ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 314-321

ตอนที่ 314 ลูกดิ้น

 

หวงฝู่ซวิ่นตีหัวตัวเองหนึ่งทีทันที “ช่วงนี้เสด็จพ่อเรียกข้าไปห้องทรงพระอักษรให้ข้าอ่านฎีกาทุกวัน ยังสอบถามความคิดเกี่ยวกับงานราชสำนักกับข้าด้วย ข้าจึงลืมเรื่องนี้ไปเลย”


 


 


“ดูแล้ววันดีของพี่ใหญ่ไม่ไกลแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเข้าใจความหมายของคำพูดนาง ยิ้มแล้วโบกมือ “อายุของเสด็จพ่อตอนนี้กำลังพอดี พระวรกายแข็งแรง ไม่ให้ข้าสืบราชบัลลังก์เร็วเยี่ยงนี้ ที่ให้ข้าช่วยอ่านฎีกาที่ถูกถวายเข้ามานั้น แค่อยากให้ข้าฝึกฝนก่อนเท่านั้นเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าหากพี่ใหญ่คิดขึ้นได้แล้ว ถ้าเยี่ยงนั้นท่านจะจัดการเอง หรือจะให้พวกข้าสองสามีภรรยาจัดการ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นไตร่ตรองสักครู่แล้วกล่าวว่า “ให้ข้าจัดการเถิด เจ้าดูว่าวันไหนเป็นวันดี ข้าจะได้ทูลลาล่วงหน้ากับเสด็จพ่อ”


 


 


“พี่ใหญ่ออกหน้าเอง วันไหนก็เป็นวันดี ท่านไปปรึกษาหารือกับฮ่องเต้เถิด แล้วค่อยกลับมาแจ้งข่าวที่แน่ชัดกับพวกเราก็พอแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว


 


 


หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า “วันนี้หลังจากข้าเข้าวัง ข้าจะรายงานเสด็จพ่อ พวกเจ้ารอข่าวจากข้าเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ “เจ้าค่ะ หลังจากพี่ใหญ่มีข่าวที่แน่ชัดแล้ว เราค่อยมาปรึกษาเรื่องรายละเอียดกัน”


 


 


มีเสียงรายงานของขันทีผู้ดูแลดังมาจากนอกตำหนักว่า “ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ส่งคนมาเรียกท่านเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นยิ้มแล้วลุกขึ้นมา “พี่ใหญ่ขอประทานโทษจริงๆ ยังไม่ทันได้ดูแลพวกเจ้าดีๆ เลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นมา เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องของราชสำนักสำคัญกว่า พี่ใหญ่ไปเถิด พวกข้าสองคนก็จะกลับแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ทั้งสามออกจากตงกงไปพร้อมกัน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่จวนอ๋องฉี มาถึงในเรือนของพระชายาฉี บอกเรื่องแต่งงานของชิงหลวนและจูหลีให้ท่านฟัง แล้วสอบถามความคิดเห็นของท่าน


 


 


พระชายาฉีคิดก็ไม่คิด กล่าวอย่างไม่ลังเลใจว่า “ที่จวนของเราแน่นอน ชิงหลวนและจูหลีเป็นคนของจวนเรา อย่าว่าแต่หมั้นหมายเลย หลังจากแต่งงานก็สามารถพักอยู่ที่จวนเราได้ ให้พ่อบ้านแบ่งห้องออกมาสองห้องก็ได้แล้ว”


 


 


“เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ได้เจ้าค่ะ เหวินซงเป็นลูกคนเดียวของเหวินเปียว พวกเขาสองสามีภรรยาต้องไม่ตกลงให้ชิงหลวนและเหวินซงมาอยู่ที่จวนแน่นอนเจ้าค่ะเสด็จแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว


 


 


พระชายาฉีจึงไม่พูดต่อ พักที่ใดก็เหมือนกัน อย่างไรทั้งสองก็ต้องมารับใช้เมิ่งเชี่ยนโยวที่จวนทุกวัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและพระชายาฉีพูดคุยหัวเราะกันสักพัก ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “ช่วงนี้อวี้เอ๋อร์ยุ่งอะไรหรือเจ้าคะ สองสามวันนี้ไม่เห็นเขาเลย”


 


 


 


 


ใบหน้าของพระชายาฉีแสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา “ตอนนี้อวี้เอ๋อร์เก่งมาก จัดการดูแลที่ดินและร้านค้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก จะเข้ามาทักทายทำความเคารพข้าทุกวัน แต่ท้องฟ้ามืดแล้วทุกวัน ข้าจึงไม่ได้ให้เขาไปรบกวนพวกเจ้า”


 


 


“ถ้าเยี่ยงนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้คุณหนูหลินก็หมั้นหมายแล้ว เสด็จแม่ก็ควรเริ่มจัดการเรื่องหมั้นหมายของอวี้เอ๋อร์ได้แล้ว”


 


 


“ข้ารู้แล้ว ช่วงก่อนที่พวกข้ารับสมัครหาคู่แล้วหญิงสาวเหล่านั้นที่มา ข้ารู้สึกว่ามารยาทดีกันทุกคน ตอนนั้นจึงเก็บภาพวาดและวันเดือนปีเกิดของพวกเขาไว้ ข้าเลือกคนที่ถูกใจมาหลายคน ให้อวี้เอ๋อร์ดู เขาก็บอกว่าดีหมด ข้าจึงตั้งใจจะส่งคนไปตรวจสอบดูก่อน ถ้าหากดีมากจริงๆ อย่างที่เห็น ข้าจะเลือกให้เขาคนหนึ่ง”


 


 


“ข้ารู้จักคนในเมืองหลวงไม่มาก เรื่องเลือกคนก็ต้องรบกวนเสด็จแม่แล้ว แต่ว่า เรื่องสืบข่าวตรวจสอบนั้น ก็ให้พวกข้าทำเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


ทั้งสองต่างมีองครักษ์ลับอยู่ในมือ เป็นมือดีในการสืบข่าว พระชายาฉีจึงไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มแล้วหยิบภาพวาดทั้งห้าภาพออกมา เปิดภาพแรกออก ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหญิงสาวในภาพนั้นอย่างชัดเจน “นี่คือลูกสาวอนุภรรยาของจวนอู่โหว มีท่าทางที่สง่างาม สุภาพและมีมารยาท เห็นว่าแม่แท้ๆ เสียชีวิตก่อนวัยอันควร จึงถูกนายหญิงอู่โหวเลี้ยงดูข้างกายตั้งแต่เด็ก ไม่แตกต่างกับลูกสาวภรรยาเอก”


 


 


แล้วเปิดภาพที่สองออก กล่าวว่า “นี่คือลูกสาวคนที่สองของผู้สอบสวนกลาง มีนิสัยร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส นิสัยเหมาะสมกับอวี้เอ๋อร์ แต่ว่าอายุต่างกันเล็กน้อย ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบห้าปี”


 


 


ภาพที่สามเป็นหญิงสาวที่สง่างามคนหนึ่ง “นี่คือลูกสาวของมหาเสนาบดีคนใหม่ เป็น…”


 


 


ลูกสาวของมหาเสนาบดีอีกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชอบใจจริงๆ จึงขัดจังหวะพระชายาฉีว่า “เสด็จแม่ คุณหนูโจวคนนี้เป็นคนไม่ยิ้มแย้ม อวี้เอ๋อร์ทนนิสัยแบบนี้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เราดูคนถัดไปกันเถอะ”


 


 


“จริงๆ แล้วแม่ก็ไม่ค่อยชอบนาง หญิงสาวคนนี้เป็นคนเจ้าระเบียบเกินไป ให้ความรู้สึกห่างเหินกับผู้อื่น แต่ว่าหลังจากเฮ่อจางเสียชีวิต ท่านพ่อของนางรับราชการเป็นมหาเสนาบดีคนใหม่ ฮูหยินมหาเสนาบดีก็แนะนำลูกสาวของตนอย่างดิบดี เพราะเหตุนี้แม่จึงเลือกภาพวาดของนางมา” พูดจบ จึงหยิบภาพวาดนี้ออกไป วางไว้ข้างๆ


 


 


ชี้ไปที่ภาพวาดที่สี่แล้วกล่าวว่า “นี่คือลูกสาวของท่านอู่สำนักงานราชวินิจฉัย อายุพอๆ กับอวี้เอ๋อร์ เป็นคนเรียบร้อยสง่างามเช่นกัน แต่เป็นเพราะท่านพ่อของนางเป็นใต้เท้าสำนักงานวินิจฉัย จึงไม่มีใครกล้าสู่ขอ ฉะนั้นจึงล่าช้าจนถึงตอนนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เหลือภาพสุดท้ายแล้ว


 


 


พระชายาฉีชี้แล้วกล่าวว่า “นี่เป็นหญิงสาวที่แม่พอใจที่สุด แต่ฐานะไม่ดีเท่าไร เป็นหลานสาวแท้ๆ ของหมอหลวงเจียง เป็นคนสวย นิสัยก็ดี วันนั้นที่ฮูหยินเจียงพานางมา ทันทีที่แม่เห็นนางก็ถูกใจทันที แต่ว่าฐานะของนาง ถ้าหากแม่ตกลงรับการหมั้นหมายนี้ คนเขาจะหาว่าข้าไม่ดีต่อลูกอนุภรรยาแน่ๆ”


 


 


“คนอื่นพูดอะไรไม่สำคัญ อวี้เอ๋อร์รู้สึกพอใจสำคัญที่สุด ข้าเอาภาพวาดทั้งสี่นี้ไป หลังจากให้องครักษ์ลับดูแล้ว ก็ให้ตรวจสอบทันที อย่างแรกคือนิสัยสำคัญที่สุด ส่วนอย่างอื่นนั้น ไม่ค่อยสำคัญหรอกเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบภาพวาดแล้วกลับมาที่เรือนของตน เรียกโจวอันเข้ามา สั่งให้เขาไปหาองครักษ์ลับที่เชี่ยวชาญด้านการสืบข้อมูลมาหลายคน


 


 


ลูกน้องของตนมีความสามารถอะไร ผ่านมาหลายปี โจวอันก็รู้จักเข้าใจอย่างถ่องแท้มานานแล้ว ไม่นาน ก็หามาสิบกว่าคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแบ่งพวกเขาออกเป็นกลุ่ม ทุกกลุ่มดูภาพวาดที่ไม่เหมือนกัน คิดว่าจะไปสืบข้อมูลในจวนที่ต่างกัน


 


 


ทุกคนรับคำสั่ง แล้วถอยออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน เดินมาข้างเตียง แล้วนอนตะแคงลงบนเตียง ลูบบนท้องตัวเองแล้วกล่าวว่า “วันนี้ข้ารู้สึกว่า…” ยังไม่ทันพูดจบ ก็ตกใจจนตาโต


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง รีบพุ่งมาข้างเตียงทันที กล่าวถามด้วยความกังวลว่า “เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้แต่ชี้ไปที่ที่ท้องตัวเองอย่างสุดแรง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งตื่นตกใจมากขึ้นไปอีก รีบกล่าวว่า “ข้าให้คนไปเรียกหมอมา” พูดจบ ก็หันหลังจะเดินออกไปข้างนอกทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับมือเขาไว้ กล่าวด้วยความตกใจและดีใจว่า “ขยับแล้ว พวกเขาขยับแล้ว”


 


 


“อะไรขยับ…” หวงฝู่อี้เซวียนหันหลัง เพี่งจะพูดไม่กี่คำ ก็รู้สึกตัวทันที ตาโต ดีใจมาก “เจ้าหมายความว่า…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหงึกๆ “ลูก ลูกของเราดิ้นแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตื่นเต้นอย่างมาก “อยู่ที่ใด ขยับเยี่ยงไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับมือของเขาวางบนท้องของตน อยากให้เขาสัมผัสการเคลื่อนไหวของลูก แต่รอแล้วรออีกลูกก็ไม่ขยับ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจึงค่อยๆ ลูบบนท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวไปมาหนึ่งรอบ ก็ยังไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหนแม้แต่น้อย จึงปล่อยมืออย่างผิดหวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนมองสีหน้าผิดหวังของเขาไม่ได้ จึงปลอบเขาว่า “ตอนนี้ลูกยังเล็ก ยังไม่ค่อยดิ้น รอโตกว่านี้อีกนิด ก็จะเป็นเรื่องที่บ่อยมากขึ้น ถึงตอนนั้น เจ้าลูบเท่าใดก็ได้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจึงยิ้มออกมาได้ นั่งลงบนเก้าอี้นุ่มข้างเตียง มือยังคงลูบไปมาบนท้องของนาง ด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข “โยวเอ๋อร์ เจ้าว่าพวกเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”


 


 


“ผู้ชายแน่นอน ผู้ชายเกเร ดิ้นเร็ว ข้าท้องยังไม่ถึงสี่เดือน ก็เริ่มขยับแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่เห็นด้วย “ข้าว่าเป็นผู้หญิง ผู้หญิงจะใส่ใจรายละเอียดมาก นางกลัวว่าเจ้าจะไม่รู้ว่านางเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง จึงทักทายเจ้าก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเขาเป็นแค่เด็กที่เพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่าง จะมีความคิดแบบนี้ได้อย่างไร”


 


 


“ข้าว่าใช่ก็ใช่ ใช่แน่นอน ใช่ที่สุด ใช่แน่ๆ” ไม่รู้เพราะเหตุใด ท่าทีของหวงฝู่อี้เซวียนจึงมั่นใจมาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรีบเห็นด้วยกับเขา “ใช่ๆๆ ถ้าหากพ่ออย่างเจ้าบอกว่าพวกเขาเป็นผู้หญิง ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเขาก็เป็นผู้หญิงแน่นอน”


 


 


มือสัมผัสไม่ได้ หวงฝู่อี้เซวียนจึงแนบหูลงไปบนท้องของนางทันที ฟังอย่างละเอียดสักพัก ยังคงไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดๆ จึงเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวว่า “ตามนิสัยของท่านแม่ทั้งสองแล้ว ถ้าหากเจ้าคลอดลูกสาวหนึ่งคน ลูกชายหนึ่งคน ต่อไปพวกเขาก็จะไปเร่งเจ้าอีก แต่ถ้าหากเจ้าคลอดลูกชายสองคน คิดว่าเสด็จแม่ทั้งสองจะต้องเพ่งมองท้องของเจ้าอีก ข้าไม่อยากให้เจ้าลำบากอีก”


 


 


“แล้วถ้าหากเป็นลูกสาวทั้งสองล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม


 


 


“อันนี้ข้าก็คิดไว้แล้ว ลูกสาวทั้งสองก็ลูกสาวทั้งสองเถิด ต่อไปจวนนี้ก็ให้ลูกชายของอวี้เอ๋อร์สืบทอดต่อ ข้าจะได้ไปใช้ชีวิตอิสระกับเจ้า”


 


 


“เจ้าเดาดูว่าหากเสด็จพ่อได้ยินประโยคนี้ของเจ้า จะตีเจ้าจนตายหรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “แน่นอน”


 


 


หลังจากนั้นก็แสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ฉะนั้นข้าตั้งใจจะแอบหนีไป โยนลูกสาวสองคนทิ้งไว้ให้เขา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “เจ้านี่จริงๆ เลย แม้แต่เสด็จพ่อเจ้ายังกล้าทำเยี่ยงนี้”


 


 


ถึงเวลากลางคืน หวงฝู่ซวิ่นส่งคนมาแจ้งข่าว บอกว่าเขาได้รายงานฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้สนับสนุนอย่างมาก แล้วยังชื่นชมเขาว่าเขามีจิตใจกว้างขวางเยี่ยงนี้ ต่อไปต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดีแน่นอน ส่วนตัวเองก็สามารถวางใจยกชาติบ้านเมืองให้เขาได้แล้ว แล้วให้คนมาสอบถามอีกว่า เลือกวันรับสมัครหาคู่เป็นวันใด


 


 


หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยิน ก็ยิ้มแล้วสั่งขันทีที่มาแจ้งข่าวว่า “เจ้ากลับไปรายงานไท่จื่อว่า ข้าและซื่อจื่อยังต้องทำอะไรหลายอย่าง เพื่อเตรียมความพร้อม รอหลังจากเลือกวันที่แน่ชัดแล้ว จะส่งคนไปแจ้งข่าวไท่จื่อ”


 


 


ขันทีที่มาแจ้งข่าวรับคำสั่ง แล้วกลับไปรายงานที่ตงกง


 


 


วันที่สอง เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนไปเป่ยเฉิงพบเปาชิงเหอ บอกเขาเรื่องที่ไท่จื่อจะช่วยรับสมัครหาคู่ให้เหล่าทหารที่พิการในโรงงาน


 


 


หลังจากที่เปาชิงเหอได้ยิน ต่างก็ชื่นชมว่า “ไท่จื่อจิตใจดี แม้แต่เรื่องอย่างนี้ก็สามารถคิดเผื่อเหล่าทหาร ต่อไปหลังจากสืบราชบัลลังก์แล้ว ต้องได้รับความรักจากประชาชนมากมายแน่นอน”


 


 


พูบจบ ก็กล่าวอีกว่า “ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมีเรื่องอะไรจะกำชับอีกหรือไม่ ข้าจะทำตามอย่างสุดความสามารถแน่นอนขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “พูดว่ารับสมัครหาคู่ ก็คืองานหาคู่นั้นเอง ท่านเปาติดประกาศก่อนว่า หญิงสาวในเป่ยเฉิงที่มีอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ล้วนมาสมัครได้ทั้งนั้น เงื่อนไขคือต้องยินยอมใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่ถูกคนในครอบครัวบังคับมา หลังจากรวบรวมเสร็จแล้ว พวกเราก็เลือกวันมาหนึ่งวัน ให้หญิงสาวพวกนี้และเหล่าทหารที่พิการได้พบเจอกัน สำหรับคู่ที่ถูกใจกัน ชอบพอกัน ก็ให้มาบอกพวกข้าตรงๆ ก็พอ”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้า “ข้อนี้ง่ายขอรับ ข้าจะไปร่างประกาศทันที หลังจากที่ซื่อจื่อเฟยอ่านแล้ว คิดว่าใช้ได้ ข้าจะให้คนไปติดประกาศทันทีขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า


 


 


เปาชิงเหอให้คนยกน้ำและน้ำชาเข้ามา ส่วนตัวเองไปห้องโถงด้านหน้าเพื่อร่างประกาศ


 


 


ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมาที่ศาลาว่าการ กุนซือและเจ้าหน้าที่ต่างตื่นเต้นกันมาก ต่างรู้สึกว่าสุสานของบรรพบุรุษของตนนั้นมีควันออกมา จึงทำให้พวกเขามีโอกาสได้พบซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟย ต้องรู้ว่า ตอนที่ได้รับมอบหมายให้มาเป่ยเฉิงที่กันดารนี้ ในใจของพวกเขาต่างสิ้นหวังกันมาก เงินเดือนไม่มาก ไม่มีน้ำ ไม่มีน้ำมัน แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในเมืองหลวงทั้งสี่ แต่ก็ห่างไกลกับฮ่องเต้ผู้สูงส่งมาก เพราะว่าหลายปีมาแล้ว อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เลย แม้แต่ขุนนางที่สูงกว่าท่านเปาหนึ่งขั้นก็ไม่เคยมาที่นี่เลย วันนี้ดียิ่ง ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมาแล้ว ที่ทำการที่ดูไม่ได้ของพวกเขาก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ในใจของพวกเขาที่ไม่เคยมีความภูมิใจและความเย่อหยิ่ง ฉะนั้น ทุกคนต่างยืดอก ยืนตรงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีท่าทางขี้เกียจแม้แต่น้อย


 


 


ตอนที่เปาชิงเหอเดินมาจากห้องโถงด้านหลัง เห็นสถานการณ์ตึงเครียดนี้ ก็ตกใจอย่างมาก จึงกล่าวถามกุนซือว่า “มีเรื่องอะไรหรือไม่”


 


 


กุนซือที่ตัวเล็กที่ปกติฉลาดหลักแหลมมาก วันนี้ก็รู้สึกว่าตนสูงขึ้นไม่น้อย พยักหน้าแล้วกล่าวตอบไปว่า “รายงานท่าน ไม่มีขอรับ”


 


 


“ถ้าเยี่ยงนั้นเหตุใดพวกเจ้า…”


 


 


“ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมา เราจะทำให้ศาลาว่าการขายหน้าไม่ได้ขอรับ” เจ้าหน้าที่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด


 


 


เปาชิงเหอเข้าใจในทันที ยิ้มแล้วมองทุกคน “ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยได้นำเรื่องดีอีกหนึ่งเรื่องมาให้คนเป่ยเฉิงของเรา พวกเจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเรื่องอะไร”



 

 

 


ตอนที่ 315

 

ภาพลักษณ์ที่เป็นระเบียบมลายหายไปทันที ต่างวิ่งมาด้านหน้าเปาชิงเหอทันที ในบรรดานั้นกุนซือวิ่งเร็วที่สุด แทบจะพุ่งเข้ามาหาเปาชิงเหอ กล่าวถามด้วยสายตาที่เป็นประกายว่า “นายท่าน เรื่องอะไรหรือขอรับ”


 


 


เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ล้อมเข้ามาทันที มองเขาด้วยสายตาที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ


 


 


กวาดสายตามองลูกน้องของตนหนึ่งรอบ เปาชิงเหอยื่นมือขวาออกมา ลูบเคราของตัวเองไปมา ยิ้มแล้วบอกเรื่องราวที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนจะทำให้ทุกคนฟัง


 


 


ทุกคนต่างไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ตาเบิกโพลงกันทุกคน


 


 


ส่วนกุนซือนั้นตบขาตัวเองทันที “นายท่าน สิ้นแล้วขอรับ”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเปาชิงเหอหยุดชะงักไป สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “กุนซือ ข้ายังดีๆ อยู่ สิ้นแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


 


 


กุนซือรู้ทันทีว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว รีบอธิบายทันทีว่า “นายท่าน ข้าไม่ได้หมายความว่าท่านสิ้นแล้ว ข้าว่าข้าต่างหากที่สิ้นแล้ว”


 


 


เปาชิงเหอขมวดคิ้ว “เจ้าสิ้นอะไร”


 


 


“หลังจากภรรยาที่อายุสั้นของข้าเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้เดือนสามข้าเพิ่งจะแต่งงานใหม่ หากข้ารู้ว่าไท่จื่อจะมาจัดงานรับสมัครหาคู่ด้วยตน ข้า ข้า ข้าจะไม่สู่ขอภรรยาคนนี้แน่นอน”


 


 


เจ้าหน้าที่ทุกคนหัวเราะออกมาทันที เปาชิงเหอก็หัวเราะแล้วกล่าวว่าเขาว่า “เจ้าอายุปูนนี้แล้ว ยังจะไปวุ่นวายอีก เจ้านี่แก่แล้วยังไม่รู้จักอายจริงๆ ”


 


 


ทุกคนหัวเราะออกมาอีกครั้ง


 


 


เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อายุยังน้อยยกมือขึ้นจนถึงหน้าอกตน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายท่าน ข้าไม่ใช่คนแก่แล้วหน้าไม่อาย สามารถเข้าร่วมได้หรือไม่ขอรับ”


 


 


กุนซือยิ้มแล้วถีบไปหนึ่งที “ไปให้พ้น เจ้ามาวุ่นวายอะไร”


 


 


เจ้าหน้าที่ที่อายุน้อยก็ไม่ได้หลบ หลังจากถูกถีบหนึ่งทีแล้ว ก็ยังคงยิ้มอยู่


 


 


เปาชิงเหอโบกมือ “พอแล้ว ควรทำอะไรก็ไปทำ เจ้าน่ะ เจ้าไปฝนหมึก”


 


 


ทุกคนรับคำสั่ง เจ้าหน้าที่ทุกคนกลับไปที่เดิม ยืนตรง กลับไปเป็นท่าทีที่เป็นระเบียบเหมือนเดิม


 


 


ส่วนกุนซือนั้นช่วยเปาชิงเหอฝนหมึกเสร็จแล้ว ก็ยืนอยู่ข้างๆ เขย่งขา แอบมองว่าเขาเขียนอะไร


 


 


เปาชิงเหอร่างประกาศเสร็จแล้ว ก็รีบเอาไปที่ห้องโถงด้านหลังทันที


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวดูแล้ว ก็พยักหน้า แล้วกล่าวว่า “เพิ่มกำหนดการรับสมัครลงไปก็พอแล้ว”


 


 


“ซื่อจื่อเฟยคิดว่าจัดวันไหนดีขอรับ” เปาฉิงเหอกล่าวถาม


 


 


“หลังจากห้าวันนี้เถิด เวลาห้าวันนี้พอให้คนในเป่ยเฉิงได้ฟังข่าวนี้ แล้วทำเสื้อผ้าที่สวยงามให้ลูกสาวในครอบครัว”


 


 


เปาชิงเหอกล่าวในใจว่า ไม่ต้องถึงห้าวัน เกรงว่าทันทีที่ติดประกาศนี้ พวกคนที่มีลูกสาวในครอบครัว จะต้องทำเสื้อผ้าให้เสร็จภายในคืนเดียวแน่นอน ในใจคิดเยี่ยงนี้ แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา แล้วรับคำสั่ง


 


 


“ถ้าให้ดีที่สุดเมื่อถึงเวลาท่านเปาควรบอกพวกเขาว่าขอแค่ทั้งสองฝั่งถูกใจกัน จะให้พวกเขาแต่งงานกันให้เร็วที่สุด”


 


 


เปาชิงเหอรับคำสั่งอีกครั้ง


 


 


เตรียมงานเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนจึงออกจากที่ว่าการ แล้วมาที่โรงงาน


 


 


ส่วนเปาชิงเหอก็ไปเขียนประกาศอีกหลายใบ แล้วสั่งคนไปติดที่จุดประจำที่ติดประกาศ


 


 


มันฝรั่งยังเก็บเกี่ยวไม่ได้ หญิงสาวและชายหนุ่มในเป่ยเฉิง ทั้งคนแก่และเด็กแทบจะทุกคนต่างว่างอยู่บ้านเพื่อรอเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ใช้แรงงาน ยืนอยู่บนถนน เหมือนเมื่อก่อนที่ยืนรอทำงาน เห็นว่ามีประกาศออกมา จึงล้อมวงกันไปดูด้วยความแปลกใจ กล่าวถามกับเจ้าหน้าที่ว่าบนประกาศนั้นเขียนว่าอะไร หลังจากได้ยินแล้ว ก็ระเบิดลงทันที พระเจ้า อายุมากขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีงานรับสมัครหาคู่ อีกสิ่งหนึ่งที่ยิ่งทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้นที่สุดคือ งานรับสมัครหาคู่นี้ไท่จื่อเป็นคนจัดการด้วยตนเอง


 


 


ไท่จื่อ ฮ่องเต้คนต่อไปของรัฐอู่ จะมาเป่ยเฉิงที่กันดารนี้จริงๆ นี่เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาดที่จะได้พบกับมังกรคนต่อไปด้วยตาของตน อย่าว่าแต่คนที่มีลูกสาวในครอบครัวเลย คนที่ไม่มีลูกสาว แทบจะทนไม่ไหวอยากกลับไปคลอดลูกสาวที่บ้านออกมาหนึ่งคนทันที เพื่อมาร่วมงานรับสมัครหาคู่นี้


 


 


เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ข่าวนี้แทบจะกระจายไปทั่วเป่ยเฉิง คนในเป่ยเฉิงคึกคักขึ้นมาทันที เป็นเหมือนกับที่เปาชิงเหอคิดไว้เยี่ยงนั้นเลย ครอบครัวของคนที่ตรงตามเงื่อนไขทั้งคนแก่ไปจนหญิงสาวทั้งสามรุ่นต่างลงมือ ทำเสื้อผ้าใหม่ให้หญิงสาวในบ้านทันที ส่วนคนที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขนั้น แทบจะใช้สมองทั้งหมด เพื่อคิดว่ามีวิธีใดบ้าง ที่สามารถทำให้ลูกสาวของตนสามารถร่วมงานได้


 


 


คนในเป่ยเฉิงทุกบ้านนั้นเหมือนมีงานมงคลทุกบ้าน ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข


 


 


ส่วนเหล่าทหารที่พิการในโรงงานนั้น ได้ยินข่าวดีที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับพวกเขา ต่างหยุดชะงักไปทันที ต่างมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาเหลือเชื่อ


 


 


“เป็นเยี่ยงไร หรือพวกเจ้าไม่ยอม” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม


 


 


ทหารคนหนึ่งที่เสียขาซ้ายไปข้างหนึ่ง ที่ยังถือกุนเชียงที่ใส่ได้ครึ่งเดียวด้วยมือที่สั่น กล่าวถามด้วยน้ำเสียงติดอ่างว่า “นายหญิง ท่าน ท่านพูดจริงหรือ”


 


 


“ข้าเคยพูดล้อเล่นกับพวกเจ้าหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม


 


 


เหล่าทหารทุกคนต่างได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของตน หันหลัง เจ้าสบตาข้า ข้าสบตาเจ้า แล้วรู้สึกตัวขึ้นทันที ตื่นเต้นขึ้นมา คนที่หั่นเนื้อหมูก็หั่นไม่เป็นแล้ว ใส่กุนเชียงก็ใส่ไม่เป็นแล้ว ยกมือขึ้นโห่ร้องเหมือนกับชนะสงครามมา “พวกเราจะได้แต่งเมียแล้ว”


 


 


เสียงก้องกังวานนั้นทำให้หลังคาบ้านแทบสั่น และดังจนทำให้สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนขรึมลงทันที


 


 


ในขณะที่เหล่าทหารทุกคนกำลังโห่ร้อง ไม่มีคนสังเกตเห็นสีหน้าของเขาสักคน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนอยู่ข้างๆ เขากลับรู้สึกได้ ยื่นมือขวาของตนออกมา กุมมือซ้ายของเขาไว้ ยิ้มแล้วกระซิบว่า “ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้ตกใจ”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนจึงอ่อนลงเล็กน้อย กุมมือนางไว้แน่น


 


 


เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารทำให้คนงานในโรงงานอื่นตื่นตกใจ ต่างยื่นหูฟังด้วยความแปลกใจว่าฝั่งนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วมองมาที่ทุกคน จนอารมณ์ของเหล่าทหารทุกคนสงบลง จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฉะนั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้ให้พวกเจ้าเริ่มหยุดงาน พวกเจ้าที่ควรเตรียมตัวก็ไปเตรียมตัว ควรซื้อเสื้อผ้าก็ไปซื้อเสื้อผ้า ควรแต่งตัวก็ไปแต่งตัว…”


 


 


ทหารคนหนึ่งดีใจมากเกินไป ขัดจังหวะคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว “พวกข้าไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย แต่งตัวอะไรกัน”


 


 


“ไม่แต่งตัวก็ได้ รอให้คนอื่นหาคู่สำเร็จ เหลือแค่เจ้า เจ้าก็เตรียมร้องไห้ได้เลย” เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้โมโห ยิ้มแล้วหยอกล้อแกล้งเขา


 


 


ทุกคนหัวเราะออกมาทันที


 


 


ทหารคนนี้จับท้ายทอยของตน แล้วหัวเราะตามออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเรื่องเมื่อครู่ต่อว่า “ภายในห้าวันนี้ ทุกวันทุกคนจะได้รับเงินค่าจ้างครึ่งหนึ่ง มั่นใจได้เลยว่าพวกเจ้าจะไม่อดตาย พวกเจ้าไปเตรียมตัวให้เต็มที่เถิด”


 


 


เสียงโห่ร้องที่ทำให้หลังคาบ้านแทบปลิวดังขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกวาดสายตามองทุกคนหนึ่งรอบ “แต่ว่า ถ้าหากข้ารู้ว่าในห้าวันนี้มีคนทำเรื่องที่เกินเหตุ จุดจบจะเป็นเยี่ยงไรให้พวกเจ้านึกภาพด้วยตัวเองเถิด”


 


 


ส่วนเรื่องเกินเหตุที่ว่านั้น ก็คือพวกเขาใช้เวลาว่างในช่วงนี้ เอาตั๋วเงินที่ตนหามาได้อย่างยากลำบาก ไปใช้ในที่สถานรื่นเริงต่างๆ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างชัดเจน เหล่าทหารทุกคนก็ฟังอย่างเข้าใจ ทหารคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ออกเสียงรับประกันว่า “นายหญิง ท่านวางใจเถิด ถ้าหากผู้ใดกล้าทำเรื่องแบบนั้น ข้าคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไป”


 


 


ทหารที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นด้วยทันที “นายหญิง ท่านวางใจเถิด พวกข้าเป็นคนที่กำลังจะมีภรรยา ใครก็ไม่โง่โยนเงินไปในที่แบบนั้น”


 


 


“ใช่ๆ มีเงินนี้ เก็บไว้ให้ภรรยาของตัวเองจะดีกว่า อย่างน้อยนางจะได้เป็นห่วงเป็นใยพวกข้าบ้าง” ทหารคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


 


ทุกคนหัวเราะออกมาอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “ถ้าเป็นเยี่ยงนี้ก็ดีที่สุด สงบใจลงแล้วทำงานวันนี้ให้เสร็จ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาแล้ว”


 


 


ทุกคนรับคำสั่งพร้อมกัน แล้วกลับไปที่ตำแหน่งของตัวเอง ก้มศีรษะแล้วเริ่มทำงานของตน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาจากโรงงาน เมิ่งฉียิ้มแล้วเดินเข้ามา กล่าวถามว่า “ได้ยินข่าวดีนี้ พวกเขาดีใจจนบ้าไปแล้วใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวตอบว่า “ดีใจจนบ้าไม่มี ดีใจจนโง่นั้นมีจริงเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งฉีหัวเราะออกมา


 


 


“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ข้าให้พวกเขาหยุดห้าวัน ผู้จัดการอันก็จะได้เตรียมงานหมั้นหมายด้วยพอดี” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


เมิ่งฉีรับรู้ “เมื่อครู่ผู้จัดการอันเห็นพวกเจ้ามา ก็อยากถามเรื่องหมั้นหมาย” พูดไปด้วย ก็ชี้ไปที่ประตูห้องพักชั่วคราว ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่ไง ตอนนี้ยังรออย่างใจจดใจจ่ออยู่”


 


 


ทั้งสามยังไม่ทันเดินไปถึงหน้าประตู ผู้จัดการอันก็ออกมาต้อนรับทันที มองสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “นายหญิง เรื่องหมั้นหมายของข้ากับคุณหนูเหวิน…”


 


 


“ไปเตรียมตัวเถิด รอข้าเลือกวันมงคลได้แล้ว จะจัดงานหมั้นหมายให้พวกเจ้าทันที”


 


 


ผู้จัดการอันก้มตัวลงต่ำทำความเคารพทันที กล่าวซ้ำไปซ้ำมาด้วยความดีใจว่า “ขอบพระคุณขอรับนายหญิง ขอบพระคุณขอรับ”


 


 


ทั้งสามเดินเข้ามาในห้องพักชั่วคราว ผู้จัดการอันสายตาดีรีบยกน้ำชาสองแก้วและน้ำเปล่าหนึ่งแก้วมาทันที วางตรงหน้าทั้งสาม “นายหญิง ข้าเข้าไปดูในโรงงานก่อนนะขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ผู้จัดการอันเดินถอยออกไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ผู้จัดการทุกคนต่างกลับไปหาที่เปิดร้านแล้ว ในเมืองหลวงนี้จะเปิดเมื่อไหร่” เมิ่งฉีกล่าวถาม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เมื่อใดก็ได้เจ้าค่ะ ตอนนี้ที่ข้าคิดคือหลังจากพี่เมิ่งอี้ไปช่วยทุกที่เปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งแล้ว ใครจะมาดูแลร้านในเมืองหลวง อีกไม่กี่เดือนข้าก็จะคลอดแล้ว พี่ก็ยุ่งกับโรงงาน”


 


 


เมิ่งฉียิ้มแล้วส่ายหัวไปมา “มีแต่คนบอกว่าหลังจากผู้หญิงตั้งครรภ์แล้วจะกลายเป็นคนโง่ ดูท่าแล้วแม้แต่เจ้าก็ไม่เว้น เจ้าลืมไปแล้วหรือ พี่สะใภ้รองกับพี่สะใภ้อิ๋งจื่อก็ว่างอยู่ ยังมีพี่สะใภ้โจวอิ๋ง นางก็สามารถช่วยได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าผากตัวเองแรงๆ หนึ่งที “ข้าโง่จริงๆ ลืมได้อย่างไรว่าพี่สะใภ้ที่ฉลาดทั้งหลายนี้ของข้ายังอยู่เมืองหลวง”


 


 


นางใช้แรงมากไป ไม่เพียงแต่เสียงดัง เพียะ บนหน้าผากมีรอยแดงเหลืออยู่ หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น แล้วเดินมาข้างหน้านางทันที ยื่นมือออกมาค่อยๆ ช่วยนางลูบหน้าผาก แล้วเขม่นมองเมิ่งฉีด้วยสายตาไม่พอใจ


 


 


เมิ่งฉีไอออกมาด้วยความมึนงง รีบยกน้ำชาขึ้นดื่มหลายคำทันที เพื่อปกปิดรอยยิ้มในใจของตน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย “อี้เซวียน ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ใช้แรง ไม่เจ็บ”


 


 


มองหน้าผากที่แดงก่ำของนาง หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยความเจ็บปวดว่า “แดงเยี่ยงนี้แล้ว จะไม่เจ็บได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบตาทั้งสองขึ้นด้านบนในใจ กล่าวในใจว่า บนหน้าผากของข้านั้นแม้ว่าจะไม่ใช่เพราะตัวเองตีจนแดง ก็แทบจะถูกเจ้าลูบจนแดงแล้ว แต่ประโยคนี้นางไม่กล้าเอ่ยออกมา ทำได้แค่เอ่ยออกมาว่า “ข้ากระหายน้ำ อยากดื่มน้ำ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจึงจะหยุดลง แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้เมื่อครู่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ค่อยชอบน้ำชา หลังจากตั้งครรภ์ ก็ถูกทุกคนสั่งห้ามดื่มน้ำชาแม้แต่คำเดียว นางเชื่อฟังมาก ดื่มน้ำเปล่ามาโดยตลอด แต่วันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เห็นน้ำชาตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ได้กลิ่นหอมกรุ่นที่มาจากน้ำชา นางกระหายมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา จึงค่อยๆ ยื่นมือออกมา ทำเป็นเหมือนเคาะโต๊ะ ค่อยๆ ขยับไปทางแก้วชาที่อยู่ข้างๆ มือของหวงฝู่อี้เซวียน รอจนใกล้ถึงแล้ว ก็ยกขึ้นมาทันที จะดื่มหนึ่งคำ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนางตลอดเวลา เห็นท่าทางที่เหมือนเด็กน้อยของนาง ที่อยากแอบดื่มน้ำชาของเขา ทั้งโมโหและทั้งขำ เห็นนางใกล้ดื่มแล้ว จึงตั้งใจกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทันทีว่า “หากเจ้ากล้าดื่มลงไป รอดูว่าหลังจากกลับจวนแล้วข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ รีบวางแก้วชาในมือกลับไปด้านหน้าเขาทันที ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่ข้าอยากดื่ม ลูกชายเจ้าต่างหากที่อยากดื่ม แล้วให้ข้าช่วยชิมแทนเขาก่อน”


 


 


พรวด น้ำชาในปากของเมิ่งฉีพุ่งออกมาทันที เต็มตัวหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


“พี่รอง” เมิ่งเชี่ยนโยวสะบัดน้ำชาบนตัวของตน แล้วเรียกด้วยความไม่พอใจ


 


 


เมิ่งฉีไอค่อกแค่กไปด้วย โบกมือไปด้วย “นี่…นี่…โทษข้า…ไม่ได้ ใคร…ให้เจ้า…พูด…เยี่ยง…นี้…กัน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ใส่ใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาด้วยความใจเย็น ลุกขึ้นแล้วเดินมาข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว เช็ดน้ำชาบนตัวของนางให้สะอาดก่อน จึงจะค่อยๆ เช็ดของตน ได้ยินเสียงไอของเมิ่งฉีหยุดลงแล้ว จึงกล่าวถามอย่างช้าๆ ว่า “พี่สะใภ้รองไม่เคยพูดเยี่ยงนี้กับพี่รองหรือ”


 


 


ครั้งนี้เมิ่งฉีสำลักน้ำลายของตัวเอง ไอค่อกแค่กออกมาแทบเป็นแทบตาย


 


 


จนเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกสงสารเขา ยกน้ำเปล่าของตนยื่นให้เขา “พี่รอง พี่ดื่มน้ำเปล่าก่อนเถิด”


 


 


เมิ่งฉีโบกมือไปมา


 


 


ผ่านไปสักพัก เมิ่งฉีจึงจะหน้าแดงแล้วหยุดไอ เขม่นมองหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ใส่ใจ ทำเหมือนกับว่าไม่เห็นสายตาที่ไม่พอใจของเขา ยกน้ำชาขึ้น แล้วดื่มอย่างสบายใจหลายคำ


 


 


เมิ่งฉีแสดงรอยยิ้มเลศนัยออกมา เห็นเขากลืนลงไปแล้ว จึงตั้งใจกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ารู้สึกว่าน้ำชาของข้าก็พุ่งเข้าไปในแก้วชาของเจ้าเช่นกัน”



 

 

 


ตอนที่ 316 ทางเลือก

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ดีขึ้นมาทันที มองเมิ่งฉี แล้วมองแก้วชาในมือของตัวเอง ตุ้บ วางแก้วชาลงบนโต๊ะทันที ปิดปากแล้ววิ่งพรวดออกไป


 


 


เสียงอาเจียนดังเข้ามาจากข้างนอก


 


 


เมิ่งฉียิ้มไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างภูมิใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา ฝั่งหนึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตน อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นสามี นางเข้าข้างฝั่งไหนก็ไม่ดี จึงยกแก้วน้ำข้างหน้าตัวเองขึ้นมา อยากดื่มน้ำ แต่คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของเมิ่งฉี ท้องไส้ก็ปั่นป่วนขึ้นมาทันที รีบยกแก้วน้ำไปไกลๆ แล้วกล่าวกับเมิ่งฉีว่า “พี่รอง พี่ไปเปลี่ยนแก้วน้ำให้ข้าเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งฉีรับแก้วน้ำมา แล้วค่อยๆ กระซิบ ด้วยน้ำเสียงเบาๆ ด้วยความภูมิใจกับนางว่า “ข้าหลอกเขา เจ้าก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือ” แต่สุดท้าย ก็ลุกขึ้น เปิดผ้าม่านประตูออก ไม่แม้แต่จะมองหวงฝู่อี้เซวียนที่อาเจียนไม่หยุด เทน้ำทิ้งอีกทางหนึ่ง แล้วกลับมา เทน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ยื่นให้ถึงมือเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มไปหลายคำ หวงฝู่อี้เซวียนจึงจะเดินเข้ามาด้วยท่าทางเอนไปมา แล้วนั่งเอนลงไปบนเก้าอี้ทันที เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นแก้วน้ำของตัวเองไปด้านหน้าเขาทันที “บ้วนปากเถิด พี่รองแค่แกล้งเจ้าน่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนรับมา ยกน้ำเปล่าแล้วเดินออกไป จนถึงตอนที่กลับมา น้ำในแก้วนั้นหมดไปแล้ว วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ ไม่พูดจา ค่อยๆ จับมือเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมาแล้วเดินออกไปทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปกับเขาอย่างเชื่อฟัง


 


 


คำพูดที่เมิ่งฉีอยากพูดออกมาขัดขวางนั้นติดอยู่ตรงลำคอ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้า สั่งโจวอันให้กลับจวนทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนเขา “ยังไม่ได้แจ้งข่าวให้ไท่จื่อเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งออกไปข้างนอกว่า “ไปรายงานไท่จื่อ งานรับสมัครหาคู่จัดหลังจากห้าวันที่จะถึงนี้”


 


 


โจวอันรับคำสั่ง


 


 


องครักษ์ลับคนหนึ่งรีบรุดไปที่ตงกงทันที


 


 


“เรื่องนี้เราควรแจ้งท่านน้าทรงทราบก่อนดีหรือไม่ อย่างไรคนเหล่านี้ก็เคยเป็นลูกน้องของท่านน้ามาก่อน เห็นพวกเขาแต่งงาน ท่านก็ต้องดีใจมาก อีกอย่าง ไท่จื่อมาเอง นอกจากการป้องการที่ต้องมี เราก็ควรให้ท่านน้าส่งคนมาเพิ่มบางส่วนหรือไม่ หากเกิดอะไรขึ้นกับไท่จื่อ เรื่องดีก็จะกลายเป็นเรื่องไม่ดีทันที”


 


 


“คนผู้นั้นมีเก้าชีวิต ไม่ตายง่ายๆ หรอก” แม้ว่าเอ่ยเยี่ยงนี้ แต่ก็เปิดผ้าม่านประตูออก แล้วสั่งโจวอันว่า “เจ้าไปจวนแม่ทัพด้วยตัวเอง บอกเรื่องราวทั้งหมดให้ชัดเจน”


 


 


โจวอันรับคำสั่ง ยื่นบังเ**ยนให้องครักษ์ลับอีกคน แล้วก็วิ่งไปทันที


 


 


เห็นหลังที่ไปไกลของโจวอันแล้ว ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงกล่าวถามออกมาว่า “เหล่าทหารที่พิการก็เตรียมการหมั้นหมายแล้ว องครักษ์ลับเหล่านี้ของเจ้าล่ะ”


 


 


 


 


หูขององครักษ์ลับที่ขี่ม้ากระดิกทันที ขี่รถม้าอย่างมั่นคงไปด้วย กลั้นลมหายใจไปด้วย แล้วตั้งใจฟังเสียงในรถม้า


 


 


“พวกเขาข้าจะจัดการเอง เจ้าอย่าคิดมากเลย” เสียงมั่นคงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นมา


 


 


องครักษ์ลับท้อแท้ทันที เหมือนดั่งมะเขือยาวที่มีน้ำแข็งหุ้มอยู่ไม่มีชีวิตชีวา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก


 


 


ทั้งสองกลับมาที่จวนอ๋อง


 


 


องครักษ์ลับที่ถูกส่งตัวไปสืบเรื่องของหญิงสาวทั้งสี่ยืนรออยู่นอกลานทั้งหมด เห็นทั้งสองกลับมา หลังจากทำความเคารพ ก็หยิบสมุดเล็กๆ ขึ้นมาคนละหนึ่งเล่ม หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “นายท่าน ทุกอย่างที่พวกข้าสืบได้ถูกจดไว้ในสมุดนี้ทั้งหมดขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


ชิงหลวนเดินออกไปแล้วรับมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ลำบากพวกเจ้าแล้ว ทุกคนไปรับตั๋วเงินคนละยี่สิบตำลึงที่ห้องเก็บตั๋วเงินเถิด”


 


 


องครักษ์ลับทุกคนรับคำสั่ง แล้วเดินถอยออกไป


 


 


หลังจากทั้งสองนั่งลงในห้องแล้ว ชิงหลวนวางสมุดเล็กๆ ทั้งสี่ไว้ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเล่มบนสุดขึ้นมา แล้วเปิดดู “คนพวกนี้สืบได้ละเอียดมาก แม้แต่วันเดือนปีเกิดก็สืบมาจนได้ ไม่รู้ว่าพวกเขาทำได้อย่างไร”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็หยิบขึ้นมาดูหนึ่งเล่ม “องครักษ์ลับเหล่านี้เป็นกำลังกายและกำลังสมองของเสด็จปู่ของข้า แน่นอนว่าต้องเก่งกาจกว่าผู้อื่น”


 


 


“เราเอาไปให้เสด็จแม่ดูเถิด ถือโอกาสไปปรึกษาด้วยว่า พยายามกำหนดงานหมั้นของอวี้เอ๋อร์ก่อนปีใหม่ พอถึงปีใหม่ จวนของเราจะได้จัดงานฉลองมงคล”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่คัดค้านใดๆ ทั้งสองมาถึงในห้องของพระชายาฉี


 


 


หลังจากพระชายาฉีดูของแต่ละคนแล้ว ยิ้มแล้วกล่าวว่า “แม่ไม่ได้ดูผิดไปจริงๆ หญิงสาวทั้งสี่นี้ดีจริงๆ พวกเจ้าถูกใจผู้ใด”


 


 


“พวกข้าถูกใจไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ ต้องถูกใจอวี้เอ๋อร์ เพราะคนที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตกับนางคือเขา” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า “พอดีเลย วันนี้อวี้เอ๋อร์อยู่ที่จวน เราเรียกเขามาถามเถิด”


 


 


พูดจบ ก็สั่งหลินหลงว่า “เจ้าไปเรียกคุณชายรองมา บอกว่าข้ามีเรื่องคุยกับเขา”


 


 


หลินหลงรับคำสั่งแล้วเดินออกไป


 


 


ไม่นานหวงฝู่อวี้ก็มา เปิดผ้าม่านประตูออก เห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ จึงทำความเคารพพระชายาฉีก่อน แล้วค่อยยิ้มแล้วกล่าวกับทั้งสองว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่เจอกันนานหลายวัน ดูพี่สะใภ้อวบอั๋นขึ้นมากนะขอรับ”


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งสายตาให้เขาอย่างสุดความสามารถ แต่หวงฝู่อวี้กลับลืมสมองของตนไว้ที่เรือนไม่ได้เอาออกมาด้วย กล่าวอีกประโยคว่า “สีหน้าก็ดูทรุดโทรมไปไม่น้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับหน้าตัวเองทันทีอย่างไม่รู้ตัว แล้วมองใบหน้าที่งดงามจนผู้คนมากมายอิจฉาของหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวถามอย่างพึมพำว่า “จริงหรือ”


 


 


หวงฝู่อวี้กลับพยักหน้าอย่างซื่อสัตย์


 


 


สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งไม่ดีขึ้นไปอีก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยกเท้าขึ้นเขย่าไปมา จึงจะยับยั้งตนไม่ให้เตะไปที่ตัวของหวงฝู่อวี้


 


 


พระชายาฉีสนใจแต่สมุดเล็กในมือของตน ไม่ได้สังเกตท่าทางของทุกคน ได้ยินหวงฝู่อวี้พูดจบ จึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว “สีหน้าของโยวเอ๋อร์ถือว่าดีแล้ว ตอนนั้นที่แม่ตั้งครรภ์เซวียนเอ๋อร์ สีหน้าเหลืองซีด ถึงขั้นพบเจอผู้คนไม่ได้เลย”


 


 


ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกดีขึ้นมาทันที กล่าวถามว่า “สีหน้าของเสด็จแม่ดูไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า “แน่นอน หญิงสาวตั้งครรภ์ การตอบสนองของทุกคนไม่เหมือนกัน เจ้าเนี่ยถือว่าดีมากแล้ว บางคนอาเจียนตั้งแต่ตั้งครรภ์จนคลอด แบบนั้นสีหน้าจะดีได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงสีหน้าตกใจออกมา


 


 


ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกลับขมวดคิ้ว มองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วก็ไปที่ท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่รู้ว่าคิดอะไรออก แสดงสีหน้ารอยยิ้มที่ได้อย่างที่หวังออกมา


 


 


พระชายาฉีกวักมือเรียกหวงฝู่อวี้ “อวี้เอ๋อร์ เจ้ามานี่”


 


 


หวงฝู่อวี้เดินมาข้างหน้าพระชายาฉี


 


 


พระชายาฉีส่งสายตาให้เขานั่งลงบนเก้าอี้นุ่มตรงข้ามตน แล้วยื่นสมุดเล็กในมือให้เขา “นี่เป็นหญิงสาวทั้งหมดที่แม่เลือกไว้ให้เจ้าครั้งก่อน พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าส่งคนไปตรวจสอบ นิสัย ความชอบ มารยาททุกอย่างของพวกเขาแล้วจดไว้ในนั้นทั้งหมด เจ้าดูสิว่า ถูกใจผู้ใด”


 


 


หวงฝู่อวี้หยิบขึ้นมา โดยที่ไม่มีอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ดูอย่างละเอียด สุดท้ายชี้ไปที่คุณหนูของจวนอู่โหวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ลูกถูกใจคุณหนูของจวนอู่โหวขอรับ”


 


 


คุณหนูของจวนอู่โหวเป็นลูกสาวอนุภรรยา แต่เพราะถูกฮูหยินอู่โหวเลี้ยงดูข้างกายตั้งแต่เด็ก มีชีวิตที่คล้ายกับหวงฝู่อวี้ ทันทีที่เขาเลือก พระชายาฉี เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็เข้าใจความสัมพันธ์ในนั้นทันที


 


 


พระชายาฉีเพ่งมองหวงฝู่อวี้ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความนัยแอบแฝงว่า “อวี้เอ๋อร์ บอกแม่ได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงเลือกคุณหนูจวนอู่โหว”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อวี้ไม่เปลี่ยน แสดงรอยยิ้มเล็กน้อยออกมา “เสด็จแม่ ข้าแค่มองคุณหนูจวนอู่โหวแล้วรู้สึกเจริญตาเท่านั้นเองขอรับ”


 


 


ตอนที่พระชายาฉีกล่าวถาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็เพ่งมองสีหน้าของหวงฝู่อวี้ แต่ก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเขาแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในใจ หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา จึงกัดริมฝีปาก


 


 


พระชายาฉียังคงเพ่งมอง แล้วกล่าวต่อว่า “อวี้เอ๋อร์ คำพูดเศร้าๆ แม่จะไม่พูดมาก หาหญิงสาวที่มีใจตรงกันแล้วใช้ชีวิตด้วยกันตลอดไป ทั้งชีวิตของเจ้าก็จะมีความสุข แต่ถ้าหากเจ้าแค่อยากหาที่พอใช้ได้ ไม่เพียงแต่ทำร้ายเจ้า ยังทำร้ายคุณหนูจวนอู่โหวด้วย”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อวี้ก็ยังคงมีรอยยิ้มเหมือนเดิม แล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่ ท่านเป็นอะไรหรือ หากท่านไม่ต้องการให้ข้าเลือกคุณหนูจวนอู่โหว ข้าเปลี่ยนอีกคนก็ได้ขอรับ”


 


 


“ไม่ต้อง” พระชายาฉีโบกมือ “ถ้าหากเจ้าถูกใจ แม่ก็จะเลือกวันแล้วเชิญแม่สื่อไปสู่ขอที่จวนอู่โหว”


 


 


หวงฝู่อวี้ยิ้มแล้วกล่าวขอบพระทัย “ขอบพระคุณเสด็จแม่ขอรับ”


 


 


“คุณหนูจวนอู่โหวอายุก็ไม่น้อยแล้ว ถ้าหากพวกเขาตกลงหมั้นหมาย แม่ก็คิดว่าจะจัดงานหมั้นหมายของพวกเจ้าให้เสร็จก่อนปีใหม่”


 


 


หวงฝู่อวี้หยุดชะงักไปชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดว่าจะเร็วเยี่ยงนี้ แต่ก็กล่าวทันทีว่า “ทุกอย่างแล้วแต่เสด็จแม่เลยขอรับ ลูกไม่มีความคิดเห็นใดๆ ”


 


 


พระชายาฉีพยักหน้า หยิบสมุดที่บันทึกหญิงสาวอีกสามคนขึ้นมา แล้วสั่งหลินหลง “เอาไปเผาเถิด”


 


 


หลินหลงรับมา แล้วเอาไปที่ห้องครัวเล็ก ฉีกสมุดเล็กอย่างละเอียดด้วยตัวเอง แล้วมองพวกเขากลายเป็นขี้เถ้าในเตาไฟ


 


 


“เป็นเวลานานแล้วที่ครอบครัวเราไม่ได้กินอาหารร่วมกัน วันนี้เสด็จพ่อของพวกเจ้าก็อยู่ในจวน พอดีเลยที่ครอบครัวเราจะได้กินอาหารร่วมกัน. ข้าไปดูห้องครัวให้พวกเขาทำอาหารดีๆ ออกมาหลายอย่างด้วยตัวเอง”


 


 


หวงฝู่อวี้ลุกขึ้น “แม้ว่าลูกจะทำอาหารไม่เป็น แต่ว่าสั่งอาหาร ชิมอาหารเป็น อย่างไรก็ตามข้าไม่ได้ออกแรงเอง ก็ให้ข้าไปเถิดขอรับ”


 


 


พระชายาฉีจะปฏิเสธ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดี เจ้าไปเถิด วันนี้ข้าอยากกินเนื้อต้มกับผัดเผ็ดเต้าหู้ เจ้าสั่งห้องครัวทำเถิด ถ้าหากไม่มีวัตถุดิบ ก็ไปซื้อกับผู้จัดการร้านเหลาจวี้เสีย บอกว่าพี่ใหญ่เจ้าสั่งมา เขาก็จะเห็นแก่หน้าของพี่เจ้ายอมขายให้”


 


 


หลังจากหวงฝู่อวี้รับคำสั่ง จึงยิ้มแล้วเดินออกไป ทันทีที่ออกจากประตู รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที กัดริมฝีปากแน่น


 


 


ชิงหลวนเห็นอารมณ์ทั้งหมดของเขา แล้วค่อยๆ ก้มหน้าลงไป


 


 


หวงฝู่อวี้สูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับอารมณ์ของตน แล้วเดินก้าวขาออกไปทันที


 


 


ในห้อง พระชายาฉียิ้มดีใจ “เปรี้ยวคือชาย เผ็ดคือหญิง โยวเอ๋อร์ตั้งครรภ์ ต้องเป็นเด็กผู้หญิงแน่ๆ โอย ไม่ได้การล่ะ ข้าจะต้องทำเสื้อผ้าเด็กผู้หญิงเพิ่มอีกหลายตัว”


 


 


พระชายาฉีและเมิ่งซื่อว่างไม่มีอะไรทำ ทำเสื้อผ้าเด็กได้หลายสิบตัวแล้ว ถ้าหากยังทำต่อไป รอจนถึงตอนที่คลอดลูกออกมาคิดว่าน่าจะใส่ได้หลายปี เมิ่งเชี่ยนโยวรีบห้ามไว้ “เสด็จแม่ ข้าแค่อยากทานเป็นบางครั้ง อย่างนี้นับไม่ได้ เสื้อผ้าเด็กก็มากพอแล้ว ท่านจัดการเรื่องหมั้นหมายของอวี้เอ๋อร์เถิดเจ้าค่ะ”


 


 


หลังจากพระชายาฉีสั่งหลินหลงไปหาผ้าสวยๆ ให้ห้องเก็บของมา จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “งานหมั้นหมายของพวกเขาง่าย แค่เชิญแม่สื่อไปสู่ขอก็ได้แล้ว ส่วนที่เหลือ รอเจ้ายุ่งเรื่องช่วงนี้เสร็จแล้ว เราค่อยมาปรึกษาหารือกัน”


 


 


พระชายาฉีมีแผนการแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ห้ามปรามอีก คิดไปสักพัก ก็เอ่ยเรื่องที่หวงฝู่ซวิ่นจะไปเป่ยเฉิงเพื่อจัดงานรับสมัครหาคู่ให้เหล่าทหารที่พิการออกมา


 


 


หลังจากที่พระชายาฉีได้ฟัง ก็แปลกใจ แล้วยิ้มออกมากล่าวว่า “เป็นคำแนะนำของเจ้าใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไป ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “เสด็จแม่ทราบได้อย่างไรเจ้าคะ”


 


 


“ก็มีแค่เจ้าที่ห่วงใยเรื่องแต่งงานของเหล่าทหารที่พิการนี้ ไท่จื่อไม่มีความคิดแบบนี้แน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “เสด็จแม่พูดถูกแล้ว เป็นคำแนะนำของข้ากับอี้เซวียนเอง แต่ถ้าหากไท่จื่อไม่เห็นด้วย พวกข้าก็ทำอะไรไม่ได้”


 


 


“นี่เป็นโอกาสดีที่จะสร้างชื่อเสียง เป็นถึงไท่จื่อ เขาเข้าใจเหตุผลในนั้นอย่างลึกซึ้ง เขายินดีทำเป็นอย่างยิ่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจเล็กน้อย ที่พระชายาฉีเข้าใจถ่องแท้เยี่ยงนี้


 


 


อาหารเที่ยงมีเนื้อต้มและผัดเผ็ดเต้าหู้จริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจจนกินข้าวเพิ่มไปครึ่งถ้วย


 


 


พระชายาฉีเห็นเยี่ยงนี้ ก็ดีใจมาก นอกจากตักอาหารให้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุดแล้ว ยังแอบคิดเงียบๆ ว่า เวลานี้ควรถึงเวลาที่ลูกดิ้นแล้ว อยากเอ่ยปากถาม แต่ก็คิดได้ว่าท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อวี้ก็อยู่ด้วย ถามเรื่องอย่างนี้ต่อหน้าพวกเขาไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ จึงทิ้งความคิดนี้ไปเสีย คิดว่ารอเวลาหลังจากกินอาหารเสร็จแล้วค่อยถาม


 


 


หลังจากกินอาหารเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนกลับนำเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่เรือนตัวเองทันที พระชายาฉีก็เลยไม่ได้เอ่ยถาม จึงผิดหวังเล็กน้อย


 


 


องครักษ์ลับและโจวอันที่ไปส่งข่าวที่ตงกงและจวนแม่ทัพกลับมานานแล้ว ได้ยินว่าทั้งสองไปที่ห้องของพระชายาฉี จึงไม่กล้าไปรบกวน จนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่เรือนของตน ทั้งสองจึงยืนรายงานในเรือน


 


 


องครักษ์ลับกล่าวว่า “ซื่อจื่อ ไท่จื่อบอกว่าทราบแล้ว เขาจะเตรียมตัวให้ดี หลังจากห้าวันนี้เขาจะไปร่วมงานอย่างตรงเวลา”


 


 


โจวอันกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพไม่อยู่ที่จวน ข้าจึงไปที่ค่ายทหาร เวลาจึงล่าช้าเล็กน้อยขอรับ หลังจากท่านแม่ทัพได้ยินก็ดีใจมาก บอกว่าอีกห้าวันจะนำทหารหลายร้อยนายมาถึงที่ว่าการอย่างตรงเวลาแน่นอน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าไปเถิด”


 


 


ทั้งสองถอยออกไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนบอกกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเตรียมตัวนอนพักชั่วครู่ว่า “จัดเตรียมไว้หมดแล้ว เราก็แค่รอวันรับสมัครหาคู่ที่จะจัดขึ้นหลังห้าวันนี้เถิด”



 

 

 


ตอนที่ 317 พิธีจัดหาคู่

 

เวลา 5 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


 


พอถึงวันจัดหาคู่ หวงฝู่อี้เซวียนตื่นตั้งแต่รุ่งสาง ต้มข้าวต้มสุดโปรดของเมิ่งเชี่ยนโยว และทำกับข้าวสองอย่าง ยกไปยังเรือนของตน


 


 


พอเขาตื่น เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกตัวแล้ว แต่ขี้เกียจขยับเขยื้อน จึงนอนอยู่บนเตียง จวบจนได้กลิ่นอันหอมหวนของอาหารถึงจะลุกจากเตียงด้วยอย่างเกียจคร้าน หลังจากที่สวมเสื้อผ้าเสร็จ ก็สั่งให้ชิงหลวนยกน้ำล้างหน้าเข้ามา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเข้าเรือนไป และวางสิ่งของที่อยู่ในมือไว้บนโต๊ะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินยิ้มร่าไปหา จับมือของเขาเดินไปข้างๆ อ่างทองแดง หยิบผ้าเช็ดตัวที่สะอาด และเช็ดหน้าให้เขาก่อน กล่าวอย่างอ้อนวอนและซุกซน “อี้เซวียน ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


ได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้ตั้งแต่เช้า และได้รับการดูแลเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนหัวใจเบิกบาน หลังจากที่นางเช็ดหน้าให้ตนเสร็จแล้ว เขาก้มศีรษะลงแล้วเอื้อมมือจับคางของนางไว้ เขาละเลียดรสริมฝีปากแล้วจึงจะปล่อยนางไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง และใช้ผ้าเช็ดตัวที่เปียกชุ่ม เช็ดไปที่หน้าของตัวเองที่ร้อนกรุ่นเล็กน้อย แล้วกลับไปที่ข้างโต๊ะ


 


 


หลังจากที่กินอาหารเช้าแสนเอร็ดอร่อยอย่างอบอุ่นแล้ว ทั้งสองก็เก็บข้าวของ เตรียมตัวออกเดินทางไปยังเป่ยเฉิง พระชายาฉีก็มาหาอย่างเร่งรีบ “โยวเอ๋อร์ อี้เซวียน ข้าคิดดูแล้วว่างานที่ใหญ่โตเช่นนี้ คงจะมีประชาชนแทบทั้งเมืองไปดู คนเยอะเกินไป โยวเอ๋อร์อย่าไปเลยดีกว่านะ อย่าให้เกิดเหตุไม่คาดคิดอันใดเลย”


 


 


พวกเขาวางแผนมาหลายวันอย่างดิบดีเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ ถ้าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ไปจะวางใจได้อย่างไร นางก้าวไปข้างหน้าและจับแขนของพระชายาฉีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เสด็จแม่ ท่านวางใจเถอะนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี อีกอย่าง ข้ายังมีอี้เซวียนอยู่เคียงข้าง”


 


 


พระชายาฉีก็ยังไม่วางใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “ท่านน้าจะพากองทัพทหารชั้นยอดหลายร้อยนายมาปกป้องไท่จื่อ อี้เซวียนก็เตรียมการอย่างรอบคอบ ได้ส่งองครักษ์ลับหลายร้อยนายไปแล้ว เสด็จแม่อย่าได้เป็นกังวล ข้าขอรับประกันว่า ข้าจะอยู่ห่างไกลจากฝูงชนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ช่วยพูดเสริม “เสด็จแม่ ข้าจะดูแลนางอย่างดี ท่านไม่ต้องเป็นกังวลนะขอรับ”


 


 


เช่นนี้พระชายาฉีถึงจะยอมตอบตกลง แต่ก็ยังเรียกชิงหลวนและจูหลีเข้ามาในเรือน มอบหมายให้ทั้งสองต้องติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวทุกฝีก้าว ถ้านางได้รับบาดเจ็บ พวกนางสองคนก็ไม่ควรมีหน้ากลับมาอีก


 


 


ชิงหลวนและจูหลีรับปาก พร้อมสาบานว่าต่อให้ตายก็จะปกป้องเมิ่งเชี่ยนโยวให้ปลอดภัย


 


 


เช่นนี้พระชายาฉีจึงจะวางใจได้อย่างแท้จริง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากจวนอ๋อง นั่งรถม้าไปยังเป่ยเฉิง ตลอดทางมีผู้คนที่พูดถึงเรื่องงานในวันนี้ตลอด เป็นเพื่อนเดินทางไปยังเป่ยเฉิงด้วยกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งให้รถม้าเดินช้าหน่อย อย่าไปชนคนข้ามถนนเข้า


 


 


พิธีจัดหาคู่ถูกจัดขึ้นที่ประตูศาลาว่าการในเป่ยเฉิง ขณะที่ทั้งสองมาถึง ฉู่เหวินเจี๋ยได้นำทัพทหารชั้นยอดมาเฝ้าพื้นที่ทางเข้าศาลาว่าการไว้แล้ว มีการป้องกันที่แน่นหนา และองครักษ์ลับเหล่านั้นยังแต่งตัวเหมือนคนธรรมดา ยืนอยู่ด้านหลังทหารชั้นยอดเหล่านี้


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยสวมชุดเกราะทั้งตัว ยืนท่ามกลางลานด้วยความสง่าผ่าเผย แววตาที่แหลมคมสอดส่องผู้คนที่มากันอย่างคึกคักตั้งแต่เช้า เมื่อพบเจอคนที่น่าสงสัย ก็จะส่งสัญญาณมือไปให้องครักษ์ลับ องครักษ์ลับจะไปตามติดด้านหลังคนๆ นั้นอย่างเงียบๆ และพาออกไปโดยไม่ให้คนนอกสังเกตเห็น


 


 


หลังจากที่จับพวกโจรกระจอกไปได้แล้วหลายคน ฉู่เหวินเจี๋ยถึงจะโล่งใจ หายใจได้คล่องขึ้น แม้ว่าจุดประสงค์ของคนเหล่านั้นในวันนี้คือเพื่อเงิน ไม่ใช่ไท่จื่อก็ตาม เขาก็ไม่อนุญาตให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด ถ้าหากว่าพวกเขาก่อเหตุจลาจลขึ้น ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับผิดชอบได้


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า สายตาทั้งสองเห็นฉู่เหวินเจี๋ยที่ยืนอยู่กลางสนาม พวกเขาเดินเข้าไป ทักทายด้วยรอยยิ้ม “ท่านน้า”


 


 


ใบหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยที่จริงจังมาตลอดกลับเผยรอยยิ้มออกมา น้ำเสียงก็อบอุ่นขึ้น “พวกเจ้ามาแล้วหรือ ไปพักด้านในครู่หนึ่งก่อนเถอะ รอไท่จื่อเสด็จแล้ว ข้าจะส่งคนไปบอกพวกเจ้าเอง”


 


 


มีทหารชั้นยอดคอยปกป้อง แน่นอนว่าพวกเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการไม่มีอะไรให้ช่วย พวกเขาจึงมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดโต๊ะเก้าอี้ บางคนก็ไปรดน้ำ ไม่ว่าทั้งในและนอกศาลาว่าการล้วนแต่สะอาดยิ่งกว่าตอนตรุษจีนเสียอีก


 


 


บรรดาเจ้าหน้าที่เห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ในขณะที่กำลังตื่นเต้น พวกเขาก็ต่างทยอยคำนับทักทาย “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”


 


 


เปาชิงเหอก็ออกมาต้อนรับจากด้านใน “ข้าน้อยขอคาราวะซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”


 


 


มีคนจับตาดูเป็นนับหมื่นนับพันคนในวันนี้ มารยาทที่ควรมีมิอาจละเว้นได้ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เหมือนเช่นเคย แม้ปากจะบอกว่าไม่ต้องคำนับ แต่ก็พยักหน้าเล็กน้อย ดูท่าทางเป็นทางการ “ใต้เท้าเปา จัดเตรียมเสร็จแล้วหรือ”


 


 


เปาชิงเหอโค้งคำนับ ตอบกลับด้วยความนอบน้อม “รายงานซื่อจื่อ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว รอแค่ไท่จื่อมาเป็นประธานพิธีขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้ารับ แล้วพาเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปด้านใน


 


 


ทั้งสองฝั่งในมีเก้าอี้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ตรงกลางของเก้าอี้แต่ละตัวมีโต๊ะสูงขนาดครึ่งคนวางอยู่ ดูเหมือนว่าจะเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับพวกเขาที่มียศถาบรรดาศักดิ์


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนที่นั่งด้านบนสุดของทิศตะวันออก


 


 


เปาชิงเหอเดินมาพร้อมกับบัญชีรายชื่อ วางลงบนโต๊ะของทั้งคู่ “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย นี่คือรายชื่อเด็กสาวที่มาสมัครในห้าวันนี้ มีทั้งหมดห้าร้อยสิบสองนาง ในนั้นมีคนที่อายุมากกว่าสิบแปดปีอยู่ห้าสิบนาง สิบเจ็ดปีหนึ่งร้อยนาง สิบหกปีอีกหนึ่งร้อยนาง จำนวนคนที่มากสุดจะเป็นหญิงสาวอายุสิบห้า มีทั้งหมดสองร้อยหกสิบสองนาง และยังมีอีกหลายสิบคนที่มาสมัคร บอกว่าอายุสิบห้า แต่ข้าน้อยดูแล้วก็น่าจะอายุเพียงแค่สิบสามปี จึงปฏิเสธพวกนางไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ในโรงงานของนางมีทหารเพียงร้อยกว่านาย แต่ตอนนี้กลับมีหญิงสาวมาสมัครห้าร้อยกว่านาง ดูแล้ววันนี้ทหารทั้งหมดคงหาภรรยาที่เหมาะสมได้


 


 


เปาชิงเหอเองก็ไม่คิดว่าจะมีคนสมัครมากขนาดนี้ หลังจากที่ติดใบประกาศเสร็จ เขาคาดการณ์ไว้ว่าจะมีคนมาสมัครหนึ่งถึงสองร้อยคน คิดไม่ถึงว่าจะมีมากเช่นนี้ เขาในตอนนั้นก็ตกใจไม่น้อยไปกว่าเมิ่งเชี่ยนโยว เขายังได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจ ว่าทำไมพวกนางถึงได้มาสมัครหาคู่ ต้องรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนแต่มีความพิการ คำตอบที่ได้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย “ความพิการอะไรกัน พวกเขาหาเงินได้มากกว่าคนที่มีร่างกายปกติสมบูรณ์เสียอีก เท่านี้ก็เพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัวแล้ว นี่ก็ดีกว่าครอบครัวยากจนที่ขายลูกสาวกินมากแล้ว”


 


 


คำพูดนี้เป็นคำพูดแทนใจของคนส่วนมาก หลังจากที่เปาชิงเหอฟังจบ ในใจก็พูดไม่ออกว่ายินดีหรือเป็นกังวล ที่ทำให้ยินดีคือสองปีมานี้ที่เป่ยเฉิงผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่มีเหตุการณ์ขายลูกสาวเกิดขึ้นอีก แต่ที่เป็นกังวลคือไม่รู้ชีวิตที่มีกินมีใช้แบบนี้ คนเป่ยเฉิงจะสามารถรักษาไว้ได้นานขนาดไหน จากนั้น ก็รู้สึกว่าตนคิดมากไปแล้ว มีเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ มีที่ดินหนึ่งพันห้าร้อยหมู่นั้นอยู่ ตราบใดที่คนเป่ยเฉิงมีช่องทางทำมาทำกิน ชีวิตจะไม่กลับไปเหมือนก่อนอย่างแน่นอน


 


 


ในสมุดบัญชีรายชื่อมีการบันทึกเพียงแค่ชื่อและอายุของเด็กสาว เรียบง่ายยิ่งนัก เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบมันขึ้นมากวาดสายตามองดูคร่าวๆ นางหัวเราะพลางกล่าว “นี่มันเกินความคาดหมายของข้าจริงๆ ดูท่าแล้ววันนี้คงจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นไม่น้อย”


 


 


เปาชิงเหอก็มีความปีติอย่างที่สุด ไม่ต้องเอ่ยถึงเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหก แต่เด็กสาวที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดนั้นก็ถือเป็นสาวแก่แล้ว บางคนเป็นเพราะถูกครอบครัวห้ามไว้ บางคนพ่อแม่ไม่ยินยอม จึงต้องอยู่โสดต่อ อยู่จนถึงอายุที่ไม่สามารถแต่งงานแล้ว ถ้าหากว่าหญิงแก่พวกนี้สามารถพบเจอคนที่เหมาะสมอย่างแท้จริง ไม่นานก็จะสามารถแก้ไขปัญหาครอบครัวได้ไม่น้อย


 


 


“ใต้เท้าเปา ทหารพิการเหล่านี้ล้วนไม่มีญาติมิตร อีกสักครู่ให้ท่านเพิ่มไปอีกข้อหนึ่ง ถ้าบ้านฝ่ายหญิงขาดคน อยากให้พวกเขาไปอาศัยด้วยก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นว่าต้องให้บุตรสาวแต่งออกเรือนมาเท่านั้น”


 


 


เปาชิงเหอรับคำสั่ง


 


 


ในช่วงสาย หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงของไท่จื่อและกองทหารเกียรติยศ ขณะเดียวกันก็ยืนขึ้น และเดินออกไปนอกที่ว่าการ เปาชิงเหอก็เดินตามหลังพวกเขาไป


 


 


เป็นไปดังคาด ในระยะไกลรถม้าหรูแล่นเข้ามาอย่างช้าๆ มีนางกำนัลและขันทีอยู่สองข้างทาง ข้างหน้าเป็นกองทหารเกียรติยศของไท่จื่อข้างหลังเป็นองครักษ์ของตงกง


 


 


ฝูงชนที่ล้อมรอบเห็นรถม้าที่หรูหรานี้เป็นครั้งแรก ภาพตรงหน้าที่อลังการ ภายในใจทั้งตื่นเต้นและซาบซึ้ง ค่อยๆ เขย่งเท้าขึ้น ยื่นคอยาวขึ้น หวังอยากให้ตนเองสูงขึ้นกว่านี้อีกสักสองคืบ และสายตาจ้องไปที่รถม้า


 


 


สายตาของฉู่เหวินเจี๋ยจริงจังขึ้น ส่งสัญญาณมือไปให้เหล่าทหารชั้นยอดที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน สั่งให้พวกเขารักษาท่าทีองอาจของทหารไว้


 


 


กองทหารเกียรติยศเดินตรงมายังที่ว่าการ ฝูงชนและเหล่าทหารชั้นยอดต่างหลีกทางให้


 


 


หลังจากเดินขบวนถึงที่ว่าการ กองทหารเกียรติยศก็หยุดลง รถม้าก็ค่อยๆ หยุดลงตาม ฉู่เหวินเจี๋ยเดินไปข้างหน้าด้วยความนอบน้อม กล่าวเสียงดังต่อรถม้า “ข้าน้อยฉู่เหวินเจี๋ยขอต้อนรับองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอนำบรรดากุนซือและเจ้าหน้าที่คุกเข่าต่อหน้ารถม้า “ข้าน้อยเปาชิงเหอนำผู้ใต้บังคับบัญชามารับเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฝูงชนและทหารชั้นยอด รวมถึงเหล่าองครักษ์ลับทั้งหมดคุกเข่าลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยืนอยู่โดยไม่ขยับ


 


 


ขันทีคนหนึ่งเอาเก้าอี้ม้ามาวางไว้ข้างรถม้า นางกำนัลที่อยู่ข้างรถม้าเปิดม่านออก หวงฝู่ซวิ่นโค้งคำนับออกมาจากรถม้า และเหยียบเก้าอี้ใต้รถม้า ผู้มีบารมีที่สูงส่งแสร้งกล่าวต่อทุกคนว่า “ทุกท่านยืนขึ้นเถิด”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยขอบพระทัย และยืนขึ้น


 


 


เปาชิงเหอก็ขอบพระทัย และยืนขึ้น กุนซือและเจ้าหน้าที่ล้วนยืนขึ้นตาม ประชาชนก็ยืนขึ้นตาม


 


 


ฝูงชนค่อยๆ เงยหน้ามอง เห็นเพียงไท่จื่อที่สวมมงกุฎทองคำ สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนคาดด้วยไหมสีทอง สวมใส่รองเท้าคู่หนึ่งที่ประดับด้วยอัญมณีสีน้ำเงิน ทั้งร่างแสดงให้เห็นว่าเป็นวีรบุรุษและมีเกียรติสูงส่ง ไร้ผู้ใดเทียบเคียง


 


 


ฝูงชนตกตะลึง จากที่แอบๆ ชำเลืองมอง เปลี่ยนมาเป็นจ้องมองอย่างไม่ละสายตา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรงไปข้างหน้า ส่งเสียงกล่าวทักทาย “ไท่จื่อ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นค่อยๆ พยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ข้าติดธุระกะทันหันจึงมาช้า ไม่ได้ทำให้งานล่าช้าใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับด้วยความนอบน้อม “ไท่จื่อทรงสละเวลาจากการทรงงานมากมายมาเป็นประธานในพิธีจัดหาคู่ นับเป็นเกียรติของพวกเขา ไม่ได้มาช้าแต่อย่างใดเพคะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นยิ้มแล้วพยักหน้า “เช่นนั้น พวกเรามาเริ่มพิธีกันเถอะ”


 


 


“ไม่รีบเพคะ ไท่จื่อเพิ่งจะเสด็จถึง พักสักประเดี๋ยวเถิดเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวต่อ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเข้าใจว่านางมีสิ่งที่ต้องการพูดกับเขา จึงยิ้มและเดินตรงเข้าไปในที่ว่าการ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินตามติด


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยยังคงอยู่ข้างนอก และคอยสอดส่องผู้คนรอบๆ


 


 


เปาชิงเหอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินตามเข้าไป โดยปกติ ฐานะของเขาไม่มีสิทธิ์เข้าไปด้วย แต่ว่าอย่างไรก็ต้องมีใครเข้าไปชงชารินน้ำให้ และถ้าจะสั่งเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ไปก็คงจะไม่ดีนัก ดังนั้นจึงส่งตนเองเข้าไปแทน


 


 


เหล่ากุนซือและเจ้าหน้าที่รออยู่ด้านนอก


 


 


หลังจากที่ทั้งสามนั่งลง เปาชิงเหอก็รินชาและน้ำเปล่าที่เตรียมไว้ตั้งแต่เช้าให้กับทั้งสาม จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆ


 


 


สายตาของหวงฝู่ซวิ่นไม่ได้มองเขาแม้แต่น้อย เขายิ้มและถามเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสะใภ้ เจ้ามีเรื่องจะพูดกับข้าใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ไม่รู้ว่าวันนี้พี่ใหญ่จะพูดอะไรบ้างเจ้าคะ พอจะบอกพวกข้าก่อนได้หรือไม่”


 


 


“หลายวันนี้ข้าให้ผู้สำเร็จราชการช่วยข้าคิดไว้แล้ว วางใจเถอะ ข้าได้จดจำมันไว้ในใจแล้ว ไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน”


 


 


ผู้สำเร็จราชการในตำหนักของไท่จื่อล้วนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถของรัฐอู่ มีบทพูดที่กลั่นกรองมาจากความคิดของพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกวางใจ และไม่ได้ถามต่อในเรื่องนี้ “พี่ใหญ่เพียงระวังอยู่เรื่องเดียว คำพูดของท่านนั้น อย่าให้มันล้ำลึกเกินไป เกรงว่าพวกชาวบ้านจะไม่เข้าใจได้”


 


 


“สิ่งเหล่านี้ผู้สำเร็จราชการคิดไว้แล้ว น้องสะใภ้รอดูเถิด”


 


 


“ข้าเชื่อใจพี่ใหญ่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


 


เมื่อไม่มีปัญหาใด ทั้งสามเดินออกมาทีละคน


 


 


ตรงปากทางเข้าที่ว่าการ เปาชิงเหอได้สั่งให้คนจัดเตรียมโต๊ะแถวหนึ่งไว้แล้ว


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเดินตรงไปที่หลังโต๊ะนั้น


 


 


ฝูงชนที่มีความตื่นเต้นและคึกคักเมื่อครู่ก็สงบลงทันที ทุกคนล้วนแต่มองมาที่เขา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นตรัสต่อทุกคน “วันนี้ที่มาที่นี่ก็เพื่อจะจัดพิธีหาคู่ให้กับเหล่าทหาร ตัวข้า หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ทหารเหล่านี้ต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญเพื่อราชวงศ์จนตัวต้องพิการ ที่ผ่านมาข้าไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่ง ในที่สุดวันนี้ความเสียใจเหล่านี้ก็ได้รับการทดแทนแล้ว ข้าสามารถเห็นพวกเขาค้นหาหญิงสาวที่ชื่นชอบเหมือนคนทั่วไปด้วยตนเอง และใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป และมีลูกหลานสืบสกุล ไม่เหมือนแต่ก่อน ที่โดดเดี่ยวยากไร้ และไร้คนดูแล วันนี้ ข้าหวงฝู่ซวิ่นขอให้คำมั่นกับทุกท่าน และให้ขอทุกคนเป็นพยาน ภายภาคหน้าหากมีสงครามอีก ราชวงศ์จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือทหารพิการทั้งหลาย และจะตอบแทนให้กับครอบครัวของพวกเขา เพื่อให้คนที่มีความใฝ่ฝันที่จะรับใช้ชาติไปรบและสังหารศัตรูอย่างไร้กังวล”


 


 


เขาตรัสจบ ทุกคนต่างพากันเงียบ ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นานฉู่เหวินเจี๋ยก็ได้สติ และคุกเข่าลงบนพื้นทันที กล่าวเสียงดังด้วยความนอบน้อม “ข้าน้อยฉู่เหวินเจี๋ยขอเป็นตัวแทนเหล่าทหารขอบพระทัยไท่จื่อ”


 


 


ทุกคนถูกปลุกให้ได้สติด้วยคำพูดของเขา ทั้งหมดคุกเข่าลง รวมถึงเปาชิงเหอและบรรดาเจ้าหน้าที่ ต่างโห่ร้องพร้อมเพรียงกัน “ขอไท่จื่อทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองสิ่งเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม นี่ถึงจะเป็นเป้าหมายหลักที่นางเชิญหวงฝู่ซวิ่นมาเป็นประธานในพิธีจัดหาคู่ การซื้อใจผู้คน ให้ฝูงชนเคลิ้มตาม เมื่อเป็นเช่นนี้ ตำแหน่งและอำนาจของเขาก็จะมั่นคงขึ้น



 

 

 


ตอนที่ 318 หนีออกจากเรือน

 

เสียงโห่ร้องทำให้หวงฝู่ซวิ่นสั่นไหว เขาไม่คิดว่าฝูงชนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองมากเช่นนี้ โดยเฉพาะฉู่ เหวินเจี๋ย แม่ทัพที่ไม่มีผู้ใดเหมือนในรัฐอู่เองก็มีปฏิกิริยาเช่นนี้


 


 


ทันใดนั้นหวงฝู่ซวิ่นก็เลือดลมพลุ่งพล่านขึ้น จนเขาอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็นึกถึงคำพูดเตือนของเหล่าผู้สำเร็จราชการ ‘ไท่จื่อกล่าวจบก็ควรหยุดได้แล้ว กล่าวมากไปกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ’


 


 


ดังนั้นเขาจึงแสดงรอยยิ้มที่อบอุ่นออกมา และแสร้งกล่าวแก่ฝูงชนว่า “ท่านแม่ทัพลุกขึ้นเถอะ ทุกท่านลุกขึ้นเถอะ”


 


 


หลังคำกล่าวขอบพระทัยจบลง ฉู่เหวินเจี๋ยก็นำฝูงชนลุกขึ้น


 


 


หวงฝู่ซวิ่นโบกมือ ประกาศด้วยรอยยิ้ม “พิธีจัดหาคู่ เริ่มต้นขึ้นในบัดนี้”


 


 


ฝูงชนต่างพากันส่งเสียงโห่ร้อง


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยก้าวไปข้างหน้า แสดงความเคารพกล่าวแก่หวงฝู่ซวิ่นว่า “ฝ่าบาท เชิญเสด็จไปพักในศาลาว่าการก่อนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


แท้จริงแล้วหวงฝู่ซวิ่นมีความสนใจต่อการจัดหาคู่อย่างมาก แต่เขาย่อมรู้ดีว่า ถ้าเขาอยู่ที่นี่ หนุ่มสาวที่มาเข้าร่วมการจัดหาคู่อาจไม่สามารถเข้าร่วมอย่างเป็นธรรมชาติได้ เขาจึงพยักหน้าช้าๆ และหันหลังเดินเข้าศาลาว่าการไป


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยหันตัวกลับและแสดงความเคารพต่อหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว “เชิญขอรับ ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”


 


 


ทั้งสองก็เดินเข้าไป


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยก็เดินตามเข้าไปด้วย


 


 


แน่นอนว่าเปาชิงเหอเองก็ตามเข้าไปรินน้ำชาให้


 


 


 


 


กุนซือเป็นผู้ดำเนินขั้นตอนทั้งหมด


 


 


แบ่งทหารพิการออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มละห้าคน แต่ละคนจะมีป้ายทะเบียนคนละหนึ่งอัน และให้ทุกกลุ่มเดินไปรอกลางสนาม


 


 


ส่วนบรรดาเด็กสาวที่เข้าสมัครก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มละยี่สิบคน ในมือทุกคนจะมีป้ายทะเบียน และให้เดินเข้าไปในสนาม ยืนตรงข้ามทหารห้านายนี้ ให้พวกนางเป็นผู้เลือกทหาร ถ้าพบคนที่ถูกใจ ก็ให้นำป้ายทะเบียนของส่งมอบในมือทหาร ถ้าทหารเองก็ถูกใจ ก็จะเดินเข้าไปตรงหน้าของเด็กสาว เพื่อให้นางดูอย่างละเอียด ถ้าหากเด็กสาวรู้สึกไม่ใช่ สามารถส่ายหัว นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเด็กสาวพยักหน้าตอบตกลง ทั้งสองสามารถเดินไปที่โต๊ะด้วยกัน นำป้ายทะเบียนในมือให้กับกุนซือ เพื่อให้กุนซือทำการลงทะเบียน คู่นี้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว และไม่ต้องหาคู่ต่อ


 


 


ถ้าทหารไม่พบคนที่ถูกใจ สามารถรอรอบถัดไป ถ้าเด็กสาวไม่มีผู้ใดถูกใจ ให้ไปรอที่สนามครู่หนึ่ง ถ้ามีทหารที่เหลือจากการคัดเลือก สามารถให้เด็กสาวมาเลือกใหม่ได้อีกครั้ง


 


 


ตอนที่เปาชิงเหอกับกุนซือปรึกษากัน ก็รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่เป็นธรรมต่อเด็กสาว แต่จะทำเช่นไรได้ จำนวนเด็กสาวที่มาสมัครมีมากเกินไป จึงต้องใช้วิธีนี้


 


 


นับเป็นครั้งแรกที่ฝูงชนที่มาเข้าชมเห็นถึงวิธีที่ยากเช่นนี้ พวกเขาค่อยๆ ดู ดูว่าวิธีนี้จะจับคู่สำเร็จได้กี่คู่ แม้ว่าประตูทางเข้าศาลาว่าการจะมีผู้ชมหลายพันคน แต่ต่างพากันเงียบสนิท


 


 


ทหารพิการเหล่านี้แม้ว่าจะมีความบกพร่องทางร่างกาย แต่กลับเป็นคนที่มีรายได้แปดสิบอีแปะทุกวัน เพียงแค่แต่งงานกับพวกเขา ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกลัวอดตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่บ้านยากจนมาหลายปี และเด็กสาวที่เกือบจะถูกขายไปแล้วนั้น นี่เป็นโอกาสอันดีที่หาได้ยากยิ่ง ความพิการไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกนางเลย หญิงสาวเกือบทั้งหมดในกลุ่มนี้ยัดป้ายทะเบียนใส่มือของทหารแต่ละนาย


 


 


ทหารที่ได้รับป้ายทะเบียนยิ้ม พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้แต่งงานมีภรรยา ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่คิดว่าจะมีเด็กสาวที่ถูกใจตนเองพร้อมกันมากมายเช่นนี้ แม้ว่าจะรู้ว่าพวกนางถูกใจที่เงินของพวกเขา พวกเขาก็ยังดีใจมาก


 


 


อันที่จริงแล้วหวงฝู่ซวิ่นรู้สึกแปลกใจกับฉากนี้ เขาที่นั่งอยู่ในศาลาว่าการ หยุดมองไปข้างนอกไม่ได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดแล้วว่าเขาจะมีอาการเช่นนี้ นางยิ้มและส่งสัญญาณไปให้เปาชิงเหอ


 


 


เปาชิงเหอโบกมือ คนรับใช้ที่เฝ้าประตูศาลาว่าการก็รีบเปิดประตูทั้งหมดออก ให้คนที่อยู่ด้านในได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในด้านนอก


 


 


เห็นทหารยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวที่ชอบด้วยรอยยิ้มพอดิบพอดี


 


 


เด็กสาวที่ถูกเลือกก็ไม่สงวนตัวอีกต่อไป รีบพากันเดินไปที่กุนซือนั่งอยู่ ทหารที่ถูกเลือกเพิ่งจะรู้สึกตัวว่านางตอบตกลงแล้วตอนที่ลงทะเบียนชื่อของตนเอง เขายิ้มกว้าง และเดินตามมา ส่วนเด็กสาวที่ไม่ถูกเลือก สีหน้าก็แสดงออกถึงความผิดหวัง ต้องไปที่อีกด้านหนึ่งของสนามตามกฎ


 


 


กลุ่มที่หนี่งไม่มีทหารเหลือแม้แต่นายเดียว


 


 


ต่อไปเป็นการลงสนามของกลุ่มที่สอง


 


 


พอเห็นวิธีเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าได้เปิดโลกอีกแล้ว ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีการหาคู่ด้วยวิธีแบบนี้”


 


 


“คนเยอะเกินไป ถ้าให้พวกเขาเลือกเอง ต้องมีปัญหาแน่นอน และยังเป็นการเสียเวลาอีก แต่เช่นนี้มันง่ายและประจักษ์ในพริบตา สิ่งที่เหล่าทหารต้องการคือการมีครอบครัว สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติก็เพียงพอ สิ่งที่เด็กสาวเหล่านี้ต้องการคือค่าจ้างรายวันของพวกนาง สามารถเลี้ยงจุนเจือครอบครัว ดังนั้นนี่จึงง่ายขึ้นมาก ขอเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายถูกใจกันก็เพียงพอ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเติบโตจากในพระราชวังตั้งแต่ยังเด็ก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาง่วนอยู่แต่กับการเรียน ได้รับการสั่งสอน เรียนรู้หลักการปกครองบ้านเมือง และยังต้องระวังแผนสกปรกของบรรดาองค์ชายด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่เคยติดต่อกับชาวบ้านเลย ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างไร วันนี้เห็นพวกเขาในงานจัดหาคู่ เขาถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วชาวบ้านยากจนเหล่านี้พอใจอะไรง่ายมาก แค่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็เพียงพอแล้ว


 


 


ทหารอีกกลุ่มก็พบเด็กสาวที่ดูเหมาะสมทั้งหมด เสียงโห่ร้องของฝูงชนก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นดึงสายตากลับ หยิบถ้วยชาในมือ และจิบน้ำชาไปพลาง


 


 


เปาชิงเหอรีบไปข้างหน้า เพื่อเติมน้ำชาให้เขา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเพิ่งจะสังเกตเห็นเขา ภายใต้ดวงตาที่ยิ้มแย้ม เขามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวและถาม “ท่านใช่เปาชิงเหอหรือไม่”


 


 


เปาชิงเหอวางกาน้ำชาในมือลงบนโต๊ะเบาๆ ยกชายเสื้อขึ้นคุกเข่าลงที่พื้น “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคือเปาชิงเหอพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“หลายปีมานี้ ท่านดูแลเป่ยเฉิงได้ไม่เลว รอข้ากลับไป จะกราบทูลเสด็จพ่อให้ประทานตำแหน่งแก่ท่าน”


 


 


เปาชิงเหอก้มหัวลงบนพื้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท”


 


 


“ลุกขึ้นมาตอบข้าเถอะ”


 


 


เปาชิงเหอกล่าวขอบพระทัย และลุกขึ้นมา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นจ้องมองอย่างไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ และถาม “ได้ยินมาว่าท่านกับซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเป็นสหายเก่า เมื่ออยู่ชิงเหอดูแลพวกเขาไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จะให้ตำแหน่งทางการที่ดีแก่ท่านด้วย ไม่รู้ว่าท่านอยากไปแผนกไหน”


 


 


เปาชิงเหอประหลาดใจ เงยหน้ามองหวงฝู่ซวิ่น เพิ่งรู้ตัวว่านี่เป็นกริยาที่เสียมารยาท จึงรีบก้มหัวลงทันที “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยอายุเริ่มมากแล้ว อยากจะเกษียณตัวเองที่เป่ยเฉิงพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นประหลาดใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก ผู้คนล้วนอยากได้ตำแหน่งขุนนาง ใครไม่อยากได้ตำแหน่งสูงบ้างเล่า อยู่ต่ำกว่าหนึ่งคนแต่สูงกว่าหมื่นคน ตราบใดที่มีโอกาสก้าวหน้า ก็ไม่ควรปล่อยไป ระยะนี้เขาเองก็เคยส่งคนไปตรวจสอบอดีตของเปาชิงเหอ รู้มาว่าเขาเป็นคนของฉู่เหวินเจี๋ย และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว แต่เพียงแค่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีคนพยายามจะไปไกล่เกลี่ยความคิดเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเห็นสีหน้าของเขา และเดาความคิดของเขาออก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเปาเป็นขุนนางที่จิตใจใสสะอาด ห่วงใยประชาชน ไม่เหมาะกับราชสำนักที่มีการแก่งแย้งในที่แจ้ง ทิ่มแทงกันในที่ลับหรอกเพคะ แม้ว่าเป่ยเฉิงจะเป็นดินแดนกันดาร แต่คนที่นี่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีความกังวลจากเหล่าขุนนาง ไม่มีใครแย่งชิงอำนาจจนใช้วิธีสกปรกมาทำร้ายเขา นี่เป็นสถานที่ที่มีความสุขสำหรับใต้เท้าเปาแล้ว ฝ่าบาทมองในมุมมองของพวกเรา ถ้าหากอยากช่วยเขา ก็รอให้ถึงตอนที่เป่ยเฉิงพัฒนาขึ้นแล้ว ก็ช่วยปฏิเสธขุนนางขี้อิจฉาและต้องการให้ย้ายมาประจำการที่นี่เถิดเพคะ”


 


 


เรื่องนี้ไม่ยาก ต่อให้เป่ยเฉิงจะพัฒนาไปมากกว่านี้ แต่ก็ยังแย่ที่สุดในสี่เมือง ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีปัญหาเรื่องปากท้อง ถ้าจะให้ร่ำรวยเหมือนสามเมืองที่เหลือ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่จะมีใครมาแย่งตำแหน่งนี้ คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นการเปิดโอกาสให้เขาเปิดบัญชีออมใจกับใต้เท้าเปา หวงฝู่ซวิ่นจะไม่รับปากได้อย่างไร เขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าจดจำไว้แล้ว ก่อนที่ใต้เท้าเปาจะสละตำแหน่ง จะไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งของเขาได้”


 


 


เปาชิงเหอมีความสุขเป็นอย่างมาก รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโดยไม่มีคำพูด


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยยังคงไม่แสดงออกอาการใด ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีผลอะไรกับเขา แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าภายในใจเขามีความสุขเพียงใด เพื่อตามหาหวงฝู่อี้เซวียน เปาชิงเหอยอมอาศัยอยู่ที่อำเภอชิงเหอนานเป็นสิบปี พลาดโอกาสมากมายในการเลื่อนตำแหน่ง หลังกลับเมืองหลวง ตนก็อยากช่วยเขาด้วย สิ่งนี้ดีแล้ว เมื่อมีคำสัญญาของไท่จื่อ เปาชิงเหอก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข นี่เป็นสิ่งที่เขาหวังไว้ และเป็นความปรารถนาของเปาชิงเหอด้วย


 


 


เสียงโห่ร้องด้านนอกสูงกว่าเสียงคลื่นซัด ทหารทุกกลุ่มหลังจากที่ลงสนามแล้วล้วนสามารถหาหญิงสาวที่เหมาะสมได้


 


 


การหาคู่ในรอบนี้ดำเนินไปจนถึงเกือบเที่ยงวัน กุนซือถือสมุดบัญชีรายชื่อเดินไปเดินมาอย่างมีความสุข รายงานด้วยความเคารพ “เรียนฝ่าบาท ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ท่านแม่ทัพ ท่านผู้ใหญ่ การจัดหาคู่ในวันนี้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ เหล่าทหารทั้งหมดพบหญิงสาวที่พวกเขาชอบ นี่คือสมุดบัญชีรายชื่อของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอไปข้างหน้า รับมันไว้ และวางไว้ตรงหน้าหวงฝู่ซวิ่น


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเปิดไม่กี่หน้าพอเป็นพิธี พยักหน้า “ดีมาก”


 


 


กุนซือมีความสุขมาก เขาถาม “แล้วขั้นตอนต่อไปต้องทำเช่นไรต่อพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เปาชิงเหอมองไปยังเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่ง “ให้ทุกคนแยกย้ายกลับไป ส่วนทหารและหญิงสาวที่จับคู่กันแล้ว สามารถพูดคุยเรื่องการแต่งงานเป็นการส่วนตัวได้”


 


 


กุนซือขานรับ ยิ้มและเดินออกไป และประกาศสิ้นสุดพิธีจัดหาคู่


 


 


ผู้คนจากไปอย่างน่าเสียดาย มีเพียงหญิงสาวและทหารในสนามเท่านั้นที่ยังคงถามกันและกันถึงเรื่องราวของอีกฝ่าย ถ้าจะให้พูดอย่างถูกต้อง คือเหล่าทหารมากกว่าที่ถามถึงเรื่องราวของหญิงสาว


 


 


เปาชิงเหอโน้มตัว “ฝ่าบาท ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ท่านแม่ทัพ เกือบเที่ยงวันแล้ว ขอเชิญไปเสวยที่เรือนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือลา “พิธีจัดหาคู่สิ้นสุดลงแล้ว ข้าก็ต้องพาพลทหารชั้นยอดกลับค่ายทหารแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่พวกเรามา เสด็จแม่ก็กังวลว่าจะมีใครชนข้าเข้า ไม่วางใจเป็นอย่างมาก พวกข้าก็ต้องรีบกลับจวนแล้ว เพื่อให้เสด็จแม่สบายใจ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นกล่าว “ข้าเองก็มีธุระ ต้องกลับไปแล้วล่ะ” พูดจบ จึงยืนขึ้น


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว รวมถึงฉู่เหวินเจี๋ยก็ยืนขึ้น


 


 


พวกเขาเดินตามรัชทายาทไป เปาชิงเหอก็เดินตามหลังพวกเขาไป


 


 


หวงฝู่ซวิ่นออกจากศาลาว่าการ ขึ้นรถม้าของตน และกลับวังไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขึ้นรถม้าของตนกลับจวน


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยดูรถม้าพวกเขาจากไปไกลๆ ถึงจะพาทหารชั้นยอดกลับค่ายทหารนอกเมือง


 


 


ตอนเช้าตื่นเช้าเกินไป เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเหนื่อยล้า พอขึ้นรถม้า รอหวงฝู่อี้เซวียนนั่งเสร็จ ก็โน้มตัวในอ้อมแขนของเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือโอบนางไว้ ถามด้วยเสียงนุ่มนวล “เหนื่อยหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ พยักหน้า “ข้าอยากพักสักประเดี๋ยว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยิบผ้านวมบางๆ ห่มไว้บนกายนาง “พักผ่อนก่อนเถอะ กลับถึงจวนแล้วข้าจะปลุกเจ้าเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ นางหลับตาลง เตรียมจะงีบหลับสักครู่ มีเสียงโหยหวนของขันทีดังอยู่ข้างนอก “ซื่อจื่อ องค์รัชทายาทตรัสสั่งว่าจะคอยพวกท่านที่ทางแยกข้างหน้า วันนี้ฝ่าบาทจะไปเสวยพระกระยาหารที่จวนกับพวกท่าน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาขึ้น มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว ถึงจะตอบกลับ “ทราบแล้ว”


 


 


ขันทีจึงถอยกลับไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลับต่อ “นี่ตงกงเลี้ยงเขาไม่ไหวแล้วหรือ เกือบจะเที่ยงวันแล้วยังจะไปกินข้าวที่จวนอ๋องของพวกเรา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้ม “เป็นเพราะช่วงนี้ถูกเสด็จลุงบังคับให้อ่านฎีกา คงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงฉวยโอกาสอู้จาการออกมาทรงงานในครั้งนี้ไปที่จวนอ๋องหนึ่งวัน เขานี่ช่างหน้าหนาเสียจริง แม้ว่าเราจะไม่ตอบตกลงเขาก็จะไป เช่นนั้นก็สนองเขาเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า และหลับตาอีกครั้ง


 


 


ที่ทางแยกข้างหน้านั้นเอง มีรถม้ารออยู่ที่นั่น รถม้าหรูหราพร้อมด้วยกองเกียรติยศ และยังมีขันทีและนางกำนัลที่มากับเขาล้วนหายไป ดูแล้วหวงฝู่ซวิ่นเตรียมพร้อมที่จะไปจวนอ๋องแต่แรกแล้ว


 


 


เห็นรถม้าของทั้งสองผ่านมา หวงฝู่ซวิ่นที่เปิดม่านรอทั้งสองก็กล่าวอย่างไม่พอใจ “ที่พวกเจ้าสองคนชักช้าโอ้เอ้ เพราะไม่ต้อนรับข้าไปจวนอ๋องใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังจะหลับ ถูกเขารบกวน ไม่พอใจอย่างมาก พูดอย่างไม่เกรงใจ ตอบกลับตรงไปตรงมา “เข้าใจเช่นนั้นแล้วก็ดี”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นสำลัก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจูบหน้าผากของนางอย่างผ่อนคลาย เขาก้มหน้าและหัวเราะ


 


 


หวงฝู่ซวิ่นหูดี ได้ยินเสียงหัวเราะของเขา ดึงม่านลงพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโกรธ และมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจ


 


 


รอรถม้าของทั้งคู่ผ่านไปแล้ว รถม้าของหวงฝู่ซวิ่นจึงตามหลังไป


 


 


พอถึงจวนอ๋อง ทั้งสามลงจากรถม้าพร้อมกัน หวงฝู่ซวิ่นอยู่ด้านหน้า หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลัง พวกเขาเดินเข้าไปในจวน


 


 


บ่าวรับใช้รีบออกมาต้อนรับด้วยความเคารพ “องค์รัชทายาท”


 


 


“ไปรายงานต่อเสด็จอา วันนี้ข้าจะมาร่วมทานข้าวที่จวนด้วย”


 


 


บ่าวรับใช้ขานรับ รีบวิ่งไปรายงานต่อพระชายาฉี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวแก่หวงฝู่อี้เซวียน “เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถอะ เดี๋ยวข้ากลับเรือนเอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า และหยุดฝีเท้าลง


 


 


ชิงหลวนและจูหลีทั้งสองก็เดินมาข้างหน้า และพยุงข้างกายของเมิ่งเชี่ยนโยวคนละข้าง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพาหวงฝู่ซวิ่นไปทักทายพระชายาฉีในเรือนของนาง


 


 


ผู้เป็นนายและผู้เป็นบ่าวเดินกลับไปที่เรือนของพวกเขา ชิงหลวนเปิดม่านออก เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะก้าวขาเดินเข้าเรือน


 


 


หวงฝู่อวี้แอบเข้ามาจากสวน เขามองไปรอบๆ ไม่เห็นหวงฝู่อี้เซวียน จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ต้องพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “พะ พี่สะใภ้ใหญ่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้าลงและมองไปที่เขา


 


 


หวงฝู่อวี้กลืนน้ำลาย พูดติดอ่างอีกครั้งว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะหนีออกจากเรือน”



 

 

 


ตอนที่ 319 เหนือความคาดหมาย

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขาอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่หวงฝู่อวี้รู้สึกเสียววาบบริเวณหนังศีรษะ นางค่อยๆ ยิ้ม และออกคำสั่ง “ชิงหลวน คุณคุณชายรองจะหนีอกจากเรือน เจ้าช่วยเขาหน่อย จำไว้ว่าของทุกอย่างที่อยู่ในเรือน แม้แต่เงินอีแปะเดียวก็อย่าให้เขาเอาออกไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันมายิ้มและกล่าวแก่หวงฝู่อวี้ “คุณคุณชายรอง ออกจากเรือนแล้วเลี้ยวซ้าย เดินทางดีๆ นะเจ้าคะ หวังว่าครั้งนี้ท่านจะทำตามในสิ่งที่พูด ไม่กลับจวนอ๋องอีก ท่านวางใจเถอะ พวกข้าจะทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริง จะไม่ส่งคนไปตามท่านกลับแน่นอน”


 


 


นี่เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกับที่ตนคิดไว้ หวงฝู่อวี้ตกตะลึง และยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่


 


 


ชิงหลวนขานรับ และเดินไปหาหวงฝู่อวี้


 


 


หวงฝู่อวี้ถอยหลังไปหลายก้าว จนล้มลงไปนั่งกับพื้น โบกมือไปมาอย่างสิ้นหวัง “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าแค่ล้อเล่น ข้าไม่ได้จะหนีออกจากจวนจริงๆ เสียหน่อย”


 


 


ทุกคนในเรือนต่างพากันหัวเราะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา แต่ก็ฝืนกลั้นเอาไว้ นางทำหน้าตึงเครียด “ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น พูดแล้วจะคืนคำได้อย่างไรล่ะ ต่อไปจะยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร รีบลุกขึ้น และออกไปนอกจวนกับชิงหลวน เห็นแก่หน้าข้า นางจะช่วยเหลือเจ้า ส่งเจ้าไปที่ไกลๆ ด้วยตัวเอง”


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจ และรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก เขารีบลุกขึ้น และผลักชิงหลวนออก วิ่งไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว และดึงชายเสื้อของนาง “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่ได้อยากออกจากบ้านจริงๆ ข้าเพียงแค่……”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับจากเรือนของพระชายาฉีพอดิบพอดี พอถึงทางเข้าเรือน ก็เห็นฉากนี้ เขาขมวดคิ้ว ถามด้วยความเคร่งขรึม “อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจจนรีบถอยห่างจากชายเสื้อของเมิ่งเชี่ยนโยว หันไปมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความหวาดกลัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งกลับมาถึง ยังไม่ทันเข้าเรือน น้องรองก็มาบอกว่าจะออกจากเรือนไป ข้าจึงมีน้ำใจให้ชิงหลวนช่วยเหลือเขา แต่เขาดันเปลี่ยนใจน่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินตรงไปด้านหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว และยืนเคียงข้างกัน กวาดสายตาไปที่หวงฝู่อวี้ ไม่ได้เอ่ยถามแต่อย่างใด และออกคำสั่ง “โจวอัน ส่งคุณชายรองออกจากจวน จำไว้ว่ายิ่งไกลยิ่งดี”


 


 


พูดจบ ก็ไม่ได้สนใจเขาอีก เขาหันหลังไปพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าเรือนไป พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยนดั่งหยดน้ำ “เข้าไปพักผ่อนในเรือนก่อนเถอะ อาหารในครัวใกล้จัดเตรียมเสร็จแล้ว อีกครู่ข้าจะเรียกเจ้า”


 


 


ยังไม่ทันได้รอคำขานรับของเมิ่งเชี่ยนโยว ด้านหลังก็มีเสียงดัง ตึกตัก ขึ้น เสียงกระวนกระวายใจของหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นพร้อมกัน “พี่ใหญ่ ข้าไปก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้ว”


 


 


ในขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนกำลังพยุงมือของเมิ่งเชี่ยนโยว หันหน้ากลับมาเหล่ตามอง ถามด้วยน้ำเสียงปรกติว่า “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


“ข้า ข้า…” หวงฝู่อวี้กะพริบตาหลุบไปมา ไม่กล้าสบตาทั้งสองอย่างซึ่งๆ หน้า และพูดอะไรไม่ค่อยออก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนทำน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น ถามเขาด้วยเสียงทุ้ม “พูด!”


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจกลัวจนสั่นไปชั่วขณะ และพูดขึ้น “ข้าและเยียนเอ๋อร์มีความสัมพันธ์แนบชิดทางกายกันแล้ว”


 


 


ในเรือนเงียบลง แม้แต่เสียงลมเมื่อครู่ก็หยุดลง ในเรือนมีเพียงเสียงหอบที่หวาดกลัวหวงฝู่อวี้เท่านั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้าหวงฝู่อวี้ ยื่นมือไปบีบไหล่ของเขาแล้วบิดเป็นวงกลม


 


 


หวงฝู่อวี้เจ็บจนตะโกนร้อง โอ้ยย ออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับไป “อี้เซวียน เขาเจ็บจนร้องออกมาแล้ว ข้าไม่ได้ฟังผิดไป นี่มันเป็นเรืองจริง”


 


 


หวงฝู่อวี้รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่นางตั้งใจทำกับตนเอง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพียงแค่กะพริบดวงตาที่แดงก่ำเท่านั้น และมองไปยังหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความรู้สึกผิด


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไมได้พูดอะไร แต่กลับแผ่ความโกรธออกมารอบตัว ทำให้หวงฝู่อวี้ตกใจกลัวจนถอยหลังไปหลายก้าว ร้องดังลั่น “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เป็นเพราะ……”


 


 


พูดถึงตรงนี้ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ไม่กล้าพูดต่อ


 


 


“เพราะอะไร” หวงฝู่อี้เซวียนถาม น้ำเสียงที่เย็นชา ทำให้หวงฝู่อวี้สั่นไปอีกชั่วขณะ


 


 


“เพราะ เพราะ เพราะข้าควบคุมตัวเองไม่ได้”


 


 


ในหัวของหวงฝู่อี้เซวียนมีเสียงปะทุดังขึ้น เจ้าคนไม่ได้เรื่องนี่ ตอนที่จะเป็นธุระจับคู่ให้ เจ้าตัวก็ปฏิเสธ แต่วันนี้กลับไปทำเรื่องที่น่าขายหน้าเช่นนี้ได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ตายแล้ว คุณชายรอง นี่หมายความว่า ท่านทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูหลินไปแล้วงั้นหรือ”


 


 


ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะถามคำถามที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ สีหน้าของหวงฝู่อวี้แดงขึ้น แต่เขาก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปิดปากด้วยความตกใจ มองไปที่หวงฝู่อวี้ และมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน และถอยไปยืนด้านหลัง และส่งสัญญาณมือไปให้หวงฝู่อี้เซวียน มีความหมายว่าเจ้าสามารถทุบตีเขาได้


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนทะมึนตึง ก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ หลายก้าวเสียจริงด้วย


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจกลัวจนคุกเข่าลงและถอยหลังไปหลายก้าว ความเร็วของเขานั้นเร็วกว่าหวงฝู่อี้เซวียนเสียอีก “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ท่านฟังข้าก่อน เรื่องนี้……”


 


 


“นางล่ะ? หวงฝู่อี้เซวียนขัดจังหวะเขา”


 


 


หวงฝู่อวี้ยังตอบสนองไม่ทัน ถามอย่างตะกุกตะกัก อะไร นางที่ไหน


 


 


“คุณหนูหลินน่ะ อยู่ไหน” น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนแฝงไปด้วยความโกรธ


 


 


หวงฝู่อวี้ตอบทันที “อยู่ที่เรือนของข้า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนโกรธมากขึ้น พยักหน้า “ดี ดีมาก ดูเหมือนว่าการเคี่ยวเข็ญสอนเจ้าในทุกๆ วันของพวกเราจะไร้ผล เจ้าถึงกับขึ้นกล้าพานางมาถึงที่จวนเลยรึ”


 


 


หวงฝู่อวี้โบกมืออย่างสิ้นหวัง แล้วรีบอธิบาย “ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น หลังเกิดเรื่อง นางหมดสติไป ข้าไม่อาจปล่อยนางไว้ที่จิ่วโหลวได้ จึงพานางกลับมาด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงตกใจอีกครั้ง “ที่จิ่วโหลว แม่เจ้า คุณชายรอง ท่านนี่ช่าง……” ไม่ได้พูดคำพูดท้ายออกมา


 


 


ใบหน้าของหวงฝู่อวี้แดงเหมือนกับตูดลิง


 


 


เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นอีกครั้ง “อี้เซวียน เรื่องที่พวกเขาทำที่จิ่วโหลว คาดว่าตอนนี้น่าจะรู้กันทั้งเมืองหลวงแล้ว เรื่องนี้เราไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่เป็นผู้ตัดสินเถอะ”


 


 


สิ่งที่หวงฝู่อวี้กลัวก็คือการที่อ๋องฉีรู้ ด้วยนิสัยของท่านอ๋อง เขาได้ทำเรื่องที่เสียชื่อจวนอ๋องเช่นนี้ คาดว่าคงจะเอามีดไล่แทงเขา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ยอมมาร้องขอกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนี้ คาดว่าน่าจะพัดไปทั่วไปเมืองหลวงอย่างรวดเร็วดั่งสายลม พัดไปถึงหูฮ่องเต้ แต่ถ้าอ๋องฉีและพระชายาฉีเองยังไม่รู้ ถ้าไม่รีบรายงานแก่พวกเขา พอถึงตอนที่ทางวังมีรับสั่ง เสด็จพ่อคงตะลึงงันไปเป็นแน่แท้


 


 


พอนึกถึงตรงนี้ ก็ออกคำสั่งกับโจวอัน “เจ้าไปเชิญเสด็จแม่…” พูดถึงตรงนี้ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหวงฝู่ซวิ่นยังพูดคุยกับเสด็จแม่ในเรือน ถ้าให้เขารู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าจะ…….


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเริ่มรู้สึกปวดหัว เขากำหมัดไว้แน่นราวกับจะทุบตีหวงฝู่อวี้


 


 


หวงฝู่อวี้กลัวจนถอยหลัง แต่ว่าโจวอันกั้นไว้ด้านหลัง เขาไม่สามารถถอยต่อไปได้ ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง เขาจ้องมองไปที่กำปั้นของหวงฝู่อี้เซวียนตาไม่กะพริบ หากเขาชูกำปั้น ต่อให้ตายตนก็ต้องหนีออกไปด้านนอกให้ได้ ไม่เช่นนั้น ต้องโดนทุบตีจนกลายเป็นเนื้อแผ่นแน่นอน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวภายนอกแม้จะหัวเราะเริงร่า แต่ในใจสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก นางไม่คิดว่าหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนจะใช้วิธีนี้ในการสานสัมพันธ์กันใหม่อีกครั้ง และดูจากท่าทีของหวงฝู่อวี้ที่พูดเมื่อครู่ ทั้งหมดนี้น่าจะแผนการของหลินหันเยียน หวงฝู่อวี้น่าจะไม่ทันระวังตัวจึงตกหลุมพรางของนางเท่านั้น


 


 


เห็นหวงฝู่อี้เซวียนโกรธจนแทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปข้างๆ เขา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไงก็เชิญเสด็จพ่อกับเสด็จแม่มาก่อนเถอะ อย่างไรเสีย ผู้คนคงได้รู้เรื่องนี้กันอย่างรวดเร็ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหลับตาลง และลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขากดความโกรธในใจลง ออกคำสั่งกับโจวอันด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปเชิญเสด็จพ่อกับเสด็จแม่มา” จากนั้นก็พูดเสริมไปอีกประโยคหนึ่ง “ให้เจ้าคนตัวดีคนนั้นมาด้วย”


 


 


โจวอันรู้ดีว่าคนที่เขาหมายถึงคือใคร จึงขานรับ และเดินหันหลังออกไป


 


 


อี้เซวียนยกมือขึ้นนวดเส้นเลือดตรงขมับวนไปมา จ้องไปที่หวงฝู่อวี้อีกหลายครั้ง และหันหลังเดินไปที่ห้องโถง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามด้านหลัง


 


 


เมื่อไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของหวงฝู่อวี้แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนที่เดินไปหน้าประตูก็หันหน้าถาม “ยังไม่รีบคลานเข้ามาอีกหรือ ยังต้องรอให้ข้าเชิญเจ้าหรือไง”


 


 


หวงฝู่อวี้รีบคลานเขามา ตามเข้ามาในห้องโถง


 


 


พระชายาฉีและหวงฝู่ซวิ่นกำลังพูดคุยเรื่องราวภายในบ้าน หวงฝู่ซวิ่นปากหวานมาก เรียกแทนนางว่าเสด็จอาสะใภ้ตลอด เรียกจนพระชายาฉีรู้สึกสบายใจ ทำให้รู้สึกโอบรับต่อท่าทีของเขาได้มากขึ้นเป็นอย่างมาก


 


 


โจวอันยืนรายงานอยู่ในเรือน “เรียนฝ่าบาท พระชายาฉี เกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ เชิญทั้งสองไปโดยด่วน”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกประหลาดใจ เมื่อครู่หวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนพาตนมาที่นี่ ยังบอกอีกว่าจะไปถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่าอยากกินอะไร


 


 


ร่างกายเมิ่งเชี่ยนโยวตอนนี้นั้นพิเศษ รสชาติอาหารที่อยากกินเปลี่ยนไปทุกวัน ที่จริงพวกเขาสามารถทำอาหารเองได้จากครัวในเรือน แต่วันนี้ไท่จื่อเสด็จมา พวกเขาสองสามีภรรยาไม่มานั่งต้อนรับด้วย ที่จริงแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่เสียมารยาท พระชายาฉีพูดคุยกับเขาด้วยรอยยิ้ม แต่ก็สั่งให้คนรีบไปถามว่าเหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังไม่มาเสียที ผ่านไปแค่เพียงชั่วครู่ โจวอันก็มาเชิญพวกเขาไป พระชายาฉีตกใจจนยืนขึ้นมา และรีบตะโกนถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโยวเอ๋อร์หรือ”


 


 


โจวอันตอบกลับด้วยความนอบน้อม “ไม่ใช่ขอรับ แต่เป็นคุณชายรองที่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว คุณชายใหญ่ไม่อาจแก้ปัญหาได้ จึงต้องมาเชิญไท่จื่อและพระชายาฉีไปที่นั่น”


 


 


พระชายาฉีรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม หวงฝู่อวี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเองก็ยืนขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสด็จอาสะใภ้อย่าได้ร้อนใจไปขอรับ พวกเราไปดูกันก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”


 


 


ทั้งสองค่อยๆ ออกจากเรือนของพระชายาฉี เพิ่งเดินมาถึงหน้าเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน อ๋องฉีก็เดินมาด้วยความรีบร้อน สีหน้าของเขามัวหมองเป็นอย่างมาก


 


 


พอเห็นเขา หวงฝู่ซวิ่นก็รู้สึกสั่นกลัว เขาเก็บท่าทางสบายๆ เมื่อตอนอยู่ต่อหน้าพระชายาฉีไป กล่าวทักทายท่านอ๋องฉีด้วยความสง่างาม “เสด็จอา”


 


 


อ๋องฉีเห็นเขาแล้ว หน้าตาขมุกขมัวมากขึ้นกว่าเดิม เขาหยุดฝีเท้าลง ถามด้วยเสียงทุ้ม “ไท่จื่อมาที่จวนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


 


 


ท่าทางของหวงฝู่ซวิ่นนอบน้อมกว่าเดิม “เรียนเสด็จอา ข้ามาทำธุระแถวนี้พอดี พอเห็นว่าเที่ยงวันแล้ว จึงอยากจะมาขอทานข้าวเที่ยงที่จวนขอรับ”


 


 


อ๋องฉีขยับปาก ราวกับว่ามีเรื่องจะพูด แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เข้าไปด้วยกันเถอะ”


 


 


ภายในใจหวงฝู่ซวิ่นดีใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยนไป แต่ก็ตอบกลับด้วยความนอบน้อม “ขอรับ ท่านลุง”


 


 


อ๋องฉีเดินเข้าไปในเรือน พระชายาฉีเดินตามเขาด้านหลัง และหวงฝู่ซวิ่นเดินอยู่ด้านหลังสุด


 


 


ชิงหลวนยกม่านลูกปัดขึ้น ทั้งสามเดินเข้าไปในห้องโถง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ในเรือน ส่วนหวงฝู่อวี้นั้นคุกเข่าต่อหน้าทั้งสอง พอเห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยืนขึ้น และทำความเคารพอ๋องฉีและพระชายาฉี


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ส่งเสียงด้วยความขี้ขลาด “เสด็จพ่อ เสด็จแม่”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเบิกตามอง แล้วเบิกตาจ้องอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้มองผิดไป หวงฝู่อวี้คุกเข่าอยู่บนพื้นจริงๆ ด้วย เขาคิดในใจว่าวันนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว


 


 


หวงฝู่อวี้ก็มองไปที่เขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตะโกนเรียก “ไท่จื่อ”


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเดินไปด้านหน้าเขา มองไปที่เขาอย่างโอบอ้อมอารี ถามด้วยความสงสัย “น้องอวี้ เจ้าไปก่อเรื่องอะไรไว้”


 


 


ครั้งที่แล้วหวงฝู่อี้เซวียนพาหวงฝู่อวี้ไปยังตงกงของตน ยังได้ทิ้งคำพูดเช่นนั้นไว้ หวงฝู่ซวิ่นรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนพี่น้องนั้นไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้หวงฝู่อวี้กลับคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียน แน่นอนว่าต้องทำอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจัดการได้


 


 


หวงฝู่อวี้พูดอะไรไม่ออก


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเองก็ไม่รีบร้อน ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้กับเขาอย่างช้าๆ


 


 


อ๋องฉีเริ่มพูด น้ำเสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยความโกรธ “ว่ามาเถอะ ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


หวงฝู่อวี้ค่อยๆ โยกร่างของตน เข้าไปใกล้พระชายาฉี และถอยห่างออกมาจากอ๋องฉี เขาก้มหน้า และหรี่ตามองไปยังเท้าของอ๋องฉี กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ขะ ข้า ข้าและเยียนเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้วขอรับ”


 


 


มือของหวงฝู่ซวิ่นที่กำลังรินชาก็หยุดชะงักลง เขาแทบไม่อยากเชื่อและมองไปที่หวงฝู่อวี้


 


 


พระชายาฉีรู้สึกว่าหูของตนฟังผิดไป จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยเสียงดังขึ้นว่า “เจ้ากับใครนะ”


 


 


หวงฝู่อวี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เยียนเอ๋อร์ขอรับ”


 


 


พระชายาฉียืนยันว่าตนได้ยินชัดเจนแล้ว ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “อวี้เอ๋อร์ นี่เจ้า…..”


 


 


อ๋องฉียกเท้าขึ้น และหันไปทางหวงฝู่อวี้ “เจ้ามันไร้ประโยชน์ ทำเรื่องที่เสียชื่อของจวนอ๋อง วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าทำให้ข้ากลายเป็นตัวตลกของผู้คน”


 


 


แม้ว่าหวงฝู่อวี้จะอยู่ไกล แต่ก็ไม่อาจหลบเท้าที่ยาวของอ๋องฉีได้พ้น เท้าของเขาเตะไปโดนร่างกายของหวงฝู่อวี้เข้าอย่างจัง


 


 


หวงฝู่อวี้ถูกเตะจนหงายหลังไป


 


 


อ๋องฉียังคงโกรธอยู่ เขาก้าวเท้าไปด้านหน้าอีกก้าว อยากจะเตะเขาอีกที



 

 

 


ตอนที่ 320 ใครเสียหน้ามากกว่า

 

พระชายาฉีรีบยืนขึ้น ยืนขวางอยู่ข้างหน้าเขาไว้ และร้องขอ “ท่านอ๋อง ฟังอวี้เอ๋อร์พูดก่อนว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ถึงตอนนั้นท่านค่อยตีสอนก็ยังไม่สาย”


 


 


อ๋องฉีตะคอกด้วยความโกรธ “ยังจะเป็นเรื่องอะไรได้อีกล่ะ คงไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งไร้ประโยชน์ที่หลงใหลในรูปงามจนควบคุมตนเองไม่ได้ แต่เจ้าต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ครั้งนี้แหละดีแล้ว เกิดเหตุร้ายดังกล่าวขึ้น รอให้จวนราชเลขามาคิดบัญชี ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร” พูดจบ ก็ไออย่างหนักติดกันหลายครั้ง


 


 


ครั้งนี้อ๋องฉีออกแรงเตะไม่เบา จนมุมปากของหวงฝู่อวี้มีเลือดไหลออกมา แต่เขาก็ไม่กล้าเช็ด เขารีบลุกขึ้นจากพื้น และคุกเข่าต่อหน้าอ๋องฉีอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ความผิดทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ขอท่านอย่าโกรธจนเป็นโทษต่อสุขภาพของท่านนะขอรับ”


 


 


อ๋องฉีกล่าวด้วยความโกรธ “มีลูกอกตัญญูอย่างเจ้าอยู่ ให้ข้ามีอายุยืนยังเป็นเรื่องยาก”


 


 


หวงฝู่อวี้หน้าซีด เขากระแทกศีรษะกับพื้นอย่างแรง “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เสด็จพ่อได้โปรดยกโทษให้ลูกด้วย”


 


 


พระชายาฉีเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของเขา ก็รู้สึกสงสาร “ท่านอ๋องเพคะ ต่อให้อวี้เอ๋อร์จะไม่ได้เรื่องมากเพียงใด ก็เป็นบุตรแท้ๆ ของท่าน ทำไมท่านถึงได้ลงมือหนักเช่นนี้เล่า อีกอย่าง ข้าเลี้ยงลูกของข้ามา เขาเป็นยังไงข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรเพคะ อวี้เอ๋อร์ไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามใจอย่างนั้น! ต้องมีบางอย่างแอบแฝง ท่านนั่งลงก่อน อดทนฟังเขาพูดจบก่อนดีไหมเพคะ”


 


 


อ๋องฉีส่งเสียงในลำคอ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความโกรธ


 


 


พระชายาฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา นางก้มลง เช็ดเลือดที่มุมปากให้กับหวงฝู่อวี้ด้วยตนเอง นางพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “อวี้เอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น เจ้าบอกความจริงกับพวกเรามาเถอะ”


 


 


เขามองไปที่ท่านอ๋องฉี กวาดตามองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว หวงฝู่อวี้ก็กัดฟัน และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมา


 


 


แท้จริงแล้ว ช่วงรุ่งสางของวันนี้ หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกไปแล้ว หวงฝู่อวี้ไม่ได้ออกจากเรือน แต่กลับนอนขี้เกียจอยู่ หลังจากยุ่งมาหลายเดือน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรงงานและกิจการร้านรวงของจวน และยังมีการค้าขายของตนเองอีก เขาล้วนจัดการเสร็จแล้ว นับจากวันนี้ไป เขาก็จะไม่ยุ่งขนาดนั้นแล้ว แต่ว่า เขาไม่ได้วางแผนที่จะอยู่เฉยๆ เขาจะไปเดินดูชมร้านค้าในเมืองเสียหน่อย


 


 


เขาตื่นขึ้นหลังจากที่พักผ่อนเพียงพอแล้ว หลังการทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว เขาก็ออกไป เขาไปสำรวจที่ร้านขายข้าวสารที่ตงเฉิง ร้านขายข้าวสารนี้เป็นร้านที่ตกทอดมาจากเฮ่อจาง เป็นร้านที่ทำกำไรมากที่สุด


 


 


เจ้าของร้านพอเห็นเขา ก็รีบรินชาให้เขาด้วยตนเองทันที และมอบสมุดบัญชีในช่วงนี้ให้เขาดู


 


 


หวงฝู่อวี้ดูอย่างละเอียด ไม่เห็นว่ามีข้อผิดพลาดใดๆ จึงพูดชื่นชมให้กำลังใจเจ้าของร้าน และสัญญาว่าเมื่อเงินดือนออกสิ้นเดือน จะให้เขามากกว่าเดิม เขาเดินออกจากร้านขายขายข้าวสารด้วยท่าทีที่ขอบคุณเจ้าของร้าน เตรียมจะเดินไปสำรวจยังร้านถัดไป


 


 


หงเอ๋อร์สาวใช้ส่วนตัวของหลินหันเยียนก็เดินเข้ามา ขวางหน้าเขาไว้ “คุณชายรอง คุณหนูของข้าเชิญท่านไปพูดคุยกันที่จิ่วโหลวเจ้าค่ะ”


 


 


เรื่องที่หลินหันเยียนหมั้นหมาย หวงฝู่อวี้ได้ยินมานานแล้ว เขาบังคับตนเองให้ค่อยๆ ลืมความรู้สึกที่มีต่อหลินหันเยียน เขาฟังสิ่งที่หงเอ๋อร์พูด แต่ไม่ขยับตัว พลางกล่าวว่า “กลับไปรายงานคุณหนูของเจ้า นางเองก็มีคู่หมั้นหมายแล้ว การพบเจอกับข้าเป็นเรื่องที่ไม่ดีต่อตัวนาง แล้วก็… อีกไม่กี่วัน ข้าเองก็ต้องหมั้นหมายกับคุณหนูจวนอู่โหวแล้ว เวลาเช่นนี้ไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องพบกันจริงๆ”


 


 


หงเอ๋อร์กัดริมฝีปาก ยืนอยู่ข้างหน้าเขาไม่ขยับตัว


 


 


เฮ่ออีที่ตามติดเขามาตลอด อยากก้าวไปไล่นาง แต่ถูกหวงฝู่อวี้ห้ามไว้


 


 


หวงฝู่อวี้เคลื่อนฝีเท้า อยากจะเดินอ้อมไปจากหงเอ๋อร์


 


 


ตุบ หงเอ๋อร์ คุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่อวี้ กล่าวด้วยเสียงสะอื้น “คุณชายรอง ขอร้องท่านล่ะ ไปเจอคุณหนูเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ นาง นาง นางจะไม่ไหวแล้ว”


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจ เขาลืมมารยาทอันดีงามทั้งหมดไปจนสิ้น ถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เยียนเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าสบายดีตลอดงั้นหรือ”


 


 


หงเอ๋อร์สำลักครู่หนึ่ง “นายท่านและฮูหยินบังคับคุณหนูให้หมั้นหมาย แต่คุณหนูไม่ยอม อยากจะชนกำแพงฆ่าตัวตาย แม้ว่าบ่าวรับใช้จะดึงไว้แต่นางก็ยังคงชนกำแพงจนเลือดไหล ผ่านไปหลายวัน ถึงจะดีขึ้นมาบ้าง แต่หากวันนี้คุณชายรองไม่ไปพบนาง ถ้าคุณหนูของข้าเกิดคิดมากขึ้นอีก ไม่แน่อาจจะทำอะไรโง่ๆ ในวันนี้อีกก็ได้”


 


 


เรื่องที่หลินหันเยียนกระแทกหัวนั้นจวนราชเลขาปกปิดอย่างเข้มงวด นอกจากหมอและคู่สามีภรรยาเหวินซื่อรู้แล้ว คนนอกก็ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้อีกเลย จึงไม่ได้มีข่าวอะไรถูกส่งออกมา หวงฝู่อวี้เองก็ไม่เคยได้ยิน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหงเอ๋อร์วันนี้ อะไรก็ไม่อาจหยุดเขาได้ เขาถามนางด้วยความร้อนใจ “คุณหนูของเจ้าอยู่จิ่วโหลวไหน รีบพาข้าไปเร็ว”


 


 


หงเอ๋อร์เช็ดน้ำตา และลุกขึ้นยืน นางพาหวงฝู่อวี้มายังจิ่วโหลวหรูหราที่ตงเฉิง พอถึงห้องส่วนตัวของชั้นสอง ก็เคาะประตูเบาๆ


 


 


ภายในห้องมีเสียงที่อ่อนแรงของหลินหันเยียนส่งออกมา “เข้ามา”


 


 


หงเอ๋อร์เปิดประตูออก หวงฝู่อวี้รีบก้าวเท้าเกินเข้าไป เห็นหลินหันเยียนที่ผอมจนเหลือแต่กระดูกก็อดสงสารไม่ได้


 


 


ใบหน้าหลินหันเยียนเต็มไปด้วยน้ำตา นางลุกขึ้นยืน พูดด้วยเสียงแหบแห้ง “พี่อวี้ ในที่สุดท่านก็มาพบข้าแล้ว”


 


 


หงเอ๋อร์ค่อยๆ เปิดประตู แล้วไปยืนอยู่ด้านนอก


 


 


ขณะที่เปิดประตู เฮ่ออีรับรู้สถานการณ์ด้านในอย่างชัดเจนแล้ว มีเพียงหลินหันเยียนคนเดียวเท่านั้น จึงวางใจและยืนอยู่ด้านนอก


 


 


หวงฝู่อวี้ก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือออกไป อยากจะโอบกอดหลินหันเยียนไว้ในอ้อมแขน แต่ก็รู้สึกไม่เหมาะสม จึงเก็บมือกลับ น้ำเสียงสำลักเล็กน้อย “เยียนเอ๋อร์ เจ้าผอมลงไปเยอะมาก ผอมจนข้าแทบจะจำเจ้าไม่ได้เสียแล้ว”


 


 


หลินหันเยียนลูบใบหน้าของตัวเอง ยิ้มอย่างเศร้าๆ และน้ำตาก็ไหลรินลงมา “ข้าในตอนนี้ดูไม่ต่างจากผีเลยใช่หรือไม่ อย่าว่าแต่ท่านเลย แม้แต่ตอนที่ข้าส่องคันฉ่องเอง ข้าก็จำตัวเองไม่ได้ ไม่แปลกที่พี่อวี้จะตกใจกลัว”


 


 


หวงฝู่อวี้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีด หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เมื่อก่อนนั้นช่างพูดช่างจา มีรอยยิ้มเปื้อนหน้าเสมอ ไม่มีเรื่องให้กังวล และมีชีวิตชีวา แต่หลังจากถอนหมั้นแล้ว ก็เหมือนดอกไม้ที่เ**่ยวเฉา แย่ลงไปทุกวัน ครั้งก่อนที่ตนเห็นนางที่จวนแม่ทัพ แม้ว่าตอนนั้นรูปร่างนางจะดูผอม แต่ว่าถ้าเทียบกับตอนนี้ ก็ยังถือว่าอวบกว่านัก นางในตอนนี้ เหมือนมีเพียงผิวหนังที่ห่อหุ้มกระดูกเอาไว้ ถ้าปล่อยไว้อีกสักพัก นางก็คงถูกเผาผลาญเลือดเนื้อจนเหือดแห้งตายไปอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


หลินหันเยียน ยืนนิ่ง มองเขาด้วยน้ำตา ไม่ส่งเสียงอะไร ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง


 


 


ความรู้สึกที่อัดอั้นขมขื่นของหวงฝู่อวี้ตลอดหลายปีมานี้ เมื่อเห็นสภาพของนางตอนนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมา เขาลืมหลักคุณธรรมต่างๆ ทิ้งไป “เยียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้”


 


 


หลินหันเยียนส่งเสียงสะอื้น


 


 


เฮ่ออีรู้สึกตื่นตัว ฟังความเคลื่อนไหวในห้องตลอดเวลา ฟังจากคำพูดแล้วพอคาดเดาท่าทางของทั้งสองออก เขาขมวดคิ้วด้วยความลังเล ไม่รู้ว่าควรจะส่งเสียงเตือนดีไหม หรือจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป


 


 


หงเอ๋อร์เหมือนกับคาดเดาความคิดของเขาออก ไปยืนที่กลางประตูห้อง ต้องการบอกเขาว่าหากอยากจะเข้าไปด้านใน ต้องข้ามศพนางไปก่อน


 


 


ตอนแรกก็ไม่รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดี ตอนนี้สับสนยิ่งกว่าเดิม


 


 


หลินหันเยียนนำความน้อยใจ ความคิดถึง ความไม่พอใจ ความหวาดกลัวทั้งหมดตลอดเวลาที่ผ่านมา แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตา ร้องไห้ออกมา นางร้องไห้จนเป็นลมหมดสติไป


 


 


หวงฝู่อวี้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเป็นอย่างมาก น้ำตาเขาไหลเต็มหน้า เขาปลอบโยนนางอย่างนุ่มนวล พูดแนะนำนาง ยิ่งไปกว่านั้น เขาเกือบพลั้งปากสัญญากับนางว่าจะดูแลนางตลอดไป โชคดีที่ยังได้สติ นึกขึ้นได้ว่านางมีคู่หมั้นแล้ว จึงหยุดความคิดไว้ได้


 


 


หลินหันเยียนค่อยๆ หยุดร้องไห้ เงยหน้าพร้อมดวงตาที่แดงช้ำขึ้น มองไปที่เขา น้ำเสียงยังคงสะอึกสะอื้น “พี่อวี้ ข้าคิดว่าชีวิตนี้ท่านจะไม่สนใจข้าแล้วเสียอีก”


 


 


ริมฝีปากของหวงฝู่อี้ขยับ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


หลินหันเยียนยิ้มออกมา หัวเราะทั้งน้ำตา ดั่งดอกไม้ในสายฝน หวงฝู่อวี้ที่มองอยู่ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจอีกครั้ง เขากล่าวเสียงเบาๆ “เยียนเอ๋อร์ ข้า……”


 


 


หลินหันเยียนส่ายหน้าให้เขา “พี่อวี้ ข้ารู้ดีว่าเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้ท่านเสียใจ ข้าไม่โทษท่าน ข้าเพียงโทษตัวข้าที่ไม่รู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้”


 


 


หวงฝู่อวี้รู้สึกผิด ที่จริงเขาคิดมากไป เลยคอยหลบซ่อนนาง จึงทำให้ทั้งสองต้องเจอบทสรุปเช่นนี้


 


 


หลินหันเยียนดึงเขามานั่งบนโต๊ะ และชี้ไปที่อาหารโอชาที่วางอยู่เต็มโต๊ะ กล่าวว่า “นี่ล้วนเป็นอาหารที่พี่อวี้ชอบ หากวันนี้พี่อวี้ไม่มาหาข้า ข้าคิดไว้ว่า หลังจากที่ข้าทานอาหารเหล่านี้แล้ว ก็จะตัดใจจากท่าน และจากนี้ไป ข้าจะไม่คิดถึงท่านอีก ข้าจะถอนท่านออกจากหัวใจ โชคดี โชคดี ที่ท่านมา ข้ามีความหวังในการมีชีวิตต่อไปแล้ว”


 


 


สีหน้าหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่น่าทำเช่นนี้เลย บนโลกนี้ยังมีชายดีๆ อีกมาก เจ้า…..”


 


 


“พี่อวี้ในใจท่านลืมข้าได้หรือ” เขายังไม่ทันพูดจบ หลินหันเยียนก็ขัดจังหวะถามเขากลับ


 


 


หวงฝู่อวี้พูดไม่ออกชั่วขณะ


 


 


หลินหันเยียนหัวเราะด้วยความสดใส ในเสียงนั้นเต็มไปด้วยความดีใจ “ข้าเองก็ยังไม่ลืมพี่อวี้เช่นกัน ต่อให้บนโลกนี้จะมีชายดีๆ มากมายแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า”


 


 


หวงฝู่อวี้สั่นไหวในใจ เขาขยับหัวไหล่แล้วห้อยลงไปด้วยความอ่อนแรง


 


 


หลินหันเยียนสังเกตท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นี้ของเขาไว้หมด ความขมขื่นแผ่ซ่านอยู่ในใจ นางเม้มริมฝีปาก เงียบลงชั่วขณะ ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบขวดสุรา และเทสุราเต็มจอกให้กับหวงฝู่อวี้ จากนั้นก็เทให้ตนเองเต็มจอก นางยกจอกสุราขึ้น “พี่อวี้ ยังจำเหตุการณ์ที่เราดื่มสุราด้วยกันครั้งแรกได้หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “จำได้แน่นอน ตอนนั้นพวกเรายังเด็ก เจ้าเห็นพ่อเจ้าดื่มสุราที่จวน แล้วรู้สึกแปลกใจ พอมาถึงที่จวนอ๋องชักชวนให้ข้าไปขโมยสุราดีๆ ในห้องเก็บสุราของเสด็จพ่อออกมา ซ่อนตัวอยู่ในมุมลับตาคนของจวนอ๋องเพื่อไปดื่มสุรา สุดท้ายเราทั้งสองเมา เลยนอนหลับไปในที่ตรงนั้น ผู้คนตามหาพวกเราไม่เจอ พากันตกใจยกใหญ่ แทบจะพลิกจวนอ๋องตามหาพวกเรากันทีเดียว”


 


 


หลินหันเยียนหัวเราะอย่างสดใส “ใช่แล้ว จากนั้นท่านก็รับความผิดคนเดียวทั้งหมด ถูกอ๋องฉีทุบตีอย่างรุนแรง และข้า กลับกลัวจนพูดอะไรไม่ออก หลังจากกลับบ้านกับท่านแม่อย่างเชื่อฟัง ถูกสั่งไม่ให้ไปจวนอ๋องเป็นเวลาสองเดือน”


 


 


พูดจบ ก็กล่าวต่อ “ในชั่วพริบตาเรื่องนี้ก็ผ่านไปหลายปี แต่กลับเหมือนกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน วันนี้เป็นการดื่มอีกครั้งของเรา นับจากนี้อาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว มาเถอะ พี่อวี้ ดื่มเป็นเพื่อนข้า”


 


 


ใบหน้าของหวงฝู่อวี้มัวหมองลง หยิบจอกขึ้นมาเงียบๆ เงยหน้าขึ้น เขาดื่มสุราทั้งหมดในครั้งเดียว จากนั้นก็กระแทกจอกเปล่าลงบนโต๊ะ


 


 


หลินหันเยียนก็เงยหน้าดื่มสุรา และหยิบขวดสุราขึ้นมาอีกครั้ง รินสุราให้เต็มจอกแล้วยกขึ้น “พี่อวี้ จอกที่สองนี้ ข้าขอขอบคุณสำหรับความอดทนอดกลั้นและการดูแลตลอดหลายปีที่ผ่านมา”


 


 


พูดจบ ไม่รอหวงฝู่อวี้ห้าม ก็เงยหน้าดื่มต่อ


 


 


หวงฝู่อวี้ก็ดื่มหมดในคราเดียว


 


 


หลินหันเยียนจะไปหยิบขวดสุราอีก แต่หวงฝู่อวี้ก็รีบคว้าสุราจากมือนาง “เยียนเอ๋อร์ พอได้แล้ว”


 


 


หลินหันเยียนไม่พูดอะไร ตาโตกะพริบด้วยความเมาเล็กน้อย และมองไปที่เขา


 


 


หวงฝู่อวี้พ่ายแพ้ เติมสุราให้นางอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นเทเต็มจอกให้ตนเอง และนำขวดสุราวางไว้ที่ไกลมือ “นี่เป็นจอกสุดท้ายแล้ว ถ้าขืนดื่มต่อ เจ้าได้เมาจริงแน่ๆ”


 


 


หลินหันเยียนยกจอกสุราไปที่จอกของเขา ชนแรงๆ หนึ่งที หงายคอขึ้นกระดกดื่มจนหมดเกลี้ยงอีกครา


 


 


หวงฝู่อวี้เองก็ดื่มรวดเดียวจนหมด


 


 


หลินหันเยียนเองก็เชื่อฟัง ไม่ได้จะขอดื่มอีก แต่กลับหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบอาหารบางอย่างมาไว้ในจานที่วางอยู่ตรงหน้าของหวงฝู่อวี้ “พี่อวี้ ท่านลองชิมดู นี่เป็นอาหารที่ท่านชอบที่สุด”


 


 


หวงฝู่อวี้ไม่ได้หยุดนาง เขากินอาหารที่นางคีบให้จนหมดอย่างเงียบๆ ผ่านไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสุราที่ดื่ม หรืออาหารที่ทานมากเกินไป ร่างกายของเขาจู่ๆ ก็ร้อนขึ้น พอมองไปที่หลินหันเยียน อาจเป็นเพราะเมาเล็กน้อย นางแก้มแดง ตาปรือเล็กน้อย ส่ายหัวตัวเองอยู่ตลอด ดูเหมือนจะขับไล่ความรู้สึกร้อนออกไป


 


 


แล้วหวงฝู่อวี้ก็ยื่นมือออกไปหานางอย่างไม่รู้ตัว



 

 

 


ตอนที่ 321 หาเรื่อง

 

ความร้อนรุ่มในใจของหวงฝู่อวี้เดือดพล่านกว่าเดิม ไม่เพียงแต่กอดหลินหันเยียนไว้อย่างแน่น ริมฝีปากก็ขยับขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


 


ในห้องมีเสียงหายใจหอบดังขึ้น พร้อมกับเสียงร้องของหญิงสาวด้วยความเจ็บปวดและความหฤหรรษ์


 


 


เฮ่ออีตัวแข็งทื่อ เสียงนี้ ชัดเจนว่าเป็น… เขาไม่กล้าคิดต่อไปแล้ว รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว


 


 


 


 


หวงฝู่อวี้เพิ่งจะพูดจบ เส้นเลือดบนหน้าผากของท่านอ๋องฉีปูดขึ้นมา เรื่องไร้ยางอายนี้ นึกไม่ถึงว่าจะทำเรื่องไม่ดีในจิ่วโหลว อย่าพูดไปว่าเขาและหลินหันเยียนมีฐานะพิเศษสูงส่งกว่าคนอื่นเลย ถึงแม้เป็นคนธรรมดาทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องถูกคนหัวเราะเยาะ


 


 


หวงฝู่อวี้กลัวจนถอยไปข้างหลัง


 


 


พระชายาฉีตกใจจนพูดไม่ออกแล้ว “นี่ นี่ นี่….”


 


 


สายตาของหวงฝู่ซวิ่นจ้องมองไปรอบๆ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นที่จิ่วโหลว… แต่นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย อย่าพูดถึงเสด็จอาเลย เขาก็รู้สึกถูกตบเข้าที่หน้า


 


 


ท่านอ๋องฉีโกรธ ตะโกนออกไปข้างนอกด้วยความโมโห “ใครก็ได้ มาเอาตัวเจ้าคนไร้ยางอายนี้ออกไปโบยซะ……”


 


 


พระชายาฉีหวนนึกขึ้นมา รีบพูดห้ามปราม “ท่านอ๋อง เรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว ท่านทำเช่นนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะเพคะ ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ เราจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร ให้คำอธิบายกับครอบครัวของราชเลขาหลินอย่างไร”


 


 


ท่านอ๋องฉีโกรธ แทบอยากจะกระทืบหวงฝู่อวี้ให้ตาย “ยังต้องอธิบายอะไรอีก ข้ามัดเขาและส่งไปยังจวนราชเลขา ปล่อยให้พวกเขาลงโทษ จะเป็นจะตายข้าก็ไม่สนอีกแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูกจังหวะ “เสด็จพ่อ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของอวี้เอ๋อร์ น่าจะมีคนเอายาใส่ลงไปในเครื่องดื่ม ส่งผลให้เขาทำเรื่องเช่นนั้นลงไปโดยไม่นึกถึงความถูกผิด”


 


 


แม้ว่าท่านอ๋องฉีจะฟังออกว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ แต่แล้วอย่างไรล่ะ ไม่สามารถประกาศออกไปภายนอกได้ว่าหวงฝู่อวี้โดนวางยา ถึงทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้ นั่นไม่ใช่ว่ายิ่งเป็นการตบหน้าจวนอ๋องอย่างนั้นหรือ


 


 


พระชายาฉีถามทันที “เยียนเอ๋อร์ล่ะ”


 


 


หวงฝู่อวี้กระซิบตอบเบาๆ “หลังจากนั้นนางก็หมดแรง สลบไป ข้าพานางกลับมา และให้พักอยู่ในเรือนของข้าแล้ว”


 


 


ท่านอ๋องฉีปวดหัวตุบๆ อดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ผลักพระชายาฉีออก พร้อมถีบไปยังร่างของหวงฝู่อวี้ กระทืบแล้วกระทืบอีก ออกแรงกระทืบหนักทุกครั้ง โกรธจนพูดไม่ทันคิด “ไอ้สวะ หากวันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้าให้ตายเสีย ข้าจะเรียกเจ้าว่าบิดา”


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ถูกกาลเทศะ หวงฝู่ซวิ่นอยากจะหัวเราะออกเสียงเสียให้ได้


 


 


พระชายาฉีถูกผลักเซจนเกือบชนเข้ากับโต๊ะ โชคดีที่ตาและมือของเมิ่งเชี่ยนโยวไวเลยคว้าตัวนางไว้ทัน


 


 


แม้ว่าพระชายาฉีจะทรงตัวได้แล้ว แต่ยังคงตกใจมาก เห็นอ๋องฉีลงมือกับหวงฝู่อวี้อย่างหนัก ต้องรีบมาหยุดไว้อีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดนางไว้ ส่ายหัวให้นาง ครั้งนี้หวงฝู่อวี้ก่อปัญหาที่ใหญ่เกินตัว ให้ท่านอ๋องฉีสั่งสอนบ้างก็ดี กลัวว่าอีกหน่อยจะจำบทเรียนไม่ได้ ก่อเรื่องใหญ่ซ้ำอีก ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีทางช่วยได้แล้วจริงๆ


 


 


หลังจากที่ท่านอ๋องฉีเตะไปนับครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ยืนขึ้น ขวางระหว่างเขาและหวงฝู่อวี้ “เสด็จพ่อ อวี้เอ๋อร์ได้รับบทเรียนแล้ว ถ้าท่านกระทืบต่อไปก็จะตายจริงๆ แล้วนะขอรับ”


 


 


“ตายก็ดี ตายแล้วจะได้ไม่ก่อเรื่องให้ข้าอีก” ท่านอ๋องฉีถอนหายใจและตะโกนด้วยความโมโห


 


 


หวงฝู่อวี้ถูกกระทืบจนกองลงไปนอนอยู่บนพื้น ใช้เวลานานมากถึงจะลุกขึ้นมาได้ ยันร่างกายขึ้นคุกเข่าต่อหน้าท่านอ๋องฉี “เป็นความผิดของลูก เสด็จพ่อจะลงโทษอย่างไร ลูกขอยอมรับทั้งหมด”


 


 


ท่านอ๋องฉีโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ทำอย่างไรโทสะก็ไม่คลายลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเขาจะลงมือกับหวงฝู่อวี้อีก จึงพูดโน้มน้าว “เสด็จพ่อ อวี้เอ๋อร์ก่อเรื่องลงไปแล้ว ถึงท่านจะตีเขาจนตายมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ท่านใจเย็นๆ ก่อน พวกเรามาปรึกษาหาวิธีแก้ปัญหาด้วยกันเถิดขอรับ”


 


 


ท่านอ๋องฉีถอยกลับไปที่เก่าอี้ นั่งลงอย่างแรง “มีวิธีอะไรสามารถแก้ปัญหานี้ได้ มีเพียงแค่ต้องแต่งงานกับคุณหนูหลินเท่านั้น แต่ดูจากนิสัยของสองสามีภรรยาจวนราชเลขาแล้ว พวกเขาจะให้ลูกสาวแต่งเข้ามาง่ายๆ หรือไม่ อีกประการหนึ่งคือ คุณหนูหลินมีคู่หมั้นอยู่แล้ว สามีในอนาคตยังเป็นคนที่มีความสามารถ ต่อไปไม่แน่อาจจะกลายเป็นเสาหลักของราชสำนัก อวี้เอ๋อร์ได้แย่งคนรักไป จะเป็นการเพิ่มศัตรูให้กับจวนอ๋องก็แค่นั้น”


 


 


พระชายาฉีก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งเมื่อครู่ “ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าคู่สามีภรรยาราชเลขาหลินไม่อยากให้ข่าวลือในเมืองหลวงยิ่งเลวร้ายลง ไม่ควรขัดขวางไปมากกว่านี้ ที่จริงแล้วสำหรับจวนราชเลขา ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก”


 


 


เพิ่งจะพูดเสร็จ มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องนั่งเล่น ต่อจากนั้นเสียงตื่นตระหนกของหัวหน้าพ่อบ้านก็ดังขึ้น “ท่านอ๋อง ราชเลขาหลินและคุณชายหลินพาคนมาที่ประตูแล้วขอรับ”


 


 


สีหน้าของท่านอ๋องฉีดูแย่ยิ่งขึ้น แต่นั่งนิ่งๆ


 


 


สีหน้าของพระชายาฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไปยังท่านอ๋องฉี


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งนิ่งไม่ขยับ


 


 


พ่อบ้านยังไม่ได้ยินคำสั่ง โค้งตัวไม่กล้าเงยหน้าขึ้น


 


 


สักพัก ท่านอ๋องฉีจึงจะยืนขึ้น หลังจากจ้องไปที่หวงฝู่อวี้ ก้าวเดินไปข้างหน้า เดินมาถึงหน้าประตู หันหน้ากลับมาสั่งหวงฝู้อวี้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าไปอยู่ในเรือน ถ้าไม่มีคำสั่งของข้าก็ห้ามออกมา”


 


 


พูดจบ จึงเดินออกไป


 


 


พระชายาฉีก็เดินตามไปด้านนอก หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นยกก้น อยากตามออกไปดูความตื่นเต้น แต่รู้สึกไม่เหมาะสม นั่งกลับไปอีกครั้ง รอหลังจากคนในห้องทั้งหมดเดินออกไป ยกนิ้วโป้งให้หวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง กล้าหาญมาก แม้กระทั่งข้ายังนับถือเลย”


 


 


หวงฝู่อวี้ชำเลืองมองเขา นั่งกองลงบนพื้นด้วยรอยยิ้มเหือดแห้ง ตอนนี้เสด็จพ่อโกรธมากจริงๆ กระทืบจนเขาเจ็บไปหมดทั้งตัว แต่นึกถึงคำพูดก่อนที่ท่านจะออกไป เห็นได้ชัดว่ากำลังปกป้องตัวเอง อดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้งๆ ออกมาอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่ซวิ่นเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ส่ายหัว รู้สึกว่าเขาอาจจะถูกท่านอ๋องฉีตีจนปัญญาอ่อนไปแล้ว ประเดี๋ยวก็ร้องไห้ ประเดี๋ยวก็ยิ้ม


 


 


ทั้งสี่คนมาถึงทางเข้าประตูจวนอ๋อง ราชเลขาหลินและหลินจ้งนำคนหลายสิบคนมา ยืนขวางอยู่ที่ทางเข้าประตูด้วยท่าทางที่ดุดัน


 


 


เห็นหลายคนเดินออกมา ราชเลขาหลินก้าวไปข้างหน้า จ้องคนเหล่านั้นด้วยความโกรธ พูดเสียงดัง “หวงฝู่จิ้ง พวกเจ้ารังแกคนอื่นเกินไปแล้ว รีบเรียกเจ้านั่นออกมา ต่อให้วันนี้จะต้องสละชีวิตพวกเราพ่อลูก ก็จะสู้กับจวนอ๋องฉีให้ตายกันไปข้างหนึ่ง”


 


 


ท่านอ๋องฉีเบะปากเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก “หลินฉงเหวิน ระวังคำพูดของเจ้าด้วย อวี้เอ๋อร์เป็นลูกชายของหวงฝู่จิ้ง ถ้าข้าได้ยินเจ้าเรียกเขาเช่นนี้อีกครั้ง ข้าจะตีเจ้าจนต้องกลับเข้าไปในท้องแม่อีกครั้ง”


 


 


ราชเลขาหลินเดือดดาลมากจริงๆ จึงเผลอพูดอะไรไม่คิดออกไปบ้าง ราวกับหญิงปากร้าย ถุยไปยังท่านอ๋องฉี “ไม่ต้องมาขู่ข้าหรอก ข้าไม่ใช่ไก่อ่อน”


 


 


นอกจากกลุ่มราชเลขาหลินแล้ว ก็ไม่มีคนมาดูความตื่นเต้นที่ด้านหน้าประตูจวนอ๋องฉี อย่าพูดเป็นเล่นไป คนหนึ่งชินหวางเพียงองค์เดียวของราชวงศ์ คนหนึ่งเป็นถึงราชเลขา อีกทั้งตอนนี้ทั้งสองคนสถานการณ์ตึงเครียด ดูเหมือนจะสู้กันอย่างดุเดือด หากตอนนี้มาร่วมรับชมความตื่นเต้น เกิดพวกเขาจดจำตัวเองได้ขึ้นมา ไม่โชคร้ายก็บ้าแล้ว เพียงแต่ว่า ดูอยู่ในบ้านตัวเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มีบางคนแกล้งทำเป็นกลัว รีบปิดประตูบ้านของตัวเอง ที่จริงแล้วกลับแอบดูผ่านรอยประตู มีบางคนยิ่งกว่านั้น สั่งให้คนในจวนต่อบันไดขึ้นมา ตัวเองปีนขึ้นบนกำแพง เงยหน้ามองเล็กน้อย


 


 


คำพูดของราชเลขาหลินหลุดออกมา สีหน้าของท่านอ๋องฉีก็เคร่งเครียดไม่น้อย โบกมือให้สามคนข้างหลังหยุดลง ตัวเองเดินหน้าไปไม่กี่ก้าวและหยุดลง ชี้ราชเลขาหลิน “หลินฉงเหวิน หากเจ้ามีใจกล้าเช่นนี้ ก็คลานมาสู้กับข้าสักตั้ง ถ้าชนะ จะทำอย่างไรกับอวี้เอ๋อร์ก็แล้วแต่เจ้า ถ้าแพ้ ก็รีบไสหัวไป”


 


 


ราชเลขาหลินไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนด้อยกว่า เดินไปข้างหน้า “นี่เจ้าเป็นคนพูดเอง ใครผิดคำพูด คนนั้นก็เป็นคนโง่เง่า”


 


 


“อย่าพล่ามให้เสียน้ำเลย เข้ามา”


 


 


ราชเลขาหลินก็เคยเป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊มาก่อน แม้ว่าจะเป็นราชเลขามาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยทิ้งศิลปะการต่อสู้เลย ตอนนี้ชูมือตั้งกำปั้น พุ่งเข้าหาท่านอ๋องฉี


 


 


ท่านอ๋องฉีและราชเลขาหลินเริ่มสู้กันแล้ว นี่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นมาก คนที่หลบอยู่หลังประตูก็ไม่หลบต่อไปแล้ว เปิดประตูและเดินออกมาตรงๆ ที่แอบยื่นหัวออกไปก็โผล่ทั้งตัวออกมา ยื่นคอมาดูอย่างโจ่งแจ้ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)