ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 30.1-31.2

ตอนที่ 30-1 จุดประกายความหวัง

 

“ไปบอกฮูหยินว่าข้ากำลังพบแขกอยู่ หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอันใดก็ให้นางรอข้าข้างล่างก่อน” เหวินซื่อตอบกลับไปด้วยเสียงทุ้ม


 


 


พนักงานคนนั้นขานรับทันทีและกำลังจะเดินจากไป


 


 


แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็เรียกเขาเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน”


 


 


เหวินซื่อมองนางอย่างสงสัย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วอธิบายกับเขาไปว่า “ข้าอยากเห็นมานานแล้วว่าฮูหยินที่ท่านเถ้าแก่เหวินปักใจรักมาตั้งแต่ยังเล็กนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร วันนี้บังเอิญได้มาเจอกัน ไม่สู้เรียกให้ขึ้นมาทำความรู้จักกันไว้จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ”


 


 


เหวินซื่อหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด เขาแสร้งกระแอมออกไปเบาๆ ก่อนจะสั่งพนักงานคนนั้นลงไปว่า “ให้ฮูหยินขึ้นมา”


 


 


พนักงานคนนั้นรับคำ จากนั้นก็เดินลงไปชั้นล่าง ไม่นานนักสาวสวยนางหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนชั้นนี้พร้อมกับสาวใช้สองนาง นางผงะไปทันทีเมื่อเห็นกัวเฟยยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู


 


 


เหวินซื่อทันทีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอกก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้


 


 


ฮูหยินเหวินไม่ได้เดินเข้าไปด้านในทันที น้ำเสียงอ่อนหวานดังผ่านประตูเข้ามาเบาๆ “ได้ยินว่าท่านกำลังต้อนรับแขกอยู่ ข้าไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วนอันใด หากว่าท่านไม่สะดวก ข้าจะกลับออกไปก่อน ไว้เย็นนี้ท่านกลับถึงเรือนแล้วพวกเราค่อยคุยกันก็ได้”


 


 


“ไม่ใช่คนนอกหรอก เป็นแม่นางเมิ่งที่ข้าเคยพูดให้เจ้าฟังอยู่บ่อยๆ นางมาที่เมืองหลวงแล้ว ดังนั้นวันนี้ก็เลยแวะมาเยี่ยมเยียนข้าสอบถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไปก็เท่านั้น” หลังจากเหวินซื่อพูดจบ เขาก็เบี่ยงกายไปด้านข้างเล็กน้อย


 


 


ฮูหยินเหวินมองตามเข้าไปด้านในห้อง จากนั้นนางก็เห็นแม่นางน้อยรูปร่างบอบบางผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วมองมาทางนางด้วยรอยยิ้มเล็กๆ


 


 


“เจ้าก็คือแม่นางเมิ่งนี่เอง สามีของข้าหลังจากที่กลับมาก็เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังอยู่ตลอด บอกว่าเจ้าช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ข้าอยากจะเจอเจ้าสักครั้งมาตั้งนานแล้ว น่าเสียดายที่เมืองชิงซีอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากเหลือเกิน ประกอบกับไม่ค่อยมีเวลาว่างเลยไม่เคยได้ไปเยี่ยมเยือนเจ้าเลย ดียิ่งที่เจ้ามาเมืองหลวงในครั้งนี้” ฮูหยินเหวินเปิดปากพูดไปอย่างกระตือรือร้น เท้าพลางสาวเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวติดๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่ทั้งสิ้น ไม่น่าพูดถึงหรอก ฮูหยินอย่าได้เก็บไปใส่ใจนักเลย”


 


 


ฮูหยินเหวินจับมือนางขึ้นมา พูดด้วยท่าทีตื่นเต้น “จะไม่ให้ข้าเก็บไปใส่ใจได้อย่างไร บุญคุณของการช่วยชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนยิ่ง หากว่าเจ้ามีปัญหาใดๆ ในอนาคต โปรดพูดออกมา พวกเราจะพยายามช่วยเจ้าทำมันให้สำเร็จให้ได้”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอขอบคุณฮูหยินเหวินท่านล่วงหน้าแล้ว ข้าจะบอกแก่ท่านแน่นอนเมื่อข้าประสบปัญหาในอนาคต” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


เหวินซื่อปิดประตูลง แล้วให้สาวใช้ทั้งสองยืนรออยู่ข้างนอก


 


 


 


 


 


ฮูหยินเหวินยังคงจับมือของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรักใคร่และเอ็นดู นางหย่อนกายลงบนเก้าอี้แล้วพูดต่อว่า “เจ้าไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตสามีข้าเท่านั้น แต่ยังช่วยเขาลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าออกไปอีก ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าจากใจจริง อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าอยากจะหาโอกาสตอบแทนเจ้าในสักวันหนึ่ง ดียิ่งนักที่เจ้ามาอยู่เมืองหลวงในตอนนี้ แบบนี้วันข้างหน้าพวกเราก็จะมีโอกาสพบเจอกันมากขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดออกไปว่า “ฮูหยินเหวินเห็นข้าเป็นคนนอกเกินไปแล้ว เถ้าแก่เหวินกับข้าอย่างไรก็นับว่าเป็นสหายกัน ช่วยเหลือกันก็เป็นเรื่องที่สมควรไม่ใช่หรือ”


 


 


ฮูหยินเหวินยิ้มแล้วพยักหน้าให้ “ในเมื่อเจ้ามองว่าสามีข้าเป็นสหาย เช่นนั้นก็อย่าได้เรียกข้าว่าฮูหยินอีกเลย ต่อไปเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ดีหรือไม่ ข้าแก่กว่าเจ้าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตามน้ำไป “พี่สะใภ้ไม่รังเกียจเด็กบ้านนอกอย่างข้า เช่นนั้นข้าก็จะขอหน้าหนาสักหน่อย บังอาจยกตนตีเสมอท่านแล้ว”


 


 


“คำพูดของแม่นางเมิ่งพูดไปถึงไหนกัน เจ้าให้เกียรติเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ ข้าต่างหากเล่าที่บังอาจยกตนตีเสมอ” ฮูหยินเหวินโบกมือกล่าว


 


 


เหวินซื่อรินน้ำชาลงในถ้วย แล้วเลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าฮูหยินเหวิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือโอกาสนี้หยอกล้อนางไป “พี่สะใภ้ทักษะของท่านช่างสูงส่งเหลือเกิน เพิ่งผ่านไปได้กี่วันเองก็จัดการกับเถ้าแก่เหวินได้อยู่หมัดเสียแล้ว ดูสิรู้จักปวดใจแทนผู้อื่นแล้ว”


 


 


ฮูหยินเหวินกับเหวินซื่อใบหน้าแดงก่ำขึ้นพร้อมกัน


 


 


เหวินซื่อกระแอมไอขึ้นมาเบาๆ


 


 


ฮูหยินเหวินกล่าวอย่างเขินอาย “ข้าจัดการเขาที่ไหน ตั้งแต่ข้าป่วยหนักเขาก็เปลี่ยนมาเอาอกเอาใจข้ามากขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงล้อไม่หยุด “พี่สะใภ้นี่เรียกว่าหลังจากผ่านเรื่องร้ายไปแล้วจะมีแต่เรื่องดีๆ ดาหน้าเข้าหา”


 


 


รอยยิ้มของฮูหยินเหวินจางลงไปมากทีเดียว นางถอนหายใจแล้วพูดออกไปว่า “ข้าหาได้ต้องการเรื่องดีๆ เช่นนี้ไม่”


 


 


เมื่อสองสามวันก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเรื่องของฮูหยินเหวินจากปากของหวงฝู่อี้เซวียนมาบ้างแล้ว พอได้เห็นสีหน้าของนางในยามนี้ จึงได้รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป ในใจก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่ปากไวเกินไป


 


 


ฮูหยินเหวินซึมเศร้าอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่แล้วไม่นานนางก็ยกยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “พบกันครั้งแรกอย่าได้พูดถึงเรื่องที่ไม่น่ายินดีเหล่านั้นเลย ไม่รู้ว่าแม่นางเมิ่งมาเมืองหลวงด้วยธุระอันใดหรือ มีตรงไหนต้องการความช่วยเหลือบ้างหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งใช้สายตาไม่แยแสปรายไปทางเหวินซื่อแวบหนึ่ง


 


 


เหวินซื่อส่ายหัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขึ้นทันทีแล้วพูดออกไปว่า “ข้าได้ยินมาว่าการค้าในเมืองหลวงดียิ่งนัก เห็นว่าน่าสนใจจึงได้ลองมาเสี่ยงดวงที่นี่ดู นี่ก็เพิ่งซื้อร้านแห่งหนึ่งตรงข้ามกับเหลาจวี้เสียนไป คิดจะเปิดเป็นร้านขายบะหมี่มันฝรั่ง อีกสองสามวันก็จะเปิดกิจการแล้ว หวังว่าเถ้าแก่เหวินกับพี่สะใภ้จะมาอุดหนุนและเข้าร่วมงานเปิดร้านของเราด้วย”


 


 


ฮูหยินเหวินยิ้มอย่างดีใจ “เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมากเลย พวกเราจะไปร่วมงานอย่างแน่นอน วันนี้รอข้ากลับไปก่อนจะรีบไปเตรียมของขวัญให้เจ้าทันที แล้วจะบอกต่อกับคนอื่นๆ ด้วย จะได้มีคนไปสนับสนุนเจ้าเยอะๆ ถึงตอนนั้นไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้ามาจากบ้านนอกอย่างแน่นอน”


 


 


“ขอบคุณพี่สะใภ้มาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นอย่างมีความสุข


 


 


ฮูหยินเหวินตบมือของนางเบาๆ “มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อย่าได้เอ่ยขอบคุณ เจ้าไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย”


 


 


การพบกันสั้นๆ ในครั้งนี้ ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวตกหลุมรักตัวละครที่ชื่อว่าฮูหยินเหวินอย่างจัง นางพูดติดตลกออกไปอีกครั้งว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าชาติก่อนรวมถึงชาติก่อนๆ เถ้าแก่เวินทำบุญมาด้วยอะไร ถึงได้แต่งฮูหยินที่ดีอย่างพี่สะใภ้มาเป็นภรรยาได้ คนหรือก็หน้าตางดงาม อุปนิสัยก็ยังเปิดเผยน่าคบหาอีกด้วย”


 


 


ได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดชมตัวเองมีหรือที่ฮูหยินเหวินจะไม่มีความสุข แต่แล้วการแสดงออกของนางก็จืดจางลงอีกครั้ง “ข้าไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ แบบนี้แล้วจะเรียกว่าโชคดีได้หรือ”


 


 


เหวินซื่อกลัวว่าฮูหยินตนจะเสียใจ จึงได้รีบหันเหบทสนทนา ชักชวนนางพูดเรื่องอื่นไปเรื่อย “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าได้พบกับแม่นางเมิ่ง อย่าพูดถึงเรื่องที่ไม่น่ายินดีเหล่านี้เลย”


 


 


“นั่นสิ ข้านี่พูดไม่เป็นจริงๆ แม่นางเมิ่งเจ้าอย่าได้ถือสาเลยนะ” ฮูหยินเหวินรู้สึกว่าตัวเองพูดเรื่องเหล่านี้ออกไปไม่สมควรอย่างยิ่งจึงได้รีบกล่าวขอโทษเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวให้อีกฝ่าย “พี่สะใภ้อย่าได้พูดแบบนี้ ในเมื่อท่านไม่เห็นข้าเป็นคนนอก ยอมเล่าเรื่องแบบนี้ให้ข้าฟัง แล้วข้าถือสาได้อย่างไร เพียงแต่…” ถึงตรงนี้นางก็เม้มริมฝีปากลง ลังเลว่าควรจะพูดต่อไปดีหรือไม่


 


 


ฮูหยินเหวินมองเห็นความลังเลบนสีหน้าของหญิงสาว คิดว่านางอาจจะอายที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา จึงได้กล่าวออกไปว่า “ไม่เป็นไร หากเจ้าไม่รังเกียจพวกเรา เช่นนั้นมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองพวกเขาทั้งสองคน


 


 


เห็นว่าทั้งคู่มองนางอย่างห่วงใย


 


 


ทันทีหัวใจของนางก็พลันอบอุ่นขึ้น นางก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและพูดออกไปว่า “ข้ารู้ทักษะทางการแพทย์อยู่บ้าง ไม่ทราบว่าจะขอจับชีพจรพี่สะใภ้ได้หรือไม่”


 


 


ฮูหยินเหวินไม่เข้าใจ มองไปทางเหวินซื่อด้วยสายตาที่งงงวย


 


 


เหวินซื่อเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร จึงได้มองนางไปอย่างมีความหวัง พูดออกไปซ้ำๆ ว่า “ได้ๆ ได้แน่นอน”


 


 


ฮูหยินเหวินยังคงล่องลอยอยู่ในก้อนเมฆ ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่


 


 


เหวินซื่อไม่ได้อธิบายให้นางฟัง แต่พูดกับนางไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้ายื่นมือออกไปให้แม่นางเมิ่งจับชีพจรหน่อยเถิดนะ”


 


 


แม้ว่าฮูหยินเหวินจะไม่เข้าใจ แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ ยื่นมือออกไปต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแต่โดยดีพร้อมรอยยิ้ม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงมือจับชีพจรของนางทันที หลังจากจดจ่ออยู่กับการวินิจฉัยเป็นเวลานาน นางก็ปล่อยมือออก แล้วสะบัดมือเป็นสัญญาณบอกให้ส่งมืออีกข้างขึ้นมา


 


 


ฮูหยินเหวินดึงมือข้างนั้นออกไป ก่อนจะวางมืออีกข้างขึ้นไปไว้ตรงหน้าหญิงสาว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งสมาธิอยู่เป็นเวลานาน ยังคงจดจ่ออยู่กับการวินิจฉัย


 


 


ฮูหยินเหวินเริ่มจะเดาอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว และแม้จะยังยืนยันไม่ได้แต่ดวงตาของนางก็เริ่มมีประกายแสงแห่งความคาดหวังขึ้นมา


 


 


เหวินซื่อยังคงจดจ้องไปที่ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวนิ่ง จับสังเกตทุกการแสดงออกบนใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ให้มีตกหล่น

 

 

 


ตอนที่ 30-2 จุดประกายความหวัง

 

วินิจฉัยอยู่เป็นเวลานานดีเดียว ในที่สุดเหวินซื่อก็อดใจไม่ไหว ถามเมิ่งเชี่ยนโยวออกไปทันทีหลังจากที่นางปล่อยมือจากฮูหยินเหวิน


 


 


เหวินซื่อกลืนน้ำลายลงท้องไป รอคอยคำตอบอย่างมีความหวัง “เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


หัวใจแห่งความหวังของเหวินซื่อที่เพิ่งจะลุกโชนขึ้นมาดับมอดลงไปอีกครั้ง


 


 


และแม้ว่าฮูหยินเหวินจะผิดหวังมาก แต่นางก็ยังคงยิ้มแล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวไปด้วยสายตาปลอบประโลม “ไม่เป็นไรหรอก ผ่านมาก็นานแล้ว ข้าเองก็เริ่มทำใจได้แล้ว อีกอย่างข้าได้หาหญิงงามมาให้เขาเรียบร้อยแล้ว รอเขาเลือกได้จะให้รับเข้ามาเป็นอนุทันที แบบนี้รอเด็กเกิดมาเมื่อไหร่ค่อยให้เขาใช้นามของข้า ให้เป็นบุตรของข้าก็ได้”


 


 


เหวินซื่อขมวดคิ้วด้วยความทุกข์ใจ ปวดใจจนทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะพูดอย่างไรดี “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าได้พูดถึงเรื่องรับอนุอีก ไม่มีลูกก็เห็นจะเป็นไรเลย ตราบใดที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างสงบเรียบง่ายต่อไปเช่นนี้ก็พอแล้ว”


 


 


ฮูหยินเหวินเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพูดออกไปว่า “ในความกตัญญูสามประการ การไม่มีบุตรคือเรื่องที่หนักหนามากที่สุด จะให้ข้าเห็นแก่ตัวแล้วปล่อยให้ท่านไร้ทายาทสืบทอดต่อไปได้อย่างไร แบบนี้คนคงได้เอาไปร่ำลือกันถึงไหนต่อไหน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมุมปากขึ้น พูดติดตลกไปกับพวกเขาทั้งสองไปว่า “ทั้งสองท่าน ข้ายังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ แถมยังเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนอีกด้วย รบกวนอย่าแสดงความรักต่อหน้าข้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ได้หรือไม่”


 


 


ฮูหยินเหวินหน้าแดงก่ำไปในทันที


 


 


เหวินซื่อถลึงตาจ้องนางเขม็ง พูดออกไปว่า “ยัยเด็กน่าตาย กล้าหยอกล้อพวกเรา อยากถูกตีใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืดตัวขึ้น แสร้งทำเป็นถอนหายใจแล้วพูดกับฮูหยินเหวินไปว่า “พี่สะใภ้ บุรุษผู้นี้นิสัยแย่ยิ่ง พอท่านพูดกับเขาเรื่องรับอนุ เขาก็ไม่สนเรื่องรักษาท่านอีกแล้ว”


 


 


หลังจากคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวจบลง เหวินซื่อก็พูดแทรกขึ้นในทันที “ยัยเด็กน่าตาย ใครบอกว่าข้าไม่อยากรักษานาง…” ถึงตอนนี้เขาเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างจ้องไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ถามออกไปด้วยหัวใจที่สั่นรัวว่า “เจ้าหมายถึง…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวทันที “ข้าไม่ได้พูดอะไรนะ”


 


 


ฮูหยินเหวินฟังออกถึงน้ำเสียงที่แปลกแปล่งไปของนาง พลันก็ผุดลุกขึ้น มองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความไม่อยากจะเชื่อด้วยเหมือนกัน “แม่นางเมิ่ง เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าโรคของข้าสามารถรักษาหายได้อย่างนั้นหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและส่ายหัวให้ “ถ้าเป็นเมื่อสักครู่ละก็ข้ายังคิดวิธีรักษาออกอยู่ แต่พอได้ยินตาแก่สามีของท่านเดี๋ยวก็เรียกข้ายัยเด็กน่าตาย ตอนนี้จู่ๆ ก็ลืมวิธีรักษาขึ้นมาเสียอย่างนั้น”


 


 


ได้ยินนางพูดแบบนี้ฮูหยินเหวินก็ถือเป็นจริงจังขึ้นมาทันที ดวงตาเรียวตวัดไปทางเหวินซื่ออย่างดุๆ คราวนี้นางไม่ได้เรียกอีกฝ่ายสามีอีกแล้ว แต่ขุดทั้งชื่อทั้งแซ่ของบรรพบุรุษเขาขึ้นมาเรียกเลยว่า “เหวินซื่อ รีบขอโทษแม่นางเมิ่งเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะดัง “พรืด” ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะก้อง อั้นเอาไว้ไม่ไหวอีก


 


 


เหวินซื่อไม่มีทางขอโทษนางอยู่แล้ว แต่ตำหนินางออกไปแทน “ยัยเด็กน่าตาย รู้วิธีรักษาก็ไม่รีบพูดมาตั้งแต่แรก ทำเอาพวกเรารู้สึกผิดหวังกันไปอีกรอบ”


 


 


ฮูหยินเหวินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาเสียงดัง ถึงเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อสักครู่เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจหยอกพวกนางเล่น ร่างบางถอนหายใจออกอย่างโล่งอก โน้มตัวขึ้นไปข้างหน้าถามนางไปด้วยความลนลานว่า “แม่นางเมิ่ง โรคของข้านี้รักษาได้จริงหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บเอาความตลกทั้งหมดกลับไป พยักหน้าตอบกลับไปอย่างจริงจัง แต่แล้วก็ส่ายหัวให้พวกเขาเบาๆ


 


 


ฮูหยินเหวินกับเหวินซื่อมองคำตอบของนางด้วยความงงงวยนัก ทั้งสองหันมามองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วก็เป็นเหวินซื่อที่เป็นฝ่ายเปิดปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “เจ้าทั้งพยักหน้าและส่ายหน้าเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรช่วยอธิบายให้พวกข้าเข้าใจที แบบนี้พวกข้าเป็นกังวลมากนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขาไปว่า “ที่ข้าพยักหน้า เป็นเพราะว่าโรคของพี่สะใภ้นั้นยังมีหนทางรักษา แต่ที่ข้าส่ายหัวเป็นเพราะไม่มั่นใจว่าจะรักษาจนหายขาดได้หรือไม่ ข้ากลัวว่าพวกท่านจะต้องผิดหวังกันซ้ำอีก”


 


 


“ไม่ ไม่ ไม่” ฮูหยินเหวินโบกมือด้วยความยินดี “ก่อนหน้านี้ท่านหมอเคยบอกข้าแล้วว่าโรคที่ข้าเป็นอยู่นี้ไม่มีหวังจะรักษาอีก ข้ายอมรับความจริงเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ถือเสียว่าเห็นม้าตายรักษาดุจม้าเป็น[1] หากว่าเจ้ารักษาได้จริงๆ เจ้าจะเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราทั้งสองไปตลอดชีวิต แต่หากว่ารักษาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร พวกเรายังคงรู้สึกขอบคุณเจ้าเสมอ”


 


 


เหวินซื่อพยักหน้าสำทับไปอีกแรง “ฮูหยินของข้าพูดถูก เจ้ารักษาอย่างวางใจเถิด ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นไร อย่างไรพวกเราก็รู้สึกขอบคุณเจ้าอยู่ดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้พวกเขา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะขอลองดูสักตั้ง แต่ว่าขั้นตอนการรักษานั้นเจ็บปวดมากนะ ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้จะทนไหวหรือไม่”


 


 


ฮูหยินเอ่ยสัญญาออกไป “เจ้าวางสายเถิด ตราบใดที่ยังมีความหวังที่จะรักษาอาการป่วยนี้ให้หาย เจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานเพียงใดข้าก็ทนได้”


 


 


“ได้ ถ้าอย่างนั้นหลายวันนี้ข้าจะขอกลับไปเตรียมของที่ต้องใช้รักษาก่อน ถึงเวลานั้นแล้วค่อยส่งคนนำจดหมายไปให้พวกท่าน พี่สะใภ้ท่านก็ให้คนที่เชื่อถือได้พามารักษาที่จวนข้าก็แล้วกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวออกไป


 


 


ทว่าฮูหยินเหวินกลับรู้สึกเกรงใจและคิดว่าไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก จึงได้ปฏิเสธออกไป “ในเมื่อรักษาอาการป่วยให้ข้า การไปรับการรักษาถึงจวนของเจ้านั้นคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เอาแบบนี้เป็นอย่างไร เมื่อไหร่ที่เจ้าเตรียมของเสร็จแล้วก็ส่งคนนำจดหมายมาให้พวกเรา แล้วข้าจะให้บ่าวไปรับเจ้ามาที่จวนของพวกข้า เรือนของพวกข้านั้นคนเยอะนัก ต้องการอะไรเพียงแค่สั่งการลงไปประเดี๋ยวเดียวของที่ต้องการก็จะมากองอยู่ตรงหน้าพร้อมสรรพ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือให้พร้อมกล่าวปฏิเสธ “พี่สะใภ้ท่านก็รู้ว่าข้ามาจากบ้านนอก ให้เข้าไปในจวนหลังใหญ่หรูหราแบบนั้นเกรงว่าจะไม่ชินเท่าไหร่ มารักษาที่จวนของข้าเถิด นั่นดีที่สุดแล้ว จวนของข้าคนน้อย แต่ก็สะอาดและเงียบสงบ เหมาะสำหรับการใช้รักษาโรคของท่านเป็นอย่างดี แน่นอนว่าก็สะดวกกับข้าด้วย”


 


 


แต่เดิมฮูหยินเหวินยังคิดว่าแบบนี้เป็นการรบกวนเมิ่งเชี่ยนโยวจนเกินไป จึงไม่เห็นด้วยหากจะต้องไปถึงจวนของนาง แต่พอได้ยินคำที่นางกล่าวมา ก็ไม่ปฏิเสธอีก ตอบกลับไปว่า “ได้ เอาตามที่เจ้าว่า ข้าจะไปที่จวนของเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใจเย็นสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “อาการป่วยของพี่สะใภ้นั้นยังจำเป็นต้องใช้สมุนไพรอีกหลายตัวมาช่วยเสริม ประเดี๋ยวข้าจะเขียนรายการสมุนไพรที่ต้องใช้ลงไปให้ ท่านก็ให้คนไปจัดหามาก็แล้วกัน”


 


 


เรื่องราวเกี่ยวพันถึงอีกหน่อยตนจะมีลูกได้หรือไม่ ทุกการกระทำของฮูหยินเหวินจึงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไรออกมา นางก็ไม่มีท่าทีว่าจะคัดค้านสักนิด


 


 


เหวินซื่อเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะบัญชี หยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมาก่อนจะส่งมันมาไว้ตรงหน้าหญิงสาว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กันขึ้นมา จากนั้นก็ตวัดเขียนรายการสมุนไพรหลายอย่างลงไปบนกระดาษแล้วส่งมันให้กับฮูหยินเหวิน


 


 


ฮูหยินเหวินรับใบสั่งยาแผ่นนั้นมาอย่างระมัดระวัง


 


 


โดยไม่รีรอชักช้า นางรีบลงไปจัดยาที่ชั้นล่างทันที


 


 


เมื่อได้ยินว่าเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเดินลงไปจนถึงชั้นล่างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เก็บรอยยิ้มน้อยๆ นั้นกลับมา สีหน้าจริงจังไม่มีวี่แววของการล้อเล่นอีก “ตรวจสอบเรือนของเจ้าสักหน่อยเถิด อาการป่วยของพี่สะใภ้นั้นหาได้ง่ายดายอย่างเช่นที่เห็นภายนอกไม่”


 


 


เหวินซื่อกลับเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร จึงได้ขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า “ไยถึงพูดเช่นนี้”


 


 


“ก่อนที่พี่สะใภ้จะให้กำเนิดเด็กทารกนางถูกวางยาพิษมาก่อนแล้ว แล้วก็ด้วยพิษนี้แหละที่ทำให้เด็กในครรภ์ถึงแก่ชีวิต ทำให้ร่างกายของนางเสียหายอย่างหนักถึงขั้นไม่อาจมีลูกได้อีก แล้วก็ข้ายังพบอีกว่าพิษส่วนนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายของนาง นี่ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้นางไม่อาจตั้งครรภ์ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขาไป


 


 


เหวินซื่อหลังจากที่ได้ฟังก็ถอนหายใจคล้ายคนโล่งอก เขาบอกนางไปว่า “เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว ตอนที่เด็กเกิดมาแล้วไม่มีชีวิตข้าก็ได้สั่งคนให้ลงไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เป็นนางที่เผลอทานอาหารมีพิษไปโดยไม่ตั้งใจถึงทำให้เด็กตาย อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เคยได้ยินฮูหยินพูดมาก่อนว่าในร่างกายของนางมีพิษร้ายอยู่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัว “ท่านผิดแล้ว พิษนี้ไม่ใช่นางเผลอทานลงไปโดยไม่ตั้งใจ แต่เป็นพี่สะใภ้ทานอยู่ทุกวันวันละเล็กละน้อย สุดท้ายจึงนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นนี้”


 


 


เหวินซื่อหันหน้าไปมองนางทันที สีหน้ามืดครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้เขาอีกครั้งเป็นการยืนยัน


 


 


กลิ่นอายชั่วร้ายเย็นเยียบฉับพลันแผ่ออกมาจากร่างของเหวินซื่อไม่หยุด


 


 


“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงให้พี่สะใภ้ไปรักษาตัวที่จวนของข้า หนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้จะรั่วไหลไปถึงหูของคนที่วางยาพิษนาง กลัวว่าหลังจากที่แก้พิษแล้วนางจะถูกวางยาอีกครั้ง สองก็เพื่อป้องกันไม่ให้สุนัขพวกนั้นกระโดดกำแพงหนีไป หรือไม่ก็เลือกวิธีการที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้มาลงมือกับพี่สะใภ้ ดังนั้นแล้ว คนที่จะพานางไปรักษาอาการป่วยที่จวนของข้าจะต้องเป็นคนที่พวกท่านทั้งสองไว้ใจและเชื่อใจเท่านั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนเขา


 


 


เหวินซื่อพยักหน้าให้กับนาง สีหน้าซาบซึ้งขอบคุณส่งตรงมาจากหัวใจ “ขอบใจเจ้ามาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือให้เขาน้อยๆ “เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้ายังต้องพูดคำนี้อยู่อีกหรือ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เจ้าต้องทำก็คือรีบกลับไปที่จวนแล้วหาตัวผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังออกมา กำจัดภัยอันตรายที่แฝงตัวอยู่รอบกายนางเสีย มิฉะนั้นแล้วแม้ข้าจะช่วยนางได้ในครั้งนี้ แต่ว่าครั้งหน้าใช่ว่าจะโชคดีเช่นนี้อีกไม่”


 


 


เหวินซื่อกล่าว “ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เพียงตั้งใจรักษานางให้หายก็พอ สำหรับส่วนอื่นๆ ที่เหลือ ข้าจะจัดการเก็บกวาดทั้งหมดให้เสร็จในเร็ววัน”


 


 


พี่สมควรพูดนางก็พูดไปจนหมดแล้ว อย่างอื่นนางก็ช่วยอะไรไม่ได้มากอีกดังนั้นแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวจึงเงียบไปไม่ได้พูดต่อให้มากความ


 


 


เวลานี้เองฮูหยินเหวิน ที่ลงไปจัดยาก็กลับเข้ามาในห้อง


 


 


ได้ยินเสียงฝีเท้าของนางที่วิ่งขึ้นมายังชั้นบน เหวินซื่อก็เก็บกลิ่นอายชั่วร้ายรอบตัวพวกนั้นกลับไปจนหมด กลับไปเป็นเขาในสภาพเดิม


 


 


ฮูหยินเหวินเปิดประตูเข้ามาในห้อง นางไม่ได้สังเกตเห็นถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวก่อนจะยื่นห่อสมุนไพรในมือออกไปแล้วพูดกับนางไปด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าดูสมุนไพรพวกนี้สิว่าใช้ได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดห่อสมุนไพรออก หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง นางก็พยักหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “สมุนไพรพวกนี้ถูกต้องแล้ว รอข้ากลับถึงจวนแล้วจะรีบจัดการเตรียมของทั้งหมดทันที ได้เรื่องอย่างไรจะรีบส่งคนไปแจ้งให้พี่สะใภ้ทราบ”


 


 


ฮูหยินเหวินคว้ามือนางไว้ด้วยความตื่นเต้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขอบคุณชัดเจน “แม่นางเมิ่ง ข้าคิดว่าชาตินี้ตัวข้าคงไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้ว เป็นเจ้าที่ทำให้ข้ากลับมามีความหวังอีกครั้ง เจ้าวางใจเถิด ต่อไปเจ้าสั่งอะไรข้าก็จะทำตามอย่างนั้น จะไม่กินของอะไรเหลวไหลอีกแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบนางกลับไป “ข้าเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น พี่สะใภ้ทำตัวเหมือนเดิมเถิด หากว่ามีสิ่งไหนที่ต้องกำชับลงไปจริงๆ ข้าจะบอกท่านอีกที เพียงแต่ท่านอย่าได้คาดหวังจนเกินไปนัก เผื่อผิดหวังขึ้นมาจะได้ไม่ต้องเสียใจจนเกินไป”


 


 


ฮูหยินเหวินตบมือนางเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ “เจ้าเองก็อย่าได้คิดว่ามันเป็นภาระ อย่าได้กดดันตัวเองมากจนเกินไปนัก รักษาได้ก็ดี รักษาไม่ได้ก็ถือว่าเป็นเจตนาของสวรรค์ ให้โชคชะตานำพาไปเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพยักหน้าให้


 


 


คนทั้งสามพูดคุยกันในห้องอย่างมีความสุขได้อีกพักใหญ่ แต่พอเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าได้เวลาที่หวงฝู่อี้เซวียนจะกลับออกจากวังหลวงแล้ว จึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยคำลา ขอตัวกลับจวนก่อน


 


 


ฮูหยินเหวินรู้สึกว่าตัวเองเข้ากับนางได้ดียิ่งนัก รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่จึงได้รั้งนางไว้ให้อยู่ต่อ “วันนี้หากเจ้าไม่มีธุระที่ไหนไม่สู้กลับไปที่จวนพร้อมกับพวกเรา ข้าจะสั่งให้คนครัวเตรียมสำรับรสเลิศมาต้อนรับเจ้า ทานเสร็จแล้วพวกเราจะได้คุยกันต่อ”


 


 


“ข้ายังต้องกลับไปเตรียมของรักษาอาการป่วยให้พี่สะใภ้อยู่นะ วันนี้คงไปไม่ได้แล้วล่ะ เอาไว้วันหน้าหากมีเวลาว่างข้าจะไปเยี่ยมท่านถึงจวนแน่นอน พอถึงตอนนั้นหวังว่าท่านจะไม่เบื่อไม่รำคาญข้าเสียก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวหยอกกลับไป


 


 


ฮูหยินเหวินได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รั้งนางเอาไว้อีก จับมือเดินไปส่งนางถึงหน้าประตูร้านยาเต๋อเหรินด้วยความเอ็นดูและรักใคร่ มองส่งนางขึ้นรถม้าจากไปจนสุดสายตา ก่อนจะเดินกลับขึ้นตึกไปพูดคุยเกี่ยวกับธุระที่ตัวเองมาในวันนี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่ในรถม้าเอ่ยถามเหวินเปียวออกไปว่า “โรงตีอาวุธในเมืองหลวงมีที่ไหนบ้าง เจ้าพาข้าไปหน่อย”


 


 


—————————-


 


 


 


 


 


 


[1] เห็นม้าตายรักษาดุจม้าเป็น(死马当活马医)อุปมาว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวังยังมีความหวังอันริบหรี่ที่พอจะช่วยให้รอดได้ บางทีก็หมายถึงการพยายามครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 31-1 มีคนจากที่บ้านมาหา

 

เหวินเปียวตอบ จากนั้นเร่งเดินทางโดยรถม้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงโรงตีอาวุธแล้วเอ่ยว่า “แม่นาง ในสมัยก่อนที่ข้าเป็นผู้คุ้มกันขบวนขนส่งนั้นได้มาพูดคุยกับเถ้าแก่ของที่นี่อยู่บ่อยๆ อาวุธของสำนักคุ้มภัยก็เป็นสิ่งที่เขาผลิตขึ้นมา ฝีมือนั้นยอดเยี่ยมมาก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าจากนั้นก็ลงรถม้า


 


 


เหวินเปียวจูงบังเ**ยนของม้าเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูแล้วตะโกนขึ้นเสียงดัง “นายช่างหลี่ ออกมาเร็วเข้า มีลูกค้ามาหา”


 


 


ชายคนหนึ่งส่งเสียงตอบรับพร้อมกับแหวกม่านประตูออกมา พอเห็นเหวินเปียวแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ถามคำถามขึ้นเป็นพรวนด้วยความยินดี “คุณชายเหวินทำไมเป็นท่านได้เล่าขอรับ ท่านกลับเมืองหลวงแล้วหรือ สำนักคุ้มภัยเปิดอีกแล้วอย่างนั้นหรือขอรับ”


 


 


เหวินเปียวยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าถูกตัดสินให้มีฐานะเป็นทาสหลวงแล้ว จะยังเป็นคุณชายได้อย่างไร ต่อไปเจ้าอย่าเรียกข้าเช่นนี้อีก”


 


 


ชายผู้นั้นสงสัย ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าเช่นนั้นวันนี้ท่าน…”


 


 


“อ้อ” เหวินเปียวชี้ไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วกล่าวแนะนำขึ้น “นี่ก็คือแม่นางของพวกเรา นางอยากให้เจ้าผลิตของสักอย่าง”


 


 


ชายผู้นั้นพอได้ยินคำเรียกขานก็ดูเหมือนว่าพอจะเข้าใจอะไรบ้าง จึงไม่ได้ถามอะไรขึ้นอีก ประเมินดูเมิ่งเชี่ยนโยวครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการจะให้ผลิตอะไรหรือขอรับ”


 


 


“ข้าอยากได้ชุดเข็มเงินที่มีขนาดและความยาวแตกต่างกัน ไม่ทราบว่าเถ้าแก่หลี่จะทำงานนี้ได้หรือไม่”


 


 


ผลิตเข็มเงินนั้นเป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความละเอียดประณีตเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังต้องทำตามความประสงค์ของลูกค้าที่ให้ผลิตชุดเข็มเงินที่ไม่เหมือนกันอีก งานนี้ยากยิ่งนัก เสียเวลาไม่น้อย นายช่างหลี่ค่อนข้างลังเลใจ


 


 


เหวินเปียวเห็นท่าทางของเขาแล้วก็รู้ว่าเขาค่อนข้างไม่เต็มใจ เอ่ยว่า “นายช่างหลี่ นี่เป็นนายหญิงของข้า เห็นแก่ความสัมพันธ์หลายปีของเรา เจ้าจะต้องช่วยทำงานนี้ให้ได้นะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยวโยวก็ให้สัญญา “เพียงแค่ท่านผลิตชุดเข็มเงินตามแบบที่ข้าร้องขอ ไม่ว่าจะต้องใช้ตำลึงมากน้อยเพียงใดก็ไม่เป็นปัญหา”


 


 


นายช่างหลี่มองหน้าเหวินเปียวสลับกับมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวจากนั้นก็ตกปากรับคำในที่สุด “เห็นแก่หน้าของคุณชายเหวินข้าจะผลิตชุดเข็มเงินให้ท่าน ทว่าจำเป็นต้องใช้เวลานานหน่อย ท่านจะต้องทนรอสักระยะ”


 


 


“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ขอเพียงแค่เจ้าผลิตออกมาได้ จะต้องใช้เวลานานเท่าใดก็ไม่เป็นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวรับปาก


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชิญแม่นางเข้าไปข้างในขอรับ จะได้ร่างแบบเข็มเงินตามแบบที่ท่านต้องการ แล้วเราค่อยมาคุยกันเรื่องราคาอีกครั้ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามนายช่างหลี่เข้าไปในห้อง


 


 


กัวเฟยก็เดินตามเข้าไป


 


 


เหวินเปียวจูงบังเ**ยนรออยู่ด้านนอก


 


 


ภายในห้องนั้นรกรุงรัง มีวัสดุอุปกรณ์วางอยู่หลากหลายชนิดกับของที่ผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว


 


 


นายช่างหลี่พาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปยังโต๊ะเรียบๆ ที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ตัวหนึ่ง ชี้ไปที่พู่กันกับน้ำหมึกที่วางอยู่บนนั้นแล้วเอ่ยว่า “นี่คือพู่กันกับน้ำหมึก เชิญแม่นางร่างแบบเถิดขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาร่างแบบของเข็มเงินลงไปอย่างละเอียด และระบุขนาดของแต่ละจุดอย่างชัดเจน จากนั้นส่งให้กับนายช่างหลี่


 


 


เมื่อนายช่างหลี่เห็นแบบเข็มเงินที่นางร่างขึ้นมาแล้วก็ขมวดคิ้ว พูดขึ้นว่า “รูปแบบเข็มเงินที่แม่นางต้องการให้ผลิตนั้นไม่เหมือนกับผู้อื่น อาจจะผลิตขึ้นมายากสักหน่อย เกรงว่าจะต้องใช้เวลามากกว่าเดิมอีกมากโขเลยขอรับ”


 


 


สิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวต้องการก็คือชุดเข็มเงินที่เหมาะมือ จึงไม่ได้เกี่ยงว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไร เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากข้าต้องการเข็มเงินธรรมดาทั่วไปก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าผลิตให้หรอก ไปหาซื้อตามร้านค้าสักชุดก็ได้ ในเมื่อข้าคิดจะผลิตก็ต้องผลิตให้ดีที่สุดสักชุดหนึ่ง เวลาช้าหรือเร็วไม่ใช่ปัญหา เรื่องเงินทองก็มิได้เป็นปัญหาเช่นกัน”


 


 


นายช่างหลี่พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความอีก ทั้งหมดเป็นจำนวนเงินสองร้อยตำลึงขอรับ หลังจากนี้อีกเดือนหนึ่งก็มารับสินค้าได้เลย ข้ารับประกันว่าจะสร้างเข็มเงินตามแบบที่แม่นางวาดในกระดาษแผ่นนี้ไม่ให้มีผิดเพี้ยนเลยขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเอาตั๋วเงินใบหนึ่งส่งไปให้ “นี่เป็นตั๋วเงิน เจ้าลองดูก่อน”


 


 


นายช่างหลี่ไม่ได้รับมา เอ่ยว่า “แต่ก่อนล้วนต้องผลิตให้เสร็จก่อน เมื่อลูกค้ามารับสินค้าแล้วพึงพอใจจึงค่อยจ่ายเงิน สิ่งที่ท่านต้องการผลิตก็คือเข็มเงิน จำเป็นต้องใช้แร่เงินที่มีความบริสุทธิ์สูงมาหลอมจึงจะผลิตขึ้นมาได้ ท่านเป็นข้อยกเว้น ข้าขอรับจากท่านก่อนยี่สิบตำลึง ส่วนที่เหลือค่อยจ่ายเมื่อท่านมารับสินค้าก็แล้วกัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ฝืนใจ เก็บตั๋วเงินกลับคืนแล้วก็เอาเงินยี่สิบตำลึงให้กับเขา


 


 


นายช่างยื่นมือออกไปรับมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก


 


 


นายช่างหลี่เดินออกมาส่งนาง มองนางที่นั่งบนรถม้า เหวินเปียวทักทายเขาแล้วก็รีบขึ้นรถม้าไปอย่างนอบน้อม นึกถึงแต่ก่อนที่นายน้อยแห่งหน่วยคุ้มกันเวยหยวนอันมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงกลับต้องมากลายเป็นสารถี ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้เหวินเปียวตรงกลับบ้าน แล้วก็เป็นไปตามที่นางคาดเอาไว้ หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนออกมาจากวังหลวงแล้วก็ตรงมายังบ้านของนาง


 


 


คนส่วนใหญ่ต่างก็ออกไปทำงานในร้านกันหมด เหลือแค่เพียงผู้ชายสองคนที่เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะรักษาหายดีแล้วเฝ้าบ้านอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ เห็นหวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อี้มาก็ให้พวกเขาเข้าไปข้างในทันที


 


 


ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้านนั้นหวงฝู่อี้เซวียนกำลังนั่งบนเก้าอี้อยู่ในห้องต้องสีหน้าไม่ค่อยดี


 


 


เห็นนางเดินเข้ามาแล้วหวงฝู่อี้รีบเก็บอาการทันที


 


 


ทว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังเห็นสีหน้าของเขาเมื่อครู่นี้อยู่ดี เดาว่าจะต้องเกี่ยวของกับตัวเองเป็นแน่ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้เจ้าไม่มาข้าจึงรู้สึกเบื่อ พอทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้วก็ได้ไปเยี่ยมเหวินซื่อมา เป็นอย่างที่เจ้าว่าไว้จริงๆ เขาเปลี่ยนไปไม่น้อยเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “อืม” ขึ้นมาเบาๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา มองหน้าเขานิ่งๆ


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนอ้ำอึ้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “พูดมาเถอะ วันนี้เสด็จย่าของเจ้าพูดอะไรกับเจ้าอีก เจ้าถึงได้ไม่สบายใจถึงเพียงนี้”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก แต่ก็ยังไม่พูดออกมา เพียงแต่มองนางเงียบๆ พูดขึ้นว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรงานแต่งของข้ากับคุณหนูจวนราชเลขาข้าจะต้องยกเลิกอย่างแน่นอน เจ้ารออย่างสบายใจก็เพียงพอแล้ว เรื่องอื่นเจ้ามิต้องใส่ใจ”


 


 


คิดว่าคงจะพูดเรื่องที่ไม่ดีของตัวเองกระมัง เห็นเขาไม่พูดอะไรเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ถามขึ้นอีก แล้วจึงเปลี่ยนประเด็น “วันนี้ข้ายังได้พบกับฮูหยินเหวิน นางเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมามาก ไม่เสแสร้งกิริยาวาจาให้เกินควร เราคุยกันได้อย่างถูกคอเลย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย


 


 


ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสักพักก็เป็นเวลาค่ำแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อี้จึงกลับบ้านไป


 


 


ผ่านไปสองวัน ร้านค้าจัดเก็บอย่างเรียบร้อยทั้งหมด คิดว่าคนที่บ้านพอได้รับจดหมายแล้วก็ก็คงส่งคนมาโดยเร็ว เมิ่งเซี่ยนโยวไม่ได้ออกไปไหนรออยู่แต่ในบ้าน


 


 


แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ใกล้เที่ยงของวันนี้ก็มีคนเฝ้าประตูเข้ามารายงานอย่างร้อนรนว่า “นายหญิงขอรับ ข้างนอกมีรถม้ามาหลายคัน บอกว่ามาจากบ้านเก่าของท่าน มาส่งของขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน กัวเฟยกับเหวินเปียวและคนอื่นๆ ต่างก็ได้ข่าวคราวกันแล้ว เดินออกมาก่อนนางแล้ว กำลังทักทายกับผู้ที่มาอย่างยินดี


 


 


พอนางเดินออกมาจากประตูเมิ่งอี้ก็มองเห็นนาง ทักทายนางด้วยความดีใจ “น้องโยวเอ๋อร์ ข้ามาแล้ว”


 


 


มองเห็นว่าเมิ่งอี้เดินทางมาแล้วจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจไม่น้อย จึงรีบสาวเท้าเดินไปหา คิดว่าจะเดินเข้าไปทักทายกับเมิ่งอี้ใกล้ๆ พลันก็ร่างหนึ่งโผล่มาจากด้านข้างเข้ามาบังข้างหน้าของนางพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “พี่สาวโยวเอ๋อร์ข้าก็มาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนอี้หยุดลงทันที จ้องมองเขม็ง ถามขึ้นด้วยความดีอกดีใจ “เหลียงไฉเจ้าก็มาด้วยหรือนี่”


 


 


ซุนเหลียงไฉหัวเราะแหะแหะกับนาง ถามขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า “คิดไม่ถึงว่าข้าจะมาล่ะสิ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “คิดไม่ถึงจริงๆ หากไม่รู้สึกถึงลมหายใจอันคุ้นเคยของเจ้าเมื่อครู่นี้ข้าก็คงเตะไปแล้ว”


 


 


ซุนเหลียงไฉสะอึก ท่าทีตกตะลึง


 


 


เมิ่งอี้ กัวเฟย เหวินเปียวและคนอื่นต่างก็หัวเราะเสียงดังเฮฮา


 


 


ซุนเหลียงไฉรู้สึกตัว บ่นอุบอิบ “เสียแรงที่ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าจะถูกรังแกในเมืองหลวงไหม ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้าไม่มีน้ำใจเช่นนี้ข้าก็ไม่มาแล้ว”


 


 


ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วก็ตีหน้าขรึมอย่างเป็นงานเป็นการ “ข้าสบายดีทุกอย่าง ขอบพระคุณนายน้อยซุนที่เป็นห่วงเป็นใย ประเดี๋ยวข้าจะลงครัวทำอาหารอร่อยๆ ให้เจ้า ขอบใจเจ้ามากนะ”


 


 


ซุนเหลียงไฉพึงพอใจ เงยหน้าขึ้นมามองทุกอย่างอย่างลำพองใจ พูดขึ้นอย่างไว้ตัวว่า “นี่ก็พอได้อยู่”


 


 


เห็นท่าทางตลกของเขาเช่นนี้ทุกคนก็ยิ่งหัวเราะเสียงดังขึ้นกว่าเดิม

 

 

 


ตอนที่ 31-2 มีคนจากที่บ้านมาหา

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับเดินไปตรงหน้าเมิ่งอี้แล้วพูดขึ้นว่า “ตอนที่ข้าเขียนจดหมายก็เดาได้ว่าท่านน่าจะใกล้กลับบ้านแล้ว จึงเขียนจดหมายให้ท่านมาหา ไม่นึกเลยว่าพวกท่านจะมาถึงเร็วเช่นนี้”


 


 


สีหน้าของเมิ่งอี้เต็มไปด้วยความดีใจเอ่ยว่า “ก่อนข้าจะกลับบ้านวันหนึ่ง วันที่สองคนที่บ้านก็ได้รับจดหมายจากเจ้า คนในบ้านตระเตรียมของที่เจ้าต้องการเสร็จแล้วก็ตามข้ามา” พูดจบก็ชี้ไปที่รถม้าคันหนึ่งที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่แค่ข้านะ พี่สะใภ้ของเจ้ากับหงเอ๋อร์ก็ตามมาด้วย”


 


 


พูดจบประตูรถม้าก็เปิดออก เจ้าตัวน้อยเดินออกมาจากรถม้า อ้าแขนเล็กป้อมพร้อมกับพุ่งเข้ามาหาเมิ่งเชี่ยนโยว อ้าปากร้องตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ “ท่านน้า!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลงอุ้มเจ้าตัวน้อยที่พุ่งมาหาขึ้น แล้วกอดเขาหมุนไปรอบๆ


 


 


เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคิกอย่างมีความสุข 


 


 


โจวอิ๋งก็ลงมาจากรถม้ายิ้มๆ พูดขึ้นว่า “เด็กสามคนนี้พอได้ยินว่าจะมาหาเจ้าที่เมืองหลวงต่างก็งอแงอยากมาด้วย ตอนที่เรามาก็ต้องแอบออกมา ไม่รู้ว่าสองคนที่อยู่บ้านจะก่อเรื่องวุ่นวายขนาดไหนแล้ว”


 


 


“พี่สะใภ้” เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มหงเอ๋อร์ไว้อย่างมั่นคงแล้วร้องตะโกนขึ้น


 


 


โจวอิ๋งยิ้มพร้อมกับพยักหน้า อธิบายเพิ่มว่า “ท่านพี่บอกว่าข้าไม่ได้เจอกับท่านพ่อท่านแม่มานานหลายปีแล้ว ครั้งนี้มีโอกาสมาเมืองหลวงจึงให้ข้าตามมาด้วย คงไม่หน่วงเหนี่ยวจนทำให้เจ้าเสียงานกระมัง”


 


 


“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ถึงครั้งนี้พวกท่านจะไม่ตามมา ครั้งหน้าข้าก็จะให้คนพาพวกท่านมาส่งอยู่ดี สี่ปีแล้ว ไม่รู้ว่าฮูหยินโจวกับนายท่านโจวจะเป็นห่วงท่านมากขนาดไหน”เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย


 


 


พอเอ่ยถึงท่านพ่อกับท่านแม่ของตัวเองโจวอิ๋งก็มีสีหน้าคิดถึงขึ้นมา แต่พอคิดได้ว่ามาถึงเมืองหลวงใกล้จะได้พบกันแล้วก็รู้สึกดีใจขึ้นมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวกับกัวเฟย “พวกเจ้านำรถม้าเข้ามาข้างในเร็ว ของที่อยู่ด้านบนก็เอาลงมาเก็บรวมกันไว้ให้ดี พวกเราค่อยหาฤกษ์มงคลเปิดกิจการ”


 


 


ทั้งสองรับคำสั่ง โบกมือบอกให้คนอื่นนำรถม้าเข้ามาด้านในทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยวโยวอุ้มหงเอ๋อร์ พาคนเดินเข้ามาข้างในเรือน พอสั่งให้สาวใช้ชงชาเสร็จแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นบ้านที่ข้าเพิ่งจะซื้อมา ออกจะใหญ่โตสักหน่อย ต่อไปเราจะได้พักอยู่ด้วยกัน ห้องทุกห้องข้าสั่งให้คนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวพวกท่านค่อยไปเลือกดูว่าจะอยู่ห้องไหน”


 


 


ทุกคนต่างก็คอแห้ง รินน้ำชาดื่มหลายอึก


 


 


ซุนเหลียงไฉเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่รบกวนหรอก บ้านข้ามีกิจการอยู่ในเมืองหลวง ข้าไปพักอยู่ที่นั่นก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรอี้เซวียนก็มาที่นี่ทุกวัน เจ้าจะได้ไม่เจอหน้าเขาให้รู้สึกละอายใจ”


 


 


น้ำชาที่อยู่ในปากของซุนเหลียงไฉก็พ่นออกมา “พรืด” โดยไม่สนใจเช็ดให้สะอาด เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ด้านความสามารถนายน้อยอย่างข้าก็เป็นปัญญาชนผู้มีความรู้ ด้านรูปโฉมข้าก็สง่างามพลิ้วไหวดุจสายลม ไม่น้อยหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย ข้ามีอะไรต้องละอายใจ ข้าเพียงแต่เห็นว่าบ้านของเจ้ามีคนตั้งมากมาย บ้านเล็กแค่นี้อยู่กันไม่พอ จึงได้หวังดีบอกว่าจะไปพักอยู่ที่ร้านค้า ในเมื่อเจ้าไม่รับไมตรี ประเดี๋ยวข้าจะไปเลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดพัก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจเช็ดน้ำชาบนตัวที่ไม่ได้กระเด็นมาโดน พูดขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ “ดูแค่นิสัยที่ชอบพ่นน้ำเสียมารยาทของเจ้าก็พอ เจ้าเทียบเขาไม่ได้เลย”


 


 


ซุนเหลียงไฉสะอึก บ่นพึมพำเสียงเบาอย่างไม่พอใจ “ต่างก็บอกว่าสตรีนั้นพอแต่งออกไปแล้วจะฝักใฝ่สามี นี่ยังไม่ได้แต่งงานก็พูดแทนเขาเสียแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหูไวฟังคำพูดของเขาโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ทั้งโกรธทั้งขำ จึงแกล้งพูดขู่ว่า “เจ้าพูดอะไร ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าลองพูดอีกครั้ง”


 


 


อยู่กับตระกูลเมิ่งมานานหลายปี ซุนเหลียงไฉจึงรู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างดี ถ้าหากว่าเข้าพูดออกไปจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวคงจะให้คนโยนเขาออกไปเป็นแน่ จึงโบกมือขึ้นอย่างลนลานพูดว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้พูดอะไรเลย”


 


 


รู้ว่าเขาเป็นคนที่พูดไปโดยไม่คิดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็คร้านที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเขา จึงเปลี่ยนเรื่องคุยหันมาถามเมิ่งอี้ “พี่รอง ทุกคนในบ้ายสบายดีอยู่กระมัง”


 


 


เมิ่งอี้พยักหน้า “สบายดี ทุกคนในบ้านต่างก็สบายดี โรงหัตถกรรมก็ปกติดี” พูดจบก็ล้วงเอาจดหมายออกมาส่งให้นาง “น้องชายเมิ่งเสียนฝากให้ข้ามอบให้เจ้า เจ้าลองเอาไปอ่านดู”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับเอาจดหมายมาเปิดอ่าน อ่านไม่นาน จดหมายของเมิ่งเสียนเรียบง่ายไม่ซับซ้อน บอกนางว่าที่บ้านไม่มีปัญหาอะไร นางไม่ต้องเป็นห่วง ให้อยู่เมืองหลวงได้อย่างสบายใจ นอกจากนั้นหลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่เห็นจดหมายที่อี้เซวียนเขียนส่งไปให้คนที่บ้านแล้วตื่นเต้นกันมาก รู้ว่านางสบายดีพวกเขาก็วางใจแล้ว ท้ายจดหมายยังมีอีกประโยคหนึ่งเพิ่มเข้ามา ถ้าหากว่าอยู่ในเมืองหลวงต้องการใช้เงินทุนอีกมากแล้วเงินไม่พอก็ให้บอกกับคนที่บ้านทันที คนที่บ้านจะส่งให้นางโดยเร็ว 


 


 


ข้ามเวลามาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวจากบ้านหลังนั้นมาอย่างแท้จริง พอเห็นจดหมายนี้ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจส่วนอีกใจหนึ่งก็ดีใจ ที่ไม่สบายใจก็คือกลัวว่าต่อไปหากนางต้องอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเวลานานแล้วจะกลับไปเป็นเช่นแต่ก่อนไม่ได้ ที่ทุกคนในครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุข จะทำตัวออดอ้อนกับคนในครอบครัวที่ใดเวลาใดก็ได้ ที่ดีใจก็คือทุกคนในครอบครัวต่างก็เห็นนางเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าเสมอมา มีความเป็นห่วงเป็นใยมอบให้นางตลอดเวลา


 


 


เมิ่งอี้สองสามีภรรยาพอเห็นนางอ่านจดหมายจบแล้วมีท่าทีเศร้าสลด จึงสบตากันครั้งหนึ่ง โจวอิ๋งลองถามขึ้น “น้องสาวโยวเอ๋อร์เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฉีกยิ้มกว้าง หัวเราะพร้อมกับเอ่ยว่า “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่เห็นจดหมายของพี่ใหญ่แล้วก็คิดถึงบ้านขึ้นมา”


 


 


ซุนเหลียงไฉส่งเสียง “ชิ” ขึ้น “คิดถึงบ้านก็กลับไปสิ เมืองหลวงกับบ้านก็อยู่ไม่ไกลกัน เดินทางสองสามวันก็ถึงแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองเขา “พูดง่ายๆ ตอนข้ามาก็คุยโวโอ้อวดให้ท่านพ่อท่านแม่ฟังเสียใหญ่โต บอกว่าถูกการแต่งงานบังคับให้มา แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ข้าจะกลับไปอย่างไรเล่า”


 


 


ซุนเหลียงไฉจึงคิดไปในทางที่ไม่ดี เบิกตากว้าง ถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คงไม่ใช่ว่าเจ้าอี้เซวียนนั่นจะไม่ยอมรับหรอกใช่ไหม”


 


 


โดยไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ ซุนเหลียงไฉที่คิดว่าตัวเองพูดถูกได้ยืนขึ้นมาพร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้น พูดขึ้นอย่างแค้นเคืองที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม “เจ้าไม่ต้องกังวล ถ้าหากเจ้าหมอนั่นไม่ยอมรับ รอให้เจอหน้าเขาข้าจะซัดให้จนฟันร่วงหมดปากเลย”


 


 


เขาเพิ่งจะพูดจบหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้ามาให้ห้องโถงพอดี พูดถามขึ้นต่อจากเขาว่า “เจ้าจะซัดใครให้ฟันร่วงหมดปากหรือ”


 


 


ซุนเหลียงไฉอึ้ง ค่อยๆ หันหน้าไปมองเขา


 


 


ไม่เจอกันหลายปีหวงฝู่อี้เซวียนกลับตัวสูงใหญ่กว่าตัวเองมากนัก ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ที่หล่อเหลากว่าตัวเอง แม้แต่ไอพลังที่แผ่ออกมารอบตัวยังสูงส่งมากกว่าตัวเองอีก เขายืนอยู่ตรงนั้นทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นตัวเล็กลงกว่าครึ่งไปชั่วขณะ


 


 


ขยับปากแต่ทว่าซุนเหลียงไฉก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะ “เหอะๆ” ดังออกมา


 


 


ซุนเหลียงไฉได้สติขึ้นมาจากเสียงหัวเราะของนาง กระโดดไปกอดหวงฝู่อี้ “เจ้าบ้า ไม่เจอกันหลายปีหน้าตาช่างดึงดูดหมู่ภมรกับผีเสื้อมากกว่าข้าเสียอีก”


 


 


รอยยิ้มที่เป็นมิตรจากหวงฝู่อี้เซวียนพลันแข็งขึ้นในทันทีจากคำพูดเมื่อกี้นี้ของเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเสียงดัง


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าตัวเองได้พูดอะไรผิดไป คลายมือจากหวงฝู่อี้เซวียนแล้วจึงมาประเมินดูท่าทีของเขาอีกครั้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้กับเมิ่งอี้สองสามีภรรยา “พี่รอง พี่สะใภ้”


 


 


ในตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนมีฐานะเป็นถึงซื่อจื่อ ตั้งแต่เขาเดินเข้ามาเมิ่งอี้สองสามีภรรยาก็ลุกขึ้นทันที ตอนนี้พอได้ยินที่เขาเรียกแล้วเมิ่งอี้ก็โบกไม้โบกมืออย่างลนลาน “ซื่อจื่ออย่าเรียกพวกเราเช่นนั้นเลยขอรับ พวกเรามิกล้า”


 


 


โจวอิ๋งก็พยักหน้าเห็นด้วย


 


 


ซุนเหลียงไฉกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย “พี่เมิ่งอี้ จะไปเกรงใจอะไรเขาเล่า ไม่ว่าตอนนี้เขาจะมีฐานะเช่นไรก็ตาม แต่พออยู่ต่อหน้าพวกเราแล้วเขาก็ยังเป็นน้องชายอยู่ดี”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย “พี่รอง เหลียงไฉพูดถูกแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องชายของพวกท่านตลอดไป พวกท่านทำตัวตามสบายเช่นแต่ก่อนก็พอแล้ว”


 


 


แม้เขาจะพูดเช่นนั้นก็ตาม แต่เมิ่งอี้สองสามีภรรยาก็ปล่อยไปไม่ได้ ยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่เช่นเดิม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ของพวกเขาแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “พี่รอง พี่สะใภ้ ต่อไปเมื่ออี้เซวียนมาบ้านเช่นนี้ทุกวันแล้วพวกท่านก็เป็นเช่นนี้ตลอด พวกเราก็จะไม่สะดวกกันพอดี พวกท่านก็ปล่อยวางบ้างเถอะ ไม่จำเป็นต้องเห็นเขาเป็นซื่อจื่อก็ได้ มองเขาเป็นน้องเขยก็พอ”


 


 


ซุนเหลียงไฉได้ยินดังนั้นจึงหันมาล้อนาง “ช่างไม่ละอายเสียจริง ยังไม่ได้กำหนดงานแต่งก็บอกว่าให้มองเขาเป็นน้องเขยเสียแล้ว”


 


 


—————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)