ ท่านแม่ไม่เอาข้าแล้ว พี่ใหญ่ก็ไม่เอาข้าแล้ว”
“เจ้าลุกขึ้นก่อน ข้าจะไปเคาะประตูเอง” หวงฝู่อวี้ดึงนางแรงๆ
หลินหันเยียนส่ายหัวไปมา “เป็นความผิดของข้า เป็นข้าที่ทำให้ทุกคนติดร่างแหไปด้วย ความผิดของข้าไม่ควรได้รับการอภัย ข้า…”
ชิงหลวนและจูหลีสบตากัน แล้วเดินออกมาพร้อมกัน
“คุณชายรอง ให้พวกข้าช่วยเถิด”
หวงฝู่อวี้ปล่อยหลินหันเยียน
ชิงหลวนและจูหลีก้าวเข้ามา ขนาบนางทั้งสองข้างแล้วใช้แรงยกนางขึ้นมา
หวงฝู่อวี้เดินตรงไปที่หน้าประตูจวนราชเลขาใช้แรงตีประตูใหญ่ ตะโกนเสียงดังว่า “เปิดประตู เปิดประตู”
แม้ว่าหวงฝู่อวี้จะเคาะเสียงดังเพียงใด แต่ในจวนก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
หลินหันเยียนร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมาก
หวงฝู่อวี้โมโหมาก ยกขาขึ้นเตะไปที่ประตูใหญ่ของจวนราชเลขา
ประตูใหญ่ยิ่งเสียงดังมากขึ้นไปอีก แต่แม้ว่าเยี่ยงนี้ ก็ยังคงไม่มีผู้ใดมาเปิดประตู
หวงฝู่อวี้โมโหร้อนใจ หันหลัง แล้วเดินกลับมาข้างๆ หลินหันเยียน “เยียนเอ๋อร์ ไป กลับจวนกับข้า ในเมื่อพวกเขาไม่เอาเจ้าแล้ว ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
หลินหันเยียนร้องไห้แล้วส่ายหัวไปมา “ไม่ พี่อวี้ นี่เป็นบ้านของข้า ข้าไม่ไปที่อื่น”
เห็นว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ หวงฝู่อวี้ส่งสายตาให้ชิงหลวนและจูหลี ให้ทั้งสองยกหลินหันเยียนกลับตำหนัก
ทั้งสองใช้แรงมือ กำลังพยุงหลินหันเยียนหันหลัง ก็มีม้าตัวหนึ่งวิ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว วิ่งมาหยุดตรงหน้าหลินหันเยียน ขันทีคนหนึ่งลงมาจากหลังม้า มองหลินหันเยียนที่มีสีหน้าซีดด้วยสายตาดูถูกเล็กน้อย ตรัสสั่งด้วยน้ำเสียงสูงว่า “ไทเฮาเรียกคุณหนูหลินเข้าวังหลวงขอรับ”
หลินหันเยียนหยุดชะงักไป
หวงฝู่อวี้ขวางหน้านางไว้ แล้วยิ้มออกมา “กงกง เหตุใดเสด็จย่าจึงเรียกเยียนเอ๋อร์เข้าวังด้วย”
“เอ อันนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ความคิดของไทเฮาเป็นสิ่งที่เราจะคาดเดาได้เยี่ยงไร คุณชายรองได้โปรดหลีกทางเถิด ให้คุณหนูหลินรีบเข้าวังไปกับข้า” แม้ว่าท่าทีของขันทีจะให้ความเคารพมาก แต่น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความดูถูก
เรียกหลินหันเยียนเข้าวังในเวลานี้ หวงฝู่อวี้ใช้ส้นเท้าคิดก็รู้ว่าไทเฮาจะต้องลงโทษนางแน่ๆ รีบกล่าวว่า “พอดีเลย ข้าก็ไม่ได้เข้าวังไปหาเสด็จย่านานแล้ว กงกงกลับไปก่อน ข้ากับเยียนเอ๋อร์จะตามไปทันที”
ขันทีกล่าวถามด้วยความหวังดีว่า “คุณชายรองมั่นใจหรือว่าจะตามไปเวลานี้”
หวงฝู่อวี้หยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วกล่าวว่า “ข้ามั่นใจ”
“ก็ได้ขอรับ ในเมื่อท่านยืนยันว่าจะไป หากถูกลงโทษอันใดจะโทษว่าข้าไม่เตือนไม่ได้”
ทันทีที่เขาพูดจบ หวงฝู่อวี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าไทเฮาได้ยินเรื่องในวันนี้แล้ว และจะลงโทษหลินหันเยียน จึงพยักหน้าทันที “ขอบคุณสำหรับการเตือนของกงกง ต่อไปมีเรื่องดีๆ ต้องไม่ลืมท่านแน่ๆ นอน”
สีหน้าของขันทีจึงเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย “ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเจ้ารีบหน่อย ไทเฮาอารมณ์ไม่ดี ถ้าหากให้ทรงต้องรอนาน ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่ข้าและท่านสามารถรับผิดชอบได้”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า
ขันทีนั่งกลับขึ้นไปบนหลังม้า แล้วกลับไปรายงานที่วัง
หวงฝูอวี้นำหน้า ชิงหลวนและจูหลีพยุงหลินหันเยียนตามหลัง ทั้งหมดก็มาถึงหน้าประตูวังหลวง
คิดถึงคำกำชับของเมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวนและจูหลีสบตากัน ตัดสินใจตามไปด้วย ผ่านหน้าประตูวัง ตรวจร่างกาย หลังจากมอบอาวุธบนตัวออกมาแล้ว ทั้งสี่มาถึงตำหนักของไทเฮา
กูกูผู้ดูแลยืนอยู่ในลาน เห็นทุกคนเข้ามา ก็มองหลินหันเยียนด้วยสีหน้ารังเกียจเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “คำสั่งของไทเฮา คุณหนูหลินทำผิดกฎที่หญิงสาวควรมี ทำเรื่องอนาจารในเวลากลางวันแสกๆ ความผิดนี้สมควรประหารชีวิต แต่เห็นแก่คนในครอบครัวมีผลงานในราชสำนัก ยกโทษประหาร แต่โทษอื่นไม่อาจละได้ วันนี้ลงโทษให้ท่านคุกเข่าในลานสี่ชั่วยาม ลงโทษเพื่อเป็นการตักเตือนก่อนจะทำความผิดไปมากกว่านี้ และเป็นตัวอย่างเพื่อเตือนสติผู้อื่นมิให้ทำตาม”
หวงฝู่อวี้ตกใจมาก อยากจะขอความเมตตา คำพูดหนึ่งประโยคของกูกูผู้ดูแลปิดปากเขาทันที “ไทเฮามีรับสั่ง หากคุณชายรองขอร้องหนึ่งประโยค คุณหนูหลินคุกเข่าเพิ่มสองชั่วยาม”
ประโยคขอร้องของหวงฝู่อวี้ถูกกลืนลงไปทันที ยืนอยู่ข้างๆ เงียบๆ ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีกเลย
เสียงโมโหของไทเฮาดังออกมาจากด้านในตำหนัก “ไม่ได้มาพบข้าเป็นเวลานานเยี่ยงนี้ ยังไม่รีบไสหัวเข้ามาอีก หรือว่าต้องให้ข้าออกไปเชิญเจ้าด้วยตัวเอง”
หน้าผากของหวงฝู่อวี้เริ่มมีเหงื่อเย็นผุดออกมา รีบก้าวขายาวเข้าไปทันที คุกเข่าต่อหน้าไทเฮา “เสด็จย่าได้โปรดยกโทษให้หลานด้วย หลานมาทำความเคารพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาส่งเสียง หึ หนึ่งคำ “ถ้าในสายตาเจ้ายังมีเสด็จย่าคนนี้ ก็ไม่ควรทำเรื่องที่ทำให้ราชวงศ์ขายหน้าเยี่ยงนี้”
หวงฝู่อวี้ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก ก้มหน้าแล้วรับคำด่าว่าอย่างเชื่อฟัง
ด้านนอกห้อง กูกูผู้ดูแลมองหลินหันเยียนที่ถูกชิงหลวนและจูหลีพยุงไว้เล็กน้อย “อะไรกัน คำพูดเมื่อครู่ของข้าคุณหนูหลินได้ยินไม่ชัดหรือ ต้องการให้ข้าพูดใหม่อีกรอบหรือไม่”
หลินหันเยียนกัดริมฝีปาก แล้วคุกเข่าลงไป
ชิงหลวนและจูหลีก็คุกเข่าลงข้างๆ นาง
ในห้องไทเฮาก็ไม่เอ่ยอะไรอีก ปล่อยให้หวงฝู่อวี้คุกเข่าตรงหน้า
ในตำหนักไทเฮาเงียบสงบ ไม่มีเสียงเล็ดลอดแม้แต่น้อย
พอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่มีอารมณ์โกรธเล็กน้อย ขันทีและนางกำนัลในตำหนักก็เบาเสียงลง เกรงกลัวว่าจะทำให้ไทเฮาไม่พอพระทัย
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ร่างกายของหลินหันเยียนค่อยๆ เอนไปมา
ชิงหลวนและจูหลียื่นมือออกมาพยุงนางไว้
กูกูผู้ดูแลคิดว่าพวกนางเป็นสาวใช้ข้างตัวของหลินหันเยียน จึงตวาดทั้งสองว่า “ไม่รู้จักมารยาท อยากถูกฟาดด้วยตะบองรึ”
ทั้งสองรีบปล่อยหลินหันเยียน ก้มศีรษะลงบนพื้นทันที
สองชั่วยามผ่านไป ร่างกายของหลินหันเยียนยิ่งเอนตัวไปมามากขึ้น น้ำตาบนหน้ายิ่งไหลลงมาไม่หยุด เสื้อผ้าบนตัวก็เปียกไปหมดแล้ว
ชิงหลวนและจูหลีก็ไม่กล้ายื่นมือออกไปช่วยนางอีก
กูกูผู้ดูแลมองนางด้วยสายตาเยือกเย็น ในสายตาไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ หลินหันเยียนทนต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ล้มลงบนตัวจูหลี แล้วสลบไป
“คุณหนูหลิน” จูหลีรีบพยุงนางไว้
หวงฝู่อวี้ที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องของจูหลี ใจกระตุกทันที เงยหน้ามองไปทางไทเฮาด้วยแววตาขอร้อง
แน่นอนว่าไทเฮารู้ว่าเรื่องเป็นเยี่ยงไร หลินหันเยียนเป็นลูกสาวของจวนราชเลขา หากทำเกินไปก็จะทำให้ท่านราชเลขาเสียหน้า จึงกล่าวว่าหวงฝู่อวี้อีกหนึ่งประโยคตั้งแต่เขาเข้าวังมา “ไสหัวไปเถิด อย่าอยู่ขวางหูขวางตาข้าเลย”
หวงอวี้ก้มศีรษะขอบพระทัย แล้วรีบลุกขึ้นมาทันที เดินสะดุดออกไป เห็นหลินหันเยียนนอนปิดตาอยู่ในอ้อมกอดของจูหลี ก็ปวดใจมาก ก้าวขายาวเข้าไป อุ้มนางขึ้นมาแล้วเดินออกไปทันที
กูกูผู้ดูแลก็ได้ยินคำพูดของไทเฮา จึงไม่ได้ห้าม
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังจนจบ จึงกล่าวกับหวงฝู่อวี้ว่า “ให้คนไปซื้อยาลดอาการบวมมาด้วย เข่าของคุณหนูหลินน่าจะบวมแล้ว”
หวงฝู่อวี้เมื่อฟังดังนี้ก็เพิ่งจะได้สติขึ้นมา รู้สึกโทษตัวเองเป็นอย่างมากที่เอาแต่คิดเรื่องที่หลินหันเยียนสลบไป ลืมเรื่องที่นางคุกเข่าเป็นเวลาหลายชั่วยามไป จึงรีบสั่งให้คนไปซื้อทันที
หลินหันเยียนที่อยู่บนเตียงส่งเสียงเบาๆ
หวงฝู่อวี้รีบวิ่งไปด้านหน้าเตียง ด้วยความดีใจ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
หลินหันเยียนกะพริบตา จนเห็นรอบด้านชัดเจนแล้ว จึงรู้ว่าตัวเองอยู่ในห้องของหวงฝู่อวี้ ขานชื่อเบาๆ ว่า “พี่อวี้”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “ข้าเอง เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ข้าเป็นอะไรไป”
“เจ้า…” หวงฝู่อวี้เพิ่งจะเอ่ยคำเดียว พ่อบ้านก็วิ่งหอบเหนื่อยเข้ามาในเรือนอย่างรีบร้อน รายงานด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “ซื่อจือเฟย คุณชายรอง กูกูผู้ดูแลในตำหนักไทเฮามาส่งพระราชเสาวนีย์ให้คุณหนูหลินขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว มีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ
หวงฝู่อวี้หยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วเดินก้าวขายาวออกห้องทันที กล่าวถามว่า “อะไร พระราชเสาวนีย์อะไร”
“บ่าวไม่รู้ คนใกล้ถึงแล้วขอรับ”
ทันทีที่เขาพูดจบ กูกูผู้ดูแลนำนางกำนัลในตำหนักสี่คน เดินเข้ามาในลาน ย่อตัวทำความเคารพหวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง คุณหนูหลินฟื้นแล้วหรือยังเจ้าคะ ไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ ให้นางออกมารับด้วย”
สมองของหวงฝู่อวี้ยังไม่ทันคิด จึงกล่าวตอบไปว่า “เยียนเอ๋อร์เพิ่งฟื้น ร่างกายยังอ่อนแอมาก พระราชเสาวนีย์นี้…”
กูกูผู้ดูแลขัดขวางเขาทันทีด้วยสีหน้านิ่งเฉย กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ถ้าฟื้นแล้ว ก็ให้นางออกมารับพระราชเสาวนีย์เถิด ข้าก็จะได้กลับตำหนักเร็วๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวด่าหวงฝู่อวี้ว่า ‘โง่’ ในใจหนึ่งคำ ส่งสายตาให้ชิงหลวนและจูหลีพยุงหลินหันเยียนขึ้นมา ส่วนตัวเองเดินออกมายืนด้านหน้าประตู ยิ้มแล้วกล่าวว่า “กูกู ท่านรอสักครู่ คุณหนูหลินจะรีบออกมาทันที”
กูกูผู้ดูแลเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว กวาดสายตาผ่านท้องของนาง ยิ้มแล้วย่อตัวทำความเคารพ “หม่อมฉันขอทำความเคารพซื่อจื่อเฟย ช่วงนี้ซื่อจื่อเฟยสบายดีหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเดินมาข้างหน้านาง พยุงนางไว้ “กูกูเป็นสหายสนิทของเสด็จแม่ ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ของข้าด้วย ฉะนั้นต่อไปอย่าทำความเคารพข้าอีกเลยเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของกูกูผู้ดูแลยิ่งกว้างขึ้นไปอีก “ซื่อจื่อเฟยยกย่องข้ามากไปแล้ว ข้าไม่กล้ารับจริงๆ” พูดจบ ก็มองท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวเล็กน้อย “ร่างกายของซื่อจื่อเฟยดีหรือไม่”
“เพราะความดีงามของท่าน ทุกอย่างจึงดี ลูกก็สุขสบายดี ไม่ได้มีปัญหาอะไรกวนใจเจ้าค่ะ”
“ถ้าเยี่ยงนั้นท่านก็โชคดีจริงๆ ต่อไปคลอดออกมาต้องเป็นเด็กดีสองคนแน่ๆ”
ชิงหลวนและจูหลีพยุงหลินหันเยียนที่ไร้เรี่ยวแรงเดินออกมาจากห้อง
รอยยิ้มบนใบหน้าของกูกูผู้ดูแลหายไปทันที ปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “คุณหนูหลิน เชิญรับพระราชเสาวนีย์เถิด”
หลินหันเยียนกัดฟันแล้วคุกเข่าลง
กูกูผู้ดูแลยืนตัวตรง กล่าวด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดว่า “ไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ว่า คุณหนูหลินจะเป็นได้แค่อนุภรรยา เป็นภรรยาเอกไม่ได้ตลอดชีวิต”
ตอนที่ 327 ท่านพ่อท่านแม่ข้าเสียชีวิต...
ในเรือนเงียบกริบทันที
ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นพระราชเสาวนีย์เยี่ยงนี้ ทุกคนหยุดชะงักทันที
หวงฝู่อวี้เบิกตาโต มองกูกูผู้ดูแลอย่างเหลือเชื่อ “กูกู นี่…เสด็จย่า…เหตุใด…”
กูกูผู้ดูแลขัดจังหวะเขา “คุณชายรอง นี่เป็นคำสั่งของไทเฮา ท่านมีความคิดเห็นอันใดหรือ”
ปากของหวงฝู่อวี้อ้าขึ้นแล้วก็หุบลง เป็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้ง สักพักจึงก้มศีรษะลงด้วยความหดหู่ ไม่ได้กล่าวตอบอันใด
หลินหันเยียนก็ไม่อยากเชื่อ สีหน้าซีดเผือดทันที หน้ามืด แล้วสลบไปอีกครั้ง
ชิงหลวนและจูหลีสายตาไวรีบพยุงนางไว้ทันที
กูกูผู้ดูแลแสยะปากด้วยความดูถูก ไม่แม้แต่จะมองนาง หันหลัง ยิ้มแล้วกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าไปทำความเคารพพระชายาก่อน ซื่อจื่อเฟยจะ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวขยับตัวออก ทำสัญญาณมือ “เชิญเจ้าค่ะ เชิญกูกูก่อน ข้ามีเรื่องเล็กน้อย จัดการเสร็จแล้วจะมาพูดคุยเป็นเพื่อนกูกูนะเจ้าคะ”
กูกูผู้ดูแลยิ้มรับ หันหลังแล้วนำนางกำนัลในตำหนักทั้งสี่ไปที่เรือนของพระชายาฉี
หวงฝู่อวี้รีบก้าวออกมา แล้วอุ้มหลินหันเยียนที่สลบเข้าไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมาแล้วถอนหายใจ เดินเข้าไปในห้อง
วางหลินหันเยียนลงบนเตียง หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้นแล้วขานเรียกด้วยความร้อนใจ “พี่สะใภ้ใหญ่”
“ชิงหลวน เจ้ารีบขี่ม้าไปที่หนานเฉิง นำเข็มเงินชุดนั้นของข้ามา” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
ชิงหลวนรับคำสั่ง หันหลังแล้วเดินออกไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบหวงฝู่อวี้ “นางแค่ตั้งรับไม่ทัน จึงสลบไป ไม่มีอะไรรุนแรง เจ้าอย่าร้อนใจไปเลย”
หวงฝู่อวี้แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “จะให้ข้าไม่ร้อนใจได้อย่างไร เหตุใดเสด็จย่าจึงมีคำสั่งเยี่ยงนี้ ต่อไปจะให้เยียนเอ๋อร์มีที่ยืนในเมืองหลวงได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “แม้ว่าเจ้าจะเป็นคุณชายรองของจวน แต่ก็เป็นสายเลือดของราชวงศ์ วันนี้คุณหนูหลินทำเยี่ยงนี้ นั่นเท่ากับตบหน้าราชวงศ์ หากมิใช่เพราะไทเฮาเห็นแก่เจ้า วันนี้คุณหนูหลินอาจจะไม่มีชีวิตรอดแล้วก็ได้”
สีหน้าของหวงฝู่อวี้มีความเจ็บปวดขึ้นมาทันที กล่าวโทษตัวเองว่า “ข้าทำร้ายนาง ข้าทำร้ายนาง หากมิใช่เพราะข้าก้าวผ่านความต้องการของใจตัวเองไม่ได้ หากข้าใจแข็งไม่ไปพบนาง นางก็คงไม่ทุ่มสุดตัว ทำเรื่องทำลายชื่อเสียงของตัวเองเยี่ยงนี้ แล้วก็คงไม่ถูกเสด็จย่าตำหนิจนมีคำสั่งเช่นนี้ ต่อไปนางจะเงยหน้ามองคนในเมืองหลวงได้อย่างไร”
“ข้าว่าเจ้าควรดีใจต่างหาก” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว “หากคุณหนูหลินไม่ทำเยี่ยงนี้ นางก็จะต้องแต่งกับผู้อื่น ส่วนเจ้าก็จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เจ้าทั้งสองจะต้องเจ็บปวดมากกว่าตอนนี้”
ตอนนี้หวงฝู่อวี้จะฟังเข้าหูได้อย่างไร ทึ้งผมตัวเองด้วยความเสียใจ “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ข้าทำผิดต่อเยียนเอ๋อร์ ข้าทำร้ายนาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ตำหนิเขา “การฝึกฝนในระยะเวลาหนึ่งปีกว่านี้ของเจ้าถือว่าสูญเปล่า ยังคงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เรื่องราวยังไม่ถึงขั้นที่กู้กลับมาไม่ได้ เจ้าลนลานเช่นนี้ได้อย่างไร”
หวงฝู่อวี้หยุดท่าทางของตัวเอง แล้วมองไปหานางด้วยความตื่นเต้น “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านมีวิธีแก้ปัญหานี้ใช่หรือไม่ รีบบอกข้าเถิด จะต้องแก้ปัญหาอย่างไร รีบบอกข้าที”
ในขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะตอบเขา ก็มีเสียง ตึกตัก เหมือนมีคนคุกเข่าลงบนพื้นดังมาจากข้างนอก ตามด้วยเสียงสะอึกสะอื้นของหงเอ๋อร์ดังขึ้นมา “คุณชายรอง เป็นความผิดของบ่าวเองเจ้าค่ะ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ยาปลุกกำหนดนั้นเป็นข้าที่ฉวยโอกาสใส่ลงไปในสุราตอนที่คุณหนูไม่ทันสังเกต”
หวงฝู่อวี้เดิน ตึกตึก สองก้าวแล้วออกมานอกประตูทันที ตะคอกถามว่า “เจ้าพูดว่าอะไร พูดอีกครั้งสิ”
ศีรษะของหงเอ๋อร์คำนับลงบนพื้นแรงๆ “คุณชายรอง เป็นข้าเองที่ทำร้ายคุณหนูของข้า ยาปลุกกำหนัดนั้นเป็นข้าที่แอบใส่ลงไปในกาสุรา คุณหนูนาง นางไม่รู้เรื่อง หากนางรู้ จะต้องไม่ให้ข้าทำเช่นนี้แน่ๆ”
“เจ้า…” หวงฝู่อวี้โมโหมาก เดินก้าวขายาวมาข้างหน้านาง ยกขาขึ้นแล้วเตะลงไป “เจ้ามันไร้สมอง เจ้าทำร้ายคุณหนูของเจ้า”
ในระหว่างที่โมโหอยู่ การเตะครั้งนี้ของหวงฝู่อวี้นั้นใช้พลังอย่างมาก หงเอ๋อร์ถูกเตะจนหงายตัว กลิ้งหลายตลบจึงจะหยุดลง มีเลือดพุ่งออกมาจากปาก ล้มลงบนพื้นเป็นเวลานานก็ยังไม่รู้สึกตัว
หวงฝู่อวี้ยังไม่หายโมโห จะลุกขึ้นมาเตะนางอีกหลายที เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากห้องห้ามเขาไว้ “พอแล้ว อวี้อ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะนาง ต่อไปเจ้ากับคุณหนูหลินก็อาจจะทำได้แค่ต่างฝ่ายต่างแต่งงานกันไป ไม่เกี่ยวข้องกัน จะมีการแต่งงานของพวกเจ้าได้อย่างไร จะว่าไปแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ก็ถือว่าทำเรื่องดีหนึ่งเรื่องก็ว่าได้”
“แต่นางทำให้เยียนเอ๋อร์เป็นได้แค่อนุภรรยาตลอดชีวิต” หวงฝู่อวี้โกรธมาก กล่าวด้วยความโมโห
“เป็นภรรยาเอกหรืออนุภรรยา นั้นมิใช่ขึ้นอยู่กับเจ้าหรือ หากต่อไปเจ้าไม่สู่ขอผู้อื่น ภรรยาเอกกับอนุภรรยาจะแตกต่างกันอย่างไร”
หวงฝู่อวี้ตาโตขึ้นมาทันที ไม่นานก็เงียบไป “พี่สะใภ้ใหญ่ไม่รู้ อนุภรรยาไม่มีแม้แต่โอกาสร่วมงานกลางคืนของราชวงศ์”
“แล้วอย่างไร คุณหนูหลินอาจจะไม่สนใจก็ได้ คิดดูสิ เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ข้าและพี่ใหญ่ของเจ้าต้องเฝ้าขุนนางจอมปลอมทั้งหลาย กินอาหารอย่างไม่มีรสชาติ บางครั้งยังต้องรับมือกับขุนนางและบรรดาฮูหยินของขุนนางทั้งหลายที่ไม่คุ้นเคย ยังไม่ดีเท่ากับพวกเจ้าที่อยู่ในจวน แล้วพลอดรักกัน”
หวงฝู่อวี้ตาเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง “พี่สะใภ้ใหญ่คิดเยี่ยงนี้จริงหรือ”
เขม่นมองเขาหนึ่งที เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กล่าวตอบ
หงเอ๋อร์รู้สึกตัวขึ้นมา คลานขึ้นมาจากพื้น คำนับขอประทานโทษ “คุณชายรองไว้ชีวิตข้าเถิด คุณชายรองไว้ชีวิตข้าเถิด ข้าเห็นว่าคุณหนูน่าสงสารจริงๆ นางไม่ยอมกินอะไรเลย เอาแต่คิดถึงคุณชายรอง ข้าจึงโน้มน้าวให้คุณหนูออกมาพบท่านเป็นครั้งสุดท้าย ข้าจะได้หาโอกาสใส่ยาลงไปในสุราได้ ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมากมาย แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะสร้างปัญหาใหญ่เยี่ยงนี้ให้กับคุณหนู หากข้ารู้ ให้ตายข้าก็ไม่ทำเด็ดขาด”
พอฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนั้นแล้ว ความโกรธของหวงฝู่อวี้ลดลงไปไม่น้อย น้ำเสียงไม่ดุดันเท่าเมื่อครู่ “เห็นแก่ความจริงใจของเจ้า ครั้งนี้ไว้ชีวิตเจ้าก่อน หากต่อไปเจ้ายังกล้าทำอะไรตามความคิดของตัวเองอีก จะถูกโบยด้วยไม้ยี่สิบที แล้วขายออกไปทันที”
หงเอ๋อร์พยักหน้าหงึกๆ “ขอบพระคุณคุณชายรอง ขอบพระคุณคุณชายรอง”
ไม่นานชิงหลวนก็นำเข็มเงินมา เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เดินมานั่งข้างเตียงแล้วเปิดชุดเข็มออก แสดงเข็มเงินเป็นประกายเงาทั้งชุดออกมา แล้วหยิบเข็มที่อยู่ตรงกลางออกมาหนึ่งเล่ม
หวงฝู่อวี้ตกใจจนสูดหายใจเข้าลึกๆ “พี่สะใภ้ใหญ่ นี่ท่าน…”
เมิ่งเชี่ยนโยวค้อนเขาหนึ่งที
หวงฝู่อวี้ปิดปากทันที ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวฝังเข็มลงบนจุดกึ่งกลางระหว่างจมูกกับริมฝีปากบนของหลินหันเยียน กดเบาๆ หลายครั้ง หลังจากนั้นก็หยิบเข็มที่มีความยาวพอๆ กันออกมาสองเล่ม ฝังลงไปบนสองข้างของหน้าผาก
หลินหันเยียนค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา บนใบหน้าเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาเล็กน้อย ไม่นานก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงก่ำ มองหวงฝู่อวี้ที่อยู่ด้านหน้า น้ำตาก็ไหลลงมาทันที “พี่อวี้ ข้า…”
หวงฝู่อวี้กุมมือหลินหันเยียนทันที วางลงบนอกของตน “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอย่ากังวล ข้าคิดวิธีที่ดีออกแล้ว ไม่ทำให้เจ้าต้องเสียใจอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บชุดเข็มเงิน ถือไว้ แล้วลุกขึ้นยืน หลีกทางให้กับหวงฝู่อวี้ แล้วเดินออกจากห้องอย่างเงียบๆ
ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลังนาง
ไม่รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนยืนรออยู่ในเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามาได้อย่างไร ข้ากำลังจะกลับไปแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนมองชุดเข็มเงินในมือนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบยื่นให้จูหลีทันที “พระราชเสาวนีย์ของไทเฮามากะทันหัน คุณหนูหลินรับไม่ไหวสลบไป ข้าใช้เข็มเงินทำให้นางฟื้นขึ้นมา เจ้าวางใจเถิด ไม่เหนื่อยเลยสักนิด”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร จูงนางออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ยังไม่ได้ดึงเข็มของคุณหนูหลินออกมาเลย รอสักพัก เราค่อย…”
“จูหลี เจ้าอยู่ต่อ เดี๋ยวดึงเข็มออกมาให้นางด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
จูหลีหยุดชะงักไป
“ไม่ได้ นางไม่เคย…ทำ” เห็นหวงฝู่อี้เซวียนหยุดเดิน สายตาเหมือนจะมีไฟพุ่งออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “จูหลี หลังจากเวลาสองก้านธูป เจ้าช่วยคุณหนูหลินดึงออกมา อย่าสนใจว่านางจะเจ็บหรือไม่ หากคุณชายรองถามขึ้นมา เจ้าบอกว่าข้าร่างกายอ่อนเพลีย กลับไปพักผ่อนแล้ว”
จูหลีกลืนน้ำลายลงไป รับคำสั่งอย่างยากเย็น มองดูเมิ่งเชี่ยนโยวเอาใจหวงฝู่อี้เซวียนด้วยการควงแขนแล้วเดินออกไปไกล ชิงหลวนยิ้มมุมปากแล้วเดินตามหลัง
จูหลีกระทืบเท้าเหมือนเด็กหนึ่งครั้ง แล้วอยู่ในเรือนต่อด้วยความโมโห
เมิ่งเชี่ยนโยวควงแขนหวงฝู่อี้เซวียนที่ไม่พูดจาตลอดทางกลับมาที่ห้องของตน ทันทีที่เข้าห้อง ก็โอบคอของเขาทันที พิงตัวลงบนร่างกายของเขา รีบปลอบด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ เจ้าอย่าทำสีหน้าเยี่ยงนี้ จะทำให้ลูกกลัวได้”
“เจ้ายังรู้ว่ามีลูกในท้องของเจ้าอยู่หรือ ตอนที่ฝังเข็มให้นาง ทำไมเจ้าคิดไม่ได้ว่ามีลูกอยู่ในท้องเจ้า” หวงฝู่อี้เซวียนยังคงสีหน้าไม่ดี กล่าวถามนางด้วยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เคยเห็นนางฝังเข็มให้ใคร ทำให้คิดว่าน่าจะใช้พลังงานเยอะ จึงเป็นห่วงตน ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นเข้าใจ ยิ้มแล้วปลอบว่า “ข้ารู้ ข้าจึงฝังให้นางแค่สามเข็ม ไม่ได้ใช้กำลังอะไร แล้วก็ไม่ได้ทำให้ลูกเหนื่อย หากไม่เชื่อ เจ้าลองจับดู ลูกทั้งสองเป็นเด็กดีมาก ไม่ขยับแม้แต่น้อย” พูดจบ จับมือขวาของหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นมาวางลงบนท้องของตน
ราวกับว่าลูกในท้องต่อต้านตน ทันใดนั้นก็เตะสองครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนรับรู้ทันที สีหน้ายิ่งไม่ดีขึ้นไปอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะดึงเด็กทั้งสองออกมาแล้วตีจริงๆ พวกเจ้าไม่เตะเช้าเตะเย็น ดันรอให้ข้าพูดประโยคนี้ก่อนแล้วค่อยเตะ นี่มันจงใจแกล้งกันชัดๆ
สัมผัสได้ถึงความเย็นจากบนตัวของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเขิน
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่ตาของนาง กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าผู้ใด เจ้าอย่าได้ยื่นมืออีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บรอยยิ้มทันที ยกมือขวาของตัวเองขึ้น สาบานอย่างจริงจังว่า “ได้ ข้าฟังสามีของข้า ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าผู้ใด จะเป็นจะตายร้ายดีอย่างไร ข้าจะไม่ยุ่งอีก”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนจึงจะอ่อนลงเล็กน้อย ปล่อยมือนาง ให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ดีๆ แล้วเทน้ำให้นางหนึ่งแก้วด้วยตัวเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กระหายน้ำแล้วล่ะสิ รีบดื่มน้ำเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เงยหน้าแล้วดื่มลงไปจนหมด รีบประจบสอพลอเอาใจว่า “ก็มีแต่สามีของข้าที่เป็นห่วงข้า”
รู้ว่านางตั้งใจเอาใจตัวเอง หวงฝู่อี้เซวียนค่อยแสดงรอยยิ้มออกมา ยื่นมือออกมาลูบศีรษะนาง
หลายวันหลังจากนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ไปดูหลินหันเยียนที่เรือนของหวงฝู่อวี้จริงๆ แม้ว่าหวงฝู่อวี้จะมาเชิญด้วยตัวเอง นางก็ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าร่างกายไม่สบาย แต่ก็ยังคงเขียนสูตรยาให้
เห็นแก่นางที่เชื่อฟัง หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ว่าอะไรนางอีก
หลายวันผ่านไป อาการของหลินหันเยียนดีขึ้นพอสมควรแล้ว หวงฝู่อี้ก็กลับมาแล้ว หยิบจดหมายหลายฉบับออกมาจากกระเป๋าที่ตนสะพายไว้ตลอด ยื่นมาที่ด้านหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นจดหมายที่ท่านอาเมิ่ง พี่เมิ่ง แล้วก็เส้าเอ๋อร์ให้พี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาด้วยความดีใจ ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “พวกเขาสบายดีหรือไม่”
“ทุกคนสบายดีขอรับ ท่านปู่เมิ่งและท่านย่าต่างก็สบายดี ฝากมาบอกกับว่าอย่ากังวลเกี่ยวกับพวกเขา รอตอนที่ท่านคลอดลูก พวกเขาทุกคนจะมาหาที่เมืองหลวง”
หลังจากนั้นก็หยิบกระเป๋าอีกใบวางลงตรงหน้านาง เปิดออก “นี่เป็นเสื้อผ้าที่อาสะใภ้สามทำให้เด็กๆ ให้ข้าเอามาด้วย บอกว่างานเย็บปักถักร้อยของนางไม่ค่อยดี ขออย่าได้รังเกียจขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบขึ้นมาทีละตัว แล้วดู กล่าวว่า “ไม่เจอกันหนึ่งปี อาสะใภ้สามก็พูดคำพูดที่มีพิธีรีตองเยี่ยงนี้เป็นแล้ว ใครจะไม่รู้ว่าฝีมือเย็บปักถักร้อยของนางไม่เป็นรองใครในหมู่บ้าน หากนางยังทำได้ไม่ดี ผ้าที่ข้า แม่ของเด็กพวกนี้เย็บเองก็สมควรโยนทิ้งแล้ว”
หวงฝู่อี้หัวเราะออกมา “อาสะใภ้ใหญ่พอได้ยินคำพูดของอาสะใภ้สาม ก็ยิ้มแล้วบอกว่าหลังจากที่ฟังแล้วต้องเอาคำพูดที่นางพูดมาบอกท่านให้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “ยังคงเป็นอาสะใภ้ใหญ่ที่เข้าใจข้าจริงๆ”
รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวดูเสื้อผ้าทั้งหมดแล้ว ก็พับเก็บอีกครั้ง แล้ววางลงบนโต๊ะ หวงฝู่อี้เก็บรอยยิ้ม เพ่งมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน “พี่ใหญ่ ข้าอยากถามพี่หนึ่งเรื่องขอรับ”
“พูดเถอะ”
ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวกระตุกหนึ่งครั้ง
“ครั้งนี้ที่ข้ากลับบ้าน พักที่บ้านท่านอาของข้า เขาบอกข้าว่า การเสียชีวิตของท่านพ่อท่านแม่ข้าตอนนั้นแปลกๆ ข้าจึงหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอย่างละเอียด ก็รู้สึกแปลกอยู่ไม่น้อย พี่ใหญ่ พี่รู้หรือไม่ว่าตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ข้าเสียชีวิตได้อย่างไร”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น