ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 300-305
ตอนที่ 300 ลำบากแต่พูดไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยเสียงที่เย็นชา “เจ้าไปเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู เพื่อกันคนที่จะมาเรียกให้อยู่ข้างนอก อย่าได้ทำให้คนในบ้านตกใจ”
โจวอันรับคำ แล้วไปรอที่ประตูใหญ่
พวกเมิ่งเชี่ยนโยวได้ถอดชุดนอกออกเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน ได้ยินแล้ว ก็เปิด**บขึ้น แล้วสวมชุดใหม่อีกครั้ง “เงินแสนตำลึงอุดปากพวกเขาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวโทษข้าเลย ข้าจะให้พวกเขาต้องเสียใจที่ไปฟ้องต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท”
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นแต่เช้าตรู่ จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้พักผ่อน หวงฝู่อี้เซวียนกังวลตลอดว่านางจะเหนื่อยเอาได้ ตอนนี้พรรคพวกตาเฒ่าเหล่านี้ก็ยังไม่จบไม่สิ้น หวงฝู่อี้เซวียนเริ่มโมโหแล้ว พยักหน้า “เจ้ารับชมเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็พอ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้ม เดินมาตรงหน้าเขา ยื่นมือโอบคอพร้อมเขย่งปลายเท้าไปจูบที่ริมฝีปากเขา แล้วยิ้มพูด “ดี ข้าก็ชอบรับชมอยู่แล้ว”
การกระทำนี้ของนางถูกใจหวงฝู่อี้เซวียนอย่างมาก รอยยิ้มบนใบหน้าขยายออกกว้าง ภายในห้องราวกับสว่างไสวขึ้นมาโดยพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะถูกประกายที่สว่างสดใสของเขาส่องจนตาบอด ริมฝีปากจึงประกบเข้าไปอีก
ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนกลายเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ราวกับว่าเท่าไรก็ไม่เต็มอิ่ม กระทั่งรู้สึกได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวใกล้จะขาดอากาศหายใจถึงจะปล่อยนาง หอบหายใจแรง แล้วบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ “เมื่อไรจะสามเดือนนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวอิงที่อ้อมอกของเขา และลอบหัวเราะจนทั้งร่างสั่นไม่หยุด
หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวนางด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำ ฟังน้ำเสียงอย่างไรก็คล้ายว่ากำลังกัดฟันพูด “ตอนนี้ให้เจ้าได้ใจไปก่อน ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถึงเวลาที่ข้าจะจัดการกับเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งหัวเราะหนักขึ้น
และแล้วก็มีคนจากวังหลวงมาเรียกจริงๆ โจวอันกันพวกเขาไว้ที่ด้านนอกของประตูใหญ่ก่อน แล้วเดินเข้าไปรายงานภายในเรือนอย่างรีบร้อน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าทำให้คนอื่นตื่นตระหนก หลังจากที่ออกจากประตูบ้านอย่างเงียบๆ แล้ว ถึงจะให้ชิงหลวนไปส่งจดหมายให้แก่เมิ่งซื่อ บอกว่าวันนี้พวกเขามีธุระ จึงกลับจวนไปแล้ว
เมิ่งซื่อขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม เวลานี้ก็จวนจะเที่ยงแล้ว นางได้เริ่มทำอาหารแล้ว มีธุระรีบด่วนอันใดที่ต้องกลับไปในเวลานี้กัน พอถามชิงหลวน ชิงหลวนก็ส่ายหน้าบอกไม่ทราบ จากนั้นชิงหลวนก็หันกายตามออกไป
ที่ประตูวังหลวงได้มีขันทีเฝ้าอยู่ตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นทั้งคู่เข้าประตูวังหลวงมา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ และพูดด้วยเสียงนอบน้อม “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ฝ่าบาทมีพระราชรับสั่งให้พวกท่านไปที่ตำหนักหย่างซินขอรับ”
ทั้งคู่พยักหน้า แล้วตามขันทีมาถึงตำหนักหย่างซิน ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ของพวกท่านโหวอาวุโสและเสียงโอดครวญของท่านโหว ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน จากนั้นเดินเข้าไปด้านใน
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้บึ้งตึง นั่งอยู่กลางตำหนักหย่างซิน แผ่ไอความโกรธออกมาทั้งพระวรกาย
ฮ่องเต้ถูกคนพวกนี้โวยวายจนทำให้ปวดพระเศียร ความโมโหที่อยู่เต็มทรวงไร้ที่ระบาย ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียน ก็หาที่ระบายได้ในที่สุด ไม่รอให้เขาได้เอ่ยปากแก้ตัว ก็คว้าหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ข้างพระวรกายโยนกระแทกใส่ พร้อมตวาดด้วยความกริ้ว “เจ้าทำเรื่องงามหน้านัก!”
หวงฝู่อี้เซวียนชูมือขึ้น แล้วรับมาได้อย่างง่ายดาย มองฮ่องเต้แวบหนึ่ง แล้วจึงวางหนังสือนั่นไว้บนเก้าอี้ตัวเองอย่างระมัดระวัง แล้วพูด “เสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ ทรงพิโรธแล้วจะเป็นอันตรายต่อพระวรกายได้ พระองค์ชราแล้วควรต้องรักษาพระวรกายให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก อยากจะควานหาของโยนใส่เขาอีก หาอยู่นาน ถึงจะคว้าถ้วยชาใบหนึ่งได้ ทว่า ขณะที่ยกขึ้นมา ก็รู้สึกเสียดายที่จะทำมันแตก จึงชี้ไปที่พวกท่านโหวที่กำลังร้องโอดครวญอยู่ทั่วพื้น ถามด้วยน้ำเสียงติเตียนอย่างฉุนเฉียว “พวกเขาล้วนเป็นเสาหลักของราชวงศ์ เจ้าลงมือโดยไม่รู้หนักเบาเช่นนี้ เราจะตายเพราะโมโหเจ้านี่ล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเอียงศีรษะเล็กน้อย แล้วบริจาคสายตามองให้กับเหล่าท่านโหวที่กำลังร้องโอดครวญทั่วพื้นแวบหนึ่ง จากนั้นจึงละสายตากลับมา แล้วพูดอย่างจริงจังเคร่งเครียด “เสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ตรัสผิดแล้ว หลานทำเรื่องที่ดีอย่างมากต่างหากพ่ะย่ะค่ะ ทั้งนี้ก็เพื่อคลายความกังวลให้แก่ราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ”
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้กลายเป็นสีเขียว เอาพระหัตถ์ตบโต๊ะอย่างแรง แล้วตรัสอย่างเกรี้ยวกราด “พูดจาเหลวไหลทั้งนั้น เจ้าดูพวกเขาเสียก่อน แต่ละคนบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้ ในช่วงนี้แม้แต่จะเคลื่อนไหวยังยากลำบาก เจ้ายังบอกว่าเช่นนี้ก็เพื่อคลายความกังวลให้แก่รางวงศ์อย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนยืดอกผึ่งผาย พูดอย่างน่าเกรงขาม “เสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ บ้านเมืองและประชาชนในตอนนี้ล้วนสงบสุข พวกท่านโหวทั้งวันก็ไม่มีที่ไหนจะได้ใช้วิชายุทธ์ มีพละกำลังกลับไม่มีที่ออกแรง นานวันเข้าแล้ว ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความคิดที่เป็นภยันตราย สิ่งที่ข้ากระทำจึงเรียกว่าเป็นการป้องกันภัยไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้วยชาที่นึกเสียดายที่จะโยนออกไปบนพระหัตถ์ของฮ่องเต้เมื่อครู่ลอยออกไปถึงตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรวดเร็ว เสียงที่เฉียวฉุนก็ดังตามมาด้วย “พูดจาเหลวไหลได้อย่างเต็มปากนัก เจ้าจงคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ หวงฝู่อี้เซวียนเอื้อมมือออกไปรับถ้วยชา ถือมองอยู่ในมือ แล้วส่งให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว พร้อมกำชับนางด้วยเสียงเบาๆ “ถือไว้นะ” หลังจากนั้น ถึงจะจงใจกล่าวยั่วโมโหขึ้นอีก “ในเมื่อเสด็จลุงพระราชทานรางวัลให้ หลานก็จะรับไว้พ่ะย่ะค่ะ แต่เพียงถ้วยเดียวออกจะดูไม่งาม ขอเสด็จลุงทรงยกพระหัตถ์ แล้วพระราชทานให้กระหม่อมทั้งหมด เพราะวันนี้หลานจะต้องชดใช้เงินจำนวนล้านกว่าตำลึง แม้แต่เงินซื้อถ้วยชาก็ล้วนไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้โมโหจนแม้แต่หนวดเคราแต่ละเส้นที่ยังไม่งอกขึ้นก็ชูขึ้นมา ทำอย่างไรก็ฝืนกลั้นความโกรธของตัวเองไว้ไม่ได้ แทบอยากจะยกเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างโยนเข้าใส่ แล้วร้องคำรามด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราด “เราบอกให้เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
เสียงนี้รวมความกริ้วของทั้งพระวรกายของพระองค์เอาไว้ เสียงที่ออกมาดัง ไม่เพียงแต่สะท้านใบหูทุกคนที่อยู่ในตำหนักหย่างซิน แม้แต่บนเพดานของตำหนักหย่างซินก็สั่นด้วย ทำให้ท่านโหวอาวุโสตกใจจนไม่ร้องสะอื้นอีกแล้ว และท่านโหวก็ไม่ร้องโอดครวญแล้ว ทุกคนมองฮ่องเต้ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
หวงฝู่อี้เซวียนก็คุกเข่าลงด้วยความตะลึงแล้วจริงๆ เข่าตกลงพื้นเสียงดัง ตุบ
น้ำตาของเมิ่งเชี่ยนโยวไหลออกมาโดยพลัน และร้องไห้ขอเมตตา “ฝ่าบาทเพคะ ให้ข้าคุกเข่าแทนอี้เซวียนเถิดเพคะ เขาเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บมา ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่งเพคะ”
หวงฝู่อี้เซวียนจึงกระแอมรับตาม และบนหน้าผากก็มีเหงื่อไหลซึมออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวคว้าผ้าเช็ดหน้าซับให้แก่เขาขณะที่สายตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา น้ำตานั้นไหลรินออกมาไม่หยุด
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ แม้แต่หวงฝู่ซวิ่นก็ตกใจอย่างมาก
ฮ่องเต้ลืมว่าตัวเองกำลังโมโหโดยทันที แล้วตรัสถามอย่างร้อนรน “เขาได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อใด บาดเจ็บตรงไหนหรือ”
“ฝ่าบาท วันนี้อี้เซวียนคนเดียวต่อสู้กับพวกท่านโหวมากมาย แม้ว่าเขาจะมีวิทยายุทธ์ที่สูงแกร่งแค่ไหน ก็ไม่อาจที่จะไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อยได้นะเพคะ และพวกท่านโหวมีใจที่โหดเ**้ยม อยากจะทำร้ายเขาให้บาดเจ็บถึงอวัยวะภายในเลยเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดไปสะอึกสะอื้นไป
“เจ้าพูดจาเหลวไหล จะเพิ่มพวกเราเข้ามาอีกก็ยังสู้กับเขาคนเดียวไม่ได้ เขาจะบาดเจ็บได้อย่างไรเล่า” ท่านโหวที่ใบหน้าเขียวช้ำ แขนซ้ายห้อยโตงเตงออกปากโต้เถียง
เมิ่งเชี่ยนโยวเช็ดน้ำตา หันศีรษะมองเขา และถาม “ท่านโหวทั้งหลาย ตั้งแต่เล็กได้รับการเลี้ยงดูจากท่านโหวอาวุโส วิชาการต่อสู้ย่อมไม่ต้องพูด อี้เซวียนเริ่มเรียนการต่อสู้เพียงแค่ในช่วงเวลาสองปีมานี้ ท่านโหวพูดเช่นนี้ ในใจไม่มีความละอายแม้แต่น้อยเลยหรือเจ้าคะ”
“เจ้า…” ท่านโหวถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก
หวงฝู่ซวิ่นดวลกับหวงฝู่อี้เซวียนมาเป็นเวลานาน ย่อมรู้ว่าฝีมือเขาเป็นอย่างไร ครั้นคำพูดนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวดังออกไป เขาก็เข้าใจโดยทันทีว่านางจะทำอะไร ท่าทีที่เป็นกังวลก็สูญสิ้นไป แล้วนั่งหลังตรง รอดูความสนุกที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา
หวงฝู่อี้เซวียนเติบโตที่บ้านนอกเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้กัน หลังจากกลับจากจวนอ๋องฉี อ๋องฉีถึงจะเชิญอาจารย์มาสอนวิทยายุทธ์ให้แก่เขา ดังนั้น ต่อให้เขามีพรสวรรค์มากแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับพวกลูกของท่านโหวที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์มาตั้งแต่เล็ก ทันทีที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดออกไป ฮ่องเต้ก็เชื่อไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง สีพระพักตร์ก็มองไปทางคนกลุ่มคนพวกนั้นที่อยู่ในตำหนักหย่างซินอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาตรวจสอบใบหน้าของแต่ละคน แล้วถามท่านโหวอาวุโสหลิวที่อายุมากที่สุดโดยที่ในน้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “ที่ซื่อจื่อเฟยพูดนั่นเป็นความจริงหรือ”
ท่านโหวอาวุโสแซ่หลิวติดตามฮ่องเต้มานานหลายปี ทุกๆ การเคลื่อนไหว ทุกๆ สายตาของฮ่องเต้ เขาล้วนรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร สายตาของฮ่องเต้เช่นนี้ ก็คือสัญญาณที่บอกว่าพระองค์กำลังพิโรธแล้วอย่างไรล่ะ เขารู้สึกผวาจนบนศีรษะมีเหงื่อซึมออกมาทันที ภายใต้ความรู้สึกที่หวั่นเกรง ก็ตอบด้วยเสียงที่สั่นระรัว “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ การท้าดวลของซื่อจื่อกับพวกเด็กๆ นั้น มีไท่จื่อเป็นสักขีพยาน ไม่ว่าจะเป็นหรือตายอย่างไร ทั้งสองฝ่ายก็จะไม่คิดแค้นกันภายหลังพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวต้องการก็คือประโยคหลังของเขา เมื่อสิ้นคำพูดของอาวุโส นางก็ส่งเสียงสะอื้นเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่ท่านโหวอาวุโสพูดเป็นความจริงเพคะ แต่ก่อนหน้านี้ หม่อมฉันกลัวว่าอี้เซวียนจะทำให้พวกท่านโหวบาดเจ็บแล้วจริงๆ ดังนั้น จึงรับปากว่าจะให้เงินคนละหนึ่งแสนตำลึง หลังจากกลับบ้านไป ก็ให้คนมามอบให้แก่ไท่จื่อแล้วเพคะ พวกเขาปากก็พร่ำบอกว่าหม่อมฉันเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้จักมารยาทกาลเทศะ ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ทว่า อย่างน้อยคนบ้านนอกอย่างหม่อมฉันคนนี้ก็รักษาคำพูด ส่วนพวกเขาน่ะเพคะ พวกเขากลับผิดคำพูด รับปากแล้วแต่กลับไม่ยอมรับ แล้วยังมาฟ้องต่อพระพักตร์ฝ่าบาทอีก หม่อมฉันกลับอยากจะถามเสียหน่อยนะเพคะว่าตกลงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ไม่รู้จักมารยาทกาลเทศะ”
สิ้นคำพูดของนาง ไม่เพียงแต่ท่านโหวอาวุโสแซ่หลิว ท่านโหวคนอื่นก็มีเหงื่อผุดออกบนหน้าผาก พวกเขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า เมิ่งเชี่ยนโยวจะเอาคำพูดที่พวกเขาเคยพูดทั้งหมดบอกให้แก่ฮ่องเต้ฟัง นี่ไม่เพียงแต่ลูกของตัวเอง เกรงว่าแม้แต่ตัวเองก็หนีไม่พ้นที่จะถูกฮ่องเต้ตำหนิไปด้วย นี่มันเป็นการขโมยไก่ไม่ได้ แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือจริงๆ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ความคิดในใจของพวกเขายังไม่ทันสิ้นสุด เสียงที่เดือดดาลพร้อมความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ก็ดังขึ้น “ท่านโหวอาวุโสที่รักทุกท่าน ที่ซื่อจื่อเฟยพูดเป็นความจริงหรือ”
ถ้าหากไม่มีหวงฝู่ซวิ่นเป็นพยาน พวกเขาอาจจะยังพูดแถไถได้ เพราะไม่ว่าอย่างไร หลายปีนี้ พวกเขาก็เข้าขากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน แต่แย่ก็ตรงที่หวงฝู่ซวิ่นอยู่ในสถานการณ์เวลานั้นด้วย อีกทั้ง พวกเขายังรับตั๋วแลกเงินแสนตำลึงนั่นมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ก็แถต่อไม่ได้
ตำหนักหย่างซินเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ไม่มีใครพูด มีแต่เพียงเสียงลมหายใจแรงๆ ของท่านโหวอาวุโสแต่ละคนวนเวียนไปมาอยู่ภายในห้อง
หวงฝู่ซวิ่นชมนางในใจว่าเก่ง เพียงพูดแค่ไม่กี่คำก็ทำให้ท่านโหวอาวุโสพวกนั้นเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และพูดอะไรไม่ออก ในเวลาเดียวกันในใจก็เตือนตัวเองว่า ต่อไปอย่าได้มีเรื่องอะไรกับนางเด็ดขาด มิฉะนั้นก็ต้องมีจุดจบที่เลวร้ายแน่นอน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูด ฮ่องเต้ก็ส่งเสียงแสยะยิ้ม เสียงนี้ดังเข้าไปในหูของพวกท่านโหวอาวุโส เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าฮ่องเต้จะลงโทษพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ท่านโหวอาวุโสคุกเข่าลงบนพื้นเป็นคนแรก แล้วทุกคนก็ล้วนทำตามเป็นเสียง ปึง ปึง พร้อมพูดอ้อนวอนไม่ขาดสาย “ฝ่าบาท เป็นเพราะพวกกระหม่อมเห็นว่าหลานๆ ถูกทำร้ายจนดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร จึงโมโหแล้วถึงพูดกับซื่อจื่อเฟยออกไปโดยมิได้ไตร่ตรอง เป็นความผิดของกระหม่อมเอง กระหม่อมจะชดใช้โทษให้แก่ซื่อจื่อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องชดใช้โทษน่ะไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่อยากจะขอร้องทุกท่านว่า ต่อไปอย่าได้ก่อกวนคนของบ้านข้าและจวนอ๋องเนื่องด้วยเหตุนี้อีกก็พอแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ท่านโหวอาวุโสทุกคนโบกมือปฏิเสธพร้อมกัน “ไม่ ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน กล้าพนันก็กล้ารับความพ่ายแพ้ เรื่องวันนี้เป็นเพราะพวกข้าสับสนเอง ขอซื่อจื่อเฟยวางใจ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแล้ว”
อย่างไรก็เป็นคนที่เคยช่วยเหลือตนมาก่อน ฮ่องเต้จึงไม่อาจที่จะทำอะไรเกินเลยได้ แต่ก็ไม่อาจที่จะปล่อยพวกเขาไปอย่างง่ายๆ เช่นนี้เหมือนกัน เพื่อว่าต่อไปเมื่อบาดแผลของพวกเขาหายแล้วก็จะลืมความเจ็บ แล้วปล่อยให้ลูกหลานของตัวเองทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องขึ้นมาอีก จึงยังคงไม่เก็บความโกรธ พูดกับท่านโหวอาวุโสแต่ละคนด้วยความน่าเกรงขาม “เรื่องวันนี้ พวกเจ้าเป็นฝ่ายผิดก่อน กลับวิ่งมาฟ้องต่อหน้าเรา แล้วกล่าวโทษอีกฝ่าย ทำให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยถูกกล่าวหา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ทุกคนล้วนต้องบอกว่าฮ่องเต้อย่างข้าไร้ความยุติธรรม ดังนั้น เราจำเป็นต้องลงโทษพวกเจ้า”
ได้ยินน้ำเสียงของฝ่าบาทไม่เปลี่ยนแปลง ก็รู้ว่าพระองค์ทรงกริ้วจริงๆ แล้ว ท่านโหวอาวุโสก็ไม่กล้ากล่าวอ้างคุณความดีของตัวเองแต่ก่อน ทุกคนล้วนก้มศีรษะจรดพื้น “กระหม่อมน้อมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”
ครานี้น้ำเสียงของฮ่องเต้ถึงจะผ่อนลงเล็กน้อย และพูด “เรื่องวันนี้ ในเมื่อเป็นการท้าของทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นเงินแสนตำลึงที่ซื่อจื่อเฟยให้ต้องเอาคืนกลับไปเท่าจำนวนเดิม และต้องชดใช้อย่างเหมาะสมให้แก่ซื่อจื่อเฟย ส่วนค่าชดใช้เท่าไรนั้น เราคิดแล้วว่าให้พอเป็นพิธีก็น่าจะได้ ทุกจวน จวนละหนึ่งหมื่นตำลึงก็แล้วกัน”
พวกท่านโหวอาวุโสตกใจจนเหงื่อท่วมศีรษะแล้ว สติยังไม่คืนกลับมา แต่ก็พยักหน้ารับคำ
เหล่าท่านโหวอยู่ที่พื้นสมองแจ่มชัดยิ่ง ความเกลียดภายในใจนั่น ผนวกกับที่พวกเขาวุ่นวายกว่าครึ่งวัน ไม่เพียงแต่โดนเตะต่อย กลับยังจะต้องชดใช้ด้วยเงินหมื่นตำลึงอีก หากรู้ตั้งแต่แรกว่าจะได้รับผลลัพธ์เช่นนี้ แล้วทำไมพวกผู้ใหญ่ของตัวเองต้องขี้ขลาดคิดโง่ๆ มาฟ้องต่อพระพักตร์ฝ่าบาทด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะได้เงินแสนตำลึงเสียแล้ว แต่วาจาของฮ่องเต้นั้นศักดิ์สิทธิ์ เมื่อออกพระราชโองการแล้ว พวกเขาไม่อยากรับก็ต้องรับ มิฉะนั้นก็จะเป็นการต่อต้านพระราชโองการ ซึ่งมีโทษถึงขึ้นโดนประหารทั้งโคตร
และเช่นนี้เอง ตั๋วแลกเงินจำนวนล้านกว่าตำลึงกลับคืนสู่มือของเมิ่งเชี่ยนโยว อีกทั้งเพียงเวลาประเดี๋ยวเดียวนี้ ยังจะได้เพิ่มอีกแสนตำลึง เทียบกับเงินเก็บสะสมภายในร้านแลกตั๋วเงินแล้วยังจะมากกว่าเสียอีก
ท่านโหวอาวุโสทุกท่านล้วงตั๋วแลกเงินออกมา แล้วก็ล่องลอยหายไปไม่เห็นฝุ่น
หวงฝู่อี้เซวียนกลับคุกเข่าอยู่ ไม่เคลื่อนไหว
ฮ่องเต้มองเขาที่ทำท่าทำทาง แล้วกล่าวตำหนิด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก! หรืออยากจะให้เราพยุงเจ้าขึ้นมาด้วยตัวเราเองหรืออย่างไร”
ตอนที่ 301 ชดใช้
เมิ่นเชี่ยนโยวประคองหวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น
ฮ่องเต้มองเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดด้วยท่าทีที่คล้ายว่าจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าซื่อจื่อเฟยคนนี้ของเซวียนเอ๋อร์มีความสามารถด้านการแสดงที่ดีทีเดียว”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่หวั่นเกรง ยิ้มรับ และพูด “การได้รับคำชมเชยจากฝ่าบาทนับเป็นบุญวาสนาของหม่อมฉันเพคะ”
ฮ่องเต้ถูกพูดย้อน หนวดเคราแต่ละเส้นก็ชูชันขึ้นอีกครั้ง
ไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัสสั่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ของภายในตำหนักหย่างซิน แล้วถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เสด็จลุง วันนี้หลานได้ทำภารกิจที่ใหญ่โตเช่นนี้สำเร็จ พระองค์จะพระราชทานรางวัลอะไรให้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถูกท่าทางของเขาทำให้รู้สึกหงุดหงิด “ไม่ใช่ว่ารางวัลนั้นอยู่ในมือของซื่อจื่อเฟยหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนนิ่งอึ้งอย่างที่ไม่คาดคิด
ในที่สุดก็ได้เปรียบแล้ว ฮ่องเต้ยิ้มอย่างเริงร่า
หวงฝู่อี้เซวียนได้สติคืนกลับมา คว้าถ้วยชาที่อยู่ในมือของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วเดินก้าวยาวๆ มาข้างหน้าหลายก้าว แล้ววางบนข้างพระหัตถ์ของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง และพูด “สิ่งนี้ หลานได้คืนให้แล้ว เสด็จลุงพระราชทานรางวัลอย่างอื่นแก่หลานเถิดพ่ะย่ะค่ะ แล้วแต่ว่าจะพระราชทานรางวัลอะไรก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเขาด้วยรอยยิ้มครู่หนึ่ง แล้วตรัสถาม “อยากได้อะไรล่ะ”
“หลานมิได้มีใจโลภ พระองค์มอบสมุนไพรทำยาชั้นดีในวังหลวงแก่หลานในจำนวนหนึ่งคันรถก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มของฮ่องเต้คลายลง มุมพระโอษฐ์บุ้ยไป “เจ้าบังอาจจริงๆ อ้าปากก็ขอเป็นคันรถเลย เจ้าต้องรู้นะว่าสมุนไพรชั้นดีในวังหลวงจำนวนรถหนึ่งคัน ก็ค้ำจุนกิจการของจวนอ๋องฉีได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดปลิ้นปล้อน “กระหม่อมไม่สนพ่ะย่ะค่ะ ตอนแรกเสด็จลุงให้หลานหาโอกาสจัดการกับพวกตาเฒ่านั่น และรับปากแล้วว่าเพียงแค่ทำสำเร็จ จะยื่นเงื่อนไขอะไรก็ตามแต่ที่กระหม่อมว่า ไม่ใช่ว่าตอนนี้พระองค์จะกำลังกลืนคำพูดของพระองค์เองแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถูกพูดย้อนอีกครั้ง
หวงฝู่ซวิ่นที่ไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอดก็ผงะไปด้วย เขาเองก็รู้สึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนแปลกๆ ชอบกล กล้าทำร้ายคนมากมายอย่างสาหัสในทีเดียว ที่แท้ก็เพราะมีเสด็จพ่อหนุนหลังเขาอยู่นี่เอง ก็จริง ปกติแล้วคนเหล่านี้เอาแต่กล่าวอ้างสถานะตัวเอง และทำเรื่องไม่ชอบธรรมเป็นประจำ จึงควรที่จะต้องถูกสั่งสอนเสียบ้าง
หวงฝู่อี้เซวียนมองฮ่องเต้ตาปริบๆ ท่าทางแบบนั้นดูน่าสงสารยิ่งนัก
ฮ่องเต้กระแอมออกมาครั้งหนึ่ง “ก็ได้ เราจะสั่งให้คนไปถ่ายทอดกระแสรับที่ห้องยาหลวง สมุนไพรที่อยู่ด้านใน เจ้าหยิบก็ได้ตามใจชอบ” แต่แล้วก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ถูกต้อง จึงกระแอมปกปิดไว้ “อย่าได้เอาของเราไปหมดล่ะ ไม่ว่าอย่างไรก็เหลือไว้ให้เราบ้าง”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มร่าและพูดขอบคุณ ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้น คำนับต่อฮ่องเต้เสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็ออกไป แต่ว่า ขณะที่กำลังจะเดินออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มมองหวงฝู่ซวิ่นแวบหนึ่ง
หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกขนลุกซู่โดยพลัน ในใจแอบร้องว่าแย่แล้ว จึงรีบลุกขึ้นยืน คำนับ และคิดจะออกไปไล่ตามสองคนนั้น แต่นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้เก็บรอยยิ้ม แล้วพูดกับเขาอย่างเคร่งขรึม “เจ้าอยู่ก่อน วันนี้มีฎีกาที่เพิ่งจะส่งมาสองฉบับ เจ้าลองดูเสียหน่อย พ่อจะไปดูเสด็จย่าของเจ้าในตำหนัก หลังจากกลับมาแล้วจะต้องได้ยินแผนงานความคิดของเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
หวงฝู่ซวิ่นรับคำ
ฮ่องเต้ลุกขึ้น เสด็จออกจากตำหนักหย่างซิน แล้วไปที่ตำหนักของไทเฮา
ขันทีที่ทำหน้าที่ส่งกระแสรับสั่งพาหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ห้องยาหลวง แล้วพูดถ่ายทอดกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ ผู้ดูแลในห้องยาหลวงไม่กล้าชักช้า นำทั้งสองคนเข้ามาภายในห้องยาหลวง
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มกวาดสายตา โบกมือสั่งให้ขันทีที่อยู่ในห้องยาหลวงนำสมุนไพรที่โด่งดังและล้ำค่าแต่ละชนิดขนไปเกือบครึ่ง ผู้ดูแลห้องยาหลวงที่ทำได้เพียงแค่มองและรู้สึกปวดใจราวกับเลือดกำลังหลั่งไหลออกจากหัวใจ แทบอยากจะคุกเข่าแล้วเอาศีรษะกระแทกพื้นต่อทั้งสองคน แล้ววิงวอนขอว่าอย่าได้ขนไปอีกเลย ถ้าขนไปอีก ห้องยาหลวงแห่งนี้ก็จะต้องปิดตัวลงแล้ว
ทั้งคู่กวาดตาดูทั้งห้องอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าได้มาพอสมควรแล้ว ถึงจะหยุด หลังจากยิ้มหวานทักทายผู้ดูแลห้องยาหลวงที่สีหน้าขาวซีดและเหงื่อท่วมศีรษะแล้ว ก็เดินออกมา
เท้าของทั้งสองคนเพิ่งจะก้าวข้ามออกจากประตู ผู้ดูแลก็รีบปิดประตูดัง ปัง ทันที โดยไม่สนว่าทั้งสองคนจะไปแล้วหรือยัง แล้วรีบตรวจสอบยาสมุนไพรที่เหลืออยู่ทันที ยิ่งเห็นก็ยิ่งตกใจ ยิ่งเห็นก็ยิ่งระทมใจ สุดท้ายกระแทกก้นลงบนพื้น แล้วเตรียมจะร้องไห้ครวญคราง
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่สนใจไม้นั้นหรอก สั่งขันทีในวังหลวงขนสมุนไพรขึ้นบนรถม้าของบ้านตัวเอง ตอนนี้ถึงจะเตรียมกลับจวนอ๋องฉีอย่างดีอกดีใจ
มีขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามา พลางโบกมือร้องตะโกน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย กรุณาคอยก่อนขอรับ”
ทั้งสองคนหยุดฝีเท้า หันตัวกลับไป
ขันทีหอบหายใจแรงวิ่งมาถึงตรงหน้าทั้งคู่ แล้วโค้งตัวทำความเคารพ “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ข้าน้อยเป็นบ่าวภายในตำหนักไทเฮา ไทเฮาทรงได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าทั้งสองคนเข้ามาในวังหลวง จึงสั่งข้าน้อยให้มาเชิญท่านทั้งสองอยู่รับประทานอาหารด้วยกันก่อน”
ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ไทเฮาคิดอยากจะเรียกพบหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมาโดยตลอด แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็หาเหตุผลต่างๆ มาปฏิเสธ วันนี้มาถึงในวังหลวงแล้ว ถ้ายังปฏิเสธอีกก็คงดูเหมือนว่าไม่ค่อยเหมาะสม หวงฝู่อี้เซวียนหันหน้าไป ส่งสายตาถามความเห็นของเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะให้เบาๆ
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก “ไปเถิด”
ขันทีถอนหายใจโล่งอก ความขัดแย้งระหว่างไทเฮากับซื่อจื่อเฟย คนที่เป็นบ่าวอย่างพวกเขาเห็นอย่างชัดเจน แม้ว่าไทเฮาอยากจะหาอะไรเพื่อชดใช้อย่างเต็มที่ ซื่อจื่อก็ไม่ให้โอกาสพระองค์เลย ฮ่องเต้ไปตำหนักของไทเฮาเมื่อครู่ บอกว่าทั้งสองคนไปห้องยาหลวง ไม่รู้ว่าหยิบสมุนไพรชั้นดีไปมากเท่าไร ทันทีที่ไทเฮาได้ยินก็รีบสั่งคนให้มาเชิญพวกเขา ในใจของขันทีกระวนกระวายอย่างยิ่ง กลัวว่าทั้งคู่ไม่ยอมไปหาพระองค์ แล้วเมื่อตัวเองกลับไปก็จะต้องถูกตำหนิ นึกไม่ถึงว่าทั้งคู่จะรับปากอย่างง่ายดายเช่นนี้ ขันทีดีใจออกนอกหน้า ในเวลาเดียวกันก็รีบหันตัวกลับเพื่อนำทางโดยทันที แล้วเดินไปยังตำหนักไทเฮา
“คอยก่อน!” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นจากด้านหลังของเขา
ฝีเท้าของขันทีหยุดโดยพลัน ในใจหนักอึ้ง รู้สึกถึงความเจ็บปวดของแผ่นไม้ใหญ่ที่หนักหน่วงแผ่นนั้นหวดเข้าที่ร่างของตัวเอง หันตัวไป แล้วพยายามฉีกยิ้มออกมา “ซื่อจื่อ ท่าน…?”
“ข้าขอสั่งคนให้ขนยากลับไปก่อน”
ไม่ใช่ว่าไม่ไป ความรู้สึกแสบร้อนที่ก้นนั่นหายไปทันที แล้วพยักหน้าอย่างดีใจไม่หยุด “ซื่อจื่อไม่ต้องรีบขอรับ ข้าน้อยเป็นฝ่ายรอท่านขอรับ”
ผละจากเมิ่งเชี่ยนโยว เดินออกนอกประตูวังหลวง หวงฝู่อี้เซวียนสั่งโจวอัน “ขนสมุนไพรกลับไปที่จวนอ๋อง หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วค่อยมารับพวกเรา”
โจวอันรับคำ
หวงฝู่อี้เซวียนหันตัวกลับไป แล้วตามขันทีมาถึงตำหนักของไทเฮาพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว
ในพระทัยของไทเฮากระวนกระวายอย่างยิ่ง แม้ขณะพูดคุยกับฮ่องเต้ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องชะโงกทอดพระเนตรไปนอกประตูอยู่ตลอด จนกระทั่งได้ยินเสียงรายงานของขันที พระพักตร์ถึงจะเผยความยินดีออกมา อยากจะลุกขึ้นเพื่อออกไปต้อนรับ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงนั่งตัวตรง แล้วสั่งให้เชิญทั้งคู่เข้ามา
ทั้งสองคนเข้ามาในห้อง แล้วแสดงความเคารพตามธรรมเนียม
ไทเฮาประคองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต่อไปธรรมเนียมพวกนี้ก็เว้นให้หมดเสียเถิด” หลังจากนั้นก็ตรัสสั่งอีก “ยกเก้าอี้นิ่มมาให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟย”
ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณ รอให้กูกูผู้ดูและขนเก้าอี้เข้ามา แล้วจึงนั่งลงอย่างมีเรียบร้อย
เมื่อก่อนรู้สึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เหมาะสมกับหลานชายของตัวเอง ไม่ว่าจะมองนางอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกชะตา แต่บัดนี้เห็นนางนั่งลงข้างกายหวงฝู่อี้เซวียนอย่างนอบน้อม ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง สงบเสงี่ยมและสง่างามไปทั้งกาย ไทเฮาก็ตระหนักได้แล้วว่าทั้งคู่เป็นกิ่งทองใบหยกที่สวรรค์สรรสร้างมา
ดังนั้นจึงใช้น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างมากพูด พร้อมด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้เซวียนเอ๋อร์พาเจ้าเข้าวังหลวงมาให้ข้าดูเสียหน่อยตั้งนานแล้ว เขากลับบ่ายเบี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้เข้าวังหลวงมาแล้วทั้งที ก็ยังไม่ยินยอมมาพบหญิงแก่อย่างข้าคนนี้อีก เป็นเพราะติดใจกับเรื่องเมื่อก่อนอยู่หรือ ในใจยังโกรธเกลียดข้าอยู่ใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า ยิ้มหวาน “ไทเฮาเพคะ พระองค์เข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันมิได้โกรธเกลียดท่านเลย เพียงแต่ช่วงนี้ หม่อมฉันแพ้ท้องหนักมาก ออกจากประตูจวนไม่ได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ดังนั้นจึงมิได้มาเยี่ยมพระองค์เลยเพคะ”
ไหนเลยที่ไทเฮาจะไม่รู้ว่านี่เป็นข้ออ้างของนาง ความจริงแล้วก็คือไม่ยินยอมมาพบตัวเองนั่นแหละ แต่นางพูดเช่นนี้ล้วนเพื่อไว้หน้าตัวเอง เวลานั้นจึงไม่ได้พูดรบเร้าเรื่องนี้ต่ออีก และถามอย่างเป็นห่วง “ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้มตอบ “ดีขึ้นมากแล้วเพคะ หนึ่งวันก็เพียงแค่สองสามครั้ง”
ไทเฮายิ้มพยักหน้า แล้วตรัสว่า “วันนี้ดูเจ้าผอมลงไปหน่อยจริงๆ เห็นทีต่อไปต้องบำรุงให้มากขึ้นแล้ว เจ้าอยากกินก็อะไรบอกข้า ข้าจะสั่งครัวหลวงทำมาให้เจ้าทันที”
“ขอบพระทัยไทเฮาอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันไม่เลือกกิน อาหารอะไรก็ได้เพคะ”
ไทเฮายิ้มเตือนนาง “เจ้าเด็กคนนี้ แต่งงานกับเซวียนเอ๋อร์แล้ว เรียกไทเฮาๆ อยู่นั่น ควรเรียกว่าเสด็จย่าตามเซวียนเอ๋อร์สิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดคล้อยตามด้วยรอยยิ้ม “เพคะ เสด็จย่า”
แต่ไหนแต่ไรไทเฮาไม่เคยได้ยินคำว่าเสด็จย่าได้รื่นหูเท่านี้มาก่อน จึงรับคำอย่างดีใจทันที แล้วตรัสอย่างยิ้มแย้ม “มีเจ้านี่แหละที่ใส่ใจ ไม่เหมือนใครบางคนที่แล้งน้ำใจ ข้าขอร้องให้พาชายาของตัวเองมาให้ข้าดู ก็ไม่ยินยอมท่าเดียว ราวกับข้าจะกัดกินชายาของเขาให้ได้อย่างไรอย่างนั้น”
คำพูดนี้จะหมายถึงใคร ในใจทุกคนล้วนกระจ่างชัด หวงฝู่อี้เซวียนก็เข้าใจ จึงรีบโต้แย้งกลับมา “เสด็จย่า เข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะโยวเอ๋อร์แพ้ท้องอย่างรุนแรงจริงๆ จึงเข้าวังหลวงไม่ได้เลยต่างหากพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ ทุกคนล้วนรู้แก่ใจดี แต่ไทเฮาก็ไม่ได้ตรัสเปิดเผย แล้วสั่งด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปหากไม่มีอะไรก็พาโยวเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาให้หญิงชราอย่างข้าดูบ้าง ข้าแก่แล้ว อยากทำอะไรที่มีชีวิตชีวาบ้าง”
หวงฝู่อี้เซวียนรีบรับคำ
กูกูผู้ดูแลเข้ามารายงานว่าอาหารได้จัดวางเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนจึงนั่งลงรับประทานอาหาร
เดินทางกลับไปกลับมา วุ่นวายไปครึ่งค่อนวัน เมิ่งเชี่ยนโยวหิวมากแล้วจริงๆ รอให้ไทเฮาและฮ่องเต้หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รอช้า หยิบตะเกียบขึ้นมากินด้วยเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนก็หยิบตะเกียบขึ้น ช่วยนางคีบอาหารที่ล้วนเป็นสิ่งที่สายตานางไปที่ไหน ตะเกียบของหวงฝู่อี้เซวียนก็คีบมาให้ถึงหน้าแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวกินคำใหญ่ๆ เต็มปาก
ไทเฮาและฮ่องเต้เห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็รู้สึกหิวไปด้วย แต่ละคนจึงกินไปสองชาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมานี้เลย
ไทเฮาวางตะเกียบและชามลง แล้วเช็ดปากอย่างสง่างาม พร้อมตรัสอย่างยิ้มแย้ม “นานมากแล้วจริงๆ ที่ข้าไม่ได้กินข้าวเยอะขนาดนี้ นี่เป็นเพราะโยวเอ๋อร์เลย บอกมาเถิด อยากได้รางวัลอะไร วันนี้ย่าจะรับปากเจ้าทุกอย่าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนก็วางถ้วยและตะเกียบลง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเราไม่ได้อยากได้อะไรเลยเพคะ เพียงแต่ขอให้เสด็จย่ามีอายุยืนนานก็พอแล้วเพคะ”
คำพูดนี้ทำให้ไทเฮารู้สึกชอบอกชอบใจอย่างมาก ดีใจจนหุบปากไม่ได้ แล้วรีบสั่งกูกูผู้ดูแลทันที “ไป ไปเอารังนกสีแดงอย่างดีสองกล่องมาให้โยวเอ๋อร์นำกลับไป”
รังนกสีแดงนี้เป็นสิ่งล้ำค่าในหมู่มวลรังนก ภายในห้องคลังของไทเฮามีอยู่ทั้งหมดเพียงสามกล่อง ปกติแล้วก็จะรู้สึกเสียดายจึงไม่ค่อยได้เสวย ตอนนี้พระราชทานให้เป็นรางวัลแก่เมิ่งเชี่ยนโยวสองกล่อง เห็นได้ชัดว่าวันนี้พระองค์อารมณ์ดีอย่างยิ่ง
กูกูผู้ดูแลรับคำ แล้วไปห้องคลังเล็กเพื่อนำรังนกสีแดงออกมา เดินมาถึงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน ก็เปิดกล่องออกมาให้พวกเขาเห็นของที่อยู่ด้านในอย่างชัดเจน
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจร้องออกมา “เสด็จย่าเพคะ นี่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่สามารถรับได้เพคะ ทรงพระชนม์มากแล้ว เก็บเอาไว้เสวยเองเถิดเพคะ”
ครั้นเห็นนางไม่โลภเหมือนกับคนอื่นที่พอเห็นของดีก็รีบขอบคุณรับโดยทันที ในพระทัยของไทเฮาก็ยิ่งอภิรมย์ แล้วตรัส “ย่าให้เจ้า เจ้าก็รับไปเถิด ตอนนี้เจ้าก็ตั้งครรภ์พอดี ต้องบำรุงให้ดี ต่อไปย่าจะได้มีเหลนตัวขาวอ้วนกลมเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงเรื่อ อยากจะปฏิเสธอีก แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับรับมา แล้วขอบคุณอย่างดีใจ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่า”
ไทเฮาโบกมือปฏิเสธ “ยังจะเกรงใจกับย่าอีก ต่อไปอยากได้อะไรก็ขอให้เอ่ยปากบอก ต่อให้ย่าไม่มี ก็จะสั่งคนไปหามาให้พวกเจ้า”
“ขอบพระทัยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสองคนขอบคุณพร้อมกันอีกครั้ง
แล้วพูดคุยเป็นเพื่อนไทเฮาและฮ่องเต้สักครู่ เมื่อเห็นสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวดูเหนื่อยล้า ไทเฮาก็สั่งคนให้ส่งทั้งสองคนออกไปจากวังหลวง
ทั้งคู่ขึ้นรถม้าที่โจวอันมาคอยอยู่หน้าประตูวังหลวง แล้วกลับจวนอ๋องฉี
พอเข้ามาในห้องของตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เหนื่อยจนไม่แม้แต่จะถอดเสื้อนอกออก ก็เอนกายลงบนเตียง ปิดตาลง แล้วพูด “อี้เซวียน ข้าขอพักสักหน่อย”
พูดจบ ก็หลับสนิทไป
หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกปวดใจอย่างมาก ดันร่างกายของนางอย่างระมัดระวังเพื่อถอดชุดนอกให้นางด้วยท่าทางที่นุ่มนวล เพื่อให้นางได้นอนอย่างสบายขึ้น
จากนั้น สั่งคนให้นำน้ำมา แล้วเช็ดหน้าและมือของนางด้วยตัวเอง เสร็จแล้วก็สั่งหวงฝู่อี้เฝ้าไว้ ไม่ให้ผู้ใดมารบกวนพวกเขา
เขาถอดเสื้อนอกออก นอนอยู่บนเตียง แล้วโอบเมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนหลับสนิทไว้ในอ้อมอก และนอนเป็นเพื่อนด้วยกันกับนาง
ทันทีที่ทั้งคู่นอนหลับไป ก็ล่วงเลยจนถึงเวลาที่ฟ้าใกล้มืดแล้ว ถึงจะตื่นขึ้นมา
หวงฝู่อี้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตลอด ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงรายงาน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ไท่จื่อเสด็จมาขอรับ และรอเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”
ตอนที่ 302 สำนักคุ้มภัยเวยหย่วน
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเปิดตาขึ้นและยังสะลึมสะลืออยู่ เมื่อได้ยินการรายงานของหวงฝู่อี้ จึงขยี้ตา แล้วอยากจะลุกขึ้นมานั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนห้ามนาง “ไม่ต้องสนใจเขา เจ้าหายง่วงก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหาวหนึ่งครั้ง แล้วกลับลงไปนอนอีกครั้งหนึ่งอย่างว่าง่าย และพูดโดยที่หลับตาอยู่ “ข้ายิ่งอยู่ยิ่งอยากนอนมากผิดปกติแล้ว เป็นเช่นนี้ต่อไป ต้องกลายเป็นลูกหมูขี้เกียจแน่ๆ”
หวงฝู่อี้เซวียนพลิกตัวหันข้าง มือข้างหนึ่งดันศีรษะของตัวเอง แล้วมองท่าทางขี้เซาของนาง แล้วยิ้มออกมา พูด “ไม่ว่าเจ้าจะกลายเป็นอะไร ข้าก็ไม่รังเกียจเจ้าเลย” พูดจบ ก็รอคอยท่าทางที่รู้สึกตื้นตันของเมิ่งเชี่ยนโยว
และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดตาขึ้น ยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นเดียว “เพิ่งตื่นก็ได้ยินคำพูดหวานๆ แบบนี้ ข้าควรจะให้รางวัลเจ้าเสียหน่อยดีไหมนะ”
“ไม่ต้อง ข้าให้เจ้าเองก็ได้” พูดจบ ริมฝีปากก็ประกบเข้าไป
จูบอย่างดูดดื่มครู่หนึ่ง ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็แผ่ประกายแสงแห่งความสุข และยิ้มถาม “ซื่อจื่อเฟย ตอนนี้ตื่นแล้ว ต้องการให้ข้าใช้ความงามเอาใจเจ้าให้ลุกขึ้นจากเตียงหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก เห็นใบหน้าที่งดงามทุกวันก็เบื่อหน่ายแล้ว ซื่อจื่อเฟยคนนี้ตื่นเองดีกว่า”
หวงฝู่อี้เซวียนเบียดเข้าไปใกล้นาง บนใบหน้าแม้ว่าจะมีรอยยิ้ม แต่ถ้อยคำที่พูดออกมากลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกไม่ปลอดภัย “ซื่อจื่อเฟย กล้าพอที่จะพูดคำพูดเมื่อครู่อีกครั้งหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหวาดกลัวโดยพลัน แล้วทำหน้ายิ้มอ้อน “พูดผิดแล้ว พูดผิดไปอย่างมาก ซื่อจื่อของข้า เป็นชายหนุ่มรูปงามแห่งยุค รูปร่างสง่าผ่าเผย สูงส่งเหนือผู้ใดจะเทียมเช่นนี้ ข้าจะเบื่อหน่ายได้อย่างไร ได้แต่เพียงมองดู มองเท่าไรก็ไม่เบื่อ นับวันก็ยิ่งติดใจ”
คำพูดนี้ฟังอย่างพอใจแล้ว ไออันตรายรอบตัวของหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้มลายไป จึงลุกขึ้น ลงจากเตียง รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากเตียง ก็ช่วยนางสวมเสื้อนอกให้เรียบร้อย แล้วถือช่วงเวลาที่นางกำลังล้างหน้าล้างตาและแต่งกาย ตัวเองก็ใส่เสื้อนอก แล้วจัดแจงเล็กน้อย ถึงจะมายังในเรือนของพระชายาฉีด้วยกัน
หวงฝู่ซวิ่นเกรงกลัวอ๋องฉี จึงย่อมไม่กล้าไปรบกวนเขา ตัวเองนั่งอยู่คนเดียวก็รู้สึกเบื่อหน่าย จึงมาขอพบพระชายาฉี แล้วนั่งพูดคุยสัพเพเหระกับนางอยู่ภายในเรือรของพระชายาฉี เมื่อก่อนเสด็จอาสะใภ้คนนี้นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ภายในจวนมีพระชายารองเฮ่อเป็นผู้ดูแลบ้าน เขาจึงมาที่จวนอ๋องฉีน้อยครั้งมาก หลังจากนั้นตามหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาได้ ก็แทบไม่ได้มา เนื่องจากต้องปิดบังความสัมพันธ์ลับของพวกเขา วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้สนทนากับพระชายาฉี กลับพบว่าเสด็จอาสะใภ้ท่านนี้มีความน่าสนใจกว่าที่ตัวเองคิดอย่างมาก ว่าตามหลักความจริงแล้ว นางเกิดในจวนของแม่ทัพ แม่ทัพอาวุโสก็มีนางเป็นลูกสาวแค่เพียงคนเดียว อีกทั้งร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก จึงน่าจะเป็นคนที่ถูกประคบประหงมจนมีนิสัยหยิ่งยโสและเอาแต่ใจไร้เหตุผล แต่เสด็จอาสะใภ้ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีท่าทางที่เมตตา สง่างาม ใจกว้าง พูดจาก็สบายๆ ไม่เหมือนดังภาพที่เขาจินตนาการไว้แม้แต่น้อย
หวงฝู่ซวิ่นประหลาดใจอย่างมาก ยิ่งอยากจะพูดคุยกับนาง แล้วก็คุยเป็นเวลาชั่วยามโดยที่ไม่รู้ตัว จนกระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมา ถึงจะขัดจังหวะการพูดคุยของทั้งคู่
พระชายาฉีมิได้เห็นว่าหวงฝู่ซวิ่นเป็นคนอื่นใด กวักมือยิ้มให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว ส่งสัญญาณให้นางนั่งบนเก้าอี้นิ่มที่อยู่ด้านข้าง แล้วพูด “ไท่จื่อมาถึงตั้งนานแล้ว ได้ยินว่าพวกเจ้ากำลังพักผ่อน จึงไม่ได้ไปรบกวน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าไปทางหวงฝู่ซวิ่น แล้วพูดกับพระชายาฉีอย่างละอาย “ไม่รู้ทำไมเจ้าค่ะ หลายวันนี้ยิ่งรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนง่าย เลยต้องทำให้ไท่จื่อรอนานแล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีพูดกำชับด้วยรอยยิ้ม “ตั้งครรภ์ก็เป็นแบบนี้แหละ ภายในจวนไม่มีเหตุอันใด ถ้าหากอยากนอนก็นอนเถิด ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น”
เห็นทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสบายๆ เหมือนเป็นแม่ลูกแท้ๆ ไม่มีระยะห่างแม้แต่น้อย หวงฝู่ซวิ่นก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา ตัวเองเติบโตภายในวังหลวงตั้งแต่เล็ก แม้แต่ตอนที่พูดคุยกับเสด็จแม่ก็ไม่ได้สบายๆ เช่นนี้ เพราะเสด็จแม่มักจะบอกเขาเสมอว่า หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เวลาจะพูดอะไรต้องระมัดระวังคนที่แอบฟัง สิ่งที่ไม่ควรพูด สิ่งที่ไม่สามารถพูดได้ ล้วนต้องเก็บเอาไว้ในใจ แม้นเพียงครึ่งประโยคก็ไม่อาจพูดออกมาได้ ส่วนไท่จื่อเฟยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย นางเป็นบุตรสาวของคนชั้นสูง ระวังและรักษาเรื่องมารยาทและกาลเทศะอย่างมาก ไม่เคยล้ำเส้นแม้แต่ก้าวเดียว เวลาพูดจากับตัวเองก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาที่นางพูดคุยกับเสด็จแม่ของตัวเองอีก นอกจากเข้าวังหลวงไปเยี่ยมตามธรรมเนียม เวลาอื่นก็แทบจะไม่ได้มีการพูดคุยกันเท่าไร
หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยากให้พระชายาฉีรู้ความสัมพันธ์ลับของตนกับไท่จื่อ จึงถามด้วยเสียงนอบน้อม “ไท่จื่อวันนี้เสด็จมาที่จวนด้วยเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นเขาแสร้งทำท่าทำทาง หวงฝู่ซวิ่นอยากจะพ่นคำด่าใส่เขาสักหน่อยเสียจริง มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่รู้อีกหรือ รู้แล้วยังจะแกล้งถามอีก! ทว่า อยู่ต่อหน้าพระชายาฉี คำพูดนี้ก็ไม่กล้าพูดออกไป จึงเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าวันนี้เกิดเรื่องเล็กน้อยภายในกั๋วจื่อเจี้ยน และเกี่ยวข้องกับน้องเซวียน ข้าจึงมาถามสักหน่อย ไม่รู้ว่าน้องเซวียนพอจะบอกได้หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เรื่องนี้ถ้าจะพูดก็คงนาน เพียงประโยคสองประโยคคงพูดไม่จบหรอกพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นไท่จื่อเสด็จไปที่เรือนของข้า แล้วพวกเรามาคุยกัน ‘ดีๆ’ เถิด”
ไปหรือไม่ไปดี หวงฝู่ซวิ่นลังเลอยู่พักหนึ่ง ไปแล้วโดนต่อยคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ไป บางอย่างก็ไม่สะดวกที่จะพูดต่อหน้าพระชายาฉี ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กัดฟัน แล้วฝืนเผยรอยยิ้มออกมา “ก็ดี ข้าก็รบกวนเสด็จอาสะใภ้มานานแล้ว พวกเราไปคุยกันในเรือนของเจ้า”
พูดจบ ก็ลุกขึ้นแล้วบอกลาพระชายาฉี “เสด็จอาสะใภ้ขอรับ วันหลังข้าจะมาเยี่ยมท่านที่จวนอีก”
พระชายาฉียิ้มพูด “ฟ้ามืดแล้ว หากเจ้าไม่มีเรื่องด่วนอันใด ข้าสั่งในห้องครัวให้ทำอาหารเย็น แล้วเย็นนี้เจ้าอยู่ทานข้าวในจวนก่อนแล้วค่อยไปเถิด”
อีกประเดี๋ยวไม่รู้ว่าตัวเองโดนต่อยแล้วจะเป็นอย่างไร หวงฝู่ซวิ่นก็ไม่กล้าขายหน้า จึงยิ้มปฏิเสธ “ขอบพระคุณขอรับ วันนี้คงไม่ได้แล้ว วันหลังจะต้องหน้าไม่อายมาทานข้าวด้วยอย่างแน่นอนขอรับ”
พระชายาฉีไม่ดึงดันต่อ พยักหน้ายิ้ม “ได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน แล้วพูด “เสด็จแม่เจ้าคะ เรื่องวันนี้เกี่ยวข้องกับน้องชายทั้งสองคนของข้า ข้าจะตามไปพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ”
“ไปเถิด ระวังหน่อยล่ะ ให้ชิงหลวนประคองเจ้า”
ทั้งสามคนกลับมาถึงภายในเรือนรับแขกของหวงฝู่อี้เซวียน สั่งคนให้ไปยกชามา แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ถึงจะถามขึ้นอย่างช้าๆ “พี่ใหญ่ ที่ท่านมาในวันนี้คือ…?”
ได้ยินคำพูดเขา ตาหวงฝู่ซวิ่นได้แต่จ้องน้ำชาที่อยู่ข้างกาย ไม่เงยหน้าขึ้นมา และตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เสแสร้งให้มันน้อยๆ หน่อย ข้ามาทำอะไรเจ้าไม่รู้หรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าอย่างซื่อตรง “พี่ใหญ่ ท่านไม่พูด น้องก็ไม่รู้จริงๆ ขอรับ”
“ข้าจะบอกทั้งคู่ให้ว่าเรื่องในวันนี้เป็นเพราะข้าสะเพร่าเอง แต่ไม่อาจโทษข้าได้ทั้งหมด อีกประเดี๋ยวลงมือเบาเสียหน่อย สองวันนี้เสด็จพ่อมีพระประสงค์ให้ข้าไปที่ห้องทรงพระอักษรเพื่อช่วยดูฎีกา ถ้าหากทำให้เขามองออก ข้าจะไม่ปิดบังแทนพวกเจ้า ไม่แน่ว่าอาจจะถือโอกาสฟ้องเสียเลย”
“นี่พี่ใหญ่พูดอะไรของพี่กัน พระองค์เป็นถึงรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ในอนาคตของรัฐอู่ พวกเรากล้าจะลงมือกับพระองค์ที่ไหนกันพ่ะย่ะค่ะ” ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนผ่อนลง และพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สา
ในใจหวงฝู่ซวิ่นกลับยิ่งฮึกเหิม “พวกเจ้าจะเอาอย่างไรก็ว่ามาเถิด วันนี้ข้าขอรับประกันว่าจะไม่ตีกลับ ไม่พูดย้อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเสียงดังออกมา “พี่ใหญ่พูดเสียน่าสงสารเลยนะเพคะ พวกเราเคารพต่อพระองค์อย่างยิ่ง แล้วพวกเราจะเคยกล้าลงมือกับพระองค์เมื่อไรหรือเพคะ เรื่องวันนี้ ข้ากับอี้เซวียนไม่ได้โทษพระองค์เลยเพคะ”
“จริงหรือ” หวงฝู่ซวิ่นเบิกตาโต ถามกลับอย่างไม่เชื่อ
“แน่นอนว่าไม่จริงเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกดวงตาดำทั้งคู่ แล้วมองเขาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ แม้แต่คำพูดนี้ท่านก็เชื่อหรือ”
หวงฝู่ซวิ่นถูกย้อนจนพูดไม่ออก โกรธจนยกถ้วยน้ำชาขึ้นซดไปหลายอึก
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งยิ้มยิ่งส่องประกายแวววับ “แต่ วันนี้พวกเราไม่ได้คิดว่าจะไม่เคารพพี่ใหญ่หรอกนะเพคะ เพียงแต่จะยื่นเงื่อนไขเล็กๆ ให้แก่พี่ใหญ่”
ดื่มน้ำชาในถ้วยเสร็จ หวงฝู่ซวิ่นก็วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างกาย แล้วเผยท่าทางที่ใจกว้าง “ก็ได้ เงื่อนไขอันใด หากข้าสามารถทำได้จะรับปากเจ้าอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีบ ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเล็กน้อย แล้วถึงจะพูดยิ้มอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเพคะ สำหรับพี่ใหญ่แล้วง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก”
หวงฝู่ซวิ่นบุ้ยปาก แสดงท่าทางราวกับบอกว่ามีแค่ผีเท่านั้นแหละถึงจะเชื่อพวกเจ้า
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ วางถ้วยชาในมือลง แล้วยิ้มพูด “พี่ใหญ่จำได้ไหมเพคะว่าเมื่อก่อนในเมืองหลวงมีสำนักคุ้มภัยที่ชื่อว่าเวยหย่วนอยู่แห่งหนึ่ง”
“สำนักคุ้มภัยเวยหย่วน?” หวงฝู่ซวิ่นขมวดคิ้ว แล้วนึกอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าจำขึ้นมาได้อย่างเลือนลาง แน่นอนว่ามีช่วงหนึ่งที่นับว่าสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนมีความรุ่งเรืองอย่างมากในเมืองหลวง หลังจากนั้นเพราะว่าสินค้าที่ต้องคุ้มกันนำส่งให้เฮ่อเหลี่ยนเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ถึงทำให้สำนักนั้นปิดตัวลง ว่ากันว่า นายน้อยผู้เป็นเถ้าแก่ในสำนักคุ้มภัยถูกขายเป็นทาส
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า พูด “พอนึกออกบ้าง เวลานั้นสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนแห่งนี้เกิดเรื่องเพราะข้องเกี่ยวกับเฮ่อเหลี่ยน ดังนั้นข้าจึงส่งคนไปสืบดูเสียหน่อย ไม่รู้ว่าที่น้องถามถึงเรื่องนี้เพราะเหตุใดหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แสดงอีกต่อไป ตอบเขาอย่างเป็นกันเองว่า “นายน้อยของสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนก็คือเหวินเปียว ซึ่งเป็นลูกน้องของข้า ในปีนั้นทั้งครอบครัวของเขาสิบกว่าคนถูกขับไล่เป็นทาส แล้วถูกส่งไปที่ชิงเหอ บังเอิญถูกข้าพบ จึงซื้อพวกเขามา หลังจากนั้น ข้ามาที่เมืองหลวงแล้ว ก็อยากจะสืบเรื่องในอดีตที่ผ่านมา แล้วพบว่าพวกเขาถูกเฮ่อเหลี่ยนใส่ร้าย สาเหตุทั้งหมดนี้เป็นพราะเฮ่อเหลี่ยนอยากจะบีบบังคับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เหวินเปียวที่พบเข้าโดยบังเอิญก็ช่วยนางไว้ เฮ่อเหลี่ยนจึงมีใจคิดแค้น ถึงได้สร้างเรื่องเพื่อใส่ร้ายในเวลาต่อมา วันนี้ข้าพูดออกมา เพราะอยากจะให้พี่ใหญ่ช่วยสักหน่อยเจ้าค่ะ ช่วยคืนชื่อเสียงให้แก่สำนักคุ้มภัยเวยหย่วนด้วยนะเจ้าคะ”
เรื่องนี้ค่อนข้างจัดการลำบาก ในปีนั้นเฮ่อจางยังดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดี และพระชายารองเฮ่อก็ได้รับความเอ็นดู ขุนนางระดับล่างจึงลงโทษอย่างหนักเพื่อที่จะประจบพวกเขา แต่เนื่องจากเป็นศาลในสังกัดของราชวงศ์ หากตอนนี้อยากจะพลิกคดี ก็เท่ากับตบหน้าของราชสำนักตัวเองไปด้วย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เห็นเขาเงียบไม่พูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เร่งเร้า ยกน้ำเปล่าขึ้นมา จิบเล็กๆ อีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก “เรื่องนี้ไม่ได้ยากมากอย่างที่พี่ใหญ่คิด ตอนแรกที่สำนักคุ้มภัยเกิดเรื่องเป็นแผนการของเฮ่อเหลี่ยน ตอนนี้ไม่มีเขา ก็ย่อมไม่มีคนคัดค้านแล้ว พระองค์สามารถสั่งคนไปเอาเอกสารคดีออกมาทำลายอย่างเงียบๆ แล้วเว้นโทษให้สำนักคุ้มภัยทุกคน เท่านี้ก็เรียบร้อยไม่ใช่หรือ”
หัวคิ้วของหวงฝู่ซวิ่นขมวดกันแน่น “จะง่ายอย่างที่เจ้าพูดที่ไหนกัน ภายในนั้นไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องเฮ่อเหลี่ยน ยังเกี่ยวโยงกับข้าราชที่ตัดสินคดีความนี้ในเวลานั้นอีก ถ้าจะพลิกคดีให้แก่สำนักคุ้มภัย ก็จำเป็นต้องลงโทษพวกเขา แต่นี่ก็ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว บางคนก็ได้เลื่อนตำแหน่งสูงแล้ว จึงไม่ง่ายต่อการตรวจสอบเลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่คลาย และพูดอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ ข้าเป็นเพียงผู้หญิง หลักการการจัดการของขุนนางมิได้เข้าใจมาก แต่ข้ารู้หลักการอย่างหนึ่ง นั่นคือ ผู้ที่ได้ใจของประชาชนเท่ากับได้ครอบครองแผ่นดิน ท่านมีสถานะเป็นไท่จื่อ สิ่งที่ต้องทำก็คือกุมหัวใจของประชาชน ก็จริงอย่างที่ท่านว่า เรื่องนี้ไม่ได้จัดการง่าย แต่ถ้าหากท่านจัดการสำเร็จแล้ว ก็จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเรื่องที่ใส่ร้ายในปีนั้น แม้ว่าทำลายชื่อเสียงของขุนนางหลายคน แต่สิ่งที่พระองค์ได้ก็คือใจอันเป็นที่รักจากประชาชนในเมืองหลวง และในเวลาต่อมาไม่นานก็จะกลายเป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน เช่นนั้นต่อไปท่านจะกังวลว่าจะนั่งบนบัลลังก์อย่างไม่มั่นคงในแผ่นดินแห่งนี้กันไปทำไมเล่าเจ้าคะ”
ในใจของหวงฝู่ซวิ่นสั่นไหวอย่างแรง เพียงประโยคที่สวยงามประโยคเดียวที่กล่าวว่า เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินผู้ได้ใจของประชาชน ดูแล้วเหมือนว่าเป็นประโยคที่ง่าย แต่ซ่อนความหมายยิ่งใหญ่เอาไว้ ถ้าหากตัวเองทำได้จริงๆ ก็จะเป็นอย่างที่นางว่า จะกังวลว่าจะนั่งอย่างไม่มั่นคงได้อย่างไร ใคร่ครวญถึงตรงนี้ เลือดร้อนก็พลุ่งพล่าน และพูดรับปากอย่างเริงรมย์ “ได้ เมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ พี่ใหญ่ก็จะช่วยเรื่องนี้อย่างแน่นอน ส่วนเจ้ารอฟังข่าวดีจากข้าเถิด”
ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเผยความยินดี สายตาเป็นประกาย “ขอบพระคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก พี่ใหญ่เพียงแต่อยากจะพูดอย่างหนึ่ง”
“พี่ใหญ่โปรดว่ามาเถิด”
“คนฉลาดหลักแหลมเช่นเจ้า เหตุใดถึงตามืดบอดไปถูกใจคนหน้าซื่อใจคดเสียแล้วล่ะ” พูดจบ เงาคนที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสองก็แวบหายไป และเงาของหวงฝู่ซวิ่นก็ได้มาถึงหน้าประตูของห้องรับแขกแล้ว เสียงด้านหลังก็ดังขึ้นตามมาจากไกลๆ “ถ้าหากวันใดที่น้องสาวเสียใจภายหลังแล้ว ก็บอกกับพี่ใหญ่สักหน่อย ผู้ชายดีๆ ในแผ่นดินแห่งนี้ยังมีอีกมากมาย ถึงเวลานั้นพี่ใหญ่จะช่วยพวกเจ้าอีกแรงแน่นอน”
สิ้นคำพูด ตัวคนก็ออกจากเรือนไปแล้ว
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนทะมึนลง ปลายเท้าขยับราวกับอยากจะตามออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะยิ้ม ร้องห้าม “เห็นแก่ที่เรื่องนี้ยากสำหรับเขาแล้ว เจ้าอย่าได้ถือสากับเขาเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนหันศีรษะกลับมา มองนางเขม็ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกอึดอัด จึงยิ้มถาม “เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้น”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น เดินเข้ามาตรงหน้านาง กอดนางเข้าในอ้อมอกแน่น แล้วขยับปากชิดที่ข้างหูนาง พูดเสียงเบาราวกับยั่วเย้าและไถ่ถาม “โยวเอ๋อร์ บอกเรื่องในโลกก่อนของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
ตอนที่ 303 คิดอยากได้ผลประโยชน์
เมิ่งเชี่ยนโยวเอื้อมมือขึ้นโอบคอของเขาไว้ ปล่อยกายครึ่งหนึ่งของตัวเองอิงอยู่บนกายเขา แล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อยากจะรู้โลกก่อนของข้าก็ได้ แต่สามีผู้งดงามไร้ใครเทียมของข้าจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนกันล่ะ”
ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มแห่งความอันตราย “เมียรักอยากได้อะไร ก็ขอให้บอกมา สามีมิบังอาจไม่เชื่อฟัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงความอันตราย แต่ก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ดึงมือข้างหนึ่งกลับมา แล้วดันคางของหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “มีหนุ่มรูปงามอยู่ตรงหน้า ข้าก็เริ่มไม่ค่อยรู้ว่าอยากจะได้อะไรเสียแล้ว ขอให้ข้าคิดก่อน อีกวันสองวันค่อยตอบเจ้าได้หรือไม่”
ประกายเล็กๆ ในดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนหายวับไป แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
พูดจบ ก็ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ ย่อเข่าลงอุ้มนางขึ้นมา แล้วกลับเข้าไปภายในห้องของตัวเอง
กระทั่งชิงหลวนมารายงานอย่างระมัดระมังด้านนอกห้องว่า อาหารได้เตรียมเสร็จแล้ว และสามารถรับประทานได้ทุกเมื่อ หวงฝู่อี้เซวียนก็ส่งเสียงที่ปนด้วยความเร่าร้อนจากด้านในห้องออกมา “ยกเข้ามาแล้วกัน”
ชิงหลวนรับคำ ไม่กล้าให้หวงฝู่อี้รับ จึงยกอาหารเดินเข้าไปในห้องกับจูหลีด้วยกันสองคนโดยที่ไม่ลอบมองเข้าไปในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวเสื้อผ้าไม่ค่อยเรียบร้อย ผมเผ้าที่ยาวสลวยทั้งศีรษะปรกลงมาข้างหน้า เอนพิงหมอนบนเตียงด้วยสีหน้าแดงเรื่อ เสื้อผ้าของหวงฝู่อี้เซวียนยังนับว่าเรียบร้อยอยู่ และสั่งทั้งสองคน “วางไว้บนโต๊ะ แล้วออกไปเถอะ”
ทั้งสองคนรีบนำอาหารวางไว้บนโต๊ะ แล้วสาวเท้าออกจากห้องโดยเร็ว มองกันและกันแวบหนึ่ง ในใจก็รู้สึกไม่เห็นด้วย การควบคุมตัวเองของซื่อจื่อคนนี้แย่เกินไป ร่างกายของนายหญิงยังไม่มั่นคง ทำไมเขาถึงเริ่มก่อกวนแล้ว
ถ้าหวงฝู่อี้เซวียนล่วงรู้ความคิดในใจของทั้งสองคน จะต้องร้องเสียงดังว่าถูกเข้าใจผิดแล้วอย่างแน่นอน เขายังไม่ได้แม้แต่จะได้ถึงเนื้อถึงตัวเลย แล้วจะนับว่าก่อกวนได้ที่ไหนกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบผ้ามัดผมรวบผมของตัวเองไว้ด้านหลังอย่างง่ายๆ สวมรองเท้าเรียบร้อย ก็เดินมานั่งที่ด้านหน้าของโต๊ะ นึกไม่ถึงว่า อากัปกิริยานี้ของนางตกอยู่ในห้วงสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนแล้วก็เป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง ไฟเร่าร้อนที่เพิ่งยับยั้งไปได้ก็ถาโถมขึ้นมาอีกครั้ง ภายในตาก็เผยประกายวับวาม
หวงฝู่อี้เซวียนอดทนต่อความปรารถนา แล้วมากินข้าวกับเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่ออิ่มแล้ว ก็ไปเดินเล่นภายในจวนเป็นเพื่อนนางเพื่อย่อยอาหาร หลังจากกลับมาที่ห้อง ก็ระงับอารมณ์ไว้ไม่ไหวและโถมเข้าใส่
ทั้งเย็นนี้ หวงฝู่อีเซวียนไม่เพียงแต่รู้เรื่องโลกก่อนของเมิ่งเชี่ยนโยว ยังได้รับรู้ถึงความสุขในอีกวิธีหนึ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวสอนให้ แน่นอนว่านี่ก็เป็นต้นเหตุแห่งหายนะที่เกิดขึ้นกับเมิ่งเชี่ยนโยว เพราะว่าเมื่อหวงฝู่อี้เซวียนที่มีพลังมหาศาลได้ลิ้มลองรสหวานแล้ว อย่าว่าแต่ทุกวัน ผ่านไปเพียงสามวันห้าวันก็รู้สึกโหยหาขึ้นมาอีก
หลายวันผ่านไปไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้รับความพึงพอใจอย่างมาก ทุกวันล้วนมีท่าทางที่ยิ้มร่าเริงเบิกบาน ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นต่างกัน ทุกวันนอกจากกินแล้วก็นอน
พระชายาฉีเห็นว่าเป็นเพราะนางตั้งครรภ์จึงรู้สึกง่วงง่าย ก็เลยไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่สั่งห้องครัวเล็กภายในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนต้มน้ำแกงบำรุงให้นางมากหน่อย
เมิ่งเหรินมีชื่อติดอยู่ในประกาศราชสำนักแล้ว จิตใจของเมิ่งต้าจินและคนอื่นก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ หลังจากเดินชมทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วรอบหนึ่งโดยที่มีเมิ่งฉีและเมิ่งอี้ไปด้วย ก็อยากกลับบ้านแล้ว
แต่หลายวันนี้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มาหา จึงจำเป็นต้องส่งเหวินเปียวไปเรียกตัว
เมื่อเห็นเหวินเปียว เมิ่งเชี่ยวโยวก็ทุบหัวตัวเอง นึกเรื่องที่เป็นคนกลางให้แก่ผู้จัดการอันกับเหวินเหลียนขึ้นมาได้ จึงพูดอย่างรู้สึกผิด “ความจำของข้าตอนนี้ทำไมแย่ลงถึงเพียงนี้แล้ว เรื่องสำคัญอย่างนี้ทำไมถึงลืมไปได้ พวกเจ้าปรึกษากันแล้วหรือยัง คิดอย่างไรกับงานแต่งงานครั้งนี้บ้าง”
“ข้าถามเหลียนเอ๋อร์อย่างละเอียดแล้ว นางบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรขอรับ” เหวินเปียวตอบอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ในเมื่อพวกเจ้าเห็นด้วย อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปบอกผู้จัดการอันสักหน่อย เวลานั้นข้ารับปากไว้ว่าวันถัดมาจะให้คำตอบแต่เขา เป็นแบบนี้แย่แล้ว ต้องเข้าใจผิดมหันต์อย่างแน่นอน เขาต้องคิดว่างานแต่งครั้งนี้จะไม่มีหวังแล้วแน่เลย”
พูดจบ ก็เรียกชิงหลวนมา ให้นางไปส่งจดหมายให้แก่ผู้จัดการอัน ส่วนตัวเองกับหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับไปที่บ้านด้วยกัน
หลายวันนี้เมิ่งซื่อไม่ได้ไปที่จวนอ๋อง ใจก็คิดถึงนางตลอด ครั้นเห็นสีหน้านางแดงอิ่มเอิบราวกับอ้วนท้วมกว่าเดิมเล็กน้อย ก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ลุงกับป้าของเจ้าบอกว่าจะกลับให้ได้ ข้ารั้งไว้ไม่ได้ จึงเรียกพวกเจ้ามา”
ภรรยาเมิ่งต้าจินรับคำ “ตอนที่ข้ามาได้ฝากฝังพ่อกับแม่ให้พี่สะใภ้สามดูแล จึงรู้สึกวางใจอยู่ตลอด กลับไปโดยเร็วจะดีกว่า”
“ร่างกายของพ่อกับแม่นับว่าแข็งแรงดี พวกเขาสามารถดูแลตัวเองได้ มีอะไรที่ไม่สบายใจกันเล่า เจ้าน่ะนะ เพราะว่าคิดถึงบ้านแล้วนั่นแหละ ก็เลยอยากจะกลับไปเร็วหน่อย” เมิ่งซื่อยิ้มพูด
ภรรยาเมิ่งต้าจินยอมรับ “เจ้าก็อย่าพูดไป ข้าคิดถึงบ้านแล้วจริงๆ นั่นล่ะ เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้มาเมืองหลวงน่ะนะ ก็รู้สึกอิจฉาแทบแย่ มักจะฝันว่าชาตินี้ต้องมาเมืองหลวงให้ได้สักครั้ง ตายไปก็คงคุ้มแล้ว แต่หลังจากที่มาเมืองหลวงจริงๆ อย่างไรก็รู้สึกว่าที่บ้านของพวกเราดีกว่า แทบอยากจะกลับไปเร็วๆ เลย”
เมิ่งซื่อลึกๆ แล้วก็รู้สึกเหมือนกัน และพยักหน้า “ข้าก็ด้วย หากไม่ใช่โยวเอ๋อร์ตั้งท้อง ต่อให้จะให้เงินร้อยตำลึงแก่ข้าทุกวันโดยเปล่าๆ ข้าก็ไม่อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ต่อหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินจึงเข้ามาคล้องแขนเมิ่งซื่อไว้ แล้วพูดอย่างออดอ้อน “มีท่านแม่นี่แหละที่เอ็นดูข้าที่สุดเลย”
ใบหน้าของภรรยาเมิ่งต้าจินเต็มไปด้วยความริษยา แววตามองไปทางอิงจื่อกับโจวอิ๋ง
ทั้งสองคนเข้าใจความหมายในสายตาของนางโดยพลัน ร่างกายก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งพร้อมกัน แม่สามีอยากได้หลานสาวจนแทบคลั่งแล้ว ทว่า หลายปีนี้ท้องของพวกนางก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่ว่าคลอดลูกชายคนหนึ่งแล้วตั้งแต่เนิ่นๆ พวกนางก็คงคิดว่าตัวเองไม่สามารถมีลูกได้เสียแล้ว
มองเห็นท่าทางของพวกนาง ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมิ่งซื่อเข้าใจความคิดในใจของนาง จึงยิ้มปลอบ “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกนางล้วนยังเด็กอยู่ ต่อไปพวกเราคิดสิ่งใดก็จะสมปรารถนาแน่นอน”
อารมณ์ของภรรยาเมิ่งต้าจินยิ่งห่อเ**่ยวขึ้น แล้วถอนหายใจอีกรอบ “คอยดูเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดเปลี่ยนหัวข้อ “ท่านป้า ครั้งนี้พี่เมิ่งเหรินมีชื่อในประกาศของราชสำนัก ทางราชสำนักจะต้องออกคำสั่งหน้าที่ราชการมาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ข้ากับอี้เซวียนอยากจะถามท่านสักหน่อยว่าท่านจะยอมให้พี่เมิ่งเหรินอยู่ที่เมืองหลวง หรือว่าจะให้ส่งเขาไปนอกเมืองเจ้าคะ”
หลายวันนี้เมิ่งต้าจินก็ใคร่ครวญปัญหานี้เช่นกัน เขากับเมิ่งเหรินก็ได้ปรึกษากันแล้ว เมื่อได้ยินจึงตอบว่า “ข้ากับเหรินเอ๋อร์ได้ปรึกษากันแล้ว เจ้ากับอี้เซวียนอยู่ที่เมืองหลวง เมื่อใดที่ต้องการใช้คน ถ้าหากเป็นไปได้ ก็ให้เหรินเอ๋อร์อยู่ที่เมืองหลวงช่วยเหลือพวกเจ้าเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะ มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนก็เห็นด้วย แล้วพูด “อีกไม่กี่วัน ข้าจะไปช่วยฝากฝังให้ ท่านลุงวางใจเถิด”
“มีพวกเจ้าอยู่ ข้าก็วางใจ แต่ข้าก็รู้มาว่าหน้าที่ข้าราชการที่ได้รับนี้คืองานในกรมขุนนาง ถ้าหากยากลำบากเกินไป ให้เหรินเอ๋อร์ไปฝึกสักสองสามปีก่อนก็ได้ พอถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม”
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอี้เซวียนเถิดเจ้าค่ะ ส่วนท่านลุงรอฟังข่าวก็พอเจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ”
เมื่อตกลงเรื่องกันแล้ว สามีภรรยาเมิ่งต้าจินก็ไม่ยอมจะอยู่ต่ออีกแม้แต่วันเดียว แทบอยากจะกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวหาเหตุผลมาพูดต่างๆ นานา เพื่ออ้อนวอนให้พวกเขาพวกอยู่ต่ออีกสองคืน สั่งคนในบ้านซื้อของไม่น้อย แล้วบรรจุเต็มรถม้าคันใหญ่สองคัน ถึงจะให้คนคุ้มครองส่งพวกเขากลับไป ส่วนครอบครัวของเหวินเปียว เหวินซงและเหวินเหลียนก็อยู่ในเมืองหลวงต่อ เตรียมการเรื่องงานแต่งงานของเหวินซงกับเหวินเหลียนระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่าอีกที
หลายวันไม่ได้คำตอบจากเมิ่งเชี่ยนโยว ผู้จัดการอันก็หมดหวังแล้ว พอได้ข่าวจากชิงหลวนโดยกะทันหัน ก็ดีใจจนกระโดดขึ้นสูง แล้วถามอย่างไม่รีรอ “แม่นางชิงหลวน นายหญิงได้บอกให้ข้าไปสู่ขอเมื่อใดหรือไม่”
แต่ไหนแต่ไรมาผู้จัดการอันเป็นคนสุขุมนิ่ง เวลาที่จะเปิดเผยอารมณ์ออกมาเช่นนี้ไม่เคยมีให้เห็นเลย วันนี้เป็นครั้งแรก ชิงหลวนจึงตาโตอ้าปากด้วยความตะลึงไปเล็กน้อย พอได้ยินคำพูดจึงได้สติคืนกลับมา แล้วส่ายหน้ายิ้ม “นายหญิงไม่ได้พูดะ แต่ก็ใกล้แล้ว เจ้าเตรียมสิ่งของที่จะไปสู่ขอเถิด”
ผู้จัดการอันเกาหัวตัวเองแล้วถามอีก “แม่นางชิงหลวน การสู่ขอนี่ควรจะเตรียมอะไรหรือ”
ชิงหลวนโบกมือ “เรื่องนี้ข้าไม่ทราบจริงๆ เจ้าลองไปสืบถามเองดีกว่า”
ดังนั้น ถัดมาหลายวัน ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนให้เตรียมของให้แก่คนในบ้าน ผู้จัดการอันก็มิได้เกียจคร้าน ไปสืบเรื่องของที่ต้องเตรียมสำหรับการสู่ขอทั่วสารทิศ ทว่า สืบไปสืบมา ก็ไม่อาจสืบได้อย่างชัดเจนว่าควรจะเตรียมของแบบไหน คิดทบทวนวนไปเวียนมา ก็กลับมาถึงจวนเปา ครั้นเห็นผู้ดูแลอาวุโส จึงขอให้เขาช่วยถามฮูหยินเปาว่าตกลงแล้วควรจะเตรียมสิ่งใดดี
ผู้จัดการอาวุโสก็จัดการเรื่องเช่นนี้มาน้อย จึงพาเขาไปขอพบฮูหยินเปา
ฮูหยินเปาสอบถามสถานะของฝ่ายหญิง ผู้จัดการอันก็บอกแต่ไม่รู้ ฮูหยินเปาก็รู้สึกลำบาก จึงพูด “เจ้าไปสืบสถานะของฝ่ายหญิงให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยมาเถิด”
ผู้จัดการอันรู้สึกละอาย ขอบคุณฮูหยินเปาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วกลับไปที่โรงงาน ทุกวันเฝ้ามองไปทางประตูโรงงานตาปริบๆ หวังว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมาหาโดยเร็ว
เมิ่งต้าจินและคนอื่นไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไปที่กรมขุนนาง สืบสถานการณ์เกี่ยวกับหน้าที่ต่างๆ ของขุนนางใหม่ที่ได้เข้ามาในปีนี้ คนในกรมขุนนางล้วนเฉลียวฉลาด เดาได้ทันทีว่าเขามาด้วยเหตุผลอันใด จึงยิ้มขึ้น และสอบถามด้วยเสียงเบา “ซื่อจื่อ ต้องการให้พวกเราดูแลผู้ใดเป็นพิเศษหรือไม่ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายศีรษะ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแต่มาฟังข่าวคราวเท่านั้น” พูดจบก็หันตัวเดินออกมากรมขุนนาง
ขุนนางในกรมมองเงาแผ่นหลังของเขา คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
กลับถึงภายในจวน เมิ่งเชี่ยนก็โยวยิ้มถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าคิดๆ แล้ว เรื่องนี้ให้พี่ใหญ่จัดการเถิด วันรุ่งพวกเราไปหาเขาที่ตงกงกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้ง แล้วรีบยิ้มออกมา “ก็ดี ต่อไปใต้หล้านี้จะเป็นของพี่ใหญ่ เรื่องนี้ให้เขาจัดการได้อยู่แล้ว แต่เจ้าไปครึ่งค่อนวันนี้ ข้านึกเรื่องหนึ่งออก เช่นนั้นก็ไปขอพี่ใหญ่ด้วยกันดีกว่า”
“เรื่องอะไร”
“สามีของฮั่วเซียงหลิงก็มีชื่ออยู่บนประกาศด้วยมิใช่หรือ ข้าเห็นคนนั้นดูท่าทางไม่เลว พวกเราก็ช่วยเขาอีกแรงด้วยดีกว่า หางานราชการในเมืองหลวงให้แก่เขา เขาจะได้อยู่เพื่อดูแลภรรยาและลูก ถือว่าทดแทนบุญคุณที่นายท่านฮั่วช่วยเหลือทุกคนในสำนักคุ้มภัยในปีนั้น”
สำหรับหวงฝู่ซวิ่นแล้ว ให้ขุนนางไม่กี่คนอยู่ในเมืองหลวงน่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ดี วันรุ่งพวกเราไปที่ตงกงกัน”
ดังนั้น วันถัดมา ขณะที่ทั้งสองคนเดินเข้าภายในตงกงด้วยสีหน้าเบิกบาน ในใจของหวงฝู่ซวิ่นก็ไหวสั่น สามีภรรยาใจอำมหิตคู่นี้ ทุกครั้งหากไม่มีอะไรก็จะไม่เข้ามาในตำหนักหรอก เขาใกล้จะถูกสองคนนี้ทำให้ป่วยทางจิตอยู่แล้ว
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มิได้เหนือความคาดหมายของเขาเลย ขณะที่เพิ่งจะนั่งลง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอ่ยปากด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ วันนี้ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องเจ้าค่ะ”
ปากบอกว่าขอร้อง แต่ใบหน้ากลับไม่มีท่าทีขอร้องแม้แต่น้อย ในใจของหวงฝู่ซวิ่นพูดบ่นอุบอิบ ถึงจะเอ่ยปากถาม “เรื่องอะไร”
รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งฉายแสงสว่างไสว “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ของข้าปีนี้สอบติดแล้ว ข้าจึงอยากให้พี่ใหญ่ช่วยให้เขาอยู่ในเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นเข้าใจผิดแล้ว นึกว่านางอยากจะขอร้องตำแหน่งสูงให้แก่เมิ่งเหริน จึงพูดด้วยสีหน้าที่ยากลำบาก “การรับหน้าที่ของขุนนางในราชสำนักล้วนมีระบบระเบียบ นอกจากพี่ใหญ่ของเจ้าจะเป็นคนที่สอบได้สามอันดับแรก มิฉะนั้นก็ยากที่จะไปถึงตำแหน่งสูงได้”
“พี่ใหญ่คิดไกลแล้ว ข้าไม่ได้อยากให้พี่ใหญ่ของข้าได้ตำแหน่งสูง แต่อยากจะให้เขาอยู่ในเมืองหลวง และปฏิบัติงานในตำแหน่งที่เหมาะสมก็พอเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้จัดการไม่ยาก หวงฝู่ซวิ่นจึงรับปากอย่างเต็มใจ
นึกไม่ถึงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเอ่ยปากขึ้นอีก “ไม่เพียงแต่พี่ชายของข้า ยังมีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยากจะให้พี่ใหญ่ช่วยให้อยู่ในเมืองหลวงอีก”
สีหน้าของหวงฝู่ซวิ่นไม่ค่อยดี “พวกเจ้าทั้งสองคนเห็นข้าเป็นอะไรแล้ว คิดว่าราชสำนักนี้ข้าครอบครองไว้ในมือหรือ อยากจะให้ขุนนางอยู่ในเมืองหลวงก็ให้อยู่ ข้าไม่ได้มีความสามารถมากมายเช่นนั้นหรอกนะ และข้าก็ไม่กล้าแหกกฎระเบียบของกรมขุนนางอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้พี่ใหญ่ลำบากแล้วเจ้าค่ะ แต่เพื่อนของข้าคนนี้นับว่ามีบุญคุณต่อข้า ขอพี่ใหญ่ช่วยเรื่องนี้ด้วยเถิด”
ต่อรองไปมาหลายรอบ หวงฝู่ซวิ่นก็เรียนรู้จนฉลาดแล้ว รู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรสองคนนี้ก็ต้องกดดันตัวเองรับปากให้ได้ในที่สุด ไม่อย่างนั้นตัวเองก็ถือโอกาสนี้เรียกร้องเงื่อนไขสักอย่าง จะได้มีผลประโยชน์บ้าง ดังนั้น จึงเลียนแบบท่าทางของหวงฝู่อี้เซวียน ทำร่างกายให้ผ่อนคลาย พิงพนักเก้าอี้ แล้วถามอย่างสบายๆ “ถ้าหากว่าข้ารับปากช่วยเหลือเพื่อนของเจ้าแล้ว ข้าจะได้ผลประโยชน์อันใดเล่า”
“พี่ใหญ่จะได้ครอบครองแผ่นดินในไม่ช้า ผลประโยชน์อย่างไรกันที่จะอยู่ในสายตาได้” เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถามด้วยรอยยิ้ม
หวงฝู่ซวิ่นโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย “ไม่หรอก แม้แต่เสด็จพ่อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั่นก็ไม่สามารถทำอะไรตามพระทัยได้ แล้วยิ่งถ้าเป็นข้าล่ะ”
“เช่นนั้นพี่ใหญ่ต้องการเงื่อนไขแบบไหนหรือขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างเคร่งขรึม
ตอนที่ 304 เมาสุรา
มองทั้งสองคนครู่หนึ่ง แล้วคว้าถ้วยชาที่อยู่ข้างมือขึ้นมา วนแก้วอย่างไม่ใส่ใจสักพัก ถึงจะวางลงอย่างเบาๆ มองทั้งคู่โดยไม่ละสายตาและพูด “เงื่อนไขของข้าก็คือ หลังจากที่ข้าได้ขึ้นครองบังลังก์แล้ว ภายในยี่สิบปี เจ้าจะไม่สามารถจากไปไหนได้ ต้องช่วยให้ข้าปกครองแผ่นดินนี้อย่างมั่นคง”
หวงฝู่อี้เซวียนลอบถอนหายใจ แต่สีหน้าภายนอกไม่ได้แสดงอาการอะไรและมองเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึมเช่นเดิม “พี่ใหญ่ไม่คิดว่าเงื่อนไขที่เสนอมานี้จะสูงเกินไปหน่อยหรือ ข้าอยู่ในเมืองหลวงกับพี่ใหญ่ เพียงเพื่อคนที่โยวเอ๋อร์มาเจรจา ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะช่วยเหลือพวกเราต่อไปในอนาคตได้มากมายเสียหน่อย ครั้งนี้พี่ใหญ่อาจจะคิดผิดแล้ว”
“อย่าลืมล่ะ นอกจากเงื่อนไขนี้ ยังมีเรื่องสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน และไม่แน่ว่าต่อไปยังมีเรื่องอื่นอีก เพียงแค่เจ้ารับปากเงื่อนไขของข้า ไม่ว่าต่อไปพวกเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใด ข้าจะช่วยอย่างสุดความสามารถ แต่เวลาเดียวกันก็ขอให้พวกเจ้ารักษาสัญญา ต่อไป เมื่อข้านั่งบนบัลลังก์นั่นแล้วจะต้องคุ้มครองพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้าให้ไร้ซึ่งกังวลตลอดชีวิต เป็นอย่างไรล่ะ เงื่อนไขนี้ได้หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดทันที แต่กลับขมวดคิ้ว และครุ่นคิดอย่างหนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดเช่นกัน ยกน้ำเปล่าที่อยู่ข้างมือจิบเบาๆ
ในใจของหวงฝู่ซวิ่นกลับนึกขึ้นมาได้ว่า ความสามารถของสองคนนี้ สามารถต้านทานคนของราชสำนักได้ถึงครึ่งหนึ่ง และด้วยความสามารถของเมิ่งเชี่ยนโยว เพียงไม่กี่ปีก็ต้องกุมเศรษฐกิจของรัฐอู่ได้อย่างมั่นคง ถ้าตัวเองสามารถทำให้พวกเขาอยู่ข้างกายได้ ผ่านไม่นานสถานการณ์ของรัฐอู่จะต้องไม่เหมือนกับตอนนี้อย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่ประเทศจะร่ำรวย ประชาชนจะแข็งแกร่ง อีกทั้งยังทำให้ไม่มีรัฐไหนหาญกล้ามาล่วงเกินได้
ไม่มีใครพูด ภายในห้องเงียบสงัด
หวงฝู่ซวิ่นจ้องหวงฝู่อี้เซวียนเขม็ง ไม่ยอมพลาดความรู้สึกใดๆ บนหน้าเขา แต่หวงฝู่อี้เซวียนที่นอกจากขมวดคิ้วแล้ว ก็ไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนใดๆ เลย ทำให้เขาไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจไปพักหนึ่ง ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา เดาว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่อาจจะทำเกินไปแล้วหรือไม่ ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนมีความเกลียดชังกับราชวงศ์จนไม่ยอมช่วยเหลือเขาต่อไปในภายภาคหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำทีก้มหน้าจิบน้ำเปล่า มุมปากเผยรอยยิ้ม หวงฝู่อี้เซวียนมีสถานะเป็นซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี การช่วยแบ่งเบาความยากลำบากในราชสำนักเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ยินยอม ก็คงไม่ถึงขนาดละทิ้งและไม่สนใจโดยทั้งหมดอย่างแน่นนอน เงื่อนไขที่หวงฝู่ซวิ่นเสนอในวันนี้ก็เท่ากับไม่ได้เสนออย่างไรอย่างนั้น น่าสงสารเขาที่ยังไม่รู้สึกตัว แล้วรอคอยคำตอบของหวงฝู่อี้เซวียนตาปริบๆ
แต่ว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากอี้เซวียนตอบไวไป กลับยิ่งทำให้เขาเกิดความแคลงใจ แล้วทำให้เขารู้สึกตัว ในเวลานี้ก็จะลำบากแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเสนอเงื่อนไขที่ยากลำบากขึ้นอีก
ท้ายสุดก็เป็นหวงฝู่ซวิ่นที่อดกลั้นไม่ไหว แสดงท่าทีที่ไม่สง่างามอย่างมากออกมา ไม่นึกว่าเขาจะเลียริมฝีปากตัวเอง พร้อมด้วยความรีบร้อนที่ปนอยู่ในน้ำเสียง “ว่าอย่างไร พวกเจ้ารับปากหรือไม่รับปากกันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บรอยยิ้มที่มุมปาก วางถ้วยชาลง และตอบอย่างเอาจริงเอาจัง “เมื่อแต่งออกมาแล้วก็ต้องว่าตามสามี อี้เซวียนตัดสินใจอย่างไรข้าก็เชื่อฟังตามนั้น”
สายตาของหวงฝู่ซวิ่นเคลื่อนไปทางหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนมองกลับไปทางเขา พยักหน้าอย่างช้าๆ พูด “ในระยะเวลายี่สิบปีเท่านั้น หลังจากยี่สิบปี พี่ใหญ่จะไม่อาจขัดขวางเส้นทางของพวกข้าได้อีก”
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้าโดยไว “ตกลงตามนี้!” พูดจบ ก็เหมือนกลัวว่าพวกเขาจะนึกเสียใจภายหลังแล้วเปลี่ยนใจ จึงพูดไล่แขกทันที “เรื่องวันนี้มอบให้ข้าจัดการ ส่วนพวกเจ้ากลับไปรอฟังข่าวเถิด”
ทั้งสองคนออกจากตงกง หลังจากขึ้นนั่งบนรถม้าของตัวเองแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้ม แนบลงที่อกของหวงฝู่อี้เซวียน “บางครั้งไท่จื่อก็ฉลาด บางครั้งก็มึนงง ให้พวกเราเอาเปรียบได้โดยไม่ต้องออกแรง”
หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นกัน “เขาเนี่ยนะ วันนี้สมองได้เพี้ยนไปแล้วจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น ภายในดวงตากลมโตที่ส่องวาววับก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถามอย่างตื่นเต้นและคาดหวัง “เจ้าว่า วันใดที่เขาได้สติกลับมา จะไปสังหารพวกเราถึงจวนอ๋องหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มส่ายหน้า “ไม่หรอก เขาคงได้แต่กระแทกกำแพงตงกงอย่างชอกช้ำระกำใจจนกลายเป็นรูใหญ่ๆ เท่านั้นแหละ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วมุดเข้าที่อกของเขาอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องใบหน้าที่งามราวกับบุปผากับท่าทางที่เอาแต่ใจ ในใจก็หวั่นไหวขึ้นมา กว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะตระหนักรู้ถึงภัยอันตราย เสียงร้องตกใจทั้งหมดก็ถูกเขากลืนเข้าที่ปากแล้ว
ความเร่าร้อนเข้มข้นภายในรถม้า แตกต่างกับบรรยากาศภายในตงกงที่ผ่อนคลายอย่างยิ่ง หลังจากรอให้ทั้งสองคนเดินออกไป หวงฝู่ซวิ่นที่ตื่นเต้นอย่างมากควบคุมอารมณ์ในใจของตัวเองไว้ไม่อยู่ สั่งคนให้นำดาบเข้ามา แล้วร่ายรำดาบอยู่ภายในเรือน ท่าทางที่สง่างามและกระบวนท่าที่คล่องแคล่ว พร้อมด้วยร่างกายที่ปราดเปรียว ล้วนแต่แสดงถึงความรู้สึกที่อภิรมย์ภายในใจของเขา
แต่ไหนแต่ไรมาคนที่รับใช้ภายในตำหนักไม่เคยเห็นว่าไท่จื่อจะดีใจเช่นนี้มาก่อน จึงลอบมองดู ในใจพลางคาดเดาว่าซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยพูดอะไรกับไท่จื่อจนทำให้เขาดีใจได้ถึงเพียงนี้กันแน่
จนกระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย สีหน้าแดงขวยเขินลงจากบนรถม้าแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาครึ่งชั่วยามถัดมาแล้ว ชิงหลวนและจูหลีเห็นท่าทางที่กระหายของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วมองดูเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น แม้ว่าปากจะไม่กล้าพูด ในใจกลับบ่นอย่างหนัก จึงครุ่นคิดทบทวนว่า หลังจากกลับจวนแล้วจะบอกสถานการณ์เช่นนี้แก่พระชายาฉีดีหรือไม่ เพื่อจะได้ให้ซื่อจื่ออยู่ห่างจากนายหญิงสักหน่อยถึงจะดี ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของนายหญิงต้องรับไม่ไหวเป็นแน่
หวงฝู่อี้เซวียนราวกับรู้สึกถึงความรู้สึกในใจของทั้งสองคน และคล้ายว่าจะล่วงรู้ความในใจของพวกนาง จึงกวาดสายตามองทั้งคู่แวบหนึ่ง บนใบหน้าที่กระหายนั้นก็ปรากฏเป็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ คำพูดที่เย็นชาก็ดังขึ้นในเวลาเดียวกัน “หากผู้ใดกล้าปากมาก ตั้งแต่วันนี้ต่อไปจะไม่ให้ติดตามรับใช้อย่างใกล้ชิดแล้ว”
ไม่ให้พวกนางรับใช้นายหญิง เช่นนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตของพวกนางแล้ว ใจของชิงหลวนกับจูหลีก็สั่นไหว ดังนั้นความคิดที่จะฟ้องทั้งหมดล้วนบินหายไปจากสมอง ได้แต่ก้มหน้าและรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวสนใจแต่เพียงเขินอาย ไม่ได้สังเกตสีหน้าของทั้งสองคน พอได้ยินคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วมองท่าทีของทั้งสองคนนั้น ก็เงยหน้าถามด้วยความแปลกใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนโอบนางเดินเข้าไปในจวน “ไม่มีอะไรหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันศีรษะกลับไปมองทั้งสองคนอย่างแปลกใจอีกครั้งหนึ่ง เห็นพวกนางดูเหมือนว่าจะไม่มีทีท่าว่ามีเรื่องใหญ่ จึงไม่ได้ซักถามอะไรมากอีก
ทั้งสองคนเพิ่งจะเข้าประตูจวนไป พ่อบ้านก็วิ่งมาหาอย่างรีบร้อน แม้แต่เหงื่อบนหน้าผากก็ยังไม่ทันจะซับ โค้งตัวรายงาน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย คุณชายรองดื่มสุราจนเมาแล้วขอรับ เมาคลั่งอยู่ในจวนขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิ่กคิ้ว หวงฝู่อวี้ดื่มจนเมาแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าสนใจแล้วสิ
หวงฝู่อี้เซวียนกลับขมวดคิ้ว “สั่งออกไปว่าหากผู้ใดปากโป้งไปบอกให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทราบ ก็จะขายออกไปทันที”
พ่อบ้านรีบรับคำ แต่เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ แม้ว่าบ่าวรับใช้จะไม่พูด อ๋องฉีและพระชายาฉีก็ย่อมต้องได้ยิน พ่อบ้านเช็ดเม็ดเหงื่อที่ไหลออกมาอีกครั้ง และตามมาถึงในเรือนของหวงฝู่อวี้อย่างพรั่นพรึง
ภายนอกเรือนล้อมด้วยบ่าวรับใช้ที่ชูคอมากมาย เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่มีสีหน้าไม่พอใจเดินมา ก็คำนับครู่หนึ่งแล้วแยกย้ายกันไป
ขณะเดินมาถึงหน้าประตู ทั้งคู่ก็เห็นหวงฝู่อวี้นอนอยู่ภายในลาน พลิกตัวไปมาไม่หยุด ปากก็ร้องเรียกไม่ขาดสาย “ข้าทุกข์ใจเหลือเกิน! ข้าทุกข์ใจเหลือเกิน!”
ทุกคนที่รับใช้ภายในเรือนยืนอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตา เดินเข้าในเรือน แล้วยืนนิ่ง ถามเฮ่ออีด้วยเสียงขรึม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฮ่ออียังไม่ทันได้ตอบ หวงฝู่อวี้ได้ยินเสียงของเขา ก็อยากจะปีนขึ้นจากพื้นด้วยความมึนเมา แต่อาจจะเป็นเพราะดื่มมากไป ปีนเท่าไรก็ปีนไม่ขึ้น
เฮ่ออีอยากจะเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา กลับถูกเขาสะบัดออก “เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
พูดจบ ก็ยีฟันยิ้มไปทางหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว จู่ๆ ก็เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ออกแรงพลิกไปมาหลายรอบ ถึงจะกลิ้งมาถึงตรงหน้าของทั้งคู่ เงยหน้าขึ้นไป หอบหายใจแรงมองหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว และถามอย่างยิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกพี่กลับมาแล้วหรือขอรับ”
ขณะที่ทุกคนเข้าใจว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะตวาดใส่หวงฝู่อวี้นั้น หวงฝู่อี้เซวียนกลับปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยว ย่อตัวลง แล้วเอนกายไปข้างหน้ามองหวงฝู่อวี้ ภายในเสียงที่สงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ถามขึ้น “สุราอร่อยไหม”
หวงฝู่อวี้เมาจนมึนงงไปหมดแล้ว ไม่ได้รู้สึกถึงความอันตรายแม้แต่น้อย อีกทั้งยังปรบมือยิ้มอย่างเริงร่า ตอบพร้อมกับแลบลิ้นใหญ่ๆ ออกมา “อา…หร่อย อา…หร่อยขอรับ ข้าเพิ่งรู้ว่าสุราเป็นของดี ทำให้คนลืมความวุ่นวายไปได้หมดเลย”
“ยังอยากดื่มอีกหรือไม่” เสียงที่นุ่มนวลถาม
ขนบนกายของบ่าวรับใช้ทุกคนลุกซู่ขึ้นมา ผวาจนเท้าเริ่มจะอ่อนเปลี้ย
เหงื่อบนหน้าผากของพ่อบ้านเริ่มไหลออกมาด้านนอกแล้ว ช่วงขณะเดียวเสื้อผ้าด้านหลังก็เปียกชุ่มหมดแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะสองสามครั้ง ลุกขึ้นยืน และสั่ง “ไปเอาสุรามา”
“ซื่อ…ซื่อจื่อขอรับ” พ่อบ้านร้องเรียกด้วยเสียงที่สั่นเครือ
สายตาที่เย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนมองไป ร่างกายของพ่อบ้านที่เพิ่งจะมีเหงื่อซึมออกมา ล้วนจับตัวกันเป็นน้ำแข็งโดยพลัน หนาวเหน็บจนทำให้ทั้งกายของเขาข่มอาการสั่นไม่อยู่ ฟันก็เริ่มสั่นด้วยเช่นกัน “คุณ…คุณ…คุณชายรอง ส…สภาพ…แบบนี้ เกินกว่าจะ…”
“คำพูดที่ข้าพูดไม่มีความหมายแล้ว?” คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนดูน่าเกรงขามโดยที่ไม่ได้ใช้อารมณ์
คำที่พ่อบ้านต้องการพูดติดชะงักอยู่ในลำคอ ไม่กล้าพูดออกมาอีก โค้งตัวรับคำ “ข้า…ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” พูดจบก็เดินออกไปอย่างโซเซ
“ดูท่าว่าพ่อบ้านควรจะเกษียณกลับบ้านไปได้แล้วล่ะ” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังตามหลังเขา
พ่อบ้านสะท้านจนรู้สึกเย็นวาบ ร่างกายก็ไม่สั่นระริกและเท้าก็กระฉับกระเฉงแล้ว จากนั้นวิ่งเหยาะๆ ออกไปทันทีดั่งสายลมพัด
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะพ่นหัวเราะออกมา รีบก้มหน้าเพื่อข่มการหัวเราะของตัวเอง
สายตาที่เยือกเย็นของหวงฝู่อี้เซวียนมองไป เห็นไหล่ของนางสั่น มุมปากก็มีรอยยิ้มน้อยๆ และหายวับไปทันที
พ่อบ้านยกไหสุราใบเล็กหนึ่งใบมาด้วยตัวเอง ยืนตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความนอบน้อมและเกรงกลัว และไม่พูดติดอ่างแล้ว “ซื่อจื่อ สุรามาแล้วขอรับ”
“เฮ่ออี!” หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียง
“ขอรับ” เฮ่ออียืดตัวตรงตามสัญชาตญาณ พร้อมพูดรับคำ
“เอาสุราพวกนี้กรอกปากคุณชายรองซะ!”
เฮ่ออีปลายเท้าลื่นไถลจนเกือบจะล้มลงพื้น มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนอย่างไม่เชื่อ
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลง มวลไอรอบกายก็ดุดันขึ้นมา “ทำไม ฟังคำพูดของข้าไม่เข้าใจหรือ”
เฮ่ออีกลืนน้ำลายลง และพูดลองเชิงอย่างระมัดระวัง “ซื่อ…ซื่อจื่อ คุณ…คุณชายรองเขา..ดื่ม…สุรา…จน…”
เมื่อแววตาของหวงฝู่อี้เซวียนหันมามองอีกครั้ง คำพูดที่เหลือของเฮ่ออีก็กลืนกลับเข้าไป เดินมาตรงหน้าพ่อบ้านด้วยใจที่หวาดหวั่น รับสุรามา คุกเข่าด้วยครึ่งเท้าข้างหนึ่งบนพื้น ร้องเรียกหวงฝู่อวี้ที่นอนอยู่บนพื้นดังคนเมาสุราไร้สติโดยตลอดด้วยเสียงเบาๆ “คุณ…คุณชายรองขอรับ”
แววตาที่พร่ามัวของหวงฝู่อวี้มองไปทางเขา เห็นในมือเขามีไหสุรา ตาก็พลันเป็นประกาย แล้วพลิกตัวขึ้นรวดเดียว “สุรา สุรา ข้ายังอยากดื่ม ข้ายังอยากดื่ม”
เฮ่ออีเงยหน้า เห็นหวงฝู่อี้เซวียนและสีหน้าถมึงทึงของเขาที่เม้มปากไม่พูด มีแต่เพียงความดุดันจากไอทั้งร่างที่เพิ่มขึ้น ก็รู้สึกผวาจนต้องรีบก้มหน้าไปเปิดจุกขวดบนไหสุรา แล้วส่งไปตรงหน้าหวงฝู่อวี้
หวงฝู่อวี้รีบแย่งสุรามาโดยไม่ชักช้า เงยหน้าซดเข้าไปอึกใหญ่ดัง “อึก อึก”
ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งเคร่งขรึมแล้ว แต่กลับไม่พูดอะไรทั้งนั้น ดวงตาจับจ้องที่หวงฝู่อวี้อย่างแน่นิ่ง
ดื่มไปครึ่งหนึ่ง หวงฝู่อวี้ดื่มไม่ไหวแล้ว จึงวางไหสุราลงที่พื้น เงยหน้าเผยรอยยิ้มที่พร่ามัว “ม…มีพี่ พี่ใหญ่นี่แหละที่ใจดี เอ็น…เอ็นดูข้า”
“ดื่มอีกไหม” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า แล้วหงายหลังลงพื้น หัวกระแทกกับพื้นเสียงดัง ตึง แต่ก็ไม่ร้องเจ็บปวดใดๆ เพียงแต่ทั้งสองมือสะบัดกันอย่างพัลวัน “ไม่…ไม่ดื่มแล้ว ดื่มไม่ไหวแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อวี้ผงกศีรษะขึ้นลง และยังจะพูดรับคำอีก “ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มอย่างช้าๆ รอยยิ้มนั้นทำเอาเฮ่ออีและพ่อบ้านที่มองอยู่รู้สึกชาไปทั้งศีรษะ หวงฝู่อวี้ยังคงไม่รู้สึกตัว และยิ้มพูดพึมพำดังเดิม “ไม่…ไม่ดื่มแล้ว ดื่มไม่ไหวแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนสีหน้าชั่วขณะ เสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้นตามมา “เฮ่ออี กรอกใส่ปากเขา!”
มือของเฮ่ออีสั่นตลอด แต่ก็ไม่กล้าขัดขืนคำสั่ง มือซ้ายอุ้มไหสุรา มือขวาก็เปิดปากหวงฝู่อวี้ แล้วเอาสุราในไหทั้งหมดเทเข้าใส่ปากของหวงฝู่อวี้
ไหนเลยที่หวงฝู่อวี้จะยังดื่มได้อีก เขาส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต ดิ้นกระเสือกกระสนอย่างทุลักทุเล จนมีสภาพที่ดูไม่ได้อย่างยิ่ง
พ่อบ้านกับบ่าวรับใช้ทุกคนทนไม่ได้จนต้องเบือนหน้าหนี
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เม้มริมฝีปาก
สุราครึ่งไหถูกกรอกลงไป หวงฝู่อวี้นอนบนพื้นไม่ขยับ สุราในปากไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเอื่อยๆ มาถึงหน้าเขา แล้วมองลงไปด้านล่างถาม “ยังจะดื่มอีกไหม”
ตอนที่ 305 โศกนาฏกรรมแห่งความรัก
หวงฝู่อวี้ที่เมามายราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงส่ายหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
“โจวอัน ทำให้คุณชายรองสร่างเมาเสียหน่อย” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
โจวอันรับคำ หันกายออกจากเรือน แล้วหยิบน้ำเย็นถังหนึ่งมา สาดไปบนตัวหวงฝู่อวี้ที่นอนอยู่บนพื้นอย่างแรง ความหนาวเหน็บเสียดแทงจนทั้งกายหวงฝู่อวี้สั่นสะท้าน ช่วงเวลานั้นสมองก็ได้สติขึ้นมาอย่างชัดเจน เห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่เหนือตัวเอง ฟันก็เริ่มสั่น “พี่…พี่ใหญ่”
“ดูท่าจะยังไม่สร่างเมา โจวอัน ทำต่อ!”
แล้วน้ำเย็นอีกหนึ่งถังก็สาดเข้าใส่หัวของหวงฝู่อวี้อีกครั้งโดยพลัน แม้แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็เริ่มรู้สึกทนไม่ได้ แต่ก็ต้องข่มใจฝืนตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปห้ามหวงฝู่อี้เซวียน
ครั้งนี้หวงฝู่อวี้ตื่นแล้วจริงๆ เห็นสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างชัดเจน ก็ตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง พลิกตัวลุกขึ้นมา แล้วตัวที่แกว่งไปแกว่งมาก็พยายามยืนนิ่งต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่”
“สร่างแล้วหรือยัง” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงแข็ง
หวงฝู่อวี้รีบพยักหน้า “สร่างแล้ว สร่างแล้ว สร่างแล้วจริงๆ ขอรับ”
“ให้เวลาเจ้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อยภายในเวลาหนึ่งก้านธูป จัดการเสร็จแล้วก็เข้ามาในเรือนของข้า” หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบ หันตัว โอบเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากเรือน
“เร็วๆๆ ช่วยข้าเอาน้ำมา ข้าจะล้างหน้าล้างตาสักหน่อย” เสียงที่วุ่นวายหวงฝู่อวี้ดังขึ้นจากด้านหลัง
และมีเสียงฝีเท้าที่ชุลมุนดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
ทั้งสองคนไม่ได้สนใจ กลับเข้าในห้องของตัวเองโดยที่ไม่พูดอะไรตลอดทาง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างคาดเดา “สามารถทำให้น้องรองใช้สุราเพื่อระบายความทุกข์ได้ น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลินหันเยียนแล้วล่ะ หลายวันนี้พวกเรายุ่งจนละเลยเรื่องเกี่ยวกับนางเสียแล้ว”
ให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ รินน้ำเปล่าหนึ่งถ้วย แล้วส่งให้นาง บอกเป็นนัยว่าให้นางดื่มสักหน่อย หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะพูด “น่าจะเป็นเพราะเรื่องงานหมั้นนั่นแหละ มิเช่นนั้นอวี้เอ๋อร์คงไม่เสียใจจนกลายเป็นแบบนี้”
“งานแต่งของคุณหนูของจวนราชเลขาน่าจะเป็นเรื่องที่ฮือฮาไปทั่วเมือง อวี้เอ๋อร์ได้ยินก็ไม่แปลกอะไร ประเดี๋ยวพวกเราถามเขาให้ดีๆ”
หวงฝู่อวี้จัดแจงตัวเองเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว แล้วมาถึงในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความหวาดหวั่น ไม่กล้าเข้าห้อง และยืนร้องเรียกอยู่ในเรือน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่”
“เข้ามา”
ไม่ต้องให้ชิงหลวนช่วย หวงฝู่อวี้เปิดม่านออกอย่างระมัดระวัง ตรวจดูสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน เวลานี้ถึงจะเดินเข้าประตูห้องเข้าไปอย่างเกรงกลัว ยืนนิ่งด้วยความรู้สึกพรั่นพรึงจนกลืนน้ำลายลงหลายอึก ถึงจะพูดเสียงสั่น “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้า…”
หวงฝู่อี้เซวียนมองความคิดในใจเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งทันที ถามอย่างสบาย “นี่เจ้าเตรียมจะวิ่งหนีเลยหรือ”
ในใจถูกมองออก สีหน้าหวงฝู่อวี้ก็แดงขึ้นอีก แล้วรีบพูดเอาใจ “ข้ารู้เลยว่าเรื่องอะไรก็ปิดบังสายตาของพี่ใหญ่ไม่ได้ นี่ข้าก็ต้องกลัวโดนต่อยไม่ใช่หรือ ถ้าวิ่งเร็วหน่อยก็จะได้โดนน้อยลง”
หวงฝู่อี้เซวียนโมโหจนไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะ ริมฝีปากเม้มขึ้น “ยังไม่มานั่งลงอีก!”
“เฮ้อ” เห็นสีหน้าที่บึ้งตึงเปลี่ยนเป็นสดใสแล้ว หวงฝู่อวี้ก็รับคำเสียงดังกังวาน เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา แล้วนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกับทั้งสองคน และหันศีรษะไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว “พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้น้องทำเรื่องน่าอายแล้ว ไม่ได้ทำให้ท่านตกใจใช่ไหมขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร แต่เกรงว่าเด็กในท้องคงจะตกใจไม่น้อย ตอนนี้ข้าไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกึ่งจริงกึ่งเท็จ
หวงฝู่อวี้ตกใจจนร่างกายที่เพิ่งนั่งลงไปเด้งขึ้นมา ในใจร้องครวญครางไม่หยุด ครั้งนี้ได้ก่อหายนะอันใหญ่หลวงแล้ว ทำให้เด็กในท้องตกใจ อย่าว่าแต่พี่ใหญ่เลย แม้แต่อ๋องฉีและพระชายาฉี หากอีกประเดี๋ยวรู้เข้าแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะคว้ามีดมาไล่ฆ่าเขาทั่วจวน
เดิมทีเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเล่นกับเขา แต่ครั้นเห็นสีหน้าเขาที่ขาวซีดโดยพลัน ก็รู้ว่าล้อเล่นเกินเหตุไปแล้ว จึงพูดยิ้ม “เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไป เพียงแต่บอกเหตุผลที่ทำไมวันนี้เจ้าถึงเป็นเช่นนี้ออกมา ข้าก็จะดีขึ้น”
ไหนเลยที่หวงฝู่อวี้จะมีเรื่องกังวลมากมายขนาดนั้น จึงเปิดปากพูดออกมา “เยียนเอ๋อร์ใกล้จะหมั้นหมายแล้ว ข้า…” พูดถึงตรงนี้ ก็ตระหนักอะไรได้บางอย่างทันที จึงรีบยั้งปากไว้ แล้วก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดแทงใจดำเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูหลินหรอกหรือ ที่เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ในวันนี้ก็เพื่อเหตุผลนั้น?”
“ข้า ข้า…” หวงฝู่อ้ำอึ้ง พูดไม่ออก
“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ ไม่ได้ยินหรือ” เสียงที่ดุดันของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น
หวงฝู่อวี้ตัวสั่นเทิ้ม เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งด้วยความกลัว จากนั้นมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้า ข้า…” แล้วก็นึกเหตุผลดีๆ เหตุผลหนึ่งขึ้นได้ทันที จึงยืดตัวตรง พูดเสียงดัง “ข้าเพียงแต่คิดว่าคุณหนูจวนราชเลขาแต่งกับชายคนหนึ่งที่ไม่มีชื่อแซ่ ไม่มีตระกูลค้ำจุน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หวงฝู่อวี้พยักหน้างกๆ “ใช่ๆๆ น้องมิได้พูดโป้ปดหลอกลวงท่านอย่างแน่นอนขอรับ”
“น้องรอง” เมิ่งเชี่ยนโยวลากเสียงยาวเรียกเขา
ในใจของหวงฝู่อวี้ไหวสั่น
คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังตามมาอีก “เจ้าเคยได้ยินคำที่ว่า เป็ดแม้จะตายแล้ว แต่ปากก็ยังแข็งหรือไม่”
หวงฝู่อวี้ฉีกยิ้มด้วยความละอาย “ไม่…ไม่เคยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เช่นนั้นก็มอบสำนวนนี้ให้น้องรองแล้วกัน ประเดี๋ยวกลับไปแล้วก็ไตร่ตรองความหมายของประโยคนี้ให้ดี”
หวงฝู่อวี้พยักหน้าไม่หยุด แล้วถือโอกาสอยากจะเดินออกไป “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่พักเถิดขอรับ ข้าจะกลับไปไตร่ตรอง”
“หยุด!” หวงฝู่อี้เซวียนตะโกนเรียกเขา
ขณะที่เท้าของหวงฝู่อวี้กำลังจะยกขึ้นก็ต้องวางลงไปทันที แล้วยิ้มแฮะๆ “พี่ใหญ่ ข้ายังไม่ได้ไปสักหน่อย”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนสงบนิ่ง หวงฝู่อวี้เดาไม่ออกว่าเขาเรียกเพื่ออะไร ในใจก็หวั่นเกรงขึ้นมาอีก
“รู้สถานะของตัวเองหรือไม่” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “รู้ขอรับ”
“สถานะคืออะไร”
หวงฝู่อวี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายรองแห่งจวนอ๋องขอรับ”
“ยังมีอะไรอีก”
“ยังมี…” หวงฝู่อวี้เกาหัว คิดไม่ออกว่าตัวเองมีสถานะอะไรอีก
“เจ้าเป็นน้องชายของข้า เป็นคนที่จะค้ำจุนจวนอ๋องด้วยกันกับข้า” หวงฝู่อี้เซวียนเตือนเขา
ร่างกายของหวงฝู่อวี้สะท้าน เงยหน้า มองไปทางเขา
“ที่คุณหนูหลินหมั้นหมาย พี่ใหญ่ก็รู้ว่าเจ้าในใจของเจ้าเจ็บช้ำ แต่นี่เป็นการเลือกของเจ้าเอง ตอนแรกเสด็จแม่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าต่างก็ถามเจ้าแล้ว แต่เป็นเจ้าเองที่ละทิ้ง ผลลัพธ์ทั้งหมดเจ้าก็ต้องรับด้วยตัวเอง”
หวงฝู่อวี้ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าทราบ เพียงแต่ควบคุมไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง…”
“เจ้าไม่รู้!” เสียงที่ดุดันของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “สายตาทั้งคู่ของคนข้างนอกล้วนจับจ้องมาที่จวนอ๋องของพวกเราไม่มากก็น้อย อยากจะหาเรื่องหัวเราะเยาะจวนอ๋องของพวกเราใจจะขาด พวกเขาได้ทีเหยียบแล้ว ก็พร้อมระบายความอัดอั้นในใจออกมา การกระทำของเจ้าครั้งนี้ ประจวบเหมาะที่จะให้พวกเขาได้มีข้ออ้างมาหัวเราะเยาะ ไม่เกินวันนี้ ไม่สิ ตอนนี้ภายในเมืองหลวงอาจจะเริ่มพูดไปทั่วแล้ว เจ้ารู้หรือไม่”
หวงฝู่อวี้นิ่งอึ้ง
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นอีก “ข้าก็เคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า ต่อไปพวกเราสองพี่น้องจะต้องค้ำจุนจวนอ๋องด้วยกัน ข้าจัดการงานภายนอก ส่วนเจ้าจัดแจงเรื่องทรัพย์สิน พวกเราร่วมแรงร่วมใจกันทำให้จวนอ๋องดำรงอยู่ได้ตลอดไป ทว่า การกระทำของเจ้าในวันนี้ เป็นการเอาข้อด้อยของตัวเองไปเปิดเผยต่อหน้าผู้คนอย่างสิ้นเชิง ในวันข้างหน้า คนพวกนั้นที่อยากจะทำให้จวนอ๋องเสียเปรียบ ก็จะใช้ข้อด้อยนี้ของเจ้า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเมื่อผ่านไปแล้วผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”
หวงฝู่อวี้เหมือนกับโดนตะบองทุบหัว เหม่ออยู่ที่เดิม เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อผู้คนหรือเรื่องต่างๆ โดยไม่คิดมาก ต่อมาประสบเรื่องพลิกผันมากมาย บวกกับไปฝึกฝนที่โรงงาน เขาจึงมีความคิดที่รอบคอบมากขึ้น คำพูดที่หวงฝู่อี้เซวียนบอกว่าพี่น้องสองคนร่วมแรงร่วมใจค้ำจุนจวนอ๋อง ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ณ เวลานี้ ที่นา ร้านค้าภายในจวนก็จัดการอย่างเต็มที่ด้วยแรงกายและแรงใจ แต่มีเพียงในใจเขาเองที่รู้ว่าเขายังมีอคติอยู่
หวงฝู่อี้เซวียนเป็นลูกของพระชายาเอก เป็นซื่อจื่อ และเป็นคนสืบทอดจวนอ๋องในอนาคต ส่วนเขานั้น พูดตามที่คนอื่นบอกก็คือเป็นภัยอันตรายต่อเขาที่สุด ไม่สร้างปัญหาก็ดี แต่ถ้าสร้างปัญหา ไม่แน่ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะถือโอกาสขับไล่เขาออกจากจวน ให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัวเองอย่างอัตคัด แต่คำพูดของเขาวันนี้ กลับพูดในมุมของพี่น้องร่วมแรงกันค้ำจุนจวนอ๋องจริงๆ ความคิดในใจของเขาที่ล่องลอยไม่แน่นิ่ง เป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องผลได้ผลเสียในระยะนี้ ก็วนกลับมาตั้งมั่นอยู่ที่เดิม
เขารู้ว่าคำพูดนี้ของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นความจริง อีกทั้ง เขาก็รู้ว่า เขากับเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาเป็นน้องแท้ๆ จริงๆ และเขาก็ยิ่งรู้ว่าทั้งชีวิตของเขานี้จะไม่กลายเป็นคนที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งอย่างแน่นอน ด้านหลังของเขามีพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ มีจวนอ๋องที่ให้เขายึดมั่น ไม่ว่าตอนนี้หรือว่าอนาคต เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของจวนอ๋องฉีแห่งนี้ตลอดไป
คิดถึงตรงนี้ ขอบตาชื้น เผยสีหน้าละอายใจ “พี่ใหญ่ ข้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกถ้อยคำที่เขาจะแสดงความซาบซึ้ง “น้องรอง ปีนั้นเจ้าคงจะได้ยินสถานการณ์ในบ้านข้า ไม่ว่าพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ หรือว่าพี่รอง พี่สะใภ้รอง หรือพี่เขย และคนอื่นๆ พวกเราล้วนสนิทสนมดั่งครอบครัวเดียวกัน ข้าไม่รู้ว่าบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินจะทำให้คนต้องฟาดฟันด้วยเล่ห์กลอุบายอย่างไร ข้ารู้แต่เพียงว่าหลังจากที่ข้าแต่งมา ก็มีน้องชายแท้ๆ เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งเท่านั้น”
น้ำตาของหวงฝู่อวี้ทะลักออกมา ดวงตาที่พร่ามัวด้วยน้ำตาเผยรอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์เช่นเมื่อก่อน แล้วพยักหน้าสุดแรงไม่หยุด น้ำตาร่วงลอยไปก็ไม่สนใจ ท่ามกลางเสียงสะอึกสะอื้นก็พูดรับปากกับตัวเอง “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ อวี้เอ๋อร์จะเป็นน้องชายแท้ๆ ของพวกท่านตลอดไปขอรับ”
หวงฝู่อวี้ออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็สบายใจขึ้นมาก “เป็นเพราะพวกเราละเลยแล้ว ตั้งแต่พระชายารองเฮ่อตาย ก็ทำให้เขาไม่รู้สึกปลอดภัย ตอนนี้ดีแล้วที่ใจของเขามั่นคงขึ้น ต่อไปพวกเจ้าก็เป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริงเสียที”
หวงฝู่อวี้เซวียนตอบรับ “อืม” เบาๆ
“หากต่อไปเขากระทำผิดอีก เจ้าจะใช้วิธีร้ายกาจลงโทษเขาไม่ได้อีกแล้วนะ ข้าเห็นแล้วก็ปวดใจเหลือเกิน”
ดวงตาหรี่ลงด้วยความอันตราย ความหึงหวงภายในน้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเผยออกมา “เจ้าพูดคำพูดเมื่อครู่อีกรอบสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพลันอึ้งไป นึกคำพูดที่ตัวเองพูด ก็พ่นหัวเราะ “ข้าว่าเจ้านะ เหตุใดตอนนี้ถึงมีความหึงหวงมากขนาดนี้ เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของพวกเรา ข้าเอ็นดู ปวดใจแทนเขาแล้วจะทำไมหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนแนบประชิดนาง ลมหายใจอุ่นๆ ที่พ่นออกมารดบนหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ทำให้นางรู้สึกถึงความอันตรายชอบกล “เจ้าผิดแล้ว เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของข้า แต่เป็นน้องของสามีเจ้า ต่อไปคำพูดคำจา เจ้าต้องระวังกว่านี้ แน่นอนว่าถ้าเจ้านึกอยากจะให้ข้าลงโทษเจ้า ก็จงพูดผิด ทำผิดบ่อยๆ เสีย”
“เฮ้อ เจ้า…” คำพูดต่อมาก็ถูกหวงฝู่อี้เซวียนกลืนลงไปแล้ว
ชิงหลวนกับจูหลีได้ยินการเคลื่อนไหวภายในห้อง มองหน้ากัน แล้วไปยืนอยู่หน้าประตูใหญ่อย่างเงียบๆ
ต่อมาหลายวัน ไม่มีเรื่องสำคัญอันใด หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ออกจากบ้าน สั่งคนให้ค้นสมุนไพรล้ำค่าแต่ละชนิดที่ฉกฉวยมาจากวังหลวงออกมาตำให้แหลก เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนส่วนผสม ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนก็ทำเป็นเม็ดยารูปแบบต่างๆ ด้วยตัวเอง
เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องหลายวัน สมุนไพรก็ถูกปรุงจนใกล้หมดแล้ว เม็ดยาทำได้สิบกว่าขวดเต็มๆ หวงฝู่อี้เซวียนนำเม็ดยาเหล่านี้วางอย่างระมัดระวัง เตรียมไว้ให้เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ตอนคลอด
ขณะที่เม็ดยาชุดสุดท้ายทำเสร็จและยังไม่ได้บรรจุใส่ขวดนั้น เจ้าเหวินซื่อตัวดีที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ พาเฝิงจิ้งเหวินที่อุ้มลูกชายมาทักทายถึงประตูจวนอ๋องแล้ว
ขณะที่เพิ่งจะให้นายประตูนำเข้าจวนอ๋อง จมูกที่สัมผัสไวเหมือนสุนัขของเขานั่นก็ได้กลิ่นของสมุนไพร จึงทิ้งเฝิงจิ้งเหวินแม่ลูก ตามกลิ่นของสมุนไพรมาถึงในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ครั้นเห็นเม็ดยาที่รูปร่างเล็กใหญ่ต่างกันแต่ละเม็ด ดวงตาก็ส่องแสงวาววับ มือหนึ่งยกขึ้นจะโกยเอาเม็ดยาเข้าลงในอกของตัวเอง พร้อมตะโกนร้องเสียงดัง “เม็ดยาพวกนี้เป็นของข้าแล้ว”
ยังไม่รอให้เขาได้สัมผัสเม็ดยา แรงมหาศาลพุ่งเข้ามาใส่จนทำให้เขากระเด็นออกจากเรือน
เฝิงจิ้งเหวินที่อุ้มลูกอยู่เดินเข้าไปด้านหน้าพอดี สะดุ้งตกใจอย่างแรง กระทั่งเห็นว่าเป็นเหวินซื่อ จึงร้องเรียกด้วยความตระหนก “ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”
เหวินซื่อโบกมือ แล้วลอยตัวกระโจนเข้าไปในเรือนอย่างไม่ยอมแพ้
เฝิงจิ้งเหวินก็ตามเข้าไป เมื่อเห็นเม็ดยาใหญ่เล็กพวกนั้น ก็เข้าใจว่าเพราะอะไร แล้วยิ้มให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างละอาย
คนอื่นทำงาน นางทำได้แค่ดู หลายวันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเบื่อจะแย่แล้ว เมื่อเห็นเฝิงจิ้งเหวิน ก็เริงร่าอย่างยิ่ง “พี่สะใภ้ ในที่สุดเจ้าก็คิดจะมาเยี่ยมข้าแล้ว” พูดจบ ก็สาวเท้าเข้าไปต้อนรับ
เฝิงจิ้งเหวินอุ้มลูกเดินไปหานางอย่างรวดเร็ว ปากก็กำชับ “เจ้าเดินช้าๆ หน่อย เจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ ทำไมยังเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้”
ทั้งสองคนเดินมาใกล้กัน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอออกมา ปรบมือเล็กๆ ของนาง เล่นกับเด็กในอ้อมอกของเฝิงจิ้งเหวิน “พี่สะใภ้ ลูกชายคนนี้ของเจ้าหน้าตาฉลาดเฉลียวจริงๆ เจ้าค่ะ”
ลูกตาของเหวินซื่อที่อยากจะแย่งเม็ดยาแต่ไม่สำเร็จอยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนทิศ กระโจนมาข้างกายทั้งสองคน แล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ถ้าเจ้าเอาเม็ดยาพวกนั้นให้ข้า ข้าจะให้ลูกชายข้าเรียกเจ้าว่าแม่บุญธรรม”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น