ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 32.1-35.2
ตอนที่ 32-1 ไปคารวะท่านราชครู
ซุนเหลียงไฉพูดจบก็รู้สึกเสียวคอด้านหลัง จึงหดคอลงโดยไม่รู้ตัว รีบหันหลังกลับไป เห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่ถึงแม้ใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้มแต่ทว่าดวงตากลับจ้องมองเขาอย่างน่ากลัว
ซุนเหลียงไฉรู้ตัวในทันที รีบเดินถอยหลังไปอย่างลนลาน พูดตะกุกตะกักว่า “จะ เจ้า เจ้าห้ามลงมือนะ”
เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะจนแทบจะทนไม่ไหว เมิ่งอี้สองสามีภรรยาก็หัวเราะขบขันจากท่าทางของเขา
บรรยากาศภายในห้องโถงดูอบอุ่นขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนเก็บไอสังหารที่แผ่กระจายอยู่รอบตัว เดินก้าวเข้าไปหาหมายจะตบบ่าของเขา
ซุนเหลียงไฉตื่นตระหนกรีบถอยหลังออกมาอีกก้าว ร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว “เจ้าอย่าเข้ามานะ”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าอย่างนึกขัน แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว
ซุนเหลียงไฉถึงค่อยได้รู้ตัวว่าตัวเองตกใจไปเอง เช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วก็นั่งลงที่เดิม
จากการโวยวายของซุนเหลียงไฉทำให้เมิ่งอี้สองสามีภรรยาหายรู้สึกเกร็ง ต่างก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างสบายๆ
หลังจากที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานหลายปี บัดนี้มีฐานะแตกต่างกันมาก แต่ละคนนั่งลงแล้วก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้น
ในตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าจะคุยอะไรนั้นเสียงของกัวเฟยก็ดังมาจากด้านนอกขึ้นพอดี “นายหญิงขอรับ สำรับอาหารพร้อมแล้ว วันนี้ท่านจะรับที่ไหนดี?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงดัง “วางไว้ในเรือนรับรองเถอะ พวกเราจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
กัวเฟยตอบรับแล้วเดินไปสั่งงานที่เรือนครัว
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย “พี่เมิ่งอี้ พี่สะใภ้ เหลียงไฉเราไปทานข้าวกันเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าแล้วลุกขึ้นไปยังเรือนรับรอง
เมิ่งอี้กับคนอื่นๆ เร่งเดินทางมา ในระหว่างการเดินต่างก็ทานอาหารกันอย่างเร่งรีบ ฉะนั้นจึงรู้สึกหิวได้สักพักแล้ว พอตั้งโต๊ะเสร็จทุกคนก็ทานอาหารกันอย่างไม่เกรงใจ
ทุกคนทั้งทานอาหารทั้งพูดคุยกัน พอได้ทานอาหารหัวข้อการสนทนาก็มีมากขึ้นตาม
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จก็นั่งคุยกันสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นว่า “พี่เมิ่งอี้ พี่สะใภ้เจ้าคะ พวกท่านคิดจะไปจวนโจวเมื่อใด?”
เมิ่งอี้มองหน้าโจวอิ๋ง
โจวอิ๋งเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เจอกับที่บ้านนานหลายปีแล้ว จึงอยากไปให้เร็วที่สุด”
เมิ่งเชี่ยวโยวพยักหน้ากล่าวว่า “ตอนที่มาถึงเมืองหลวงข้าก็อยากจะเข้าพบท่านราชครูตั้งนานแล้วเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่มีเวลาเสียที วันนี้มีเวลาพอดีให้เราไปด้วยกันกับพวกท่านดีหรือไม่เจ้าคะ” พูดจบก็หันหน้าไปถามหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยขึ้นว่า “โจวเซี่ยวกับโจวหลี่ทั้งสองท่านได้รับมอบหมายให้ไปกองเก็บเอกสาร เวลานี้คงมิได้อยู่บ้าน ในบ้านมีแค่ท่านราชครูกับคนในบ้านคนอื่นๆ”
หลายปีมานี้โจวอิ๋งก็พอจะทราบสถานการณ์ภายในบ้านจากจดหมายอยู่บ้าง จึงพยักหน้า “ข้าทราบ พวกเราไปกันตอนนี้เถอะ ข้าคิดถึงคนที่บ้านเหลือเกิน”
ทุกคนต่างก็ลุกขึ้น
ซุนเหลียงไฉก็ลุกขึ้นตาม พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าไปเดินเล่นที่ร้านค้าก่อน ตอนเย็นจะกลับมารอทานอาหารอร่อยๆ ฝีมือเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สั่งให้กัวเฟยไปตระเตรียมของกำนัลด้วย
ทุกคนเดินออกประตูไปพร้อมกัน
ซุนเหลียงไฉขึ้นรถม้าของตัวเองก่อน สั่งให้สารถีรีบพาไปสำรวจร้านของตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นรถม้าที่มีเหวินเปียวนั่งเป็นสารถี ส่วนกัวเฟยก็ขึ้นนั่งเพลารถม้าอีกคัน
เมิ่งอี้สองสามีภรรยาพาหงเอ๋อร์ขึ้นรถม้าที่กัวเฟยเป็นสารถี
หวงฝู่อี้เซวียนบอกที่อยู่ของบ้านตระกูลโจวกับเหวินเปียว
ก่อนที่ท่านราชครูจะย้ายออกจากเมืองหลวงนั้นได้ขายบ้านเดิมไปแล้ว พอกลับมาเมืองหลวงก็ซื้อหลังใหม่อีก ซึ่งไม่หรูหราโอ่โถงเหมือนหลังเดิม ที่ตั้งก็อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองหลวงไปบ้าง
รถม้าสองคันขี่ตามกันไปยังบ้านที่ท่านราชครูซื้อมาใหม่
ทุกคนทยอยลงจากรถม้า
โจวอิ๋งแหงนมองแผ่นบ้านที่มีตัวอักษรตัวโตๆ เขียนว่าตระกูลโจวแขวนอยู่หน้าประตู ขอบตาแดงรื้นขึ้นอย่างอดไม่ได้
ผู้ดูแลบ้านที่บังเอิญเดินออกมาสั่งงานคนเฝ้าประตูพอดี ทันทีที่เห็นหวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้าก็รีบเดินเข้ามาหา โดยไม่ได้มองดูคนอื่นที่อยู่รอบตัวก็คารวะให้เขาทันที เอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อ ท่านมาแล้ว”
“ลุงฝู!” เขายังพูดไม่จบโจวอิ๋งก็ร้องตะโกนเรียกเขาอย่างตื่นเต้นดีใจ
ลุงฝูตะลึง จากนั้นมองไปยังโจวอิ๋งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เอ่ยถามขึ้นด้วยความตื้นตันใจ “คุณหนูซุน ท่านกลับมาแล้ว!”
โจวอิ๋งน้ำตาไหลเป็นสาย พยักหน้าพัลวัน
ดวงตาของลุงฝูก็มีน้ำตาคลอเบ้า รีบหันหน้ากลับไปสั่งคนเฝ้าประตูอย่างรีบร้อน “เร็ว รีบไปบอกนายท่าน ฮูหยิน นายหญิงใหญ่ว่าคุณหนูซุนกลับมาแล้ว!”
คนเฝ้าประตูรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
ลุงฝูหันกลับมาพูดละล่ำละลักด้วยอาการตื่นเต้น “คุณหนูซุน ท่าน ท่านกลับมาได้ ช่าง ช่างดีเหลือเกิน คุณชายใหญ่กับคุณนายคิดถึงท่านแทบแย่”
โจวอิ๋งตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก
ลุงฝู่หันไปมองเมิ่งอี้
เมิ่งอี้ที่อุ้มหงเอ่อร์อยู่ก็เรียกขึ้นด้วยความเคารพ “ลุงฝู่”
ลุงฝูส่งเสียงตอบรับ ส่วนสายตานั้นจ้องมองหงเอ๋อร์ตาไม่กะพริบเลย ถามขึ้นอย่างงกๆ เงิ่นๆ ว่า “นี่คือคุณชายน้อยกระมัง? เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว”
เมิ่งอี้ยิ้มรับ กำลังจะให้หงเอ๋อร์ทักทายก็มีเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงฮูหยินโจวเซี่ยวดังขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ “อิ๋งเอ๋อร์ล่ะ อิ๋งเอ๋อร์อยู่ไหน”
โจวอิ๋งวิ่งไปรับฮูหยินโจวเซี่ยวที่กำลังเดินออกมาพอดี “ท่านแม่ ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ ข้ากลับมาแล้ว”
ฮูหยินโจวเซี่ยวใช้มือข้างหนึ่งจับโจวอิ๋งไว้ มีน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย สะอึกสะอื้นพูดว่า “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
โจวอิ๋งก็กลั้นไม่อยู่น้ำตาไหลพรากออกมา “ท่านแม่ ลูกอกตัญญูนัก ไม่กลับมาเยี่ยมพวกท่านเลยตั้งสี่ปี พวกท่านโปรดให้อภัยด้วยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินโจวเซี่ยวเช็ดน้ำตาให้นาง “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว คราวนี้ต้องอยู่นานๆ นะ เราครอบครัวเดียวกันจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
โจวอิ๋งพยักหน้า
เมิ่งอี้ก็อุ้มหงเอ๋อร์เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของฮูหยินโจวเซี่ยว ร้องทักทายด้วยความนอบน้อมว่า “ท่านแม่ยาย”
ฮูหยินโจวเซี่ยวพยักหน้า มองไปยังหงเอ๋อร์ที่เขาอุ้มอยู่เอ่ยขึ้นว่า “นี่หงเอ๋อร์ใช่ไหม โตถึงเพียงนี้แล้ว”
เมิ่งอี้ก้มหน้าบอกหงเอ๋อร์ว่า “หงเอ๋อร์ เรียกท่านยายสิ”
“ท่านยาย” หงเอ๋อร์ก็ไม่เขินอาย ร้องเรียกเสียงหวานขึ้นมา
“จ้ะ” ฮูหยินโจวเซี่ยวตอบรับอย่างดีใจพร้อมยื่นมือออกไป “มา หงเอ๋อร์ มาให้ยายอุ้ม ให้ยายมองดูให้ชื่นใจหน่อย”
หงเอ๋อร์มองหน้าเมิ่งอี้
เมิ่งอี้พยักหน้า
หงเอ๋อร์จึงลงจากอ้อมแขนของเมิ่งอี้มายืนบนพื้น แล้วแหงนมองไปยังฮูหยินโจวพร้อมกับพูดเสียงใสว่า “หงเอ๋อร์ตัวหนัก ท่านยายอุ้มหงเอ๋อร์ไม่ไหวหรอก หงเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงนี้ให้ท่านยายมองดูดีกว่า”
พอเห็นเขาใส่ใจเช่นนี้ฮูหยินโจวเซี่ยวก็ดีใจเหลือเกิน จึงย่อตัวลงอุ้มเขาขึ้นมา “เด็กดีของยาย ไม่ว่าเจ้าจะตัวหนักเพียงใดยายก็อุ้มเจ้าไหว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้ก็เดินตามเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินยิ้มเข้ามาทักทายฮูหยินโจวเซี่ยว “ฮูหยินใหญ่ ไม่ได้พบกันสี่ปีท่านยังดูดีเช่นแต่ก่อนเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินโจวเซี่ยวเพิ่งจะเห็นพวกเขา อุ้มหงเอ๋อร์กำลังจะคารวะหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนยกมือขึ้นห้ามนางไว้ “ฮูหยินใหญ่ มิต้องมากพิธี”
ฮูหยินโจวเซี่ยวพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านก็มาด้วย เร็ว เชิญเข้ามาเร็วเข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินเข้าไป
ฮูหยินโจวเซี่ยวอุ้มหงเอ๋อร์ไว้ด้านข้าง โจวอิ๋งกับเมิ่งอี้เดินตามหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวพลางยิ้มพลางพูดว่า “ข้ามาถึงเมืองหลวงตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว คิดตลอดว่าจะมาคารวะท่านราชครู แต่งานยุ่งเหลือเกิน จึงหาเวลามาไม่ได้เสียที วันพี่รองกับพี่สะใภ้มาบ้านพอดีข้าจึงตามมา หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนพวกท่าน”
ข่าวของเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนนั้นแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ฮูหยินโจวเซี่ยวก็ได้ยินเช่นกัน ตอนนี้พอได้ฟังนางพูดเช่นนั้นจึงรีบบอกว่า “พวกเราก็ได้ข่าวว่าท่านกลับมาเมืองหลวงแล้ว คิดจะไปพบท่านเช่นกัน แต่ก็ไม่ทราบว่าท่านพักอยู่ที่ใด จึงมิได้ไปเสียที เมื่อวานนายท่านยังบอกท่านพี่ว่าหากมียามว่างก็ให้ไปถามซื่อจื่อว่าท่านพักอยู่ที่ใด ก็บังเอิญว่าท่านมาวันนี้พอดี”
ทั้งสองคนทักทายปราศรัยกันจนมาถึงเรือนของท่านราชครู
ตอนที่ 32-2 ไปคารวะท่านราชครู
ท่านราชครูกับภรรยาทั้งสองคนก็ได้รับการรายงานจากคนรับใช้แล้วว่าโจวอี้กลับมาแล้ว แม้จะไม่ได้วิ่งออกไปรับถึงหน้าประตูบ้านเหมือนฮูหยินโจวเซี่ยว แต่ก็ยืนรอที่หน้าเรือนรอพวกเขาด้วยความร้อนรน
เห็นท่านราชครูกับภรรยายืนรอจากที่ไกลๆ โจวอิ๋งรีบเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง เป็นภาพที่หน้าประทับใจแก่ผู้พบเห็น
จวบจนกระทั่งพวกนางสงบอารมณ์ได้ หวงฝู่อี้เซวียนจึงก้าวเดินเข้าไปคารวะท่านราชครูด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์”
ท่านราชครูพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยอบตัวลงคารวะ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่พบกันสี่ปี ท่านอาจารย์ยังคงแข็งแรงเช่นเดิม”
ท่านราชครูลูบเครา หัวเราะฮ่าฮ่าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่พบกันสี่ปี แม่นางเมิ่งโตขึ้นเป็นแม่นางใหญ่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างแก่นซนว่า “ท่านราชครูกล่าวเกรงใจไปแล้ว ท่านควรจะบอกว่าข้าเป็นแม่นางแก่แล้วมากกว่า”
ท่านราชครูจึงหัวเราะขึ้นอย่างเบิกบานใจ
หลังจากที่สนทนาปราศรัยกันแล้วฮูหยินของท่านราชครู ฮูหยินโจวเซี่ยวกับโจวอิ๋งที่อุ้มหงเอ๋อร์ก็เข้าไปสนทนากันภายในเรือนของฮูหยินท่านราชครู ส่วนท่านราชครูพาเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งอี้ไปยังเรือนรับรอง
หลังจากที่สั่งให้คนรับใช้ชงชาเสร็จแล้วท่านราชครูก็เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องของซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งข้าก็พอจะได้ข่าวคราวอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าพวกเจ้าคิดจะทำเช่นไรต่อไป?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร ยิ้มพร้อมกับมองหน้าหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งเก้าอี้ตัวตรง ตอบด้วยความเคารพว่า “ไม่ปิดบังท่านอาจารย์ ข้ากำลังคิดหาวิธียกเลิกการแต่งงานอยู่”
ท่านราชครูพยักหน้า “ข้าทราบแต่แรกแล้วว่าพวกเจ้าต้องทำเช่นนี้ แต่ว่าด้วยสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ เกรงว่าเรื่องยกเลิกงานแต่งนั้นจะมิใช่เรื่องง่าย”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก
ท่านราชครูเอ่ยต่อว่า “การแต่งงานของเจ้ากับคุณหนูจวนราขเลขานั้นกำหนดขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเจ้ายังไม่เกิด บัดนี้พวกเจ้าเติบโตพอที่จะแต่งงานงานกันได้แล้ว แต่เจ้ากลับคิดจะยกเลิกการแต่งงาน เรื่องนี้สำหรับคุณหนูจวนราขเลขาแล้วมันเป็นความอัปยศถึงชีวิต แค่เพียงคำติฉินนินทาจากคนในเมืองหลวงก็เพียงพอที่จะกดดันให้นางถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นเจ้าจงจัดการเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังที่สุด ทางที่ดีการยกเลิกงานแต่งต้องอย่าให้ทำร้ายผู้ใดได้ แล้วค่อยจัดงานแต่งงานของเจ้ากับแม่นางเมิ่ง ถ้าขืนเจ้ายกเลิกงานแต่งนี้โดยไม่ยอมอ่อนข้อก็รังแต่จะทำให้มีปัญหากับจวนราขเลขา ซึ่งต่อไปเมื่อเจ้าเข้าไปในราชสำนักก็จะมีแต่ผลเสียไม่มีผลดีแม้แต่น้อย”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้ารับคำสั่งสอน “จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ขอรับ ข้ากับโยวเอ๋อร์จะต้องหาวิธีที่เหมาะสมที่สุด ยกเลิกงานแต่งงานอย่างรอบคอบ”
ท่านราชครูพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “สี่ปีก่อน หลังจากที่ข้าได้พบกับแม่นางเมิ่งก็ทราบว่าเจ้ามิใช่คนธรรมดา ฉลาดหลักแหลมเหนือผู้ใด คนทั่วไปมิอาจเทียบได้ ฉะนั้นเรื่องนี้แม่นางเมิ่งอย่าใจร้อนเกินควร ให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะได้ไม่มีภัยอันตรายซ่อนอยู่ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตอบรับด้วยความเคารพว่า “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ชี้แนะเจ้าค่ะ”
ท่านราชครูลูบเครา หัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ที่ข้ากำชับพวกเจ้าเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำเพื่อพวกเจ้าเท่านั้น และก็ทำเพื่อตัวข้าเองเช่นกัน ตั้งแต่สี่ปีก่อนที่ข้าเป็นอาจารย์ให้ซื่อจื่อพวกเราก็ได้ผูกชีวิตไว้ด้วยกันแล้ว ยามเจริญก็เจริญเช่นกัน ยามสูญเสียก็สูญเสียเช่นกัน ข้าจึงไม่อยากให้พวกเจ้ามีปัญหา อีกทั้งยังหวังว่าตัวเองจะใช้ชีวิตเกษียณอย่างปลอดภัย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์โปรดวางใจเจ้าค่ะ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำอะไร เมื่อใดที่อี้เซวียนยกเลิกการแต่งงานกับคุณหนูจวนราขเลขาได้แล้วค่อยมาคุยกันเรื่องงานแต่งของเรา”
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าจะรอข่าวดีจากพวกเจ้า ถ้าหากมีสิ่งใดที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือก็ส่งคนมาบอกข้า ข้าจะช่วยพวกเจ้าจนสำเร็จ” ท่านราชครูกล่าว
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขอบคุณพร้อมกัน “ขอบพระคุณท่านอาจารย์”
ท่านราชครูโบกมือแล้วหันไปมองเมิ่งอี้พร้อมกับพูดว่า “อิ๋งเอ๋อร์กล่าวในจดหมายว่าเจ้ามักจะออกไปทำการค้าข้างนอก เมื่อออกไปข้างนอกจงระมัดระวังตัวเองให้ปลอดภัยล่ะ”
เมิ่งอี้ตอบด้วยความนอบน้อมว่า “ขอบพระคุณท่านปู่ ข้าเพียงแต่ช่วยน้องโยวเอ๋อร์ดูแลร้านค้าเล็กๆ ใหม่เท่านั้น รอให้พวกเขาทำอะไรเข้าที่แล้วข้าก็กลับ ไม่มีอันใดที่อันตรายขอรับ”
ท่านราชครูพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย “ท่าอาจารย์ไม่ต้องกังวลเรื่องพี่รองเลยเจ้าค่ะ ข้าซื้อร้านเล็กๆ ตรงข้ามเหลาจวี้เสียนไว้เพื่อเตรียมเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่ง ต่อไปพี่รองก็จะเป็นเจ้าของร้าน ข้าจะไม่ให้เขาไปที่ใดสักพัก”
ท่านราชครูได้ยินดังนั้นก็ยินดียิ่งนัก “ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าต่อไปครอบครัวของอิ๋งเอ๋อร์ก็จะพักอยู่ที่เมืองหลวงได้บ่อยเช่นนั้นหรือ?”
“เพียงแค่สักพักเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรตอนนี้พี่รองก็ต้องดูแลร้านสาขาอื่นทั้งหมดอยู่ เขามิอาจมาพักอยู่ที่เมืองหลวงได้บ่อยๆ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
แม้ท่านราชครูจะค่อนข้างผิดหวัง แต่พอนึกได้ว่าต่อไปโจวอิ๋งจะอยู่ที่เมืองหลวงได้นานสักพักก็รู้สึกดีใจขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “เพียงแค่ต่อไปอิ๋งเอ๋อร์ได้กลับมาพักอยู่ที่เมืองหลวงสักระยะได้ทุกปีพวกเราก็พอใจแล้ว”
“เรื่องนี้มิใช่ปัญหาเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “ต่อไปบางครั้งบางคราวพวกเราก็จะมีขบวนรถม้ามาส่งสินค้า หากยามใดที่ท่านคิดถึงพี่สะใภ้อิ๋งเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์ ก็จะให้พวกเขามาพร้อมกับขบวนรถม้าส่งสินค้าเจ้าค่ะ”
ท่านราชครูพยักหน้าหงึกหงักด้วยความยินดี เอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้นก็ประเสริฐแล้ว เป็นเช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่งนัก”
ท่านราชครูมีสีหน้าเคร่งขรึมมาตลอด มักจะเก็บความรู้สึกไว้ น้อยนักที่จะเห็นว่ามีอาการตื่นเต้นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าสี่ปีมานี้พวกเขาคิดถึงโจวอิ๋งมากเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน
ท่านราชครูก็หันหน้าไปพูดกับเมิ่งอี้อีกครั้ง “ในเมื่อต่อไปพวกเจ้าจะต้องมาพักอยู่ในเมืองหลวงบ่อยๆ ก็ย้ายมาพักอยู่ในเรือนนี้เถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปเก็บกวาดห้องไว้ให้”
เมิ่งอี้ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ท่านปู่ น้องโยวเอ๋อร์ได้ตระเตรียมที่พักไว้ให้พวกเราแล้ว เราพักอยู่กับนางดีกว่าขอรับ ไม่รบกวนพวกท่านดีกว่า”
โจวอิ๋งไม่ได้กลับบ้านเดิมมาสี่ปีแล้ว วันนี้ได้กลับมาทั้งที มีหรือที่ท่านราชครูจะยอมให้นางไปพักอยู่ที่อื่น จึงตัดสินใจในทันที “ที่นี่เป็นบ้านเดิมของอิ๋งเอ๋อร์ มีที่ไหนเมื่อกลับมาแล้วให้ไปพักที่บ้านอื่น เรื่องนี้เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะสั่งคนให้ไปเก็บกวาดห้องให้พวกเจ้า”
เมิ่งอี้มิกล้าโต้แย้ง จึงชายตามองเมิ่งเชี่ยนโยวราวกับว่ากำลังต้องการความช่วยเหลือ
เมิ่งเชี่ยนโยวทราบดีว่าเขามักจะคิดว่าตัวเองนั้นเด็ดดอกฟ้าอย่างโจวอิ๋ง จึงรู้สึกละอายใจ หากพักอยู่ที่นี่จะรู้สึกไม่สบายใจนัก จึงพูดคลี่คลายขึ้น “ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่เมิ่งอี้กับพี่สะใภ้อิ๋งเอ๋อร์กลับบ้านเดิม คืนนี้ต้องพักอยู่ที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พอร้านบะหมี่มันฝรั่งเปิดกิจการแล้วกิจการงานต่างๆ ก็จะยุ่งขึ้นมาก พี่เมิ่งอี้ก็จะกลับบ้านไม่เป็นเวลา หากเขาพักอยู่ที่นี่อาจจะรบกวนพวกท่านอย่างเลี่ยงไม่ได้ ให้เขาพักอยู่ที่บ้านข้าดีกว่าเจ้าค่ะ ส่วนพี่สะใภ้อิ๋งเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์นั้นจะให้พวกเขาพักอยู่ที่ไหนก็ได้”
นางพูดอย่างมีเหตุมีผล ท่านราชครูจึงพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ให้อี้เอ๋อร์พักอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน เมื่อร้านของพวกเจ้าเปิดแล้วค่อยให้เขาย้ายไป”
เมิ่งอี้ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ลอบยิ้มอยู่ในใจ
ส่วนอีกห้องทั้งสามคนก็สนทนากันอย่างมีความสุข มีเสียงหัวเราะเล็กๆ ของหงเอ๋อร์กับผู้ใหญ่ทั้งสามคนดังออกมาเป็นระยะ
บรรยากาศภายในบ้านไม่ได้ครึกครื้นเช่นนี้มานานมากแล้ว ท่านราชครูเองก็ดีใจอย่างยิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้พวกเจ้าไม่ต้องกลับแล้ว ทานมื้อเย็นอยู่ที่นี่เถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกปัด “ที่บ้านยังมีแขกอีกเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวเราก็กลับไปแล้ว วันนี้มีเวลาฉุกละหุกเหลือเกิน รอวันหน้าเมื่อมีโอกาสพวกเราค่อยมาคุยกันกับท่านอาจารย์ให้สำราญใจอีก”
ท่านราชครูพยักหน้า ทุกคนต่างก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา
ท่านราชครูจึงให้คนไปบอกกับทั้งสามคนที่อยู่ภายในห้อง
ฮูหยินท่านราชครูกับฮูหยินโจวเซี่ยวจึงเดินออกมาจับแขนของนางพร้อมกับกล่าวขอโทษขอโพย เมื่ออิ๋งเอ๋อร์กลับมาแล้วพวกนางก็มัวแต่ดีใจจนละเลยนาง แล้วก็รั้งนางไว้อย่างกระตือรือร้น
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปฏิเสธที่พวกนางรั้งให้อยู่ต่ออย่างนุ่มนวลเช่นเดิม กล่าวเกรงใจอย่างนอบน้อมอีกหลายประโยค แล้วทุกคนก็เดินออกมาส่งนางกับหวงฝู่อี้เซวียนด้วยตัวเอง
หยุดฝีเท้าแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยขึ้นว่า “พี่เมิ่งอี้ พี่สะใภ้ พวกท่านพักอยู่ที่บ้านนี้อย่างสบายใจเถิดเจ้าค่ะ เมื่อเปิดกิจการร้านค้าแล้วข้าจะให้คนมาบอกพวกท่านอีกครั้ง”
ด้านเมิ่งอี้นั้นยังดี ส่วนด้านโจวอิ๋งนั้นพยักหน้าด้วยความแปลกใจระคนยินดี
หลังจากที่ทั้งสองคนกล่าวอำลาทุกคนด้วยความเคารพแล้วก็ขึ้นรถม้ากลับบ้านของตนเอง
ซุนเหลียงไฉยังไม่ได้กลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวแหงนมองท้องฟ้าแล้วถามว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะอยู่ทานมื้อเย็นด้วยไหมแล้วก็เดินเข้าเรือนครัว ลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง
หวงฝู่อี้เซวียนเรียกหวงฝูอี้มา แล้วบอกให้เขาไปส่งข่าวที่จวนอ๋องฉีว่ามีเพื่อนมาจากเมืองชิงซี เย็นนี้เขาไม่กลับไปรับมื้อเย็นกับอ๋องฉีสองสามีภรรยาแล้ว
หวงฝู่อี้รับคำแล้วขึ้นม้าควบตะบึงกลับไปรายงานที่จวนอ๋องฉี
หวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาเป็นลูกมือในเรือนครัวเล็ก
พอเด็กรับใช้ที่อยู่ในเรือนครัวเล็กเห็นเขาเดินเข้ามาในเรือนครัวก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ เหลือบมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งนางว่า “ที่นี่เจ้าไม่ต้องมาช่วยแล้ว เจ้าไปช่วยในเรือนครัวเรือนใหญ่เถอะ”
หลังจากที่เด็กรับใช้รับคำสั่งแลวก็ค่อยๆ เดินออกไปจากเรือนครัวเล็ก
อาหารยังทำไม่เสร็จซุนเหลียงไฉก็กลับมาแล้ว พอเดินเข้ามาในบ้านแล้วได้กลิ่นหอมของอาหารโชยมาก็เดินตรงเข้าไปในเรือนครัวเล็กทันที พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “หอมจัง ข้าไม่ได้ทานอาหารที่มีกลิ่นหอมขนาดนี้มานานแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าดีต่อข้าที่สุดเลย”
—————————-
ตอนที่ 33-1 การอวยพรช่างครึกครื้นจริงๆ
หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังใช้มือเติมฟืนใส่ในเตาพลันชะงัก จากนั้นสะบัดมือขึ้น เศษกิ่งไม้กิ่งเล็กๆ ก็ลอยละลิ่วไปหาซุนเหลียงไฉ
ซุนเหลียงไฉกำลังจะก้าวเท้าหลังจะเข้าไปในเรือนครัว จู่ๆ ก็มีวัตถุประหลาดลอยเข้ามาปะทะหน้า ตกใจจนรีบถอยหลังออกห่างจากเรือนครัวไปหลายก้าว
กิ่งไม้เล็กๆ ลอยไปปะทะหน้าประตูเสียงดัง “เปรี้ยง”
ซุนเหลียงไฉร้องเสียงหลงขึ้น “ใครกันที่บังอาจมาลอบโจมตีคุณชาย โผล่หน้าออกมา!”
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งนิ่ง แล้วก็ใส่เศษกิ่งไม้เข้าไปในเตาอีกหลายกิ่ง เอ่ยพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “ครั้งนี้เป็นแค่การเตือน หากครั้งหน้าข้าได้ยินเจ้าพูดจาคลุมเครือเช่นนี้อีกละก็ ข้าจะเย็บปากเจ้า จนเจ้าจะอ้าปากไม่ได้อีกตลอดกาล”
ซุนเหลียงไฉรีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตนอย่างลนลาน ค่อยๆ เดินมาหน้าประตูเรือนครัวด้วยความระมัดระวัง แล้วยื่นหน้าเข้าไปมองข้างในอย่างไม่อยากจะเชื่อ พอเห็นว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียนจริงๆ ก็กรีดร้องออกมา “โอ้ เจ้าเป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องแต่กลับมาช่วยคุมไฟในเรือนครัว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าคงกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วทั้งเมืองหลวง”
เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจสั่งสอนเขา เอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “เจ้าพูดไม่ผิด อันที่จริงด้วยฐานะของอี้เซวียนไม่เหมาะนักที่จะมาช่วยคุมไฟ ถ้าเช่นนั้นรบกวนคุณชายซุนเข้ามาช่วยนะเจ้าคะ”
ซุนเหลียงไฉยังไม่รู้ตัว ถามขึ้นอย่างโง่งมว่า “ช่วยอะไร? ข้าทำอาหารไม่เป็นนะ”
“ไม่ได้ให้เจ้าทำอาหารอยู่แล้ว เจ้ามาช่วยคุมไฟก็พอแล้ว”
“อะไรนะ?” ซุนเหลียงไฉกรีดร้องขึ้นอีกครา ชี้ที่จมูกของตัวเองแล้วถามขึ้นว่า “ให้ข้าช่วยเจ้าคุมไฟหรือ เจ้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถามเสียงเ**้ยม “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ซุนเหลียงไฉเดินถอยหลังหลายก้าวอีกครั้ง สั่นศีรษะรัวๆ “ข้าเป็นถึงคุณชายตระกูลซุน จะทำงานกุลีเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะ จงใจข่มขู่เขาอีกว่า “เดิมทีข้าคิดจะทำกับข้าวสี่อย่างกับน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง ในเมื่อเจ้าไม่ยอมคุมไฟให้ เช่นนั้นข้าก็ทำกับข้าวอย่างเดียวก็พอ ถึงอย่างไรกระเพาะของข้ากับอี้เซวียนก็ไม่ได้ใหญ่อะไร กินแก้ขัดไปก่อนก็พอจะอิ่มได้”
ซุนเหลียงไฉกระวนกระวายใจในบัดดล “เจ้ามีน้ำใจหรือไม่ ข้ารอนแรมมาจากเมืองชิงซีตั้งไกลเพื่อมาหาเจ้าโดยเฉพาะ เจ้ากลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้หรือ?”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าจะมีน้ำใจหรือไม่ ในเมื่อฐานะของอี้เซวียนไม่เหมาะที่จะมาคุมไฟ ตัวข้าเองก็ไม่อาจที่จะทำกับข้าวไปพลาง คุมไฟไปพลาง จึงต้องให้เจ้ามาช่วยอย่างไรเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
ซุนเหลียงไฉลนลานรีบกลับคำพูด “ได้ๆๆ เขาคุมไฟได้สิ ถึงอย่างไรในภายหน้าพวกเจ้าก็ต้องออกเรือนด้วยกัน พวกเจ้าเป็นดั่งภรรยาร้องรำสามีทำตามเช่นนี้ก็ดีแล้ว ดีมากแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผลอยิ้ม
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็อ่อนโยนขึ้นเป็นกอง
พอซุนเหลียงรู้สึกได้ว่าไอพลังที่หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยออกมานั้นอ่อนโยนขึ้นก็ถอนหายใจโล่งอก ลอบคิดในใจว่า โชคดีที่ตนนั้นฉลาดหลักแหลมที่คิดคำพูดเหล่านี้ขึ้นมาได้ ไม่เช่นนั้นวันนี้คงได้ถูกบังคับให้คุมไฟจริงๆ แล้ว
เดิมทีเมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะแกล้งเขาเล่นเท่านั้น นางยิ้มพลางส่ายหน้าแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก
ซุนเหลียงไฉทนไม่ไหวกับกลิ่นหอมยั่วยวนของอาหาร จึงคิดที่จะชะเง้อคอออกไปดูว่าเมิ่งเชี่ยนโยวทำกับข้าวอะไรกันแน่ แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ระวังจนทำให้นางโมโหขึ้นมาอีก แล้วให้ตัวเองต้องคุมไฟ ดังนั้นจึงรู้สึกสับสนไม่น้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้สนใจเขา นางตั้งใจทำกับข้าวไปเรื่อยๆ
ซุนเหลียงไฉค่อยๆ ย่องทีละก้าวเข้าไปหากับข้าวที่ทำเสร็จแล้ว พอเห็นว่าทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเองโปรดปรานก็รู้สึกดีใจราวกับในใจมีดอกไม้บานสะพรั่ง แอบคิดในใจว่า เจ้าบ้านี่ปากแข็งแต่ใจอ่อน ความจริงแล้วยังใส่ใจตัวเองอยู่ หากไม่เช่นนั้นก็คงไม่ทำกับข้าวที่ตัวเองชื่นชอบทั้งหมดหรอก
ไม่นานนักเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำกับข้าวสี่กับน้ำแกงอีกหนึ่งอย่างเสร็จ คราวนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางต้องสั่ง ซุนเหลียงไฉที่เฝ้าอยูในเรือนครัวตลอดเวลาก็ยกอาหารไปไว้ในห้องอาหารด้วยความสมัครใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนล้างมือเรียบร้อยแล้วก็เดินตามเข้าไป
ทุกคนนั่งลงแล้วก็หยิบตะเกียบขึ้นมาทานอาหารกันโดยไม่รู้สึกเกรงอกเกรงใจ
เป็นเพราะว่าเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสอนมาหลายปี ถึงแม้ว่าจะเป็นกับข้าวของโปรดของตน ซุนเหลียงไฉก็ไม่ได้เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานอย่างไร้มารยาทเช่นแต่ก่อน หากแต่ทานกับข้าวของโปรดที่อยู่ตรงหน้าของตนเองอย่างมีมารยาทไม่ช้าไม่เร็ว
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว จึงสั่งให้สาวใช้มาเก็บสำรับไป จากนั้นก็ชงชาแล้วทุกคนก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย
ซุนเหลียงไฉกับหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พบกันมาสี่ปีแล้ว จึงมีเรื่องพูดคุยกันหลายเรื่องเป็นธรรมดา
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งข้างๆ ฟังพวกเขาคุยกันเงียบๆ
ซุนเหลียงไฉเอ่ย “กิจการที่สำคัญทั้งหมดของตระกูลท่านปู่ได้มอบหมายให้ข้าหมดแล้ว ในแต่ละวันตัวท่านเองมักจะชวนเพื่อนเก่ามาดื่มน้ำชา สนทนาปราศรัยกันทุกวัน ส่วนท่านพ่อข้าก็ไม่ค่อยได้ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายแล้ว บางทีก็มาช่วยข้าตรวจตราร้านค้าบ้างเป็นครั้งเป็นคราว ท่านทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่การตรวจบัญชีนั้นทำได้ดี โดยเฉพาะตอนสิ้นปี โชคดีที่มีท่านคอยช่วย ส่วนข้านั้น…” พูดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะแฮ่ๆ “ปีที่แล้วข้าออกเรือนแล้ว ภรรยาเป็นหลานสาวของเพื่อนเก่าท่านปู่ พวกเราเข้ากันได้ดี หลังจากออกเรือนแล้วก็มีความสุขมาก” พอพูดมาถึงตรงนี้ก็ชายตามองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง แล้วก็ขยับเข้าไปใกล้หวงฝู่อี้เซวียน กดเสียงต่ำแล้วเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุขว่า “ภรรยาข้าตั้งครรภ์แล้ว พอสิ้นปีนี้ไปข้าก็จะได้เป็นพ่อแล้ว”
หลังจากพูดจบก็นั่งตัวตรง ยิ้มกริ่ม ความสุขที่ปรากฏบนใบหน้าไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นเลย
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาด้วยความแปลกใจ
ซุนเหลียงไฉกล่าวว่า “มองข้าทำไมหรือ ปีนี้ข้าก็อายุสิบเก้าแล้ว คนอื่นเขามีลูกกันสองสามคนแล้ว ข้าเพิ่งจะมีคนเดียว ท่านปู่กับท่านพ่อข้าเร่งรัดเราสองคนเรื่องลูกจนเราเกือบจะแย่ ในที่สุดตอนนี้ก็มีจนได้”
หวงฝู่อี้เซวียนมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เรื่องที่ซุนเหลียงไฉออกเรือนนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวทราบอยู่แล้ว แล้วก็ทราบอีกว่านักบุญซุนร้อนใจเรื่องที่สองสามีภรรยานั้นไม่มีบุตรเสียที ตอนนี้ได้ยินซุนเหลียงไฉพูดเช่นนี้จึงดีใจแทนเขาเป็นธรรมดา เอ่ยถามขึ้นว่า “คราวนี้นักบุญซุนคงดีใจแย่แล้วกระมัง?”
ซุนเหลียงไฉก็ไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่แล้ว เวลานี้ท่านปู่ข้ามีความสุขจนไม่ยอมหยุดพูด แม้แต่ไปดื่มน้ำชากับเพื่อนเก่าก็เดินคล่องปร๋อขึ้นมาก ยังมีท่านพ่อข้าอีก ตอนนี้พอเห็นอะไรที่น่าสนุกก็ซื้อกลับมาบ้านหมด บอกว่าซื้อมาให้หลานคนโต”
หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนหายตกใจแล้วก็รู้สึกดีใจกับเขาด้วย เอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้าด้วย รอเจ้าตัวน้อยคลอดออกมาแล้วข้าจะเตรียมของกำนัลชิ้นใหญ่ไว้ให้”
ซุนเหลียงไฉพยักหน้า ทำท่าทางราวกับว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น “ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว จำเป็นอย่างมาก ขาดเจ้าไปไม่ได้แน่นอน”
เห็นท่าทางเขาที่ดูไม่เกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะหึหึ
ซุนเหลียงไฉมองนางแล้วก็ยิ้มแหยๆ บนใบหน้ามีแววเกรงใจปรากฏอยู่ เอ่ยขึ้นว่า “ดังนั้นที่ข้ามาเหมืองหลวงในคราวนี้ นอกจากจะมาเยี่ยมเจ้ากับตรวจตราร้านที่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่จะขอร้องเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างกลับอย่างจริงใจ “บอกมาเถอะว่าเรื่องอะไร?”
ซุนเหลียงไฉยิ่งรู้สึกเกรงใจมากขึ้น นวดศีรษะแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อข้ากลับไปคราวนี้แล้วก็จะไม่ได้กลับมาเมืองหลวงอีกนานเลย จึงต้องขอร้องให้เจ้าช่วยดูแลร้านค้าของตระกูลเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจทันที ทว่าจงใจชักสีหน้าแกล้งเขา “ข้าก็ว่าทำไมเจ้าถึงได้มีน้ำใจมาเยี่ยมข้าถึงเมืองหลวงได้ ที่ไหนได้เจ้ามีแผนอยู่นี่เอง”
ซุนเหลียงไฉรีบแก้ต่างเป็นพัลวัน “มิใช่เช่นนั้น มิใช่เช่นนั้น เป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ ถึงได้มา แล้วก็ถือโอกาสมาตรวจตราร้านค้า ส่วนที่จะให้เจ้าช่วยดูแลนั้นก็เพิ่งฉุกคิดได้เดี๋ยวนี้เอง…” พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มแหยๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ก็ข้าจะได้เป็นพ่อแล้ว อีกอย่าง ในภายหน้าลูกข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่าท่านน้า เห็นแก่เด็กเจ้าจะช่วยดูแลให้ใช่ไหม”
ลูกยังอยู่ในท้องของภรรยาเขา แต่เขากลับเอามาเป็นข้ออ้างได้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับความหน้าด้านของเขา ถามขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าในปีนั้นที่ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ ไม่ได้สอนให้เจ้าหน้าด้านเช่นนี้นี่นา”
ซุนเหลียงไฉไม่โกรธ แต่กลับพูดขึ้นอย่างลำพองใจว่า “อย่างข้าเรียกว่าเก่งด้วยตัวเองโดยไร้อาจารย์”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวอย่างเสียกริยา
ซุนเหลียงไฉหัวเราะเสียงดังลั่น
ตอนที่ 33-2 การอวยพรช่างครึกครื้นจริงๆ
ผ่านไปหลายวัน ซุนเหลียงไฉจะเข้าไปตรวจตรากิจการการค้าทุกวัน เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งอี้เตรียมที่จะเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่ง
ตอนที่เมิ่งอี้มาจากบ้านเดิม พาสารถีมาไม่กี่คนเท่านั้น คนที่รู้งานก็ไม่ได้เอามาแม้แต่คนเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวไตร่ตรองดูแล้ว ก็ไปซื้อตัวแม่นางน้อยสามคนมาจากเมืองเหนือ เมิ่งอี้ต้องเดินทางจากบ้านตระกูลโจวมาสอนพวกนาง หากวันไหนเสร็จเร็วก็กลับบ้านตระกูลโจว หากวันไหนเสร็จช้าก็ส่งคนไปแจ้งกับบ้านตระกูลโจว ตัวเองนั้นไม่กลับไปด้วย ส่วนคนที่ทำหน้าที่ส่งอาหารก็มอบให้จิงเว่ยเป็นผู้ทำหน้าที่นั้น
หลังจากที่ฝึกสอนได้หลายวัน แม่นางน้อยทั้งสามก็รู้วิธีปรุงบะหมี่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็สอนให้แม่ครัวทำน้ำแกงกระดูกได้ เมิ่งอี้กลับบ้านตระกูลโจวให้ท่านราชครูเลือกวันมงคลให้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้คนไปส่งข่าวให้เหวินซื่อทราบ ทุกอย่างตระเตรียมไว้พร้อมเสร็จสรรพ ทุกคนต่างก็เฝ้ารอให้มีวันนี้
ท่านราชครูเลือกวันที่ไม่ไกล ซึ่งไม่นานวันนั้นก็มาถึงแล้ว
เช้าตรู่ ทุกคนในบ้านต่างก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ทานอาหารเช้า เก็บของอะไรเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็นั่งรถม้าไปที่หน้าร้าน เว้นแต่ครอบครัวของแม่ครัวสามคนกับสาวใช้สามคน
ทุกคนลงจากรถม้า เมิ่งอี้เดินนำหน้า หยิบกุญแจออกมาเปิดประตูร้าน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปก่อน แล้วเมิ่งอี้ก็เดินตาม และคนอื่นๆ ก็เดินตามเข้ามา
กัวเฟยสั่งให้สารถีเอารถม้าไปไว้ด้านหลังร้าน แล้วชี้สั่งงานให้คนขนของที่จำเป็นทุกอย่างออกจากรถม้าเข้าไปไว้ในห้องครัว
ส่วนเมิ่งอี้ชี้สั่งงานคนที่อยู่ด้านหน้าให้จัดการเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ในร้านให้สะอาด
คนจากร้านอื่นๆ ที่อยู่ละแวกนั้นเห็นว่าร้านนี้เปิดกิจการได้เสียที บ้างก็เกิดความสงสัย ต่างก็มามุงดูกันทั้งนั้น
หลายปีมานี้เมิ่งอี้เป็นผู้รับผิดชอบการเปิดกิจการร้านค้าของแต่ละที่ จึงคุ้นเคยกับขั้นตอนต่างๆ เป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้วก็คิดจะสั่งให้คนไปปรุงบะหมี่มาหลายๆ ชาม ซึ่งทำเหมือนทุกครั้งที่เปิดกิจการใหม่ ที่มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่หน้าร้าน ให้คนที่มามุงดูได้ชิมโดยไม่เสียเงิน
ยังไม่ได้สั่งก็มีคนถือของกำนัลมาเคาะประตูร้านเสียแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินว่ามีคนมา จึงเดินออกไปดูจากที่ไกลๆ พอเห็นว่าเป็นเหวินซื่อกับภรรยาก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ พร้อมกับกล่าวด้วยไมตรีจิตว่า “เถ้าแก่เหวิน พี่สะใภ้พวกท่านมาแล้ว”
เหวินซื่อยกมือขึ้น ทุกคนที่กำลังส่งเสียงดังจอแจอยู่ก็เงียบลงทันที
เหวินซื่อหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ กล่าวเสียงดังว่า “เหวินซื่อจากร้านยาเต๋อเหรินขอแสดงความยินดีกับแม่นางเมิ่งขอให้กิจการร้านบะหมี่มันฝรั่งเจริญรุ่งเรืองสืบไป”
เขาพูดจบก็ทำให้คนที่มามุงดูกับเถ้าแก่ละแวกนั้นต่างก็รู้สึกสงสัย ต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ ว่าแม่นางผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ถึงทำให้เถ้าแก่จากร้านยาเต๋อเหรินมาอวยพรอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าที่เขามาอวยพรตัวเองนั้นก็เพื่อจงใจทำให้คนเห็น จึงตอบทันทีว่า “ขอบคุณเถ้าแก่เหวินที่มาอวยพรเจ้าค่ะ เชิญท่านกับพี่สะใภ้เข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”
เหวินซื่อพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน
เมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือฮูหยินเหวินตามเข้าไปข้างในด้วยความกระตือรือร้น
ทุกคนเพิ่งจะเดินเข้าไปไม่นาน ก็มีแขกที่ถือของกำนัลมาเคาะประตูหน้าร้านอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้เหวินเปียวต้อนรับดูแลเหวินซื่อกับภรรยา ส่วนตัวเองนั้นเดินออกไปดู กลับเห็นเป็นโจวเซี่ยวที่ใส่ชุดขุนนางนั่นเอง พร้อมทั้งมีคนถือของกำนัลเดินตามมาด้วย รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบเดินออกไปหา
โจวเซี่ยวส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกให้คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่เงียบลงเช่นเดียวกับเหวินซื่อ จากนั้นยกมือสองข้างขึ้นคำนับแล้วกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า “ขอแสดงความยินดีกับแม่นางเมิ่ง ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง”
พอเห็นโจวเซี่ยวที่ใส่ชุดขุนนาง ผู้คนรอบๆ ก็ส่งเสียงดังอื้ออึงอีกครา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คำนับโจวเซี่ยวแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์โจวมีงานยุ่งถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังมาอวยพรให้ข้าอีก เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้เจ้าค่ะ”
โจวเซี่ยวหัวเราะเสียงดัง ยกมือช้อนนางขึ้นโดยที่ไม่ได้แตะตัวนาง จากนั้นพูดเสียงปกติว่า “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มิจำเป็นต้องเกรงใจถึงเพียงนี้”
ทุกคนรอบๆ ต่างก็อ้าปากค้าง
เมิ่งอี้รีบวิ่งออกมาจากในร้าน แล้วพูดกับโจวเซี่ยวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านพ่อตา เชิญด้านในขอรับ”
โจวเซี่ยวพยักหน้า แล้วเดินตามเมิ่งอี้เข้าไปข้างใน พอเห็นเหวินซื่อและภรรยาก็เข้าไปทักทาย
แม่นางผู้หนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่สามารถทำให้เถ้าแก่จากร้านยาเต๋อเหรินกับขุนนางมาร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเองได้ ทุกคนต่างก็รู้สึกสงสัย ต่างก็กระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์กันให้วุ่น
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนเหล่านั้น กำลังจะเดินเข้าไปทักทายผู้ที่อยู่ด้านใน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งถือของกำนัลเดินเข้ามา แม้ไม่ได้ตีฆ้องร้องป่าว แต่ของกำนัลที่เอามานั้นมีไม่น้อย ซึ่งผู้ที่เดินนำขบวนมาก็คือซุนเหลียงไฉ
ซุนเหลียงไฉเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วยกมือขึ้นคำนับด้วยท่าทีเป็นงานเป็นการ แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสนิทสนมว่า “ซุนเหลียงไฉจากร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงแห่งเมืองหลวงขอแสดงความยินดีเนื่องในวันเปิดกิจการ”
ช่วงนี้นางเอาแต่วุ่นเรื่องเตรียมเปิดกิจการน้านบะหมี่อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จริงๆ ว่าระยะนี้ซุนเหลียงไฉกำลังทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เวลานี้เห็นเขาช่วยเอาหน้าให้ตัวเองเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่ทว่าไม่นานก็รู้สึกตัว นางยิ้มพร้อมกับคำนับกลับ “ขอบคุณเถ้าแก่ซุนที่มาร่วมอวยพร เชิญเข้าไปนั่งด้านในก่อน”
ซุนเหลียงไฉพยักหน้า ยกมือขึ้นบอกให้ลูกน้องนำของกำนัลตามเข้าไป ส่วนตัวเองนั้นฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ได้สนใจลอบขยิบตาให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำ แล้วเชิญเขาเข้าไปด้านในอย่างมีมารยาท
บรรดาผู้คนที่ล้อมมุงดูอยู่เริ่มส่งเสียงดังอึกทึกกัน ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงเป็นร้านแพรไหมที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง บรรดาฮูหยินและคุณหนูทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ไปตัดเย็บอาภรณ์ที่นั่นกันทั้งนั้น ขอเพียงแค่ท่านต้องการ และมีทรัพย์เพียงพอที่จะจ่ายแล้วล่ะก็ ไม่มีสิ่งใดเลยที่ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงจะหามาไม่ได้ โดยเฉพาะหลายปีก่อน ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงได้มีกระเป๋าตำราแบบใหม่เพิ่มขึ้นมา สามารถทำตามความต้องการของลูกค้าได้ ใช้วัสดุหลากหลายชนิดมาทำกระเป๋าตำราที่มีรูปแบบและลวดลายที่แตกต่างกัน กล่าวกันว่าร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงเพิ่งจะผลิตกระเป๋าตำราออกมาจำหน่ายก็มีคนมารอต่อแถวซื้อยาวเหยียด แม้ต่อมาจะมีคนลอกเลียนแบบกระเป๋าตำราก็ตาม แต่ทว่าพอพวกเขาเพิ่งจะวางขายได้ไม่นานร้านแพร ไหมอวิ๋นเสียงก็มีรูปแบบและลวดลายใหม่ๆ ออกมา กระเป๋าตำราแบบเก่าก็ไม่มีคนถามหาแล้ว นานวันเข้าก็ไม่มีคนพยายามลอกเลียนแบบแล้ว ต่อมากระเป๋าตำราก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงไปเรียบร้อย
มีคนสำคัญในเมืองหลวงถึงสามท่านมาร่วมอวยพรการเปิดกิจการร้านของเมิ่งเชี่ยนโยว ร้านต่างๆ ที่อยู่ในละแวกนั้นต่างก็มองดูอย่างโง่งม แล้วก็คิดว่าแม่นางท่านนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างแน่นอน ตนควรจะไปเตรียมของกำนัลมาอวยพรให้นางด้วยดีหรือไม่ หากภายหน้ามีเรื่องเดือดร้อนจะได้ขอร้องให้นางช่วยได้
ในตอนที่ทุกคนต่างก็ลังเลตัดสินในไม่ได้นั้น มีกลุ่มคนเดินมาทางนี้พอดี
ทุกคนต่างก็เขย่งเท้าชะเง้อมองดู คราวนี้เห็นคนต่อแถวกันมายาวเหยียด มีห้าหกคนตีฆ้องร้องป่าวอยู่ด้านหน้า ตรงกลางมีสิบห้าสิบหกคนที่ถือของกำนัลอยู่ ต่อจากนั้นก็มีหกคนตีฆ้องร้องป่าว สุดท้ายคือบุคคลที่สูงส่งไม่เป็นรองใคร เป็นคุณชายน้อยที่นั่งบนหลังม้าอย่างสง่าประหนึ่งว่าสุริยันและจันทราได้ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน ยังมีหนุ่มน้อยอายุประมาณสิบกว่าปีที่จูงม้าให้
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เห็นว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น จึงเดินออกมาจากร้านอีกครั้ง ตอนที่เห็นหวงฝู่อี้เซวียนสองเท้าพลันหยุดชะงัก แล้วรออยู่ที่เดิม มองดูเขาที่ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เหวินซื่อกับโจวเซี่ยวและซุนเหลียงไฉก็มองเห็นเขาเช่นเดียวกัน จึงเดินออกมาจากข้างในร้าน
กลุ่มคนที่มาอวยพรก็อยู่อยู่ที่หน้าร้าน หวงฝู่อี้ปล่อยเชือกบังเ**ยนม้า เดินไปด้านหน้าขวนที่มาอวยพรแล้วยกมือขึ้น คนที่กำลังตีฆ้องร้องป่าวอยู่ก็หยุดลงทันที คนที่ถือของกำนัลมาก็ยืนอยู่ที่เดิม
หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้า ก้าวเดินเข้ามาหาแม่นางเมิ่งอย่างสง่าผ่าเผย นางจึงส่งยิ้มให้เขา
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยขึ้นว่า “ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี มาแสดงความยินดีกับแม่นางในดวงใจที่เปิดกิจการ ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรืองสืบไป”
เสียงดังครึกโครมขึ้นอีกครั้ง กลุ่มคนที่รายล้อมอยู่ต่างก็เข้าใจทันที ไม่แปลกเลยที่แม่นางผู้นี้จะมีเกียรติพอที่จะทำให้ผู้มีอำนาจต่างๆ มาแสดงความยินดีได้ ที่แท้นางก็คือแม่นางท่านนั้นที่เป็นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วว่าเป็นคนที่ซื่อจื่อชื่นชอบ
คราวนี้บรรดาร้านค้าที่อยู่ในละแวกนั้นไม่ลังเลอีกต่อไป ต่างก็กลับไปยังร้านของตนแล้วสั่งให้ลูกน้องรีบไปเตรียมของกำนัลอันมีค่ามา ตนที่เป็นเพื่อนบ้านก็ต้องไปร่วมยินดีด้วยเช่นกัน ไปทำทำความรู้จัก ถ้าหากว่าทำให้ผู้มีฐานะสูงท่านนี้พูดคุยด้วยก็ยิ่งดีไม่น้อย
ไม่ว่าคนที่อยู่บริเวณนั้นจะคิดเช่นไรก็ตาม แต่เมื่อถูกหวงฝู่อี้เซวียนเรียกว่าแม่นางในดวงใจต่อหน้าผู้คนมากมาย เมิ่งเชี่ยนโยวก็หน้าแดงขึ้น
เหวินซื่อ โจวเซี่ยวและซุนเหลียงไฉเดินออกมาคำนับหวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย “วันนี้พวกเรามาร่วมอวยพรให้กับโยวเอ๋อร์ ทุกท่านมิต้องเกรงใจ”
โจวเซี่ยวกับซุนเหลียงไฉนั้นยังดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เหวินซื่อและภรรยาได้พบกับฉีอ๋องซื่อจื่อที่กล่าวกัน จึงอดไม่ได้ที่จะลอบพิจารณาดูเสียหน่อย เห็นเขาดูสง่างามราวหยก สูงส่งไร้ที่เปรียบ ก็แอบชื่นชมในใจ
วันนี้แม้แต่อี้เซวียนก็ยังมาอวยพร มันเหนือความคาดหมายของเมิ่งเชี่ยนโยวจริงๆ จึงพูดขึ้นโดยปิดน้ำเสียงที่แสดงความรู้สึกยินดีไว้ไม่มิดว่า “ขอบพระคุณทุกท่านที่มาร่วมอวยพรเจ้าค่ะ เชิญเข้าไปด้านใน ข้าจะทำบะหมี่ให้พวกท่านด้วยตัวเอง”
—————————-
ตอนที่ 34-1 โยนออกไป
ทุกคนถอยออกด้านข้าง หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปข้างในร้านเป็นคนแรก โจวเซี่ยวเดินตาม จากนั้นเหวินซื่อกับภรรยาและซุนเหลียงไฉจึงเดินตามมาเป็นลำดับสุดท้าย
หวงฝู่อี้เซวียนไปที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยวทุกวัน เมิ่งอี้กับบรรดาจิงเว่ยนั้นคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จึงไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเลย ออกมาต้อนรับทุกคนอย่างมีไมตรีจิต
หลังจากที่สอบถามว่าแต่ละคนชอบรสชาติแบบไหนแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปด้านหลัง ปรุงบะหมี่มันฝรั่งหลายชามที่มีรสชาติแตกต่างกันไป เมิ่งอี้เป็นคนยกมาวางไว้ข้างหน้าของทุกคนด้วยตัวเอง
ทุกคนต่างก็ไม่เกรงใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วก็ลงมือรับประทานทันที
ความจริงแล้วหลายปีมานี้ บะหมี่มันฝรั่งแบบแห้งได้ออกจำหน่ายในเมืองหลวงแล้ว ทุกบ้านต่างก็ซื้อหาเก็บไว้บ้าง แต่ทว่ารสชาติความอร่อยที่ปรุงออกมาได้นั้นเทียบไม่ได้เลยกับที่เมิ่งเชี่ยนโยวปรุงวันนี้
ฮูหยินเหวินรับประทานเข้าไปคำหนึ่งแล้วยิ้มพร้อมกับเอ่ยชมว่า “บะหมี่มันฝรั่งนี้ช่างรสชาติดีเหลือเกิน อร่อยกว่าที่แม่ครัวในบ้านปรุงไม่รู้กี่เท่า หลังจากได้ทานที่เจ้าปรุงแล้ว เกรงว่าหากที่บ้านปรุงอีกข้าคงจะไม่อยากทานแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งร่วมวงสนทนาอยู่ข้างๆ พอได้ยินดังนั้นจึงยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ในเมื่อพี่สะใภ้ชอบเช่นนี้ ต่อไปต้องมาทานที่ร้านบ่อยๆ นะเจ้าคะ ข้าจะทำให้ท่านทานเอง”
ฮูหยินเหวินได้ยินดังนั้นจึงยิ้มกว้าง “ได้ ต่อไปข้าจะมาบ่อยๆ ต้องรบกวนแม่นางเมิ่งแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนกับโจวเซี่ยวและเหวินซื่อก็เคยรับประทานบะหมี่มันฝรั่งฝีมือเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อตอนสี่ปีที่แล้ว วันนี้ได้ลิ้มรสอีกครั้งก็รู้สึกว่าอร่อยยิ่งนัก
โจวเซี่ยวเอ่ยชมว่า “ฝีมือของแม่นางเมิ่งนับวันก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้น รสชาติดีกว่าเมื่อสี่ปีก่อนไปอีกขั้นแล้ว”
เหวินซื่อพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นบะหมี่มันฝรั่งก็ลงท้องไปจนเกลี้ยง ทุกคนรับประทานกันอย่างอิ่มหนำสำราญ เหงื่อไหลไคลย้อยเต็มใบหน้า
ฮูหยินเหวินใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ไหลออกมาบนหน้าผาก เอ่ยขึ้นว่า “ช่างอร่อยเหลือเกิน บะหมี่มันฝรั่งของแม่นางเมิ่งจะต้องขายดีแน่นอน”
“ขอบคุณพี่สะใภ้ที่กล่าวคำมงคล” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พอรับประทานเสร็จแล้วก็นั่งคุยกันสักพัก ซับเหงื่อจากตัวจนแห้งดีแล้ว เหวินซื่อกับภรรยาและโจวเซี่ยวก็ลุกยืนขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวไปส่งพวกเขาที่นอกประตู มองพวกเขาเดินจากไปด้วยรอยยิ้มบางๆ เห็นคนที่กำลังต่อแถวเฝ้ารอคอยที่จะได้กินบะหมี่มันฝรั่งแล้วก็ทอดถอนใจ ผลกระทบจากผู้มีชื่อเสียงนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ต้องเปลืองแรงไปโฆษณาเอง ก็มีผู้คนมารอมากมายแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวด้านนอก เขารู้ว่าถ้าขืนตัวเองยังอยู่ที่นี่ คนด้านนอกก็ไม่กล้าเข้ามากินบะหมี่มันฝรั่ง จึงลุกขึ้นแล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยถ้อยคำอ่อนโยนว่า “วันนี้ข้าลาท่านอาจารย์ของกั๋วจื่อเจียนครึ่งวัน ข้ากับ เหลียงไฉจะกลับไปรอเจ้าที่จวนก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนกับซุนเหลียงไฉจึงเดินออกไป
คนที่กำลังต่อแถวเสียงดังจอแจอยู่ พอเห็นเขาเดินออกมาก็เงียบฉี่ลงทันที
หวงฝู่อี้เซวียนชำเลืองมองคนที่กำลังต่อแถวยาวเหยียดที่หน้าร้าน แล้วก็อมยิ้มด้วยความพอใจ จากนั้นก็เดินจากไปพร้อมกับซุนเหลียงไฉ
เมิ่งอี้เห็นคนที่ต่อแถวอยู่ข้างนอกมากมายก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก หลังจากที่สั่งให้คนเก็บกวาดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกไปหน้าร้าน ประกาศต่อหน้ากลุ่มคนที่กำลังต่อแถวอยู่ว่า “วันนี้เปิดกิจการวันแรก ตามกฎของพวกเราจะลดครึ่งราคา พร้อมกับกับเครื่องเคียงเลิศรสอีกจากหนึ่ง หากท่านใดต้องการรับประทานก็เชิญเข้ามาในร้านตามลำดับแถว ร้านเราเป็นร้านเล็กๆ จึงไม่อาจต้อนรับลูกค้าทุกท่านพร้อมกันได้ ส่วนลูกค้าที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังกรุณาต่อแถวรออีกสักครู่”
กล่าวจบก็เปิดประตูร้าน แล้วเชิญกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าเข้าไปก่อน
กลุ่มคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้าต่างก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นแย่งกันเดินเข้าไปด้านใจ แล้วสอบถามว่าพนักงานว่าบรรดาผู้สูงศักดิ์นั้นนั่งอยู่ที่ใด เมื่อทราบแล้วต่างก็พากันยื้อแย่งที่จะนั่งตรงนั้น
คนที่ตามมาทีหลังจึงมาแย่งไม่ทัน แต่ว่าพอนึกว่าสามารถได้กินบะหมี่มันฝรั่งที่แม้แต่ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉียังมาร่วมอวยพรได้ ก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจไม่น้อย
เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนด้านตรงข้ามพอเห็นว่าที่หน้าร้านมีคนต่อแถวยาวเหยียดก็รู้สึกประหลาดใจ คิดในใจว่าตัวเองนั้นทำการค้ามานานหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นบรรยากาศคึกคักเช่นนี้
ทุกคนในร้านต่างก็ยุ่งวุ่นวายกันหมด ทั้งทักทายต้อนรับลูกค้า ทั้งเก็บโต๊ะ ทั้งยกบะหมี่มันฝรั่งมาให้ลูกค้า ต่างก็ยุ่งในหน้าที่ของตนอย่างมีความสุข
พอคนเยอะในร้านก็มีงานยุ่ง จึงรู้สึกว่าพนักงานไม่พอ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยืนอยู่หลังโต๊ะเพื่อรอเก็บเงิน
ในตอนนี้เองเถ้าแก่ของร้านค้าที่อยู่ละแวกนั้นต่างก็สั่งให้พนักงานไปซื้อของกำนัลมา ต่างก็ถือของกำนัลมาร่วมยินดีกันไม่ขาดสาย
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ออกไปรับด้วยตัวเอง ให้เมิ่งอี้เป็นคนต้อนรับพวกเขา หลังจากที่กล่าวขอบคุณพวกเขาด้วยไมตรีจิต เมิ่งอี้ก็เชื้อเชิญให้พวกเขานั่งกินบะหมี่มันฝรั่งด้วย
เดิมทีเถ้าแก่เหล่านั้นก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน ต่างก็คิดว่าพอนั่งกินบะหมี่มันฝรั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ขยับเข้าไปใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว แต่พอเห็นผู้คนมากมายที่มารอกินต่างก็ทราบกันดีว่านั่งกินไม่ได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาดูแลพวกเขาโดยส่วนตัว พวกเขาจึงปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
เมิ่งอี้จดจำชื่อร้านของพวกเขาแต่ละคนไว้อย่างดี แล้วก็หาเวลาว่างไปสั่งให้คนในห้องครัวปรุงบะหมี่มันฝรั่งให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้พนักงานนำไปส่งที่ร้านของพวกเขา
หลังจากที่ข่าวแพร่ออกไปก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามารอกินบะหมี่มันฝรั่งกันมากมาย มีคนเข้าแถวรอเต็มหน้าร้านตลอดเวลา รอจนเลยเวลาอาหารเย็นแล้วคนจึงค่อยๆ น้อยลงบ้าง ทุกคนในร้านต่างก็เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ โดยเฉพาะเหล่าบรรดาองครักษ์ที่เป็นคนยกบะหมี่มันฝรั่งมาให้ลูกค้าต่างก็รู้สึกเหนื่อยล้ากันทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่นางสามคนที่ทำหน้าที่ปรุงบะหมี่อยู่ด้านหลังเลย จวบจนกระทั่งไม่มีคนเข้ามากิน เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ทุกคนหยุดสักครู่ ทั้งสามคนนั้นเหนื่อยจนแทบจะคลานอยู่บนพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็รู้ว่าทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันทั้งสิ้น จึงสั่งให้พวกเขานั่งลงก่อน แล้วให้เมิ่งอี้ติดป้านหน้าร้านว่ากำลังพักไว้หน้าร้าน แล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้ต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันไม่น้อย อีกสักครู่หลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็กลับไปพักได้ รอวันพรุ่งนี้ค่อยเปิดร้านต้อนรับลูกค้า”
แม้เมิ่งอี้จะรู้สึกว่านี้เป็นโอกาสอันดี หากปิดร้านยามบ่ายนั้นค่อนข้างน่าเสียดายไปบ้าง แต่ทว่าก็รู้ดีว่าทุกคนในร้านต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันถ้วยหน้า ถ้าขืนยังฝืนเปิดร้านในยามบ่ายก็ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจจะลุกไม่ขึ้นก็ได้ จึงไม่ได้แย้งใดๆ
หลังจากที่พักผ่อนกันสักพักแล้ว แม่นางทั้งสามคนก็ไปปรุงบะหมี่มันฝรั่งที่มีรสชาติตามที่ทุกคนชื่นชอบให้คนละชาม หลังจากที่ทุกคนกินเสร็จ เก็บกวาดทำความสะอาดร้านเรียบร้อย จากนั้นก็ปิดร้านแล้วก็นั่งรถม้ากลับจวน
บรรดาร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ละแวกนั้นต่างก็ไม่เข้าใจ กิจการการค้าดีถึงเพียงนี้ไม่ทำต่อ แต่ดันปิดร้านแล้วกลับบ้านไปแล้ว
สองวันถัดมาก็ยังเป็นเช่นเดิม ยามเช้ายังไม่ทันได้เปิดร้านก็มีกลุ่มคนที่ชื่นชมในความมีชื่อเสียงเข้ามารอต่อแถวกันเอง
จนถึงวันเปิดร้านวันที่สี่ ราคาของบะหมี่มันฝรั่งก็กลับคืนราคาเดิม คนที่มากินก็มีน้อยลงไปบ้าง ทุกคนในร้านต่างก็ผ่อนคลายมากขึ้น เมิ่งอี้จึงเสนอขึ้นว่ายามค่ำก็ควรเปิดร้านด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นชอบด้วย แล้วพูดกำชับเขาว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากไม่มีเรื่องใหญ่ข้าจะไม่เข้ามาแล้ว ทุกอย่างในร้านให้เป็นการตัดสินใจของท่าน ไม่จำเป็นต้องถามความเห็นจากข้าทุกเรื่องนะเจ้าคะ”
เมิ่งอี้ตอบรับ แล้วก็เริ่มจัดระเบียบคนในร้าน
หลังมื้อเที่ยงคนที่มากินอาหารก็น้อยลงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจทานบัญชีเรียบร้อยแล้วเตรียมส่งให้เมิ่งอี้ ส่วนตัวเองนั้นก็คิดจะกลับจวนไป หลายวันมานี้หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยุ่งมาก จึงไม่ได้มารับประทานมื้อเที่ยงด้วย รอจนกระทั่งยามบ่ายที่คิดว่านางคงจะกลับมาแล้ว ค่อยควบม้ามารอที่จวนของนางพร้อมกับหวงฝู่อี้ ดังนั้นวันนี้นางจึงคิดจะกลับจวนเร็วหน่อย จะได้ไปทำกับข้าวอร่อยๆ ให้หวงฝู่อี้เซวียนกับซุนเหลียงไฉกิน
เพิ่งจะตรวจทานบัญชีเสร็จ กำลังจะร้องเรียกเมิ่งอี้ให้มาหา ก็มีคนเปิดประตูร้านออกอย่างรุนแรง เสียงแหลมจากหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้น “เอาบะหมี่มันฝรั่งมาสองชาม!”
เมิ่งอี้ไม่รู้จัก จึงเดินเข้าไปต้อนรับอย่างมีไมตรี “คุณชายท่านนี้ เชิญนั่งขอรับ”
หวงฝู่อวี้ไม่ได้นั่งลง แต่กลับมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างลำพองใจแวบเดียว จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับคนที่อยู่ด้านหลังว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าระวังหน่อยนะร้านนี้ช่างโกโรโกโสยิ่งนัก อย่าให้โดนตัวเจ้าล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา
แม่นางที่ดูท่าทางอ่อนช้อยผู้หนึ่งเดินเข้ามาข้างในโดยมีสาวใช้ประคองแขนอยู่สองข้าง ประเมินดูร้านด้วยความแปลกใจแวบหนึ่งจากนั้นถามหวงฝู่อวี้ขึ้นว่า “ร้านนี้ใช่ไหมที่ท่านพี่ซื่อจื่อมาอวยพรให้?”
หวงฝู่อวี้ตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าสืบข่าวมาจากพี่ใหญ่โดยเฉพาะ ถึงได้มาที่นี่”
เมิ่งอี้รู้แล้วว่าบุคคลที่เข้ามาเป็นใคร จึงเอี้ยวคอหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มบางๆ ทำให้คนมองไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
กำชับเมิ่งอี้ว่า “สองท่านนี้เป็นแขกผู้มีเกียรติ เพิ่มเครื่องเคียงรสเลิศเพิ่มอีกอย่างด้วย”
หวงฝู่อวี้โบกมือ “ไม่ต้อง ข้าเองก็มิใช่ว่าจะไม่มีเงินจ่าย เหตุใดต้องให้เจ้าส่งให้ด้วย”
น้ำเสียงฟังดูหาเรื่องอยู่หน่อยๆ คิ้วของเมิ่งเชี่ยนโยวขมวดมุ่น
เมิ่งอี้ยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้นพลัน “เชิญทั้งสองท่านนั่งขอรับ ต้องการบะหมี่มันฝรั่งรสชาติอย่างไร ข้าจะไปสั่งให้คนปรุงมาให้ขอรับ”
ในร้านยังมีแขกอยู่สองสามคนกำลังกินบะหมี่มันฝรั่งอยู่ หวงฝู่อวี้ปรายตามองพวกเขาอย่างรังเกียจ แล้วพูดกับเยียนเอ๋อร์ว่า “เจ้าดูสิคนที่มากินบะหมี่มันฝรั่งที่ร้านนี้เป็นเช่นไรบ้าง เจ้ายังอยากมาอีก ไม่กลัวหรือว่าจะเป็นการลบหลู่ฐานะของเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวตีหน้าขรึม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแข็งกระด้างว่า “คุณชายรอง หากเจ้าจะมารับประทานอาหารก็เชิญนั่งลงทาน หากมิใช่ก็เชิญออกไป ร้านเล็กๆ ของเราต้อนรับแขกผู้มีเกียรติอย่างเจ้าไม่ไหว”
ตอนที่ 34-2 โยนออกไป
ความจริงหวงฝู่อวี้โดนเมิ่งเชี่ยนโยวจัดการจนกลัวไปหลายครั้งก่อนนี้แล้ว หากเขามาเองคนเดียวคงไม่มีทางกล่าวเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกัน เวลานี้ต้องดูแลคุณหนูจวนราขเลขา เขาจึงต้องการแสดงความสามารถต่อหน้านางสักตั้ง แม้ว่าจะรู้สึกเกรงกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังอยากจะตำหนินาง “วันนี้เราเป็นแขกที่มาทานอาหาร แต่เจ้ายังพูดเช่นนี้ต่อแขกหรือ ถ้าหากเป็นที่อื่นข้าจะให้คนจัดการกับเจ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ปกติคุณชายรองเป็นคนน่าเกรงขาม ทว่าเสียดายที่วันนี้เจ้ามาผิดที่แล้ว ในที่ของข้า ถ้าขืนเจ้ากล้ามาก่อกวน ข้าจะให้คนโยนเจ้าออกไป”
“เจ้ากล้าหรือ!” หวงฝู่อวี้ตั้งคอตรงกล่าวขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวมีสีหน้าดุดัน พูดเสียงเ**้ยมเกรียมว่า “คุณชายรองจะลองดูไหม?”
หวงฝู่อวี้ถูกย้อนจนเสียหน้า เขาอึ้งพูดไม่ออก
หลินหันเยียนมองนางด้วยดวงตากลมโตสุกสกาวทั้งคู่ มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วพิจารณาดูนางอย่างละเอียด จากนั้นผลักสาวใช้ที่กำลังประคองอยู่ออกไปแล้วเดินตรงเข้าไปข้างหน้านาง แล้วโพล่งขึ้นโดยไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีคนอยู่ในร้านมากแค่ไหน “เจ้าคือคนที่แย่งท่านพี่ชื่อจื่อไปจากข้า?”
คนที่กำลังกินบะหมี่มันฝรั่งอยู่ต่างก็สำลัก กระแอมไอขึ้นไม่หยุด
เมิ่งอี้กับองครักษ์ทุกคนต่างโอดครวญขึ้นในใจ แย่แน่คราวนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะระเบิดอารมณ์แล้ว ของที่อยู่ในร้านคงจะพังพินาศหมดแน่
แต่นึกไม่ถึงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะอึ้งเพียงเท่านั้น จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “แม่นางเป็นใคร ข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลย แล้วจะไปแย่งคนของเจ้าได้เช่นไร?”
หลินหันเยียนเบะปาก “เจ้าไม่ต้องมาแกล้งโง่เลย พี่อวี้บอกข้าหมดแล้ว เจ้าก็คือคนที่มาแย่งท่านพี่ซื่อจื่อไปจากข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง
พลันหวงฝู่อวี้รู้สึกเสียวสันคอวาบ ผวาจนต้องหดคอลง แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามีเยียนเอ๋อร์อยู่ตรงหน้า ก็ยืดคอตรง แสดงท่าทางราวกับว่าไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ เสียงใสของหลินหันเยียนก็ดังขึ้น “ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ วันนี้ข้าอยากประลองกับเจ้าดู”
แขกที่อยู่ในร้านสำลักขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงกระแอมไอดังขึ้นกว่าเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองแขกแล้วพูดกับคนที่อยู่ตรงนั้นว่า “ขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ วันนี้ร้านของเรามีเรื่องที่ต้องจัดการก่อน รบกวนทุกท่านออกไปก่อน สำหรับเงินค่าบะหมี่มันฝรั่งข้าไม่รับแล้ว”
อันที่จริงแขกที่นั่งอยู่สามคนนั้นกินไปประมาณหนึ่งแล้ว พอได้ฟังคำของเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกดีใจแทบแย่ จึงไม่ได้ว่าอะไรอีก จากนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ในร้านไม่มีคน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ต้องกังวลในคำพูดแล้ว นางยืนอย่างสบายอารมณ์ข้างๆ ตู้ แล้วถามขึ้นอย่างสบายๆ ว่า “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดข้าต้องประลองฝีมือกับเจ้า?”
“ท่านนี้ก็คือคุณหนูจวนราขเลขาของเรา มีฐานะสูงส่ง เด็กชนบทอย่างเจ้าได้ประลองด้วยก็ถือว่าเป็นเกียรติแก่เจ้ามากแล้ว” หลินหันเยียนยังไม่ได้พูด สาวใช้หน้าตางดงามที่อยู่ข้างหลังนางกล่าวเสียงหวานหยาดเยิ้มขึ้นมา
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลงเล็กน้อย พิจารณาดูสาวใช้แวบหนึ่ง
สาวใช้มองมาที่นางเช่นกัน ในแววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและริษยา
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมุมปากขึ้น แล้วพูดกับหลินหันเยียนว่า “ดูท่าทางแล้วพวกเจ้าคงไม่ได้มากินบะหมี่มันฝรั่ง แต่มาหาเรื่องมากกว่า”
“คนอย่างเจ้า แค่เพียงคนถือรองเท้าของคุณยังไม่ควรค่าพอ ยังมีค่าพอให้คุณหนูของเรามาหาเรื่องอีกหรือ?” สาวใช้เอ่ยพูดขึ้นอีก
หลินหันเยียนไม่ได้ยับยั้งสาวใช้ ไม่รู้ว่าจงใจหรือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้วกันแน่
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียง “หึ” แล้วพูดขึ้นว่า “จวนราขเลขาช่างอบรมมาดียิ่งนัก สาวใช้เล็กๆ ยังกล้าแย่งเจ้านายพูดได้”
สาวใช้ถูกย้อนจนเสียหน้า
หลินหันเยียนกลับเป็นคนที่ไม่พอใจ “ข้าโตมาพร้อมกับเฉี่ยวเยว่ รักกันดุจพี่น้อง ต่อไปต้องแต่งเข้าจวนอ๋องฉีไปกับข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาอีกครั้ง ถามว่า “แล้วอย่างไร?”
“ดังนั้นนางจึงมิใช่สาวใช้ของข้า แต่เป็นพี่น้องของข้า” หลินหันเยียนกล่าว
“ต่อจากนั้นเล่า?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
หลินหันเยียนไม่เข้าใจว่านางถามถึงอะไร จึงเบิกตากว้างแล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “อะไรคือต่อจากนั้น?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้าเฉี่ยวเยว่ พอเห็นนางหน้าแดงอย่างขวยเขิน ก็เข้าใจทันทีว่าที่สาวใช้คนนี้จงใจทำเช่นนี้เพราะเหตุใด
หลินหันเยียนหันไปมองเฉี่ยวเยว่ตามสายตาของนาง พอเห็นนางมีใบหน้าแดงก่ำก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “เฉี่ยวเยว่ เจ้าเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือ?”
เฉี่ยวเยว่ส่ายหน้าพัลวัน พูดขึ้นว่า “คุณหนูข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ตอนที่ออกมาข้าใส่เสื้อผ้าเยอะไปหน่อย พอเข้ามาในร้านแล้วรู้สึกค่อนข้างร้อนไปบ้าง”
หลินหันเยียนไม่สงสัยอะไรอีก แล้วหันมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวเสียงแข็งว่า “ข้าอยากประลองกับเจ้า ถ้าหากเจ้าเป็นฝ่ายชนะ รอข้าแต่งงานแล้วจะอนุญาตให้เจ้าแต่งเข้าจวนอ๋องฉี ถ้าหากเจ้าแพ้เจ้าก็พาคนของเจ้ากลับชนบทไป แล้วไม่ต้องมาเมืองหลวงอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ขออภัย คุณหนูท่านนี้ หากเจ้าจะมากินบะหมี่มันฝรั่งพวกเราก็ยินดีต้อนรับ หากมาหาคนประลองยุทธ์ก็ต้องขออภัยด้วย ข้าไม่มีเวลามาเล่นด้วย เชิญเจ้าเลี้ยวซ้ายแล้วเดินออกไปให้ไกล”
ไม่เคยมีใครกล้าพูดเช่นนี้กับนางมาก่อน หลินหันเยียนอึ้ง
เฉี่ยวเยว่กลับเอ่ยพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าคนป่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เจ้าพูดกับคุณหนูของเราเช่นนี้ได้อย่างไร? หากไม่เห็นแก่หน้าของซื่อจื่อ เจ้าคิดว่าคุณหนูของเราจะยอมลดตัวมาสนใจเจ้าเช่นนั้นหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเคร่งขรึม น้ำเสียงเริ่มเจือแววเกรี้ยวกราดขึ้นหลายส่วน “เป็นแค่แมวแค่หมาก็ยังกล้ามาโอหังต่อหน้าข้า คิดว่าข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้าใช่ไหม?”
หวงฝู่อวี้เห็นนางทำหน้าขรึมก็รีบเดินเข้าไปพูดกับหลินหันเยียนว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าจะมาลิ้มลองบะหมี่มันฝรั่งมิใช่หรือ? แต่กลับมาประลองยุทธ์กับแม่นางเมิ่งได้อย่างไร?”
หลินหันเยียนไม่ได้พูดอะไร เฉี่ยวเยว่พอได้ฟังคำพูดของเมิ่งเชี่ยวโยวก็ไม่พอใจ จึงชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความโกรธว่า “เจ้าว่าใครเป็นหมาเป็นแมว จะบอกให้ ถึงข้าจะเป็นสาวใช้แต่ก็มีความละอายมากกว่าหญิงชาวบ้านอย่างเจ้าที่คิดหาวิธีปีนขึ้นเตียงของซื่อจื่อให้ได้”
เฉี่ยวเยว่พูดออกมาแล้วหวงฝู่อวี้ก็ตื่นตระหนก รีบตำหนินางขึ้นทันที “เฉี่ยวเยว่ เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ทว่าเฉี่ยวเยว่กลับยิ่งมีอารมณ์ เอ่ยพูดอย่างคมกริบว่า “คุณชายรองเจ้าคะ ข้าพูดผิดไปหรือ? ในเมืองหลวงผู้ใดต่างก็รู้ว่านางฉวยโอกาสที่บ้านของตนมีบุญคุณในการเลี้ยงดูซื่อจื่อมาหลายปี จึงเกาะซื่อจื่อแน่นไม่ยอมปล่อย เวลานี้ก็ยังมามอบตัวเองให้ถึงหน้าประตู จนทำให้คุณหนูของเราต้องถูกผู้คนหัวเราะเยาะ”
“กัวเฟย โยนออกไป!” นางเพิ่งจะพูดจบ เสียงอันเย็นชาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น
กัวเฟยรับคำ แล้วเดินเข้าไปหาสาวใช้
สาวใช้เห็นเข้ามีร่างกายกำยำ สูงใหญ่องอาจ จึงตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้ากล้าหรือ ข้าเป็นถึงสาวใช้ของคุณหนูจวนราขเลขา ถ้าขืนเจ้ากล้าแตะต้องตัวข้า ก็เท่ากับว่าเจ้าตบหน้านายท่านกับนายหญิงตระกูลเรา พวกท่านไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเย็นชา แล้วเอ่ยเสียงเข้มขึ้น “โยนออกไป!”
หลินหันเยียนกรีดร้องขึ้นว่า “พวกเจ้ากล้าหรือ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “คุณหนูหลินอยากลองดูไหม?”
หวงฝู่อวี้รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดคำไหนคำนั้น จึงรีบเข้ามาขวางหน้าหลินหันเยียนแล้วขอร้องแทนว่า “อย่า อย่าเลย แม่นางเมิ่งเจ้าอย่าโมโหเลย รอให้เยียนเอ๋อร์กลับไปแล้ว ข้าจะให้นางสั่งสอนสาวใช้คนนี้ให้ดี เจ้าอย่าทำอะไรเยี่ยนเอ๋อร์เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตามองเขา แล้วเอ่ยเสียงเฉียบขาดขึ้นว่า “กัวเฟย เจ้ายังรออะไรอีก โยนออกไป!”
—————————-
ตอนที่ 35-1 สังหารกลางถนน
กัวเฟยแบกตัวเฉี่ยวเยว่ขึ้นพาดบ่า
เฉี่ยวเยว่ตกใจจนกรีดร้องเสียงหลง เสียงกรีดร้องนั้นบาดแก้วหูของทุกคนภายในห้อง
กัวเฟยขมวดคิ้วมุ่น เขาแบกเฉี่ยวเยว่เดินไปหยุดอยู่หน้าประตู จากนั้นเปิดประตูออกแล้วโยนนางออกไป
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องต่างก็ได้ยินเสียง “โอ๊ย…” “ตุบ!” ดังขึ้นต่อเนื่อง จากนั้นเสียงสะอึกสะอื้นจากเฉี่ยวเยว่ก็ดังขึ้น “คุณหนูเจ้าคะ ช่วยข้าด้วย ข้าถูกโยนลงมาใกล้จะตายแล้ว”
“เจ้า!” หลินหันเยียนคิดไม่ถึงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะกล้าสั่งให้คนโยนเฉี่ยวเยว่ออกไปจริงๆ จึงจ้องนางด้วยความเกรี้ยวกราด จากนั้นเดินกระทืบเท้าออกไปข้างนอก
สาวใช้อีกนางหนึ่งที่ตกใจอยู่ก็รีบเดินเข้าไปคิดจะประคองนาง
“เร็ว รีบไปพยุงเฉี่ยวเยว่ขึ้นมาเร็วเข้า” หลินหันเยียนเร่งสั่งนาง
สาวใช้เดินออกไปข้างนอกทันที หลินหันเยียนเดินตามอยู่ข้างหลัง
หวงฝู่อวี้กำลังจะเดินตามออกไป
มีเสียงอันเย็นชาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา หวงฝู่อวี้ได้ยินแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ “หากเจ้ากล้าตามออกไปทำให้อี้เซวียนขายขี้หน้าแล้วล่ะก็ ข้าจะให้เขาแขวนเจ้ากลับหัวไว้กับต้นไม้”
หวงฝู่อวี้ก้าวเท้าค้างเติ่งในอากาศ หันหน้ามามองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอึ้งๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้าเขาอย่างเงียบขรึม ท่าทางจริงจังยิ่งนัก
หวงฝู่อวี้ร่างกายสั่นเทิ้ม รีบวางเท้าที่ยกค้างในอากาศลงกลับที่เดิม แล้วเดินกลับมาอยู่ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดขึ้นอย่างเอาอกเอาใจนางว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าโกรธเคืองเลย เยียนเอ๋อร์นางไม่มีเจตนา ไม่ได้ตั้งใจ เจ้าอย่าไปว่านางเลย แล้วก็ไม่ต้องบอกพี่ชายข้าด้วย ข้าจะพาพวกนางออกไปเดี๋ยวนี้”
เขาเพิ่งจะพูดจบ เสียงของหลินหันเยียนก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ ถึงกับกล้าโยนเฉี่ยวเยว่ออกมา วันนี้ข้าจะจัดการเจ้าจนต้องร้องขอชีวิตให้ได้”
เป็นถึงคุณหนูจากจวนราชเลขาที่ดูแลด้านกองทัพ ซึ่งได้ฝึกวรยุทธ์กับทหารในจวนราชเลขากับพี่ชายของตนเอง หลินหันเยียนจึงมีฝีมืออยู่พอตัว ดังนั้นจึงเข้าห้องไปเพื่อต้องการจะประลองฝีมือกับเมิ่งเชี่ยนโยวดูสักตั้ง เดิมทีที่ถูกเฉี่ยวเยว่ยุยงมา เพียงแค่ต้องการที่จะมาสั่งสอนเมิ่งเชี่ยนโยวเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ทำให้นางรู้ว่าได้เจอกับของแข็งจะได้ถอยกลับบ้านเก่าของตัวเองไป แต่ไม่นึกเลยว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เห็นนางอยู่ในสายตา สั่งให้คนโยนเฉี่ยวเยว่ออกไป ในใจพลันระอุขึ้น จึงเอ่ยพูดขึ้นอย่างฉุนๆ พร้อมที่จะปะทะ
หวงฝู่อวี้พอเห็นหลินหันเยียนกล้าที่จะประลองฝีมือกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย คิดจะเข้าไปห้ามปรามนางแต่ก็เกรงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะบอกให้หวงฝู่อี้เซวียนจับเขาแขวนกลับหัวบนต้นไม้ ทว่าหากไม่ออกไปก็เกรงว่าหลินหันเยียนจะโหวกเหวกโวยวายจนเมิ่งเชี่ยนโยวโมโห ถ้าเมิ่งเชี่ยนโยวลงมือโดยไม่ปรานี กังฟูแมวสามขาอย่างนางคงต้องถูกเมิ่งเชี่ยนโยวจัดการจนยับเยินเป็นแน่
ที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้กัวเฟยโยนเฉี่ยวเยว่ออกไปก็เป็นเพราะว่าต้องการตักเตือนหลินหันเยียนให้นางรู้จักว่าสิ่งใดควรไม่ควร แล้วพาสาวใช้ทั้งสองนางออกไปแต่โดยดี แต่ไม่รู้ว่าวันนี้นางไม่ได้เอาสมองออกจากบ้านด้วยหรือว่าไม่มีสมองให้เอาออกมากันแน่ ถึงได้กล้ามาร้องโวยวายอยู่หน้าร้านต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
เมิ่งเชิ่นโยวเดินออกมาจากโต๊ะคิดเงิน เดินออกไปอย่างสบายไม่รีบร้อน
หวงฝู่อวี้เคลื่อนร่างออกมาขวางหน้านางไว้ ขอร้องแทนหลินหันเยียนว่า “แม่นางเมิ่ง เห็นแก่หน้าข้าด้วย เจ้าอย่าไปใส่ใจนางเลย ข้าจะพานางกลับจวนราชเลขาเดี๋ยวนี้ รับประกันว่านางจะไม่มาวุ่นวายที่นี่อีกเป็นอันขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ให้ความสนใจกับเขา แต่กลับตะโกนขึ้นว่า “เหวินเปียว!”
เหวินเปียวตอบ “ขอรับ แม่นาง!”
“คุณชายรองมอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว ถ้าหากไม่มีคำสั่งจากข้า แล้วเจ้าปล่อยเขาออกจากประตูนี้ไป ต่อไปเจ้าไม่ต้องมาติดตามข้าอีกแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งด้วยเสียงอันเย็นเฉียบ
ติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมานานหลายปีแล้ว นางยังไม่เคยพูดจารุนแรงต่อตนเช่นนี้มาก่อน เหวินเปียวทราบทันทีว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังโมโหอยู่จริงๆ รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นในหัวใจแล้วรับคำว่า “ทราบแล้วขอรับแม่นาง” พูดจบก็ก้าวเท้ายาวๆ ออกมาขวางหน้าหวงฝู่อวี้ไว้
หวงฝู่อวี้ก็ใช่ว่าจะด้อยฝีมือ ถ้าหากแข็งขืนดึงดันที่จะออกไปก็ทำได้ แต่ทว่าเขาไม่กล้า การทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวขุ่นเคืองนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่หากทำให้หวงฝู่อี้เซวียนโกรธจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ คราวก่อนที่ถูกขังไว้ในห้องให้อดข้าวอดน้ำจนถึงตอนนี้ยังรู้สึกว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน เขาจึงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปด้านนอก กัวเฟยเดินตามอยู่ข้างหลัง
เมิ่งอี้ก็เป็นกังวล จึงเดินตามหลังออกมาอีกคน เหล่าองครักษ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หน้าที่หลักของพวกเขาก็คือการดูแลความปลอดภัยของเมิ่งเชี่ยนโยว ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นแม่นางน้อยที่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงพวกเขาก็ไม่กล้าประมาท
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกนอกประตูไป ข้างนอกมีคนที่มามุงดูเรื่องวุ่นวายกันเต็มไปหมด ร่างกายของเฉี่ยวเยว่นั้นเต็มไปด้วยเศษฝุ่นเศษดิน นางยืนอยู่ข้างหน้าของหลินหันเยียนด้วยความรู้สึกอับอายเหลือทน
พอเห็นนางเดินออกมา ดวงตาที่เฉี่ยวเยว่มองมาที่นางนั้นลูกโชนราวกับมีเปลวไฟพวยพุ่ง โกรธจนใบหน้าอันงดงามนั้นเปลี่ยนไปจนดูแทบไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ให้ความสนใจกับนาง เอ่ยถามหลินหันเยียนเสียงดังขึ้นว่า “คุณหนูจวนราชเลขาต้องการที่จะประลองฝีมือกับข้าที่เป็นสาวชาวบ้าน แน่ใจแล้วหรือ”
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นแค่ว่ามีแม่นางผู้หนึ่งถูกโยนออกมา ร้องโอดโอยไม่หยุด เกิดความแปลกใจจึงได้เดินเข้ามาชมเรื่องวุ่นวาย จนกระทั่งหลินหันเยียนรีบเดินออกมาเฉี่ยวเยว่ก็ยุยงส่งเสริมให้นางไปท้าทายเมิ่งเชี่ยนโยว ทุกคนก็ยิ่งรอคอยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเช่นนี้ก็เข้าใจในทันที ว่าคุณหนูจวนราชเลขาได้ยินข่าวลือแล้วมาจัดการกับเมิ่งเชี่ยนโยวนั่นเอง ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นไม่น้อย ตั้งตารอดูว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก
หลินหันเยียนไม่อยากแสดงความอ่อนแอ จึงพูดเสียงดังว่า “แล้วแต่เจ้า อยากประลองอะไรก็ประลองอันนั้น คนอื่นจะได้ไม่กล่าวหาว่าข้าใช้อำนาจของตระกูลมารังแกเจ้า ครั้งนี้ข้าจะทำให้เจ้าแพ้อย่างราบคาบ แล้วกลับบ้านเก่าของเจ้าไปแต่โดยดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองผู้คนรอบๆ ที่มามุงดูเรื่องวุ่นวายแล้วกล่าวว่า “ให้คุณหนูหลินเป็นคนเลือกมาดีกว่า เจ้าอายุยังน้อย หากข้าลงมือก่อนแล้วเรื่องนี้แพร่ออกไปคนอื่นอาจจะคิดว่าข้ารังแกเจ้า”
หลินหันเยียนกลับยอมรับง่ายๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ก็ได้ เราไม่ต้องใช้อาวุธ กำหนดไว้สิบกระบวนท่า หากบาดเจ็บล้มตายไม่ถือสาหาความ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับ “ได้ เอาตามที่เจ้าว่า เจ้าลงมือก่อนเถอะ”
หวงฝู่อวี้ที่อยู่ในห้อง พอได้ฟังที่หลินหันเยียนพูดแล้วก็ตกใจ แต่ก็ไม่กล้าออกไปขัดขวาง จึงตะโกนผ่านประตูออกไปว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่ใช่คู่มือของนาง เชื่อข้านะ รีบกลับจวนไป ตัวเองจะได้ไม่บาดเจ็บ”
คุณหนูในเมืองหลวงทั้งหมดมีหลินหันเยียนที่มีฝีมือดีกว่าคนอื่น เลยไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จึงมิได้เชื่อฟังในคำพูดของเขาเป็นธรรมดา บัดนี้สะบัดชายเสื้อขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปด้วยใบหน้าทมึงถึง
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
คนที่มารอดูเรื่องวุ่นวายต่างก็เดือดร้อนแทนนาง ตะโกนยุยงนางไม่หยุดว่า “แม่นาง ปะทะเลย รีบปะทะเข้าไปเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำราวกับว่าไม่ได้ยิน นางยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนร่างกายแม้แต่น้อย
หลินหันเยียนคิดว่านางตกใจกลัวจนโง่งมไปหมดแล้ว ยิ้มอย่างลำพองใจแล้วพุ่งตรงเข้าไปหานาง กำปั้นในมือชกเข้าไปที่ใบหน้าของนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปตบหน้าของนางโดยไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายส่วนอื่น
ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียง “เผียะ” สองครั้งดังขึ้นมา ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นหลินหันเยียนเอามือทั้งสองข้างกุมหน้าตัวเองพร้อมกับกรีดร้องใส่เมิ่งเชี่ยนโยว
“คุณหนู!” เฉี่ยวเยว่กับสาวใช้อีกคนหนึ่งรีบวิ่งเข้าหาหลินหันเยียนอย่างตื่นตระหนก พยายามดึงมือของนางออกด้วยความระมัดระวัง จะได้เห็นอาการบาดเจ็บของนางได้ชัด
หลินหันถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาราวกับไข่ในหิน ไม่เคยถูกใครทำร้ายแม้แต่ปลายก้อย ไม่นึกเลยว่าเวลานี้จะถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตบถึงสองฉาด อึ้งตะลึงขึ้นในทันใด เสียงกรีดร้องของสาวใช้สองนางได้เรียกสติให้กลับคืน พลันเกิดอารมณ์คุกรุ่น จากนั้นผลักสาวใช้ทั้งสองนางด้วยความเกรี้ยวกราด เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมรับว่า “เข้ามาอีก!”
เมื่อกี้นี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ลงมืออย่างหนักหน่วง ดังนั้นบนใบหน้าของหลินหันเยียนจึงมีรอยแดงจางๆ ปรากฏอยู่ หลินหันเยียนไม่คิดว่าเฉี่ยวเยว่จะกรีดร้องขึ้นมา “หน็อยแน่ เจ้าคนชั้นต่ำ กล้าตบหน้าคุณหนูของเรา หากข้ากลับไปข้าจะฟ้องนายท่านกับฮูหยินของเรา ให้พวกท่านจัดการเจ้าอย่างสาสม”
สีหน้าของเมิ่งเชิ่ยนโยวเย็นชา คิ้วขมวดมุ่น ไม่สนใจคำท้าทายจากหลินหันเยียน นางมุ่งตรงไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉี่ยวเยว่
เฉี่ยวเยว่หวาดกลัวท่าทีของนาง ค่อยๆ เดินก้าวถอยหลังพร้อมกับกรีดร้องขึ้น “เจ้าจะทำอะไร… คุณหนูเจ้าคะ ช่วยข้าด้วย!”
ทันใดนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวสะบัดเท้า เฉี่ยวเยว่ก็ถูกเตะกระเด็นลอยออกไป
บรรดาคนที่มามุงดูต่างก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นอย่างเกรงกลัว
เฉี่ยวเยว่กระแทกกับพื้นอย่างแรงแล้วกลิ้งไปอีกหลายรอบ จากนั้นนอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้น รู้สึกอับอายเหลือทน
“เฉี่ยวเยว่!” หลินหันเยียนกรีดร้องพร้อมกับวิ่งเข้าไปหา นั่งลงพยายามที่จะพยุงนางขึ้น
สาวใช้อีกคนหนึ่งก็วิ่งเข้าไป ทั้งสองช่วยกันพยุงนางขึ้น
คราวนี้เฉี่ยวเยว่ตกลงมาอย่างแรง นางจุกจนพูดไม่ออก
ตอนที่ 35-2 สังหารกลางถนน
หลินหันเยียนปวดใจมาก ยิ่งโกรธเกรี้ยวขึ้นอีกหลายเท่า นางช่วยให้เฉี่ยวไปพิงสาวใช้อีกคน จากนั้นพูดขึ้นพร้อมกับชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าช่างโหดเ**้ยมอำมหิตยิ่งนัก ลงมืออย่างหนักเช่นนี้ได้อย่างไร”
สายตาอันเย็นชาของเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องนางเขม็ง กล่าวว่า “คุณหนูหลิน สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือคนชี้หน้าใส่ข้า มือข้างนี้เจ้าไม่ต้องการแล้วหรืออย่างไร”
หลินหันเยียนตกใจจากท่าทางเย็นชาของนาง ตัวสั่นสะท้านขึ้นเดี๋ยวนั้น แล้วรีบดึงมือตัวเองกลับ ตะโกนขึ้นว่า “เจ้าช่างอวดดียิ่งนัก ที่กล้ามาทำร้ายสาวใช้ของข้าจนบาดเจ็บสาหัส วันนี้ข้าจัดการจนเจ้าต้องร้องหาบิดามารดา”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบะปากดูถูก ถามขึ้นอย่างเยาะเย้ยว่า “เมื่อครู่นี้ที่แม่นางหลินโดนตบหน้าไปสองฉาดนั่นยังน้อยเกินไปหรือ”
หลินหันเยียนลูบใบหน้าของตนโดยไม่รู้ตัว เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเพียงแต่อ่อนข้อให้เจ้าและประมาทไปเท่านั้น ตอนนี้เจ้ามาทำให้ข้าโกรธ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวกอดอกอย่างหน่ายใจ ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย พูดเหยียดหยามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เข้ามา ทำให้ข้าดูสิว่าคุณหนูหลินจะจัดการให้ข้าร้องไห้หาบิดามารดาอย่างไร”
เดิมทีหลินหานเยียนอายุยังน้อย จึงควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก เวลานี้โดนเมิ่งเชี่ยนโยวดูถูก กระตุ้นให้รู้สึกโกรธ พออารมณ์คุกรุ่นได้ที่ก็ชักกระบี่พลิ้วไหวออกมาจากเอวของตน ไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็แทงเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวโดยพลัน
เมิ่งอี้ตัวเย็นเฉียบ ร้องขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “น้องโยวเอ๋อร์ระวัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตทุกอิริยาบถของหลินหันเยียน พอเห็นว่าอยู่ๆ นางก็เล่นของหนัก ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย จนกระทั่งนางใกล้เข้ามา ปลายกระบี่ใกล้จะทิ่มแทงตัวเองแล้วนั้น จึงเบี่ยงตัวหลบ จากนั้นกระบี่ก็ย้อนกลับคืนหลินหันเยียน
ทุกคนเห็นเพียงแค่แสงจ้า
หลินหันเยียนรักษาท่าทางการถือกระบี่ไว้คงเดิมไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวถือกริชจ่ออยู่บนลำคอขาวผ่องของนาง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณหนูหลิน ยังอยากจะประลองอยู่ไหม”
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาไม่นาน กว่าทุกคนจะเห็นอะไรได้ชัดเจนมันก็ตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้แล้ว หลังจากสงบเงียบลงไม่นาน กลุ่มคนเหล่านั้นก็ส่งเสียงขึ้นว่า ดี ดี ต่อเนื่องขึ้นเป็นระลอก
หวงฝู่อวี้ไม่รู้ว่าด้านนอกนั้นเกิดอะไรขึ้น รู้สึกกระวนกระวายใจจนมีเหงื่อซึมออกมาเต็มหน้าผาก อ้อนวอนเหวินเปียวขึ้นว่า “เจ้าให้ข้าออกไปดูหน้าประตูเถอะนะ ข้ารับประกันว่าจะไม่ก้าวออกจากประตูนี้ไป”
เหวินเปียวนั่งนิ่งไม่ไหวติง ยังยืนขวางหน้าเขาไม่ยอมถอย
หลินหานเยียนตกใจจนแทบเสียสติ พยายามรักษาท่าทางนั้นไว้โดยไม่กล้าขยับ พอได้ยินคำถามจากเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลืนน้ำลายเอื้อกอย่างระวัง พูดขึ้นด้วยความสั่นเทิ้มว่า “ไม่ ไม่…”
ยังไม่ทันได้พูดจบ เสียงแหลมบาดหูของเฉี่ยวเยว่ก็ดังขัดจังหวะขึ้น “รีบปล่อยคุณหนูของเราเดี๋ยวนี้”
สาวใช้อีกคนหนึ่งก็ตกใจจนหน้าซีด นั่งกองอยู่ที่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวปรายตามองเฉี่ยวเยว่อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
เฉี่ยวเยว่หดตัวลงโดยไม่รู้ตัว แต่พอคิดถึงฐานะของหลินหันเยียนแล้วก็ยืดตัวขึ้นมา ยืนตัวตรงแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าคนชั้นต่ำ หากเจ้ากล้าทำร้ายคุณหนูของเรา นายท่านกับฮูหยินของเราไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ จะต้องเฉือนเนื้อแร่กระดูกเจ้าอย่างแน่นอน”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านราชเลขามีอำนาจพอที่จะทำอะไรสตรีของข้าได้” เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ได้พูดอะไร น้ำเสียงอันเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังฝูงชน
เฉี่ยวเยว่ตื่นตระหนก
หวงฝู่อวี้กลัวจนต้องปิดตาลง ร่ำให้ในใจ แย่แล้ว พี่ใหญ่มาแล้ว คราวนี้ตนต้องถูกลงโทษอีกเป็นแน่
คนที่ห้อมล้อมอยู่ต่างก็ตื่นตกใจ มัวแต่สนใจดูความวุ่นวาย จนไม่รู้ว่าซื่อจื่อมาตั้งแต่เมื่อใด
จึงรีบแหวกให้เป็นทางเดิน หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ซื่อ ซื่อจื่อ” เฉี่ยวเยว่ร้องเสียงตะกุกตะกัก พลันนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ตัวเองมีท่าทางน่าอับอายอยู่ จึงรีบจัดชุดให้เข้าที่เข้าทาง ปัดเศษดินเศษโคลนที่ติดอยู่บนตัวออก แล้วส่งยิ้มให้กับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างที่ตัวเองคิดว่าจะทำให้คนหลงเสน่ห์ได้
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ใด้สนใจมองนางแม้แต่น้อย เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวใช้กริชจออยู่ที่ลำคอของหลินหันเยียนก็ขมวดคิ้วมุ่น กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบางว่า “เก็บกริชลงเสีย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกริชลงตามที่เขาบอก
หลินหันเยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ปรับท่าทางให้เป็นปกติ
เฉี่ยวเยว่คิดว่าเขามีใจเข้าข้างหลินหันเยียน จึงรู้สึกดีใจ จึงฉวยโอกาสกล่าวฟ้องด้วยน้ำเสียงหวานหยาดเยิ้มว่า “ซื่อจื่อเจ้าคะ ท่านก็เห็นแล้วว่าเด็กสาวบ้านป่าอย่างนางไม่เพียงแต่ตบหน้าคุณหนู แต่ยังเตะจนข้าตัวลอย…”
“อี้เอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนร้องขึ้น
หวงฝู่อี้รับคำ “ซื่อจื่อ บ่าวรอรับคำสั่ง!”
“ตบปาก!”หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
“ขอรับ!”
หวงฝู่อี้รับคำสั่ง แล้วก็ก้าวเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉี่ยวเยว่อย่างรวดเร็ว นางยังไม่รู้สึกตัวเขาก็เงื้อมือขึ้นตบนางซ้ายขวาหลายต่อหลายครั้ง
เฉี่ยวเยว่แม้แต่ส่งเสียงร้องก็ยังไม่มี ก็โดนตบจนปากบวมเจ่อ
หลินหันเยียนอยากจะขอร้อง แต่กลับถูกไอสังหารที่อยู่รอบกายของหวงฝู่อี้เซวียนกดไว้จนรู้สึกหนาวเข้ากระดูก ตกใจจนถอยออกมาก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองกัวเฟยกับองครักษ์แวบหนึ่ง แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “เรื่องเล็กแค่นี้ยังต้องให้ถึงมือโยวเอ๋อร์ พวกเจ้าเป็นเพียงของตกแต่งหรืออย่างไร”
กัวเฟยกับองครักษ์ทุกคนต่างก็คุกเข่าลงทันที กล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงว่า “ผู้น้อยผิดไปแล้ว เชิญซื่อจื่อลงโทษ”
เมิ่งเชี่ยนโยววางกริชไว้กลางอก ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้โทษพวกเจ้ามิได้ แต่เป็นว่าที่ภรรยาที่มีสกุลรุนช่องของเจ้าอยากจะมาประลองฝีมือกับข้าหน่อย”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินดังนั้นจึงเดินมาหยุดตรงหน้าของนาง สำรวจตรวจตราดูนางตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าอย่างละเอียด แล้วถามขึ้นว่า “บาดเจ็บตรงไหนบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
เฉี่ยวเยว่ถูกตบจนปากบวมเจ่อขึ้น หวงฝู่อี้จึงหยุดแล้วมารายงานด้วยความนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อ ตบเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปากเฉี่ยวเยว่บวมขึ้น ส่งเสียงจิ๊จ๊ะดังขึ้นสองครั้ง จงใจกล่าวขึ้นว่า “สาวใช้อ่อนหวานคนนี้เป็นถึงคนที่ฮูหยินราชเลขาเตรียมไว้มอบให้แก่ซื่อจื่อ ซื่อจื่อช่างไม่รู้จักถนอมบุปผางามบ้างเลยหรือ พอมาถึงถึงสั่งให้คนตบตีจนแทบจะกลายเป็นหัวหมู”
“พูดจาเหลวไหลอะไร” หวงฝู่อี้เซวียนตำหนินาง
“ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหล คุณหนูหลินกับสาวใช้คนนั้นเป็นคนบอกข้าเอง” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนหันไปมองหน้าหลินหันเยียน
หลินหันเยียนพูดตะกุกตะกักขึ้นว่า “ท่าน ท่านแม่บอกว่าเฉี่ยวเยว่เป็นคนที่ต้องแต่งไปพร้อมกับข้า เป็น…”
ประโยคต่อไปนางไม่กล้าพูดต่อ
หวงฝู่อี้เซวียนกลับทำหน้าทมึงถึง หันกลับไปมองเฉี่ยวเยว่
เฉี่ยวเยว่ยังไม่รู้ว่าความตายกำลังเข้ามาเยือน มิหนำซ้ำยังคิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนนั้นเสียใจที่สั่งให้คนมาตบตีนาง จึงส่งสายตาอันน่าหลงใหลให้กับหวงฝู่อี้เซวียน ร้องขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “ซื่อ ซื่อจื่อ ข้า…”
“กัวเฟย!” หวงฝู่อี้เซวียนร้องเรียกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
กัวเฟยตอบรับ “ผู้น้อยรอรับคำสั่ง!”
“มอบความตาย!”
“ขอรับ!”
พูดจบ บริเวณรอบๆ ก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ ทุกคนที่อยู่ในถนนเส้นนั้นต่างก็เงียบกริบ
หลินหันเยียนเบิกตากว้างอย่างโง่งม
เฉี่ยวเยว่มึนงง
ทว่าหวงฝู่อวี้ก็ร้องเสียงหลงดังขึ้นมาจากในห้องว่า “พี่ใหญ่ ไม่ได้!”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วแล้วถามว่า “อวี้เอ๋อร์ก็อยู่หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ ตะโกนบอกคนที่อยู่ในห้องว่า “เหวินเปี่ยว ให้คุณชายรองออกมา!”
เหวินเปี่ยวได้ยินเสียงก็ไม่ขวางทางแล้ว หวงฝู่อวี้สาวเท้าออกมาสองก้าวก็พ้นจากประตูแล้ว เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนว่า “พี่ใหญ่ ไม่ได้เด็ดขาด”
หวงฝู่อี้เซวียนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เพราะเหตุใด”
“เพราะว่านางเป็นสาวใช้ที่ติดตามเยียนเอ๋อร์ เติบโตมาพร้อมกับเยียนเอ๋อร์ หากท่านมอบความตายให้แก่นาง เยียนเอ๋อร์จะต้องเสียใจมาก” หวงฝู่อวี้ตอบกลับโดยเร็ว
น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเย็นชาขึ้นหลายส่วน “เจ้ากำลังสอนข้าอยู่ใช่ไหม”
หวงฝู่อวี้ตกใจจนมือไม้สั่น “ไม่ใช่ พี่ใหญ่ ถึงแม้เฉี่ยวเยว่จะทำผิดไป แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขึ้นต้องตาย ท่านปล่อยนางไปเถิด”
หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองหลินหันเยียนแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างมีนัยแอบแฝงว่า “ไม่ว่าผู้ใดที่อาจเอื้อมต้องการข้ามันผู้นั้นสมควรตาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสาวใช้เพียงคนเดียว”
แต่ก่อนหลินหันเยียนเคยเห็นแต่ว่าหวงฝู่อี้เซวียนนั้นอบอุ่นอ่อนโยนมีมารยาท แต่ไม่เคยเห็นด้านมืดของเขาเช่นนี้ ทำให้ตกใจแทบแย่ เวลานี้ถูกเขาปรายตามองเพียงแวบเดียวก็ตกใจจนต้องเดินถอยหลัง แล้วทรุดกายนั่งลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เยี่ยนเอ๋อร์!” หวงฝู่อวี้ร้องเรียกขึ้นมา คิดจะเข้าไปประคองนางขึ้นแต่ก็รู้ตัวว่าไม่เหมาะสม จึงชะงัก แล้วหันไปสั่งสาวใช้อีกคนที่กำลังตกใจ “ยังไม่รีบเข้าไปพยุงคุณหนูของเจ้าขึ้นมาอีก!”
สาวใช้ก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ เดินออกไปด้วยขาอันสั่นเทา คุกเข่าลงคิดจะพยุงหลินหันเยียนขึ้นมา แต่ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง แทนที่จะได้ช่วยพยุงแต่กลับนั่งกองอยู่ที่พื้นด้วยกันกับหลินหันเยียน
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ใส่ใจพวกนาง สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “กัวเฟย ลงโทษประหารชีวิต!”
—————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น