ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 310-313

ตอนที่ 310 หัวเราะครื้นเครง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดวกไปวนมา พูดตรงๆ ว่า “ท่านน้า วันนี้ที่พวกข้ามาเพราะอยากถามท่านว่าค่ายทหารของพวกท่านยังต้องการฉั่งฉิกหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยหยุดชะงักอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว ไตร่ตรองสักพัก แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ทหารไม่กรีธาทัพออกรบ จึงใช้ยาน้อยลง เกรงว่าจะไม่ซื้อฉั่งฉิกของเจ้าทั้งหมดเหมือนครั้งก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย โบกมือไปมา “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ฉั่งฉิกพวกนี้ถ้าหากขายที่อื่น กำไรจะมากกว่า ข้าแค่เกรงว่าท่านน้าต้องการ จึงตั้งใจมากับหวงฝู่อี้เซวียนเพื่อมาถาม ถ้าหากพวกท่านไม่ต้องการ ข้าก็จะจัดการเอง”


 


 


“เจ้าอย่าเพิ่งรีบขายให้ผู้อื่น พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ถวายความสำคัญของฉั่งฉิกให้ฮ่องเต้ฟังก่อน ยามนี้ไม่มีสงคราม ไม่ได้แปลว่าภายหน้าจะไม่มี ถ้าเจ้าขายให้ผู้อื่น ถ้าหากถึงยามศึกสงครามค่ายทหารต้องการอีกก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว” ฉู่เหวินเจี๋ยห้ามนางไว้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวว่า “ท่านน้ารีบไปรีบมา พวกข้าอยู่รอข่าวท่านที่นี่”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยรีบลุกขึ้นทันที สั่งลุงฝูให้ดูแลทั้งสองให้ดี แล้วรีบขี่ม้ามาที่วังอย่างรวดเร็ว รายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้


 


 


ฮ่องเต้ทรงได้ฟัง ก็ตกพระทัยอย่างมาก เขารู้เพียงว่าสามปีก่อน ค่ายทหารได้รับยาสมุนไพรชั้นดีหนึ่งชุด ไม่เพียงแต่ลดอาการปวดให้กับทหารที่บาดเจ็บ ยังช่วยชีวิตทหารที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนอาจถึงแก่ชีวิต แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ยาพวกนี้มาจากเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากตกพระทัยแล้ว ก็นึกถึงปัญหาตรงหน้า ถ้าหากไม่รับซื้อยาสมุนไพรพวกนี้ หากเกิดสงครามจริงๆ แล้วไม่สามารถหาได้จากที่อื่นอีก แต่หากรับซื้อยาสมุนไพรพวกนี้แล้ว ภายในสามปีไม่มีสงครามเกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าใช้ตั๋วเงินในคลังเงินของประเทศไปไม่น้อย โดยที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย จึงเกิดความลังเลใจ


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยสังเกตจากสีหน้าและคำพูด ก็รู้ว่าในใจฮ่องเต้คิดอะไรอยู่ จึงพูดเติมไฟ กล่าวว่า “ฉั่งฉิกพวกนี้สามารถทำเม็ดยาออกมาได้หลายอย่าง ไม่เพียงแต่สามารถใช้ได้แค่ในค่ายทหาร สำหรับครอบครัวตระกูลที่มีเงินมีทอง ก็เป็นยาชั้นดีที่หาได้ยากเช่นกัน แม้ว่าหลายปีมานี้ทหารจะไม่กรีธาทัพ แต่ทหารทั้งหลายที่ปกป้องชายแดนก็ต้องการ กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทใคร่ครวญให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้หมุนแหวนนิ้วโป้งไปมา กะพริบตา กล่าวถามว่า “ยาสมุนไพรพวกนี้ต้องใช้ตั๋วเงินประมาณเท่าใด”


 


 


“ทูลฝ่าบาท ราคาสามปีก่อนคือหนึ่งล้านตำลึง ไม่รู้ว่าตอนนี้ราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่เหวินเจี๋ยตอบตามความจริง แต่ไม่ได้สังเกตเห็นตอนที่ฮ่องเต้ได้ยินจำนวนเงินนั้น มือที่หมุนแหวนนิ้วโป้งของฮ่องเต้นั้นหยุดชะงักไปชั่วครู่


 


 


คิดหนักไปสักพัก ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ใดๆ ว่า “ข้ารู้แล้ว ให้ข้าปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางก่อน อีกสองสามวันค่อยให้คำตอบเจ้า เชิญท่านแม่ทัพกลับก่อนเถิด”


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยรับคำสั่ง เดินออกจากห้องทรงพระอักษร แล้วออกจากประตูวัง


 


 


แต่หลังจากเขาออกไป ฮ่องเต้ก็หลับตาครุ่นคิดสักพัก แล้วตรัสสั่งว่า “เข้ามา”


 


 


ขันทีที่ดูแลรับคำสั่งแล้วก้าวเข้ามา


 


 


“รายงานราชโองการของข้า เรียกท่านอ๋องฉีเข้าวังอย่างเร่งด่วน”


 


 


ขันทีนำพระราชโองการรีบมาถึงจวนอ๋องฉี


 


 


หลังจากท่านอ๋องฉีได้รับพระราชโองการก็เกิดความสงสัยในใจ ช่วงนี้ไม่ได้ยินว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดในวัง เพราะเหตุใดเสด็จพี่จึงเรียกตนเข้าวังอย่างเร่งด่วน จึงไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด เปลี่ยนเป็นชุดทางการ มาถึงในวัง เข้ามาในห้องทรงพระอักษร กำลังจะทำความเคารพ ก็ได้ยินเสียงที่รู้สึกได้ว่ามีความประจบสอพลออยู่ในนั้นของฮ่องเต้ว่า “น้องข้า ต่อไปข้ามธรรมเนียมปฏิบัติพวกนี้ไปเถิด”


 


 


ท่านอ๋องฉีแปลกใจ เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้อย่างไม่เข้าใจ


 


 


เสียงแปลกๆ ของฮ่องเต้ดังขึ้นอีกครั้ง “เก้าอี้ น้ำชา”


 


 


นางกำนัลคนหนึ่งรีบยกเก้าอี้นุ่มมาวางด้านหลังเขา นางกำนัลอีกคนรีบยกโต๊ะเล็กๆ มาวางข้างหน้าเขา นางกำนัลคนที่สามรีบยกน้ำชาที่ร้อนๆ มีกลิ่นหอมค่อยๆ วางลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าเขา


 


 


ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์เกือบยี่สิบปี แต่ท่านอ๋องฉีกลับไม่เคยได้รับการปฏิบัติดูแลเยี่ยงนี้มาก่อนเลย ก็ร้อนรนในใจ เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ กล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “เสด็จพี่ เซวียนเอ๋อร์สร้างปัญหาใหญ่หลวงอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


มีแค่เรื่องนี้ หลายเดือนมานี้ตนแทบไม่ออกจากจวน ไม่มีเรื่องที่ทำผิดแน่ๆ ฮ่องเต้ปฏิบัติกับตนเยี่ยงนี้ ต้องเป็นเพราะเซวียนเอ๋อร์สร้างปัญหาใหญ่หลวงแน่ๆ เสด็จพี่อยากลงโทษเขาอย่างหนัก แต่ก็กลัวตนไม่พอใจ จึงเรียกตนมาก่อน เพื่อปลอบใจตนก่อน คิดถึงนี้ สีหน้าก็เริ่มซีด เหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ รีบลุกขึ้นยืน กล่าวขอร้องว่า “เซวียนเอ๋อร์อายุยังน้อย ถ้าหากทำเรื่องผิดใหญ่หลวงอันใด ข้าขอรับแทนเขา ขอเสด็จพี่อภัยโทษให้เขาสักครั้งเถิด”


 


 


ฮ่องเต้หัวเราะออกมา “น้องพูดอะไร เซวียนเอ๋อร์ฉลาดและเชื่อฟังมาก จะทำเรื่องผิดใหญ่หลวงได้อย่างไร วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะจะปรึกษาเรื่องอื่นกับเจ้า เจ้าอย่าตื่นตกใจ”


 


 


ไม่ใช่ลูกชายตนเกิดเรื่อง ท่านอ๋องฉีก็วางใจ เช็ดเหงื่อที่ออกมาบนหน้าผากให้หมด กลับมาเป็นท่าทางสง่าเหมือนเดิม “เสด็จพี่มีเรื่องอันใดก็ตรัสมาตรงๆ เถิด ขอแค่เป็นเรื่องที่น้องทำได้ น้องจะทำอย่างสุดความสามารถแน่นอน”


 


 


ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน ยื่นมือขวาออกมา แล้วทำท่าเชิญ “เจ้านั่งลงก่อน ข้าจะค่อยๆ พูดให้เจ้าฟัง”


 


 


ท่านอ๋องฉีรู้สึกได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันมาก่อนจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พูดอย่างถูกต้องคือรู้สึกมึนงง เสด็จพี่ของตนท่านนี้ ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นองค์ชายรัชทายาท จึงมีท่าทางที่สูงส่งกว่าผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นน้องชายแท้ๆ ที่มีท่านแม่คนเดียวกัน แต่ก็แค่สนิทกว่าผู้อื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความรู้สึกก็ยังคงห่างเหิน แล้วก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้มาก่อน วันนี้เป็นครั้งแรก


 


 


 


 


ในตอนนี้ท่านอ๋องฉียังคงมึนงงอยู่ ฮ่องเต้จึงกล่าวอีกว่า “น้องข้า เรื่องที่ซื่อจื่อเฟยของเซวียนเอ๋อร์ปลูกยาสมุนไพรไว้มากมาย เจ้ารู้หรือไม่”


 


 


ท่านอ๋องฉียังไม่รู้สึกตัว แต่ก็ส่ายหัวไปมา “เรื่องนี้น้องไม่เคยได้ยินมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วคลายออกในทันที ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องใหญ่เยี่ยงนี้เซวียนเอ๋อร์ไม่เคยบอกกล่าวเจ้าเลยหรือ”


 


 


ท่านอ๋องฉียังคงส่ายหัวไปมา “เรื่องของพวกเขาข้าไม่เคยเอ่ยถาม”


 


 


ถามท่านอ๋องฉีกี่เรื่องก็ไม่รู้อะไรเลย รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้เริ่มฝืนยิ้มไม่ไหว “แล้วน้องรู้หรือไม่ว่าเซวียนเอ๋อร์และซื่อจื่อเฟยของเขาอยากจะขายยาสมุนไพรพวกนี้ให้ราชสำนัก”


 


 


ในที่สุดท่านอ๋องฉีก็รู้สึกตัว ตกใจจนแทบกระโดดขึ้นมา กล่าวถามด้วยความตกใจว่า “มีเรื่องเยี่ยงนี้หรือ เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่องใดๆ เลย”


 


 


ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึกๆ สูดหายใจเข้าอีกครั้ง แล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง จึงจะควบคุมตัวเองไม่ให้โยนสานส์ตรงหน้าใส่หน้าท่านอ๋องฉี อยู่ในจวน แต่กลับไม่รู้เรื่องใดๆ ในจวนของตนเลย ก็ไม่รู้ว่าเป็นท่านอ๋องได้อย่างไร


 


 


ท่านอ๋องฉียังคงตกใจอยู่ จึงไม่สังเกตอารมณ์ของฮ่องเต้


 


 


ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่มีความประจบสอพลอเหมือนเมื่อครู่ กลับมีความเกรงขามขึ้นมาเล็กน้อย “งั้นเจ้าก็ยิ่งไม่รู้ว่าพวกเขาขายยาสมุนไพรพวกนี้ในราคาเท่าใด”


 


 


ท่านอ๋องฉียังคงส่ายหัวไปมา


 


 


น้ำเสียงต่ำของฮ่องเต้ดังขึ้นว่า “หนึ่งล้านตำลึง”


 


 


ครั้งนี้ท่านอ๋องฉีกระโดดขึ้นมาจริงๆ หลุดตะโกนออกมาว่า “หนึ่งล้านตำลึง”


 


 


ฮ่องเต้พยักหน้า เสริมอีกประโยคว่า “นั่นเป็นราคาของสามปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เท่าใดแล้ว”


 


 


“ทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร” ในน้ำเสียงของท่านอ๋องฉีเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย “สิ่งที่จะขายให้ราชสำนักจะเอาตั๋วเงินมากมายเยี่ยงนี้ได้อย่างไร…”


 


 


พูดถึงนี้ สีหน้าของฮ่องเต้ก็เกิดรอยยิ้มออกมา


 


 


ไม่รู้เลยว่า ท่านอ๋องฉีพูดต่อว่า “ไม่ได้ ข้าจะต้องกลับจวนไปบอกพวกเขาทันทีว่าคลังเงินไม่มีตั๋วเงินขนาดนั้น ให้พวกเขายกให้ราชสำนักโดยที่ไม่เก็บตั๋วเงินเลย หรือไม่ก็ขายให้ผู้อื่น”


 


 


ไม่เพียงแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้ที่หายไป มือก็เริ่มสั่นอย่างไม่รู้ตัว คนหน้าเนื้อใจเสืออย่างหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ถ้าหากบังคับให้พวกเขายกยาสมุนไพรให้ราชสำนักโดยที่ไม่เก็บตั๋วเงิน พวกเขาก็กล้าป่าวประกาศให้ทุกคนในรัฐอู่ได้รับรู้แน่นอน แล้วฮ่องเต้อย่างเขา ทำเรื่องแย่งยาสมุนไพรประชาชนเยี่ยงนี้ ทุกคนได้หัวเราะเยาะตนแน่ๆ ต่อไปต่อหน้าประเทศอื่นฮ่องเต้อย่างเขาก็เงยหน้าขึ้นมาไม่ได้อีก


 


 


ขันทีที่ดูแลรับใช้อยู่ข้างๆ เห็นความโมโหของฮ่องเต้แล้ว ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ไม่เห็น ส่งสัญญาณให้ท่านอ๋องฉีอย่างสุดแรง ให้เขาอย่าเอ่ยต่อ


 


 


แต่ท่านอ๋องฉีก็ยังไม่รู้ตัว ลุกขึ้นยืน ทำความเคารพฮ่องเต้ “เสด็จพี่ น้องจะกลับจวนไปคุยกับพวกเขาเดี๋ยวนี้” พูดจบ ก็ไม่สนว่าฮ่องเต้อนุญาตหรือไม่ หันหลังแล้วจะเดินออกจากห้องทรงพระอักษรทันที


 


 


“หยุดเดี๋ยวนี้” ฮ่องเต้เอ่ยห้ามเขาอย่างเสียงดัง


 


 


ท่านอ๋องฉีหยุดเดิน กัดฟันตัวเอง หันกลับไป แล้วกล่าวถามว่า “เสด็จพี่จะตรัสสั่งอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มขรึมลง ในน้ำเสียงก็ซ่อนความความโมโหไว้ “เจ้านั่งก่อน”


 


 


ท่านอ๋องฉีนั่งกลับไปที่บนเก้าอี้นุ่ม ไม่รอให้ฮ่องเต้เอ่ย ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มก่อนหนึ่งคำ


 


 


น้ำเสียงจำใจของฮ่องเต้ลอยเข้ามาในหูของเขาว่า “เจ้ากลับจวนไปถามก่อนว่า ยาสมุนไพรพวกนี้ถูกกว่านี้ได้หรือไม่”


 


 


น้ำชาในปากของท่านอ๋องฉีพุ่งออกมาทันที พุ่งมาตรงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้พอดี พูดตรงๆ คือแทบจะโดนตัวฮ่องเต้ทั้งหมด


 


 


ในห้องทรงพระอักษรเงียบกริบทันที


 


 


นางกำนัลและขันทีต่างหยุดชะงักกันทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเข้าไปเช็ดให้ฮ่องเต้


 


 


จนเสียงตะคอกด้วยความโมโหของฮ่องเต้ดังขึ้นมา “หวงฝู่จิ้ง กฎมารยาทที่เจ้าเรียนมาหายไปไหนหมด”


 


 


ทุกคนจึงรู้สึกตัวขึ้นมา พุ่งเข้าไปทั้งหมด ช่วยฮ่องเต้เช็ดกากชาบนพระวรกายและพระพักตร์​ ห้องทรงพระอักษรวุ่นวายไปหมด


 


 


ท่านอ๋องฉีหยุดชะงักไป ทำตาโตแล้วมองความวุ่นวายตรงหน้าอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าควรทำตัวเยี่ยงไร


 


 


ฮ่องเต้โมโหจนผลักทุกคนออก เห็นท่าทางมึนงงของท่านอ๋องฉีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้เหตุใด ความโมโหในสมองหายไปจนหมด แล้วยิ้มออกมา “น้องข้า ตั้งสติเสียทีเถิด”


 


 


ท่านอ๋องฉีตื่นขึ้นมาทันที วางแก้วชาในมือไว้บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นยืน ขอประทานโทษ “เสด็จพี่ ข้า…ข้า…ข้า…ข้า…”


 


 


“เพราะเจ้า เป็นครั้งแรกที่ข้าอยู่ในสภาพแบบนี้ เจ้ารู้สึกเช่นไร” ฮ่องเต้กล่าวถามอย่างขบขัน


 


 


ท่านอ๋องฉีตกใจจนตัวสั่น ก้มศีรษะจนแทบติดพื้น “ข้า…ข้า…ข้า…”


 


 


ไม่รู้เลยว่า ร่างกายที่สั่นของท่านอ๋องฉีนั้นเป็นเพราะเขากลั้นหัวเราะไม่ไหวแล้ว จึงต้องรีบก้มตัวลง ไม่กล้าเอ่ยอะไร


 


 


“ฝ่าบาทไปเปลี่ยนชุดที่อาคารหย่างซินเตี้ยนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นจะทรงพระประชวร แล้วกระทบถึงพระวรกายได้” ขันทีผู้ดูแลรีบกล่าวด้วยความร้อนใจ


 


 


ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ข้าไม่ได้อ่อนแอเยี่ยงนั้น เอาเสื้อมาก็พอ”


 


 


ขันทีผู้ดูแลรีบสั่งคนไปเอาเสื้อ


 


 


ท่านอ๋องฉีกลั้นยิ้มอย่างลำบาก ร่างกายหยุดสั่น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “เสด็จพี่ พระวรกายสำคัญมาก มีเรื่องอะไรเราค่อยคุยกันวันอื่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ ค่อยๆ นั่งกลับไปบนเก้าอี้นุ่ม มองดูสานส์ตรงหน้าที่ไม่เปียกแม้แต่น้อย แล้วมองดูเสื้อผ้าของตน เงยหน้าขึ้น มองไปทางท่านอ๋องฉีแล้วยิ้ม “น้องข้า ไม่รู้ว่าสภาพของข้าแบบนี้คู่ควรกับตั๋วเงินเท่าใด”


 


 


ขาของท่านอ๋องฉีอ่อนลง ตึกตัก คุกเข่าลงบนพื้นทันที “เสด็จพี่ ทันทีที่ข้ากลับไปจวน จะสั่งให้เซวียนเอ๋อร์และซื่อจื่อเฟยของเขายกยาสมุนไพรทั้งหมดให้ราชสำนักทันที ไม่รับตั๋วเงินแม้แต่ตำลึงเดียว“


 


 


ฮ่องเต้อยากเพ่งมองสีหน้าของเขาว่าจริงหรือเท็จ แต่ท่านอ๋องฉีเอาแต่ก้มศีรษะลง เขามองไม่เห็นแม้แต่น้อย จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ข้าไม่ได้บอกว่าจะเอายาสมุนไพรของพวกเขาโดยไม่จ่ายตั๋วเงิน เจ้ากลับไปจวนไปถามราคา แล้วให้คำตอบข้าก็พอ”


 


 


ท่านอ๋องฉีคุกเข่าลงบนพื้น รับคำสั่ง


 


 


ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ออกไปเถิด”


 


 


หลังจากท่านอ๋องฉีขอบพระทัยเสร็จ ก็ไม่ได้ลุกขึ้น ค่อยๆ คลานเข่าแล้วถอยหลังไปจนถึงหน้าประตูห้องทรงพระอักษร จึงจะลุกขึ้น แล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางเหมือนกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน


 


 


ฮ่องเต้หรี่ตาลง สีหน้าเยือกเย็น


 


 


ท่านอ๋องฉีมาถึงนอกวัง แล้วขี่ม้ากลับจวนอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกลับไปที่ห้องหนังสือของตน


 


 


พ่อบ้านเห็นท่าทางรีบร้อนของเขา คิดว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเดินตามหลัง มารอรับใช้ที่หน้าห้องหนังสือ ใครจะคิดว่ายังไม่ทันยืนตรง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงของท่านอ๋องฉีที่ดังออกมาจากห้องหนังสือ พ่อบ้านสะดุดขาจนเกือบล้มลงบนพื้น อยู่จวนอ๋องฉีมานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นท่านอ๋องฉีหัวเราะอย่างนี้มาก่อน ความสุขในเสียงหัวเราะนั้น ทำให้คนที่ได้ยินอยากจะหัวเราะตามออกมาอย่างไม่รู้ตัว


 


 


ประมาณครึ่งชั่วยามผ่านไป เสียงหัวเราะของท่านอ๋องฉีจึงจะหยุดลง ผ่านไปสักพัก ท่านอ๋องฉีจึงเปิดประตูห้องหนังสือออก ค่อยๆ เดินออกมาด้วยท่าทางสบายๆ แล้วกล่าวถามด้วยรอยยิ้มว่า “ซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยล่ะ อยู่ในจวนหรือไม่”



 

 

 


ตอนที่ 311 ป้ายพระราชทาน

 

พ่อบ้านตอบกลับอย่างเคารพว่า “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยไปจวนของท่านแม่ทัพขอรับ ยังไม่กลับมา”


 


 


“ส่งคนไปแจ้ง ให้พวกเขากลับมาเร็วๆ บอกว่าข้ามีเรื่องจะปรึกษากับพวกเขา”


 


 


พ่อบ้านรับคำสั่ง เดินออกไปอย่างรวดเร็ว สั่งคนไปจวนท่านแม่ทัพ


 


 


หลังจากฉู่เหวินเจี๋ยกลับมาที่จวนท่านแม่ทัพ บอกท่าทีของฮ่องเต้กับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดอยู่ ลุงฝูเข้ามารายงานว่า “ท่านแม่ทัพ คนจากจวนอ๋องฉีมาขอรับ บอกให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยกลับจวนด่วนขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมองหน้ากัน ต่างแปลกใจ แต่ก็ลุกขึ้นทันที เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านน้า รบกวนท่านบอกท่านน้าสะใภ้ว่าวันนี้พวกเราไม่ได้อยู่ทานอาหารอร่อยๆ ที่นางจัดเตรียมไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ รอวันไหนมีเวลาพวกข้าค่อยมาใหม่”


 


 


ท่านอ๋องฉีส่งคนมาแจ้ง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ๆ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่ให้พวกเขาล่าช้า พยักหน้า “ข้าจะบอกให้ พวกเจ้ารีบกลับไปเถิด ถ้าหากมีเรื่องที่จัดการไม่ได้ ให้คนมาแจ้งข้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนยิ้มรับรู้ หลังจากบอกลาฉู่เหวินเจี๋ยแล้ว ก็กลับมาที่จวนอ๋องฉี มาที่ห้องหนังสือของท่านอ๋องฉี


 


 


แต่งเข้าจวนมานานหลายเดือน แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้องหนังสือของท่านอ๋องฉี แต่ก็ไม่ได้มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากทำความเคารพท่านอ๋องฉีพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ก็ยืนข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียนอย่างสงบ


 


 


“เสด็จพ่อ ท่านรีบร้อนเรียกพวกข้ากลับมานั้นมีเรื่องอันใดหรือไม่ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถาม


 


 


ท่านอ๋องฉีไอออกมาเบาๆ แล้วชี้ไปที่เก้าอี้ด้านหน้า “พวกเจ้านั่งเถิด” เห็นทั้งสองนั่งลงแล้ว ท่านอ๋องฉีก็ไออกมาอีกครั้ง แล้วจึงกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าจะขายยาสมุนไพรชั้นดีให้ราชสำนักหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไปสักพัก ไม่รู้ว่าท่านอ๋องฉีไปได้ยินข่าวนี้มาจากที่ใด


 


 


มองความสงสัยของพวกเขาออก ท่านอ๋องฉีจึงยิ้มแล้วอธิบายว่า “เมื่อครู่เสด็จพี่เรียกข้าเข้าวังไป ตั้งใจบอกเรื่องนี้กับข้า เขายังถามข้าว่า…” พูดถึงนี้ ไม่เพียงแค่น้ำเสียง แม้แต่ใบหน้าก็มีรอยยิ้มที่กลั้นไม่ไหวออกมา “เขาถามข้าว่า…ถูกกว่านี้ได้หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยุดชะงักไป ตาโต เพ่งมองไปที่ท่านอ๋องฉี ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือไม่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลงไป


 


 


ท่านอ๋องฉีเห็นไหล่ที่สั่นไม่หยุดของนาง ก็รู้ว่านางเหมือนกับตน ที่ก้มหน้ากลั้นหัวเราะ ก็ไม่ได้เปิดเผยนาง หันไปทางหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวถามด้วยรอยยิ้มที่กลั้นไม่อยู่ว่า “ได้หรือไม่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินอย่างชัดเจน ก็รู้สึกตัวขึ้นทันที มองเมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ข้างๆ เห็นนางแค่ก้มหน้า ไม่พูดจา คิดว่าในใจนางไม่ยอม จึงหันหลัง เอ่ยกับท่านอ๋องฉีว่า “เสด็จ…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นขัดจังหวะเขา “เสด็จพ่อเจ้าคะ ฮ่องเต้ได้เอ่ยหรือไม่ว่าอยากให้ลดเท่าใด”


 


 


ท่านอ๋องฉีหยุดชะงักไป กล่าวตอบไปว่า “อันนี้เสด็จพี่ไม่ได้ตรัส สถานการณ์ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้เอ่ยถาม”


 


 


คิ้วที่สวยงามของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดทันที “ถ้าเช่นนั้นก็ยากแล้วเจ้าค่ะ ลดมากไป พวกเราก็สูญเสียมาก ลดน้อยไป ถ้าหากฮ่องเต้ไม่พอใจ พวกเราก็สูญเสียซ้ำสองในครั้งเดียว ไม่เพียงแต่ไม่ได้ตั๋วเงิน ยังผิดใจกับฮ่องเต้อีก”


 


 


เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “ข้าจะเข้าวังอีกครั้ง ถามเสด็จพี่ก่อน ดูว่าเขาอยากลดประมาณเท่าใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามไว้ “เสด็จพ่ออย่าไปเลยจะดีกว่า ท่านไปถามเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ทรงขายหน้า ไม่แน่อาจจะโมโหมากกว่าเดิมก็เป็นได้”


 


 


“เช่นนั้นพวกเราจะทำเยี่ยงไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมา “คลังเงินไม่ได้เป็นเพราะไม่มีตั๋วเงินนี้ ที่ฮ่องเต้ถามท่านเยี่ยงนี้ นั่นเป็นเพราะตอนนี้ไม่มีสงคราม ยาสมุนไพรพวกนี้หากซื้อกลับไปก็แค่กักตุนไว้ ไม่ได้ใช้งาน หากจ่ายไปหนึ่งล้านตำลึงก็ไม่คุ้มค่า หากไม่ซื้อ ก็กลัวว่าจะเกิดสงครามขึ้น แล้วไม่มียาสมุนไพร เพิ่มยอดการบาดเจ็บและการสูญเสียของเหล่าทหาร ทำให้ท่านน้าและเหล่าทหารไม่พอใจ ฉะนั้น ฮ่องเต้จึงอยากให้พวกเราลดราคาลงเจ้าค่ะ”


 


 


ท่านอ๋องฉีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่แปลกเลยที่เสด็จพี่ลดตัวลงมาถามคำถามเยี่ยงนี้กับตน ที่แท้เป็นเพราะเยี่ยงนี้นี้เอง แต่เสด็จพี่พิจารณาถูกต้องแล้ว แม้ว่าหนึ่งล้านตำลึงจะไม่มาก แต่ถ้าพอเจอภัยพิบัติก็มีประโยชน์อย่างมาก สามารถช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยได้ ถ้าหากมีแค่ยาสมุนไพร ก็ทำอะไรไม่ได้มากมาย


 


 


คิดถึงตรงนี้ ก็เก็บรอยยิ้ม กล่าวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ที่เสด็จพี่พูดก็มีเหตุผล เช่นนั้นพวกเจ้า…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขัดจังหวะเขา “เสด็จพ่อ พูดตามหลักการค้าขาย ข้าทำค้าขาย ยาสมุนไพรพวกนี้เป็นเพราะขายให้ค่ายทหาร ถ้าหากขายให้ผู้อื่น ข้าสามารถขายได้มากกว่านี้หลายแสนตำลึง นี่แทบจะเป็นราคาต่ำสุดที่พวกเราลดให้ได้แล้ว ข้าลดให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”


 


 


ท่านอ๋องฉีไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ตามหลักแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นซื่อจื่อเฟยของจวนอ๋องฉี ตั๋วเงินที่นางหาได้ก็เป็นเงินหนุนจวน ตามส่วนบุคคลแล้ว ก็ตามที่นางเอ่ย นางเป็นคนค้าขาย เหนื่อยลำบากมานานหลายปี แต่กลับไม่ได้กำไร บนโลกนี้ไม่มีคนโง่เขลาเยี่ยงนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งไม่ใช่


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เงียบ นี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ว่านางจะตัดสินใจเช่นไร เขาก็จะสนับสนุนเต็มที่


 


 


มองสีหน้าของสองพ่อลูกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรในใจ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “แต่ว่า ตอนที่อยู่จวนท่านแม่ทัพ หลังจากท่านน้ากลับมาบอกท่าทีของฮ่องเต้แล้ว ข้าก็คิดหาวิธีพบกันคนละครึ่งทาง ไม่เพียงแต่ราชสำนักไม่ต้องออกแม้แต่ตำลึงเดียว ตอนที่มีสงครามก็สามารถหยิบออกมาใช้ได้ตลอดเวลา”


 


 


 


 


ท่านอ๋องฉีตาสว่างขึ้นทันที รีบกล่าวถามด้วยความดีใจว่า “เจ้ารีบพูด วิธีอะไร”


 


 


“ยาสมุนไพรพวกนี้เราสามารถขายให้ร้านยาเต๋อเหรินด้วยราคาหนึ่งล้านตำลึง ให้พวกเขากักตุนไว้ ดูแล แน่นอนว่าสามารถขายได้ด้วย แต่กำหนดให้พวกเขาหนึ่งข้อ ถ้าหากมีสงคราม ยาสมุนไพรพวกนี้ต้องให้ค่ายทหารใช้ทั้งหมด ส่วนราคา ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามห้ามเพิ่มราคาเป็นอันขาด ต้องเป็นราคาเดิมเจ้าค่ะ”


 


 


ท่านอ๋องฉีครุ่นคิดไปชั่วครู่ คิดถึงข้อดีในนั้น ก็ปรบมือเห็นด้วยทันที “วิธีนี้ดี เสด็จพี่ต้องเห็นด้วยแน่นอน”


 


 


“แต่ถ้าทำเยี่ยงนี้ เหวินซื่อจะเสียเปรียบ ไม่เพียงแค่ต้นทุนที่ไม่น้อยของยาสมุนไพรพวกนี้ ยังต้องกักตุนอย่างน้อยสามปี” หวงฝู่อี้เซวียนสงสัยเล็กน้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องกักตุนสามปี สามารถกำหนดสัดส่วนให้ชัดเจน ส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้ราชสำนัก ส่วนหนึ่งให้เหวินซื่อขาย กำไรทั้งหมดก็เป็นของเขา”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยังคงรู้สึกไม่เหมาะสม “ก็ไม่ได้อยู่ดี ตั๋วเงินหลายแสนตำลึงวางไว้ตรงนั้น นั่นเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนที่ค้าขาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ฉะนั้น ตรงนี้ก็ต้องการให้ฮ่องเต้พระราชทานเสียแล้ว”


 


 


“พระราชทานอะไรรึ” ท่านอ๋องฉีถามด้วยความสงสัย


 


 


“เรื่องนี้ต้องให้เสด็จพ่อออกหน้า ขอฮ่องเต้เขียนป้ายพระราชทานให้ร้านยาเต๋อเหรินด้วยพระองค์เอง แขวนไว้หน้าประตูร้านใหญ่ของร้านยาเต๋อเหริน เยี่ยงนี้ ชื่อเสียงของร้านยาเต๋อเหรินก็จะขจรไปทั่ว ผู้คนรู้จัก ยาสมุนไพรก็ยิ่งขายดีมากขึ้น แน่นอนว่าตั๋วเงินที่สูญเสียไปก็ได้กลับมาจากที่อื่น”


 


 


ความคิดนี้ดี ท่านอ๋องฉียกนิ้วโป้งขึ้น เป็นครั้งแรกที่ชื่นชมเมิ่งเชี่ยนโยวในใจ ต้องบอกเลยว่า นี่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย พระราชทานป้ายเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับฮ่องเต้ แต่สำหรับร้านยาเต๋อเหรินนั้น กลับเป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างชื่อเสียง เงินหลายแสนตำลึงสำหรับร้านยาที่ใหญ่โตของร้านยาเต๋อเหรินแล้ว ไม่ได้ยากลำบากขนาดนั้น ตอนนี้ปัญหาของทั้งสองฝ่ายก็ได้รับการแก้ไขแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ใช้สายตาที่เลื่อมใสศรัทธามองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตาปริบๆ ให้เขาด้วยความภูมิใจ หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าที่ทำให้คนมองแทบต้านทานไว้ไม่อยู่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแทบตาบอด


 


 


ท่านอ๋องฉีมองการตอบโต้ไปมาของพวกเขาแล้ว สีหน้าก็เริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย กระแอมออกมาอย่างไม่รู้ตัว “เช่นนั้นข้าเข้าวังไปรายงานเสด็จพี่ก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้ากับอี้เซวียนจะไปร้านยาเต๋อเหริน ไปบอกเหวินซื่อก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


ท่านอ๋องฉีพยักหน้า


 


 


ทั้งสองลุกขึ้น ทำความเคารพ แล้วเดินออกมา


 


 


 


 


ท่านอ๋องฉีก็ลุกขึ้นมา ถอดชุดทางการออกมา แล้วสวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่ปกติ หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าวังอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากประตูจวน นั่งบนรถม้า คิดได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยุ่งไปมาแทบครึ่งค่อนวันแล้ว ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ หวงฝู่อี้เซวียนให้นางนอนลงบนรถ ส่วนตนนอนตะแคงข้างๆ นาง แล้วยื่นแขนอีกข้างขึ้นสูง “เจ้านอนพักก่อน ถึงร้านยาเต๋อเหรินแล้วข้าจะเรียกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือแล้วใช้แรง หวงฝู่อี้เซวียนก็นอนหงายในรถ ในขณะที่แปลกใจ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันตัวนอนทับบนตัวของเขาทันที เพ่งมองดวงตาที่โตและเป็นประกายสวยงามของเขา หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ในรถแข็งเกินไป บนตัวเจ้าสบายกว่า”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลง ค่อยๆ อ่อนตัวลง เพื่อให้นางนอนทับได้สบายมากขึ้น ใช้มือจับผมที่ยาวสลวยของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักไม่มีความต้องการอื่นใดแม้แต่น้อยว่า “พักก่อนเถิด ถึงแล้วข้าจะเรียกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางศีรษะไว้บนอกของเขา ยิ้มแล้วหลับตาลง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมุมปาก แม้แต่เสียงลมหายใจก็เบาลง กลัวว่าจะรบกวนนาง


 


 


แน่นอนว่าโจวอันที่อยู่ด้านนอกได้ยินบนสนทนาของทั้งคู่ เข้าใจความต้องการของเจ้านาย จึงขี่ม้ารถม้าให้ช้าลง ไปทางร้านยาเต๋อเหรินอย่างช้าๆ


 


 


การเดินทางนี้จะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ แต่ความเร็วของรถม้าวันนี้ช้ากว่ารถวัวอีก ฉะนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงหลับไปจริงๆ หลับสนิทอีกต่างหาก จนถึงหน้าประตูร้านยาเต๋อเหริน หวงฝู่อี้เซวียนมองใบหน้าที่หลับลึกของนาง ก็เรียกนางตื่นไม่ลง จึงไม่ขยับ


 


 


โจวอันก็ไม่เร่งแน่นอน


 


 


รถม้าก็จอดอยู่หน้าประตูร้านยาเต๋อเหรินอย่างนี้อย่างเงียบๆ


 


 


พนักงานของร้านยาเต๋อเหรินเห็นรถม้าของจวนอ๋องฉี ก็รู้เลยว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมา จึงออกไปต้อนรับอยู่หน้าประตู กำลังจะเอ่ยออกมา แต่กลับถูกโจวอันยื่นมือออกมาห้ามไว้ ส่งสัญญาณไม่ให้เขาเอ่ยออกมา


 


 


พนักงานไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าออกเสียง ค่อยๆ ถอยห่างจากหน้าประตู แล้ววิ่งไปรายงานเหวินซื่อที่ชั้นสอง


 


 


เจ้าเหวินซื่อคนโง่เขลานั้นไม่สนใจอะไรเลย ตึกๆๆ หลังจากวิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว เดินก้าวขามาที่หน้าประตู ก็ตะโกนใส่คนในรถม้าอย่างเสียงดังว่า “ถึงหน้าประตูแล้วยังไม่ลงจากรถม้า วันนี้พวกเจ้าจะเล่นอะไรกันอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจตื่นเพราะเสียงร้องของเขา ไม่เงยหน้าขึ้น นอนทับบนตัวหวงฝู่อี้เซวียนแล้วกล่าวถามอย่างสะลืมสะลือว่า “ถึงแล้วหรือ ทำไมข้าได้ยินเสียงที่ไม่ได้เรื่องของเหวินซื่อ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ ขยับร่างกายของตน ไม่ได้ลุกขึ้น แต่ให้ตัวเองนอนทับได้สบายกว่านี้ หลับตาแล้วกล่าวว่า “ไม่อยากตื่นเลย”


 


 


เห็นนางลืมตาไม่ขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกปวดใจจริงๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้านอนหลับบนรถม้าเถิด ข้าไปพูดกับเขาเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง บังคับให้ตัวเองลืมตาขึ้นมา “ช่างเถอะ เราไปด้วยกันดีกว่า จะให้เหวินซื่อเสียเปรียบไม่ได้”


 


 


เสียงของทั้งสองเบามาก แม้ว่าเหวินซื่อจะได้ยิน แต่ก็ได้ยินไม่ชัดว่าทั้งสองคุยอะไรกัน ร้องออกมาดังๆ ด้วยความไม่พอใจว่า “พวกเจ้าสองคนเหตุใดยังไม่ลงจากรถม้า ทำอะไรชักช้าอยู่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นนั่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นตาม หลังจากช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ลงจากรถม้าก่อน หลังจากนั้นก็หันหลังอุ้มนางออกมา


 


 


เหวินซื่อตกใจตาโต ร้องเสียงดังออกมาด้วยความตกใจว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าบาดเจ็บอีกแล้วหรือ”


 


 


บนถนนใหญ่ ผู้คนไปมามากมาย คนป่วยที่มาร้านยาเต๋อเหริน หมอที่รักษาหลายท่าน ยังมีผู้ดูแลร้านอีกมากมาย ต่างมองมากันหมด


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนขรึมลงทันที ยกขาข้างขวาขึ้น ควบคุมแล้วควบคุมอีก จึงจะควบคุมไม่ให้ตนเตะไปทางเหวินซื่อ ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยอะไร กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่มีความโมโหเหมือนดั่งพายุอยู่ในนั้นว่า “หุบปาก”


 


 


เหวินซื่อหุบปากแน่นทันที ไม่กล้าออกเสียงใดๆ อีกเลย


 


 


หมอและผู้ดูแลร้านที่อยู่ในร้านยาเต๋อเหรินปิดปากแอบยิ้มทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวตรงขึ้นมาชั้นสองอย่างรวดเร็วทันที


 


 


เหวินซื่อตามหลัง


 


 


ถึงชั้นบน หวงฝู่อี้เซวียนวางเมิ่งเชี่ยนโยวลง เหวินซื่อรีบมาข้างหน้านาง มองขึ้นลง สังเกตอย่างละเอียด เห็นว่านางไม่เป็นไรจริงๆ ก็โล่งอกทันที กล่าวว่า “ตกใจหมดเลย ข้าคิดว่าเจ้ามีเรื่องอะไรอีกแล้ว”


 


 


เหลือลฃบตามองด้านบนใส่เขาหนึ่งที เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจขู่เขาว่า “ไม่ใช่ข้าที่มีเรื่อง แต่เป็นเจ้าที่มีเรื่อง เรื่องใหญ่มากเสียด้วย”



 

 

 


ตอนที่ 312 เกียรติยศที่สืบทอดต่อๆ กัน...

 

เหวินซื่อออกเสียง ชิ ออกมา อย่างไม่เชื่อ “อย่ามาขู่ข้า ข้าไม่มีเรื่องใหญ่อันใดหรอก”


 


 


พูดจบ หลังจากเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เตรียมตัวนั่งลง


 


 


“ฮ่องเต้จะพระราชทานป้ายร้านให้ร้านยาเต๋อเหรินถือว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวออกมาโดยที่ไม่บอกกล่าว


 


 


โครมม


 


 


ปัง


 


 


ตึกตัก


 


 


หลังจากเสียงเหล่านี้ดังขึ้นมา เหวินซื่อก็นอนเงยหน้าขึ้นฟ้าอยู่บนพื้นทันที บนตัวเต็มไปด้วยสมุดบัญชีที่เขาดึงลงมาจากบนโต๊ะ แม้ว่าจะไม่ได้ตกใจจนร้องออกมา แต่ก็นอนอยู่บนพื้นโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เงยหน้าขึ้น พยายามกะพริบตาแล้วกล่าวถามว่า “เจ้า เจ้าพูด อะไรนะ”


 


 


เห็นสภาพเยี่ยงนี้ของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่มีความสุขดังลงไปถึงชั้นล่าง หมอและพนักงานทุกคนต่างเริ่มคาดเดาในใจ เจ้านายทำเรื่องขายหน้าอะไรอีก ที่ทำให้แม่นางเมิ่ง ไม่ใช่สิ ซื่อจื่อเฟยหัวเราะเยี่ยงนี้


 


 


ก็ไม่แปลกที่พวกเขาคิดเช่นนี้ เพราะทุกครั้งที่เถ้าแก่อยู่ต่อหน้าซื่อจื่อเฟยล้วนทำแต่เรื่องขายหน้า


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มมุมปากออกมา ไม่ใช่เพราะสภาพของเหวินซื่อ แต่เป็นเพราะเสียงหัวเราะที่มีความสุขของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น เหวินซื่อก็รู้เลยว่าตัวเองถูกหลอกอีกแล้ว กระโดดขึ้นมาจากพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “เจ้าตัวแสบ แกล้งข้าอีกแล้ว ข้า…”


 


 


“ที่โยวเอ๋อร์พูดเป็นเรื่องจริง เสด็จลุงจะพระราชทานป้ายร้านให้เจ้าจริงๆ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวเพิ่มเติมหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงเรียบๆ


 


 


เหวินซื่อลืมไปแล้วว่าตนจะพูดอะไรต่อ เบิกตาโพลง ค่อยๆ หันหลัง มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน แล้วมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วก็มองหวงฝู่อี้เซวียนอีกครั้ง อ้าปากหุบปากหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วนั่งลง พิงตัวลงบนเก้าอี้อย่างสบาย แล้วค่อยกล่าวถามเล่นๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “คอของเหวินซื่อไม่สบายหรือ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มแล้วนั่งลงข้างๆ นาง


 


 


เหวินซื่อเพ่งมองทั้งสองคน แล้วค่อยๆ เดินเอนไปมาทีละก้าวมาถึงข้างหน้าของทั้งสองคน ท่าทางเหมือนคนเมาเหล้า กลืนน้ำลายลงไป กล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “พวกเจ้าพูดจริงหรือ ไม่ได้หลอกข้า?”


 


 


“จริงครึ่งเท็จครึ่ง จึงได้มาปรึกษาหารือกับเจ้าอย่างไรเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว


 


 


กลืนน้ำลายอีกครั้ง เหวินซื่อจึงร้องออกมาเสียงดังว่า “ปรึกษาหารืออะไร ไม่ต้องปรึกษา ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรข้าตกลงทั้งสิ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจจนแสบแก้วหู ขมวดคิ้ว ยื่นมือขวาออกมาปิดหูตัวเอง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองไปทางเหวินซื่อด้วยสายตาเยือกเย็น


 


 


เหวินซื่อรู้สึกมีน้ำแข็งหุ้มอยู่บนตัวทันที เย็นจนเขารู้สึกหนาวสั่น รีบก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวทันที แล้วเบาเสียงลง กล่าวซ้ำไปซ้ำมาว่า “ไม่ว่าเงื่อนไขใดๆ ข้าก็ตกลง ไม่ว่าเงื่อนไขใดๆ ข้าก็ตกลง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเลื่อนสายตาออก ความเย็นบนตัวเหวินซื่อก็หายไปทันที ในขณะที่โล่งอก ก็จะเอ่ยออกเสียงอีก


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเอ่ยก่อนว่า “ข้ากระหายน้ำ”


 


 


“โอ้ย แม่คุณเจ้าบอกข้าก่อนว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร เจ้าค่อย…”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองมาอีกครั้ง เสียงเหวินซื่อหยุดลงทันที พยักหน้าแล้วก้มตัวลง ด้วยท่าทางประจบสอพลอว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าไปยกน้ำให้พวกเจ้าเอง” พูดจบ ตัวก็ไปถึงหน้าประตูแล้ว ความเร็วนั้น แม้แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังแปลกใจเล็กน้อย


 


 


ไม่ได้ยินเสียงคนเดินลงบันได ได้ยินแต่เสียงร้องตกใจที่มาจากชั้นล่าง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา เจ้าเหวินซื่อ ต้องตื่นเต้นมากแน่ๆ ถึงขั้นแสดงวิชาตัวเบาออกมาโดยกระโดดจากชั้นสองลงไป


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กร้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายว่า “วิชาต่อสู้ของเหวินซื่อไม่ธรรมดา แม้ว่าตอนนั้นนายท่านเหวินจะไม่โปรดปรานเขา แต่ว่าอะไรที่หลานแท้ๆ ควรได้รับเขาก็ได้รับไม่น้อยกว่าคนอื่น”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า


 


 


เหวินซื่อรวดเร็วมาก ใช้เวลาแค่ไม่กี่ประโยคที่ทั้งสองคุยกัน เขาก็ยกน้ำชาสองแก้วกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้วขึ้นมาแล้ว วางน้ำเปล่าข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ส่วนตนและหวงฝู่อี้เซวียนคือน้ำชาคนละแก้ว


 


 


ยับยั้งนิสัยของตนไว้ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำเปล่าขึ้น แล้วค่อยๆ ดื่ม จึงกล่าวถามอย่างร้อนอกร้อนใจว่า “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ เจ้ารีบพูดให้ข้าฟังเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่แกล้งเขาอีก เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้เขาฟัง สุดท้ายกล่าวว่า “เสด็จพ่อเข้าวังไปแล้ว เรื่องนี้น่าจะมีความเป็นไปได้สูง ข้ากับอี้เซวียนจึงมาบอกข่าวกับเจ้าก่อน ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร”


 


 


จำนวนตั๋วเงินหนึ่งล้านตำลึงสำหรับร้านยาเต๋อเหรินที่ดำเนินกิจการมานานหลายปีแล้ว จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย แต่ถ้าหากแลกกับป้ายพระราชทานแล้ว นั่นก็ถือว่าไม่มากเลย เหวินซื่อฟังจบ ตื่นเต้นจนเดินไปมาอยู่ในห้องหลายรอบ จึงจะหยุดลง แล้วกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องดีที่ตกมาจากสวรรค์ ข้าจะไม่รับได้อย่างไร อย่าว่าแต่หนึ่งล้านตำลึงเลย ห้าล้านตำลึง แม้ว่าจะต้องขายจวนที่สืบทอดกันมา ก็จะรวบรวมมาให้ได้ ต้องเอาป้ายพระราชทานนี้มาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อน ข้าจะสั่งให้คนกลับไปเอาตราประทับที่จวนเดี๋ยวนี้ ให้พวกเจ้าไปเบิกเงินที่เฉียนจวง”


 


 


“ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังพูดไม่จบเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว


 


 


“รีบพูด รีบพูด” เหวินซื่อรีบเร่ง


 


 


“ที่พูดว่าต้องการหนึ่งล้านตำลึงนั้นพูดให้ฮ่องเต้และเสด็จพ่อฟัง ส่วนเจ้า เจ้าสามารถเอายาสมุนไพรพวกนี้มาก่อน รอให้ขายได้ก่อนแล้วค่อยให้เงินข้า”


 


 


ตาของเหวินซื่อแทบจะทะลุออกมา เบิกตาโตเป็นไข่ห่าน กล่าวถามอย่างไม่เชื่อว่า “เจ้าหมายความว่า ตั๋วเงินหนึ่งล้านตำลึงนี้ข้าไม่ต้องจ่ายหรือ”


 


 


มองเขม่นเขาหนึ่งที เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ฝันไปเถอะ ตอนนี้ข้าเป็นคนที่มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว เจ้าไม่จ่ายตั๋วเงิน จะให้พวกข้ากินลมแทนข้าวหรือ ข้าหมายความว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องจ่ายก่อน แต่ต่อไปจะต้องคิดเงินให้ข้าปีละหนึ่งครั้ง เยี่ยงนี้ ตั๋วเงินของร้านยาเต๋อเหรินจะได้ไม่ฝืดเคือง”


 


 


เหวินซื่อเข้าใจแล้ว จึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “สาวน้อย ไม่เสียแรงที่รู้จักกับเจ้าตั้งแต่แรก พระคุณใหญ่หลวงนี้ ข้าเหวินซื่อจะจำไว้ตลอดชีวิต”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย จึงตั้งใจแกล้งเขาว่า “อย่าเลยเหวินซื่อ เจ้าอย่าจำจะดีกว่า ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า ข้ายังไม่เคยเจอเรื่องดีๆ เลย”


 


 


เสียงหัวเราะติดอยู่ตรงคอของเหวินซื่อ กลั้นไม่อยู่จนไอออกมา


 


 


เห็นท่าทางแบบนี้ของเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็สบายใจทันที ยกแก้วน้ำขึ้นมา แล้วค่อยๆ ดื่ม


 


 


เหวินซื่อเดินไปหน้าประตูอย่างตื่นเต้น ตะโกนออกไปข้างนอกว่า “เข้ามา”


 


 


ตึกๆๆ


 


 


มีพนักงานวิ่งขึ้นมา “เถ้าแก่”


 


 


“รีบไปรับท่านปู่ของข้ามา บอกว่ามีเรื่องใหญ่หนึ่งเรื่องต้องการรบกวนให้ท่านจัดการ”


 


 


พนักงานไม่กล้าชักช้า วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เหวินซื่อเดินมาข้างหน้าโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างตื่นเต้น ยกแก้วชาขึ้น ดื่มหมดในหนึ่งคำ ก็ยังรู้สึกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ดื่มไปมาในห้องอย่างตื่นเต้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองจนเวียนหัว ขมวดคิ้ว “เหวินซื่อ ผู้สูงอายุอย่างท่านหยุดก่อนได้หรือไม่ ข้ามองจนเวียนหัวไปหมดแล้ว”


 


 


เหวินซื่อหยุดเดินทันที แล้วมองนางด้วยความโมโห กล่าวถามว่า “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”


 


 


“เหวินซื่อไง หรือข้าเรียกผิด” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวตอบ


 


 


“ไม่ใช่ ประโยคต่อไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอียงหัวแล้วครุ่นคิด แต่ก็คิดไม่ออก หันหน้าถามหวงฝู่อี้เซวียน “เมื่อครู่ข้าเรียกอะไรหรือ”


 


 


รอยยิ้มมุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนปกปิดไม่อยู่ มองเหวินซื่อที่กำลังจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ผู้สูงอายุอย่างท่าน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตาเฉไฉด้วยสีหน้างงงวย “จริงหรือ ข้าจำไม่ได้แล้ว” พูดถึงตรงนี้ แล้วก็มองเหวินซื่อ “ข้าก็ไม่ได้เรียกผิด เขาเป็นผู้สูงอายุจริงๆ”


 


 


 


 


เหวินซื่อจัดเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อย เดินไปมาข้างหน้าทั้งสองสองรอบ สุดท้ายหยุดที่ข้างหน้าทั้งสอง กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้ามองดีๆ คุณชายที่หน้าตาดี นิสัยอ่อนโยน รูปร่างดี ใครพบใครรัก ดอกไม้เจอยังเบ่งบานอย่างข้า ใกล้เคียงกับคำว่าผู้สูงอายุหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกุมหน้าอกตัวเองไว้ ทำท่าจะอาเจียนหลายครั้ง ท่าทางรับเขาไม่ได้ “เหวินซื่อ ขอร้องเจ้าอย่าหลงตัวเองเยี่ยงนี้ได้หรือไม่ เจ้าใช้คำที่มีไว้ชมอี้เซวียนของข้าบนตัวเจ้าทั้งหมด เจ้าไม่คิดว่ากำลังทำลายคำพูดพวกนี้หรือ”


 


 


น้ำชาที่หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งจะดื่มเข้าไปแทบจะพุ่งออกมา แต่ก็อดกลั้นไว้ได้ วางแก้วชาลง แสดงใบหน้าของตนออกมา


 


 


มองดูใบหน้างดงามที่ใครก็ต้องอิจฉาของเขา แล้วมองตน เหวินซื่อกลืนคำที่จะเถียงลงไปทันที เดินคอตกกลับไปข้างๆ โต๊ะทำงาน แล้วเก็บสมุดบัญชีที่ตัวเองดึงลงมาตอนที่ล้มเมื่อครู่ขึ้นมาอย่างเงียบๆ


 


 


พนักงานไม่รู้ว่าเรื่องอะไร จึงไปจวนเหวินอย่างรีบร้อน บอกแค่ว่าเถ้าแก่ให้นายท่านเหวินรีบไป ส่วนเรื่องอะไรนั้น ไม่รู้จริงๆ


 


 


นายท่านเหวินคิดว่าร้านยาเต๋อเหรินเกิดเรื่องใหญ่ที่จัดการไม่ได้ นั่งรถม้ามาอย่างร้อนใจ แล้วก็เดินขึ้นมาชั้นสองอย่างแข็งแรง เปิดประตูไปด้วยกล่าวถามไปด้วยว่า “ซื่อเอ๋อร์ เกิดอะไร…”


 


 


จนเห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองนั่งอยู่ในห้อง รีบหยุดพูด แล้วก้มตัวทำความเคารพทั้งสองทันที “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งไม่ขยับ แค่พยักหน้าเบาๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายท่านเหวิน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อไปก็ข้ามมารยาทพวกนี้ไปเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


นายท่านเหวินกล่าวขอบคุณ


 


 


เหวินซื่อเดินเข้ามา พยุงเขานั่งลงบนเก้าอี้ รอบตัวเต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งความยินดี แล้วกล่าวว่า “ท่านปู่ ซื่อจื่อกับเจ้าหนูนำเรื่องดีๆ ที่ยิ่งใหญ่มากมาให้ร้านยาเต๋อเหรินของพวกเรา”


 


 


นายท่านเหวินได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของเขา ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “เรื่องดีอะไร”


 


 


เหวินซื่อรีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง


 


 


นายท่านเหวินรีบลุกขึ้นมาทันที กล่าวถามด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “ซื่อเอ๋อร์ จริงหรือ ร้านยาเต๋อเหรินของเราจะได้รับป้ายพระราชทานจริงหรือ”


 


 


เหวินซื่อพยักหน้าหงึกๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ว่า “ใช่ขอรับ ท่านปู่ นี่เป็นเรื่องจริง”


 


 


“ถ้าเยี่ยงนั้น ถ้าเยี่ยงนั้น ถ้าเยี่ยงนั้น…” ตื่นเต้นจนพูดซ้ำไปมา นายท่านเหวินก็ไม่ได้พูดประโยคถัดไปออกมา ดันตัวเหวินซื่อออก เดินออกมาจากหลังโต๊ะทำงาน กำลังจะคุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจมาก รีบลุกขึ้นจะห้าม


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกลับใช้กำลังภายในหยุดร่างกายของนายท่านเหวินไว้ ให้เขาคุกเข่าไม่ได้


 


 


เหวินซื่อก็ตกใจอย่างมาก รีบเดินเข้ามา “ท่านปู่ ท่านทำอะไร เจ้าหนูนี่ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย”


 


 


นายท่านเหวินตื่นเต้นจนน้ำตาไหลออกมา “พระคุณใหญ่หลวงของซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยนี้ ข้าจะไม่ลืมเลย ต่อไปหากต้องการให้ข้าทำอะไร สั่งมาได้เลย ข้าจะไม่ปฏิเสธเป็นอันขาด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเดินเข้ามา “นายท่านเหวินพูดเกินไปแล้ว เรื่องนี้สำหรับพวกข้านั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ที่แทบไม่ต้องออกแรง ท่านอย่าเก็บไว้ในใจเลยเจ้าค่ะ”


 


 


นายท่านเหวินตื่นเต้นจนโบกมือไปมา “ไม่ๆๆ ซื่อจื่อเฟย สำหรับครอบครัวเหวินและร้านยาเต๋อเหรินของพวกข้าแล้ว การได้รับป้ายพระราชทานจากฮ่องเต้นั้นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เป็นเกียรติยศที่ครอบครัวเหวินของพวกข้าสามารถสือทอดต่อๆ กันไปทุกยุคทุกสมัย”


 


 


เหวินซื่อก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตื้นตันเพราะท่าทีของนายท่านเหวินเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านพูดเยี่ยงนี้ พวกข้าก็วางใจแล้ว ท่านรออยู่ที่นี่ก่อนนะเจ้าคะ ข้ากับอี้เซวียนจะกลับจวนทันที ดูว่าเสด็จพ่อกลับมาจากวังแล้วหรือไม่ ทันทีที่ได้ข่าวที่แน่ชัดแล้ว พวกข้าจะส่งคนมาบอกพวกท่านทันที”


 


 


นายท่านเหวินพยักหน้าไม่หยุด “ดีๆๆ รบกวนซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยแล้ว”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินก็ลุกขึ้นยืน หลังจากพยักหน้าเบาๆ เป็นการบอกลาทั้งสองแล้ว ก็เดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


นายท่านเหวินที่ยังมีคราบน้ำตาแห่งความยินดีอยู่บนใบหน้าและเหวินซื่อเดินลงมาส่งทั้งสองด้วยตัวเอง มองดูทั้งสองนั่งรถม้าไปจนไกลแล้ว จึงกลับมารอข่าวที่ชั้นบน


 


 


ในระหว่างทางที่กลับมาเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พักผ่อนอีก โจวอันจึงขี่รถม้าอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็ถึงหน้าประตูจวน


 


 


“ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือไม่” ทั้งสองลงจากรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามคนที่เฝ้าประตู


 


 


คนที่เฝ้าประตูรายงานด้วยความเคารพว่า “ท่านอ๋องเพิ่งกลับมาขอรับ สั่งให้บอกคุณชายใหญ่และซื่อจื่อเฟยว่าให้ไปห้องหนังสือของเขาทันทีที่พวกท่านกลับมาขอรับ”


 


 


ทั้งสองตรงมาที่ห้องหนังสือ ท่านอ๋องฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เสด็จพี่ตกลงแล้ว แต่มีเงื่อนไขหนึ่งข้อคือ ภายในสามปีนี้ให้ร้านยาเต๋อเหรินขายยาสมุนไพรแค่สี่ส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือต้องรอให้รอบใหม่มาก่อนจึงจะขายได้”


 


 


นี่ก็เกินกว่าที่เมิ่งเชี่ยนโยวคิดไว้แล้ว นางคิดว่ามากสุดฮ่องเต้จะให้ขายแค่สองส่วน จึงกล่าวว่า “ฝั่งร้านยาเต๋อเหรินเราถามแล้วเจ้าค่ะ เหวินซื่อตกลงจ่ายหนึ่งล้านตำลึงเพื่อซื้อยาสมุนไพรพวกนี้”


 


 


ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “ถ้าเยี่ยงนั้น พวกเราส่งคนไปบอกข่าวเถิด ให้ทั้งสองฝั่งเตรียมตัวไว้ เลือกวันมงคลแล้วจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”



 

 

 


ตอนที่ 313 กลับบ้าน

 

ท่านอ๋องฉีส่งพ่อบ้านไปแจ้งข่าวที่วัง ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนส่งโจวอันไปส่งข่าวที่ร้านยาเต๋อเหริน แล้วกำชับเขาว่า “บอกเหวินซื่อ ให้เขารีบเลือกวันมงคลมาวันหนึ่ง”


 


 


โจวอันรับคำสั่ง รีบขี่ม้ามาที่ร้านยาเต๋อเหริน บอกคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนให้เหวินซื่อฟัง


 


 


เหวินซื่อร้อนใจ “เลือกวันอะไรอีก ข้าว่า วันนี้เหมาะสมแล้ว เจ้ากลับไป…”


 


 


นายท่านเหวินห้ามเขาไว้ “ซื่อเอ๋อร์ นี่เป็นเกียรติยศของตระกูลเหวินของเรา จะสะเพร่าไม่ได้ ต้องหาซินแสช่วยดูให้ อย่างนี้ เดี๋ยวพวกเราไปวัดชิงอวิ๋นทันที เชิญไต้ซือในวัดช่วยเลือกวันมงคลให้เราหนึ่งวัน


 


 


นายท่านเหวินกล่าวเยี่ยงนี้ เหวินซื่อจะไม่กล้าเชื่อฟังได้อย่างไร สองปู่หลานนั่งรถม้าตรงไปที่วัดชิงอวิ๋นทันที บริจาคตั๋วเงินค่าน้ำมันงาไปหนึ่งร้อยตำลึง ได้วันมงคลจากหลวงพ่อมาหนึ่งวัน อีกสองวันเป็นวันมงคล ทั้งสองไม่กล้าชักช้า รีบกลับไปที่ร้านยาเต๋อเหรินทันที อยากจะให้คนไปแจ้งข่าวให้เมิ่งเชี่ยนโยว คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่เหมาะสม นายท่านเหวินจึงให้เหวินซื่อไปบอกว่าเลือกวันมงคลได้แล้วด้วยตัวเอง


 


 


ฝั่งฮ่องเต้ก็ได้รับข่าวแล้ว ก็ตรัสสั่งขันทีที่ดูแลทันทีว่า ซื้อป้ายจากนอกวังมา จับพู่กันขึ้นมาตวัดเขียนบนป้ายว่า ‘ร้านยาเต๋อเหริน’ เป็นตัวอักษรที่มีชีวิตชีวาและไหวพริ้ว ด้านบนสุดตรงกลางของป้ายจารึกวันพระราชทานไว้ด้วย


 


 


สองวันผ่านไป ภายใต้สายตาที่อิจฉาของคนที่มีอาชีพเดียวกัน และเสียงตกใจของประชาชนในเมืองทุกคน ป้ายที่ใส่กรอบเรียบร้อยได้ถูกแขวนไว้บนที่สูงสุดของสาขาร้านที่ใหญ่ที่สุดของร้านยาเต๋อเหริน แทนที่ป้ายเก่าแก่ที่แขวนมาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว


 


 


นายท่านเหวินนำคนในตระกูลเหวินทุกคน หมอของร้านยาเต๋อเหริน ผู้ดูแลร้าน กราบสามครั้งคำนับเก้าตรงป้ายนี้ ทุกคนต่างตื้นตันมีความสุขจนตาแดงก่ำ


 


 


ตั้งแต่นั้นมาร้านยาเต๋อเหรินก็มีชื่อเสียงไปทั่วทุกแห่งหนทันที ทุกวันเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ มีคนที่มาหาหมอที่ร้านยาเต๋อเหริน มาซื้อยาสมุนไพร มาตกลงทำการค้ากันไม่ขาดสาย ภายในสามเดือน ก็หาตั๋วเงินได้เท่ากับหนึ่งปีของเมื่อก่อน


 


 


หลังจากแก้ปัญหาฉั่งฉิกเสร็จแล้ว ภายใต้การดูแลของเหวินเปียว จางจู้ได้เที่ยวเล่นทุกที่ ทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวงแล้ว ก็พอใจมาก จึงเตรียมตัวกลับบ้าน


 


 


ครั้งนี้ไม่เพียงแค่เมิ่งเชี่ยนโยว แม้แต่เมิ่งซื่อก็ซื้อของไม่น้อยให้จางจู้เอากลับไปให้คนในครอบครัว


 


 


เช้าตรู่ของวันนี้ หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตั้งแต่เช้า กินอาหารเช้าแล้ว เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปหนานเฉิงส่งจางจู้กลับบ้าน


 


 


เสียงของหวงฝู่อี้ดังเข้ามาจากข้างนอก “พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่ เข้าไปได้หรือไม่”


 


 


ท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าของทั้งสองหยุดลง แล้วสบตากัน ต่างเห็นคำถามในดวงตาของอีกฝ่าย นานมาแล้วที่หวงฝู่อี้ไม่ได้เรียกพี่ใหญ่คำนี้ เช้าตรู่เยี่ยงนี้มีเรื่องอันใดกัน


 


 


“เข้ามาเถิด” หลังจากส่งสัญญาณให้เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ


 


 


หวงฝู่อี้เปิดผ้าม่านประตูออกแล้วเดินเข้ามา บนหลังสะพายกระเป๋าใบเล็กๆ ไว้หนึ่งใบ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


หวงฝู่อี้ก็ไม่ได้ทำความเคารพ เดินตรงมาข้างหน้าทั้งสอง แสดงรอยยิ้มประจบสอพลอออกมา “พี่ใหญ่ พี่โยวเอ๋อร์ ข้าอยากตามกลับไปดูที่บ้านเกิด”


 


 


มาจวนอ๋องฉีนานขนาดนี้ หวงฝู่อี้ไม่เคยพูดถึงบ้านเกิดเลย หวงฝู่อี้เซวียนคิดมาตลอดว่าตอนนั้นเขาอายุน้อย จึงลืมเรื่องราวในอดีตไปหมดแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้อยู่ๆ เขาก็พูดว่าจะกลับบ้าน


 


 


“เหตุใดจึงคิดอยากกลับบ้านล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามด้วยสีหน้าเรียบๆ


 


 


หวงฝู่อี้หยุดยิ้ม บนสีหน้าแสดงความเจ็บปวดเล็กน้อย “ข้าอยากกลับบ้านไปบูชาฮวงซุ้ยท่านพ่อท่านแม่ ทำหน้าที่ของลูก พี่ใหญ่วางใจเถิด ไม่นานข้าก็กลับมาขอรับ”


 


 


มองกระเป๋าใบเล็กๆ บนหลังของเขาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามว่า “ตั๋วเงินพอหรือไม่”


 


 


“พอแล้ว พอแล้ว หลายปีมานี้ข้ากินนอนที่จวน ไม่ได้ใช้จ่ายอะไร ตั๋วเงินที่พี่ใหญ่ให้ข้าในชีวิตประจำวันข้าเก็บสะสมไว้ทั้งหมด มีหลายสิบตำลึง” ได้ยินเยี่ยงนี้ หวงฝู่อี้ก็รู้ทันทีว่าหวงฝู่อี้เซวียนตกลงแล้ว ยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วกล่าว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งไปด้านนอกว่า “ชิงหลวน”


 


 


ชิงหลวนรับคำสั่ง แล้วเดินเข้ามา


 


 


“ไปเบิกตั๋วเงินสองร้อยตำลึงที่ห้องเก็บเงินมาให้อี้เอ๋อร์เอาไปด้วย”


 


 


หวงฝู่อี้รีบโบกมือ “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าแค่กลับไปดูบ้าน ไม่ต้องใช้ตั๋วเงินเยอะขนาดนี้ขอรับ”


 


 


ชิงหลวนไม่ขยับ แล้วมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งสัญญาณให้ ชิงหลวนจึงเดินออกไป


 


 


“หลังจากกลับบ้านไป ถ้าหากไม่มีที่อยู่ ก็ไปที่บ้านข้า เดี๋ยวข้าให้คนส่งข่าวให้พี่ใหญ่ ให้เขาจัดเตรียมไว้ให้เจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


“ไม่รบกวนพี่โยวเอ๋อร์แล้วขอรับ ข้าจำได้ว่าข้ามีอาแท้ๆ อยู่คนหนึ่ง คิดว่าเขาน่าจะให้ข้าพักด้วย อีกอย่าง ข้าก็อยู่แค่ไม่กี่วัน กราบไหว้ท่านพ่อท่านแม่เสร็จ หลังจากพบคนแก่ของตระกูลแล้ว ข้าจะกลับมาทันที”


 


 


“เจ้าไม่เคยเดินทางออกจวนคนเดียว อย่างนี้ ข้าส่งคนตามเจ้า รอตอนที่เจ้ากลับมา จะได้ดูแลกัน”


 


 


หวงฝู่อี้โบกมือ “ขอบคุณพี่โยวเอ๋อร์ หลายปีมานี้ข้าก็ได้ฝึกวิชาต่อสู้กับพี่ใหญ่มาเล็กน้อย กำลังสำหรับป้องกันตัวเองได้อยู่ขอรับ”


 


 


เห็นเขาปฏิเสธ จึงคิดว่ามีคนเพิ่มมาหนึ่งคนเขาน่าจะไม่ชิน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้พูดต่อ


 


 


ชิงหลวนนำตั๋วเงินสองร้อยตำลึงมา หวงฝู่อี้รู้จักนิสัยของหวงฝู่อี้เซวียน จึงไม่ได้ปฏิเสธอีก พับอย่างระมัดระวัง แล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อในอ้อมกอดของตน


 


 


“เจ้าออกไปรอก่อนเถิด หลังจากพวกข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว พวกเราค่อยไปหนานเฉิงกัน”


 


 


หวงฝู่อี้รับคำสั่ง ถอยออกไป แล้วสะพายกระเป๋ายืนรอข้างนอกประตูอย่างเงียบๆ


 


 


ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมา แล้วเดินออกไปนอกจวน


 


 


หวงฝู่อี้เดินตามข้างหลัง


 


 


ชิงหลวนแล้วจูหลีเดินอยู่หลังสุด


 


 


ทั้งหมดมาถึงหนานเฉิง


 


 


ตั้งแต่เช้าเมิ่งซื่อก็สั่งให้คนยกสิ่งของที่จัดเตรียมไว้แล้วขึ้นรถม้าทั้งหมด ทุกคนยืนรออยู่หน้าประตู รอทั้งสองมา


 


 


ทุกคนลงมาจากรถม้า


 


 


เมิ่งซื่อเห็นหวงฝู่อี้ที่สพายกระเป๋าไว้ทันที จึงกล่าวถามอย่างแปลกใจว่า “หนิวตั้ง เจ้า…”


 


 


“ข้าอยากฉวยโอกาสครั้งนี้กลับไปบูชาฮวงซุ้ยให้ท่านพ่อท่านแม่ข้า ข้ามันลูกอกตัญญู ไม่ได้กลับบ้านมานานแค่ไหนแล้ว ต้นหญ้าตรงสุสานของท่านพ่อท่านแม่ข้าสูงเท่าใดแล้วก็มิรู้ได้” หวงฝู่อี้กล่าวตอบ


 


 


เมิ่งซื่อเงียบไปสักพัก ตอนที่หนิวโก่วจื่อสองสามีภรรยามีชีวิตอยู่ อย่าว่าแต่ความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านเลย แม้แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ไม่ดี จึงทำให้หลังจากพวกเขาสองสามีภรรยาเกิดเรื่อง หนิวตั้งถูกพาตัวมาเมืองหลวง ถึงเวลาเผากระดาษตอนเทศกาลเช็งเม้ง แม้แต่กระดาษครึ่งใบ ก็ไม่มีใครเผาให้พวกเขา เหมือนอย่างที่หนิวตั้งพูดจริงๆ ต้นหญ้าบนสุสานของพวกเขาสูงกว่าคนไปแล้ว


 


 


หลังจากเงียบไปสักพัก เมิ่งซื่อก็กล่าวว่า “เจ้าออกมานานหลายปีแล้ว กลับไปดูก็ดี หากไม่มีที่ไป ไปที่บ้านข้าก็ได้ ให้อาเมิ่งของเจ้าเตรียมที่พักไว้ให้เจ้า”


 


 


หวงฝู่อี้รับฟัง “ข้าทราบแล้วขอรับ ท่านป้า หลังจากข้ากลับไปข้าจะไปหาอาเมิ่ง”


 


 


เมิ่งซื่อถอนหายใจเบาๆ บ้านหนิวตั้งไม่มีพ่อแม่ กลับไปก็ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดเสียใจมากขึ้นเท่านั้น


 


 


จางจู้เห็นว่าอารมณ์ของเมิ่งซื่อไม่ดี รีบกล่าวว่า “ค่ำแล้ว ข้าควรไปแล้วล่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อรู้สึกตัวขึ้นมาทันที มีความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย “พี่ใหญ่ อีกไม่กี่เดือนโยวเอ๋อร์ก็จะคลอดแล้ว พี่บอกท่านพ่อท่านแม่ให้พวกท่านเดินทางมาเมืองหลวงแต่เนิ่นๆ จะได้เสวยสุขเสียที”


 


 


“ประโยคนี้เจ้าพูดตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้สิบกว่ารอบแล้ว วางใจเถิด ข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่แน่นอน ถึงเวลานั้นแล้วหากพวกท่านยังไม่มา ข้าสัญญาว่าจะพาพวกท่านมาส่งเอง”


 


 


เมิ่งซื่อพยักหน้าอย่างดีใจ “พี่ใหญ่พูดคำไหนคำนั้นนะ ข้าจะรอ”


 


 


ตอนที่จางจู้มานั้นเมิ่งเอ้ออิ๋นได้ให้คนของสำนักคุ้มภัยสองคนขับรถม้ามาส่ง กลับไปรอบนี้สิ่งของเพิ่มขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้องครักษ์ลับตามกลับไปหลายคน ยังบอกพวกเขาอีกว่า ถึงบ้านแล้วไม่ต้องรีบกลับมา รอกลับมาพร้อมกับหวงฝู่อี้


 


 


รถม้าที่จางจู้และหวงฝู่อี้นั่งอยู่ข้างหน้า รถม้าที่ใส่ของอยู่ข้างหลัง รถม้าสองคันยิ่งออกไปไกลเรื่อยๆ เมิ่งซื่อยืนอยู่หน้าประตูอย่างอาลัยอาวรณ์ จนมองไม่เห็นเงาของรถม้า จึงกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนว่า “รีบเข้าไปเถิด”


 


 


นอกจากเมิ่งฉีแล้ว ทุกคนในครอบครัวเดินเข้าไปในจวน ส่วนเมิ่งฉีนั่งรถม้าตรงมาที่โรงงาน กัวเฟยขับรถม้า ตอนที่จะไปยังมองจูหลีหลายรอบ


 


 


จูหลีหน้าแดง อายจนก้มหน้าลงไป


 


 


ชิงหลวนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ปิดปากแล้วแอบยิ้ม


 


 


จูหลีรู้สึกว่านางแอบยิ้ม จึงเงยหน้าขึ้นเขม่นมองนาง “เจ้าตัวแสบ อย่าหัวเราะข้า ไม่นานเหวินซงก็ออกมาแล้ว”


 


 


ใบหน้าของชิงหลวนก็แดงขึ้นมาทันที


 


 


ทุกคนมาถึงเรือนที่เมิ่งซื่อพักอยู่ หลังจากนั่งลงแล้ว เมิ่งซื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ช่วงก่อน เหวินเปียวมาหาข้า ถามเรื่องแต่งงานของเด็กๆ ข้าเห็นว่าพวกเจ้ายุ่งอยู่ จึงไม่ได้รบกวนพวกเจ้า ตอนนี้จัดการเรื่องฉั่งฉิกเสร็จแล้ว ร้านบะหมี่มันฝรั่งก็เปิดแล้ว โรงงานก็ไม่มีเรื่องอะไร มันฝรั่งยังไม่เก็บเกี่ยว ข้าคิดไว้ว่าไม่เยี่ยงนั้นก็ให้พวกเขาหมั้นหมายกันไว้ก่อน รอให้เก็บมันฝรั่งเสร็จแล้ว พวกเราค่อยจัดงานแต่งให้พวกเขา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีความคิดเห็นใดๆ ยิ้มแล้วพยักหน้า “ท่านแม่ พี่สะใภ้รอง แล้วก็พี่สะใภ้อิ๋งจือคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี พวกท่านจัดการเถิด ข้านั่งดูอยู่ข้างๆ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งซื่อตั้งใจไม่ให้นางจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว ได้ยินก็จัดการทันที “ได้ เดี๋ยวข้าเรียกเหวินเปียวสองสามีภรรยามาทันที บอกสิ่งของที่พวกเขาควรจัดเตรียม แต่ว่าชิงหลวนกับจูหลีนั้น จะหมั้นหมายที่ใด ที่จวนอ๋องฉีหรือที่จวนเรา”


 


 


“อันนี้…” เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


“ไปที่จวนอ๋องเถิด ชิงหลวนกับจูหลีเป็นคนที่ท่านแม่มอบให้โยวเอ๋อร์ ที่จวนนี้คงไม่เหมาะสม หลังจากข้ากลับไปปรึกษากับท่านแม่ที่จวนแล้ว จะมาตอบท่านแม่ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว


 


 


เมิ่งซื่อพยักหน้า “ก็ดี หลังจากพวกเขาแต่งงาน ค่อยมาอยู่ที่จวนเมิ่ง”


 


 


เมิ่งซื่อพูดถึงงานแต่งของชิงหลวนและจูหลีแล้ว ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเรื่องที่ให้หวงฝู่ซวิ่นออกหน้าประกาศรับสมัครหาคู่ให้เหล่าทหารที่พิการในโรงงานออก ไม่รู้ว่าหวงฝู่ซวิ่นลืมหรือว่าเขาไม่อยากทำเรื่องนี้ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ คิดถึงนี้ จึงยิ้มแล้วกล่าวกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เราไม่ได้ไปหาพี่ใหญ่นานแล้ว วันนี้ว่าง ไปหาพี่ใหญ่กันเถิด”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดเรื่องนี้ออกพอดี จึงพยักหน้า เมิ่งซื่อก็จะปรึกษาเรื่องสู่ขอกับครอบครัวเหวินเปียวพอดี จึงไม่ได้ยื้อพวกเขาไว้


 


 


ทั้งสองนั่งรถม้าตรงมาที่วังฝั่งตะวันออกทันที


 


 


ช่วงนี้หวงฝู่ซวิ่นถูกฮ่องเต้เรียกไปห้องทรงพระอักษรให้อ่านฎีกาอยู่บ่อยๆ เหนื่อยใจมากจริงๆ วันนี้ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ยังไม่ให้ใครมาเรียก แอบหลับที่ตงกง ได้ยินคำรายงานของขันทีที่ดูแล ก็โบกมือด้วยความง่วง “เชิญพวกเขาไปรอที่ตำหนักยงชิงก่อน ข้าจะรีบไป”


 


 


ขันทีที่ดูแลรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วก้มตัวเดินถอยออกมา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นบังคับตัวเองให้ลืมตา หลังจากหาวแล้ว จึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง


 


 


นางกำนัลที่ดูแลอยู่ข้างกายสองคนรีบหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เขาทันที จัดมงกุฎให้เรียบร้อย นางกำนัลอีกคนตักน้ำมา ถือไว้ตรงหน้าเขา


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก้มหน้าล้างหน้าตัวเองให้สะอาด กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม แล้วก้าวเดินออกไปด้วยท่าทีสบายๆ เดินเข้าย่งฉิงเตี้ยนยังไม่รีบร้อน ยิ้มแล้วกล่าวกับทั้งสองว่า “น้องเซวียน น้องสะใภ้ เหตุใดวันนี้เจ้าทั้งสองจึงมีเวลาว่างมาเที่ยวตงกงได้”


 


 


“ไม่เห็นพี่ใหญ่หลายวัน คิดถึงมาก วันนี้จึงตั้งใจมากับอี้เซวียนเพื่อมาหาพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวตอบ


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากหวงฝู่ซวิ่นได้ยินประโยคนี้ของนางแล้ว ใจกระตุกทันที รู้สึกว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับตน รีบกล่าวว่า “น้องสะใภ้ เจ้าอย่ากล่าวเยี่ยงนี้ มีเรื่องอะไรสั่งพี่ใหญ่ได้เลย พี่ใหญ่ไม่ปฏิเสธแน่นอน”


 


 


“ถ้าเยี่ยงนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าเรื่องที่ข้าขอร้องพี่ใหญ่ พี่ใหญ่จัดการถึงไหนแล้วเพ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม


 


 


“เรื่องรับราชการของลูกพี่ลูกน้องเจ้ากับเพื่อนเจ้าข้าได้ฝากฝังงขุนนางที่รับผิดชอบให้ดูแลแล้ว ส่วนเรื่องสำนักคุ้มภัยนั้น ข้าได้ตรวจสอบขุนนางที่ดูแลตอนนั้นแล้ว สองสามวันนี้ข้าจะเรียกพวกเขามาดื่มชากัน” หวงฝู่ซวิ่นกล่าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรอประโยคต่อไป แต่ไม่มีแล้ว ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “พี่ใหญ่ ลืมเรื่องอะไรหรือไม่”


 


 


“ไม่มี” หวงฝู่ซวิ่นกล่าวอย่างแปลกใจ “มีแค่สองเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ ข้าจำได้ขึ้นใจเลย ไม่ลืมแม้แต่น้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา รอยยิ้มนั่นในสายตาของหวงฝู่ซวิ่น ยิ่งดู ยิ่งรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที รีบกล่าวว่า “น้องสะใภ้ พี่ใหญ่จำไม่ได้จริงๆ ว่ามีเรื่องอะไรอีก รบกวนเจ้าเตือนข้าหน่อยเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวว่า “โยวเอ๋อร์เคยแสดงความคิดเห็นให้พี่ใหญ่ ให้พี่ใหญ่ออกหน้าประกาศรับสมัครหาคู่ให้เหล่าทหารที่พิการในโรงงาน ใช้เรื่องนี้เพื่อสร้างชื่อเสียง ดูท่าแล้วพี่ใหญ่จะลืมไปแล้วจริงๆ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)