ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 296-299
ตอนที่ 296 หายนะอันใหญ่หลวง
หลินจ้งเดินมาตรงหน้าหลิวจยาเจิ้ง มองพิเคราะห์เขาจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่างอย่างละเอียดถี่ถ้วนรอบหนึ่ง
หลิวจยาเจิ้งถูกมองจนอึดอัด รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มแข็งทื่อ น้ำเสียงถามอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “คุณชายหลิน เหตุใดท่านถึงมองข้าเช่นนี้ขอรับ”
ไม่มีอะไรผิดแปลก เหมือนเดิมทุกอย่างนี่ คิ้วของหลินจ้งขมวดเข้าหากันแน่น แล้วพินิจเขาอีกรอบ
ราชเลขาหลินรู้สึกว่าพฤติกรรมของหลินจ้งดูออกจะเสียมารยาท สีหน้าจึงเริ่มบึ้งตึง แล้วตำหนิเสียงเบาๆ “จ้งเอ๋อร์ เจ้า นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า”
สุดท้ายหลินจ้งมองหลิวจยาเจิ้งตรงๆ แล้วก็ได้สติกลับมา ตอบด้วยความนอมน้อม “ท่านพ่อขอรับ คุณชายหลิวกำลังจะเป็นสามีของน้องสาวข้าแล้ว ลูกอยากจะพินิจเขาแทนน้องสาวในระยะใกล้ๆ ดูสิว่ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่”
จวนราชเลขามีลูกสองคนคือ หลินจ้งกับหลินหันเยียน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตั้งแต่เล็กนับว่าไม่เลว ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหลินจ้งมักจะปกป้องน้องสาวคนนี้อยู่เสมอ การที่เขากระทำเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล ราชเลขาหลินก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ผ่อนน้ำเสียงลง “จะมีใครที่ไหนกันที่เข้ามาแล้วไม่พูดไม่จาอะไรแม้แต่น้อย แล้วก็มองดูเขาอย่างเสียมารยาทเช่นเจ้า โชคดีที่เป็นคุณชายหลิว ถ้าเป็นคนอื่นคงถูกเจ้าทำให้ตกใจวิ่งหนีไปเสียแล้ว”
หลินจ้งยืนตัวตรง ทำท่าทีรับฟังคำสั่งสอน “เป็นความผิดของลูกเองขอรับ ลูกได้ยินว่ากำลังปรึกษาเรื่องงานหมั้นหมายของน้องสาว ในใจก็รู้สึกเป็นกังวล ถึงได้ทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วขอรับ”
ราชเลขาหลินไม่ได้ติเตียนอีก เผยใบหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง พูดว่า “คุณชายหลิว ลูกชายของข้ามีนิสัยที่เถรตรง เรื่องต่างๆ ล้วนทำอย่างตรงไปตรงมา ขอเจ้าอย่าได้ถือสาเลย”
หลิวจยาเจิ้งโบกมือปฏิเสธ “ไม่หรอกขอรับ ท่านราชเลขาพูดล้อเล่นแล้วขอรับ คุณชายหลินเป็นคนที่จริงใจตรงไปตรงมา ข้านับถือยิ่งขอรับ”
หลังจากให้โจวอันไปส่งสารให้แก่หลินจ้ง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็โยนเรื่องนี้ออกจากสมองไป แล้วมาร่วมแสดงความยินดีให้แก่เมิ่งเหรินพร้อมกับคนในครอบครัวเมิ่งอย่างเอิกเกริก
หลังจากคนทั้งบ้านปรึกษากันอย่างคึกคักและเมิ่งต้าจินบอกจะกลับเมืองชิงซีแล้ว ก็เลียนแบบธรรมเนียมของถงเซิงเช่นอี้เซวียนที่สอบติดในปีนั้น จัดโต๊ะกินเลี้ยงเป็นเวลาสามวันเพื่อเฉลิมฉลอง ภรรยาเมิ่งต้าจินไม่เห็นด้วย จึงพูดว่า “ตอนนี้ก็ผ่านไปแล้วตั้งหลายวัน จัดโต๊ะกินเลี้ยงจะดูแย่เกินไป ให้คนอื่นไปพูดจะไม่ดีเอา อีกอย่างค่าใช้จ่ายก็มากเกินไป ไม่เอา ไม่เอา”
เมื่อข้อเสนอถูกปฏิเสธ เมิ่งต้าจินก็ออกอาการร้อนรน ถาม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าว่าจะทำอย่างไรเล่า”
“ข้าว่านะ พวกเราไปเรียกคนในตระกูล เครือญาติ แล้วก็เพื่อนสนิทของเจ้ามาบอกพร้อมกัน แล้วจัดโต๊ะกินเลี้ยงในบ้านสักสี่ห้าโต๊ะ ทั้งได้กินอย่างเอร็ดอร่อยและยังดูมีหน้ามีตาด้วย”
“ไม่ได้ ไม่ได้” เมิ่งต้าจินโบกมือ “เรื่องน่ายินดีที่ใหญ่โตแบบนี้ คนในหมู่บ้านก็ต้องมาแสดงความยินดีด้วยอยู่แล้ว จะไม่แบ่งปันให้แก่พวกเขาได้ที่ไหนกัน”
ทั้งสองคนถกเถียงกันอย่างดุเดือด ทุกคนที่อยู่ข้างๆ เม้มปากไม่พูดจา
พูดไปพูดมา ภรรยาเมิ่งต้าจินก็หันหน้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้าบอกมาสิว่าควรทำอย่างไรดี ป้าใหญ่จะฟังเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองทั้งสองคน แล้วพูดล้อเล่น “ถ้าให้ข้าว่านะเจ้าคะ ท่านลุงใหญ่กับท่านป้าใหญ่ ความคิดของพวกท่านไม่เลวทั้งคู่เลย ไม่อย่างนั้นก็ทำให้หมดตามวิธีการของแต่ละคนเลยละกันเจ้าค่ะ”
เมิ่งต้าจินดวงตาส่องประกาย และพยักหน้า “ข้าว่าได้”
ภรรยาเมิ่งต้าจินกลับยิ้มและยื่นแขนออกราวกับตีเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าเด็กคนนี้ แต่งงานแล้วก็รู้จักเข้าใจผู้คนแล้ว รู้ว่าทั้งสองคนล้วนไม่อาจล่วงเกินได้”
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง
เพียงแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวเราะ ชิงหลวนก็เดินเข้ามา สีหน้ามีความรีบร้อนและไม่สบายใจ “นายหญิง ไท่จื่อทรงส่งคนมาเรียกซื่อจื่อของท่านไปที่กั๋วจื่อเจี้ยนเจ้าค่ะ บอกว่านายน้อยทั้งสองก่อหายนะอันใหญ่หลวงแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อตกใจจนดีดตัวกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ สีหน้าพลันขาวซีด ถามด้วยความตะหนก “เรื่องหายนะอย่างไร”
ชิงหลวนส่ายหน้า “คนส่งสารไม่ได้บอกเจ้าค่ะ เพียงแต่บอกให้ซื่อจื่อไป”
เมิ่งซื่อเดินขาสั่นมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว และดึงชายเสื้อของนางไว้ “โยวเอ๋อร์ เจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์จะไม่ถูกฮ่องเต้ลงโทษใช่ไหม”
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงเป็นคนอย่างไร ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดี ทั้งสองคนไม่อาจก่อเรื่องหายนะอะไรโดยไร้สาเหตุ จะต้องเกี่ยวข้องกับพรรคพวกลูกหลานในกั๋วจื่อเจี้ยนนั่นอย่างแน่นอน จึงเม้มปาก แล้วปลอบเมิ่งซื่อ “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ข้ากับอี้เซวียนจะไปดูเอง”
เมิ่งซื่อเครียดจนเพียงแต่พยักหน้า
ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความกังวลมองพวกเขาสองคนเดินออกไป เพียงชั่วขณะเดียว บรรยากาศที่เมิ่งเหรินนำพาความยินดีเรื่องสอบติดกลับมาก็ถูกชะล้างจนไม่เหลือแม้แต่เงา
ทั้งสองคนมาถึงกั๋วจื่อเจี้ยนอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่โบราณ กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นสถานที่สูงส่ง ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ย่อมมิได้เป็นข้อยกเว้น ขันทีที่เฝ้าหน้าประตูของกั๋วจื่อเจี้ยนก็ห้ามทั้งคู่ไว้ แล้วโค้งตัวคำนับ “ซื่อจื่อเฟยกรุณาหยุดก่อนขอรับ กั๋วจื่อเจี้ยนไม่อนุญาตให้สตรีข้าไปขอรับ”
ทั้งสองคนหยุดฝีเท้าลง เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้ามองไปยังขันที พูดด้วยเสียงขรึม “เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องด่วน เกิดเรื่องกับน้องชายทั้งสองคนของซื่อจื่อเฟย นางจึงจำเป็นต้องตามเข้าไปด้านใน”
ขันทียังคงโค้งตัว น้ำเสียงนอกจากไม่สะทกสะท้าน กลับยิ่งแข็งกร้าวขึ้น “ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุอันใด บ่าวรับบัญชาให้เฝ้ากั๋วจื่อเจี้ยน จึงต้องเคารพกฏระเบียบแห่งนี้ ซื่อจื่อเฟยไม่อาจเข้าไปได้โดยเด็ดขาดขอรับ”
ไม่รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวร้อนใจดั่งมีเพลิงไฟสุมอก และถามด้วยรอยยิ้มที่คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ถ้าหากว่าข้าจะต้องเข้าไปให้ได้ล่ะ”
“เช่นนั้นบ่าวก็ต้องขอล่วงเกินท่านขอรับ”
เสียงพูดของเขาเพิ่งจะสิ้นลง ร่างกายกลับลอยปลิวไปเหมือนว่าวที่สายขาด
ขันทีคนอื่นอึ้งไป
กว่าที่ร่างของขันทีคนนั้นกระแทกลงพื้นอย่างแรงจนละอองดินปลิวว่อนขึ้นทำให้หลายคนทนไม่ได้ต้องสำลักออกมา ถึงจะได้สติคืนมา หลังจากเห็นเพื่อนของตัวเองกระแทกตกพื้นอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่มีแม้แต่ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา แล้วมองหวงฝู่อี้เซวียนที่มีสีหน้าบึ้งตึงดูไม่พอใจอย่างมาก ก็ทำให้ทุกคนผวาจนถอยหลังไปหลายก้าวโดยพร้อมกัน จากนั้นไม่มีคนใดที่กล้าขัดขวางอีก
“จำไว้ ต่อไปใครหน้าไหนกล้าพูดจาเช่นนี้กับซื่อจื่อเฟย ก็จะพบจุดจบเช่นนี้” ภายในเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนแฝงด้วยความโกรธ คำพูดที่พูดออกมาทำให้แต่ละคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวหด แล้วทำเหมือนไม่มีตัวตนให้มากที่สุด
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มองใครแม้แต่คนเดียว แล้วพาเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในกั๋วจื่อเจี้ยน
ขันทีหลายคนก็วิ่งไปตรงหน้าของขันทีคนนั้นอย่างเร่งรีบ แล้วช่วยกันพยุงขึ้นมา เห็นสองตาของเขาปิดสนิท สีหน้าขาวซีด ราวกับหายใจออกยาวนานกว่าหายใจเข้า ทุกคนก็ล้วนตกใจจนหน้าซีด มองกันและกัน โดยไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรไปรายงานเรื่องนี้ต่อหัวหน้าผู้ดูแลแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนให้ได้ทราบ
บรรยากาศภายในกั๋วจื่อเจี้ยนตึงเครียด ไม่มีเสียงอ่านหนังสือดังกังวานเหมือนทุกวัน หวงฝู่อี้เซวียนพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปยังห้องเรียน มีทหารองครักษ์คนหนึ่งลอยตัวลงมาขวางที่หน้าทั้งสองคน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟยขอรับ ไท่จื่อทรงมีรับสั่งให้ข้าน้อยมารับพวกท่าน นายน้อยทั้งสองท่านอยู่ที่สนามขี่ม้าขอรับ”
ทั้งสองคนเปลี่ยนทิศทาง มาถึงยังสนามขี่ม้า
สนามขี่ม้าล้อมไปด้วยร่างคนที่ดำทะมึนๆ คนเกือบทั้งหมดในกั๋วจื่อเจี้ยนล้วนมาที่แห่งนี้ แล้วล้อมอยู่นอกสนามขี่ม้า ชี้ไปด้านในและพากันซุบซิบพูดวิพากษ์วิจารณ์กัน
ไม่ต้องให้ทหารองครักษ์เปิดทาง ทุกคนที่มุงดูอยู่ก็รู้สึกว่าข้างหลังที่มีลมเย็นๆ พัดผ่านมา จึงหันไปด้วยความสะพรึงและสงสัย เห็นหวงฝู่อี้เซวียนรอบกายมีไออำมหิตที่เย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากตัว ทำให้ผวาจนต้องเขยิบเปิดทางให้โดยอัตโนมัติ
ทั้งคู่เดินเข้ามาในสนามขี่ม้า สถานการณ์ตรงหน้า กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตระหนกจนเกือบจะกรีดร้องออกมา
ภายในสนามขี่ม้ามีคนนอนแหงนหน้า แขนขาพัวพันกันหลายสิบคน แต่ละคนต่างหน้าบวมจมูกเขียว สภาพย่ำแย่จนดูไม่ได้ และอีกฝั่งหนึ่งของภายในสนามขี่ม้า เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงก็ถูกทำร้ายจนหน้าบวมช้ำเหมือนหมู
ไม่ต้องถามก็เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น บนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงมีรอยยิ้มอยู่ตลอด แล้วถอยออกไป เดินข้ามผู้คนที่นอนร้องโหยหวนอยู่บนพื้นไม่หยุดพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนมาถึงตรงหน้าเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิง
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิง ตาบวมเป่งจนเหลือขีดเดียว เห็นทั้งสองคนมา ก็อยากจะฝืนเผยรอยยิ้มให้แก่พวกเขา แต่ก็ถูกบาดแผลบนใบหน้ายั้งเอาไว้ และร้อง ซู้ดดด ออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งโกรธทั้งขำ และพูดด่า “สมน้ำหน้า ล้มศัตรูได้ทั้งหมดแต่ตัวเองสาหัสสากรรจ์ ข้าสั่งสอนพวกเจ้าแบบนี้หรอ”
ทั้งสองคนลูบหลังศีรษะของตัวเอง ไม่กล้าขยับเคลื่อนไหวอะไรมาก ได้แต่เผยอริมฝีปากน้อยๆ เมิ่งเจี๋ยพูดอย่างไม่ชัดเจน “คนน้อยแต่กลับสู้คนมากได้ ก็ถือว่าวันนี้พวกเราได้ชัยชนะแล้วนะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวปวดใจอย่างมาก จึงยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของทั้งคู่เบาๆ
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงข่มความเจ็บปวด เผยรอยยิ้มที่คิดว่าเจ้าเล่ห์กรุ้มกริ่มแต่แท้จริงแล้วกลับน่าผวายิ่ง “ท่านพี่ ไม่เป็นไรขอรับ รักษาไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”
หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหนึ่งอย่างสบาย มองเหตุการณ์ทั้งหมดโดยที่คล้ายว่าจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม อันที่จริงแล้วเรื่องในวันนี้ จะบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ จะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กก็ดี แค่ความสามารถของเขาจัดการเรื่องโดยเงียบๆ ได้ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แต่เขาแค้นฝังใจเรื่องที่เจ้าหวงฝู่อี้เซวียนคนนี้ถีบจนเข่าเขาบาดเจ็บ แล้วรอจนกระทั่งเวลาตอนกลางคืนถึงจะให้ยารักษามา ด้วยเหตุนี้จึงสั่งให้ทหารองครักษ์ส่งข่าวแก่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว โดยกำชับว่าพูดให้ดูออกจะร้ายแรงเสียหน่อย ความจริงแล้ว ถ้ารอให้พวกอาวุโสที่รักเด็กพวกนั้นยิ่งชีพมาถึงแล้ว ก็ยากที่จะจัดการอย่างมาก
หัวหน้าผู้ดูแลพร้อมทั้งเสนาบดีแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนก็ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหนึ่ง ทั้งสองคนดูแลกั๋วจื่อเจี้ยนมาหลายปี แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้มาก่อน เรื่องไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่โจ่งแจ้งพวกเขาอาจจะไม่รู้ แต่อย่างน้อยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นให้เห็นโดยประจักษ์ชัดอย่างซึ่งๆ หน้า ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องขึ้นมาก่อน เด็กสองคนที่มาจากบ้านนอกนี้เป็นคนแรกที่กล้าท้าทายอำนาจของพวกเขา หากไม่ใช่อเพราะไท่จื่อยัดพวกเขาเข้ามา เวลานี้ พวกเขาก็จะสั่งคนให้โยนทั้งสองคนออกไปพร้อมกับกระเป๋าเรียนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นสองคนที่มาเร็วที่สุด คนอื่นที่ได้รับข่าวสารยังมาถึงก็น่าจะเพราะมือเท้าแก่ชรามากแล้ว ทำให้มาช้ากว่าหน่อย
เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอาการบาดเจ็บของทั้งสองคนอย่างละเอียด พบว่าล้วนเป็นแผลภายนอก จึงถอนหายใจโล่งอก แล้วเงยหน้ามองหัวหน้าผู้ดูแลและเสนาบดีที่ควันออกศีรษะด้วยความโมโห แล้วจึงก้มหน้าถาม “เกิดอะไรขึ้น”
ไม่รอให้เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงตอบ หัวหน้าผู้ดูแลก็ทนไม่ไหวอีก จึงเอ่ยปากด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล “ยังจะเกิดอะไรขึ้นอีกเล่า หากมิใช่เพราะน้องชายสองคนของซื่อจื่อเฟยหาข้ออ้างต่อยตีคนอื่นจนกลายเป็นเช่นนี้หรอกหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า มองเขาด้วยรอยยิ้มที่งดงามดั่งบุปผาแรกแย้ม แต่คำพูดที่พูดออกมากลับทำให้หัวหน้าผู้ดูแลอ้ำอึ้งจนต้องกรอกตามองบน “ท่านไม่มีตาหรืออย่างไรเจ้าคะ เห็นชัดว่าคนมากมายขนาดนี้มารุมทำร้ายน้องชายทั้งสองคนของข้า”
ด้วยตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลแห่งกั๋วจื่อเจี้ยน แม้ว่าไท่จื่อเห็นเขาก็ต้องประนีประนอมโอนอ่อนให้ จึงไม่เคยมีใครกล้าใช้น้ำเสียงนี้พูดใส่เขา หัวหน้าผู้ดูแลจึงอ้ำอึ้งจนตาขมึงเคราลอย พูดอะไรไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
นี่ก็กล้าพูดเกินไปแล้ว หวงฝู่ซวิ่นเกือบจะพ่นเสียงหัวเราะออกมา ร่างกายก็ยิ่งเอนไปพิงที่พนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เตรียมพร้อมสำหรับดูฉากอันตื่นเต้น
ไม่ไว้หน้าหัวหน้าผู้ดูแล ก็เท่ากับไม่ไว้หน้าตัวเองด้วย เสนาบดีก็หน้าดำบึ้งตึง และพูดจาเสียดแทง “ซื่อจื่อเฟย แม้ว่าท่านจะเกิดเป็นหญิงสาวในครอบครัวชาวนา รู้มารยาทกาลเทศะไม่มาก แต่…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ส่งเสียงแสยะยิ้ม แล้วย้อนถาม “ท่านเป็นใครกันอีกเจ้าคะ ทำไมถึงรู้ว่าข้าไม่รู้จักมารยาทกาลเทศะ ดูท่าว่าท่านคงจะนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงนานเกินไปแล้ว จนลืมว่าบรรพบุรุษตัวเองก็เป็นคนบ้านนอกเช่นกัน”
ครั้งนี้หวงฝู่ซวิ่นไม่อาจทนไหวได้อีกจริงๆ พ่นเสียงหัวเราะออกมา ละอองน้ำลายล้วนกระจายเต็มร่างของเสนาบดีที่ยืนตัวสั่นด้วยความดาลเดือดตรงหน้าเขา
นี่เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างมาก หวงฝู่ซวิ่นจึงถือโอกาสที่เสนาบดีโกรธจนไม่สนใจตัวเอง รีบเช็ดขอบปากตัวเอง แล้วคืนท่าทางที่สง่างามและสูงศักดิ์ พร้อมนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ดังเดิม
มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนก็ปนด้วยรอยยิ้ม มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
เสนาบดีและหัวหน้าผู้ดูแลโกรธจนตัวสั่นระริกไม่หยุด ยื่นมือออกไปชี้ที่เมิ่งเชี่ยนโยว ริมฝีปากสั่นจนพูดอะไรไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดสายตามองพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ นัยน์ตาที่เย็นเฉียบนั่นปะทะเข้ามาจนทำให้ตัวคนรู้สึกหนาวสั่น แล้วพูดด้วยเสียงที่เย็นชา “นี่เป็นซื่อจื่อเฟยของซื่อจื่อ ไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะมาชี้ว่าได้ตามอำเภอใจ หากยังไม่เก็บนิ้วของพวกเจ้ากลับไป ข้าก็จะขอไม่ถือสา เพิ่มอาหารกลางวันเจ้าให้กินอีกหมัดหนึ่ง”
เสนาบดีกับหัวหน้าผู้ดูแลทั้งคู่มองเขาโดยไม่กล้าที่จะเชื่อ ล้วนสงสัยว่าหูของตัวเองว่าฟังผิดไปหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าซื่อจื่อที่มีมารยาทอ่อนน้อม เคารพกฎระเบียบ อยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยนมาตลอดหลายปีก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ทำให้คนต้องปวดหัวเลยคนนั้น จะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา
ทุกคนมองตากันและกัน สีหน้าของทั้งคู่กลับซีดแล้วแดง พอแดงแล้วก็ซีด พอซีดแล้วก็ดำ พอดำแล้วก็ม่วง สับเปลี่ยนกันหลายสีหลายครั้ง ดูแล้วช่างน่าตระการตายิ่งนัก
คนที่มุงดูอยู่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ตกใจจนยืนแข็งทื่อ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง สนามขี่ม้าจึงเต็มไปด้วยความเงียบ เงียบจนเข็มหล่นลงพื้นทุกคนก็ล้วนได้ยินโดยทั่วกัน
หวงฝู่ซวิ่นมีท่าทางที่ตาค้างอ้าปาก ภรรยาว่าเช่นไรสามีคล้อยตามเป็นเช่นไรเขาย่อมเคยเห็นมาก่อน ทว่า ยังไม่เคยเห็นผู้ใดอาการหนักได้ถึงขั้นนี้ นี่เป็นการเปิดวิสัยทัศน์ให้แก่เขาอย่างแท้จริง
ตอนที่ 297
ในที่สุดหวงฝู่ซวิ่นก็เข้าใจข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง หากล่วงเกินหวงฝู่อี้เซวียนนั้นสามารถกระทำได้ แต่หากล่วงเกินเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด ก็ต้องถูกขยี้ไม่เป็นชิ้นดีอย่างแน่นอน
เสนาบดีเป็นคนแรกที่มีได้สติขึ้นมาก่อน จึงรีบเก็บมือกลับมา แล้วพูดอย่างโมโห “ซื่อจื่อ ท่านเป็นคนของเชื้อพระวงศ์ รู้ว่าสามหลักห้าคุณธรรม คืออันใด อย่าบอกนะว่าท่านปกป้องซื่อจื่อเฟยจนไม่แบ่งแยกผิดถูกเช่นนี้แล้ว”
โชคดีที่เสนาบดียังไม่ได้ขาดสติ จึงไม่ได้กล่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเด็กสาวบ้านนอก แม้เป็นเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังมีสีหน้าถมึงทึง และพูดขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว โดยใช้ระดับเสียงที่ทำให้ทุกคนได้ยินแต่ละคำ แต่ละประโยคชัดเจน “ซื่อจื่อเฟยของข้าเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวง อย่าบอกนะว่าท่านเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
แค่กๆๆๆ… เสียงกระแอมอย่างรุนแรงด้านหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนหันไปมองตามเสียงนั่น เห็นหวงฟู่ซวิ่นมีท่าทีที่ลำบาก กระแอมไออย่างแรงจนหน้าแดงก่ำ
ขันทีรับใช้ที่ติดตามตื่นตกใจอย่างมาก สอบถามด้วยเสียงที่เป็นกังวล “ไท่จื่อ พระองค์เป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ มีตรงไหนที่ไม่สบายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เป็นอะไรน่ะหรือ ก็สำลักน้ำลายตัวเองเข้าให้แล้วอย่างไรล่ะ แน่นอนว่าถ้อยคำเท็จจริงเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นไม่กล้าพูดแน่นอน ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งแผ่นดินจริงๆ เสียแล้ว ไท่จื่อที่ภูมิฐานผู้ที่จะครองราชย์ขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งรัฐอู่องค์ต่อไปสำลักน้ำลายตัวเองจนปางตาย ไม่ต้องให้ทุกคนมาหัวเราะเยาะ เขาก็จะขุดหลุมศพฝังตัวเองให้สิ้นเรื่องไปเลย พลางกระแอมอย่างหนัก พลางโบกมือปฏิเสธ
หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด จึงยิ้มถามอย่างมีเลศนัย “ไท่จื่อ ต้องการให้ข้าช่วยพระองค์สักหน่อยไหมพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นหยุดกระแอมโดยทันที แล้วยืดกายให้ตรง โบกมือขึ้นอย่างสง่า “ไม่เป็นไร ขอบใจเสด็จน้อง”
“โยวเอ๋อร์รู้ศาสตร์การแพทย์ ไท่จื่อไม่สบายตรงไหนก็ขอให้ตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ รับรองว่าได้รับยาแล้ว อาการเจ็บป่วยก็จะหายไปโดยทันทีพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยรอยยิ้มคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ในน้ำเสียงนั่นไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็เหมือนกับมีรสชาติแห่งการแก้แค้น
หวงฝู่ซวิ่นแค่ฟังก็เข้าใจ เขาต้องการโทษว่าตนไม่ได้ส่งคนมาดูแลน้องชายทั้งสองคนเป็นอย่างดี นึกถึงวิธีการจัดการคนที่มีเล่ห์กลแพรวพราวของพวกเขาทั้งสองคน หวงฝู่ซวิ่นก็ผวาจนรู้สึกหนาวสั่น จึงไม่เห็นเป็นเรื่องตลกขบขันแล้ว และเอ่ยปาก “เสด็จน้องพูดอะไรกัน ข้าสบายดี ไหนเลยจะต้องให้ถึงมือของน้องสะใภ้ จัดการเรื่องในวันนี้ก่อนดีกว่า”
เพียงถ้อยคำเดียว ก็ดึงความคิดของทุกคนกลับมา แล้วทำให้เสนาบดีกับหัวหน้าผู้ดูแลหวนนึกถึงหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่ทำให้ตัวเองต้องอับอายอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะถามขึ้น ก็มีพรรคพวกกลุ่มหนึ่งดำๆ มาแต่ไกล
จะบอกว่าเป็นพรรคพวกกลุ่มหนึ่งก็ไม่เชิง เพราะในบรรดาคนเหล่านี้ หวงฝู่ซวิ่นมองเพียงแวบแรกก็มองออกว่ามีท่านโหวอาวุโสหลายท่าน ด้านหลังตามมาด้วยพวกท่านโหวซึ่งเป็นลูกๆ และข้างกายของทุกคนก็มีบ่าวรับใช้ตามมาหลายคน มองออกไปไกล ก็น่าจะมากถึงหลายร้อยหลายสิบคน
ท่านโหวอาวุโสแต่ละคนได้รับข่าวที่ละเอียดกว่าที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับอย่างชัดเจน ตลอดเส้นทางที่เดินมาก็ร้องเรียกแต่ “หลานเอ๋ย เป็นเด็กดีนะ” ครั้นเดินมาถึงสนามขี่ม้าและเห็นคนที่นอนสเปะสปะอยู่บนพื้น ทุกคนก็นิ่งอึ้ง ดูไม่ออกว่าใครเป็นใครเลย ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น มีท่านโหวที่อายุค่อนข้างมากหรี่ตาที่เริ่มจะมืดมัวของเขาลง แล้วถามด้วยเสียงสั่นหงกๆ “หลานเอ๋ย คนไหนคือเจ้ากันนะ”
คนที่ล้อมดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ ก็อดกลั้นไม่อยู่ ส่งเสียงหัวเราะ พรวด ออกมา เสียงนี้ราวกับเป็นโรคติดต่ออย่างไรอย่างนั้น ทุกคนต่างก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่ เสียง พรวด ดังขึ้นรับกันเป็นระลอก
ท่านโหวที่อยู่ด้านหลังนับว่าสมองยังทำงานอยู่ พูดสั่งบ่าวข้างกาย “ไป หาตัวนายน้อยออกมา”
บ่าวรับใช้รับคำ เดินเข้าไปพินิจดูคนที่นอนอยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
ท่านโหวที่เหลือได้สติกลับมา ก็รีบสั่งบ่าวรับใช้ในจวนของตัวเองไปตามหาด้วยเช่นกัน
ชั่วขณะเดียว สนามขี่ม้าก็เต็มไปด้วยเสียงร้องเรียก “นายน้อย” กับเสียงชนกันของพวกบ่าวรับใช้
เสนาบดีกับหัวหน้าผู้ดูแลเห็นสถานการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวายก็ยิ่งหน้าดำบึ้งตึง สถานที่แห่งนี้เป็นที่อบรบสั่งสอนผู้มีความสามารถของราชวงศ์ เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงเกินได้ และเป็นที่ที่แม้แต่ไท่จื่อมาก็ไม่กล้าล่วงละเมิดได้ นี่…สรุปก็คือเป็นที่ที่ไม่ควรจะวุ่นวายไร้ระเบียบได้ แต่ ณ ตอนนี้ เบื้องหน้าเป็นเหมือนกับตลาด เสียงตะโกนร้องเรียกดังกังวาลจนเขารู้สึกปวดแปลบไปทั้งหู ความโมโหที่มีต่อหวงฝู่อี้เซวียนแต่เดิมทั้งหมดล้วนเปลี่ยนไปที่คนเหล่านั้น หัวหน้าผู้ดูแลรวมรวบพลัง แล้วแผดเสียงตะโกนใส่ทุกคนที่อยู่ตรงหน้า “หุบปากเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเสียงออกไป ทั้งสนามขี่ม้าก็เงียบสนิทโดยทันที พวกท่านโหวอาวุโสมองเขาด้วยความตกตะลึง ท่านโหวก็ขมวดคิ้วมองไปทางเขา และบ่าวรับใช้ที่กำลังตามหาคนในสนามขี่ม้าก็มองเขาด้วยความพรั่นพรึง
หัวหน้าผู้ดูแลตวัดมือขึ้น ชี้สั่งที่บ่าวรับใช้ทุกคน “พวกเจ้าออกไปให้หมด!”
บ่าวรับใช้ทุกคนไม่ขยับ พากันมองไปที่นายของตัวเอง
ความเดือดดาลของหัวหน้าผู้ดูแลก็ยิ่งพุ่งพล่าน พูดด้วยความโมโห “ทำไม คำพูดของข้าไม่มีความหมายหรือ ดี ข้าจะสั่งคนให้โยนพวกที่ทำลายกฏระเบียบแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าก็ไปหาที่นอกกั๋วจื่อเจี้ยนก็แล้วกัน”
จะให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หลานชายของบ้านตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว ถ้ายังถูกโยนออกไปอีก เช่นนั้นก็ยิ่งได้รับเจ็บมากขึ้นกว่าเดิมสิ พวกท่านโหวก็ตกใจ จึงรีบตำหนิบ่าวรับใช้ในจวนของตัวเอง “ยังไม่รีบกลับมาอีก!”
พวกบ่าวรับใช้ก็รีบถอยกลับมาโดยไม่ชักช้า
หัวหน้าผู้ดูแลเดินขึ้นมาข้างหน้าหลายก้าว แล้วพูดกับทุกคนที่อยู่ในสนามด้วยความโกรธและเกลียดชัง “พวกเจ้าแต่ละคนไม่ต้องทำเป็นแกล้งตายแล้ว รีบลุกขึ้น แล้วกลับไปหาคนในครอบครัวของตน หากยังพาลอยู่บนพื้น ก็ระวังว่าข้าจะรายงานต่อฝ่าบาทให้พวกเจ้าไม่มีวันที่ได้อยู่อย่างสบายอีกต่อไป”
พวกคนที่ทะเลาะวิวาทเหล่านี้ เดิมทีก็ตั้งใจจะมาเสเพลที่กั๋วจื่อเจี้ยนไปวันๆ เพราะอยากอยู่อย่างสบายๆ เช่นนี้ หากไม่มีแล้ว ก็จะต้องถูกฮ่องเต้เรียกตัว แล้วส่งไปปฏิบัติงานราชการนอกเมืองน่ะสิ ช่วงเวลาดีๆ ยังไม่ได้เสพสุข พวกเขาก็ไม่ยอมไปทำหรอก พอได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่มีใครเสแสร้งแกล้งตายอีก ปีนขึ้นมาจากพื้น แล้วเรียกบ่าวรับใช้ในจวนตัวเองให้มาพยุงขึ้น
เมื่อเห็นว่าในลานจะวุ่นวายขึ้นอีก หัวหน้าผู้ดูแลก็ตวาดใส่ทุกคนด้วยความโมโห “พวกเจ้าอย่าได้ขยับ!”
ขณะที่ทุกคนกำลังจะก้าวฝีเท้าออกไปก็ต้องเก็บกลับมา
หัวหน้าผู้ดูแลก็ชี้ไปที่ทุกคนในสนาม “พวกเจ้า ตั้งแต่ซ้ายไปขวา เรียกคนในจวนตัวเองให้พยุงพวกเจ้าขึ้นมาทีละคน”
ทุกคนก็ทำตาม ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็ล้วนหาคนของบ้านตัวเองเจอแล้วพยุงขึ้นมา ภายในสนามขี่ม้าก็เงียบลงมาก
ขณะที่หัวหน้าผู้ดูแลกำลังจะถอนหายใจ ท่านโหวอาวุโสคนหนึ่งก็ร้องไห้เสียงสั่นขึ้นมา “หลานเอ๋ย ไฉนเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้ ปู่เกือบจะจำเจ้าไม่ได้แล้ว”
หัวหน้าผู้ดูแลได้ยินแล้ว ก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
หวงฝู่ซวิ่นกลัวว่าเสียงหัวเราะตัวเองจะดังออกมา จึงก้มหน้าลง แต่ไหล่ที่สั่นไหวไม่หยุดกลับเผยให้เห็นว่าเขาเวลานี้กำลังทำอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดสายตามองทุกคนอย่างไม่ใส่ใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ
เสียงระทมใจต่อหลานตัวเองของพวกท่านโหวอาวุโสดังมาไม่หยุด พวกท่านโหวเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของลูกชายตัวเองก็ทำหน้าบึ้ง แม้จะบอกว่าผู้ชายไม่ให้ความสำคัญกับใบหน้าเท่ากับผู้หญิง แต่ลักษณะที่จมูกเขียวหน้าแดงเช่นนี้ก็น่าผวาเกินไป ถ้าหากเกิดร่องรอยแผลเป็นอะไรขึ้น ต่อไปจะหาคู่แต่งงานที่ดีๆ ได้อย่างไร คิดถึงตรงนี้ โทสะก็ลุกโชน แล้วไต่ถามลูกของบ้านตัวเอง “ไอ้ระยำคนไหนลงมือรุนแรงเช่นนี้ต่อเจ้า บอกมา พ่อจะแก้แค้นแทนเจ้าเอง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวมลายหายไป หรี่ตาลง มองไปทางคนที่พูดเช่นนี้
คนสิบกว่าคนที่โดนทำร้ายชี้ไปทางเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงพร้อมกัน เวลานี้ทุกคนถึงได้เห็นว่าไท่จื่อก็อยู่ด้วย จึงสะดุ้งตกใจและรีบจะจูงลูกประคองผู้เฒ่าเข้ามาทำความเคารพ
เรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว หวงฝู่ซวิ่นก็ยิ่งตั้งตารอคอยกับสถานการณ์ต่อไป คิ้วและมุมปากยิ้มให้พร้อมผงกศีรษะน้อยๆ ให้แก่ทุกคน โดยเฉพาะท่านโหวอาวุโสเหล่านั้น หลังจากทำความเคารพเสร็จ ก็สั่งคนยกเก้าอี้มาให้พวกเขานั่ง
ท่านโหวอาวุโสล้วนเป็นคนที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้มาเป็นเวลานาน จึงมีคุณสมบัติที่จะนั่งต่อหน้าหวงฝู่ซวิ่นได้จริงๆ จึงไม่ได้เกรงใจ และนั่งลงบนเก้าอี้อย่างมีมารยาท พร้อมประสานมือต่อหวงฝู่ซวิ่น “ไท่จื่อ หลานของพวกข้าถูกพ่อแม่เขาโบยตียังแยกแยะหน้าตาออก แต่นี่… พระองค์ต้องทรงตัดสินให้พวกข้าอย่างยุติธรรมนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านโหวอาวุโสวางใจเถิดขอรับ แต่ไหนแต่ไรไท่จื่อของเราทรงจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยความชอบธรรม ผิดถูกอะไรก็ทรงตรวจสอบโดยกระจ่างชัดอย่างแน่นอน ขอท่านโหวอาวุโสคอยก่อน อย่าได้รีบร้อนไปเลยขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
ด้วยความที่เป็นผู้อาวุโสในยศถาบรรดาศักดิ์ของตัวเอง พวกท่านโหวอาวุโสจึงคิดว่าหวงฝู่ซวิ่นต้องพูดเข้าข้างให้แก่หลานของบ้านตัวเองเป็นแน่ จึงลูบเครา บนใบหน้าก็พากันเผยรอยยิ้มที่ครึ้มอกครึ้มใจ มองไปทางเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงอย่างดูแคลน
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา แล้วเปิดโปงความคิดของพวกเขา “ท่านโหวอาวุโสทุกท่านไม่ต้องมองแล้วเจ้าค่ะ พวกเขาเป็นน้องชายที่ไม่เอาไหนของข้านั่นแหละเจ้าค่ะ”
ในใจพวกท่านโหวอาวุโสก็ตื่นตะลึง คนที่ส่งสารบอกแต่เพียงว่าหลานชายของบ้านตัวเองถูกทำร้ายจากไอ้บ้านนอกชั้นต่ำที่ไม่รู้ใช้เส้นสายจากที่ไหนอะไรถึงเข้ามาในกั๋วจื่อเจี้ยนได้ ไม่ได้บอกว่าคนชั้นต่ำสองคนนี้คือน้องชายของซื่อจื่อเฟย ทว่า ตกใจก็ส่วนตกใจ พวกเขาก็ยังคงไม่ได้มองเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในสายตา แม้แต่ฮ่องเต้เห็นพวกเขายังต้องประนีประนอมให้ ซื่อจื่อเฟยอย่างนางจะสามารถทำอะไรพวกเขาได้ คิดถึงตรงนี้แล้ว ก็ออกปากถากถางด้วยใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม “องค์หญิงชิงเหอได้รับการอบรมสั่งสอนจากที่บ้านมาดีจริงๆ ขนาดอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยนยังบังอาจสามหาวถึงเพียงนี้ได้”
การประชดประชันที่ชัดเจนเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยจะฟังไม่ออกได้เยี่ยงไรเล่า แต่ก็ไม่นึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับยิ้มและพูดโต้กลับไป “ถ้าบอกว่าน้องชายสองคนนี้ของข้าได้รับการอบรมสั่งสอนจากที่บ้านไม่ดี ก็คงไม่โดนคนมารุมรังแกหรอกเจ้าค่ะ วิธีการอบรมสั่งสอนในจวนของท่านโหวอาวุโสนั้น วันนี้ข้าก็ได้เรียนรู้แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน แม้ว่าสายตาของท่านโหวอาวุโสจะไม่ดีแต่ก็มองเห็นได้ จึงไร้หนทางโต้แย้ง บนใบหน้าก็ซีดขาวขึ้นมา
หวงฝู่ซวิ่นกลั้นขำอยู่ในใจ พูดสั่งด้วยเสียงที่ไม่มั่นคง “ซื่อจื่อเฟยกำลังมีครรภ์ ไม่อาจเหน็ดเหนื่อยเกินไปได้ รีบไปยกเก้าอี้มาให้นางกับซื่อจื่อเร็วเข้า”
แต่ตอนที่ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวที่ลอยอยู่ในหูนั่นกลับคือ พูดอีก เอาอีก เรื่องยิ่งใหญ่ยิ่งดี
ขันทียกเก้าอี้มา ทั้งสองคนขอบคุณ แล้วนั่งลงโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
พวกท่านโหวอาวุโสพ่นลมออกมา มองตาขวางใส่พวกเขา และพูดอย่างดูแคลน “ผู้หญิงไม่สามารถเข้ามาในกั๋วจื่อเจี้ยนได้ นี่คือกฏระเบียบ ได้ยินว่าองค์หญิงชิงเหอเป็นคนทำร้ายขันทีที่เฝ้าประตูจนบาดเจ็บ ถึงเข้ามาได้ อะไรๆ ก็ไม่สนใจอยู่ในสายตาเลยจริงๆ ”
กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นสถานที่ที่เปิดโดยราชวงศ์ การที่ดูถูกสถานที่แห่งนี้ก็เท่ากับเป็นการดูถูกราชวงศ์ด้วย พูดให้ชัดกว่านี้ก็คือ เป็นการดูถูกฮ่องเต้นั่นเอง เมื่อได้รับการกล่าวหาเช่นนี้ โทษของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้ายแรงเสียแล้ว นอกจากหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิง คนที่เหลือล้วนเบิกตาโต รอดูเรื่องน่าขำขันของนาง ซึ่งรวมถึงหวงฝู่ซวิ่นด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวบุ้ยปาก แล้วเผยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกจนทำให้ท่านโหวอาวุโสที่เอ่ยปากต้องไหล่หดเกร็งอย่างอดไม่ได้ พูดขึ้น “หากข้าไม่บุกเข้ามา น้องชายทั้งสองคนของข้าก็จะต้องถูกทำร้ายจนตายแล้ว นี่ก็พอจะให้อภัยกันได้นะเจ้าคะ ที่บอกว่าอะไรก็ไม่สนอยู่ในสายตานั้น ท่านโหวอาวุโสพูดเกินจริงแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
ท่านโหวอาวุโสถูกพูดย้อน ก็โกรธจนคอบวมหน้าแดง
อย่างน้อยก็เป็นคนที่ช่วยตระกูลหวงฝู่ครองแผ่นดินมาก่อน ถ้าหากวันนี้โมโหจนตายต่อหน้าตัวเอง ก็ยากที่จะรับมือต่อไปได้แล้ว หวงฝู่ซวิ่นจึงกระแอมเบาๆ ถามหัวหน้าผู้ดูแลเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดของทั้งสองฝั่ง “เรื่องวันนี้ ตกลงแล้วเป็นอย่างไร หัวหน้าผู้ดูแลทราบหรือไม่”
แน่นอนว่าหัวหน้าผู้ดูแลไม่ทราบ กว่าเขาจะได้ข่าวและมาถึงสนามขี่ม้า ทุกคนก็ได้มีสภาพเช่นนี้แล้ว สีหน้าจึงแดงขึ้น ได้แต่ตอบอย่างกระอึกกระอักไม่เป็นคำ
เห็นท่าทีที่ไม่รู้ของเขา หวงฝู่ซวิ่นก็หันไปหาเสนาบดี
เสนาบดีก็ก้มหน้าด้วยความละอาย
ในใจหวงฝู่ซวิ่นเดือดเป็นไฟเสียแล้ว อยากจะถอดรองเท้าโยนใส่ทั้งคู่จริงๆ อยู่กับเรื่องวุ่นวายมาครึ่งค่อนวัน ในฐานะที่เป็นผู้คุมอำนาจสูงสุดในกั๋วจื่อเจี้ยน ทั้งคู่กลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ราวกับรู้สึกได้ถึงความพิโรธของเขา ร่างกายของเสนาบดีและหัวหน้าผู้ดูแลก็สั่นเทาเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน กั๋วจื่อเจี้ยนไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาหลายสิบปี เวลานั้นพวกเขาเอาแต่โมโหจนลืมตรวจสอบสาเหตุของเรื่องราวเสียสนิท
สายตาหวงฝู่ซวิ่นหันไปทางกลุ่มคนที่สภาพดูไม่ออกว่าเป็นใคร กดน้ำเสียงขรึมต่ำ “พวกเจ้า ใครก็ได้มาบอกข้าทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ทุกคนก้มหน้าลงด้วยความละอาย
แล้วสายตาหวงฝู่ซวิ่นหันไปทางเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิง
ทั้งสองคนปะทะเข้ากับสายตาของเขาอย่างไม่กลัว แล้วมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งทั้งสองคนด้วยเสียงที่นุ่มนวล “พูดเถิด พูดตามความจริงก็พอ”
เมิ่งเจี๋ยบอกเรื่องราวที่ผ่านมาตามเดิมทั้งหมด
ที่แท้พวกคนเหล่านี้ก็คือพวกคนที่มีเรื่องวิวาทกับพวกเขาเมื่อคราวก่อน ครั้งที่แล้วพวกเขาไม่ได้เปรียบ จึงมีความเกลียดชังฝังใจอยู่ตลอด คิดอยากจะหาโอกาสแก้แค้น
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงทั้งคู่ก็คิดเช่นนี้ และเตรียมหาโอกาสที่จะแก้แค้นให้สาสมเหมือนกัน
บังเอิญประจวบเหมาะที่วันนี้มีการสอบในวิชาขี่ม้ายิงธนู เมิ่งชิงและเมิ่งเจี๋ยได้ที่หนึ่งและที่สองของวิชานี้ตามลำดับ ทำให้อาจารย์ที่สอนขี่ม้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพอใจ แล้วออกปากชมทั้งสองคนต่อหน้าทุกคน บอกว่าทั้งสองคนมีพรสวรรค์ และจะมีอนาคตที่ก้าวไกล
พวกคนเหล่านี้ตั้งแต่เล็กก็เติบโตอยู่ท่ามกลางทรัพย์สินและยศถาบรรดาศักดิ์ จึงมีความรู้สึกเหนือกว่าโดยตลอด ตอนนี้กลับถูกเด็กบ้านนอกทั้งสองคนกดอยู่บนหัว ในใจก็อึดอัดอย่างยิ่ง ความโกรธแค้นแต่เดิมบวกกับความเกลียดชังที่เพิ่มขึ้น จึงถือโอกาสตอนที่เลิกเรียนครั้งนี้ คนสิบกว่าคนก็โถมเข้ามา อยากจะต่อยพวกเขาสองคนให้ลุกขึ้นมาไม่ได้ แต่นึกไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตร คนที่ลุกไม่ไหวดันเป็นพวกเขาเหล่านี้เสียเอง แม้ว่าเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็มีสภาพที่ดีกว่าพวกเขามาก
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ ก็หัวเราะขึ้นมา หัวเราะอย่างสง่างาม หัวเราะจนทำให้ในใจของผู้คนต้องสั่นไหว “ท่านโหวอาวุโส คำพูดของน้องชายข้า ท่านฟังชัดเจนแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
ตอนที่ 298 โด่งดังภายในศึกเดียว
ท่านโหวอาวุโสย่อมได้ยินชัดเจนแล้ว และยังได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอีกด้วย แต่แล้วอย่างไรล่ะ แม้ว่าหลานชายตัวเองจะผิด พวกเขาก็ไม่ยอมรับหรอก จะมาให้หลานที่สูงส่งของพวกเขาขอโทษต่อเด็กบ้านนอกสองคน ช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียจริง นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมีสถานะเป็นซื่อจื่อเฟยก็กดดันพวกเขาไม่ได้!
ในใจมีความคิดเช่นนี้ ก็ลูบเครา แล้วพูดอย่างเด็ดขาดโดยเบ่งอำนาจความผู้เป็นอาวุโส “เรื่องวันนี้ แม้ว่าจะเป็นบทเรียนระหว่างพวกเขา แต่น้องชายทั้งคู่ขององค์หญิงชิงเหอก็ไม่ลงมือโดยที่ไม่รู้หนักเบาไปหน่อยหรือ นึกไม่ถึงว่าจะทำให้หลานของพวกข้าบาดเจ็บจนสาหัสสากรรจ์ ควรต้องสั่งสอนให้ดีเสียบ้าง”
ประโยคเดียวบิดเบือนไปได้ถึงสองเรื่อง เรื่องแรกคือ ความขัดแย้งพวกเขามองให้กลายเป็นเพียงบทเรียน เพื่อให้หลานของตนเองพ้นข้อกล่าวโทษ อีกเรื่องหนึ่งคือโทษทั้งหมดล้วนผลักเข้าตัวเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง อีกทั้งยังแอบพูดเหน็บแนมว่าทั้งสองคนไม่รู้จักกาลเทศะด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวโกรธจนยิ้มออกมาอีกครั้ง เคยเห็นคนหน้าไม่อายมาก่อนแล้ว ทว่า ไม่เคยเห็นคนที่หน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน ท่านโหวอาวุโสที่สง่ามีเกียรติกลับพูดจาไร้สาระได้อย่างเต็มปากเต็มคำท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายที่จับจ้อง ก็เพื่อแก้ต่างแทนหลานชายของตัวเอง
เมื่อเห็นนางยิ้ม ท่านโหวอาวุโสก็นึกว่านางเห็นด้วยกับถ้อยคำของเขา รอยย่นและตีนกาทั้งใบหน้าเบียดเข้าหากันยับ พูดโดยคิดตัวเองยิ่งใหญ่มาก “ดูท่าว่าองค์หญิงชิงเหอจะเห็นด้วยกับคำพูดของข้า เช่นนั้นพวกเราก็จะไว้หน้าแก่องค์หญิงชิงเหอสักหน่อย เรื่องวันนี้จะไม่ไปรายงานต่อฝ่าบาทแล้วกัน แล้วพวกเรามาปรึกษาเรื่องการชดใช้ต่อพระพักตร์ไท่จื่อเถิด”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยีฟันที่ขาวสะอาด และพูดแต่ละคำแต่ละประโยคอย่างช้าๆ “ท่านโหวอาวุโสเจ้าคะ ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
ท่านโหวอาวุโสอึ้งไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากถามอย่างลืมตัว “ประโยคอะไรหรือ”
“กระดาษแผ่นหนึ่งวาดได้เพียงแค่จมูกเดียว เช่นนั้นหน้าของท่านต้องใหญ่มากๆ เลยนะเจ้าคะ”
ท่านโหวอาวุโสนิ่งอึ้ง พวกท่านโหวก็นิ่งอึ้ง ทุกคนที่ล้อมดูอยู่นิ่งอึ้งไปเกือบทั้งหมด
หวงฝู่ซวิ่นผู้เป็นไท่จื่อกลับเอามือกุมหน้าท้องตัวเอง อยากจะหัวเราะกลับไม่สามารถหัวเราะได้ ต้องอดกลั้นไว้จนปวดท้อง
เสนาบดีและหัวหน้าผู้ดูแลคืนสติกลับมา ตัวแข็งทื่อมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ นางช่างบังอาจกล้าเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะพูดออกมาว่าท่านโหวอาวุโสหน้าไม่อาย
น่าจะเพราะอายุมากแล้ว จึงไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับ หลังจากอึ้งไปนาน ท่านโหวอาวุโสก็ถามด้วยเสียงสั่น “องค์หญิงชิงเหอ คำพูดของเจ้าหมายความเช่นไร”
หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกว่าตัวเองอดทนไปมากกว่านี้ต้องทำให้อวัยวะภายกระทบกระเทือนแน่ๆ จึงฝืนกระแอมหลายครั้ง แล้วยิ้มเพื่อจะคลายบรรยากาศ เพื่อให้คำพูดนี้ผ่านๆ ไป “นั่นน่ะ…นี่ก็…”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่ยิ้มไม่พูด
บุตรของท่านโหวที่ถูกต่อยนั้นมีไหวพริบ จึงเข้าใจโดยพลัน และร้องเสียงแหลมท่ามกลางอากาศ “ท่านปู่ นางบอกว่าท่านหน้าไม่อายขอรับ”
เงียบ
เงียบสนิท
เงียบสนิทราวกับป่าช้า
เงียบจนแม้แต่เข็มหล่นลงพื้นก็ล้วนได้ยินกันทั่ว
เงียบจนในใจของทุกคนหดเกร็ง เงียบจนในใจทุกคนเริ่มสั่น เงียบจนทำให้ทุกคนขนหัวลุก
ท่ามกลางความเงียบสงัด ท่านโหวอาวุโสก็ได้ร้อง อ้ะ ออกมา แล้วดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตาไม่มัว มือไม่สั่นอีกแล้ว ชี้ไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมถาม “เจ้า…เจ้ากล้าพูดว่าข้าหน้าไม่อายอย่างนั้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ายิ้ม และปฏิเสธ “ข้าไม่ได้พูดเสียหน่อยเจ้าค่ะ หลานของท่านเป็นคนพูดต่างหากนะเจ้าคะ”
ท่านโหวอาวุโสโมโหจนหนวดและขนคิ้วสั่นรัว พูดจาอย่างสิ้นสติไปแล้ว “นังหญิงบ้านนอกไม่รู้ความ นึกไม่ถึง…”
“ท่านโหวอาวุโสขอรับ” เสียงเย็นเฉียบของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “โปรดระวังคำพูดคำจาของท่าน โยวเอ๋อร์เป็นซื่อจื่อเฟยของข้า ท่านโหวอาวุโสพูดเช่นนี้หมายความอย่างไรขอรับ”
การถูกพูดว่าหน้าไม่อายต่อหน้าทุกคนเป็นครั้งแรกนับแต่เกิดมา ท่านโหวอาวุโสได้ไร้เหตุผลแล้ว พูดด้วยความฉุนเฉียว “หมายความว่าอย่างไรหรือ! ก็หมายความอย่างที่เจ้าได้ยินอย่างไรล่ะ อย่าคิดว่านางไต่เต้าเข้าจวนอ๋องฉี แล้วกลายเป็นซื่อจื่อเฟยของเจ้าได้ ก็จะเปลี่ยนแปลงนางที่มีสถานะเป็นนังหญิงบ้านนอกไร้มารยาท ไม่รู้จักกาลเทศะได้ ข้า…”
เสียง โครมมม ดังขึ้น ทุกคนสะดุ้งตกใจ เงยหน้ามองไป ก็เห็นเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังท่านโหวอาวุโสกลายเป็นเศษไม้ที่แหลกละเอียดกองอยู่บนพื้น
ทุกคนต่างพรั่นพรึง ท่านโหวอาวุโสก็รู้สึกไม่กล้าเชื่อ หวงฝู่ซวิ่นกลับร้องออกมาว่า “แย่แล้ว” อย่างเบาๆ
มวลกายของหวงฝู่อี้เซวียนดูน่าสะพรึงกลัว สีหน้าถมึงทึง ถ้อยคำที่เยือกเย็นและกระจ่างชัดดังเข้าไปถึงหูของทุกคน “หากใครบังอาจว่าซื่อจื่อเฟยของข้าอีกเพียงครึ่งคำ ก็จะเจอจุดจบเช่นนี้”
ท่านโหวอาวุโสอ้าปากกว้าง ยังไม่ทันปิดลง ก็เบิกตาที่พร่ามัวมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความอึ้ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงมองพวกเขาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กๆ
และรอยยิ้มนี้ ในสายตาของท่านโหวอาวุโสก็คือกำลังยั่วยุ เมื่อได้สติกลับมา ก็เดือดพล่านจนทั้งกายไหวสั่นและริมฝีปากสั่นระรัว “ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”
ท่านโหวอาวุโสเป็นเช่นนี้ พวกท่านโหวก็ไม่สนอะไรแล้ว ก้าวเท้ายาวๆ ตรงมาถึงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน แล้วถามอย่างความเกรี้ยวกราด “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นซื่อจื่อแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ หากวันนี้เจ้าไม่คุกเข่าขอขมา ก็อย่าหวังว่าจะได้เดินออกจากประตูใหญ่ของกั๋วจื่อเจี้ยนแห่งนี้เลย”
ครั้นเสนาบดีกับหัวหน้าผู้ดูแลได้ยิน ก็ตื่นตระหนกอย่างมาก การที่เรื่องในวันนี้ลามมาถึงขั้นนี้เป็นเรื่องที่เหนือขอบเขตที่พวกเขาจะสามารถควบคุมอย่างสิ้นเชิง ดูจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็คือจะต้องเกิดเรื่องลงไม้ลงมือต่อกันภายในกั๋วจื่อเจี้ยนแน่นอน
หวงฝู่ซวิ่นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายๆ ไม่มีลักษณะที่เป็นกังวลแทนหวงฝู่อี้เซวียนแม้แต่น้อย เจ้าคนนี้ อวดเบ่งต่อหน้าเขานานเกินไปแล้ว เสียเปรียบบ้างก็ดี
มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนเผยอขึ้นเบาๆ เผยเห็นรอยยิ้มที่ดูแคลน แล้วพูดเย้าแหย่ขึ้นทันที “ท่านโหวหลิว พวกเจ้าจะเลือกเข้ามาคนเดียวหรือจะบุกมาพร้อมกันล่ะ ข้าล้วนน้อมรับใช้”
คำพูดเสียดแทงเข้าแล้ว
ท่านโหวหลิวถูกตีจนตายก็ไม่คาดคิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะถามเขาเช่นนี้ได้ พลันโกรธจนหน้าเขียวหน้าดำ แล้วพูดด้วยความเดือดดาล “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าอย่าได้สามหาวให้มากนัก ไม่ว่า…”
หวงฝู่อี้เซวียนแทรกคำพูดเขาอย่างสบายๆ “จะเข้ามาหรือไม่เข้ามา”
ท่านโหวหลิวโมโหจนควันออกเหนือศีรษะ ตอบโดยไม่แม้แต่จะคิด “ได้!”
“คนเดียวหรือหมาหมู่ล่ะ”
“ยังต้องหมาหมู่อีกหรอ ข้าคนเดียวก็ได้…”
โพล่ง คำพูดดูถูกของท่านโหวหลิวยังไม่ทันจบ ตัวคนก็ลอยออกไปแล้ว
หวงฝู่ซวิ่นไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะทำอะไรต่อไป จึงปิดตาอย่างอดไม่ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจากได้ยินเสียงที่ดังขึ้นแล้ว ถึงจะเปิดตาขึ้นเบาๆ หันมองรอบทิศอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะมองเห็นท่านโหวหลิวล้มตัวโก่งอยู่บนพื้นราวกับท่าทางของหมาขี้แพ้
เสียงร้องโหยหวนของท่านโหวอาวุโสแซ่หลิวดังสะท้านจนแก้วหูของหวงฝู่ซวิ่นแทบแตก
“ลูกชายข้า!” ตะโกนเสร็จ บ่าวในจวนก็ช่วยประคอง ‘วิ่ง’ ตัวสั่นเข้าไปหา
ท่านโหวหลิวปีนขึ้นจากพื้น เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ปลายจมูกมีเลือดไหลออกมาทั้งสองข้าง
ท่านโหวอาวุโสแซ่หลิวปวดใจจนเอนกายลง อยากจะออกแรงพยุงเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง
เดิมทีท่านโหวอาวุโสก็อายุมากแล้ว พละกำลังไม่เหมือนเมื่อก่อน ท่านโหวหลิวจึงล้มลงไปอย่างดูไม่ได้อีกรอบหนึ่ง เพราะร่างกายค่อนข้างหนัก การพยุงของท่านโหวอาวุโสจึงไม่เพียงแต่ไม่ได้พยุงลูกตัวเองขึ้นมา หนำซ้ำยังตัวเองยังถูกลูกดึงล้มลงพื้นด้วยกันอีก
ท่ามกลางเสียงตกใจของทุกคน ใบหน้าของท่านโหวอาวุโสก็สัมผัสแนบชิดไปกับพื้นแล้ว
บ่าวรับใช้ในจวนท่านโหวคิดไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงตื่นตระหนกอย่างมาก หลายมือหลายเท้ารีบเข้ามาพยุงนายทั้งสองของบ้านตัวเองขึ้นมากันอย่างชุลมุน เยี่ยมไปเลย ทั้งคู่สมกับเป็นพ่อลูกกันจริงๆ แม้แต่ตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บก็เป็นที่เดียวกัน แม้แต่ปลายจมูกก็ยังมีเลือดไหลยืดออกมาจากทั้งสองข้างเหมือนกัน
พวกบ่าวรับใช้ต่างวุ่นทำหน้าที่ของตัวเอง มีคนเช็ดใบหน้า ซับจมูก ปัดเสื้อผ้า เมื่อจัดแจงแต่งกายให้ทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว พ่อลูกทั้งคู่ที่ล้มจนสับสนมึนงงนั้นถึงจะได้สติคืนมา มองกันและกันครู่หนึ่ง ใบหน้าท่านโหวอาวุโสนี้ก็ควบคุมไม่อยู่แล้ว เดินกลับมาถึงหน้าหวงฝู่ซวิ่นอย่างโซซัดโซเซด้วยการช่วยประคองของทุกคน “ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ต้องทรงตัดสินให้กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมติดตามราชวงศ์มาสองรัชสมัย คุณูปการที่แลกด้วยหยาดเหงื่อแรงกายล้วนเพื่อให้ตระกูลหวงฝู่ได้เป็นใหญ่ในใต้หล้า บัดนี้ กลับถูกเด็กรุ่นหลังเพียงคนเดียวเช่นนี้มารังแกแบบนี้ ข้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
อยู่ต่อไม่ได้ก็ไปตายเถิด หวงฝู่ซวิ่นอยากจะตอบกลับไปเช่นนี้จริงๆ แต่เขาไม่กล้า อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่เสด็จพ่อเอง ก็ต้องไว้หน้าพวกตาเฒ่านี้บ้าง เป็นเช่นนี้ถึงทำให้ตาเฒ่าพวกนี้ป่วยเป็นโรคทะนงตัว ดูแคลนผู้อื่นไม่เลือกหน้า วันนี้ให้หวงฝู่อี้เซวียนลงมือสั่งสอนเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ให้เขาเอาแต่เบ่งอำนาจบาตรใหญ่ที่สั่งสมมาตั้งแต่ยังวัยละอ่อนมากดหัวเขากับเสด็จพ่อ ต้องรู้เสียว่า แม้ว่าพวกเขาจะช่วยครอบครัวหวงฝู่ได้ขึ้นครองแผ่นดินและนั่งบนเก้าอี้ได้อย่างมั่นคง ครอบครัวหวงฝู่ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน อนุญาตให้ตั้งแซ่ของท่านโหวให้เป็นแซ่อื่น ให้ความมั่นคั่งอย่างล้นเหลือพร้อมเกียรติยศอันสูงส่งหลายต่อหลายรุ่น
ในใจคิดเช่นนี้ ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงอะไรออกมา ปั้นหน้ายิ้ม ลุกขึ้น ยกเก้าอี้ของตัวเองไปไว้ด้านหลังของท่านโหวอาวุโสด้วยตัวเองเพื่อให้เขานั่งอย่างสงบ ถึงจะพูดว่า “ท่านโหวอาวุโส เหตุการณ์เมื่อครู่ข้าล้วนดูตั้งแต่ต้นจนจบ และเห็นว่าเป็นท่านโหวที่พูดจายุแยงขึ้นก่อน ซื่อจื่อถึงต้องลงมืออย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะรายงานต่อพระพักตร์เสด็จพ่อ พระองค์ก็ต้องมีเหตุมีผลเช่นกัน”
นี่เป็นการปกป้องอย่างชัดเจน ท่านโหวอาวุโสแม้ว่าจะชราแล้ว แต่ก็ไม่ได้โง่ ฟังความหมายคำพูดเขาออกโดยทันที ความหมายนั่นก็คือให้พวกเขายุติเรื่องอย่างสงบ แต่ในวันนี้ครอบครัวโหวของตัวเองทั้งคนแก่ หนุ่ม และเด็ก ล้วนมีหน้าตาเหมือนหัวหมู ถ้าหากจะจบเพียงเท่านี้ ต่อไปพวกเขาจะยืนอยู่ในเมืองหลวงอย่างมั่นคงได้อย่างไร แล้วจะมีหน้าไปปรากฏต่อทุกคนในเมืองหลวงได้อย่างไร
ความคิดนี้เข้ามา น้ำตาพลันไหลรินออกมา ร่างกายก็ลื่นไถลลงจากเก้าอี้ คุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่ซวิ่น แล้วย้อนพูดกลับไปต้นเรื่อง พลางเช็ดน้ำหู น้ำตาไปด้วย “ไท่จื่อ พระองค์ต้องช่วยพวกข้าเหล่านี้ตัดสินนะพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าข้าจะเป็นคนหาเรื่องเอง แต่หลานและบุตรที่น่าสงสารของข้านั่นเล่า คนแล้วคนเล่าถูกทำร้ายจนแม้แต่ข้าก็ไม่รู้จักมักคุ้นแล้ว นี่เป็นบทเรียนที่ไหนกัน ชัดเจนว่านี่คืออยากจะเอาชีวิตของพวกเขากันเลยพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดนี้ของเขาออกไปก็เป็นการเตือนท่านโหวที่เหลือทุกคน จึงพากันพูดคล้อยตามเสียงดัง ให้หวงฝู่ซวิ่นช่วยตัดสินให้แก่หลานชายของพวกเขา
ปกติแล้ว พวกท่านโหวอาวุโสเหล่านี้ก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ยิ่งเป็นโกรธเป็นแค้นไปด้วย เมื่อเห็นว่าหวงฝู่ซวิ่นไม่ตัดสินเด็ดขาด จึงพร้อมกันคุกเข่าลงบนพื้นอ้อนวอนให้เขาตัดสินให้แก่พวกเขา
หวงฝู่ซวิ่นลำบากเสียแล้ว และมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนอย่างโกรธเคือง
หวงฝู่อี้เซวียนส่งรอยยิ้มยั่วโมโหกลับไป แล้วส่งสายตาเป็นสัญญาณ “สมน้ำหน้า ใครให้เจ้าอยากรอดูข้ากลายเป็นตัวตลกเมื่อครู่ล่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นถูกยั่วโมโหจนเดือดดาล แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้ม ถามทุกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ท่านโหวอาวุโสทุกท่าน พวกท่านอยากจะให้จัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดีล่ะ”
ในบรรดานี้คนเหล่านี้ ผู้ที่อายุมากที่สุดคือท่านโหวอาวุโสแซ่หลิวจึงย่อมเป็นเขาที่เอ่ยปาก เขารับผ้าเช็ดหน้าจากบ่าวรับใช้มาไว้ในมือ แล้วเช็ดน้ำตาน้ำมูกจนหมด ถึงจะเอ่ยด้วยเสียงที่ติดๆ ขัดๆ “หากอยากให้พวกข้าไม่ไต่สวนเรื่องในวันนี้อีก พวกข้ามีเงื่อนไขสามข้อพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอท่านพูดมาเถิด” หวงฝู่ซวิ่นพูด
มองหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่มีท่าทีนิ่งเฉย เจ้าพระอาวุโสแซ่หลิวก็ชี้ไปที่เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงที่จมูกเขียวหน้าแดงเหมือนกันและพูดว่า “ข้อแรก กั๋วจื่อเจี้ยนต้องขับไล่เจ้าสองคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนี้ออกไป”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวขรึมลง
รอยยิ้มบนหน้าของหวงฝู่ซวิ่นก็เกือบจะคงไว้ไม่อยู่
หวงฝู่อี้เซวียนกลับมีท่าทางที่นิ่งสนิท ยื่นมือออกไปกุมมือของเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ ส่งสัญญาบอกนางว่าอย่าได้ใส่ใจคำพูดของท่านโหวอาวุโสนั่น
เห็นท่าทางของเขา ท่านโหวอาวุโสก็โกรธจนเป่าหนวดพ่นเครา แล้วพูดเงื่อนไขข้อที่สอง “ข้อสอง ให้ซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยขอโทษพวกข้าพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นอยากจะพ่นน้ำลายใส่บนหน้าชราของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวพูดไว้ไม่ผิด เขาช่างหน้า ‘ใหญ่’ จริงๆ ในแผ่นดินนี้เป็นของตระกูลหวงฝู่ หวงฝู่อี้เซวียนของเป็นคนของตระกูลหวงฝู่ คำโบราณที่กล่าวไว้อย่างดีว่า หากไม่ไว้หน้าพระ ก็ให้ไว้หน้าพระพุทธรูป ตามตรรกะนี้แล้ว เขาก็ไม่ควรตบหน้าราชวงศ์อย่างได้คืบจะเอาศอกถึงเพียงนี้
พอได้ยินถึงตรงนี้ สีหน้าของหวงฝู่ซวิ่นก็เริ่มไม่ดีแล้ว แม้จะถามด้วยรอยยิ้มอยู่ แต่ภายในน้ำเสียงปนด้วยความโกรธอย่างมาก “แล้วข้อที่สามล่ะ”
ไม่รู้ว่าฟังน้ำเสียงที่โกรธเคืองของเขาไม่ออก หรือว่าจงใจเพิกเฉยไป ท่านโหวอาวุโสก็ไม่ได้ไตร่ตรอง แล้วพูดต่อ “เงื่อนไขของที่สามก็คือ ค่ารักษาของพวกเรานี้ ต้องให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนมากน้อยเท่าไรนั้น ประเดี๋ยวพวกเราแต่ละคนขอปรึกษากันก่อนครู่หนึ่ง แล้วค่อยบอกตัวเลขที่ชัดเจนอีกทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องปรึกษากันแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวคืนท่าทางดังเดิมและพูดด้วยรอยยิ้มที่เบิกบานจากด้านหนึ่ง
ทุกคนมองไปที่นางด้วยความแปลกประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง สายตาผ่านใบหน้าของทุกคน เก็บสีหน้าของพวกเขาทั้งหมดไว้กับตา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ยิ้มพูดกับทุกคนอย่างแจ่มใส “ให้ทุกท่านคนละหนึ่งแสนตำลึงดีไหมเจ้าคะ”
ตอนที่ 299
ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง รวมไปถึงหวงฝู่ซวิ่นด้วย ไม่รู้ว่านางคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
กลับเป็นท่านโหวอาวุโสมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ตาที่ขุ่นมัวก็สว่างไสว โบกปฏิเสธอย่างทะนงตัว “ไม่ต้องมากถึงหนึ่งแสนตำลึงหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกข้าไม่เอาเปรียบเจ้า ทุกคนคนละหนึ่งหมื่นตำลึงเถิด นอกเหนือจากค่ารักษาอาการบาดเจ็บ ก็ยังมีค่าที่ทำให้ตกใจจนเสียขวัญอีกด้วย”
“ถ้าหากข้ายืนกรานที่จะชดใช้ให้ล่ะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนมองไปทางนางด้วยสายตาที่บอกว่านางสมองทื่อแล้ว มีเพียงหวงฝู่ซวิ่นที่รู้สึกว่านางมีรังสีสังหารกรุ่นอยู่ภายในรอยยิ้มอย่างชอบกล
ชื่อเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นที่โด่งดังในเมืองหลวงอย่างมาก ในแต่ละบ้านของขุนนางชั้นสูงย่อมตรวจสอบเบื้องหลังของนางอย่างละเอียด และรู้ว่านางสร้างตัวด้วยการทำการค้าขาย ตอนนี้จะบอกว่านางมีทรัพย์สินไม่เพียงพอก็คงไม่ได้ ดูท่าว่าเป็นเพราะนางได้ยินว่าท่านโหวอาวุโสต้องการจะขับไล่น้องชายทั้งสองคนของนางออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนจึงเกิดความรู้สึกหวั่นเกรงขึ้น และอยากใช้เงินเพื่อมาปิดปากพวกเขา ทว่า บ้านหนึ่งได้รับแสนตำลึงก็ดูจะมากไปหน่อยจริงๆ แต่นางจะให้เงินเปล่าๆ ทำไมจะไม่เอาล่ะ จริงไหม
พวกเขาคิดวาดฝันในใจอย่างสวยงาม แต่ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยรับปากขึ้นก่อน อย่างไรไท่จื่อก็อยู่ที่นี่ หากรับอย่างลับๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่การเอาเงินอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ พวกเขาก็ไม่อาจทำให้ไท่จื่อรู้สึกว่าพวกเขายอมแลกศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อเงินแสนตำลึง
“ว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่ หากเห็นด้วย ข้าก็จะสั่งคนให้นำตั๋วแลกเงินมาส่งให้แก่พวกท่าน!” เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่พูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มถามอีกรอบหนึ่ง
ทุกคนมองไปทางหวงฝู่ซวิ่น
หวงฝู่ซวิ่นยิ้มและโบกมือ “นี่มันเป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้า พวกเจ้าปรึกษากันเองเถิด ขอเพียงพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายตกลงกัน มีวิธีคลี่คลายปัญหาที่ดีได้ ข้าก็จะไม่ยุ่มย่าม”
ได้รับการอนุญาตจากคำพูดของเขา ท่านโหวอาวุโสก็มีความกล้ามากขึ้น จึงพยักหน้าและพูด “ในเมื่อซื่อจื่อเฟยยืนกรานอ้อนวอนจะให้พวกเราแสนตำลึง พวกเราก็ต้องฝืนรับมา ส่วน…”
“ดีเจ้าค่ะ ท่านโหวอาวุโสตรงไปตรงมายิ่งนัก ประเดี๋ยวข้าจะสั่งคนให้นำตั๋วแลกเงินมามอบให้ทุกท่านเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดแทรกเขา
ท่านโหวอาวุโสพยักหน้า พูดอย่างใจกว้าง “ไม่รีบ พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ”
“แต่ข้ารีบมากนะเจ้าค่ะ หากตั๋วแลกเงินมาส่งให้ช้าแล้วทำให้พวกเด็กๆ ของทุกท่านไปตรวจดูอาการบาดเจ็บล่าช้าลงจะทำอย่างไรเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
ท่านโหวอาวุโสคิดว่าที่นางพูดคืออาการบาดเจ็บบนกายของเด็กๆ ทุกคนในตอนนี้ จึงโบกมือยั้งไว้ “ล่าช้าไม่เท่าไรหรอก ในจวนของพวกข้าล้วนมีหมอประจำอยู่ ประเดี๋ยวกลับไปรักษาเองก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยสีหน้าตกใจ ถาม “ที่แท้หมอในจวนของทุกท่านก็เก่งถึงเพียงนี้ แม้แต่แขนขาขาดก็ล้วนรักษาได้หรือเจ้าคะ”
ทุกคนตะลึงไป
ตอนนี้หวงฝู่ซวิ่นถึงจะเข้าใจจุดประสงค์ของนาง มองพวกเขาที่โชคร้ายเหล่านี้อย่างเงียบๆ พร้อมก้าวถอยหลังออกไปโดยไม่พูดไม่จา
ท่านโหวอาวุโสทุกคนราวกับเข้าใจความหมายของนางแล้วเช่นกัน จึงร้องออกมาพร้อมกัน “เจ้ากล้าหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ใช้สายตาแหลมคมกวาดสายตามองทุกคนอีกครั้ง แล้วถามด้วยเสียงที่เย็นชา “มีเรื่องที่ข้าไม่กล้าด้วยหรือเจ้าคะ”
ทุกคนรู้สึกพรั่นพรึงจากรังสีของนาง ลูกๆ หลานๆ แต่ละคนยิ่งผวาจนไหล่หดตัวสั่น
เมิ่งเชี่ยนโยนชูสองนิ้วขึ้นมา แล้วพูด “ข้าบอกจะให้ทุกท่านแสนตำลึง ก็จะมอบให้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ ก่อนหน้านี้ ข้าก็มีเงื่อนไขสองข้อเช่นกัน ข้อหนึ่งคือทุกท่านที่ทะเลาะวิวาทกับน้องชายทั้งสองคนของข้าวันนี้จะต้องสู้กันต่อหน้าพวกข้าอีกครั้ง ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร พวกเราทุกคนต้องยอมรับผลและไม่ตีโพยตีพาย”
“ยังมีอีกเงื่อนไขอีกหนึ่งข้อก็คือ พวกท่านสามารถเลือกคนออกมาต่อสู้แทนลูกได้ และรับผลลัพธ์เดียวกัน นี่คือเงื่อนไขสองข้อ พวกท่านเลือกสักข้อเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อคำพูดนี้ของนางสิ้นลง พวกท่านโหวทั้งหลายต่างนิ่งสนิท ต่อให้โดนโบยตีจนตายพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวบอกจะให้เงินแสนตำลึงแก่พวกเขา กลับให้เป็นค่า ‘รักษาแผล’ ของพวกเขา
ไม่รอให้ทุกคนตื่นจากภวังค์ หวงฝู่อี้เซวียนกลับลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก เดินมาที่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว ประคองนางให้นั่งกลับที่เดิมอย่างอ่อนโยน แล้วถึงจะพูดอย่างนุ่มนวลกับนาง “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มอบให้ข้าจัดการก็พอแล้ว เจ้าดูอยู่ทางด้านนี้ก็เพียงพอ”
พูดจบ ก็หันกายไปถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ตัดสินใจได้หรือยัง ผู้ใดในพวกเจ้าจะออกมารับศึก พวกเรารีบสู้รีบจบศึก ในท้องของพระชายาข้ายังมีเด็กอยู่นะ พูดไร้สาระกับพวกเจ้านานขนาดนี้ เหนื่อยจะแย่แล้ว ข้าต้องพานางกลับไปพักผ่อนโดยเร็ว”
นี่เป็นการดูหมิ่นอย่างชัดเจน ท่านโหวแต่ละคนทนไม่ไหว กระโดดออกมา พูด “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าอย่าโอหังเกินไปหน่อยเลย หากวันนี้พวกข้าล้มเจ้าให้ลงไปนอนกับพื้นไม่ได้ พวกเราทุกคนก็จะคลานกลับไป”
น่าขัน พวกเขาเกือบสิบคนนี้ จะยังสู้กับเด็กน้อยที่เพิ่งแต่งงานเพียงแค่คนเดียวไม่ได้
“พูดเช่นนี้ ทุกคนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะออกศึกแทนลูก?” หวงฝู่อี้เซวียนยืนยันอีกครั้งหนึ่ง
“ถูกแล้ว วันนี้พวกข้าทุกคนจะขอโอกาสรับบทเรียนจากซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีเอง!” ท่านโหวคนหนึ่งจากกลุ่มนั้นที่มีอายุประมาณสามสิบกว่าปีและใบหน้าเหลี่ยมพูดตอบ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า มองไปทางหวงฝู่ซวิ่น “ไท่จื่อโปรดเป็นพยานให้แก่พวกข้า วันนี้พวกข้ายินยอมจะสู้กันเอง ไม่สนว่าเป็นหรือตาย”
คำนี้พูดออกไป ทุกคนก็สูดหายใจที่เย็นยะเยือกเข้า ภายในใจของพวกเขาโกรธก็โกรธ แต่ก็ไม่ใช่ถึงขั้นจะเอาถึงชีวิตกัน ไม่ว่าอย่างไรหวงฝู่อี้เซวียนก็เป็นคนของเชื้อพระวงศ์ ถ้าหากทำร้ายเขาจนตายแล้ว ไม่แน่ว่าอ๋องฉีจะล้างจวนของพวกเขาด้วยเลือดอย่างเช่นที่ทำกับจวนเฮ่อ
ขณะที่ทุกคนกำลังตะลึง หวงฝู่ซวิ่นก็โบกมือ “พวกเจ้าล้วนเป็นเสาหลักของประเทศ ถ้าหากมีใครคนหนึ่งบาดเจ็บจนตาย เช่นนั้นก็จะเป็นความสูญเสียของรัฐอู่ด้วยเหมือนกัน ข้าไม่เห็นด้วย เอาอย่างนี้ละกัน พวกเจ้าอย่าได้ทำเกินพอดี” พูดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกถึงสายตาอันเฉียบเย็นของหวงฝู่อี้เซวียนที่พัดผ่านมา จึงพูดต่ออีกประโยค “แต่แน่นอนว่าเกิดเหตุสุดวิสัยเล็กๆ น้อยๆ ก็พอทำเนาได้”
เหตุสุดวิสัยมีทั้งใหญ่และเล็ก นี่เป็นการให้ท้ายแก่หวงฝู่อี้เซวียนที่อีกประเดี๋ยวจะเริ่มบ้าคลั่งอย่างไม่ต้องสงสัย
หวงฝู่อี้เซวียนและท่านโหวล้วนพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาภายในสนามขี่ม้าคนแรก
ท่านโหวแต่ละคนก็ไม่กล้ารั้งท้าย จึงวางมาดเดินเข้ามาภายในสนามอย่างผ่าเผย แล้วแยกออกจากกันเพื่อล้อมหวงฝู่อี้เซวียนไว้ตรงกลาง
ใจของหัวหน้าผู้ดูแลและเสนาบดีล้วนรู้สึกว่าหัวใจได้ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ได้
บรรดานักเรียนที่มองดูสถานการณ์อยู่ด้านหนึ่งตลอดต่างเบิกตาโต เพื่อจะคอยดูบรรยากาศอันแสนดุเดือดเลือดพล่านภายในสนาม
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงก็มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความละอาย
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับ ลูบศีรษะของพวกเขาอย่างระมัดระวัง และพูดว่า “ต้องเชื่อมั่นในพี่เขยของพวกเจ้านะ เผชิญหน้ากับพวกขี้ขลาดแบบนั้น ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงส่งเสียงหัวเราะออกมา ท่านโหวอาวุโสที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำของนางอย่างชัดเจน จึงรู้สึกโกรธจนหนวดชูเคราสั่นขึ้นอีกครั้ง
หวงฝู่ซวิ่นไปนั่งบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ไม่ได้เป็นกังวลต่อเหตุการณ์ภายในสนามขี่ม้าแม้แต่น้อย
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ท่ามกลางเสียงตื่นตระหนกและเสียงครวญคราง หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตัวลอยออกมา แล้วมาอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว พร้อมยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองซับเหงื่อบางๆ ที่แทบจะไม่เห็นบนหน้าผากของเขา จูงเขาขึ้นแล้วพูดกับท่านโหวอาวุโสที่ยังไม่ได้สติกลับคืนมา “ภายในครึ่งชั่วยาม เงินแสนตำลึงจะส่งถึงมือของทุกท่านอย่างแน่นอน ขอทุกท่านอย่าได้รีบร้อน นั่งรออยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวเถิดเจ้าค่ะ”
พูดจบ ก็พูดกับหวงฝู่ซวิ่น “ไท่จื่อ ร่างกายของข้าไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับไปก่อนนะเพคะ แล้ววันรุ่งข้าจะให้น้องชายของข้ามาเข้าเรียนตามปกติ คนบ้านนอกนั้นหนังหนา บาดเจ็บเพียงแค่นี้ไม่เป็นปัญหาอันใดหรอกเพคะ”
เมื่อมองผ่านผู้คนไปยังภายในสนามขี่ม้าแวบหนึ่ง หวงฝู่ซวิ่นก็พยักหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหน้า เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงตามอยู่ด้านหลังทั้งสองคนติดๆ ทั้งสี่คนเดินอย่างผึ่งผายจากไป ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งขึ้นรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะกอดแขนของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างตื่นเต้น ถามด้วยใบหน้าที่คาดหวัง “เป็นอย่างไรล่ะ แสนตำลึง คุ้มหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออก จิ้มไปที่ปลายจมูกของนาง “เจ้านี่ ได้มาเงินมากมายขนาดนั้นจึงให้คนอื่นไปเปล่าๆ เช่นนี้ เจ้าไม่เสียดายหรือ”
“เงินนี้ไม่ใช่เป็นข้าที่ออกเสียหน่อย แล้วข้าจะเสียดายทำไมเล่า เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ตกลงแล้วพวกเขาเป็นอย่างไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนใช้นิ้วลูบจมูกของนางอย่างเอาใจ แล้วก็ยิ้มพูด “อย่างน้อยครึ่งปีพวกเขาคงไม่สามารถออกจากบ้านได้หรอก ทีนี้เจ้าพอใจแล้วสินะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า แล้วทำปากจู๋ “ไม่พอใจ ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงร้องไห้เรียกหาพ่อกับแม่ของพวกเขาเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนถูกล้อจนหัวเราะ ก้มหน้าจูบที่ปากเล็กๆ ของนางด้วยความว่องไว แล้วยิ้มถาม “ไม่เช่นนั้น ให้ข้ากลับไปต่อยพวกเขาจนร้องไห้เรียกหาพ่อแม่อีกดีหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา
รถม้าสองคันด้านหน้าและด้านหลังมาถึงประตูบ้าน เมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ได้กำลังรอคอยอย่างกังวลใจที่หน้าประตูแล้ว
ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยวโยวมีอารมณ์ดีลงมาจากรถม้า ก็ถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงลงมาจากรถม้าด้านหลัง ไม่กล้าเดินไปข้างหน้า ครั้นเมิ่งซื่อเห็นแล้ว น้ำตาก็ไหลพรากออกมา วิ่งเข้าไปโอบกอดทั้งสองคนไว้ในอ้อมอก ภรรยาเมิ่งต้าจินตามอยู่ด้านหลังนางติดๆ พอเห็นสภาพของทั้งคู่ก็ปวดใจจนน้ำตารินไหล แต่ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่พาทั้งคู่เดินเข้าไปในบ้านด้วยกันกับเมิ่งซื่อ
เมิ่งต้าจินและคนอื่นๆ ก็ตามกลับเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
เมิ่งฉีรออยู่หน้าประตู รอหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินผ่านไป ก็กดเสียงต่ำถาม “เกิดอะไรขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไป พลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกระชับให้เขา แล้วจึงยิ้มพูด “พี่ชายรองไม่ต้องเป็นกังวลนะเจ้าคะ พี่ไม่ได้เห็น คนอื่นถูกพวกเขาต่อยจนสภาพย่ำแย่กว่านี้อีกเจ้าค่ะ ก็ถือว่าพวกเขาได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แล้ว หลังจากนี้เป็นต้นไป ก็ไม่มีคนในกั๋วจื่อเจี้ยนกล้าหาเรื่องอีกแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งฉีก็ยิ้มขึ้นมา “ทำให้เจ้าเคยตัวเสียแล้ว แม้แต่คนในกั๋วจื่อเจี้ยนก็กล้าหาเรื่องได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นด้วย “คนในกั๋วจื่อเจี้ยนแล้วอย่างไรล่ะเจ้าคะ ไม่ใช่ว่ามีสองตา หนึ่งปากเหมือนกันหรือ จะเหนือกว่าพวกเราสักเท่าไรกันเชียว เพียงแค่เพราะพวกเขาคาบช้อนเงินช้อนทองเกิดมา ก็รังแกคนได้อย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ”
พูดจบ ก็นึกถึงที่ตัวเองต้องออกเงินชดเชย จึงยิ้มอย่างเริงร่า แล้วพูดกับเมิ่งฉีด้วยความฉอเลาะ “พี่ชายรอง ข้ารับปากว่าจะชดใช้ให้พวกเขาคนละหนึ่งแสนตำลึง ตอนนี้ตัวข้าไม่มี พี่ให้ข้ายืมก่อนนะเจ้าคะ”
เมิ่งฉีสะดุ้งตกใจ และขมวดคิ้วถาม “มากขนาดนั้นเลยหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียนพร้อมพูด “ไม่ใช่เจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์ก่อเรื่อง เป็นเขาที่ก่อเรื่อง”
โดนใส่ร้ายอย่างไร้เหตุผล หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่รู้จะร้องหรือยิ้มดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากและแบกรับโทษนี้ “เป็นข้าเองที่ใช้อารมณ์อย่างเกินเหตุ แล้วลงมือกับคนที่เข้ามาคิดบัญชีด้วยจนปางตาย พี่ชายรองออกให้แทนพวกเราก่อนนะขอรับ รอให้พวกข้ากลับถึงจวนแล้วจะสั่งคนนำส่งมาให้พี่”
“นี่พวกเจ้าพูดอะไรน่ะ พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน มาพูดว่าอะไรของข้าอะไรของเจ้าได้อย่างไร แล้วก็นะ เจ้าก็ออกหน้าเพื่อเจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์ด้วย ข้าจะไปเอามาให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ได้รับตั๋วเงินมาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็สั่งโจวอันให้ไปส่งให้แก่หวงฝู่ซวิ่น
หลังจากเมิ่งซื่อและคนอื่นกลับถึงห้องแล้ว ก็ช่วยเช็ดแผลที่บวมช้ำบนหน้าของเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง ทำให้ทั้งสองคนเจ็บจนร้อง โอ้ย ตลอด เมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินเข้ามาจากด้านหลังได้ยินเสียงของพวกเขา จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “สมน้ำหน้า ใครให้พวกเจ้าทำอะไรโดยไม่ใช่สมองเล่า ข้าเคยสอนพวกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ยามคนน้อยต้านศัตรูไม่ไหว ต้องใช้ปัญญาเข้าสู้ พวกเจ้ากลับไม่ฟัง ตัวเองก็เลยต้องบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้”
ทั้งคู่ไม่กล้าครวญครางเสียงดังอีก จึงยื่นมือขึ้นมาป้องปากตัวเองเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง
เมิ่งต้าจินก็สอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าอย่างสั้นๆ อีกครั้ง แล้วภรรยาเมิ่งต้าจินก็รู้สึกดีใจอย่างมาก ตบเข่าฉาดแล้วพูด “พวกเจ้าทั้งสองคนทำได้เยี่ยมมาก ควรจะจัดการพวกเขาอย่างนี้แหละ ประเดี๋ยวป้าใหญ่จะทำอะไรอร่อยๆ ให้พวกเจ้ากินนะ ตอบแทนที่พวกเจ้าเหนื่อยเสียหน่อย”
เมิ่งต้าจินคิดมาก ขมวดคิ้วแล้วถาม “อี้เซวียน พวกเจ้าทั้งสองก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ กั๋วจื่อเจี้ยนแห่งนี้…”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไท่จื่อได้อนุญาตพวกข้าแล้ว วันรุ่งให้พวกเขาเข้าเรียนได้ตามปกติเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
ครั้งนี้เมิ่งต้าจินถึงจะพยักหน้าด้วยความสบายใจ “โชคดีที่ไท่จื่อมีพระทัยกว้าง ไม่ขับไล่พวกเขาเพราะในเรื่องนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า ไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นให้พวกเขา เพื่อจะได้ไม่ให้ทั้งครอบครัวต้องเป็นกังวล
เมื่อได้รับยาดีแล้ว เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงก็ไปพักผ่อน หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง คิดอยากจะพักผ่อนเสียหน่อย แต่โจวอันกลับเดินเข้ามาในเรือนและรายงาน “นายท่านขอรับ ไท่จื่อให้ข้ามาบอกท่านว่า ท่านโหวอาวุโสพวกนั้นสั่งคนให้แบกเหล่าท่านโหวเข้าไปดูอาการรักษาในสำนักหมอหลวง จึงให้ท่านและซื่อจื่อเฟยเตรียมตัวให้ดี ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวภายในวังหลวงจะส่งคนมาเรียกตัวขอรับ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น