ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 306-309

ตอนที่ 306 ข่าวที่มาจากการพูดคุยสัพเพ...

 

เฝิงจิ้งเหวินหน้าแดงจัด เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นซื่อจื่อเฟย เป็นคนที่ขุนนางชั้นสูงมากมายในเมืองหลวงต่างแย่งกันประจบสอพลอ ถ้ามิใช่ว่าเหวินซื่อมีการคบค้าสานสัมพันธ์อันดีกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่ชิงซี เกรงว่าวันนี้แม้แต่ประตูใหญ่ของจวนอ๋องฉีนี้ ตัวเองสองสามีภรรยาก็ไม่อาจเข้ามาได้ แต่สามีของตัวเองยังจะต่อรองด้วยการให้ลูกเรียกว่าเป็นแม่บุญธรรม เป็นครั้งแรกนับแต่เกิดมาที่เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกว่าเหวินซื่อไร้สมองจริงๆ


 


 


เหวินซื่อกลับไม่คิดเช่นนี้ หลังจากพูดจบ ก็มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ท่าทางมั่นอกมั่นใจอย่างที่คิดว่าเจ้าต้องรับปากข้าแน่นอน


 


 


“อี้เซวียน เจ้ามานี่” เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือให้กับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ที่หน้าของหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มพูดกับเหวินซื่อ “เจ้าคิดว่าลูกของพวกเราสองคนจะด้อยกว่าลูกของเจ้าหรือ”


 


 


เหวินซื่อถูกพูดย้อน และพูดอะไรไม่ออก


 


 


เฝิงจิ้งเหวินเห็นท่าทางที่ยอมรับความพ่ายแพ้ของเขา ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้


 


 


เสียงหัวเราะนี้ ดึงสติปัญญาของเหวินซื่อกลับมา แล้วพูดบ่นอย่างไม่พอใจทันที “พวกเจ้าทั้งคู่ก็ทำร้ายจิตใจกันเหลือเกิน พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกมาเยี่ยมเจ้าด้วยเจตนาดี แต่เจ้ากลับปฏิบัติต่อพวกข้าเช่นนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะ ชี้ไปที่ประตูเรือน “ประตูใหญ่อยู่ด้านหลังเจ้า ออกไปเลี้ยวซ้าย ไปดีๆ ล่ะ ไม่ส่งนะ”


 


 


เหวินซื่ออึ้งอีกครั้ง


 


 


ผู้คนทั้งเรือนพากันป้องปากแอบหัวเราะ


 


 


แม้แต่เด็กน้อยในอ้อมอกของเฝิงจิ้งเหวินก็ปรบมือน้อยๆ หัวเราะคิกคักออกมาราวกับร่วมเหตุการณ์ด้วย


 


 


บนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เผยรอยยิ้มที่ครึ้มใจ


 


 


ไม่สนใจเหวินซื่ออีก เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออก อยากจะอุ้มเด็กเสียหน่อย


 


 


เฝิงจิ้งเหวินไม่กล้าให้นาง “ช่วงนี้เจ้าอย่าได้ประมาท เป็นช่วงเวลาที่อันตรายพอดี อย่าอุ้มเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็มองไปทางนางอย่างไม่เห็นด้วยเช่นกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่วางมือลง ยิ้มพูด “พี่สะใภ้เข้าไปพูดคุยกันในห้องเถิด”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้า และไม่สนใจเหวินซื่อ เดินอุ้มลูกตามเมิ่งเชี่ยวโยวเข้าไปในห้อง


 


 


เมื่อเหวินซื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขา ก็เอาก้นกระแทกลงกับพื้นเดี๋ยวนั้น และพูดบ่นว่า “วันนี้พวกเจ้าไม่ให้เม็ดยาแก่ข้า ข้าจะนั่งอยู่บนพื้นนี่ไม่ลุกขึ้นอีกเลย”


 


 


ทุกคนอึ้ง ล้วนใช้สายตาที่ไม่อยากเชื่อมองเขา ในสมองล้วนปรากฏคำถามโดยพร้อมกันว่า คนที่อยู่ตรงนี้คนนี้เป็นเถ้าแก่ร้านยาเต๋อเหรินจริงหรือ


 


 


เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกว่าเงยศีรษะไม่ขึ้นแล้ว นางไม่รู้ว่าสามีของตัวเองจะมีด้านที่น่าไม่อายเช่นนี้ แล้วส่งเสียงเรียกอย่างรีบร้อน “ท่านพี่!” อยากจะหันกายกลับไปดึงเขาขึ้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนาง และสั่งทุกคน “ออกไปให้หมดเถิด ให้เถ้าแก่เหวินอยู่ในเรือนไป และใครก็จงอย่าได้รบกวนเขา”


 


 


ทุกคนรับคำ แล้วพากันป้องปากถอยออกไป แม้แต่ชิงหลวนและจูหลีก็ไปนอกเรือน


 


 


เหวินซื่อเห็นว่าไม้นี้ไม่ได้ผล จึง ‘ร้องให้เช็ดน้ำตา’ ขึ้นมาทันที “เจ้าเด็กน้อย นี่เจ้าลืมบุญคุณกันแล้วนี่ นึกถึงตอนแรกที่อยู่ชิงซี…”


 


 


“หุบปาก!” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ใช่อดทนไม่ไหว แต่เพื่อไม่ให้หูของทุกคนต้องรับความทรมาน จึงพูด “เม็ดยาเหล่านี้ล้วนทำมาจากสมุนไพรล้ำค่าที่นำออกมาจากวังหลวง ไม่อาจจะให้เจ้าได้อย่างง่ายๆ รอประเดี๋ยวข้าจะเขียนใบผสมยาให้ แล้วเจ้ากลับไปทำด้วยตัวเองเถิด”


 


 


เสียงร้องครวญครางของเหวินซื่อหยุดลงทันที พร้อมดีดตัวขึ้นจากพื้นอย่างคล่องแคล่ว หางตาและคิ้วด้วยมีรอยยิ้มแห่งความเบิกบาน “จริงหรือ เจ้ายอมเขียนใบผสมยาให้ข้าหรือ”


 


 


“ถ้ายังพูดมากอีก ข้าก็จะเปลี่ยนใจแล้วนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขู่


 


 


เหวินซื่อรีบเอามือปิดปากตัวเองแน่น และพูดด้วยเสียงอุดอู้ “ข้าไม่พูดมาก ข้าไม่พูดมากแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปทางหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มพูด “อี้เซวียน ข้ากับพี่สะใภ้จะพูดคุยสักพัก ส่วนเจ้ากับเถ้าแก่เหวินไปพูดคุยเรื่องข้อตกลง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียง “อืม” เบาๆ หันกายเดินไปที่ห้องรับแขก เหวินซื่อเดินตามก้นไปติดๆ


 


 


สีหน้าของเฝิงจิ้งเหวินแดงก่ำ “น้องโยวเอ๋อร์ ขอโทษด้วย ท่านพี่เขา…”


 


 


“พี่สะใภ้ แต่ไหนแต่ไรเถ้าแก่เหวินก็เป็นเช่นนี้ ข้าเจอจนชินเสียแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด


 


 


เฝิงจิ้งเหวินเบิกตาโต


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจว่านางไม่เชื่อ จึงยิ้มพูด “อีกประเดี๋ยวจะเล่าให้พี่สะใภ้ฟัง”


 


 


ทั้งสองคนเดินเข้ามาภายในห้อง สั่งคนให้ยกน้ำชา น้ำเปล่ากับขนมมาสองสามจาน เฝิงจิ้งเหวินวางลูกไว้บนเตียงนิ่ม แล้วนางกับเมิ่งเชี่ยนโยวแยกกันนั่งลงทั้งสองฝั่งและเริ่มพูดคุยสัพเพเหระกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องในปีนั้นที่เหวินซื่อเคยทำ แล้วเลือกเล่าถึงเรื่องที่น่าขันต่างๆ ให้แก่เฝิงจิ้นเหวินฟัง


 


 


หลายปีผ่านมานี้ เฝิงจิ้งเหวินไม่เคยรู้เลยว่าเหวินซื่อจะมีด้านที่ดื้อรั้นเหมือนเด็กๆ เช่นนี้ ก็หัวเราะจนยืดหลังไม่ขึ้น


 


 


ภายในห้องรับแขก หวงฝู่อี้เซวียนก็สั่งคนให้ยกน้ำชาเข้ามา แล้วยกน้ำชาขึ้นมาอย่างสง่า ดื่มเล็กน้อย ถึงจะเอ่ยปากถาม “เถ้าแก่เหวิน ครั้งนี้โยวเอ๋อร์เขียนใบผสมยาหลายใบ เจ้าคิดว่าจะปันผลกับพวกเราอย่างไรดีล่ะ”


 


 


เหวินซื่อยกชาขึ้นมาจิบเบาๆ เช่นกัน กลิ่นหอมที่เข้มข้นทำให้เขารู้สึกสบายจนหลับตาลงครู่หนึ่ง ถึงจะพูดตอบ “ยารักษาแผลเป็นของเจ้าเด็กน้อยยังมีส่วนแบ่งกับข้าที่นั่น อัตราส่วนของใบผสมยาที่เขียนนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พูด “ใบผสมยาเหล่านี้ต้องปรุงด้วยสมุนไพรชั้นดี ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ด้วยความสามรถร้านยาเต๋อเหรินของเจ้า เกรงว่าการจะได้สมุนไพรที่ล้ำค่าเช่นนี้จะยากลำบากเสียหน่อย”


 


 


เหวินซื่อเบิกตากลมโต วางถ้วยชาบนมือ แล้วตบหน้าอกตัวเองดัง ผัวะๆ “ไม่ใช่ว่าข้าขี้โม้ ไม่ว่าสมุนไพรจะล้ำค่ามากแค่ไหน เพียงแค่บนโลกนี้มี ร้านยาเต๋อเหรินของข้าก็ต้องมีแน่นอน”


 


 


มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้ม หยิบใบผสมยาหลายใบวางไว้บนโต๊ะ “เชิญเถ้าแก่เหวินดูก่อน สมุนไพรเหล่านี้ร้านยาเต๋อเหรินของท่านมีเท่าใด”


 


 


เหวินซื่อหยิบใบผสมยาขึ้น ดูอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งดูดวงตากลับยิ่งเบิกกว้าง สีหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมา


 


 


รอให้เขาดูเสร็จทั้งหมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะถามเย้าหยอกเขา “ว่าอย่างไรล่ะ ร้านยาเต๋อเหรินของเถ้าแก่เหวินมีเท่าใด”


 


 


เหวินซื่อกัดฟัน ครั้งนี้ฝืนตอบโดยที่ยอมแพ้แต่ไม่ยอมเสียหน้า “ครึ่งหนึ่ง”


 


 


“สมุนไพรในนี้ล้วนเป็นของห้องยาในวังหลวงที่เสาะหามาจากแต่ละแห่งหนในรัฐอู่ ร้านยาเต๋อเหรินสามารถมีได้ถึงครึ่งหนึ่ง ก็ถือว่าน่าทึ่งมาก น่าเสียดายเหลือเกินที่มีเพียงครึ่งเดียว จะผลิตเม็ดยาพวกนี้ออกมาก็คงไม่ได้ เถ้าแก่เหวินเลิกล้มความคิดที่จะเอาใบผสมยานี้ไปเถิด”


 


 


พูดจบ ก็เอื้อมมือไป กำลังจะคว้าใบผสมยากลับมา


 


 


แต่มือของเหวินซื่อกันมือของเขาไว้ “ช้าก่อน ข้าจะรวบรวมสมุนไพรเหล่านี้เอง”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนปัดมือของเขาทิ้ง แล้วหยิบใบผสมยาไว้ในมือ พับเป็นทบอย่างเรียบร้อย แล้วเก็บกลับเข้าไปในชายเสื้อของตัวเองอีกครั้ง “รอให้เจ้ารวบรวมสมุนไพรครบแล้วค่อยว่ากันเถิด แต่ ข้าบอกเจ้าให้นะ ถ้าหากเจ้ารวบรวมสมุนไพรครบและปรุงเป็นเม็ดยาได้แล้ว ข้าจะสามารถช่วยเจ้าขายได้ เม็ดละสองพันตำลึง”


 


 


ยารักษาแผลเป็นก็ได้รับความนิยมจนทำกำไรมากพออยู่แล้ว แต่ละขวดมีมูลค่าหลายพันตำลึง ตอนนี้เม็ดยาเล็กๆ เม็ดเดียวกลับมีมูลค่าถึงสองพันตำลึง ไหนเลยที่เหวินซื่อจะไม่หวั่นไหวได้ จึงรีบโอ้อวดออกปากรับคำทันที “เจ้ารอฟังข่าวดีจากข้าเถิด อย่างมากสุดภายในสองเดือน ข้าก็จะรวบรวมสมุนไพรเหล่านี้ได้ครบ เจ้าจะต้องทำตามที่เจ้าว่าเสียล่ะ ไม่เพียงแต่มอบใบผสมยาให้ข้า เม็ดยาที่ทำสำเร็จก็ต้องช่วยข้าขายออกไปด้วย”


 


 


“ไม่มีปัญหา” หวงฝู่อี้เซวียนรับปากอย่างเต็มปากเต็มคำ “มีเท่าไร ข้าก็ขายเท่านั้น!”


 


 


ทั้งสองคนปรึกษากันอย่างออกรสออกชาติ ส่วนทางเมิ่งเชี่ยนโยวกับเฝิงจิ้งเหวินด้านนี้ก็คุยกันอย่างคึกคักมีชีวิตชีวา ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ทั้งสองคนมีเรื่องต่างๆ ให้พูดคุยกันอย่างไม่รู้จบ ตั้งแต่เมิ่งเชี่ยนโยวออกไป ตัวเองได้ยินข่าวแล้วก็เสียใจอย่างมาก คราที่ลูกตัวเองคลอด ต้องทำคลอดเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทำให้วิตกกังวลจนเหวินซื่อเกือบจะคุกเข่าให้เหล่าหมอตำแย และพูดถึงเฝิงจิ้งซูตอนนี้ที่ได้รับการเอาอกเอาใจจากแม่ทัพฉู่ทั้งวัน ลูกจะย่างเข้าหนึ่งขวบปีแล้ว เฝิงจิ้งซูยังคงถูกดูแลเหมือนเด็กที่ยังไม่โต และเรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวงช่วงนี้


 


 


เช็ดเศษขนมบนขอบปากของเด็กน้อยแล้ว เฝิงจิ้งเหวินพูด “หลายวันก่อน มีบ่าวรับใช้ของขุนนางชั้นสูงคนหนึ่งไปที่ร้านยาเต๋อเหรินอย่างรีบร้อน เชิญหมออาวุโสที่มีชื่อเสียงที่สุดในร้านไปช่วยเหลือคน บอกว่าจำนวนเงินเท่าไรก็จ่าย กระทั่งหลังจากที่หมออาวุโสถึงแล้ว เกือบจะต้องตาบอด ที่แท้คือเรือนของนายท่านราชเลขาหลินในสังกัดกองทัพทหาร และคนที่ต้องการตรวจรักษาก็คือคุณหนูหลิน ได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่า ตอนที่คุณหนูหลินออกจากบ้าน เท้าไถลลื่น และล้มหน้าคะมำอย่างไม่ระวัง ทำให้กระแทกเข้ากับศีรษะ แต่ตอนที่หมออาวุโสกลับมารายงานให้แก่ท่านพี่ก็บอกว่า ทันทีที่เห็นแผลนั่นก็คือเกิดจากการทำร้ายตัวเอง ไม่รู้ว่าคุณหนูคนนี้มีเรื่องอันใดที่คิดไม่ตก ถึงลงไม้ลงมือกับตัวเองอย่างหนักเช่นนั้น”


 


 


ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวสั่นไหว และถาม “นี่เรื่องเป็นเรื่องเมื่อใดกัน”


 


 


เฝิงจิ้งเหวินนึกครู่หนึ่ง “ก็หลายวันก่อนนี่แหละ น่าจะเป็นวันที่สองหลังจากงานหมั้นหมายคุณหนูหลิน”


 


 


“พี่สะใภ้ใส่ใจเรื่องสัพเพเหระเหล่านี้ในเมืองหลวงด้วยหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามโดยไม่แสดงอาการอะไร


 


 


“ข้าจะมีเวลาว่างขนาดนั้นที่ไหนกัน ทั้งต้องดูแลลูก แล้วยังต้องจัดแจงงานทุกอย่างภายในจวน ยุ่งจะตายอยู่แล้ว แต่อาการของคุณหนูหลินคนนี้แตกต่างออกไปนะ เดิมทีนางก็…” พูดถึงตรงนี้ ก็ตระหนักได้ว่าหากจะพูดต่อคงไม่เหมาะสม จึงละเว้นไป แล้วพูดต่อว่า “ทุกคนภายในเมืองล้วนจับจ้องเรื่องการแต่งงานของนางทั้งนั้น ดูสิว่าจะมีใครกล้าสู่ขอกับนางอีก ดังนั้นแม้ว่าข้าไม่อยากรู้ ก็ย่อมมีคนมาบอกให้ข้าฟังอยู่แล้ว”


 


 


“แล้วหลังจากนั้นคุณหนูหลินคนนั้นเป็นอย่างไรล่ะ”


 


 


“ยังไม่ดีเลย ได้ยินหมออาวุโสบอกว่านอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ตัวคนก็ซูบผอมลงอย่างมาก หมออาวุโสต้องเปลี่ยนยาให้นางทุกครั้ง กลับมาก็ส่ายหน้าถอนหายใจกับท่านพี่เป็นเวลานาน บอกว่าแม่นางดีๆ คนหนึ่ง เกรงว่า…”


 


 


“เรื่องนี้ยังมีใครรู้อีกไหม”


 


 


“มีเพียงข้ากับท่านพี่ แล้วก็หมออาวุโสที่รู้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร ถ้าหากว่าแพร่ออกไปจะทำให้จวนราชเลขาเสียหน้า และก็จะทำให้ร้านยาเต๋อเหรินต้องลำบากด้วย ดังนั้นท่านพี่ก็กำชับเสมอว่าไม่ให้หมออาวุโสพูดออกไป หมออาวุโสก็เป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร นอกจากท่านพี่แล้ว ก็ไม่บอกใครแม้แต่คำเดียว คาดว่าน่าจะเพราะว่ากลัวเสียหน้า จวนราชเลขาถึงไม่ได้เชิญหมอหลวงจากวังหลวง แต่มาเชิญจากร้านยาเต๋อเหรินแทน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามอีก


 


 


เฝิงจิ้งเหวินก็พักเรื่องนี้ไว้ แล้วยิ้มพูดถึงเรื่องน่าสนใจอื่นๆ


 


 


สามีภรรยาสองคนอยู่ภายในจวนอ๋องทั้งวัน จนถึงเวลาเย็น และหลังจากที่รับประทานอาหารเย็นด้วยกันแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะสั่งคนให้ไปส่งพวกเขาสามคนกลับไปอย่างปลอดภัย ก่อนไป เหวินซื่อยังจะหน้าด้านเอาเม็ดยาทุกชนิด ชนิดละเม็ดกลับไป


 


 


ต้อนรับตลอดทั้งวันนี้ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาแล้ว จึงไม่เหมือนกับทุกวันที่กินข้าวเสร็จก็ไปเดินเล่นย่อยอาหารภายในจวน แต่ตรงไปเอนกายนอนบนเตียงเลย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาที่ข้างเตียงอย่างเงียบๆ ย่อตัวลง ช่วยนางถอดรองเท้าและเสื้อนอก ถึงจะพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวล “เหนื่อยแล้วก็รีบพักผ่อนเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียง “อืม” เบาๆ และปิดตาลง และก็นึกถึงเรื่องหลินหันเยียนขึ้นทันที จึงเปิดตาขึ้นอีกครั้ง แล้วฝืนบอกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ของหลินหันเยียนแก่เขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นหนังตาของนางจะเปิดไม่ขึ้นอยู่แล้ว ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา “เรื่องของนางไม่เกี่ยวกับเจ้า รีบปิดตาลงพักผ่อนเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เพียงแต่บอกเขาเท่านั้น พอได้ยินแล้วก็ปิดตาลงอีกครั้ง และหลับสนิทไปทันที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ข้างเตียง ยื่นมือขวาออกไป วางไว้บนท้องน้อยๆ ของนางเบาๆ มุมปากก็เผยรอยยิ้มที่อบอุ่น จินตนาการถึงเด็กน้อยๆ ในท้องของนางว่าจะมีหน้าตางดงามเพียงไร


 


 


เวลาผ่านไปนานแล้วคำสั่งหน้าที่ของเมิ่งเหรินก็ยังไม่ออกมา สองสามีภรรยาก็ไม่มีอะไรทำ จึงให้เมิ่งซื่อดูแลลูกชาย และพวกเขาก็ไปช่วยภายในโรงงาน


 


 


เมิ่งซื่อนำเด็กมาจวนอ๋อง ทำให้ครานี้ก็เกิดความคึกคักขึ้นแล้ว ทุกๆ วันภายในจวนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ร่าเริงของเด็ก


 


 


อ๋องฉีก็คุ้นเคยกับวันเช่นนี้แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้โผล่หน้าออกมาให้เห็น แต่ทุกวันล้วนยืนอยู่ภายในเรือนนอกห้องหนังสือ พอได้ยินเสียงพวกเด็กๆ หัวเราะอย่างสุขสันต์ มุมปากก็มักจะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา


 


 


ในตอนแรกพ่อบ้านจวนยังเป็นกังวลว่าเด็กเหล่านี้จะรบกวนอ๋องฉี ทว่า ต่อมาเมื่อเห็นสีหน้าของอ๋องฉี ก็วางใจลง สั่งคนให้เฝ้าอยู่นอกห้องหนังสือ ขอเพียงแค่พวกเด็กๆ ไม่ไปรบกวนอ๋องฉีที่ห้องหนังสือ ก็ปล่อยให้พวกเขาเล่นกันเสียงดังไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลายเป็นหัวหน้าเด็กๆ ไปแล้ว ทั้งวันเล่นกับเด็กๆ เสียงดัง หวงฝู่อี้เซวียนทำอะไรนางไม่ได้ เพียงแต่ปล่อยนางไป ตัวเองก็ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ดวงตาไม่ละจากนางแม้แต่เสี้ยวเวลาเดียว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอารมณ์ดี ความอยากอาหารก็มากขึ้น ทำให้ยิ่งกินมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็อวบอิ่มไม่น้อย แต่ท้องกลับไม่ใหญ่ขึ้นเลย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสงสัย กลัวว่าจะมีปัญหาอะไร จึงลอบถามเมิ่งซื่อเบาๆ


 


 


เมิ่งซื่อยิ้ม “เดือนนี้ยังเล็ก รอผ่านไปสี่เดือนก็จะเห็นท้องได้ชัดแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางใจลง ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่ม เวลาว่างที่เหลือก็คิดถึงว่าผ่านไปอีกไม่นานก็จะถึงฤดูกาลที่สองที่มันฝรั่งจะออกดอกออกผลแล้ว ตัวเองก็ควรจะลงมือเตรียมเรื่องเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งแล้ว แต่ สถานะตัวเองตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีเงินในมือ มั่งคั่งขึ้นแล้ว ก็คงไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่เปิดสาขาร้านบะหมี่มันฝรั่งทั้งหมดอยู่แค่ที่ข้างเหลาจวี้เสียน หากจะเปิด ก็ต้องเปิดในทุกๆ แห่งของรัฐอู่ ตั้งแต่พื้นที่เล็กๆ ในเขตแคว้นจนถึงพื้นที่คึกคักในเมือง เอาให้ทุกที่ล้วนมีร้านบะหมี่มันฝรั่ง


 


 


พูดจริงก็ทำจริงเดี๋ยวนั้น จึงสั่งคนให้ไปเรียกเมิ่งอี้มาโดยทันที และพูดว่า “พี่เมิ่งอี้ ข้าตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้ร้านบะหมี่มันฝรั่งของพวกเราจะเปิดทั้งที ก็ต้องเปิดเป็นสาขาย่อยไปทั่วทั้งประเทศ”



 

 

 


ตอนที่ 307 โหมงานหนัก

 

เมิ่งอี้หยุดชะงักไป เกาหัว แล้วกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า “น้องโยวเอ๋อร์ อะไรคือสาขาทั่วประเทศหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายด้วยความตื่นเต้น “ก็คือทั่วทุกที่ในรัฐอู่จะมีร้านบะหมี่มันฝรั่งของเรา ส่งของเหมือนกัน บริหารเหมือนกัน ผู้จัดการและพนักงานก็หาคนที่อยู่ในพื้นที่ ทุกปีจะตั้งเป้ายอดขายให้กับพวกเขา ถ้าถึงเป้าก็จะมีเงินปันผล ถ้าไม่ถึงก็เปลี่ยนคน ทำเยี่ยงนี้ไม่เพียงแต่พี่ไม่ต้องเดินทางไปมา ยังสามารถขายบะหมี่มันฝรั่งของเราออกไปในปริมาณที่มาก ได้ข้อดีหลายอย่าง”


 


 


เมิ่งอี้สรุปคำพูดของนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่เห็นด้วยเล็กน้อย “เจ้าบริหารเยี่ยงนี้แน่นอนว่าลดกำลังของเราลงไปมาก แต่ก็มีข้อเสีย การบริหารของร้านบะหมี่มันฝรั่งทุกที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่ายอดที่ตั้งก็ต้องไม่เหมือนกัน อย่างเช่นถ้าหากร้านบะหมี่มันฝรั่งที่บริหารดีทะลุเป้าที่เรากำหนดจะทำเยี่ยงไร ถ้าหากเขาปลอมบัญชีใหม่ขึ้นมา หลอกพวกข้า พวกข้าก็ไม่รู้”


 


 


“พี่เมิ่งอี้” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเรียกเขา “พี่ลืมไปแล้วหรือว่าตอนนี้ข้ามีฐานะอะไร เป็นถึงซื่อจื่อเฟย คนที่ทุกคนในรัฐอู่อยากจะประจบสอพลอด้วย อยากถามว่าผู้ใดกล้ากระตุกหนวดเสือ เขาไม่กลัวหรือว่าหากข้ารู้แล้ว ในรัฐอู่จะไม่มีที่ให้เขาอยู่ พี่วางใจเถิด ไม่มีใครกล้าทำเยี่ยงนี้หรอก”


 


 


เมิ่งอี้เข้าใจในทันที เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูก ในบ้านเมืองที่ปกครองด้วยฮ่องเต้นี้ ถ้าหากผู้ใดใกล้ชิดกับตำหนักอ๋องฉีต้นไม้ใหญ่ต้นนี้นั้นถือว่าเป็นบุญวาสนาที่สั่งสมมานานหลายชาติ ไม่มีใครกล้าเกิดความคิดที่ไม่ควรมีแน่นอน


 


 


คิดถึงตรงนี้ เมิ่งอี้ก็หัวเราะออกมา “ข้าโง่เขลาเอง คิดถึงแต่เรื่องเงินทอง ไม่ได้คิดถึงฐานะของเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา “แต่ว่างานก่อนที่จะเปิดร้านก็ยังต้องให้พี่ไปทำอยู่ ถ้าเยี่ยงนี้ ก็จะมีช่วงเวลายาวเลยที่พี่จะไม่ได้อยู่จวน ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้จะโกรธข้าหรือไม่”


 


 


เมิ่งอี้หน้าแดงขึ้นมาทันที ไม่พูดตอบ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ข้างๆ ไอออกมาเบาๆ หนึ่งที เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแล้วยิ้มออกมา จึงเปลี่ยนเรื่องทันที “พี่เมิ่งอี้ พวกเรามาคุยเรื่องเปิดสาขากันต่อเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งอี้กล่าวว่า “ผู้จัดการของร้านบะหมี่มันฝรั่งเมื่อครั้งก่อนได้ให้ที่อยู่ไว้กับเราทุกคน พวกเราไปติดต่อพวกเขาก่อน มีพวกเขาอยู่ พวกเราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ครั้งนั้นที่เราให้เงินเดือนกับพวกเขาเกินไปคนละหนึ่งปี เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันนี้ หลังจากพี่กลับไป เอาที่อยู่ของพวกเขามา ข้าจะให้คนไปเชิญ แน่นอนว่าหากใครไม่ยินยอมเราก็ไม่บังคับ”


 


 


คนที่ไม่ยินยอมคือคนที่สมองขึ้นสนิมไปแล้ว เมิ่งอี้คิดในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา กล่าวว่า “ส่วนที่เหลือ เรา…”


 


 


“ที่เหลือข้าก็คิดไว้แล้ว พรุ่งนี้เขียนประกาศ กระจายออกไปทุกตำบลทุกอำเภอ เขียนเงื่อนไขของเราให้ชัดเจน ใครที่มาสมัคร ให้มาสมัครที่เมืองหลวง ให้ทันหลังจากเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง ร้านของเราก็สามารถเปิดได้ทันที”


 


 


วันที่สอง องครักษ์ลับหลายร้อยคนก็นำใบประกาศที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนเขียนขึ้นมาไปทั่วทุกที่ในประเทศ ในใบประกาศนอกจากจะเขียนตั๋วเงินที่ผู้จัดการร้านทุกคนจะได้รับต่อปีอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีเงินปันผลที่จะได้รับในแต่ละสัดส่วนไม่เหมือนกัน ตามยอดขายที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่ายอดขายในร้านมากเท่าไหร่ เงินปันผลก็ยิ่งมากขึ้น ถ้าหากใครยอมรับได้ หลังจากครึ่งเดือนนี้สามารถมาสัมภาษณ์ได้ที่เมืองหลวง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่า ทันทีที่ใบประกาศนี้ออกมา ผู้จัดการทั่วประเทศที่มีประสบการณ์ทุกคน ต่างลาออกจากงานที่ตนทำอยู่ นั่งรถม้ามาเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว กลัวว่าหากตัวเองไปถึงช้า จะไม่มีที่เหลือให้ตัวเอง หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เต็มทุกที่ห้องว่างโรงเตี๊ยมในเมือง ทำให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมต่างดีใจกันใหญ่


 


 


ครึ่งเดือนผ่านไป หน้าประตูที่ว่าการเมือง เปาชิงเหอนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเอง นำทหารลาดตระเวน หวงฝู่อี้เซวียนและองครักษ์ลับทั้งหลายดูแลอยู่ข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่กับเมิ่งอี้และเมิ่งฉี รับสมัครทุกคนอย่างเปิดเผย


 


 


นอกจากครั้งก่อนที่รับสมัครผู้ยากไร้ให้มาปรับสภาพหน้าดินที่เป่ยเฉิงแล้ว เป็นอีกครั้งที่หน้าประตูที่ว่าการของเป่ยเฉิงเกิดเหตุการณ์คนมาต่อแถวเป็นพันคน แม้แต่เปาอีฝานเห็นแล้วยังประหลาดใจ คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ใครก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาสมัครเยอะเพียงนี้


 


 


นี่ก็เกินความคาดหมายของเมิ่งเชี่ยนโยวจริงๆ แต่ว่า คนเยอะก็ดี ทางเลือกจะได้เพิ่มมากขึ้น


 


 


ผู้จัดการพวกนี้ แน่นอนว่าต้องรู้จักมารยาทมากกว่าคนยากไร้พวกนั้น แม้ว่าจะร้อนใจ ก็ยังคงเข้าแถวตามลำดับใครมาก่อนมาหลังอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อรอสมัคร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่ด้านหลังลุกขึ้นมา


 


 


หน้าประตูที่ว่าการเมืองที่กว้างขวาง แถวขบวนหลายแถวที่ต่อแถวอยู่เงียบลงทันที ทุกคนต่างมองนางด้วยความตื่นเต้นและรอคอย


 


 


น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวชัดเจน ลากยาว “ขอบคุณทุกท่านมากที่ลำบากมาสมัครถึงเมืองหลวง ก่อนอื่น ข้าขอพูดอย่างชัดเจนว่า ทุกคนที่มาในวันนี้ ถ้าหากได้งานแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไร แต่ถ้าหากไม่ได้งาน เดี๋ยวให้ท่านไปรับตั๋วเงินสิบตำลึงได้ที่ฝั่งโน้น ถือว่าข้าชดเชยให้กับทุกท่านที่เสียเวลาเสียตั๋วเงินในช่วงนี้”


 


 


ทันทีที่นางพูดจบ ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสียงดังในกลุ่มผู้คน ซื่อจื่อเฟยทุ่มเงินก้อนใหญ่มาก คนที่ไม่ได้งานยังให้ตั้งสิบตำลึง ถ้าหากได้เป็นผู้จัดการของร้านบะหมี่มันฝรั่งจริงๆ ทั้งปีจะได้เงินเท่าไรกัน ทันใดนั้น ความคิดที่อยากเป็นผู้จัดการร้านบะหมี่มันฝรั่งของทุกคนยิ่งรุนแรงมากขึ้น คิดไว้แล้วว่าเดี๋ยวจะแสดงความสามารถของตัวเองออกมาให้หมด อย่างไรก็ตามต้องได้ตำแหน่งผู้จัดการร้านมาให้ได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวต่อว่า “ในส่วนของเงินค่าทำงานและเงินปันผลของผู้จัดการทุกคนนั้น เชื่อว่าทุกท่านน่าจะได้เห็นจากประกาศของทุกที่แล้ว สถานที่ต่างกัน เงินปันผลก็ต่างกัน แน่นอนว่ายอดขายของแต่ละปีก็ไม่เท่ากัน คิดว่าทุกคนคงไม่มีความคิดเห็นใดๆ กับเรื่องนี้”


 


 


“ไม่มีขอรับ” มีเสียงตะโกนออกมาจากกลุ่มผู้คน คนอื่นๆ ต่างก็เห็นด้วย


 


 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า “ดี ถ้าเยี่ยงนั้น การรับสมัครจะเริ่มทันที หวังว่าผู้จัดการทุกท่านจะบอกข้อดีของทุกคนออกมาให้หมด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการคัดเลือกตำแหน่งผู้จัดการร้าน”


 


 


คนเกือบพันคนตอบรับ เสียงก้องดังเป็นเวลานาน


 


 


ผู้จัดการแต่ละคนค่อยๆ ขยับขึ้นมาทีละคน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เริ่มรับสมัคร เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเดินมาข้างหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มเอาใจเขาหนึ่งที เพราะสองสามวันนี้เตรียมเรื่องเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่ง หวงฝู่อี้เซวียนไม่พอใจนางมาสักพักแล้ว วันนี้ก็เป็นเพราะนางขอร้องแทบเป็นแทบตายเขาจึงให้นางมา แม้ว่าจะยอมนาง แต่ก็ไม่วางใจ มองดูผู้คนมากมา สีหน้าก็ไม่เคยดีขึ้นเลย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาเป็นห่วง ก็ซาบซึ้งใจมาก กล่าวอย่างเอาใจว่า “ไม่มีเรื่องของข้าแล้ว เจ้าไปดูโรงงานเป็นเพื่อนข้าหน่อย”


 


 


สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนจึงค่อยๆ อ่อนลง ส่งสัญญาณให้โจวอัน แล้วจึงไปโรงงานเป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


โจวอันรับคำสั่ง จึงทำสัญญาณมือออกมา ให้องครักษ์ลับทั้งหลายอยู่ดูแลต่อ ป้องกันการเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ส่วนตนและองครักษ์ลับอีกสามคนเดินตามหลังทั้งสองอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล


 


 


ผู้จัดการอันรอคอยให้เมิ่งเชี่ยนโยวมานานแล้ว ยืนมองไปข้างนอกไกลๆ อยู่ที่หน้าประตูโรงงานไม่หยุด เห็นทั้งสองมาแต่ไกล ก็รีบวิ่งออกไปต้อนรับทันที “ซื่อจื่อ นายหญิง มาแล้วหรือขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว พี่รองยังต้องยุ่งอีกหลายวัน ช่วงนี้เรื่องในโรงงานต้องรบกวนให้ผู้จัดการอันดูแลแล้ว”


 


 


“นี่เป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้วขอรับ นายหญิงพูดเยี่ยงนี้บ่าวรับไม่ไหวจริงๆ ขอรับ” ผู้จัดการอันรีบตอบกลับไป


 


 


รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไป กล่าวว่า “ผู้จัดการอัน ข้าเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่า อยู่ต่อหน้าข้าอย่าแทนตัวเองว่าบ่าว”


 


 


ผู้จัดการอันหยุดชะงักไป กล่าวถามว่า “บ่าวพูดเยี่ยงนี้ไม่เหมาะสมหรือขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บสีหน้า แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าข้าเคยหรือไม่เคยพูดกับเจ้า วันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าพูด เจ้าจงจำไว้ ไม่ว่าเมื่อก่อนเจ้าจะแทนตัวเองอย่างไรตอนที่อยู่ในจวนของท่านเปา แต่ต่อไปอยู่ต่อหน้าข้าห้ามแทนตัวเองว่าบ่าว ข้าฟังไม่ชินหู”


 


 


ผู้จัดการอันมองนางด้วยความตกใจ ปากสั่น มึนงงพูดอะไรไม่ออก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่งสายตาไป ผู้จัดการอันก็รู้สึกตัวทันที ตื่นเต้นจนพูดสะเปะสะปะว่า “นายหญิง…นี่…บ่าว…บ่า…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พอแล้ว มีอะไรเราเข้าไปคุยในโรงงานเถิด”


 


 


ผู้จัดการอันแม้แต่เสียงตอบรับยังเอ่ยไม่ออก รีบก้มหัวทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยวหนึ่งที หลีกทาง แล้วทำท่าเชิญด้วยความตื่นเต้น


 


 


รู้จักกันมาเป็นเวลานานเยี่ยงนี้ เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าปีติยินดีที่แสดงออกมาเต็มที่บนใบหน้าของผู้จัดการอัน จึงยิ้มแล้วส่ายหัว เดินเข้าไปในโรงงานพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


ผู้จัดการอันเดินตามหลัง หลังจากเข้าไปในห้องพักผ่อนชั่วคราว ก็รีบชงชา เทชาให้หวงฝู่อี้เซวียน แล้วก็เตรียมน้ำเปล่าให้เมิ่งเชี่ยนโยว แล้ววางข้างๆ นาง เสร็จแล้วก็ยืนรออยู่ข้างๆ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่จางหายไปเลย


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง ก็ผ่อนคลายตัวลง พิงลงบนเก้าอี้อย่างสบาย ยิ้มแล้วมองไปทางผู้จัดการอัน


 


 


สีหน้าของผู้จัดการอันแดงก่ำยิ่งขึ้น “ข้าทำตัวเปิ่นๆ ให้นายหญิงหัวเราะแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา “ผู้จัดการอันทนรอไม่ไหวต้องออกไปต้อนรับพวกข้าข้างนอก มีเหตุด่วนอันใดหรือไม่”


 


 


สีหน้าของผู้จัดการอันยิ่งแดงเถือกขึ้นไปอีก แอบมองหวงฝู่อี้เซวียน เห็นเขายกแก้วชาขึ้นดื่ม เหมือนไม่ค่อยแปลกใจในเรื่องของเขาเท่าไหร่ ก็โล่งอกไปที แต่ก็ยังคงตอบกลับด้วยความรู้สึกเกรงใจว่า “ช่วงก่อนหน้านี้ นายหญิงให้คนส่งข่าวมงคลแก่ข้า บอกว่าแม่นางท่านนั้นตกลงหมั้นหมายกับข้าแล้ว ข้าก็กลับไปที่จวนของท่านเปา เพื่อไปถามฮูหยินเปาว่าตอนสู่ขอควรเตรียมของอะไรบ้างจึงจะเหมาะสม ฮูหยินเปาบอกข้าว่า ต้องดูว่าหญิงสาวคนนั้นมีฐานะอะไร จึงจะตัดสินได้ ฉะนั้น…ข้าเลยอยาก…”


 


 


“เจ้าอยากรู้ว่าหญิงสาวคนนั้นคือผู้ใด” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม


 


 


ผู้จัดการอันรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว “มิใช่ขอรับ มิใช่ขอรับ ข้าไม่ได้อยากรู้ว่าหญิงสาวท่านนั้นคือผู้ใด ข้าแค่อยากรู้ว่านางเป็นลูกสาวบ้านใด จะได้เตรียมของหมั้นหมายที่เหมาะสมขอรับ”


 


 


“เป็นลูกสาวของเหวินเปียว เหวินเหลียน” เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขาตรงๆ


 


 


ผู้จัดการอันหยุดชะงักไปสักพัก หลายปีแล้ว ฐานะของเหวินเปียวเขาก็รู้พอสมควร จริงๆ แล้วเป็นคุณชายเจ้าของสำนักคุ้มภัยที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง สุดท้ายถูกคนใส่ร้าย ทั้งครอบครัวจึงตกมาเป็นสภาพแบบนี้ ฉะนั้นลูกสาวของเขาควรเป็นคุณหนู ฐานะของตัวเองตอนนี้จะไปเหมาะสมกับนางได้อย่างไร


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบก็สังเกตสีหน้าของเขาตลอดเวลา เห็นเขาไม่เพียงแต่ไม่ดีใจ สีหน้ากลับเศร้าหมอง ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “เป็นเยี่ยงไร หรือว่าผู้จัดการอันรู้สึกว่าเหวินเหลียนไม่เหมาะสมกับเจ้า”


 


 


สีหน้าดีใจของผู้จัดการอันได้หายไปจนหมดสิ้น ยิ้มขมขื่นแล้วกล่าวว่า “นายหญิง ท่านอย่างแกล้งข้าเลย ฐานะอย่างข้า กลัวว่าแม้แต่ยกรองเท้าให้คุณหนูเหวินเหลียนยังไม่เหมาะเลยขอรับ หมั้นหมายกับนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้จัดการอันหมายความว่าเยี่ยงไร คือไม่ตกลงกับการหมั้นหมายครั้งนี้หรือ”


 


 


น้ำเสียงของผู้จัดการอันยิ่งขมขื่นมากขึ้น “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ตกลง แต่ข้าเอื้อมไม่ถึงขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เอ่ยอะไรอีก เพ่งมองเขา สำรวจเป็นเวลานาน จึงกล่าวว่า “เช่นนั้น หากเจ้ามีความคิดเยี่ยงนี้ ข้าก็ไม่บังคับ เดี๋ยวข้าให้คนส่งจดหมายให้เหวินเปียว บอกความคิดของเจ้ากับเขา แต่ช่างน่าเสียดาย ข้าคิดว่าเจ้ากับเหวินเหลียนเป็นคู่สร้างคู่สมกันเสียอีก ดูแล้ว ข้าคิดมากไปเอง”


 


 


 


 


ผู้จัดการอันกัดปากตัวเอง กล่าวถามด้วยความไม่มั่นใจว่า “นายหญิงคิดว่าพวกข้าเหมาะสมกันหรือ”


 


 


“เหวินเหลียนติดตามข้ามาหกเจ็ดปี เป็นหญิงสาวที่ดี เป็นคนขยันทำงาน ต่อไปต้องเป็นคนที่ดูแลบ้านได้ดี ส่วนเจ้า ทำงานดี ทำงานรอบคอบ เป็นคนคิดละเอียดอ่อน หลายปีมานี้ทำงานดูแลโรงงานให้ข้าโดยที่ไม่มีข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นข้าจึงคิดว่าพวกเจ้าเป็นคู่สร้างคู่สมกัน แต่ไม่คิดว่าเจ้ามีความคิดเยี่ยงนี้ ถ้าเป็นเยี่ยงนี้คงไม่ได้จริงๆ ถ้าหากเจ้าหมั้นหมายกับเหวินเหลียนทั้งที่มีความคิดเยี่ยงนี้ รอจนหลังจากที่พวกเจ้าแต่งงานกัน เหวินเหลียนต้องโทษข้าเป็นแน่ ยกเลิกงานหมั้นของพวกเจ้าเถิด เดี๋ยวข้าค่อยหาคนที่เหมาะสมให้นางใหม่ อย่างไรคนงานของข้าก็มีเป็นพัน ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเจ้า”


 


 


ผู้จัดการอันอ้าปาก อยากเอ่ยอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ ยกน้ำเปล่าที่ไม่ร้อนและไม่เย็นขึ้นมา ค่อยๆ ดื่ม ฉวยโอกาสตอนที่ผู้จัดการอันไม่สังเกต ยิ้มมุมปากแล้วส่งสายตาให้หวงฝู่อี้เซวียนอย่างยียวน


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัวไปมาแล้วหัวเราะออกมา


 


 


ผ่านไปสักพักใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำในแก้วจนหมด เตรียมเอ่ยอะไรออกมา ผู้จัดการอันกลับ ตึกตัก คุกเข่าลงต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิง ข้าโง่เขลาเอง ข้าจะออกไปซื้อของหมั้นหมาย แล้วไปสู่ขอด้วยตัวเองทันที”


 


 


ค่อยๆ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเบาๆ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “เจ้าคิดดีแล้วหรือ นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเจ้าสองคน บังคับใจกันไม่ได้”


 


 


ผู้จัดการอันรีบกล่าวว่า “ข้าไม่ฝืนใจ ข้ากลัวคุณหนูเหวินเหลียนฝืนใจ ขอแค่คุณหนูเหวินเหลียนตกลง ข้าอย่างไงก็ได้ขอรับ”


 


 


“ถ้าเยี่ยงนั้น เจ้ารอก่อน ข้ากลับไปที่จวนแล้วจะให้คนไปยืนยันอีกครั้ง”


 


 


ผู้จัดการอันผงกศีรษะหงึกๆ ด้วยความดีใจ “ขอบพระคุณขอรับนายหญิง



 

 

 


ตอนที่ 308 วันสุดท้ายของเดือนที่สาม

 

ผู้จัดการอันนำเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินดูทุกๆ โรงงานหนึ่งรอบ เห็นว่าทุกที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดี ก็พยักหน้าอย่างพอใจ


 


 


โจวอันเข้ามารายงานว่า “นายหญิง พ่อบ้านของจวนเปามาขอรับ บอกว่าได้รับคำสั่งจากฮูหยิ ให้มาเชิญนายหญิงไปทานข้าวที่จวนขอรับ”


 


 


เป็นเวลาเกือบปีกว่าแล้วที่ไม่ได้ไปจวนเปา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตั้งใจจะไปเยี่ยม จึงกล่าวว่า “บอกพ่อบ้านว่า พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้”


 


 


โจวอันรับคำสั่ง จึงออกไปข้างนอกแล้วบอกกับพ่อบ้าน พ่อบ้านยิ้มอย่างดีใจแล้วรีบกลับจวนเปาอย่างรวดเร็ว เพื่อบอกข่าวดีนี้ให้กับฮูหยินเปาและซุนฮุ่ย


 


 


ไม่นานเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตามออกมา ไม่ได้นั่งรถม้า แต่พากันเดินไป


 


 


ผู้จัดการอันส่งทั้งสองและมองจนทั้งสองเดินออกไปไกลแล้ว จึงหันหลังกลับ เดินกลับเข้าไปในโรงงานด้วยความดีใจ


 


 


ฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยได้ยินคำรายงานของพ่อบ้าน ก็รีบออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ เห็นทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตูจวนเปาพอดี ซุนฮุ่ยรีบเร่งฝีเท้า เดินมาถึงข้างหน้าทั้งสอง ย่อตัวทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนก่อน หลังจากนั้นก็ควงแขนเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสนิทสนมเหมือนเคย กล่าวอย่างตำหนิว่า “หากวันนี้ไม่ให้คนไปเชิญเจ้ามา เจ้าก็ไม่มาใช่หรือไม่”


 


 


“ข้าตั้งใจจะมาอยู่แล้ว แม้แต่ของขวัญที่จะให้มั่วเอ๋อร์ก็เตรียมไว้แล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วอธิบาย


 


 


ซุนฮุ่ยก็ยิ้มออกมาทันที “ก็ยังดี ข้าบอกเจ้า อย่าคิดว่าตอนนี้ฐานะของเจ้าจะเปลี่ยนไปแล้ว พวกข้าจะปฎิบัติกับเจ้าแบบพิเศษ ในใจข้า เจ้าก็ยังคงเป็นน้องโยวเอ๋อร์ที่คนรักใคร่เอ็นดูคนนั้นอยู่ดี”


 


 


ทั้งสองเดินมาถึงข้างหน้าฮูหยินเปา ฮูหยินเปาจะทำความเคารพเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ถูกนางห้ามไว้ “ท่านป้า ท่านไม่ได้ยินคำพูดที่ลูกสะใภ้ท่านเอ่ยหรือเจ้าคะ หากท่านทำความเคารพข้าจริงๆ ข้าคิดว่านางจะต้องเอาไม้ไล่ตีข้าไกลสามลี้แน่ๆ”


 


 


ทุกคนหัวเราะออกมา


 


 


ใบหน้าของซุนฮุ่ยแดงเล็กน้อย เขม่นมองนางหนึ่งที “ข้าไม่ได้เป็นแม่เสืออย่างที่เจ้าเอ่ยเยี่ยงนั้น มากสุดก็หนึ่งลี้”


 


 


ทุกคนหัวเราะออกมาอีกครั้ง


 


 


ฮูหยินเปาสั่งสาวใช้ข้างๆ ว่า “ไปเรียกคุณชายกลับมา”


 


 


สาวใช้วิ่งออกไปช้าๆ


 


 


ฮูหยินเปาเชิญหวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปในจวนด้วยความเคารพ ส่วนซุนฮุ่ยกลับควงแขนเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง


 


 


“เหตุใดจึงไม่เห็นมั่วเอ๋อร์ออกมาต้อนรับ” เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปด้วยถามไปด้วย


 


 


“เขาไปโรงเรียน สักพักจึงจะกลับมา”


 


 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า “ถึงอายุที่ควรเรียนรู้แล้วจริงๆ ไปโรงเรียนเร็วหน่อยก็ดี”


 


 


ซุนฮุ่ยจูงมือเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่ห้องของตัวเอง


 


 


ส่วนฮูหยินเปายิ้มแล้วเชิญหวงฝู่อี้เซวียนไปที่ห้องโถง หลังจากสั่งให้คนยกน้ำชามา ก็รอประมาณเวลาหนึ่งก้านธูป เปาอีฝานก็กลับมา ฮูหยินเปายิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ให้ทั้งสองได้คุยกัน ส่วนตนไปที่ห้องครัว เตรียมอาหารมื้อกลางวัน


 


 


ซุนฮุ่ยถามเมิ่งเชี่ยนโยวเรื่องที่หายไปนานหลายเดือนโดยที่ไม่บอกกล่าวนั้นไปที่ใด ไปทำอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบนางทุกคำถาม


 


 


ซุนฮุ่ยได้ยินว่านางตั้งแผงขายลูกชิ้นปลา ตาเริ่มแดงก่ำทันที ตีนางหนึ่งทีด้วยความโมโห “มีเรื่องอะไรที่พูดกันดีๆ ไม่ได้ จนต้องหนีออกจากบ้านไป เจ้ารู้หรือไม่ ว่าหลายเดือนนั้นข้าเป็นห่วงมากเพียงใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวซาบซึ้งใจ แต่สีหน้ากลับยิ้มแล้วกล่าวว่า “ความสามารถของข้าพี่ซุนยังไม่รู้อีกหรือ ไม่ว่าอยู่ที่ใดข้าก็อยู่รอดแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


น้ำตาของซุนฮุ่ยไหลลงมา “แต่เจ้าตัวคนเดียวโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ถ้าหากป่วยขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร แค่คิดข้าก็ปวดใจแล้ว”


 


 


สิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวที่สุดคือปลอบใจผู้อื่น เห็นท่าทางนางเยี่ยงนี้ จึงรีบกล่าวว่า “พี่สาวคนดี ดูสิตอนนี้ข้าก็ยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ เจ้าอย่าเป็นเยี่ยงนี้ หากเจ้าเป็นเยี่ยงนี้ ข้าก็จะร้องไห้ตามเจ้าจริงๆ ด้วย”


 


 


ซุนฮุ่ยหลุดหัวเราะออกมาเพราะนาง ตีนางอีกครั้งหนึ่งที ยิ้มแล้วแกล้งถามนางว่า “เจ้าเนี่ย ทำให้ผู้อื่นเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่าซื่อจื่อทนเจ้าได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ “ก็เพราะว่าในท้องของข้ามีลูกของเขาสองคนน่ะสิ”


 


 


ซุนฮุ่ยหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง


 


 


ไม่นานมั่วเอ๋อร์ก็กลับมาจากโรงเรียน ได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่จวน ก็วิ่งเข้ามาอย่างดีใจ พอเข้ามาจากประตูก็โถมตัวเข้ามาทันที ซุนฮุ่ยตกใจมาก รีบบังตัวเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ทันที “ท่านอาโยวเอ๋อร์ของเจ้าตั้งท้องอยู่ เจ้าอย่าชนนางเป็นอันขาด”


 


 


มั่วเอ๋อร์มองตาโตไปทางท่านแม่ของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ กล่าวถามด้วยน้ำเสียงของเด็กว่า “ตั้งท้องคือสิ่งใดขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วดันซุนฮุ่ยออก ชี้ไปที่ท้องแล้วตอบกลับไปว่า “ตั้งท้องก็คือในท้องของท่านอาโยวเอ๋อร์มีน้องเล็กสองคน”


 


 


มั่วเอ๋อร์จ้องมองท้องของนางด้วยความแปลกใจ แล้วกล่าวถามด้วยความตื่นเต้นว่า “มีน้องเล็กสองคน แล้วมีน้องสาวหรือไม่ขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาเพราะความไร้เดียงสาของเขา จึงดึงเขาเข้ามาใกล้ๆ อ้อมกอดของนาง ยิ้มแล้วกล่าวตอบไปว่า “อันนี้ อาก็ไม่รู้จริงๆ”


 


 


มั่วเอ๋อร์ออกห่างจากท้องของนางอย่างเชื่อฟัง เงยหน้าแล้วกล่าวถามด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าหากมีน้องสาว ท่านอาให้ข้าเลี้ยงเถิด ข้าจะเลี้ยงนางให้สวยงามแน่นอน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนฮุ่ยหัวเราะออกมาพร้อมกัน


 


 


มั่วเอ๋อร์กรพริบตาปริบๆ มองทั้งสองด้วยความสงสัย


 


 


ซุนฮุ่ยหัวเราะจนน้ำตาแทบไหลออกมา “มั่วเอ๋อร์ แม้ว่าท่านอาโยวเอ๋อร์ของเจ้าจะคลอดน้องสาวตัวเล็กๆ ออกมา ก็ไม่ถึงตาเจ้าเลี้ยงหรอก ท่านอาเขยซื่อจื่อของเจ้ายังรู้สึกน้อยไปด้วยซ้ำ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วสั่งชิงหลวนให้เอาของขวัญที่เตรียมไว้ให้มั่วเอ๋อร์ออกมา


 


 


เด็กเล็กลืมเรื่องเลี้ยงน้องสาวทันที ถือของแล้วไปด้วยความดีใจทันที


 


 


อาหารในห้องครัวเตรียมเกือบเสร็จแล้ว ฮูหยินเปาสั่งให้คนไปเรียกนายท่านเปากลับมาทานอาหารที่จวน นายท่านเปาก็เชิญเมิ่งฉีและเมิ่งอี้มา


 


 


ฝั่งนี้ ฮูหยินเปารู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและซุนฮุ่ยมีเรื่องให้คุยมากมาย จึงสั่งให้คนยกอาหารมาที่ห้องซุนฮุ่ยอย่างใส่ใจ หลังจากเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้วก็มาฝั่งนี้


 


 


ส่วนนายท่านเปาและเปาอีฝานก็ทานอาหารเป็นเพื่อนหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งอี้และเมิ่งฉีที่ห้องโถง


 


 


ทุกคนมีเรื่องคุยกันไม่หยุด เต็มไปด้วยเรื่องราวของการรับสมัครในวันนี้ นายท่านเปาและเปาอีฝานนั่งบัญชาการอยู่ที่รับสมัครจึงจำผู้จัดการที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้ไม่น้อย ทุกคนจึงพูดคุยสนทนากันอย่างเมามัน ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกลับนั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ


 


 


หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็พักผ่อนประมาณเวลาหนึ่งก้านธูป นายท่านเปา เมิ่งฉีและเมิ่งอี้ก็กลับไปที่หน้าประตูที่ว่าการ เพื่อรับสมัครต่อ ส่วนเปาอีฝานอยู่เป็นเพื่อนหวงฝู่อี้เซวียนต่อ


 


 


ฮูหยินเปามีเวลาว่างแล้ว จึงกล่าวถามเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวตอบตามความจริง


 


 


ฮูหยินเปาก็ปวดใจทันที แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากมาย กล่าวเพียงแค่ว่า “ต่อไปอย่าทำเรื่องแบบนี้อีก ทุกคนเป็นห่วงเจ้ามาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก แล้วกล่าวต่อว่า “ช่วงก่อน ข้าเคยถามคุณชายเปา ว่าจะช่วยข้าหรือไม่ เขาบอกว่าคิดดูก่อนช่วงหนึ่งและจะให้คำตอบกับข้า ตอนนี้คิดเยี่ยงไรบ้าง”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของซุนฮุ่ยหายไป กัดปากไม่พูดจา


 


 


ฮูหยินเปาถอนหายใจแรงๆ หนึ่งครั้ง “เขากลับมาบอกกับพวกข้าแล้ว พวกข้าก็หวังให้เขาอยู่ช่วยเจ้า เยี่ยงนี้พวกข้าก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะต้องกรีธาทัพออกรบวันใด แต่หลายปีมานี้เขาได้รับผลกระทบจากท่านแม่ทัพจู มุ่งมั่นอยากจะเป็นทหารเหมือนกับท่านแม่ทัพจู หากพวกข้ายังขัดขวางเขาต่อ ข้ากลัวว่าต่อไปเขาจะโทษโกรธพวกข้าได้ ฉะนั้น…”


 


 


“ไปค่ายทหารก็ดี หลายปีนี้ประเทศสงบประชาร่มเย็น ทหารไม่น่าจะต้องกรีธาทัพออกรบเร็วๆ นี้ ถ้าหากนี้เป็นความปรารถนาของคุณชายเปา ก็ให้เขาไปเถิด ยังดีที่ค่ายทหารใกล้จวน เขาสามารถกลับจวนได้ตลอดเวลา”


 


 


ฮูหยินเปาก็จนใจ ถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง “แล้วแต่เขาเถิด พวกข้าก็ปล่อยวางแล้ว แล้วแต่โชคชะตาชีวิตของแต่ละคน หากต้องกรีธาทัพออกรบจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่พวกข้าขัดขวางไม่ได้”


 


 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเปาอีฝานก็ได้คุยกันถึงเรื่องนี้ เปาอีฝานไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็บอกอย่างปิดบัง แต่หวงฝู่อี้เซวียนที่ฉลาดจะไม่เข้าใจได้เยี่ยงไร จึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก


 


 


กินเสร็จ ดื่มเสร็จ พักผ่อนเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนก็มองท้องฟ้า แม้ว่าจะเลยเวลาเที่ยงไปไม่นาน แต่ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเหนื่อยง่ายมาก ควรพานางกลับจวนแล้ว จึงกล่าวว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว พวกข้าควรกลับจวนแล้ว”


 


 


มองดูพระอาทิตย์ข้างนอก เปาอีฝานก็หยุดชะงักไป ไม่นานก็เข้าใจทันทีว่า เวลาไม่เช้าแล้วนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่กลับจวนต่างหากที่เป็นเรื่องจริง ยิ้มแล้วให้คนไปบอกเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


กว่าจะทำให้หวงฝู่อี้เซวียนยอมให้ตัวเองออกมานั้นต้องพูดคำดีๆ มากมาย แถมยังถวายริมฝีปากของตนให้เขาแนบจนพอใจ ถ้าหากไม่กลับเร็วตามที่เขาพูด กลัวว่าต่อไปไม่ว่าใช้วิธีไหนเขาก็ไม่ยอมให้ออกมาอีก ได้ยินคำพูดของบ่าวรับใช้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “ข้ากลับก่อน วันไหนมีเวลาข้าจะมาเยี่ยมพวกเจ้าอีก”


 


 


ซุนฮุ่ยอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย ฮูหยินเปายิ้มแล้วกำชับว่า “ท้องของเจ้ายิ่งอยู่ยิ่งโต ยิ่งเป็นฝาแฝดด้วย ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าทำงานหนัก”


 


 


“ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านป้า ข้าจะเชื่อฟังท่าน ตั้งแต่วันนี้ข้าจะไม่ทำอะไรอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบกลับ


 


 


ทั้งสามเดินออกจากลานมาถึงหน้าประตูใหญ่ หวงฝู่อี้เซวียนและเปาอีฝานรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว


 


 


ลาทั้งสามแล้ว นั่งรถม้ากลับ เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งว่า “โจวอัน เรากลับหนานเฉิงก่อน”


 


 


น้ำเสียงไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นมา “วันนี้ไม่ไปที่ใดอีก กลับพักผ่อนที่จวน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น มองเห็นสีหน้าที่ไม่ดีของเขา จึงกลืนคำพูดที่จะไปให้ได้ของตนลงไป คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟัง ตลอดทางกลับจวน


 


 


วันนี้เมิ่งซื่อไม่ได้มา เด็กเล็กๆ ทั้งหลายก็ไม่ได้มา ในจวนเงียบเหงาไปไม่น้อย ทั้งสองตรงเข้าไปพักผ่อนในห้องของตนทันที


 


 


ช่วงนี้เหวินเปียวร้อนใจอย่างมาก ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใด แต่เป็นเพราะครอบครัวทั้งสี่คนของตนว่างสบายทุกวัน ไม่มีอะไรทำ ในฐานะบ่าวรับใช้ นี่เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ แม้ว่าเจ้านายจะไม่ว่าอะไร แต่ในใจของเขาก็รู้สึกผิดต่อเจ้านาย ไปขอร้องให้เมิ่งฉีหางานให้พวกเขาทำหลายครั้ง เมิ่งฉีรู้เรื่องที่เหวินซงและเหวินเหลียนจะหมั้นหมาย จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าเนี้ย วางใจเถิด ไปเตรียมสิ่งของ เหวินซงและเหวินเหลียนอายุไม่น้อยแล้ว คิดว่าโยวเอ๋อร์น่าจะให้พวกเขาแต่งงานเร็วๆ นี้ เจ้าไปเตรียมของให้พร้อมเถิด”


 


 


หลายวันผ่านไป ของที่ควรซื้อก็ซื้อแล้ว เจ้านายก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น เหวินเปียวเริ่มทนไม่ไหว อยากจะไปถามที่จวน แต่ก็ถูกภรรยาของตนห้ามไว้ “ถึงเวลานายหญิงก็จะให้คนมาแจ้งพวกเราเอง เจ้าอย่าไปรบกวนเลย”


 


 


“แต่จะให้พวกข้าทั้งสี่ว่างสบายเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่ เจ้าดูสิมีคนงานจวนใดที่ว่างเหมือนบ่าวรับใช้ของเจ้าบ้าง”


 


 


ครอบครัวเหวินเปียวเงียบไปสักพัก กล่าวว่า “ข้าไปถามนายหญิง ว่ามีงานเย็บปักถักร้อยอะไรให้พวกข้าทำหรือไม่ เจ้าพาซงเอ๋อร์ไปช่วยงานที่นอกเมืองเถิด”


 


 


เรื่องรับสมัครยากลำบากกว่าที่คิดเยอะ เพราะว่าคนเยอะเกินไป เมิ่งฉีและเมิ่งอี้ใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆ จึงจะรับสมัครหมด เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด มีใจแต่ไม่มีแรง ร้อนในในปาก เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทั้งสองที่มาส่งสมุดรายชื่อ ก็ตกใจอย่างมาก “พี่รอง พี่เมิ่งอี้ พวกพี่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


“ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากยังมีอีกหนึ่งวัน พวกข้าต้องตายแน่ๆ” แม้ว่าจะเหนื่อยล้ามากเพียงใด แต่เมิ่งฉีก็ยังอารมณ์ดีพูดเล่น


 


 


สั่งให้คนยกน้ำชามาให้ทั้งสอง ให้พวกเขานั่งลงพักผ่อนก่อน


 


 


เมิ่งอี้ชี้ไปที่สมุดรายชื่อ “ทั้งหมดนี้คือคนที่พวกข้าเลือก เจ้าดูก่อน”


 


 


“ไม่ต้อง พี่กับพี่รองตัดสินใจก็พอแล้ว ต่อไปเรื่องสาขาก็ยกให้พวกพี่เลย ข้าจะไม่ยุ่งอีกเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งยี่พยักหน้า “สำหรับคนที่ไม่ได้งาน พวกข้าให้ทุกคนคนละสิบตำลึงตามที่เจ้าบอก ให้พวกเขากลับไป แต่ว่า ยังมีหลายคนที่ให้วิธีติดต่อไว้ บอกว่าหากคนไม่พอ ค่อยหาพวกเขา พวกข้าเห็นว่าประวัติของพวกเขาก็ดี จึงเก็บไว้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าจะไม่ยุ่งเรื่องเปิดร้านอีก พี่กับพี่รองปรึกษากันเถิด ส่วนผู้จัดการทุกคนที่ได้งาน พวกพี่ต้องฝึกอบรมให้ดี ให้ทันก่อนที่จะเก็บเกี่ยวมันฝรั่งฤดูที่สอง พวกเราจะต้องเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งทั้งหมดให้ได้”


 


 


ทั้งสองเห็นด้วย พักผ่อนสักพัก ก็เดินออกจากจวนด้วยท่าทางเอนไปมา แล้วกลับไปพักผ่อนที่จวนของตัวเอง


 


 


กินอาหารเย็นเสร็จ ก็เหมือนปกติ หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนเดินรอบๆ จวนเป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเวลาสองก้านธูปแล้ว ก็กลับไปที่ห้อง หลังจากล้างตัวเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วนอนลงไปด้านในเตียง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้นอนลง แต่กลับก้มตัวลงไปที่ส่วนบนของเมิ่งเชี่ยนโยว ด้วยสายตาที่เป็นประกายระยิบระยับ ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “โยวเอ๋อร์ รู้หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกระพริบตาปริบๆ แล้วก็กระพริบตาปริบๆ ส่ายหัวไปมา “ไม่รู้”


 


 


รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งกว้างมากขึ้น เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจนตัวสั่นว่า “วันสุดท้ายของเดือนที่สาม”



 

 

 


ตอนที่ 309

 

ในสมองของเมิ่งเชี่ยนโยวมีเสียงดังอื้ออึง นางลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร รวมวันนี้ ตนตั้งท้องได้สามเดือนกว่าแล้ว มิน่าล่ะทำไมช่วงนี้เขาถึงใช้สายตาดั่งสุนัขจิ้งจอกและเสือจ้องตนตลอดเวลา ยัง ‘ใจดี’ ตกลงทุกคำขอของตน ที่แท้ ที่แท้ ที่แท้เขาหวังผลนี้เอง


 


 


หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนพูดจบ ก็สังเกตการเปลี่ยนของสีหน้านางตลอดเวลา เห็นนางไม่พูดจา แต่ร่างกายกลับค่อยๆ ถอยหลังไป รู้ว่านางเข้าใจความหมายของคำพูดตัวเองแล้ว ก็ก้มตัวลงไปทันที ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้นาง เอ่ยข้างๆ หูนางว่า “เจ้าเคยพูดว่า ผ่านสามเดือนไปก็ได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกปากแห้งคอแห้ง ค่อยๆ กลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว ยื่นลิ้นออกมาแตะที่ริมฝีปากเบาๆ “ใช่ข้าเคยพูด แต่…”


 


 


ท่านี้ของนาง ในสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นคือการเชิญชวนแบบไม่ออกเสียง ความต้องการที่อดทนมานานหลายเดือนนั้นควบคุมไม่ได้อีกแล้ว แนบริมฝีปากลงไปอย่างแม่นยำ คำพูดที่เมิ่งเชี่ยนโยวอยากเอ่ยนั้นก็ถูกกลืนลงไปทั้งหมด


 


 


อาจเป็นเพราะฝึกฝนบ่อย ๆ วิธีการจูบของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นพัฒนาขึ้นอย่างมาก จูบของเขาทำให้สายตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มพร่ามัว มีอารมณ์ขึ้นมา ยื่นมือออกมาโอบกอดคอของเขาไว้โดยไม่รู้ตัว ปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเอง แต่ในขณะที่รู้สึกถึงความเย็นบนร่างกาย สติก็ค่อยๆ กลับมา จึงกำชับเขาว่า “ระวังหน่อย ระวังลูกด้วย”


 


 


“ข้ารู้”


 


 


นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยิน หลังจากนั้นก็หลงระเริงกับความต้องการ จนสุดท้ายก็เหนื่อยหมดแรงจนผล็อยหลับลึกไป


 


 


ความต้องการตลอดหลายเดือนได้รับการเติมเต็ม หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกสบายทั้งตัวและจิตใจอย่างมาก ห่มผ้าให้เมิ่งเชี่ยนโยวที่หลับลึกไปแล้ว ส่วนตนลุกขึ้นมาสวมเสื้อ เรียกหวงฝู่อี้ที่อยู่รับใช้ข้างนอกตักน้ำร้อนมาวางไว้หน้าประตู แล้วตนก็ไปยกเข้ามา ค่อยๆ เช็ดหยาดเหงื่อบนตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วค่อยขึ้นเตียงโอบกอดนางแล้วหลับไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลับจนตะวันโด่งฟ้า ทันทีที่ลืมตาขึ้น ใบหน้าที่งดงามของหวงฝู่อี้เซวียนก็ปรากฏต่อหน้านาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ตื่นแล้วหรือ ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แล้วกินอาหารกันเถิด”


 


 


คิดถึงเรื่องเมื่อคืนแล้ว ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงเล็กน้อย


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกว่าเป็นภาพที่สวยงาม ทนไม่ไหวขยับศีรษะเข้าไป จูบลึกซึ้งหนึ่งครั้ง


 


 


หอบกันทันทีหลังจากแยกตัวกัน ไม่ได้เรียกคนเข้ามารับใช้ หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนช่วยนางแต่งตัวด้วยตัวเองแล้ว ก็ไปที่ห้องครัว ยกอาหารที่ตนทำออกมา กินอาหารเช้าเป็นเพื่อนนาง


 


 


แสงแดดกำลังดี ไม่ร้อนไม่หนาว หลังจากกินอาหาร ก็พักผ่อนสักพัก แล้วก็เดินเล่นในจวนหนึ่งรอบ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มหนักขึ้น เริ่มหายใจแรงมากขึ้น เดินแค่รอบเดียว เหงื่อก็ออกที่หน้าผาก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเห็น ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวตลอดเวลาออกมา ค่อยๆ ช่วยนางเช็ดหน้าผาก กล่าวถามอย่างอ่อนโยนว่า “เมื่อคืนทำให้เจ้าเหนื่อยมากไปใช่หรือไม่”


 


 


ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงก่ำทันที มองดูใบหน้าที่ยิ้มหน่อยแกล้งหน่อย แต่เป็นห่วงมากกว่าของเขาแล้ว จึงห่อปากแล้วยื่นออกมาด้วยความโมโห ฉวยโอกาสตอนที่เขาเหม่อลอย ยกขาขึ้นแล้วเหยียบลงไปบนเท้าของเขาแรงๆ หนึ่งที


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเจ็บจนยกเท้านั้นขึ้นมาแล้วกระโดดไปมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอาคืนได้ครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก


 


 


คนใช้ในจวนที่ยุ่งไปมาเห็นภาพนี้ ต่างก็ยิ้มมุมปากกันทุกคน ก้มหัวลงแล้วรีบเดินออกไปไกล


 


 


เห็นนางอารมณ์ดี หวงฝู่อี้เซวียนก็ค่อยๆ วางเท้าลง โอบกอดนาง “กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถิด”


 


 


ทั้งสองกลับไปที่ห้อง ในขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมตัวจะนอนลงไป คำรายงานของชิงหลวนก็ดังขึ้นในลาน “นายหญิง คนในจวนมีคนมาส่งข่าวว่า มีคนมาจากฮูหยินเมิ่ง ให้ท่านกลับไปเพคะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไป กำลังจะตอบกลับ หวงฝู่อี้เซวียนก็สั่งก่อนว่า “เจ้าไปบอกเขา ให้คนที่มาส่งข่าวมาที่จวน”


 


 


ชิงหลวนรับคำสั่ง จึงหันหลังไปส่งข่าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดาว่า “ไม่รู้ว่าผู้ใดมา”


 


 


“เดี๋ยวก็เห็นแล้ว เจ้าไม่ต้องเดาหรอก นอนลงไปพักผ่อนสักพักก่อน น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยาม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนอนลงไปบนเตียงอย่างเชื่อฟัง แล้วพูดคุยกับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


หนึ่งชั่วยามผ่านไป ชิงหลวนมารายงานอีกครั้งว่า “คนมาแล้วเจ้าค่ะ มากับนายหญิง พ่อบ้านได้พาพวกเขาไปที่ห้องโถงแล้วเพคะ”


 


 


ท่านแม่ของตนพามาเอง หรือว่าจะเป็นท่านลุงที่มา คิดถึงนี่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบใส่รองเท้าอย่างรวดเร็ว แล้วมาที่ห้องโถงพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน


 


 


จริงด้วย ทันทีที่เข้าประตูมา ก็เห็นจางจู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความกังวลใจ เมิ่งซื่อนั่งอยู่อีกฝั่ง


 


 


“ลุงใหญ่” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกด้วยความดีใจ


 


 


จางจู้ลุกขึ้นยืนทันที ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “โยวเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว “ท่านมาได้อย่างไร”


 


 


“ฉั่งฉิกของปีนี้ควรเก็บเกี่ยวแล้ว ผู้ใหญ่บ้านให้ข้ามาถามว่าแยกเก็บเกี่ยวเหมือนเดิมหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแตะหน้าผากเบาๆ หนึ่งครั้ง “ข้าลืมไปเลย ทำให้ท่านลุงต้องลำบากมาถึงนี่”


 


 


จางจู้ยิ้มอย่างซื่อๆ “ลุงใหญ่ก็คิดถึงเจ้า จึงฉวยโอกาสนี้มาเยี่ยมเจ้าด้วย”


 


 


“ท่านตากับท่านยายมากับท่านลุงหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


“พวกท่านอายุมากแล้ว ไม่ยอมออกจากบ้าน แต่เห็นบอกว่ารอตอนที่เจ้าคลอดลูก จะมาทั้งครอบครัว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจอย่างมาก “งั้นดีเลย ถึงเวลานั้นข้าจะส่งคนกลับไปรับพวกท่านก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็ขยับเข้ามาแล้วเรียกว่า “ลุงใหญ่”


 


 


จางจู้ไม่กล้าตอบ ยังลุกลนจะคุกเข่าทำความเคารพเขา ถูกหวงฝู่อี้เซวียนห้ามไว้ “ลุงใหญ่ ท่านทำอะไรขอรับ”


 


 


“ซื่อจื่อ ท่านอย่าเรียกข้าน้อยเยี่ยงนี้เลยขอรับ ข้าน้อยรับการเรียกขานของท่านเยี่ยงนี้ไม่ไหวจริงๆ ขอรับ”


 


 


“ลุงใหญ่ ท่านพูดอะไรเยี่ยงนี้ อี้เซวียนแค่มีฐานะเปลี่ยนไป แต่เขาก็ยังเป็นหลานของท่าน” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว


 


 


หน้าผากของจางจู้มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ออกมา รีบโบกมือแล้วกล่าวว่า “อันนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ซื่อจื่อมีฐานะสูงส่ง ไม่ใช่คนที่ประชาชนธรรมดาอย่างข้าเอื้อมถึงได้”


 


 


“ความหมายของลุงใหญ่คือจะตัดขาดความสัมพันธ์กับข้าหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม


 


 


จางจู้หยุดชะงักไป “นี่เจ้าพูดอะไร ลุงใหญ่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับเจ้าได้อย่างไร”


 


 


“งั้นก็ดีแล้ว ถ้าหากท่านกลัวอี้เซวียนทุกครั้งที่เห็นหน้า คงไม่มาจวนนี้อีกนานแสนนานเลยสินะ”


 


 


อย่าพูด เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตรงตามความคิดของจางจู้จริงๆ ยังไม่ทันเข้าประตูจวน แค่เห็นตัวหนังสือทองอร่ามว่า “จวนอ๋องฉี” ขาของจางจู้ก็เริ่มสั่น นี่คือจวนของท่านอ๋อง ถ้าหากทำผิดอะไรขึ้นมาจะต้องถูกประหาร เดินเข้าประตูมา เห็นศาลามากมายในจวน ระเบียงที่วกไปวนมา ความกลัวในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น หากเมิ่งซื่อไม่ได้เดินอยู่ข้างๆ คิดว่าเขาต้องคลานเข้ามาแน่ๆ แม้ว่าจะอยู่ห้องโถง แต่ใจของเขาก็ยังคงสั่นไม่หยุด สาบานกับตัวเองว่า ต่อไปจะไม่เข้าจวนอ๋องฉีอีกเป็นอันขาด


 


 


เห็นเขาไม่พูดจา เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจจนตาโต “ลุงใหญ่ ท่านคงไม่ได้คิดเยี่ยงนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


จางจู้ไม่กล้าโกหก จับศีรษะของตัวเองแล้วหัวเราะออกมา


 


 


เริ่มแรกเมิ่งซื่อก็มีประสบการณ์เยี่ยงนี้ รู้ว่าพี่ใหญ่ของตัวเองคิดเยี่ยงไร จึงมาเป็นเพื่อนเขา เห็นท่าทางโง่ๆ ของพี่ใหญ่ที่ปรกติเป็นคนใจเย็น ซื่อๆ แล้ว ก็กัดริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านอ๋องและพระชายาทั้งสองเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่เหมือนกับที่เล่าขานในหมู่บ้านของเราเยี่ยงนั้น ที่บอกว่าเอะเอะก็ฆ่าคน พี่ทำตัวสบายๆ เถิด”


 


 


จางจู้ทำตัวสบายไม่ได้จริงๆ แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย อย่างน้อยเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนใบหน้าไม่กลายเป็นเม็ดใหญ่ๆ แล้วไหลลง


 


 


“ลุงใหญ่ ท่านนั่งก่อน มีเรื่องเหตุใดเราค่อยๆ คุยกัน” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ


 


 


จางจู้ตกใจจนตัวสั่นทันที แล้วรีบนั่งกลับไปบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกัดริมฝีปาก


 


 


เมิ่งซื่อส่ายหัวและหัวเราะ พี่ใหญ่คนนี้ของตนนี้ อะไรก็ดีไปหมด แต่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากเกินไป ตอนนี้อยู่ต่อหน้าอี้เซวียน นอกจากเรื่องฉั่งฉิก กลัวว่าจะไม่พูดเรื่องอื่นอีกแม้แต่คำเดียว


 


 


จริงๆ ด้วย นางยังไม่ทันคิดจบ จางจู้ก็เอ่ยว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าว่าฉั่งฉิกปีนี้จะเก็บอย่างไร”


 


 


สามปีเก็บฉั่งฉิกหนึ่งครั้ง ครั้งที่แล้วตอนที่เก็บ คือตอนที่ท่านแม่ทัพฉู่กำลังนำทหารสู้รบอยู่ข้างนอก หลังจากนำฉั่งฉิกที่เก็บเกี่ยวได้มาทำเป็นเม็ดยาหลายชนิดแล้ว ให้เหวินซื่อส่งไปที่ค่ายทหารทั้งหมด ปีนี้เมิ่งเชี่ยนโยวลืมเรื่องนี้จริงๆ จึงยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร แล้วก็ไม่ได้ถามท่านแม่ทัพฉู่ คิดไปสักพัก “ลุงใหญ่พักที่เมืองหลวงสักสองสามวันเถิดเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้ากับอี้เซวียนไปที่จวนท่านแม่ทัพ หลังจากถามความเห็นของท่านแม่ทัพฉู่แล้ว จะมาตอบท่าน”


 


 


จางจู้ยิ้มซื่อๆ แล้วกล่าวตอบว่า “ดีๆๆ ตอนที่ข้ามาคนในหมู่บ้านก็บอกแล้วว่า ให้ข้าเที่ยวชมเมืองหลวงดีๆ แล้วกลับไปเล่าให้พวกเขาฟัง”


 


 


ส่งเมิ่งซื่อและจางจู้กลับไปแล้ว ทั้งสองเพิ่งจะกลับมาถึงประตูเรือนของตน พระชายาฉีก็มา กล่าวถามว่า “ข้าได้ยินคนใช้ว่า ท่านแม่กับลุงใหญ่เจ้ามา คนล่ะ”


 


 


“กลับไปแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวตอบ


 


 


น้ำเสียงของพระชายาฉีมีตำหนิเล็กน้อย “เหตุใดจึงไม่ให้พวกเขาทานอาหารที่จวนก่อน ข้าให้ห้องครัวเตรียมไว้แล้ว”


 


 


“ลุงใหญ่ของข้าเห็นอี้เซวียนก็แทบจะคุกเข่าแล้ว ถ้าหากเห็นเสด็จแม่ น่าจะเดินไม่ได้เลย จะกล้าอยู่ต่อได้อย่างไรเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว


 


 


พระชายาฉีประหลาดใจ “ข้าไม่ใช่เสือกินคนนะ กลัวอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “เสด็จแม่ ท่านเป็นถึงพระชายา ในสายตาของลุงใหญ่นั้นคือคนที่มีอำนาจกำหนดชีวิตผู้อื่นไว้ในมือ จะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไรเจ้าคะ”


 


 


นานแล้วที่ไม่มีคนพูดประโยคแบบนี้ต่อหน้านาง พระชายาฉีหยุดชะงักไป ไม่นานก็หัวเราะออกมา


 


 


วันที่สอง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่จวนท่านแม่ทัพ


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยไม่อยู่ เฝิงจิ้งซูกำลังดูเด็กน้อยฝึกเดินเอนไปมาอยู่ในลาน สาวใช้หลายคนที่นางพามายื่นมืออยู่ข้างๆ ตามมองอย่างใกล้ชิด กลัวนายน้อยจะล้มลง


 


 


ได้ยินลุงฝูบอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมา เฝิงจิ้งซูก็ไม่สนใจแม้แต่เด็กน้อย ไม่สนใจแม้แต่ภาพพจน์ดึงชายกระโปรงขึ้นมาแล้ววิ่งมาถึงข้างหน้าทั้งสอง ในขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่รู้ตัว ก็โอบกอดเมิ่งเชี่ยนโยวทันที “พี่โยวเอ๋อร์ พี่มาได้อย่างไร ข้าคิดถึงพี่มากเจ้าค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหน้าขรึมลง แต่ก็ไม่สามารถเอ่ยปากว่าอะไรได้


 


 


เห็นว่านางยังคงร่าเริง สบายๆ เหมือนกับตอนที่ยังไม่ออกเรือน ไม่ถูกควบคุมนิสัย เมิ่งเชี่ยนโยวก็เชื่อแล้วว่าฉู่เหวินเจี๋ยตามใจนางเหมือนกับที่เขาเล่าขานกันจริงๆ ยิ้มแล้วตบหลังนางเบาๆ “ก็มาดูเจ้าไงล่ะ น้าสะใภ้น้อย”


 


 


เฝิงจิ้งซูปล่อยนาง กะพริบตาปริบๆ กล่าวด้วยความโมโหว่า “พี่โยวเอ๋อร์ พี่แกล้งข้าอีกแล้ว”


 


 


เห็นว่าในที่สุดนางก็ปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนก็โล่งใจเบาๆ


 


 


“เอาล่ะ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว วันนี้พวกข้ามาหาท่านน้า ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม


 


 


“เจ้ารอก่อน ข้าให้ลุงฝูใช้คนไปเรียกเขากลับมา”


 


 


ลุงฝูยิ้มแล้วออกคำสั่ง


 


 


“ไป ข้าพาเจ้าไปดูปินเอ๋อร์ ตอนนี้กำลังฝึกเดิน น่ารักมาก” พูดจบ ก็พูดกับลุงฝูว่า “ลุงฝูพาซื่อจื่อไปที่ห้องโถงก่อน เดี๋ยวท่านแม่ทัพมาแล้วค่อยมาเรียกพวกข้า”


 


 


ลุงฝูรับคำ ยื่นมือออกมาทำท่าเชิญให้หวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ เชิญขอรับ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนลังเลใจเล็กน้อย กลัวว่าเฝิงจิ้งซูจะไม่ระวังหนักเบาแล้วถูกตัวเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความกังวลของเขา ยิ้มแล้วสัญญาว่า “ข้าจะดูแลตัวเองดีๆ เจ้าตามลุงฝูไปเถิด”


 


 


เฝิงจิ้งซูอายุยังน้อย แม้ว่าจะเป็นน้าสะใภ้แท้ๆ ของตน แต่เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งก็ไม่เหมาะที่จะเจอ หวงฝู่อี้เซวียนทำอะไรไม่ได้ จึงตามลุงฝูไปที่ห้องโถง


 


 


เฝิงจิ้งซูเป็นคนไม่สนใจอะไร จึงไม่สังเกตเห็นความคิดของหวงฝู่อี้เซวียน เดินเข้าไปควงแขนของเมิ่งเชี่ยนโยว จูงนางมาที่เรือนของตัวเอง


 


 


เด็กน้อยกำลังฝึกเดินอย่างมีความสุขมาก เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาก็ไม่กลัว เดินเอนไปมา แล้วยื่นมือออกมา อยากให้เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้ม


 


 


เฝิงจิ้งซูก้มลงไปอุ้มเขาขึ้นมา มองเด็กน้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก


 


 


เด็กน้อยทำตาโตที่กลมสวยเหมือนกับเฝิงจิ้งซู มองมาทางเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความแปลกใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้ายื่นมือออกไปอุ้มเขา ทำได้แค่หยอกเล่นกับเขาสักพัก


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินคำรายงานของคนใช้ ก็รีบขี่ม้ากลับมาที่จวน ลุงฝูมาเชิญเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เฝิงจิ้งซูยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้อยู่ทานอาหารที่จวนเถิด ข้าสั่งห้องครัวทำอาหารเพิ่มหลายอย่างเลย รอพวกเจ้าปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว ก็มาทานอาหารกันเจ้าค่ะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตกลง แล้วเดินตามลุงฝูมาที่ห้องโถง


 


 


ไม่ได้เจอกันหนึ่งปี รู้สึกว่าฉู่เหวินเจี๋ยจะหนุ่มขึ้นกว่าเดิม ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น


 


 


“ท่านน้า” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเรียกขาน


 


 


ฉู่เหวินเจี๋ยไม่รู้สึกตัวไปสักพัก หยุดชะงักไป หลังจากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขว่า “ตราบจนทุกวันนี้ นี่เป็นคำเรียกขานที่ดีที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดวกไปวนมา พูดตรงๆ ว่า “ท่านน้า วันนี้ที่พวกข้ามาเพราะอยากถามท่านว่า ค่ายทหารของพวกท่านยังต้องการฉั่งฉิกหรือไม่เจ้าคะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)